เดินเข้าไปในอาคารแสดงนิทรรศการ การสงครามและ ยุทธ หัตถี
จุดแรก ที่เห็น คือ รูปวาด ชนาดใหญ่ มีอยู่6-8 กรอบ
เป็นรูปวาด แสดง รายละเอียด การทำงานของ องค์ มหาราช
ตลอดพระชนม์ ชีพ..มีภาพสีสดใส
....................................................................
มองแล้วก็ สะดุ้ง...ก็เมื่อ..เมื่อ..เมื่อ..วานนี้ก่อนมา
ไม่รู้ว่า มีอะไร ดลใจ..ให้ไป ที่ เจเจ มอลล์ จตุจักร กทม
ลงไปที่ร้านใต้คิน ขายของเก่า ชื้อ "โถพลู"
ก็เห็น ภาพขนาดใหญ่ แปะหน้า ร้าน..เหมือนกันเด๊ะ เลย
แสดงว่าที่ นี่ เป็นภาพ ก๊อปปี้มาจาก ของ จริง ที่ ร้านโพลู นั่นเอง
......................................................................
ทำไม จึง ต้องให้ เราได้ พบได้เห็น ของ จริง
ก่อนที่ จะมาเห็น ของ ก๊อปปี้ ที่ นี่..โอย..โอย..โอย
...................................................................
เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้..ของเหล่าคนผู้มีตาทิพย์
ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย The Third Eyes, 12 พฤศจิกายน 2008.
หน้า 37 ของ 299
-
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
สาธุครับอาจารย์
อยากได้พระบิดบ้าง
ทำบุญเท่าไหร่ครับ แพงมั้ย อิอิ...
คนชอบของขลัง -
อ.อาชวินครับ เมื่อแวะไปที่พนมทวน ไยเลยไม่แวะไปเยี่ยมเยียนเจดีย์เก่า
ที่อยู่ไม่ไกลจากอนุสรณ์พระรูปทรงช้างสักเท่าไหร่ อยู่บริเวณเดียวกันมีถนนลูกรังเข้าไป
บริเวณนั้นลักษณะเป็นทุ่งนา ขุดลงไปเจอแต่กระดูกช้าง-ม้า มากมาย
เผื่อพบเห็นสิ่งใด อาจารย์ได้นำมาเล่าสู่กันฟังอีกครับ -
ถ้ามีจิตตั้งมั่นอย่างนี้ เดี๋ยวบุญก็ชักนำไปเองครับ ไม่้ช้า ก็ เร็ว
ส่วนพระบิด ผมก็ไม่มีตังเหมือนกันฮะ ช่วงนี้ เจ๊ง 555
แต่มีพี่ท่านนึงใจดี๊ ใจดี ให้เป็นของขวัญปีใหม่ผม
ขอบคุณมากครับ อิอิ
บุญชักนำ กรรมนำพาครับ -
.....อ.สามตา .. น่าติดตามได้อีก...
-
อนุโมทนาค่ะอาจารย์...
..หนุอยากไปพบอาจารย์มาก..แต่ช่วงนี้กรรมใดไม่ทราบ ค่าแรงทำงานยังไม่เข้าสักที ..แถมไม่พอรายจ่ายมารอเพียบ...ที่สำคัญ อาจารย์จะปิดบู๊ทแล้ว....โอ้ววว...กรรมแท้ๆๆ
.. -
เรื่องเล่าก่อนนอนคืนนี้ ..
.สมเด็จพระนเรศวร มหาราชกับ การยุทธหัตถี(ต่อ)
.................................................................
