.เรื่องเล่า พลัง ในวัตถุมงคล หลวงปู่หมุน หลวงปู่สรวง คุณยายชีนวล แสงทอง หลวงปู่นวยถ้ำวัวแดง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย kwich, 20 พฤษภาคม 2019.

  1. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    4953BC7F-6CA0-4DE8-81F7-00424BA8A28D.jpeg

    #เล่าสู่กันฟัง

    ท่านพ่อลี สอนว่า ....

    "การนั่งสมาธิจริงๆ คือ กายก็นั่งตรงไม่คตงอ หรือเคลื่อนไหว วาจาก็สงบนิ่งไม่กล่าวคำพูดใดๆ ใจก็ตั้งเที่ยงไม่เอียงเอน และไม่วอกแวกไปจากตน


    เมื่อใจว่างแล้ว มันก็โปร่งสบายไม่รับอารมณ์ใดๆ เหมือนนกที่มีตีนแต่ก็ไม่มีรอยในอากาศ เราจะมองไม่เห็นรอยตีนของมันเลย

    นี้ฉันใด ใจที่ว่างเปล่านั้น ถึงใครจะด่าว่าให้ มันก็ไม่มีตัวหนังสือในอากาศ ย่อมไม่มีอะไรติดอยู่ในใจฉันนั้น"
     
  2. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    66119552_2316886321910470_546487683078160384_n.jpg

    #เล่าเรื่อง หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    ✨“กำพระเวลาสวดมนต์แล้วพระดิ้น ช่วยเพิ่มอานิสงค์แผ่บุญจากการสวด” หลวงปู่ดู่ยืนยัน หนึ่งในขั้นตอนของการทำสมาธิตามวิชา “ภูติพระพุทธเจ้า”✨


    ☀️เรื่องการนำองค์พระมาใช้ในการภาวนาในการฝึกวิชาเปิดโลก(วิชาภูติพระพุทธเจ้าของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ)
    ขอนำหนึ่งในวิชาที่หลวงปู่ ท่านได้เมตตาสอนไว้ให้ลูกศิษย์ซึ่งท่านได้รับวิชานี้มาจากเบื้องบน มาแนะนำกันครับ หลวงตาม้าท่านสำเร็จวิชาเปิดโลกมาจากหลวงปู่ดู่อีกทีหนึ่ง และเมตตานำมาสอนอยู่ในปัจจุบัน (ปัจจุบันผู้ที่แตกฉานวิชาหลวงปู่ที่ยังหลงเหลืออยู่ก็คือท่านหลวงตาม้า) โดยส่วนตัวผมเองนั้นโชคดีมากๆที่ได้มีบุญพบท่านและเรียนวิชานี้จากท่าน จึงอยากนำมาแบ่งปันผู้อื่นครับ

    ☀️เบื้องต้นเมื่อมีองค์พระแล้ว อาราธนามาไว้ในมือ แล้วสวดบทเจริญพระกรรมฐานด้วยบทสรรเสริญพุทธคุณ บทอาราธนาศีล บทบูชาหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และ บทขอขมาพระรัตนตรัย แล้วต่อด้วยบทพระมหาจักรพรรดิ
    จากนั้นจึงทำสมาธิในอิริยาบถที่เราถนัด กำพระไว้ในมือ น้อมนึกอาราธนากำลังจากองค์พระมาที่จิต เป็นการเพิ่มกำลังจิตในการภาวนาของเรา

