เรื่องเกี่ยวกับ อตีตังสญาณ รึเปล่า ถามผู้รู้ครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นายเมธี12, 26 สิงหาคม 2014.

  1. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอ เกริ่นนำนิดนึงนะครับผม คือ ผม ไม่ได้ปฏิบัติ เหมือนแต่ก่อนแล้วที่นั่งวันละ หลายๆ ชม. เพราะ เริ่มทำงานหนักขึ้น ก็เลยไม่ค่อยมีเวลา ฝึกสมาธิ สักเท่าไหร่ เพราะผมเป็นคนชอบนั่งสมาธิมากสมัยเมื่อ 3-4ปีที่แล้ว แต่ ผมก็ยังคง ประคองให้จิตสงบแล้วพยายาม นั่งสมาธิบ้าง กรรมฐานบ้าง แล้วทีนี้ วันนึง นึกขึ้นยังไงไม่รู้ อยากจะลอง นึกย้อนกลับ ไปว่าเราทำอะไรไปบ้าง จากวันเป็น2วัน นึกย้อนไป3 วัน เป็นอาทิตย์ เป็นเดือนเป็นปี ไปเรื่อยๆ จนนึกย้อนไปถึงตอนเด็กๆ เลย แล้วทีนี้ ก็จำได้เลือนลางว่า ผมมาจากหลุมดำๆนั้น ก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่พอนึกถึงหลุมดำๆนั้นทีไร ผมก็มีอาการพะอืดพะอม โหว๋งๆยังไงก็ไม่รู้ มันขนลุกว๊าบ เหมือนเรากำลังจะหล่นจากที่สูงยังไงยังงั้นเลย และก็มีอาการเหมือนกับอยากจะตะโกนล่ะมั้งอธิบายไม่ถูก เป็นทุกครั้งที่นึกย้อนไปถึง หลุมดำๆนั้นแหละ อยากสอบถามวิธีแก้ให้หายอาการนี้หน่อยครับ ช่วงหลังๆเห็นบ่อยมาก เป็นหนักถึงเกือบจะอ้วกเลยละ บางที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 สิงหาคม 2014
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ว่าด้วยหลักการย้อนอดีตอย่างที่คุณทำตอนนี้คล้ายๆสายพระมหาฤาษีบางกลุ่มครับ
    แต่เค้าจะค่อยๆย้อนไปทุกวันแบบละเอียดครับ..แต่โดยมากกำลังสมาธิของท่านๆ
    เหล่านั้นจะค่อนข้างดีพอสมควรครับ
    เพราะฉนั้นแล้วตัวคุณจึงควรสร้างกำลังสมาธิสะสมให้มากพอสมควร
    เพื่อมารองรับหลักการอย่างที่กล่าวมาถึงจะไม่ส่งผลต่อกิริยาทางกายครับ.
    หากว่าเราถนัดวิธีการแบบนี้นะครับ.

    ให้ฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องเพื่อนำกำลังสมาธิสะสมที่จะได้จากตรงนี้
    มาช่วยหนุนและหายใจเข้าออกให้ลึกถึงท้องด้วยนะครับเพื่อเพิ่มความละเอียดให้จิต
    แต่ทำความรู้สึกรับรู้ว่ามีลมเข้าออกที่ปลายจมูกก็พอเพื่อเสริมสร้างกำลังสติทางธรรมด้วยครับ

    .และทำสมาธิสะสมๆแบบไม่ต้องใช้เวลามากครับ.เอาให้ถึงระดับจิตใจ
    สงบก็พอ แต่ว่าควรมีความต่อเนื่องครับ อาจจะช่วงพักซัก ๕ นาทีหรือ ๒ ถึง ๓ นาที
    หรือจะนั่งสมาธิหลังจากมนต์ที่ไม่ยาวมาก หรือ สวดก่อนและนั่งภายหลังก็ได้ครับ
    อาการที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็จะไม่เป็นอีกครับ
    ..
    .