เดินวนดูที่จัด นิทรรศการ จนรอบ..พบว่า ในอาคาร เป็นปกติ
ไม่มีพลัง แปลกๆๆอบแฝงเข้ามา..ก็เดินอย่างสะบาย ไม่ต้องระวังตัว
ออกมาด้านนอก..มองไป ทางซ้ายมือ..เห็นพุ่มไม้ จัดเป็น สวนหย่อม
มองลิบๆๆ เห็น เป็น วงเวียน ขนาด ย่อมๆๆ มีถนน เป็น วงโค้งโดยรอบ
ตรงกลางมี สิ่งก่อสร้างเล็กๆๆ มองเห็น เป็น สี อิฐแดง..
คงจะเป็นที่ สำคัญ
.........................................................................
เดินเข้าไปใกล้ ก็ มองเห็น เป็นสนามกลม มีเจดีย์เล็กๆๆ อยู่ ตรงกลาง
นี่ คงจะเป็น จุด ที่ คาดกันว่า เป็น จุด ปะทะชนช้าง ทำยุทธหัตถี
ระหว่าง องค์ ชายดำ สมเด็จ พระนเรศวร กับ
พระมหาอุปราช แห่ง พม่า เป็นแน่
.......................................................................
ก็เดินเข้าใกล้ ชนิด ติดขอบ ถนนวงเวียน
หลับตา ขอดู ภาพ สำคัญ ย้อนหลัง..
ว่า เหตุการณ์เรียงต่อ กันอย่างไร
.......................................................................
เนื่องจาก สนามเป็นวงกลม..ลำบากในการกำหนดจุด
จึงขอให้ หลัก นาฬิกา เป็น ฐานในการกำหนด
โดยให้ 12.00 น เป็น เที่ยงตรง
ถ้า อ้าง 14.00 น..แปลว่า อยู่ไปทางบ่าย คือ ทิศตะวันตก
ถ้า อ้าง 7.00 น ตอนเช้า ก็แปลว่า..อยู่ทางทิศตะวันออก
.............................................................................. -
ภาพที่เห็นจาก จอในจิต
ก่อนที่จะ เกิดเหตุการณ์ อันน่าระทึกใจ..โดยเอาสนามเป็นจุดกลาง
ขณะนั้นน่าจะเป็นเวลา ประมาณ บ่ายสามโมงเศษ เกือบ สี่โมง
เห็นช้างทรงพระนเรศวร เจ้าพระยาไชยานุภาพ..วิ่งเข้ามาในทิศ 17.00 น
วิ่งตลุยฝุ่นฟุ้ง เขามากลางวง..ที่ ว่าง
โดยมีเหล่า ทหารพม่า จำนวนหลายร้อย ล้อมเป็นวงอยู่
................................................................
ที่ มุมบ่ายสองโมง..มีช้างใหญ่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้.
.นั้นคือ ช้างทรงของ พระมหาอุปราช แห่งกองทัพ พม่า
................................................................
ตอนช้างทรง ของ องค์ พระนเรศ ลุยฝ่าด่านเข้ามา
มีฝุ่นเหมือนแป้ง นม สีน้ำตาล.ฟู้งตลบจนมอง อะไรๆๆ ไม่ชัด
ช้างทรงหยุด นิ่ง..
ต่อมา 10-20 วินาที ฝุ่นที่หนาและหนัก ก็ลดลง
มองเห็น สถาพแวด ล้อมได้ ชัด
...................................................................
องค์ พระนเรศ..ก็ ประทับ ชงักงัน กับ ภาพที่ ทอดพระเนตรเห็น
โดยคาดไม่ถึง......สักพัก ก็ ทรง ส่งพระสุรเสียง ตะโกนสีหนาทออกไป
ชั่วอึดใจต่อมา..ช้างใหญ่ที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ก็ ถลันออกมา
อย่างทนไม่ได้..ที่มีใครมายืนช้างท้า ทาย
ระยะ ที่ห่างกัน ช่วงแรก ประมาณ ไม่เกิน 50 เมตร
....................................................................
