.เรื่องเล่า พลัง ในวัตถุมงคล หลวงปู่หมุน หลวงปู่สรวง คุณยายชีนวล แสงทอง หลวงปู่นวยถ้ำวัวแดง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย kwich, 20 พฤษภาคม 2019.

  1. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    #เล่าสู่กันฟัง หลวงปู่พิศดู ธฺมมจารี

    "เป็นพวกเทวดา เขามาหาเรา"


    เรื่องลี้ลับ ในวัดเทพธารทอง เป็นสิ่งที่ต้องเล่ากันอย่างไม่รู้จบ ผู้ที่เคยประสบมาก็มีจำนวนมาก ยิ่งถ้าเป็นลูกศิษย์ ที่ถวายงานรับใช้องค์หลวงปู่พิศดู หรือ ลูกศิษย์รุ่นแรกๆ เขาเจอกันแทบเป็นเรื่องปกติ ถึงขนาดหลวงปู่ ยังเอ่ยปากว่า

    "ที่ๆวัดเทพนี้ แรงนะ มีทุกอย่าง(ภพภูมิ)ทั้งนาค ยักษ์ และชาวลับแล ใครทำไม่ดี หรือไม่ปฏิบัติอยู่ไม่ได้ง่ายๆ"

    วันนี้ จะขอเล่าให้ฟังสักเรื่อง ซึ่งเกิดขึ้นกับพี่ลูกศิษย์อุปัฏฐากหลวงปู่คนหนึ่ง พี่เขาเล่าให้ฟังว่า

    สมัยที่พี่เขาเข้าไปอยู่รับใช้หลวงปู่ที่วัด เวลาว่างก็จะนั่งภาวนา เดินจงกรม หรือไม่ก็จับกลุ่มสนทนากันธรรมกันที่โรงไฟ

    มีอยู่วันหนึ่ง เป็นเวลาค่อนข้างดึกแล้ว หลวงปู่ท่านได้ปิดไฟจำวัดแล้ว พี่เขากับเพื่อน ก็ลงมานั่งกันอยู่ที่โรงไฟ แต่ยังไม่ได้เข้านอน

    พอสักพักใหญ่ ก็ปรากฏเห็นกลุ่มแสงกลมๆสว่างหลากสี จำนวนหลายดวง ลอยมาจากทางเขาคิชฌกูฏ เข้ามาในวัด

    แล้วก็ลอยเข้าไปในกุฏิ ที่หลวงปู่จำวัดอยู่ พี่เขากับเพื่อนเห็นสิ่งนี้ รู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ทักอะไร เพราะรู้สึกว่า น่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ยังไม่ทราบว่า กลุ่มแสงนี้คืออะไร

    พอรุ่งเช้า ได้ขึ้นมาเล่าให้หลวงปู่ฟัง และถามหลวงปู่ว่า กลุ่มแสงที่เห็นเมื่อคืนนั้น คืออะไร ?

    หลวงปู่ ได้ตอบว่า

    "อ้อ...เห็นด้วยเหรอ เป็นพวกเทวดาเขามาหาเรา"

    Cr : Sira Pop
     
  2. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    43134151_1994431730645802_8934127056283762688_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง

    "เครื่องรางในกระเป๋าน่ะ...เอาออกมาดูซิ"

    เมื่อหลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง จันทบุรี เล่าถึง อาจารย์กาหลง จอมขมังเวทย์(หลวงปู่กาหลง วัดเขาแหลม)


    หลวงปู่พิศดู เคยถวายเงินครั้งละเป็นแสน แด่หลวงปู่กาหลง วัดเขาแหลม เพื่อสร้างพระอุโบสถ์ของวัดเขาแหลม 2 ครั้ง หลายคน คงสงสัยว่าทำไมหลวงปู่ทั้งสององค์ ซึ่งต่างนิกายกัน แต่มีความสนิทกัน และทั้งสองท่านก็เคารพกัน วันนี้จะถ่ายทอดคำกล่าวของทั้ง 2 องค์ ที่พูดถึงกันให้ฟัง เท่าที่ได้รับฟังมาจากหลวงปู่ทั้งสอง โดยตรง

    ย้อนหลังไปสิบกว่าปี ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่กาหลง เตชธมโม วัดเขาแหลม(ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีคนรู้จักหลวงปู่)ไปกราบทำบุญกับท่านหลายหน หลวงปู่จะเล่าเรื่องต่างๆนาๆในอดีตให้ฟัง ท่านจะมีความสุขที่ได้เล่า เพราะสมัยนั้นนานๆ จะมีคนไปหาท่าน ตามประสาคนมีอายุ ที่มีคนมาหามักจะดีใจ ชวนคุยจนกลับกันค่ำมืดหลายหน หลายๆครั้ง ที่ท่านพูดถึงหลวงปู่องค์หนึ่ง อยู่ที่อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี(แต่หลวงปู่กาหลง จำชื่อหลวงปู่พิศดูไม่ได้ เพราะชื่อท่านเรียกยาก)

    ท่านบอกให้พวกเรา ไปกราบหลวงปู่องค์นั้น ท่านเป็นพระดี มีบารมีสูงมาก พวกเราได้ฟัง จึงออกตามหาหลวงปู่องค์นั้น ที่หลวงปู่กาหลงพูดถึง สืบไปสืบมา จึงทราบว่าหลวงปู่องค์นั้นชื่อว่า หลวงปู่พิศดู ธัมมจารี อยู่วัดเทพธารทอง แต่ตอนนี้(พ.ศ.254ุ6)หลวงปู่ป่วยรักษาตัวอยู่ที่ โรงพยาบาลสามผาน อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี

    พวกเราจึงตรงไปที่โรงพยาบาล แต่ปรากฏว่าคลาดกัน หลวงปู่เพิ่งกลับวัดเมื่อวาน พวกเราจึงตามไปกราบท่านที่วัดเทพธารทอง พบหลวงปู่ครั้งแรก ก็โดนดีเลย แค่อยู่ปากประตูกุฎิ ยังไม่ทันเข้าไปกราบ ท่านก็ชี้มือมาที่กระเป๋าสะพายของผู้เขียนแล้วพูดว่า

    " เครื่องรางในกระเป๋าน่ะ...เอาออกมาดูซิ "

    ตอนนั้นงงๆ ทุกคนก็งง(ตอนนั้น มีคนที่นั่งคุยกับหลวงปู่อยู่ก่อนแล้วหลายคน)

    ท่านก็ย้ำอีก " ไหนเอามาดูซิ "

    เราก็เลยคลานเข้าไปแล้วเปิดกระเป๋า ปรากฏว่ามีตะกรุดไม้ครูขนาดใหญ่ ที่รับมาจากหลวงปู่กาหลง จึงหยิบให้หลวงปู่พิศดู ท่านรับไปแล้วพูดว่า

    " อ้อ...ของอาจารย์กาหลง หรอกรึ อันนี้ ปืนก็ไม่ได้กิน มีดก็ไม่ได้กิน ระเบิดก็ไม่ได้กิน แต่ยังเป็นโลกียะอยู่นะ "

    " เราเคยช่วยท่านสร้างโบสถ์ ท่านมาที่นี่ 2 หน มาแต่ละที ขนทั้งตะกรุด ทั้งพระ ทั้งผ้ายันต์ มาให้เรามากมาย ตะกรุดนี้ เราให้ลูกศิษย์เอาไปใช้ เขาแย่งกันและร่วมถวายสร้างโบสถ์ ดอกละเป็นหมื่น จนตะกรุดไม่เหลือ ท่านก็เก่งนะ อาจารย์กาหลงน่ะ เรื่องไสยศาสตร์ ไม่เป็นรองใคร "

    43119243_1994431697312472_4107226389931884544_n.jpg

    Cr. วิโรจน์ วงศ์นิสากร<หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี
     
  3. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    C8B7A53D-0B98-4B9C-9EA4-F8869EA7C23A.jpeg

    มีโยมมาเล่าให้ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ได้ฟังว่า ตอนนี้ดวงไม่ค่อยดี รู้สึกว่ากำลังมีเคราะห์ ทำอะไรก็แย่ไปหมด ขอให้ท่านพ่อลีช่วยสะเดาะเคราะห์ให้หน่อย

    * ท่านพ่อลี แนะนำและได้สอนกลับไปว่า ......

    "อาตมาไม่สามารถช่วยสะเดาะเคราะห์หรือแก้ดวงให้ใครได้ทั้งนั้น เพราะสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับโยมนั้นมันเป็นเรื่องของกรรมทั้งสิ้น โยมทำกรรมดี ทำเหตุดี ผลก็ต้องดี ทำกรรมชั่วไว้ ทำเหตุไม่ดีไว้ ผลก็เลยไม่ดี ซึ่งมันก็ถูกต้องแล้ว

    แต่อาตมาจะช่วยชี้แนะว่า โยมต้องหมั่นทำบุญกุศล ทาน, ศีล, ปฏิบัติภาวนาทำให้บ่อยๆ ทำให้เกิดขึ้น ให้มีขึ้น ทำให้เป็นนิสัยไปเลย ทำเหตุให้ดี สุดท้ายโยมจะละการทำเหตุไม่ดีไปเอง เพราะโยมได้ทำเหตุดีจนเป็นนิสัยไปแล้ว สุดท้ายสิ่งดีๆ จะเข้ามาหาเอง เพราะเลิกทำชั่ว ละการทำชั่วไปแล้ว"
     
  4. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    #เล่าสู่กันฟัง

    "หลวงปู่...สอนศิษย์"


    พวกข้าวหรืออาหาร ที่เหลือจากการฉันแล้ว หรืออาหารที่มีผู้นำมาถวาย จะได้ฉัน หรือไม่ได้ฉันก็ดี แม้แต่ของที่เสียแล้วก็ตาม หลวงปู่ ท่านจะสั่งเสมอว่า

    " อย่าเอาไปทิ้งนะ ของเสกทั้งนั้น ให้เอาไปเลี้ยงไก่ ไก่กินได้ไม่เป็นไร จะได้ไม่เสียประโยชน์ "

    แม้แต่ดอกไม้ ที่บูชาพระ หรือมีคนเอามาถวายท่าน ท่านก็มักจะบอกว่า

    " ให้เอาไปตากแห้ง บดเป็นผง เก็บไว้สร้างพระ " หรือถ้าหากมีคนมาขอ เอาดอกไม้เหล่านั้นไปสร้างพระ ท่านก็จะ " ส า..ธุ " ด้วย

    ที่เป็นเช่นนี้ เพราะองค์หลวงปู่ ท่านเคยบอกว่า

    " เวลาใครเขาเอาของมาถวายเรา เราจะตั้งใจ ยกไปถวายให้พระพุทธเจ้าท่าน พอท่านรับแล้ว ก็เป็นของท่าน(พุทธบูชา)เวลาใครจะเอาของเหล่านี้ไปใช้ก็ต้อง เสสัง(มังคะลัง ยาจามะ)ก่อน เพราะเป็นของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ใช่ของเรา วัตถุมงคลนี่ ก็เหมือนกัน "

    Cr : Sira Pop
     
  5. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    E0D3079B-4F5E-4160-84DD-3A2085FAB49A.jpeg