    ปล.ประมาณนี้ครับ
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ไม่รู้สิ แต่คงไม่ใช่มั้ง

    อตีตังสญาณ รึเปล่า

    คือ ญาณหยั่งรู้ส่วนอดีต ญาณนี้สามารถนำมาอธิบายเรื่องกรรมเวรของมนุษย์และสัตว์ได้ดีมาก
    ผู้บรรลุญาณนี้จะสามารถอธิบายได้ชัดเจนว่า กรรมในอดีตชาติส่งผลมาเป็นกรรม ในปัจจุบันได้อย่างไร ชาติก่อนทำอะไรไว้ ชาตินี้จึงมาเป็นอย่างนี้




    ๔. อตีตังสญาณ
    อตีตังสญาณ ญาณนี้เป็นญาณรู้เรื่องในอดีต คือเหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วทั้งในชาติ
    ปัจจุบันและหลายแสนหลายล้านชาติ อาการของญาณนี้ดูเป็นญาณที่มีสภาพเช่นเดียวกันกับ
    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แต่ทว่าปุพเพนิวาสานุสสติญาณนั้น ท่านหมายเอาการรู้เรื่องหนหลัง
    ของตนเอง อตีตังสญาณนี้ ท่านหมายเอาการรู้เรื่องหนหลังของคน สัตว์ และสิ่งของ สถานที่
    ภายนอกตนออกไป สำหรับกฎการกระทำเพื่อรู้ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน เพียงแต่กำหนดจด
    ถามในเรื่องของ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่นั้นๆ เท่านั้น การกำหนดรู้นั้นในขั้นแรกให้กำหนดจิต
    เพื่อรู้ก่อน ถ้ากำหนดรู้ ยังรู้ไม่ชัดเจน ท่านให้กำหนดจิตถาม การกำหนดจิตเพื่อรู้และถามก็ทำ
    ดังที่กล่าวมาแล้วคือ เข้าฌาน ๔ ออกจากฌาน ๔ มาหยุดอยู่เพียงอุปจารสมาธิ แล้วกำหนดรู้
    หรือกำหนดถามแล้วเข้าฌาน ๔ ออกจากฌาน ๔ มาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน เท่านี้ก็จะรู้เรื่อง
    ละเอียด คือภาพในอดีตจะปรากฏแก่จิตคล้ายดูภาพยนต์ และรู้เรื่องไปตลอดเหมือนกับเราร่วม
    ความเป็นไปกับภาพนั้น สร้างความเพลิดเพลินเจริญใจเป็นอันมาก พวกฤาษีมุนีไพร และท่านที่
    ได้ฌานสมาบัติ จนได้ฌานต่างๆ ที่ท่านอยู่ป่าช้า ป่าใหญ่ ภูเขาถ้ำต่างๆ จัดว่าเป็นสิ่งที่สงัดเงียบ
    ปราศจากผู้คนอยู่อาศัยท่านคิดว่า ท่านพวกนี้ท่านอยู่กันอย่างพระพุทธรูป คือหมดเรื่องรู้และการ
    เพลิดเพลินต่าง ๆ นั้นตามที่คนส่วนมากเข้าใจกัน ความจริงเป็นความเข้าใจที่ผิดถนัดตามความ
    จริงแล้วท่านเป็นผู้อยู่สงัดจริง แต่เป็นการสงัดจากสังคมที่เป็นบาป คือกลุ่มชนที่หนาด้วยกิเลส
    และตัณหา แต่ทว่าท่านมีความเพลิดเพลินรื่นเริงในส่วนที่เป็นกุศล คือเพลิดเพลินในญาณเป็น
    เครื่องรู้ ท่านสามารถสังคมกับเทวดาและพรหม สนทนาปราศรัยโดยธรรม มีความชื่นบานในการ
    รู้เรื่องในอดีตและกาลต่อไปในอนาคตรู้ความเกิดขึ้นและความสูญสลายตน ของสรรพวัตถุและสิ่ง
    ที่มีชีวิต เอาสิ่งเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับตน เพื่อความรู้แจ้งในอนัตตา เป็นการฝึกฝน
    สั่งสมอารมณ์วิปัสสนาญาณให้แจ่มใส ตัดกังวลภายในและภายนอก คือตัดกังวลความห่วงใยใน
    ร่างกายจนเกินพอดี รู้สภาพว่ากายนี้ต้องพังทลายแน่นอน และเห็นสภาพภายนอกที่เป็นสรรพวัตถุ
    ที่จะต้องสลายตัวเช่นเดียวกัน ตัดความมัวเมาในตนและสรรพวัตถุภายนอกเสียได้โดยสิ้นเชิงมี
    ความหวังในพระนิพพานได้อย่างแน่นอน ผลของอตีตังสญาณสร้างความเพลิดเพลินในการรู้เรื่อง
    ราวในอดีต และสร้างพลังจิตให้เกิดปัญญาในส่วนวิปัสสนาญาณได้อย่างนี้ ฉะนั้น ท่านจึงนิยม
    สร้างสมาธิให้ได้ฌาน ๔ และสร้างญาณให้เกิดแก่จิตเพื่อหวังในมรรคผลนิพพานเพราะการได้
    ทิพยจักษุญาณแล้วถ้าปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานย่อมเป็นไปได้อย่างถูกต้อง ไม่หลงผิด ทั้งนี้ถ้า
    คิดสงสัยในปฏิปทาของตนว่า จะผิดหรือถูกประการใดก็เข้าฌาน ออกฌานอธิษฐานถามได้ เป็น
    การศึกษาโดยตรงจากท่านที่บรรลุแล้วเป็นแนวทางที่ถูกที่ตรงและไม่มีอะไรยากอย่างพวกเรา
    สอนกันเองดังที่ท่านอาจารย์ท่านหนึ่งในจังหวัดพระนคร ในสมัยปัจจุบันนี้ท่านเคยพูดในสถานที่
    อบรมนักปฏิบัติว่า การปฏิบัติสมณธรรม ต้องทำไปให้ถึงระดับ ได้อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์แล้วคอย
    รับการสั่งสอนจากท่านนั้น ๆ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานที่เข้าระดับกรรมฐานที่เอาตัวรอดได้ถ้า
    นักปฏิบัติทั้งหลายยังคอยคำสอนของอาจารย์ที่เป็นมนุษย์ฝ่ายเดียว หรือแกะหนังสือดูตำราเป็น
    สำคัญแล้วท่านนักปฏิบัติท่านนั้นยังเอาตัวไม่รอด ท่านพูดของท่านอย่างนี้ถูกขอท่านผู้อ่านฟังของ
    ท่านไว้ แล้วสนใจปฏิบัติให้ได้ถึงจะทราบว่า คำพูดของท่านตรงต่อความเป็นจริงทุกประการ