ช้างทรงองค์พระนเรศ กำลัง ยืนนิ่งๆๆ เพราะ ความเหนื่อย
ที่ ควบตลุยมาไกล
ช้างใหญ่ มหาอุปราช ตัวใหญ่กว่า ก็ ถลันเอาหัวเข้า ชน
ทางซ้าย ของ ช้างทรงไชยานุภาพ..ทำให้เสียหลัก เบนไป
แล้วถูกตามมาเอาหัวลงไป ยก ส่วนหน้าขาหน้า
ของเจ้าพระยาไชยาฯให้ลอยขึ้น
.......................................................................
องค์พระนเรศ..พอ ช้างทรง..ถูกงัดให้ ลอย..หัวช้างก็เอียง.
.พระวรกายก็เอียง เซ ตามไปได้วย
จังหวะ ต่อ มา..พระมหาอุปราชในลักษณะ ชนที่ได้เปรียบ
ก็ ประทับโยงโย่ ยืน..เอาพระแสง ง้าว ฟันมาทันที
....................................................................
ถึงแม้จะยังทรงองค์ได้ ไม่นิ่ง องค์พระนเรศก็ ทันทอดพระเนตรเห็น..
พระแสงของ้าว ของ พระมหาอุปราชลอยมา
ก็ทรงรีบทรุดองค์ ลงหมอบ
........................................................................
พระมหาอุปราช ทรงฟัน พระแสงง้าวแนวดาบ กวาดพื้น
หรือ ขนานไปกับพื้น เพื่อกะให้ ขาด กลางตัว
พระแสงง้าวจึงฟันพระ มาลา ของ องค์พระนเรศ
แบบ ยอดมาลาขาด ตามไป.
................................................................
พลาดไป รอบ แรก..พระมหาอุปราช.
.พลิก พระวรกายกลับมา ตั้งหลัก ฟันอีก ครั้ง
กะเอาทีเดียวให้ เอวขาด..
องค์พระนเรศ ก็ เบี่ยงหลบบนคอ ช้างทรงได้ อีก ครั้ง
...........................................................
ช้างทรง เจ้าพระยาไชยยาฯ เริ่มมีสติ..สะบัด ตัวไป ทางขวาสุด
ทำให้ หลุด จากการ โดนเสยงัด คอ..และด้วยแรงแห่งการตกมัน
ก็ก้ม หัวมุดลง..ปล่อยให้ ช้าง พระมหาอุปราช เสียหลัก ถลันไปทางขวา
...........................................................................
เบนหัวกลับมาช้อนงัด ช้าง พระมหาอุปราชทางซ้ายบ้าง
ตีนของ ช้างพระมหาอุปราช ยกลอย..
ส่วนหัวสูง บัง สายพระเนตร ของ องค์พระนเรศ
.............................................................................
พระองค์ จึง ถลันลุก ขึ้นประทับยืน..
ทอดพระเนตรเห็น พระมหาอุปราช กำลัง เซองค์ ทรุด ลง
จึงทรงเอาง้าวชนิด ดาบยาว ฟันลงไป แบบผ่า ฟืน
ไม่ได้ ฟันแบบ กวาดพื้น ในแนวขนาน
...........................................................
ง้าวดาบยาวนั้น ฟันลงไป ช่วงหัวไหล่
พอทรงเห็นว่า ฟันถูกแล้ว ก็ ทรง ปล่อย ง้าว ดาบทันที..
ไม่ทันประทับ ทอดพระเนตรว่า ผล ว่า เป็น เช่นไร
..................................................................
ก็ทรง กระแทก กะโหลก ช้างทรง..
ทำให้ เจ้าพระยาไขยานุภาพก้ม หัวลง
มุด ลอดหลบ..วิ่งไป ทางทิศ บ่ายสามโมง
วิ่งตลุยกลับไป ตามทิศที่ มา..เห็นฝุ่นฟุ้งตลบหลัง
ออกไป ได้ ประมาณ600-700 เมตร
ก็ สวนกับ ขบวนช้างที่ นำมาโดยสมเด็จพระเอกาทศรถ
................................................................ -
พลันที่ พระมหาอุปราช ทรง ถูกฟันและ ฟุบกับ คอ ช้างทรง
พลทหารพม่า ที่ มีปืน คาบศิลา ก็ ประทับ ปืน ยิง.