    ปาฏิหาริย์หลวงพ่อเขียน "ให้หวย โยมรวยกันทั่วหน้า"
    หลวงพ่อฤาษีลิงดํา วัดท่าซุง ได้ถ่ายทอดเรื่องราวอภิญญาความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเขียน วัดสำนักขุนเณร จังหวัดพิจิตร ไว้อย่างน่าสนใจ แสดงให้เห็นถึงภูมิธรรมที่หลวงพ่อเขียน ท่านได้บรรลุถึง
    หลวงพ่อฤาษีลิงดํา ได้เล่าไว้ใจความช่วงหนึ่งว่า
    "พอพูดถึงพระให้หวย" ทำให้นึกถึง หลวงพ่อเขียน ขึ้นมาได้ สำหรับองค์นี้ท่านให้หวยจนมีชื่อ วันหนึ่งไปเยี่ยมท่าน มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง เอากล้วยน้ำว้าสุกมาถวายท่าน ๒ หวี ความจริงแกตัดมา ๒ เครือแต่ทิ้งไว้ข้างนอกห้อง พอถวายกล้วยแล้วแกก็นั่งคุย สักพักหนึ่งหลวงพ่อเขียนบอกว่า

    “โยม ... อย่าคุยนาน เดี๋ยวหมามันจะกินกล้วย”

    โยมคนนั้นแกรีบลาออกมาข้างนอก ก็จริงของท่าน เห็นหมามันล้อมกันแล้ว แหม ... ตัวอยู่ในห้อง แต่ตามองออกมาเห็นข้างนอกได้

    คราวหนึ่งมีคนเข้าไปขอหวยท่าน ท่านก็เขียนให้ทันที

    “เรามันชื่อเขียน เขียนเสียอย่าง ... เขียนมันดะ ใครขอเรา เราก็เขียนเรื่อย ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง”

    ท่านเคยบ่นให้ฟังอย่างนั้น อันที่จริงแล้ว เวลาไปขอหวย หลวงพ่อเขียนต้องขอให้เป็น ถ้าขอเป็นรับรองว่าถูก

    “หลวงพ่อครับ ขอหวยให้ผมสักงวดเถอะครับ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วครับ จะไม่มารบกวนหลวงพ่ออีกแล้ว”

    ถ้าขอแบบนี้ รับรองว่าถูกแน่นอน แต่ท่านไม่ได้ให้ชุดเดียวนะ อาจจะให้มาสองสามชุด ถ้าลาภน้อยก็ถูกน้อยหน่อย ถ้าลาภมาก ท่านให้มาชุดเดียวถูกเลยแบบนี้จะได้เงินมาก ส่วนไอ้คนที่ไม่มีลาภถึงจะให้มาหยั่งไงๆ เวลาเอาไปเล่นก็ไม่ตรงตามนั้น นั่นเป็นเพราะลาภของเขายังไม่มี

    มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านเกิดให้ตรงๆ ขึ้นมา เวลาไปขอท่านก็บอกว่า

    “ไข่ เจ็ด เจ็ด ๆ”

    ไข่ นี่มันหมายถึงศูนย์ ส่วนอีกองค์หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กัน ท่านก็ให้ “ศูนย์ จอ จอ” (แสดงว่าวัดแถวนั้น มีอาจารย์ให้หวยแม่นอีกองค์หนึ่ง เหมือนกัน แต่หลวงพ่อท่านไม่ได้บอกไว้ว่าชื่ออะไร) แหม ... ไอ้จอนี่มันจะเป็นแปดไปได้ยังไงใช่มั้ย โอ๊ะ ... ถูกกันหนักเลยคราวนั้น ไอ้คนเป็นเจ้ามือ มันก็โกรธเอาซี คิดฆ่าหลวงพ่อเขียน เขาก็มานิมนต์ท่านไปฉันเพลที่บ้านของเขา หลวงพ่อเขียนก็สั่งลูกศิษย์ว่า

    “แกเอายาหมู่ไปด้วยนะ พอข้าลงมือฉันข้าว เอ็งก็ฝนยาทันทีเลยนะ พอข้าจะกินน้ำ เอ็งก็ส่งยามาให้ข้า”

    ท่านสั่งแค่นั้น ไม่ได้บอกใครเลยว่าท่านจะถูกวางยาพิษ พอไปแล้วเขาก็ให้กินยาพิษจริงๆ ท่านฉันเสร็จแล้วก็เดินกลับ พอมาถึงวัดก็นอนไป ๓ วัน มันลุกไม่ไหว มีคนเข้าไปถาม

    “หลวงพ่อรู้ไหม ว่าเขาจะวางยาพิษ” “รู้”

    “ก็เมื่อรู้แล้ว ทำไมหลวงพ่อถึงไปล่ะครับ”

    “เอ้า ! ก็เขาให้ไปนี่ ... เขาให้ไป ข้าก็ไป”

    “แบบนี้ เขาจะบาปไหมครับ หลวงพ่อ”

    “ข้าไม่รู้ บาปหรือไม่บาป เอ็งต้องไปถามไอ้คนทำซี”

    “ถ้าอย่างนั้น แบบนี้จะมีโทษถึงไหน”

    “โน่นแหละ ... มันเอาไฟเผาบ้านเอง”

    อีก ๒ วัน ไฟไหม้โรงสี นี่ ! โทษแบบนี้โดนไฟเผาบ้าน นี่ท่านไม่ได้แช่งนะ แต่โทษมันเป็นไปตามนั้น ถ้าท่านจะแช่งก็มีอยู่คำเดียว ใครต่อใครเขากลัวกันมาก “ใครอย่าฝ่าฝืนนะ ถ้าใครฝ่าฝืนตาแตก” แค่นั้นแหละ ถ้าท่านคิดจะแช่ง และถ้าจะดูกันจริงๆ แล้ว ก็ไม่ใช่คำแช่งอะไร เป็นคำสำหรับปรามคนมากกว่า

    พูดถึงวาจาสิทธิ์ของท่าน ก็เห็นมีอีกเรื่องหนึ่ง ปกติท่านมีม้าอยู่ตัวหนึ่ง มีคนเขาถวายให้ท่าน ไอ้ม้าตัวนี้มันก็เที่ยวกินหญ้ากินฟางไปตามภาษาของมัน วันหนึ่งมันคงจะเพลินไปหน่อย จึงไปกินเอาข้าวของเขาเข้า เจ้าของข้าวจึงเอาปืนมายิงเข้าให้ ไอ้ม้ามันถูกยิงมันก็วิ่งมาถึงหน้ากุฏิท่าน ยืนเลือดท่วมตัวทำท่าจะตาย ท่านโผล่หน้ามาพูดว่า

    “เออ ... เอ็งจะมาตายตรงนี้ได้เร๊อะ ใครเขายิงเอ็ง เอ็งก็ไปตายหน้าบ้านเขาซิ ใครเขาทำเอ็งหยั่งไง ก็เป็นอย่างนั้นแหละ”

    ท่านพูดเท่านั้นเอง ไอ้ม้าก็วิ่งกลับไป พอไปถึงหน้าบ้านกำนันมันก็ล้ม ..ตาย แหม ... ดีเหมือนกันแฮะ สั่งให้วิ่งกลับไปก็ได้ ต่อมาอีก ๒ วันกำนันก็ถูกยิงตาย เราเลยถามท่านว่า

    “หลวงพ่อไปแช่งเขารึ”

    “ก็กรรมมันเป็นอย่างงั้น แล้วเอ็งจะให้ข้าพูดยังไงล่ะ”

    ก็เป็นอันว่าหมดเรื่องกันไป สาเหตุที่รู้จักกับท่านก็เพราะเลขท้าย ๓ ตัว รางวัลที่ ๑ นั่นแหละ ไอ้เรื่องการพนันนี่ ฉันไม่ได้เล่นเลย จึงนึกสงสัยว่า เขาเล่นกันยังไงนะ ก็รางวัลที่ ๑ มันมีตั้งหกตัว แล้วนี่เล่นกันแค่ ๓ ตัวเท่านั้น นั่นเรามันฉลาดถึงขนาดนั้น

    ต่อมา ก็ขึ้นไปทางมโนรมย์นี่แหละ เขาก็คุยกันถึงเรื่องเลขท้าย ๓ ตัวกันอีก ทนเก็บความสงสัยหนักเข้าไม่ไหว จึงถามนายตำรวจคนหนึ่งที่นั่งคุยอยู่ด้วย เขาก็อธิบายให้ฟัง

    “แถวนี้ พระที่ให้หวยแม่นๆ น่ะ มีบ้างไหม”

    “มีครับ หลวงพ่อเขียน วัดบางสำเนียง” นายอำเภอที่นั่งคุยอยู่ด้วยตอบ

    “แกรู้จักมั้ย” หันไปถามผู้กอง

    “รู้จักครับ”

    “พรุ่งนี้ไปด้วยกันไหมล่ะ หวยออกพอดี”

    วันรุ่งขึ้น มีนายอำเภอคนหนึ่ง ผู้กองคนหนึ่ง แต่งกายนอกเครื่องแบบ และเราอีกคนหนึ่ง ไปถึงอำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร แล้วจ้างมอเตอร์ไซด์ไปอีกต่อหนึ่ง กว่าจะถึงเกือบ ๔ โมงเย็นแล้ว สมัยนั้นหวยออก ๕ โมงเย็น พอขึ้นไปก็เห็นชาวบ้านนั่งล้อมหลวงพ่อเขียนอยู่เกือบ ๒๐๐ คนมั้ง หวยมันจวนออกแล้วนี่ ใช่ไหม ชาวบ้านเขาก็มานั่งฟังกันซี พอเราโผล่หน้าขึ้นไปเท่านั้นแหละ

    “เฮ้ย ! พวกเรา วันนี้จะมีคนดี เขามาลองดีเราโว้ย ... เอาซิเราก็มีดีจะอวดเหมือนกัน” ท่านว่าเข้านั่น ฮึ ! เอากับท่านซิ นักเลงจริงๆ นะเนี่ย พอเราเข้าไปกราบๆ ท่านก็ถามว่า

    “มาธุระอะไร”

    “หลวงพ่อทราบแล้วก็ไม่ต้องพูดกันมาก กระผมมาตามที่หลวงพ่อทราบ”

    “เฮ้ย ! เล่นทันมั้ยเนี่ย” ท่านหันไปถามคนข้างๆ

    “ไม่ทันแล้วครับ ใกล้จะออกแล้ว ไม่มีเจ้ามือ”

    “เออ ... งั้นดีละ ! เอ้า ! ทุกคนที่อยู่ในนี้ห้ามลุกไปไหนนะ ถ้าใครลุกก่อนหวยออก ให้ตาแตก”

    พวกชาวบ้านนั่งกันจ๋องไม่กล้าลุกไปไหน เพราะกลัวตาแตก

    “เอ้า ! ต้องการรางวัลอะไร” ท่านหันมาถาม

    “รางวัลที่ ๑ ครับ”

    “จะเอากี่ตัว”

    “เอา ๓ ตัวครับ”

    “ฮื่ย ! ... หกตัว รางวัลที่ ๑ ไม่มี ๓ ตัว” ท่านว่าแล้วก็เขียนให้ทั้งหกตัว

    “เอารางวัลที่ ๒ มั้ย”