    การถาม
    ท่านผู้อ่านอาจคิดว่าจะถามใคร ในขณะที่สงสัยในความเป็นอดีตของคน สัตว์ และสถานที่
    การกำหนดถามนั้นก็ถามท่านผู้รู้เหตุ จะกำหนดเอาใครก็ได้ตามที่เราคิดว่าท่านจะรู้ แต่ตามที่
    นักปฏิบัติส่วนใหญ่นิยมถามจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ท่านนิยมถามพระพุทธบารมีของพระพุทธเจ้า
    เพราะพวกเราเชื่อกันว่า การรู้ทั้งหมดและรู้ไม่ผิดพลาดนั้นมีพระพุทธเจ้าองค์เดียว ท่านอาจ
    สงสัยต่อไปว่า ก็สมัยนี้พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วจะเอาพระพุทธเจ้าที่ไหนมาบอก? ข้อนี้ขอ
    ตอบอย่างนักปฏิบัติว่า ท่านทำไปก่อน ทำให้ได้ทิพยจักษุญาณในระดับฌาน ๔ แล้วท่านจะรู้เอง
    ว่าการถามพุทธบารมีนั้น ถ้าถามแล้วจะมีอะไรปรากฏขึ้น การที่ตอบอย่างนี้ไม่ใช่เป็นคำตอบที่
    เล่นสำนวน เพราะการตอบให้เข้าใจในสิ่งที่คนถามยังไม่รู้ ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ ตอบไปก็
    เหนื่อยเปล่า ในบทพระพุทธคุณตอนหนึ่งว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีผลเป็น
    ปัจจัตตัง คือผู้ปฏิบัติที่มีอารมณ์จิตเข้าถึงทิพยจักษุญาณแล้วจะรู้เอง ฉะนั้นถ้าจะ
    นั่งพรรณนาให้คนที่ไม่มีญาณฟัง พูดไปก็เหนื่อยเปล่า มีผลไม่คุ้มเหนื่อยดีไม่ดีก็จะพลอยทำ
    ให้อารมณ์เศร้าหมองขุ่นมัว ฉะนั้นใครอยากรู้ว่าพุทธบารมีเป็นอย่างไร ยังจะช่วยอะไรผู้ที่
    ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้อยู่หรือประการใด ก็ขอให้พยายามประพฤติปฏิบัติในฌาน และสร้าง
    ญาณให้บังเกิดแก่จิตก็จะทราบชัดแก่ตนเอง ถ้ายังขืนคิดว่าไม่ต้องทำฌานให้เกิดก็รู้ได้จาก
    ตำราแล้ว ท่านก็เป็นคนที่น่าสงสารมาก เพราะท่านจะไม่มีโอกาสเป็นพุทธศาสนิกชนชนิด
    เนื้อแท้จริงจังตามปากท่านพูดเลย วาจาที่ท่านกล่าวว่า ท่านเป็นพุทธศาสนิกนั้นอาจเป็น
    วาจาที่พูดกันจนติดปากมากกว่า การพูดด้วยความจริงใจพูดกันตามภาษาไทยๆ ก็เรียกว่า
    พูดส่งเดชไปตามเขาอย่างนั้นเอง