.ยิงได้ เพียง สอง สาม นัด.ก็ไม่ถูก
องค์พระนเรศ ควบช้างทรงหนีห่างออกไปแล้ว
............................................................
ทหารพลประจำช้าง เห็น พระมหาอุปราช ถูกฟัน หมอบอยู่ บนหลังช้าง
ก็รีบเอาพระองค์ ลงมา ข้างล่าง ที่เป็น ลานดิน..ในทิศ 13.00น.
............................................................................
จากภาพที่เห็น
พระมหาอุปราชา ทรง ถูกฟัน ที่บ่า ขวา..ตัดไหปลาร้าหัก
คมดาบและแรงเหวี่ยง ทำให้ ดาบกินลึกเข้าไป ถึง
ครึ่งส่วนบน ของ ปอด ขวา ..ปอด ฉีกแหว่ง ออกไป ทันที
....................................................................
ทำให้ ปอด รั่ว..เมื่อ หายใจเข้า..ก็จะไป ทะลุในหลอด ลม
ดันเลือดออกมาเป็น ฟอง..
.เมื่อหายใจออก..เลือดลม ก็ มาออก ที่ พระโอษฐ์ และ พระนาสิก
..................................................................
หายใจอยู่ได้ สี่ห้า นาที..ก็ สิ้น พระชนม์..
บนสนามดิน อันเป็น จุด ชนช้าง..ครั้งประวัติศาสตร์
...................................................................
ทันทีที่ สิ้นพระชนม์.นายทหารพม่า ระดับสูง ประกาศ ก้อง ว่า..
พระมหาอุปราช..สิ้นพระชนม์แล้ว
ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศ
ทหารพม่า ทั้งหมด..วางอาวุธ..ทรุด ตัว ลงกราบ ทั้ง กองทัพ
..................................................................
ลองนึกภาพดู..ถ้า กองทหารไทย ที่ นำตามมาโดยพระเอกาทศรถ
นำทัพลุยเข้ามา ในขณะที่ ทหารพม่า ทั้งหมด วาง อาวุธ
ก้ม ลงกราบ พระศพ พระมหาอุราชา..จะเกิด อะไร ขึ้น
....................................................................... -
เรา สามคน ผม / จักรพล/ วิษณู..ก็ ใช้ ตาที่สามสำรวจต่อ
เพื่อหาตำแหน่ง ต่างๆที่ แน่นอน ในการทำ ยุทธครั้งประวัติศาสตร์
พบว่า ต้นไม้ใหญ่ ( ต้นข่อย) ที่ พระมหาอุปราช ทรงพัก ร่มเงาไม้
อยู่ ห่างออกไป ประมาณ 50 เมตร ทางทิศ 14.00 น
......................................................................
จุด ชนช้าง คือ ตำแหน่ง เจดีย์เล็กๆๆ นั้น....ถูกต้อง.
ตำแหน่ง ที่ พระมหาอุปราช ลงมาบรรทมสิ้นพระชนม์
อยู่ ห่าง จาก จุด ชนช้าง ประมาณ 6 เมตร..ในทิศ12.00น
..............................................................
ทุกจุดได้ มีการยืนยัน ทั้งสามคน
และ ถ่ายรูปไว้ เป็น หลักฐาน ของการสำรวจ
โดยใช้ ตาทิพย์ และ กระแสจิต สัมผัส
..................................................................
การศึก ชนช้าง กระทำยุทธหัตถีครั้งสำคัญ
ใช้เวลา สั้นมาก
ช่วงสมเด็จ พระนเรศวร ลุยเข้ามา โผล่กลางวงล้อมของพม่า
แล้ว เจรจาท้าทาย..ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที
ฉาก ประจันบาน ดวลด้วยช้าง แค่ ไม่เกิน สองนาที
รวมเวลาทั้งหมด ไม่เกิน 5 นาที..ก็จบ
..............................................................