    “ไม่เอาครับ ขอรางวัลเลขท้าย ๓ ตัว”

    “เอา ๒ ตัวอีกมั้ย ข้าแถมให้”

    ว่าแล้วท่านก็เขียนเลขท้าย ๓ ตัวทั้งหมด และ เลขท้าย ๒ ตัวให้อีกอีกรางวัลหนึ่ง

    ตอนนั้น เราเอาวิทยุติดตัวไปด้วย ก็เปิดฟังดู พอหวยออกปรากฏว่า ถูกหมดทุกตัว ไม่มีผิดเลยซักตัวเดียว ออกตรงหมดเลย รุ่งขึ้นก็เข้าไปลาท่านกลับ ท่านจึงถามอีกว่า

    “เออ แกอยากได้อีกไหม”

    “จะเอาไปทำไมครับ”

    “เอ้า ก็เอาไปเล่นน่ะซี”

    “พระเล่นได้หรือครับ”

    “อื่อ ... จริงฮิ ! พระเล่นไม่ได้ เอ้า ! เล่นไม่ได้ข้าเขียนไปให้ดูซัก ๒๐ งวด” ว่าแล้วท่านก็เขียนเลขรางวัลที่ ๑ ครบทั้งหกตัว เลขท้าย ๒ ตัว เขียนให้จนครบทั้ง ๒๐ งวดเลย แล้วท่านก็ส่งให้

    “เอ้า ! เอาไปดู ๒๐ งวด แต่ห้ามให้คนอื่นดูนะ ถ้าให้ใครดูแกตาแตก”

    ซวยเลยเรา ... แหม ที่จริงน่าจะให้คนแอบดูตาแตก เราจะไม่ว่าซักคำ ถ้าเราโกรธใครจะได้ให้มันดูซ๊ะตาแตกเลย นี่ดันบอกให้เราตาแตกถ้าให้คนอื่นดู ฮื่อ ! เป็นงั้นไป

    “ถ้าแกต้องการจะรวย แกมาเอาเลย งวดที่ ๒๑ ฉันจะให้ แกจะรวยงวดนั้น”

    “ผมไม่เอาหรอกครับ ถ้าผมต้องการจะรวย ผมสึกดีกว่า ถ้าผมยังนุ่งสบงห่มจีวรอยู่ ผมไม่ยอมเล่นแน่”

    “เออ ... ดีๆ”

    “หลวงพ่อครับ ! แล้วมันรู้ได้ยังไงครับ”

    “โอ้ ... โอ้แกมันระยำ ... สตางค์มีอยู่ในกระเป๋าใช้ไม่เป็นนี่หว่า เขาใช้อนาคตังสญาณ แหม ... ไม่น่าจะโง่บัดซบเลย”

    ที่จริงน่าจะชมว่าเราฉลาดนะ

    “ใช้ยากไหมครับหลวงพ่อ”

    “ไม่ยงไม่ยากอะไรหร๊อก อย่าใช้มันหนัก ให้ใช้เบาๆ”

    พอเราลาท่านกลับ เจ้าสองคนนั่นก็รายงานเลย

    “หลวงพ่อครับ ผมมาเนี่ย ค่ารถไฟผมก็เสีย ค่าอาหารผมก็เสีย ค่ารถมอเตอร์ไซด์ผมก็เสีย ส่วนพระไม่ได้เสียสตางค์เลย”

    “โฮะ ! กูไม่ได้ใช้ให้มึงมานี่หว่า ไอ้ห่า ... ไอ้นี่เป็นนายอำเภอใช่มั้ย แล้วก็ไอ้นี่ เป็นผู้กองใช่มั้ย ... มึงจะมาจับกูเร๊อะ”

    “ครับ ! ผมตั้งใจมาจับ แต่ไม่ได้จับหลวงพ่อ ผมตั้งใจมาจับตัวเลข”

    “เออ ... มึงพูดถูกฮิ พระต้องการอยากจะรู้จริง ว่าคนรู้จริงมันเป็นอย่างไร แต่นี่มึงมันมาคนละงานคนละเรื่องเลยนี่หว่า กูให้ไม่ได้หรอก เดี๋ยวพวกมึงไปทำพวกเจ้ามือเขาฉิบหายหมด”

    ไอ้เจ้าสองตัวนั่นทำหน้าซีด

    “ให้มันไปเถอะครับหลวงพ่อ ไอ้สองตัวนี่มันก็ได้แค่เงินเดือน แล้วก็ได้ไม่ครบด้วยเพราะมันคอยช่วยผมอยู่เรื่อยๆ” เราก็เลยบอกท่านไปตามตรง

    “เอ้า ! ถ้าแกยืนยันอย่างนั้น ข้าก็จะให้ ... ๓ ตัวเนี่ยรางวัลที่ ๑ นะโว้ย มึงเอาไปไม่ต้องกลับ เล่นตามนี้เลย”

    เท่านั้นแหละ ... เจ้าสองตัวนั่น ดีอกดีใจกันยกใหญ่ หน้าตาผ่องใสรีบก้มลงกราบๆ พอเงยหน้าขึ้นมา

    “เฮ้ย ห้ามเล่นเกินคนละ ๒๐ บาทนะโว้ย ใครเล่นเกิน ๒๐ บาทให้ตาแตก” เท่านั้นเอง หน้าที่มีเลือดฝาดก็ซีดเป็นไก่ต้มเหมือนเดิม

    “เฮ่ย ๒๐ บาท มึงก็ได้เลยทุนที่ออกไปให้พระแล้วนะโว้ย”

    ขณะที่นั่งกันมาในรถไฟ ไอ้สองตัวนั่นก็บ่นกันหงุงหงิงๆ หาว่าได้แค่ ๒๐ บาทเท่านั้นไม่พอกิน

    “พวกมึงได้เงินเดือนเท่าไหร่วะ ๑๒๐ บาทใช่ไหม นี่ท่านให้แทง ๒๐ บาทก็ได้ตั้ง หมื่นกว่าแล้ว มึงรับเงินเดือนกี่ปีวะ ถึงจะได้เท่านี้”

    “แหม ... หลวงพี่เก๊าะ หนี้สินพวกผมมันก็มีเสียด้วย”

    แน่ะ ! ฟังมัน ดันงัดหนี้ขึ้นมาอวดซ๊ะแล้ว เราจึงถามมันว่า “เมื่อกี้หลวงพ่อท่านสั่งมาว่ายังไงวะ”

    “ห้ามเล่นเกินคนละ ๒๐ บาทครับ”

    “ทุด ! ไอ้พวกมึงนี่ควรจะลาออกได้แล้ว”

    “อ้าวทำไมล่ะครับ” เจ้าสองตัวนั่นตีหน้าเหรอหรา

    “ก็โง่บัดซบหยั่งงี้ ... ราษฎรบรรลัยหมดซิ” “ทำไมละครับ” ยังไม่ยอมฉลาดอีก

    “ไอ้ขี้หมาเอ้ย ... ก็ท่านไม่ได้จำกัดว่าให้มึงเล่นคนเดียวนี่หว่า ท่านสั่งไม่ให้เล่นเกินคนละ ๒๐ บาทเท่านั้น ก็ไปให้เมียมึงเล่นซิ ๒๐ บาท มีลูกกี่คนๆ ก็คนละ ๒๐ บาทๆ ...”

    แหม ... มันดีอกดีใจกันยกใหญ่ พอกลับไปถึงบ้าน มันมีลูกกี่คนๆ เล่นแทนหมด มีเมียมีคนในบ้านเท่าไหร่ พวกมันเล่นแทนหมด ไอ้คนถูกเล่นแทนไม่รู้เรื่องเลย

    พอหวยออก ปรากฏว่าถูกกันคนละหลายแสน มันให้คนที่เล่นแทนคนละร้อยมั่ง สองร้อยมั่ง ไอ้พวกที่ถูกเล่นแทนดีใจกันใหญ่ที่อยู่ๆ ก็ได้รับแจกคนละตั้งร้อยสองร้อย ที่ไหนได้ไอ้ระยำสองตัวนั่นมันซัดซะไม่รู้เท่าไหร่ สมัยนั้นร้อยสองร้อยก็มากโขแล้วนะ พอเจอหน้ากันมันบอก

    “จะให้ผมออกงานเมื่อไหร่ก็ได้”

    แน่ ! ฟังมันคุยมั่ง คราวนั้นเล่นเอารวยกันจมไปเลย แต่ว่าไอ้ตัวนายอำเภอ มันได้มากกว่าเขาหน่อย เพราะมันมีลูกมากกว่าเขา

    “เฮ้ย ... แล้วพวกมึงได้เล่นแทนหมากันมั่ง หรือเปล่าวะ”

    “โอ้โฮ ... ผมลืมไปครับ”

    “ทุด !... ไอ้ระยำ ... ควรจะแทนหมาอีกตัวละ ๒๐ บาท แมวกี่ตัวๆ ก็ตัวละ ๒๐ บาท จิ้งจกตุ๊กแกมีกี่ตัวๆ จดไว้ แล้วเล่นแทนให้หมด ตัวละ ๒๐ บาทๆ” ไอ้สองตัวนั่นตบอกผาง ครางดังเฮ้อ ...

    แหม ! มันไม่ฉลาดเหมือนพระเลยนิ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จบแล้ว เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ สวัสดี ...

    _____________
     
  6. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    37A56D0E-FF6E-443A-B897-62622F3369EC.jpeg

    "พระที่ท่านพ่อลีเสก ดีมาก...ใครมีพระท่านพ่อลี ให้เอามาคล้อง"

    สมัยที่ ท่านอยู่กับท่านพ่อลี(พระอาจารย์ของท่าน)ที่วัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทบุรี สมัยนั้น รอบๆวัด บ้านคนยังมีไม่มากนัก เพราะบริเวณนั้น เป็นป่าช้าผีดิบ หรือ หลุมฝังศพคนตาย คนจึงไม่ค่อยกล้าเข้ามาอยู่อาศัย

    ทุกวัน ยามท่านพ่อลี ว่างจากศาสนกิจ ท่านจะให้หลวงปู่พิศดู(ขณะนั้น พรรษาท่านยังไม่ถึง 10 พรรษา)เอาอาสนะ ไปปูลาดไว้ในป่าช้าข้างหลุมฝังศพ เพื่อท่านพ่อจะไปนั่งกัมมัฏฐาน(หลวงปู่พิศดู ท่านใช้คำว่า ไปทำฌาน)

    ซึ่งนี่ ก็เป็นเหตุให้หลวงปู่ ได้ซึมซับเอานิสสัยของท่านพ่อลี ในเรื่องของการเจริญสมถะ และวิปัสสนาอยู่ในป่าช้าผีดิบ และ รุกขมูล มากว่าค่อนชีวิต ในสมณเพศของท่าน

    ท่านพ่อลี ท่านรักและกรุณาหลวงปู่มาก ท่านพ่อจะคอยสอบถาม ในเรื่องความเป็นอยู่ และเรื่องของการปฏิบัติ กับหลวงปู่พิศดูเสมอ ส่วนใหญ่ท่านพ่อ จะชอบมาบอกสอนให้เฉพาะตัวตามลำพัง ซึ่งหากหลวงปู่มีข้อสงสัยในเรื่องใด ท่านก็จะคอยดูจังหวะเหมาะๆ และ เข้าไปกราบเรียนถามข้อข้องขัดนั้น กับท่านพ่อลีโดยลำพังเช่นกัน