    อธิษฐานไว้ก่อน

    การอธิษฐานเพื่อรู้นี้ ส่วนใหญ่ของนักปฏิบัติที่ชำนาญในฌานและญาณการต้องการทราบ
    เรื่องราวต่างๆ เช่น รู้การตายการเกิดของคนและสัตว์ รู้ผลกรรมของคนและสัตว์ รู้ชาติก่อนๆ
    ของตนเอง รู้เรื่องอดีตและอนาคตปัจจุบันทั้งของตนและสิ่งภายนอกท่านนิยมอธิษฐานไว้ก่อน
    คือ พอตื่นนอนจากการหลับเวลาเช้ามืด ท่านอธิษฐานจิตไว้ว่า เหตุใดที่เกี่ยวเนื่องแก่ข้าพเจ้า
    แล้ว ขอข้าพเจ้าจงรู้เหตุนั้นได้โดยไม่ต้องกำหนดจิต นี่การอธิษฐานอย่างนี้ท่านนิยมทำไว้เสมอ
    เมื่ออธิษฐานแล้วก็เข้าสมาบัติเต็มอัตรา สมาบัติที่ได้ ได้แค่ ๔ ก็เข้าเต็ม ๔ได้หมดทั้ง ๘ ก็เข้า
    หมด ๘ ถ้าได้มรรคผล ก็เข้าผลสมาบัติตามผลการเข้าสมาบัติตอนเช้ามืดนี้ดีมากเพราะจะเป็น
    การตอบสนองความดีของท่านพุทธศาสนิกชนที่สงเคราะห์ได้เป็นอย่างดี เพราะผลของสมาบัติ
    ให้ผลมีกำลังสูงมาก ย่อมสามารถให้ผลเป็นความสุขแก่ท่านผู้สงเคราะห์ในชาติปัจจุบันการ
    อธิษฐานไว้แล้วอย่างนั้น ถ้าเดินไปหรือสนทนาอยู่ ถ้าเหตุอะไรที่เนื่องกับตนพึงมีในขณะนั้นภาพ
    นั้นก็จะปรากฏแก่ใจทันทีโดยที่ไม่ต้องเข้าฌานออกฌานตามระเบียบเป็นผลดีมากแก่นัก
    ปฏิบัติ

    http://luangphorruesi.star009.com/2-Series/2.09/
     
  4. ZIGOVILLE

    ZIGOVILLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +792
    เป็นผลของญาณ เป็นธรรมดาของดวงจิตผู้เคยสั่งสมบารมีมาก่อนถ้าถึงเวลาก็สามารถปฏิบัติได้ด้วยตัวเองตามแนวทางที่จะเกิดขึ้นในจิต
    อันเป็นสมมติแห่งมนุษย์ต่างมาเกิดเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองที่แตกต่างกันไป


    สิ่งที่อยากแชร์ประสบการณ์คือ
    ๑. ลองฝึกไปเรื่อยๆ เห็นอะไรน่าสะอิดสะเอียนก็พิจารณาเห็นทุกข์ไป มันคือทุกข์ของการเกิด...อย่าเพิ่งไปไกลมาก ฝึกให้ละเอียดใน ๑ วันย้อนหลัง ๑ วันข้างหน้าว่าจะทำอะไรเป็นการวางแผนในชีวิตอย่างหนึ่ง เอาให้คล่องแล้วค่อยเพิ่มเวลา และเพิ่ม level ไปเรื่อยๆ จาก ๑ วัน เป็น ๒ ๓ ๔ ๕ ตามลำดับไป
    ๒. การปฏิบัติธรรมสามารถทำได้ตลอดวัน ยิ่งเวลาทำงานถ้ามีสติ และฝึกการระลึกรู้ลมหายใจได้ ฝึกให้ได้ในระดับที่เรียกลม หรือละรึกถึงลม ที่มากระทบใบหน้า หรือปลายจมูกได้จะยิ่งดี เพราะเวลาใช้งานจะเรียกใช้ได้ทันที และจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำไป ที่สำคัญจะไม่มีคำว่า "ไม่ค่อยมีเวลาฝึกสมาธิ"
     