เหมือนดู มวย
ฝ่ายแดง เดินออกมาจาก มุม..ชก ซ้ายขวา ได้สองหมัดในมุมกว้าง
ฝ่ายน้ำเงิน มุด หลบก้มลง..แล้วเงย.. เสยวงในด้วย อัพเปอรฺ คัด ขวา
ที่เดียว น็อค...คนดู ยังไม่ทันมันเลย -
ลครชีวิตจริง ปิด ฉากไปแล้ว..อย่างน่าระทึกใจ
ทีนี้ ก็ ต้องมาลอง ขอ พระบรมราชานุญาติสัมภาษณ์ ตัวเอก
ของเรื่อง..คือ สมเด็จ พระนเรศวร มหาราช ผู้ ยิ่งใหญ่..เพื่อให้ สมบูรณ์
..............................................................................
สัมภาษณ์ ในโลก แห่ง อีกมิติ
." ขอ พระบรมราชานุญาติขอ พระองค์ ทรง ตรัสถึงเรื่องเก่าๆๆ
สมัย ทรงกระทำยุทธหัตถี เมื่อ คราวทรงกู้ ชาติ..
ชนช้างกับ พระมหาอุปราช..ด้วย พะย่ะ ค่ะ.."
..........................................................
.." กูจำได้ แต่ว่า วันนั้น..เดินทัพ มาดีดี อย่างไม่เร่งรีบ
จะไป ดัก โจมตี พวก ตะเลง ที่ ข้างหน้า..ตามที่ ส่วนหน้าแจ้งมา
ทางมันเรียบๆๆ มีฝุ่นแยะ เวลาเดินช้าง..
.กูก็รู้ว่า ไอ้ ช้างตัวนี้ มัน กำลัง จะตก มัน
แต่ก็ ลอง ขี่มันดู..อยู่ดีดี..มันก็พรวด พราด วิ่ง ควบเอา
วิ่งตลุยฝุ่นมา.กลัวว่า จะไป เจอ ไอ้ พวก ตะเลง มันดักอยู่
..............................................................
เอ..วิ่งไป แล้ว มันก็หยุด วิ่ง เหมือนเจอ อะไร..
อ้อ ข้างหน้า มี กอไม้ใหญ่กั้นอยู่..วิ่งต่อไม่ได้
พอฝุ่นจางลง...อ้าวเฮ้ย..กลางพวกตะเลงเลย
ทำไงดีว่ะ..ก็พอดี เห็นไอ้ มังสามเกียด.
.คู่กัดกันมาแต่เด็ก.มันยืนซุ่มอยู่ ใต้ ต้นไม้..หลับเอางีบ
.........................................................
กูรู้นิสสัยมันดี..มันบ้า ผู้หญิง มาแต่ไหน แต่ไรแล้ว
ที่ หงสา..บ้านไหน มี ลูกสาวสวยๆ มันกวาดมาหมด
เดินทัพ มานี่ ..ก็เอามาด้วย หลายคน
ตามรายทางรุกเข้ามา..ก็กวาดต้อน จับ เชลยมาตลอด ทาง
คนไหนสวยก็เสร็จ มัน..นี่ก็คงหมดแรง เลยเอางีบไว้ก่อน
..........................................................
ทำใจดี สู้เสือ..ท้า มันไว้ก่อน..ก่อนที่ พวก ตะเลง จะรุม เอา
มันก็แน่..ออกมาจริงๆๆ... ช้างมันตัวใหญ่ ได้ เปรียบ
แต่ของกู..มันกำลัง ตกมัน..แรงย่อมแยะ สูสีกัน
............................................................