    เนื่องจากหลวงปู่ เป็นผู้มุ่งมั่นในการปฏิบัติภาวนาอย่างยิ่งยวด อีกทั้งองค์ความรู้ ความเห็นของหลวงปู่พิศดูนั้น ก็ค่อนข้างจะแปลกพิศดารกว่าหมู่พระด้วยกัน ถึงกับท่านพ่อลี เคยเอ่ยปากไว้ว่า

    "ต่อไปภายหน้า ถ้าหมดเราแล้ว ให้พวกเธอ ไปหาท่านพิศแทน ต่อไปท่านพิศ จะแทนเราได้"

    เมื่อยามที่หลวงปู่พิศดู กล่าวถึงท่านพ่อลี ธัมมธโร ใบหน้าของท่านจะมีประกายความสุข สุขุม และ ท่านมักจะกล่าวเทิดทูนท่านพ่อลี ด้วยความเคารพรักเสมอ หลวงปู่ท่านเคยบอกว่า

    "ท่านพ่อลีนี่ จิตท่านแรง ท่านเคยเพ่งลูกศิษย์ ลอยเลย"

    "ท่านพ่อลี ท่านเสียงดัง เด็ดขาด คนส่วนใหญ่ชอบพูดว่า ท่านดุ จึงพากันกลัวท่าน แต่กับเรา ท่านไม่ค่อยดุ เพราะเรารู้ใจท่าน อยู่กับท่าน ต้องฉลาด ให้รู้จักหัดสังเกตุ"

    "พระที่ท่านพ่อลีเสก ดีมาก...ใครมีพระท่านพ่อลี ให้เอามาคล้อง"

    Cr : Sira Pop
     
  7. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    67795710_2349918598390322_5336551123601850368_n.jpg

    Cr upachai Subudomkul‎>หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี



    #มีดหมอวัดเนินโพธิ์ (มีมวลสาร ลป.พิศดู และผงปรอท ลป.บรรจุอยู่ครับ)

    เมื่อวานซืน(พุธ 7-8-2562) มีตากฝนนิดหน่อยปรอยๆตอนเริ่มตก ซึ่งตามหลักทางการแพทย์ ช่วงนี้ฝนจะชะเอาเชื้อโรคในอากาศตกลงมาด้วย เป็นช่วงที่อันตรายที่สุด

    ผมไปธุระข้างนอกเสร็จสรรพกลับมาตอนหัวค่ำ นั่งหน้าคอมก็รู้สึกเหมือนเมื่อยๆตัว เหมือนกับจะมีครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อยเกิดขึ้นภายใน

    ยังพูดกับแฟนว่าสงสัยจะเริ่มไม่สบาย โดนฝนปรอยๆเมื่อตอนบ่าย

    มองเห็นมีดหมอวางอยู่ตรงหน้า
    ก็เลยหยิบมาอาราธนาคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในมีดหมอเอาจ่อกระหม่อม ปลายชี้เข้าตัวไว้ ทั้งปลอก อธิษฐานขอให้ท่านช่วยรักษาฟื้นฟูร่างกายอย่าให้เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยเทอญ

    ก็นั่งหน้าคอมทำอะไรต่อไป
    อีกสักพักนึง อาการที่ว่าหายหมดเลย.

    เข้านอนด้วยความสดชื่นครับ
    ....
    #เรื่องเล่าจากคนรู้จัก

    มีคนรู้จักได้ตรวจสอบมีดหมอนี้ บอกเล่าว่า
    .
    #ตอนเห็นรูปมีดหลังเสกเสร็จ
    มี ลพ เดิม อ.ก๋งจาบ อ.เฮง
    บัง(การดูพลัง)ดีมากๆ
    *พลังเเรงๆครับ
    ครบเครื่องแบบมีดหมอ กันแก้คุณไสย กันผี ไล่ผี รักษาโรค
    เเคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุด
    ใช้ทำน้ำมนต์ได้ อธิษฐานกำบังกายได้
    .
    #ตอนหลังได้สัมผัสมีดจริง เล่าเพิ่มว่า
    + มีเทวดาคุ้ม อย่าไว้ต่ำ
    ปลอกก็ขลัง
    + มหาสะท้อน
    กันการกระทำ
    + ใช้รักษาโรค เเมลงสัตว์กัดต่อยได้
     
  8. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    67979457_2338075069791595_7068327940743757824_n.jpg

    ‍♀️ #เจตนาของบทสัพเพฯ‍♀️
    ==========✨✨==========
    การอาราธนาพระเข้าตัว (โดยว่าบทสัพเพฯ) นั้นเปรียบได้กับการที่เราปีนเขา แล้วเราก็ปักหมุดเอาไว้ เพื่อว่าไต่เขาครั้งต่อ ๆ ไป จะได้อาศัยหมุดเรานั้น เป็นทั้งเครื่องหมายให้คุ้นว่าเป็นเส้นทางที่เคยเดิน รวมทั้งใช้อาศัยยึดเกาะให้ไต่เขาได้โดยสะดวกรวดเร็ว

    ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราปฏิบัติสมาธิภาวนา เวลาจิตสงบดี ท่านก็ให้อาราธนาพระเข้าตัว หรือตั้งองค์พระไว้ที่จิต ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นเหมือนหมุด เพื่อให้การปฏิบัติครั้งหน้า จะเป็นไปโดยสะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้เราเกิดความสำรวมระวังว่าบัดนี้ จิตของเราเป็นพระอยู่นะ จงอย่าคิดไม่ดี พูดไม่ดี หรือทำไม่ดี

    ที่สำคัญเราต้องปฏิบัติตามที่หลวงปู่แนะนำ คือ การเกลี่ยจิตให้ได้ทุกอิริยาบถ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การประคองนิมิตองค์พระก็เท่ากับการพยายามทรงอารมณ์สมาธิให้ได้ตลอดต่อเนื่องทั้งวัน พอมีจังหวะหรือโอกาส นั่งกรรมฐานปุ๊บ จิตก็จะได้เป็นสมาธิปั๊บ เอาให้ได้ชนิดที่ว่าหายใจเข้า ยังไม่ทันหายใจออก จิตก็รวมได้ อย่างหลวงปู่

    บางวันท่านให้พรแล้วท่านก็เงียบไปนาน เพราะความชำนาญในเรื่องสมาบัติของท่าน เมื่อสังขารท่านต้องการการพัก ท่านก็เข้าพักได้โดยอัตโนมัติ จิตที่ฝึกหัดดีแล้ว จึงมีอำนาจมาก

    ‍♀️ที่มาโดย:พี่สิทธิ์
     
  9. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    68494955_357910311774056_3213561476522442752_n.jpg

    Sira Pop> ชมรมวัตถุมงคลพระเหนือโลกและคณะศิษย์ที่ทรงอภิญญาบารมีทุกองค์

    เหรียญพระอุปคุต หลวงปู่พิศดู ธัมมจารี วัดเทพธารทอง จ.จันทบุรี
    หลวงปู่พิศดู พระอริยะเหนือโลกอีกรูป ท่านเป็นศิษย์ของพระอุปคุต และหลวงปู่เทพโลกอุดร(พบกันด้วยกายเนื้อ) และเคยเดินธุดงค์เข้าแดนลี้ลับหลายครั้ง
    และเป็นพระที่สามารถแทรกมิติพาลูกศิษย์ไปชมเมืองลับแลมาแล้วหลายคน (ปัจจุบันผู้ที่ไปชมเมืองลับแลกับหลวงปู่ก็ยังมีชีวิตอยู่)
     
  10. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    67892040_2586590561572858_1663942825223389184_n.jpg

    พระสีวลี

    ️พูดถึงลาภ เมื่อกี้นี้กำลังนั่งกรรมฐานอยู่(สิงหาคม ๒๕๒๙ บ้านซอยสายลม) พระท่านมากันหลายองค์ ความจริงท่านมาเป็นปกติ วันนี้ท่านมาเป็นพิเศษ ก็มี
    อันดับแรก..พระโมคคัลลาน์
    พระสารีบุตร
    พระอนุรุทธ
    พระมหากัจจายนะ
    พระมหากัสสป
    และพระสีวลี
    ใครต่อใครมาเยอะ วันนี้มามาก ฉันก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้มีใครก็ไม่ทราบ ฝากพระธาตุพระสีวลีมาให้ แล้วก็ถามท่านว่า จะใส่มณฑปแก้ว วางไว้ข้างๆพระพุทธรูป และให้ทุกคนร่วมกันบูชาจะมีผลใหม ท่านบอกว่าดี ก็มีอยู่ ๒ ถึง ๓ องค์ และส่วนที่เป็นของฉันจริงๆท่านสั่งให้ใส่กระเป๋าไปแล้ว ท่านมีหลายองค์ ก็นึกแปลกในใจ อยู่ก็เอาพระธาตุของพระสีวลีมาให้ แล้วก็ถามท่านว่า พระธาตุของพระสารีบุตรมีใหม ท่านบอกว่ามี ในนั้นมี ขออนุญาตพระสีวลีท่าน ท่านบอกว่าควร สมเด็จฯ ท่านนั่งอยู่ด้วย ท่านก็บอกว่า สีวลีเป็นพระที่มีลาภมากในสมัยตถาคต เธอเอาพระธาตุมาให้ลูกหลานบูชานั้นสมควร รวมกับลาภสักการะของเธอที่บำเพ็ญบารมีมาในด้านของทานบารมี อันนี้จะช่วยลูกหลานได้มาก อันนี้ก็ต้องไม่ลืมลาภพระพุทธเจ้าด้วย ก่อนที่จะว่าก็ต้องตั้ง~นะโมฯ ก่อน แล้วก็~อิติปิโส~ไปจนจบ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระสีวลี ก็ขอลาภท่าน ก็ขอไม่มาก อยากมีเครื่องบินขอให้มีได้หรือไง

    ‍♂️เกี่ยวกับพระสีวลีนี่ หลวงพ่อเคยมีความเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวโยงกันหรือเปล่าครับ
    ️ฉันรู้จักท่าน แต่ท่านรู้จักฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ท่านเคยเกิดเป็นพ่อมาหลายครั้ง ตอนที่อยู่วัดบางนมโค คืนหนึ่งเวลาใกล้ตี ๔ มองเห็นแสงสว่างที่ขื่อ มองเห็นนานมาก ฉันนึกว่า นั้นอะไรแน่ พอตอนสว่างลุกขึ้นไปดูก็พบพระธาตุของท่าน เลยเอาไปบูชา หลังจากนั้นมาการก่อสร้างก็สะดวกขึ้น แล้วต่อมาอยู่ๆ ก็มีคนเอาพระธาตุพระสีวลีมาให้ พอตอนเช้าก็นึกว่าพระธาตุจริงหรือไม่จริง เรานึกถึงท่านก็ไช่แน่ อยู่ที่จิตใจ ท่านก็บอกว่า ไช่ๆ แล้วท่านมหากัจจายนะก็มา ท่านบอก นี่ของฉันนะ ท่านมหากัจจายนะนี่เคยเป็นพ่อมาหลายชาติ