    ☀️แล้วน้อมพลังงานพุทธคุณนี้มายังฐาน ที่เราใช้ในการทำสมาธิด้วย เช่นหากทำแนวอานาปานสติก็น้อมมาที่ลมหายใจ หรือถ้าเป็นแนวกำหนดสมาธิเฉพาะจุด(ที่เป็นสมถะ)เช่นที่ระหว่างคิ้ว ก็น้อมมารวมที่นั้น โดยนิมิตใดๆที่จะให้กำหนดต่อไปก็กำหนดไว้ที่ฐานที่เราใช้ในการทำสมาธิของเรา
    การบริกรรมใช้คำภาวนาพุทธคุณใดก็ได้ พุทโธ หรือ ภาวนาไตรสรณาคมณ์ไปเรื่อยๆ แต่แนะนำให้ใช้บทสวดพระจักรพรรดิมาใช้เป็นคำบริกรรมในการทำสมาธิเพราะจะได้ผลเร็วที่สุด (ควรท่องจำให้ขึ้นใจและในชีวิตประจำวันนึกได้เมื่อไรไม่ว่าทำอะไรอยู่ก็บริกรรมสบายๆในจิตของเรา จะเป็นการทรงจิตเราให้เป็นทิพย์และเป็นกำแพงแก้วคุ้มตัวเราด้วย)

    ☀️การกำหนดนิมิตที่ฐานที่เราใช้ในการทำสมาธิ ให้กำหนดเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ หรือจะเป็นหลวงปู่ทวด หรือ หลวงปู่ดู่ก็ได้ กำหนดนิมิตเบาๆ พร้อมไปกับการ ภาวนาคำบริกรรม เมื่อทำได้คืบหน้าแล้วจะรู้ที่จิตเอง โดยพลังงานของครูบาอาจารย์ที่คุมการภาวนาเราอยู่จะสื่อมาที่เรา (เพราะก่อนนั่งเราอัญเชิญท่านมาแล้ว) และพระท่านจะมาสอนเราในสมาธิได้ เมื่อสมาธิเราละเอียดเข้า หรือใจทรงความเป็นทิพย์ได้ดีขึ้น และวางอารมณ์ได้สบายๆ และหากถึงจุดๆหนึ่งจะทำให้สามารถสัมผัสโลกทิพย์ได้ ซึ่งมีประโยชน์ที่จะทำให้เราเข้าใจความจริงของธรรมชาติได้

    ☀️สรุปย่อๆก็คือ เรานำพระมากำก็เพื่อเพิ่มกำลังจิตในการทำสมาธิของเรา และ หากเราไปแห่งหนตำบลใดหากต้องการแผ่บุญปรับภพปรับภูมิส่งวิญญาณ แก้ภูมิแถวนั้นให้กำหนดขอพลังจากองค์พระพร้อมบริกรรมบทพระจักรพรรดิ แล้วน้อมแผ่ออกไปจะเป็นการส่งวิญญาณภพภูมิแถวนั้น โดยวิชานี้ทำได้แม้ยังไม่เห็นภพภูมิก็ตาม ขอแค่จิตเราน้อมไปด้วยความเป็นบุญเมตตาและหวังดี (การแผ่บุญครอบบุญใช้กับคนที่เราหวังดีได้ด้วย เช่นกัน หรือแม้กระทั่งกับศัตรูเราให้เขามาเป็นมิตรกับเรา
    การนำองค์พระมากำเวลาสวดมนต์
    กำพระเวลาสวดมนต์จะเป็นการทำให้จิตเรามีกำลังเป็นอย่างยิ่งอานิสงค์เวลาเราแผ่บุญจากการสวด จะคลุมไปทั่วจักรวาลและสังเกตว่าหากจิตเราสบายๆ องค์พระในมือจะดิ้น (พระเครื่องสายหลวงปู่ดู่ที่ใช้วิชาภูติพระพุทธเจ้าทำดิ้นได้ทุกองค์อันนี้หลวงปู่ท่านยืนยัน