ของกูกำลัง พักเหนื่อย มัน ซัดก่อน..ก็เลยเอียง
เราอยู่ ต่ำ มันอยู่สุง..ไอ้มังสามเกียด มันก็ เก่ง ฟันมาก่อน
ดีที่ตาไวน่ะ..หลบทันที...มันฟันสองที..ก็หมอบติดๆๆไว้ก่อน
................................................................... -
พอดี ช้างกู มันคิดได้ ก็สะบัดหลุด
ก้มลงงัดบ้าง..มันก็ลอย..หัวช้างของไอ้ มังสามเกียดมันโต
มัน บังมองไม่เห็น...กูเลยลุกยืน เห็นมัน ทรุด ลงนั่ง ตะแคง
ก็เลยเอาง้าวดาบยาวฟันผ่าลงไป
..................................................
กูคิดไว้แต่ต้นแล้ว ว่า คราวนี้ ต้องใช้ ง้าวดาบยาว
เพราะ มันมี หน้า ดาบส่วนคม ยาวเกือบ สองศอก
ดีกว่า ง้าวธรรมดา ที่ มีหน้า ดาบ กว้างเพียง ศอกเดียว
ฟันพลาดได้ ง่าย..จำได้ ว่า ฟันลงไป..เห็นแวบๆๆ ว่า ถูกมัน จังๆๆ
......................................................................
แต่ไม่กล้าอยู่ แล้ว ..เผ่นดี กว่า..กูโยนดาบง้าวทิ้ง
เจ้าช้างไชยา ก็แสนรู้ ลด หัวลง..
มุดเผ่นออก ทางขวา..เผ่นกลับไปเลย
กูไม่รู้ว่า ไอ้มังสามเกียด มันเป็นยังไง
.........................................................
รู้แต่ว่า พวกตะเลง มัน ค่อยๆๆ ถอยทัพ กลับ..
แปลว่า มันคงสาหัส พากลับไป รักษาตัวที่ หงสา
กูก็สั่ง ทหาร แอบเข้าโจมตี แบบกองโจร.
.ตัด กลาง ขบวนบ้าง... ตีท้ายขบวนบ้าง.
ได้ ทรัพย์สิน ช้าง ม้า มามาก พอควร.ฆ่า พวกตะเลงได้ อีก นับพัน
ก่อนจะถึงชายแดน
ตัดกำลัง มัน ในอนาคต..จะรบกับมันได้ ง่ายหน่อย
..........................................................
นี่ คือ ส่วนหนึ่ง ของ การให้ สัมภาณ์ ทางจิต
ของ องค์ สมเด็จ พระนเรศวร มหาราช ผู้เป็นพระมหากษัตริย์
ผู้ มี พระมหากรุณาธิคุณ...บุญญาธิการ อย่างสุง ส่ง
แก่ คนไทย ทั้งมวล
ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ขอ เดชะ
............................................................
( ยังมีต่อ..)...... -
รออ่านต่อ...
-
มารอเหมี๋ยนกันค่ะ ..
-
เราสามคน..ก็สำรวจต่อ
ไปยืนสัมผัส ที่ กลางจุดวงกลม อันมีเจดีย์เล็กๆๆ
ที่เป็นสัญญลักษณ์ ของ การชนช้างกระทำยุทธหัตถี
ใช้ตาทิพย์ ดู ภายใน..เห็นไก่ ชน สามตัว เดิน วน อยู่ภายใน
ไม่มีวิญญาณ อื่นใด..แม้แต่องค์พระนเรศ
แปลว่า พระองค์ไม่ได้ ประทับ ที่ นั่น ณ เวลา นั้น
.................................................................
จึงชวนกัน เดินวนซ้าย สวด อิติปิโส ครบสามรอบ ..
แผ่เมตตาให้แก่วิญญาณ ทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง.