    ️ตอนทีีคุยอยู่กับพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็บอกว่า ให้คุยกับพี่ๆเขาสิ ที่คุยกันสนุกมากคือท่านมหากัสสป ชอบทะเลาะกัน ชอบเถียงกัน ท่านเคยเป็นพี่ แต่ชอบเรียกท่านว่าพ่อ องค์อื่นไม่กล้า แต่พระสารีบุตรท่านเฉยๆ พระสารีบุตรเคยเป็นพ่อ พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่า พระสีวลีเขามีลาภมาก ลูกหลานของเธอก็มาก ลูกหลานเธอก็คือลูกหลานฉัน ก็ถือเป็นลูกท่านทุกคน เพราะคำว่าสาวกก็ถือว่าเป็นลูก เวลานี้ก็เครียดกันมาก เอาพระธาตุของพระสีวลีตั้งเอาไว้บูชาก็แล้วกันนะ เคยถามพระสีวลีท่าน... อนุญาตใหม ท่านบอก..ท่านเห็นชอบด้วย เลยให้ฉันแบ่งไว้องค์
    วันนี้ขึ้นไปท่านบอก..คุณหยิบองค์นี้ไว้สิ พระมหากัจจายนะบอก อันนี้พระธาตุของฉันเธอหยิบเอาไว้ เอาเก็บใส่กระเป๋าไว้ เพราะที่กระเป๋าฉัน ฉันใส่พระ บอก..บางทีผมอาจจะลืม ท่านบอก..ลืมก็ไม่เป็นไร เป็นเรื่องของฉันเอง ส่วนที่เหลือนี่ให้ลูกหลานบูชา แล้วท่านก็บอกที่ตั้งให้

    ️พระอานนท์ เราก็รู้ว่าท่านเป็นพหูสูตร มีความรู้ทั้งหมดในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงชมเชยว่า...อานันทะดูก่อนอานนท์
    เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว ต่อให้เธอไปเทศน์ที่ไหน ผู้ฟังจะไม่อิ่มไม่เบื่อ ไม่อยากให้อานันทะเลิก ฉะนั้น..ถ้าบูชาพระอานนท์ ก็บูชาการทรงความจำ มีลีลาในการแสดงธรรมสวยมาก กำลังสูงมาก
    ส่วนพระสารีบุตร.. หนักในด้านปัญญา
    สำหรับพระโมคัลลาน์..หนักในด้านฤทธิ์
    พระอนุรุทธ..เป็นผู้เลิศในด้านทิพจักขุญาณ
    ส่วนพระมหากัสสป..องค์นี้สำคัญมาก หนักในด้านนิโรธสมาบัติ เป็นจอมให้ลาภให้เป็นมหาเศรษฐีในปัจุบัน

    ️จำไว้ให้ดีนะ เวลาบูชา แต่อย่าลืมตั้ง~นะโมฯ ก่อน เพื่อนึกถึงพระพุทธเจ้า ทีนี้คนทีีภาวนาว่า~สัมปจิตฉามิ~นะ เมื่อนึกถึงพระพุทธเจ้าแล้ว ก็อย่าลืมนึกถึงพระโมคคัลลาน์ เพราะคาถานั้นเป็นคาถาอภิญญา

    (หลังจากทีีหลวงพ่อได้พระธาตุของพระสีวลีแล้ว หลวงพ่อก็ฝัน ฝันนี้เป็นเช่นไร หลวงพ่อได้เล่าให้ลูกหลานฟังเมื่อวันเป่ายันต์เกาะเพชร ที่ศาลา ๔ ไร่)

    ️เมื่อคราวไปซอยสายลม ได้รับพระธาตุของพระสีวลี วันนี้พวกกรุงเทพฯ มามากที่ให้สัญญาว่า เมื่อรับพระธาตุท่านแล้วก็ขอนิมิตจากท่านว่า เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทได้รับแล้วบูชาแล้ว จะมีอะไรเป็นผลบ้าง ขอให้ท่านแสดงนิมิตให้ปรากฏ ตอนนี้จะเล่าความฝันให้ฟัง
    แต่ขอได้โปรดอย่าคิดว่าเป็นหวย ไม่ไช่บอกหวย และไม่ไช่ใบ้หวย จะเล่าตามนิมิตที่ปรากฏ เมื่อวันนั้นก่อนที่นำพระธาตุของพระสีวลี ซึ่งพระสีวลีนั้นถือว่าเป็นพระที่มีลาภมากในพระพุทธศาสนา ไปบรรจุเจดีย์แก้ว ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทบูชา ตอนเช้าก่อนที่จะลงไปรับแขกก็นอนภาวนา ตั้งจิตอธิษฐานว่า "ถ้าพระธาตุของพระสีวลี ถ้าจะมีคุณมีประโยชแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทในด้านความเป็นอยู่เป็นอย่างไรบ้าง ก็ขอให้ท่านแสดงนิมิตให้ปรากฏ ก็ภาวนาไปๆ ถ้าจะถามว่าคาถาภาวนาว่าอย่างไร อาตมานี่ก็ลูกศิษย์หลวงพ่อเนียมเหมือนกัน ท่านว่าเจ็ดตำนานทั้งหมด จะภาวนาบทไหนก็ได้ สั้นก็ได้ ยาวก็ได้ ขอให้จิตเป็นสมาธิก็แล้วกัน

    ️ขณะที่ภาวนาไปๆ จิตก็มีอารมณ์คล้ายเคลิ้ม แต่มันก็ไม่เคลิ้ม จะว่าหลับก็ไม่หลับ จะว่าตื่นจริงๆมันก็ไม่ตื่น แบบครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็เกิดเป็นนิมิตขึ้นมา ความรู้สึกในนิมิตว่า อาตมามีเรือขนาดใหญ่ ๒ ชั้น ในเรือลำนั้นมีคนอยู่ ๒ คน คือนายท้ายผู้บังคับเรือ อาตมานั่งอยู่ข้างหลังท้ายเรืิอ แล้วก็ตั้งใจจะไปจังหวัดตาก แต่ว่าเมื่อถึงจังหวัดกำแพงเพชรได้เวลาเพล นายท้ายก็หักหัวเรือเข้าคลองกำแพงเพชร ก่อนที่นายท้ายหักหัวเรือเข้าคลองกำแพงเพชร ทีแรกไปจริงๆ ๒ คน ต่อมานายท้ายก็เรียกลูกชายมาถือท้ายแทน ไม่ทราบว่าลูกชายเข้าไปเมื่อไหร่ ในขณะที่เข้าคลองเล็ก อาตมามีความรู้สึกเป็นความรู้สึกในนิมิตนะ ว่าคลองเล็กๆนี่ถ้าเรือลำนั้นไปกระทบอะไรเข้าอาจจะมีเรื่องก็ได้ ก็ล้วงย่าม มีความรู้สึกว่าในย่ามมีปืน ๑๑ มม. อยู่ ๑ กระบอก แต่ความจริงมันไม่มีนะ นี่มันเป็นนิมิต พอล้วงไปในย่ามปรากฏว่าปืนมันก็ไม่มี ยังมีความรู้สึกว่าปืนกระบอกนี้หายก็ไม่เป็นไร ที่วัดมีอีก ๑ กระบอก คลำไปคลำมาไปคว้าปืน ๙ มม. ออกมาแทนปืน ๑๑ มม.

    ️นี่ไม่ไช่ใบ้หวยนะ ตามนิมิตหลังจากนั้นเรือเข้าจอดท่าอาศัยที่ไม่มีสตางค์มันมีความแร้นแค้นมาก ก็เดินขึ้นไปจะซื้ออาหารเขากิน ร้านที่มีคนนั่งก็ไม่กล้านั่ง เพราะว่าสตางค์มีน้อยก็ไปดูร้านที่ไม่มีคนนั่ง ร้านนั่นก็ไม่มีคนเลย แล้วร้านก็รั่ว เก้าอี้ก็มีน้ำฝนเต็ม ก็เลยนั่งไปบนเก้าอี้ที่มีน้ำฝน นั่งลงไปแล้วก็คิดว่าเราจะซื้ออาหารแบบไหนดีเพราะสตางค์มันน้อย จะซื้อข้าวแกงธรรมดามันก็ไม่เต็มจาน แม่มันแปลกพอนั่งเรียบร้อยคิดจะซื้ออะไรดี ก็ปรากฏว่ามีบรรดาท่านพุทธบริษัทพวกเราไปนั่งกันอยู่เต็ม ก็ยังนึกในใจว่า นี่เราจะไปจังหวัดตาก แล้วเราจะมาแวะจังหวัดกำแพงเพชร พวกนี้รู้ได้อย่างไรว่าเราจะมากำแพงเพชร เห็นเขาถือปิ่นโตอาหาร ก็ถามว่า..ในปิ่นโตนั้นมีอาหารไช่ใหม เขาก็บอกว่า..ไช่ ก็เลยบอกว่า นี่เพลแล้วนะ เอามาประเคนได้ เขาก็นำมาประเคน พอประเคนก็เริ่มฉัน พอเริ่มฉันก็ปรากฏว่ามีหัวหน้าบรรดาท่านพุทธบริษัทในจำนวนนั้น เขียนเลขขอให้คนอื่นซื้อหวย เขาเขียนเลขว่า ๒๗๔ ไอ้ตัวนี้มันไม่ออกมีนกินนะ แล้วก็ฝากคนที่นั่นช่วยซื้อล็อตเตอรี่ให้ด้วย ในนิมิตบอกว่าอาตมาเห๋นเข้าก็นึกในใจว่า ไอ้เลขตัวนี้เขาซื้อทำไม มันถูกกิน ทำไมเขาซื้อเหมือนเลขที่เราฝัน ก็ยังไม่รู้ว่าเลขอะไร ตอนนั้นมันฝันอยู่แล้ว แต่ฝันต่อ ยังไม่ได้ฝัน

    ️ตอนนี้ต่อมาเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ถามท่านสีวลีว่า นิมิตนีีพระคุณเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร ท่านบอกว่า..เวลานี้บริษัทของคุณหรือตัวคุณเองกำลังกระเป๋าแห้ง คือน้ำฝนมันไม่ลงมา ไม่เปียกก็แห้ง เพราะสามเดือนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายค่าใช้จ่ายไม่พอ ท่านก็เลยบอกว่า หลังจากนี้ไปนิมิตนี้แสดงว่า เรือลำใหญ่เหมือนกับคุณมีบริษัทมาก แต่ว่าเวลานี้เหมือนไม่มีคนนั่งอยู่เลยย นั้นหมายความว่า ฐานะมันทรุดตัวมาก บรรดาบริษัทของคุณก็เหมือนกัน กระเป๋ามันแห้งใจมันก็แห้ง เลยไปในฐานะเรือเปล่า ตั้งใจจะไปตาก แต่มันยังไม่ถึงจังหวัดตากแวะกำแพงเพชร ได้พบบรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นอันมาก มีอาหารการกินสมบูรณ์ นั่นหมายความว่า..ความคับแค้นของบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีอยู่ มีบูชาพระธาตุสีวลี จะไม่ลำบากถึงที่สุดตามที่คิดไว้ จะมีความอุดมสมบูรณ์ในระยะใกล้มาก คฝหมายความว่า.. ต่อนี้ไปค่อยๆดีขึ้น นิมิตเป็นแบบนี้นะ สวัสดี.