  5. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ผมแนะให้หยุดปฏิบัติครับ ที่คุณทำอยู่ก็คือการคิดจินตนาการเท่านั้น และคุณก็กำลังหลงไหลในสิ่งนั้นอยู่ อยากรู้อยากเห็นต่อๆไปอีกยิ่งๆขึ้นไป ตรงนี้เป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ ทำต่อไปมีโอกาสเพี้ยนครับ
    ความคิดจินตนาการก็คือตัวสังขารในขันธ์ห้า เป็นเรื่องของการหลงในความคิดติดในสังขาร
    อตีตังคญาณเป็นคุณธรรมของพระอรหันต์เท่านั้น ไม่ใช่อย่างแน่นอน
    เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2014
  6. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอบคุณมากครับทุกท่าน ผมเคยนั่งสมาธิแล้ว รู้สึกว่านั่งเหมือน 5-10นาที แต่จริงๆแล้ว 4ชม.กว่าๆครับที่นั่งและ หลังจากนั้นแค่เสี้ยววินาที ก็เห็นตัวเองอยู่ในขุมนรกแล้ว รู้สึกว่าจะชื่อโลกันตมหานรก(ผมมาลองเสริทหาดูชื่อ และลักษณะที่ใกล้เคียง เพราะตอนนั้นผมไม่รู้จักชื่อที่แห่งนี้รู้แต่มันเป็นลักษณะนี้เท่านั้น) ซึ่งไม่มีอะไรเลยเป็นพื้นที่โล่งๆ กว้างๆไกลสุดลูกตา แล้วสักพักลองก้มมาดูมือ มีแต่ใบมีดยาวและแหลมคม ที่นั่นมืดมองแทบมอ
    ไม่เห็นอะไรเลย แต่ตอนที่ผมนั่งนั้น มองเห็นพอสมควร เหมือนมีแมลงสาบนับล้านๆตัวเกาอยู่ที่เหวเบียดเสียดกัน ที่สำคับเป็นที่ๆน่าสะอิดสะเอียดที่สุด มองเห็นเพียงรัสมีไม่กี่เมตร หรือสุดมือที่เป็นใบมีดเราเท่านั้น และพิวหนังเป็นเหมือนตัว ด้วง หรือแมลงปีกแข็ง แต่มีเลือดอยู่ภายใน และที่สำคัญหิวตลอดเวลา และเกาะอยู่ขอบเหว ซึ่งข้างล่างจะเป็นไฟสีน้ำเงิน สีฟ้าๆ ม่วงๆ ตกไปร้อนเกินกว่าจะใช้คำว่าร้อน จนเย็นสุดๆ แล้วร่างมันละลาย อีกไม่กี่อึดใจก็มีลมอะไรสักอย่างพัดมารวมตัวขึ้นมาใหม่ และมาเกาะผนังเหวเหมือนเดิม อันนี้ผมไม่ได้แต่งขึ้นหรือไปอ่านมาและเอามาปรุงแต่งแต่อย่างใดแต่ผมเห็นตัวเองอยู่ ณ ที่แห่งนั้นจริงๆ ผมชอบนั่งสมาธิ จึงเป็นเหตุที่ทำให้ผมอยากจะย้อนไปถึงในอดีตที่ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ว่าเป็นมาอย่างไร จึงได้ ไปอยู่ในที่ๆแห่งนั้น (รู้สึกว่าตอนที่อยู่นั้นจะไม่รู้อะไรเลย เห็นอะไรไม่ได้ต้องตะกุยๆแล้วเอามากิน แต่ตอนที่ผมนั่งสมาธิไปนั้นมองเห็นตัวเองมี 6แขน4ขา ลูตาก็เหมือนแมลงปีกแข็ง ใบมีดแหลมคม หรือ พวกเอเลี่ยนประมาณนี้รึเปล่าผมก็อธิบายไม่ถูก แต่ผิวประมาณนั้น )
    นี่แหละครับสาเหตุที่อยากให้ผม อยากลอง ย้อนกลับไปดู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 สิงหาคม 2014
  7. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอบคุณครับที่แนะนำ ครับ ผมเคยฝึกทางผิดๆมาหลายครั้งแล้วครับ ขอบคุณมากเลยครับที่เตือนครับ ผมคงไม่เลิกฝึกแต่คงจะเปลี่ยนวิธีการฝึกหน่ะครับ
     