หันไปดู รูปปั้น ช้างทรงใหญ่ พระยาไชยานุภาพที่อยู่ บนแท่นสูง
มองดู ด้านหลัง จาก ท้ายช้างทรง
บนสัปคัป หรือ กูบ กลางช้าง ด้านท้าย
จะมีอาวุธยาวที่ ใช้รบบนหลังช้าง วางเรียง กัน8 ชิ้น
ซ้ายสี่..ขวาสี่..อันที่ ทรงใช้ในการฟัน พระมหาอุปราช คือ
อันที่สี่ นับจากขวา..
ที่มีใบคมยาว คล้ายใบพายเรือ จ้างแบบยืนแจวนั่นเอง
ไป ยืนดูได้..
.................................................................. -
จากจุดกลางของ การชนช้าง
โดยรอบ จะเป็นวงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง มากกว่า 50 เมตร
มีแนวรั้วเตี้ยๆๆ สูงขนาด สะโพก
มีช่องทางเดิน เข้า อยู่ สี่ ทิศ..
มีเสาหัวหมุด เป็นสัญญลักษณ์ ของ ช่องเข้า
....................................................................
ถัดออกมาก็เป็นถนน ขนาดรถ สวนกันได้ วนรอบ วงกลมนั้น
ในทิศ 15.00 น..มีอาคารใหญ่ สีแดงหลังหนึ่ง สูงเด่นชัด
คงจะมีผู้มาสร้างทำเป็น ตำหนัก เพื่อใคร สักอย่าง
......................................................................
เรา สามคน ก็เพ่งมอง
พบว่า มีพลังที่รุนแรงกระแทกเข้ามา ชนตัว
พลังนั้นมาจาก ตำหนัก หรือ อาคารที่ว่า
เป็นพลังที่อัดแน่น ที่ หน้า อก..ทำให้ หายไม่ออก
.......................................................
ลองเดินตรงเข้าไป ยังทิศที่ อาคาร นั้นตั้งอยู่
พบว่า ยิ่งเข้าไปใกล้..พลังนั้นยิ่งรุนแรง
จากจุดที่ ยืนอยู่ ห่างจาก ขอบ วง ประมาณ 10 ก้าว เดิน
แต่ละก้าว ที่เดินเข้าไป..มันกดดันมากขึ้น
............................................................
ไปได้ ครึ่งเดียว..คุณ จักรพล..ถอยแล้ว บอกว่า สู้ไม่ไหว
ผม จึงต้องเอามือ คล้องแขนซ้าย พากันฉุดเดิน เข้าไป
ก็อยากจะรู้ว่า..มันเป็นอะไร
ทนเดินต้านพลัง ออกมาได้ จนถึง ขอบ ถนน
หนักมากจริงๆๆ..ลองเอามือ แหย่ออกไป
นอก หัวหมุดเสา ทางเข้า
....................................................
มันแรงจริงๆๆ ขนาดดัน แบบ พายุ นากิส ที่ ถล่มพม่า
แหย่ได้ แค่มือ..ไม่กล้า เอาตัวออกไป
.....................................................................
พลันก็เห็น ตัวอะไร ดำๆๆยาวๆๆ เหมือน จิ้งเหลนตัวอ้วนๆสั้นๆๆ
มีสี่ตีนวิ่งออกมาจาก ตำหนัก..คลานมาอย่างเร็ว
เอ..แบบนี้ เคยเห็นบ่อยนี่ หว่า.จิตบอก.เป็นเปรตตัวยาวนั่นเอง
....................................................................
พอมาอยู่ห่างจาก จุดที่เรายืนอยู่
ไอ้ตัวยาวเป็นเปรต ก็ ยืด ตัวขึ้นยืน
มันยืดมาสูง ระดับ ตัวคน เท่าๆๆกับเรา
กลายเป็นคน แต่งตัวแบบพม่า
มายืนจ้องหน้า เรา สามคนเขม็ง
..............................................