    พระธรรมคำสอน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทราราม(ท่าซุง)
    ️จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๕๐ หน้าที่ ๓ ถึงหน้าที่ ๖


    ️พิมพ์พระธรรมโดย นภา อิน
     
  11. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    เรื่องเล่า ตอนที่ 17
    เรื่องราวของ
    หลวงป๋า วิชชาธรรมกาย พระของขวัญ หลวงปู่หมุน หลวงพ่อกวย หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม หลวงพ่อบุญส่ง จันทบุรี พระนิพพาน พุทธคุณ ประจุดวงชะตา


     
  12. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    #ตายมือกำพระ#จิตอยู่ที่พระ

    ผู้ถาม :- “หลวงพ่อเจ้าขา...ถ้าเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำตายไปในขณะที่มือก็กำพระแน่นอยู่ วันนี้ลูกได้ถวายสังฆทาน จะมีโอกาสได้รับหรือเปล่าเจ้าคะ…?”

    หลวงพ่อ :- “ตายเขาไปสวรรค์ก่อนแล้ว มือถือพระจิตนึกถึงพระอย่าลืมล่ะ ถึงแม้ไม่ถืออยู่ ถ้าออกจากบ้าน ก่อนออกจากบ้านก็กราบพระสัก ๓ ครั้ง ไม่ว่าอะไรเลย กราบพระด้วยความเคารพเฉยๆ นะ หรือกราบไม่ทันแต่ยกมือไหว้ด้วยความเคารพแล้วก็ไป แล้วก็ลืมเรื่องล่ะ คุยกันเรื่องเฉื่อยไป แล้วไปตายแบบนั้นจะไปสวรรค์ทันที เพราะอารมณ์กุศลตอนเช้าที่ทำมันยังฝังใจอยู่ นั่นเขาถือพระอย่างนั้นไม่มีทางล่ะ ไปลิ่วเลย”

    ผู้ถาม :- “บางทีมือซ้ายถือของอยู่ มือขวาไหว้มือเดียวได้ไหมครับ…?”

    หลวงพ่อ :- “สองมือยกไม่ขึ้น ใจเคารพยังใช้ได้เลย”

    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
    ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๑๐๘
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
     
  13. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    36EDB6FF-3B30-4821-9C25-7FF24F51CD4B.jpeg

    พระพุทธเจ้า ตรัสบอกที่มาของคำว่า "สาธุ"
    มีชายคนหนึ่ง อยู่ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ได้ฟังพระแสดงธรรมเทศนาแล้วเห็นโทษในการครองเรือนมีความปรารถนาจะขอบวชเพื่อแสวงหาความสงบในสมณธรรม จึงลาจากภรรยาไปบวช ได้ตั้งใจพากเพียรในสมณธรรมตามที่ปรารถนาไว้ตลอดมา

    ต่อมาพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงพบหญิงผู้เป็นภรรยาของชายคนนั้น และเมื่อทรงได้ทราบเหตุความเป็นมาทั้งหมดจึงเกิดสมเพชในนางผู้เป็นภรรยา รับสั่งให้นำหญิงนั้นมาเลี้ยงไว้ในพระราชวัง ตั้งเป็นท้าวนางกำนัล

    อยู่มาวันหนึ่ง ราชบุรุษนำดอกนิลุบลบัวเขียวมาถวายพระเจ้าปเสนทิโกศลกำมือหนึ่ง พระองค์จึงประทานแก่ท้าวนางคนละดอก ฝ่ายสตรีที่เป็นภรรยาของชายที่ไปบวชนั้น เมื่อไปรับพระราชทานก็ยิ้มแสดงความยินดีดุจนางอื่น ๆ แต่พอดมกลิ่นนิลุบลแล้ว นางกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จึงร้องไห้ พระเจ้าปเสนทิโกศลสงสัยพระทัย จึงตรัสถามว่า เหตุใดนางจึงยิ้มแล้วร้องไห้ นางจึงกราบทูลว่า ที่นางยิ้มเพราะดีใจที่ทรงพระกรุณาประทานดอกบัวให้ แต่พอดมดอกบัวแล้วหอมเหมือนกลิ่นปากสามีที่ไปบวช นางคิดถึงความหลังจึงร้องไห้

    พระเจ้าปเสนทิโกศลต้องการพิสูจน์วาจาของนาง จึงโปรดให้ประดับวังด้วยของหอมทั้งปวงเว้นแต่บัวนิลุบล แล้วอาราธนาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า และเหล่าภิกษุสงฆ์ให้มาฉันภัตตาหารในพระราชฐาน แล้วมีพระราชดำรัสถามหญิงนั้นว่า พระมหาเถระองค์ไหนที่นางอ้างว่าเป็นสามี หญิงนั้นก็ชี้ไปที่พระมหาเถระ เมื่อเสร็จภัตตกิจแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลอารธนาให้พระพุทธเจ้า และภิกษุองค์อื่น ๆ กลับวัดไปก่อน เว้นพระมหาเถระขอให้อยู่เพื่อกล่าวอนุโมทนา เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จกลับไปแล้ว พระมหาเถระจึงกล่าวอนุโมทนาด้วยน้ำเสียงอันไพเราะและมีกลิ่นหอมฟุ้งออกจากปากพระเถระรูปนั้นอย่างน่าอัศจรรย์ กลบเสียซึ่งกลิ่นดอกไม้ของหอมทั้งปวง กลิ่นปากของพระมหาเถระหอมฟุ้งไปทั่วพระราชวัง ดังกลิ่นการบูรและพิมเสนผสมกฤษณา หอมยิ่งกว่าดอกบัวนิลุบล ปรากฏการณ์นี้ปรากฏแก่ชนทั้งหลายในพระราชวัง ส่วนองค์มหากษัตริย์เมื่อเห็นจริงดังหญิงนั้นกราบทูล ก็ทรงโสมนัสน้อมนมัสการ ฝ่ายพระมหาเถระเสร็จสิ้นการอนุโมทนาแล้ว ก็กลับไปสู่วิหาร

    ครั้นพอรุ่งเช้าพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเสด็จไปสู่พระวิหาร ถวายนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลถามว่า

    "เหตุใดปากของพระมหาเถระจึงหอมนักหนาท่านได้สร้างกุศลใดมา"

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า

    "เพราะบุพพชาติปางก่อน ภิกษุรูปนี้ได้ฟังพระสัทธรรมไพเราะจับใจ เต็มตื้นด้วยปีติยินดี จึงออกวาจาว่า "สาธุ" เท่านั้น อานิสงส์แห่งการฟังพระสัทธรรมให้ผลจึงได้มีกลิ่นปากหอมดังนี้"
    นับแต่นั้นมาพุทธศาสนิกชนจึงนิยมใช้คำว่า “สาธุ”
    คำว่า "สาธุ" ในภาษาไทยก็แปลว่า ดีแล้ว เห็นชอบแล้ว เท่ากับเป็นการทำบุญข้อหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ มีอยู่ข้อหนึ่งในจำนวน ๑๐ ข้อคือ ปัตตานุโมทนามัย แปลว่าบุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ ดังนี้
     
  14. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    5AB6E841-7D45-4D57-843A-2DF2DD5AEB83.jpeg

    ระวัง...โลกนี้มีสัตว์มากมายกำลังบำเพ็ญบารมี!!

    หลวงปู่จันทร์นั่งทางในเห็น
    "ปลาพระโพธิสัตว์"
    เลยต้องรีบช่วย
    ก่อนชาวบ้านจะซวยเพราะเอาไปแกงกิน!!

    หลายคนคงจะสงสัยว่า
    การเกิดมาเพื่อบำเพ็ญบารมีพระโพธิสัตว์
    เพื่อจะไปเป็นพระพุทธเจ้าตามที่ระบุไว้ในพระไตรปิฎกนั้นมีจริงหรือไม่ ...

    ลองอ่านเรื่องนี้แล้วพิจารณาดู
    เหตุเกิดที่จังหวัดนครพนม
    ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม
    โดย "หลวงปู่จันทร์ เขมิโย"
    ท่านได้เล่าไว้ว่า

    คืนหนึ่ง ขณะที่ท่านกำลังทำสมาธิกรรมฐาน
    ก็ปรากฏภาพนิมิตขึ้นในสมาธิ...
    เป็นภาพของแอ่งน้ำที่กำลังแห้ง
    ในนั้นมีปลาอยู่หกตัว
    เป็นปลาหมอสามตัว
    ปลาดุกสามตัว
    กำลังดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่

    หลวงปู่จันทร์จึงกำหนดจิตถามว่า
    เป็นคู่เวรคู่กรรมมาทวงหนี้ใช่หรือไม่?
    ปลาเหล่านั้นตอบว่า

    "พวกเราเป็นพระโพธิสัตว์
    มาเกิดเป็นปลาเพื่อบำเพ็ญบารมี
    แต่กระแสกรรมทำให้ถูก
    นายบุญช่วย สุวรรณทรรภ
    จับมาขังไว้ในตุ่มน้ำในสวนกล้วยติดหลังวัด

    ตอนนี้น้ำกำลังแห้ง
    ถ้าตายก่อนจะหมดโอกาสบำเพ็ญบารมี!!"

    หลวงปู่จันทร์จึงถามว่า
    เหตุใดจึงมาปรากฏในข่ายฌานสมาธิของท่าน

    ปลาพระโพธิสัตว์เหล่านั้นตอบว่า
    "พวกเราตั้งจิตอธิษฐานว่า
    ด้วยกุศลผลบุญที่บำเพ็ญเพียร
    เพื่อปรารถนาพุทธภูมิในอนาคต
    ขอให้เราได้ปรากฏในข่ายฌานของผู้ทรงศีล
    ที่เคยเกื้อกูลกันมาก่อนในอดีตชาติ
    จึงได้มาปรากฏในข่ายวิถีฌานสมาธิของท่าน"

    ตอนแรกหลวงปู่จันทร์คิดว่า
    เป็นนิมิตมายาจึงอธิษฐานจิตซ้ำว่า
    "ถ้าเป็นภาพนิมิตมายาขอให้ดับหายไป ...
    ถ้าเป็นนิมิตจริงขอให้ปลาเหล่านี้
    สวดพระพุทธคุณให้ได้ยิน"

    ปรากฏว่า เมื่ออธิษฐานเสร็จ
    ปลาเหล่านั้นก็พากันสวดสรรเสริญพระพุทธคุณว่า

    "นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ" ตัวละสามจบ
    เรียงกันไปจนครบหกตัว
    ท่านได้ยินดังนั้นจึงรับปากว่าจะช่วย

    รุ่งเช้า หลวงปู่จันทร์ออกบิณฑบาตไปจนถึงบ้านของโยมอุปัฏฐาก
    วันนั้นลูกสาวของโยมอุปัฏฐากได้มาใส่บาตร
    เสร็จแล้วก่อนที่จะไปบิณฑบาตบ้านอื่นต่อ
    หลวงปู่จันทร์จึงสั่งเด็กหญิงผู้นั้นว่า
    ตอนสางหลังกินข้าวเสร็จแล้ว
    ให้เอาขันน้ำใบใหญ่ ๆ ไปหาท่านที่วัดด้วย

    หลังจากนั้น
    เด็กหญิงก็เอาขันน้ำไปที่วัด
    ตามที่หลวงปู่จันทร์สั่ง
    เมื่อไปถึง ท่านก็สั่งว่า
    ให้เอาน้ำใส่พอประมาณ
    และให้ไปขอปลาหกตัวกับนายบุญช่วยที่ขังเอาไว้ในตุ่มน้ำในสวนกล้วยติดกับหลังวัด

    (เด็กหญิงผู้นี้รู้จักนายบุญช่วย)
    พร้อมกำชับด้วยว่า
    ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาปลามาให้ได้
    เมื่อเด็กหญิงไปถึงก็พบนายบุญช่วย
    จึงบอกว่า หลวงปู่จันทร์ให้มาขอปลาหกตัวที่ขังไว้ในสวนกล้วย
    เป็นปลาหมอสามตัว
    ปลาดุกสามตัว
    นายบุญช่วยแปลกใจ
    แต่ก็บอกว่า ตนไม่รู้ว่ามีปลาหรือไม่
    แล้วนายบุญช่วยก็ไปที่สวนกล้วย
    พอไปถึงกระต๊อบท้ายสวน
    นายบุญช่วยก็นึกได้ว่าตนเคยไปหาปลา
    และได้นำมาขังไว้จริง
    แต่ก็นานจนลืมไปแล้ว
    จึงรีบไปดูที่โอ่งกลางกอกล้วย ...