  8. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอบคุณครับมีประโยชน์มากเลยครับ ผมคงต้องกลับไปปฝึกสมถะกรรมฐานอีกครั้งคงจะดี
     
  9. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ และ สภาวะต่างๆ ละเอียดมากเลยครับ แต่ผมไม่มีเวลานั่งเหมือนแต่ก่อนหน่ะคับ การเข้า ณาน ต่างๆ นั้น ลำบากครับ ต้องใช้เวลา ผมเลยใช้สมาธิ ที่ไม่ต้องหลับตาครับ และทำงานไปด้วย อย่างที่บอกครับผมไม่มีเวลามากเหมือนแต่ก่อน ที่นั่งทีละ 7-8 ชม. แต่ก็ขอบคุณครับ
     
  10. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ขอบคุณมากครับ จะพยายามลองดูครับ ผมหน่ะ เป็นคนฝึกยากฟังยาก เพราะผมได้ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นพุทธภูมิ จะทำอะไรก็ยาก กว่าคนอื่นๆเขา
     
  11. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    มองแล้ว พอเกิดเวทนา ก็ิพิจารณา

    ปรับ เพิ่ม ลด กำลัง ตามสภาวะ เพื่อสังเกตเวทนา
     
  12. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,267
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,800
    ใช่เลยคำตอบนี้
    เพราข้าพเจ้าไปเห็นคนที่เป็นแบบนี้แหละ ไม่ดึงสติกลับ แต่งไปเรื่อยๆ
    จนต้องเข้าโรงพยาบาลบ้า
    กลับมาไม่เหมือนเดิม
    น่ากลัวมาก
     
  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    การมองย้อนไปในอดีตชาติเป็นอย่างไร ?

    

    ***หมายเหตุ วิธีการที่จะใช้นี้ เป็นไปตามแนวการเจริญวิชชาธรรมกาย(โดยไม่ได้ทิ้งหลักจากพระไตรปิฎก) ของผู้ได้เข้าถึงธรรมกาย และผ่านการฝึกฝนการเจริญสติปัฏฐานสี่มาพอสมควร

    ได้ฝึกซ้อนกาย สับกาย พิสดารกาย เจริญสมาบัติเป็นอนุโลม-ปฏิโลม ฝึกพิจารณาอริยสัจจ์สี่ ปฏิจจสมุบาท ธาตุ ขันธ์ห้า อายตนะ ฯลฯ
    มาพอสมควรแล้ว

    การรู้เห็น รู้ได้จากญาณพระธรรมกาย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือพิจารณาความจริงของธาตุขันธ์ การเกิดแก่เจ็บตาย ของสัตว์โลก
    พัฒนาจากการพิจารณาอริยสัจจ์สี่ที่ได้เจริญมาลำดับก่อนหน้าแล้ว

    ------------------------------------------------------------


    คำถาม
    การมองย้อนไปในอดีตชาติเป็นอย่างไร ?

    ---------------------------------------------

    ตอบ:


    ก็รวมใจของท่านไว้ที่กลางของกลางดวงธรรมของกายมนุษย์หยาบ รวมใจหยุดในหยุดกลางของหยุด เพื่อทำใจของท่านให้เป็นกลาง สังเกตช่องว่างที่กลางจุดเล็กใสนั้น ก็จะเห็นสายกำเนิดธาตุธรรมเดิมนั้น ก็อธิษฐานให้เห็นชีวิตในอดีตของท่านเอง ย้อนหลังไปสัก 10 ปี หยุดนิ่งที่กลางของกลางจนกระทั่งใจของท่านสงบเต็มที่ จุดศูนย์กลางนั้นก็จะขยายตัว ว่างออก ก็จะเห็นอัตตภาพของเองเมื่อ 10 ปีที่แล้ว รวมใจของท่านหยุดนิ่งเข้าไปที่กลางของกลางศูนย์กลางกายนั้น นึกอธิษฐานย้อนเข้าไปเห็นอัตตภาพในอดีต จนกระทั่งเห็นอัตภาพของท่านเอง ถึงขณะที่แรกเกิด ท่านสามารถพิจารณาย้อนเข้าไปอีกจนถึงเมื่อท่านอยู่ในมดลูกของมารดา เข้าไปที่ศูนย์กลางของทารกนั้น นึกให้เห็นอดีตชาติก่อนชาตินี้ เมื่อเห็นแล้วให้สังเกตว่าท่านเป็นใคร อยู่ที่ไหน เป็นชาติๆ ไปในอดีต จนถึงนับชาติไม่ถ้วนได้