เราก็งง..ใครว่ะ..มาหลอกเรา
ทันใด วิษณุ ที่อยู่ ซ้ายสุด ในการยืน
ก็อุทานออกมา..."นี่ ไอ้คนที่ถูกฟันตายบนหลังช้าง นี่ น่า.."
เราก็เลยมาถึงบางอ้อ
................................................................
มังสามเกียด หรือ พระมหาอุปราชแห่ง หงสา
ที่ ตายไป แล้ว..แต่ยังไม่ยอมไปเกิด..ด้วยแรงอาฆาต
หรือ ยังไม่มีใครเชิญ พระวิญญาณ กลับไป หงสา นั้นเอง
...........................................................
พอมีการวร้างอาคารหรือ ตำหนัก.
.วิญญาณ มังสามเกียด ก็เลย สิง อยู่ ที่ นั่น.
.กินบุญ คนที่ มาทำบุญ..นั่นเอง
..............................................................
นี่คือ คำตอบ ปัญหา ข้อหนึ่ง
ที่เราพบว่า..ไม่มีร่องรอย การมาประทับ ที่ บริเวณ
นี้ ของ พระวิญญาณ ของ องค์ พระนเรศ
พระองค์ คงทรงพระรำคาญที่ จะมา.
.แล้วให้ วิญญาณ มังสามเกียด มายืนทวง
.." มึง ฆ่า .. มึงฆ่ากู.. มึงฆ่ากู.." นั่นเอง
.......................................................... -
จากการสัมผัสด้วยจิต
บุคคลธรรมดา ทั่วไป ที่ไม่เกี่ยวกับ การสงคราม
และแวะไปทำบุญ ที่ นั่น..ก็จะไม่พบ แรงดัน ต้านทานแต่อย่างใด
เพราะ เอาบุญ ไป ให้
....................................................................
แต่ถ้าใครเป็น ทหารไทย ในอดีตและเกี่ยวข้องกับ สงครามกู้ชาติ
ในยุค องค์พระนเรศ แล้ว กลับมาเกิดใหม่.และมาที่นี่
วิญญาณ เปรต ของ มังสามเกียด หรือ พระมหาอุปราช แห่งหงสา
จะออกมาเล่นฤทธิ์ หลอก หลอน ด้วยธาตุลม ที่ ยังมีอยู่ในวิญญาณ
.......................................................................
แต่ถ้าใครเป็น ทหารพม่า ในยุคนั้น แล้ว กลับชาติมาเกิด เป็นคนไทย
แล้วไป ที่ นั่น..วิญญาณ นั้น จะดีใจมาก เป็นพิเศษ
......................................................................
ดังนั้น ถ้าใครไป ที่ นั่น
ถ้า ถูกบีบหายใจไม่ออก.ก็แปลว่า ตัว เคยเกิด เป็น ทหารไทย ในยุคนั้น
ถ้า ไม่มีอาการใดๆๆ เกิด ขึ้น..ก็แปลว่า เป็น คนธรรมดา..ไม่เกี่ยวข้อง
ถ้าให้เลขหวย ถูกหวย ก็แปลว่า ทหารพม่า มาเกิดใหม่ เป็นคนไทย
......................................................................
ใครอยากจะรู้ว่า เราเป็น ใครในอดีต..
ก็ลองแวะไป พิศูจน์ ดู ด้วยตัวเอง ที่ นั่น
น่าจะสนุกดี
.........................................................................
(ยังมีต่อ ) -
บริเวณต้นไม้พุ้มทางด้านซ้ายคือบริเวณที่พระมหาอุปราชสิ้นพระชนตามที่ดูด้วยตาที่สามครับ จะสามารถสัมผัสพลังได้เลยครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ด้านขวาคือศาลสมเด็จพระนเรศ แต่จริงๆดวงจิตที่อยู่เป็นของพระมหาอุปราชครับ แค่ดูในรูปก็มีอาการแล้วสำหรับทหารพระนเรศไฟล์ที่แนบมา:
-
หน้า 37 ของ 299