    ปรากฏว่าเห็นปลาอยู่หกตัว
    ตามที่หลวงปู่จันทร์บอกจริง ๆ
    จึงจับปลาใส่ขันให้เด็กหญิง
    แล้วก็ตามไปจนถึงวัด

    เมื่อนายบุญช่วยพบหลวงปู่จันทร์
    จึงบอกว่า หลวงปู่ท่านเก่งที่รู้ว่ามีปลาถูกขังอยู่
    หลวงปู่จันทร์บอกว่า ท่านไม่ได้เก่ง ...

    ปลาเหล่านี้ต่างหากที่เก่ง
    เพราะสามารถส่งกระแสจิต
    ไปขอความช่วยเหลือจากท่านได้

    โชคยังดีที่ยังไม่ได้เอาไปทำอาหาร
    เพราะจะเดือดร้อนทั้งครอบครัว!!
    จากนั้น หลวงปู่จันทร์ก็ทำน้ำมนต์พรมให้ปลา
    แล้วอธิษฐานให้ปลานั้นปลอดภัย
    สามารถบำเพ็ญบารมีต่อได้จนหมดอายุขัย
    แล้วจึงนำไปปล่อยที่แม่น้ำโขง
    ที่น่าแปลกก็คือ
    เมื่อปล่อยปลาลงน้ำแล้ว
    แทนที่มันจะรีบว่ายหนีกลับพากันกระโดดขึ้นเหนือน้ำสามครั้ง
    เหมือนกับจะแสดงการคารวะหลวงปู่
    จากนั้นก็พากันว่ายน้ำหายไป!!
     
  15. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    ED353CC2-1DAE-483F-B127-8A7136E07EC0.jpeg

    .... " กราบพระไปทำไม ? "

    .. อย่าไปเคารพพระอย่างนี้ อย่าไปกราบพระอย่างโน้น พระพุทธรูปเป็นวัตถุ เหล็ก หิน ปูน ทราย ทองเหลือง กราบทำไม แต่พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่น องค์หลวงตานี้ ท่านกราบพระ ท่านกราบด้วยความเคารพน้อบน้อมจริงๆ ท่านไม่ใช่กราบทองเหลือง ท่านกราบพระคุณ
    ถ้าใครก็ตามไปกราบทองเหลือง ไปเห็นทองเหลืองไปกราบปะหลกๆ แสดงว่าคนนั้นโง่มาก ไปกราบทำไม กราบทองเหลือง

    .. ต้องกราบพระคุณซิ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ทองเหลืองอันนี้เขาหล่อขึ้นมา เป็นพระพุทธปฏิมา ตัวแทนของพระพุทธเจ้า เรากราบพระพุทธรูป กราบเพื่ออะไร กราบเพื่อรำลึกถึงพระพุทธเจ้าบรมครูพระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแต่รูปร่างของท่านจะเป็นอย่างไร...เราไม่รู้ เราไม่เห็นเราเกิดมาสุดท้ายภายหลังตั้ง ๒๐๐๐ กว่าปีแล้ว แต่เรากราบพระคุณของท่าน พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนอย่างไร เรายอมรับ

    .. แนวแถวพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของพวกเราท่านกราบพระท่านกราบด้วยความจงใจจริงๆ กราบหลวงปู่มั่น กราบด้วยความจงใจจริงๆ ออกมาจากใจจริงๆ ถ้าเราเห็นท่านกราบนะ ท่านกราบเพื่ออะไร กราบทองเหลืองใช่ไหม กราบหิน กราบปูน กราบทรายใช่ไหม...ไม่ใช่ ท่านกราบพระคุณ นี้ก็เหมือนกัน

    .. เรากราบพ่อกราบแม่ของเราเหมือนกัน เห็นกระดูกของพ่อแม่ของเรา หรือกราบรูปพ่อแม่ของเรา เรากราบกระดาษอย่างนั้นใช่ไหม เรากราบกระดูกแห้งอย่างนั้นใช่ไหม ถ้ากราบอย่างนั้นก็กราบโง่ทีเดียวเลย ถ้าหากว่ากราบพระคุณของท่านนั้นล่ะ เป็นผู้ฉลาด พ่อแม่ให้กำเนินตั้งแต่หัวจรดเท้า เราได้มาจากพ่อแม่ เราก็ต้องกราบพระคุณของท่าน เราไม่ได้กราบเพื่ออย่างอื่น เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราทุกท่านนะ

    .. เข้าใจในการกราบ ในการแสดงความเคารพแต่บางคนก็เกินไป ไปเห็นกล้วยออกปลีก็ไปปักธูปปักเทียนไปกราบไปเห็นวัวสี่ขา วัวสองหัวอย่างนี้ ก็ไปกราบ ไปขอหวยขอเบอร์อีกอันนั้นก็มิจฉาทิฏฐิไปอีกอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ
    มันพิการของมัน เราจะไปกราบสัตว์ที่พิการได้อย่างไร แต่นี้เรากราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เพราะท่านเป็นผู้มีพระคุณอย่างสูง ขอให้พวกเราทุกๆท่านนะ แยกแยะให้ออกให้ใช้ปัญญา ให้แยก ให้แยะ ให้รู้จักจะนับถืออะไรก็ตาม จะเคารพอะไรก็ตาม ต้องมีเหตุผล

    โดย หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
    จากพระธรรมเทศนา "อย่าพ่ายแพ้ต่อสิ่งจอมปลอม"
    แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๔
     
  16. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    CEC0495A-57CC-490A-9678-9FA0E8170273.jpeg

    หลวงพ่อ ท่านบอกว่า"ถ่ายเก็บไว้ต่อไปจะเป็นภาพประวัติศาสตร์"
    USA.#19
    #พระอาจารย์เปลี่ยน#หลวงพ่อเปลี่ยน#พญานาค


    พญานาค กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.มาฟังธรรม
    *************************************
    ช่วงระหว่างที่หลวงพ่อท่านพักอยู่วัดญาณรังษี บ่อยครั้งหลังจากที่ท่านสรงน้ำเสร็จ ท่านจะมานั่งสนทนา เทศน์ธรรมะ กับญาติโยมที่ลานไม้ของวัด หน้ากุฏิที่ท่านพักเป็นประจำ แต่วันนี้อากาศแปรปวน ฟ้ามืดครึ้ม มีลมพัดแรง ทางวัดได้ตกลงกันว่า จะนิมนต์หลวงพ่อท่านงดแสดงธรรมในช่วงเย็นของวันนี้ เพราะกลัวฝนตก แต่ท่านบอก"ไม่เป็นไร ช่วงท่านเทศน์ให้ถ่ายรูปไว้" พระอาจารย์อ้วน หนึ่งในพระติดตาม ได้ถ่ายภาพตลอดช่วงเวลาที่ท่านเทศน์ และมีอยู่หนึ่งภาพ ขณะที่หลวงพ่อท่าน กำลังแผ่เมตตาให้สามีภรรยาชาวต่างชาติ เมื่อเช็คดูภาพที่ถ่าย เห็นแสงประหลาดที่เกิดขึ้น ก็ให้หลวงพ่อท่านดู ท่านก็บอกว่า

    "เป็นพญานาคที่มาฟังธรรม มาทำความเคารพเรา พรุ่งนี้ให้อัดรูปนี้มาแจกญาติโยม "
     
  17. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    68621876_720133945168739_4539121910306308096_n.jpg

    #พระมหาเถระท่านคุยกัน .."เสียดายหลวงปู่ตื้อ ถึงหลวงปู่ตื้อไม่มีรูป แต่ยังมีพิษนะครับ ฤทธิ์เดชมีมาก”

    ในหนังสือทิพย์ ได้ถ่ายทอดการสนทนาถึงเรื่องหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ระหว่างมหาเถระต่างนิกาย คือ ท่านพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) แห่งสำนักวัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย กับหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ สังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ผมขอคัดลอกบันทึกการสนทนาจากหนังสือทิพย์มาเสนอ ดังนี้ :

    เป็นที่เชื่อกันว่า หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านได้สำเร็จภูมิธรรมขั้นสูง เพราะอัฐิของท่านได้กลายเป็นพระธาตุ และแม้แต่ท่านจะเข้าสู่แดนนิพพานไปแล้วก็ตาม แต่ในบางครั้งท่านก็ยังเมตตามาโปรดเยี่ยมเพื่อนสหธรรมิกที่เป็นศิษย์ในสายเดียวกัน ดังเช่น หลวงปู่สิม พุทธาจาโร (มรณภาพเมื่อ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๕) แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งหลวงปู่สิมท่านมีความเคารพนับถือหลวงปู่ตื้อเป็นอย่างมาก

    ในการสนทนาครั้งหนึ่ง ที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (มรณภาพเมื่อ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕) แห่งวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ได้ไปเยี่ยมหลวงปู่สิมที่ถ้ำผาปล่องในครั้งนั้น

    พระราชพรหมญาณเถร (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) พาคณะศิษย์เยี่ยมคารวะและสนทนาธรรมกับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร

    เมื่อเจอกัน หลวงปู่สิมได้นิมนต์ให้หลวงพ่อฤๅษีฯ ขึ้นนั่งบนอาสนะที่วางอยู่บนยกพื้นสูงขึ้นไป ส่วนหลวงปู่สิมคงนั่งอยู่บนอาสนะที่พื้นล่าง แต่หลวงพ่อฤๅษีฯได้ปฏิเสธขอนั่งบนพื้นล่างเสมอกับหลวงปู่ สิม

    ในคำสนทนาตอนหนึ่ง หลวงพ่อฤๅษีท่านได้ปรารภว่า “หลวงปู่ตื้อไปเสียแล้ว เสียดายจริงครับ”

    หลวงปู่สิมท่านพึงพอใจที่กล่าวถึงครูบาอาจารย์ของท่าน ที่ท่านเคารพ จึงได้ถามว่า “ท่านเคยไปเยี่ยมหลวงปู่หรือ?”