    เมื่อใดท่านเห็นอดีตชาติเหล่านี้ ท่านจงพิจารณาขันธ์ 5 ทั้งหมด รวมทั้งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเหล่านี้ว่าล้วนตกอยู่ภายใต้สามัญญลักษณะ ได้แก่ความเป็นอนิจจังคือไม่เที่ยง ต้อง เปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัย ได้แก่ การทำดี (เกิดจากบุญกุศล) หรือการทำชั่ว (เกิดจากกิเลส หรือตัณหา) นี้เป็นเหตุให้บุคคลไปเกิดในโลกที่มีความสุข หรือความทุกข์ตามกรรม ผู้ใดยึดมั่นถือมั่นสิ่งเหล่านี้ ด้วยตัณหาและอุปาทานแล้วประกอบกรรมชั่ว กล่าวคือ พูดชั่ว ทำชั่ว คิดชั่ว ก็จะไปเกิดในโลกที่มีความทุกข์ ในขณะที่ผู้มีชีวิตเป็นบุญกุศล กระทำแต่คุณความดี กรรมดีก็จะส่งผลให้ได้รับความสุขความเจริญในชีวิต กรรมอาจให้ผลเป็นความทุกข์และความสุข แม้ในชาติปัจจุบันและต่อๆ ไปถึงสัมปรายภพคือภพหน้า สุดท้ายท่านก็จะตระหนักว่า แต่ละชาติที่ท่านได้พิจารณาเห็นแล้วนั้น แม้ชีวิตในภพชาติปัจจุบัน แท้จริงล้วนเป็นทุกข์และเป็นอนัตตาทั้งสิ้น และไม่มีอะไรคงที่ให้สามารถยึดถือได้ตลอดไปเลย

    เมื่อพิจารณาไตรลักษณ์คือความเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาของทุกสิ่งแล้ว จึงอธิษฐานกลับมาสู่ปัจจุบัน แล้วชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ โดยจรดใจนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางของกลางกายที่ละเอียดๆ ดับหยาบไปหาละเอียดต่อๆ ไปจนสุดละเอียด ซึ่งขณะนี้ใสสว่างและบริสุทธิ์กว่าเดิม จนกระทั่งเข้าถึงธรรมกายที่ใสบริสุทธิ์ที่สุด นี้จะเป็นผลให้เบื่อหน่ายคลายถอนจากความยึดถือจากขันธ์ 5 ทั้งหมด แล้วท่านจะมีใจเป็นกลาง เป็นอิสระพ้นจากอารมณ์สุข-ทุกข์อย่างชาวโลก เป็นใจที่สงบสันติสุขอย่างมาก

    ธรรมกายที่ละเอียดบริสุทธิ์ที่สุดจะไปปรากฏในนิพพาน เป็นที่ซึ่งธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผลแล้วของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตขีณาสพ ที่ขันธ์ 5 ดับไปแล้วสถิตอยู่ ท่านจะเห็นธรรมกายที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่บนรัตนบัลลังก์ แวดล้อมด้วยธรรมกายที่บรรลุ พระอรหัตตผลแล้วของพระอรหันต์สาวกที่ประทับอยู่บนองค์ฌาน เวียนรอบ ห่างกันชั่วกึ่งองค์ฌาน นับไม่ถ้วน ไม่ใช่แต่เท่านี้ ท่านยังจะเห็นพระพุทธเจ้าในอดีต ทั้งที่เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ที่แวดล้อมด้วยพระอรหันต์สาวก และพระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งประทับนั่งอยู่บนรัตนบัลลังก์ พระองค์เดียวโดดๆ (ไม่มีพระอรหันต์สาวก) อีกนับไม่ถ้วน
     
  14. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
  15. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
  16. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    [​IMG]



    ทุก1-14 พฤษภาคม กลางปีและ ทุก1-14 ธันวาคม



    อบรมพระกัมมัฏฐานรุ่นกลางปี (ฆราวาสเข้าร่วมอบรมได้) ณ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชุบรี

    - ขั้นพื้นฐาน เพื่อให้จิตสงบ พบดวงใส

    - ขั้นกลาง เพื่อต่อจากดวงใส เป็น 18 กาย และต่อไปถึงธรรมกายและพระนิพพานของพระพุทธเจ้า