    “เจอกันครับ ทะเลาะกัน” หลวงพ่อฤๅษีตอบยิ้มๆ ท่านหมาย ความว่าได้โต้ตอบโอวาทธรรมกันไม่ใช่ทะเลาะกัน

    “หลวงปู่ตื้อ ปฏิภาณโวหารมาก” หลวงปู่สิมพูดยิ้มๆ

    “หลวงปู่ตื้อดีมากครับ ปฏิภาณเก่งจริงๆ ยอดจริงๆ นี่ได้ตัวยอดปัญญาจริงๆ หายาก เสียดาย” หลวงพ่อฤๅษีฯ กล่าวต่อ

    หลวงปู่สิม ท่านก็กล่าวเสริมขึ้นว่า “เคยถามหลวงปู่ตื้อสมัยท่านมีชีวิตว่า เอ...พระที่มีปฏิภาณโวหารนี้มีอยู่หรือในประเทศไทย หลวงปู่ตื้อตอบว่าไม่มี แต่ไอ้ปฏิภาณโวหารมันมี แต่ว่าเพื่อนมักจะขัดคอ”

    “ธรรมดาหลวงปู่เก่งจริงๆ ตอบปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างคาดไม่ถึง...เสียดายหลวงปู่ตื้อ ถึงหลวงปู่ตื้อไม่มีรูปแต่ยังมีพิษนะครับ ฤทธิ์เดชมีมาก” หลวงพ่อฤๅษีฯ กล่าวต่อ

    “บางทีหลวงปู่ตื้อจะมาอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้" หลวงปู่สิมพูดยิ้มๆ

    หลวงพ่อฤๅษีฯ โพล่งออกมาทันทีว่า “ฮึ หลวงปู่ตื้อมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมา ท่านมานานแล้ว ไม่ใช่จะหรอกครับ ท่านเป็นพระที่น่ารักมาก”

    “ครับ” หลวงปู่สิมตอบยิ้มละมัย

    “ชอบในปฏิปทาของหลวงปู่ตื้อ คือไม่อั้นใครทั้งนั้น เรื่องตอบเลี่ยงคน ฝไม่มี ตรงไปตรงมา หายาก” หลวงพ่อฤๅษีฯ กล่าวต่อไป

    “ครับ” หลวงปู่สิมตอบรับ

    “นี่ ธรรมแท้ ถ้าทำขึ้น ทำละพังเลย ขืนตั้งกำแพงเมื่อไร ชนพังเมื่อนั้น ดีจริง หายาก หาไม่ได้ แต่ก็ยังมีอยู่ที่นี่ก็ยังมีรูปหนึ่ง หลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า

    “ใครครับหลวงพ่อ” ลูกศิษย์ท่านหนึ่งเรียนถาม

    “นี่...อยู่ตามถ้ำนี้แล้วไม่ช้าหรอกไม่ช้าก็เป็นหลวงปู่ตื้อ รูปที่สอง”

    ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ตอบอย่างนั้น ท่านหมายถึงหลวงปู่สิมจะเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณเหมือนหลวงปู่ตื้อ

    หลวงปู่สิมหัวเราะน้อยๆ ไม่กล่าวอะไร

    ต่อมาหลวงพ่อฤๅษีฯ ได้เล่าให้ลูกศิษย์ทั้งหลายฟังถึงเรื่องนี้ ในภายหลังว่า หลวงปู่ตื้อมาถ้ำผาปล่องนานแล้ว ท่านนั่งอยู่บนอาสนะที่ยกพื้นนั้น

    ฉะนั้น ตอนที่หลวงปู่สิมนิมนต์ให้หลวงพ่อฤๅษีฯ นั่งบนยกพื้น ท่านจึงไม่ยอมนั่ง เพราะจะเป็นการขึ้นไปนั่งเทียบเสมอหลวงปู่ตื้อ ซึ่งไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง หลวงพ่อฤๅษีฯ จึงขอนั่งเสมอหลวงปู่สิม

    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านเป็นพระอรหันต์ทรงคุณธรรมพิเศษ ยอดยิ่ง ได้ปฏิสัมภิทาญาณ คือมีความรู้พร้อมในหัวข้อธรรมวินัยอย่างยอดเยี่ยมเป็นเลิศ อันเป็นคุณวิเศษที่เรียกว่า เหนืออัจฉริยะ ซึ่งหาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน

    Cr. หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ๘ พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุปัน
    โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๒
    รศ.ดร.ปฐม - ภัทรา นิคมานนท์ เรียบเรียง

    #เพจเนื้อนาบุญ
     
  18. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    71E45AD7-CA24-440B-A872-B2189919EB9F.jpeg

    ท่านพ่อลี สอนว่า ...

    "ผู้ใดยึดกายไว้ก็เท่ากับยึดเวรกรรมไว้ ผู้ใดปล่อยกายได้ก็เหมือนกับปล่อยเวรกรรมเสียได้ เวรกรรมก็หมดไปจากกายเหมือนแผ่นดินที่เรายึดไว้เป็นกรรมสิทธิ์ มีหลักเขตและหน้าโฉนด มันมักเกิดการแย่งชิง ล่วงล้ำ คดโกง เป็นเหตุให้เกิดการพิพาทฟ้องร้องกันได้

    ถ้าเราไม่ยึดไว้ปล่อยให้เป็นของกลาง เป็นของโลกเสีย ใครอยากได้ก็เอาไปไม่หวงแหน เรื่องเดือดร้อนวุ่นวายพิพาทบาดหมางกันก็จะไม่เกิดขึ้นเช่นนี้ เราก็จะสบายใจ

    กาย เปรียบเหมือน นาวา แม่น้ำ คือกุศลจิต สติเป็นพายุ หาดทราดคือกิเลส ถ้าบุคคลใดมีสติอยู่เสมอ ก็จะทำ กายนาวา ของตน แล่นข้ามแม่น้ำไปถึงฝั่งได้ โดยไม่เกยหาดเกยแห้ง"
     
  19. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    D29DB550-10F5-4824-BDF2-C280FD000943.jpeg

    " กันอันตราย...ทุกอย่าง "


    ตอนอยู่กับองค์หลวงปู่ ผม(สิรภพ สายพานิช)ก็มีโอกาสถามอะไรท่านหลายอย่าง ตามประสาคนอยากรู้ ก็เคยถามหลวงปู่ ถึงพุทธคุณของวัตถุมงคลของท่านว่า สามารถป้องกัน อะไรได้บ้าง

    ท่านเมตตา ตอบว่า " กันอันตราย...ทุกอย่าง "

    แล้วกันนิวเคลียร์ ได้ไหมครับ

    " ได้...ของพระพุทธเจ้า...ท่านมาทำให้...ใช้ได้ทุกอย่าง...ตามอธิษฐาน "

    วัตถุมงคลขององค์หลวงปู่นั้น ตามที่ผมทราบมา เวลาท่านอธิษฐานจิตท่านแทบจะไม่เคยใช้สายสิญจน์

    ท่านเคยบอกว่า

    " เราอธิษฐาน...ครอบคลุมไปทั่ว...ทั้งเขตวัด "

    ท่านจะน้อมอัญเชิญบารมีพระทั้งหมด โดยตั้งจิตเพียงนึกถึง แบบฉับพลัน หลวงปู่จิตท่านไวมาก เพียงแค่นึกถึง พระท่านก็มาทันที และโดยเฉพาะพระมหาอุปคุต(พระอาจารย์ใหญ่)นั้น หลวงปู่ท่านจะอัญเชิญทุกครั้ง

    ท่านเคยบอกว่า

    " ท่านพ่ออุปคุตนี้ แค่เราคิดถึงท่าน ท่านก็มาแล้ว "

    Cr : Sira Pop
     
  20. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    8B40B4C2-F606-417E-B4EE-CA61D28C6D2C.jpeg
    " ที่ให้ไปนะ เอาไปคล้องนะ โยมได้ของดีไปแล้ว...ต้องใช้ "

    หลวงปู่พิศดู...ท่านเคยปรารภไว้ ว่า

    " เวลาเราเสกของ เราจะน้อมเอาของนั้น ไปถวายพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าท่านรับแล้ว ของนั้นก็เป็นของๆท่านนะ แม้แต่ของอื่นๆ ที่มีคนเอามาถวาย เราเอาถวายพระพุทธเจ้าท่านหมด "

    " เวลาเราเสก พระพุทธเจ้าท่านก็มา ท่านมากันทั้งหมด "

    " มนต์ที่ใช้เสก ก็มนต์ของพระพุทธเจ้าท่านทั้งนั้น ถ้าเราใช้มนต์ของท่าน ท่านก็มาช่วยทำด้วยอยู่แล้ว "

    " ท่านพ่ออุปคุต ท่านมาช่วยเสกของให้ด้วยนะ ท่านพ่ออุปคุตนี่ ญาณท่านใหญ่ แค่เราคิดถึงท่าน ท่านก็มาแล้ว "

    " เราถึงหมดทุกสาย ไม่ว่าสายไหนๆก็มาหาเราหมด "

    " ใช้ของเราไม่ต้องมีข้อห้าม ไม่ต้องห่วง ไม่มีเสื่อมอยู่แล้ว จะใส่ไปรอดอะไรก็ใส่ไป ไปได้ทุกที่ "

    " ที่ให้ไปนะ เอาไปคล้องนะ โยมได้ของดีไปแล้ว...ต้องใช้ "

    Cr : Sira Pop
    องใช้ "

    หลวงปู่พิศดู...ท่านเคยปรารภไว้ ว่า

    " เวลาเราเสกของ เราจะน้อมเอาของนั้น ไปถวายพระพุทธเจ้า พอพระพุทธเจ้าท่านรับแล้ว ของนั้นก็เป็นของๆท่านนะ แม้แต่ของอื่นๆ ที่มีคนเอามาถวาย เราเอาถวายพระพุทธเจ้าท่านหมด "

    " เวลาเราเสก พระพุทธเจ้าท่านก็มา ท่านมากันทั้งหมด "

    " มนต์ที่ใช้เสก ก็มนต์ของพระพุทธเจ้าท่านทั้งนั้น ถ้าเราใช้มนต์ของท่าน ท่านก็มาช่วยทำด้วยอยู่แล้ว "

    " ท่านพ่ออุปคุต ท่านมาช่วยเสกของให้ด้วยนะ ท่านพ่ออุปคุตนี่ ญาณท่านใหญ่ แค่เราคิดถึงท่าน ท่านก็มาแล้ว "

    " เราถึงหมดทุกสาย ไม่ว่าสายไหนๆก็มาหาเราหมด "

    " ใช้ของเราไม่ต้องมีข้อห้าม ไม่ต้องห่วง ไม่มีเสื่อมอยู่แล้ว จะใส่ไปรอดอะไรก็ใส่ไป ไปได้ทุกที่ "

    " ที่ให้ไปนะ เอาไปคล้องนะ โยมได้ของดีไปแล้ว...ต้องใช้ "

    Cr : Sira Pop
     

แชร์หน้านี้

Loading...