    - ขั้นสูง เพื่อตรวจภพตรวจจักรวาล เจริญวิชชา และละกิเลสในใจตน

    นำโดย พระเทพญาณมงคล วิ. (เสริมชัย ชยมงฺคโล, ป.ธ.6) เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม พระวิทยากร และอุบาสก อุบาสิกาวิทยากร ที่ครูบาอาจารย์คัดเลือกให้สอนสมาธิได้



    - ปฏิบัติธรรมรวมกลุ่มใหญ่

    - ปฏิบัติธรรมแยกกลุ่มย่อยกับวิทยากร

    - ฟังธรรมจากพระมหาเถระ
     
  17. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    เป็นปิติ ก่อนเข้าสู่ความสงบ

    ก็แค่มีสติ อะนะ ขณะหล่นวูบลงหลุม

    มีสติ ยิ่งนานยิ่งดี แค่นี้แหละ
     
  18. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    อนุโมทนาครับ
    ให้ตั้งสติให้ดี ปล่อยวางอวิชาทั้งหลายแล้วทำจิตให้ตั้งมั่น
    แล้วให้พิจารณาธาตุทั้ง 4 คือ
    ดิน น้ำ ลม ไฟ

    เสร็จแล้วให้ทำใจให้ไม่หวั่นไหวไปกับของไม่สวยงาม
    อันแผ่นดินรองรับสิ่งสกปรกทั้งหลายได้ ทั้งน้ำมูก น้ำคูก น้ำเหลือง ฯลฯ
    แผ่นดินก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว หรือยินดียินร้าย ไปกับของเหล่านั้น
    เราทำใจเราให้เหมือนธาตุดิน
    น้อมใจให้เป็นดิน

    อันธาตุน้ำพัดพาสิ่งสกปรกทั้งหลายได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมูก น้ำคูก น้ำเหลือง ฯลฯ
    น้ำก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว หรือยินดียินร้าย กับของเหล่านั้น
    น้อมใจให้เป็นน้ำ

    อันธาตุไฟเผาสิ่งสกปรกทั้งหลายได้ ไม่ว่าจะเป็นมูก เป็นคูก เป็นน้ำเหลือง ฯลฯ
    ไฟก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว หรือยินดียินร้าย กับของเหล่านั้น
    น้อมใจให้เป็นไฟ

    อันธาตุลมพัดโดนสิ่งสกปรกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นมูก เป็นคูก เป็นน้ำเหลือง ฯลฯ
    ลมก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว หรือยินดียินร้าย กับของเหล่านั้น
    น้อมใจให้เป็นลม

    อันตาเราเมื่อเห็นของไม่สวยงามทั้งหลาย ก็ไม่หวั่นไหว
    หรือยินดียินร้าย กับของเหล่านั้น

    อันหูเราเมื่อได้ยินสิ่งไม่สวยงามทั้งหลาย ก็ไม่หวั่นไหว
    หรือยินดียินร้าย กับของเหล่านั้น

    อันจมูกเราเมื่อได้กลิ่นของไม่สวยงามทั้งหลาย ก็ไม่หวั่นไหว
    หรือยินดียินร้าย กับของเหล่านั้น

    อันลิ้นเราเมื่อได้รสของไม่สวยงามทั้งหลาย ก็ไม่หวั่นไหว
    หรือยินดียินร้าย กับของเหล่านั้น

    อันผิวเราเมื่อได้สัมผัสของไม่สวยงามทั้งหลาย ก็ไม่หวั่นไหว
    หรือยินดียินร้าย กับของเหล่านั้น

    อันใจเราเมื่อคิดถึงของไม่สวยงามทั้งหลาย ก็ไม่หวั่นไหว
    หรือยินดียินร้าย กับของเหล่านั้น

    อันหลุมดำนั้นเป็นของไม่สวยงาม เราก็ไม่หวั่นไหว
    หรือยินดียินร้าย กับหลุมดำนั้น

    เมื่อสำรวมอินทีรย์ทั้ง 6 ได้แล้ว
    นั่งสมาธิต่อ
    เราก็จะพึงเบิกบานใจ

    เมื่อจิตคิดถึงของไม่สวยงามใหม่ ก็น้อมพิจารณาใหม่ เช่นนี้แล...

    หากยังทำไม่ได้ ให้กลับไปดูข้อของศีลว่าศีลเราปกติหรือยัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...