    ☀️ทั้งนี้การทำกรรมฐานหลวงปู่ดู่ทุกแบบ ต้องมีการสวดบทจักรพรรดิก่อน หรือ ขณะที่ทำกรรมฐาน เพราะบทจักรพรรดิที่หลวงปู่ท่านให้ไว้ ขณะที่สวดจิตเราจะทรงความเป็นทิพย์เป็นการเร่งการปฏิบัติ
    แนะนำให้ใช้คาถาบทพระมหาจักรพรรดิ ในการทำสมาธิสำหรับผู้ที่กำหนดนิมิตองค์พระไม่ออก เพราะคาถานี้เป็นคาถาเร่ง นิมิต และหากทำถึงจุดหนึ่งจะเปิด ๓ โลกธาตุให้เห็นได้ เป็นขั้นๆไป และอย่าลืมว่า การกำหนดดูทุกแบบใช้ ใจ (จิต) ดู ไม่ใช่ตา เพราะลูกตาคนเราเป็นแค่ธาตุหยาบๆ ประกอบขึ้นจาก ดินน้ำลมไฟ ส่วนจิตเรานี้มีความละเอียด จึงย่อมสามารถฝึกให้เห็นความละเอียดได้เวลาปฏิบัติ
    นักปฏิบัติชอบสงสัยว่า ภาพจะเกิดที่ไหน อารมณ์กำหนดนั้นคล้ายการ นึกขึ้นมาในจิต แต่ไม่ใช่การนึกเดาเอาเอง เพราะเราได้ทำมาตามขั้นตอนเบื้องแรกแล้ว ทรงกำลัง นิมิตครูบาอาจารย์อยู่ในใจสบายๆ อธิษฐานจิตขอดูในสิ่งที่ต้องการกำหนด ทำบ่อยๆจะค่อยๆซึมซับและชิน ทำทุกวันจะคล่อง และพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

    ☀️และอย่าลืมบทสวดพระมหาจักรพรรดิ ยืน เดิน นั่ง นอน ว่าง เมื่อไร ทรงในจิต ทันที ความเป็นทิพย์จะเกิด กายทิพย์จะสว่าง นึกน้อมขอบารมีพระทุกองค์บารมีหลวงปู่ดู่เป็นที่สุด ครอบวิมานแก้วให้ตัวเราด้วย เพื่อเป็นกำลังในการดำเนินชีวิตป้องภัย และช่วยในการทรงกำลังใจ และอย่าลืมหมั่นแผ่บุญช่วยวิญญาณ
    หลวงปู่ท่านสอนเรื่องการใช้พลังงาน ศึกษาเรื่องพลังงานให้รู้จริงเรื่องภพภูมิ ๓ แดนโลกธาตุ เพื่อให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ วิญญาณเร่รอน สัมภะเวสี โอปะปาติกะ โดยการแผ่บุญ ให้ภพภูมิ นั้นๆ โดยถือเป็นการสร้างบารมีอย่างหนึ่ง และเป็นปัจจัยให้ถึงพร้อมสู่การได้มรรคผลนิพพาน เพราะมีบารมี และกำลังใจที่ฝึกมาดีแล้ว
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

    ✍️ที่มา FB : เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
    ✍️เรียบเรียงโดย:กิตติ จิตรพรหม
     
  3. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    66393613_2851436578216644_1821669804042354688_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง หลวงพ่อจง .....

    ภาพตำนาน...ถ้าไม่มีภาพก็เหลือแต่เพียงตำนานลมปาก...สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
    ณ.พิธีวัดสุทัศน์


    "หลวงพ่อจงเสกน้ำมนต์"

    ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในงานพุทธาภิเษกที่วัดสุทัศน์ ครั้งนั้นทางเจ้าภาพได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ไปหลายรูปด้วยกัน ซึ่งเจ้าของภาพ "หลวงพ่อจงเสกน้ำมนต์" จำได้ว่า พระสองรูปที่เขาเห็นและศรัทธาอย่างยิ่งนั้นก็คือ

    "พ่อท่านคล้าย" (วัดสวนขันธ์)
    "หลวงพ่อจง" (วัดหน้าต่างนอก)

    สาเหตุก็เพราะได้ประจักษ์กับตาถึงอภินิหารของทั้งสองท่านนี้ แต่ว่าไม่สามารถถ่ายภาพของพ่อท่านคล้ายได้ ถ่ายได้เฉพาะหลวงพ่อจงรูปเดียว เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีการทดลองวิชาของพระคุณเจ้าเกิดขึ้น

    ที่มาของภาพมีดังนี้ ...

    ในงานนั้น พ่อท่านคล้ายและหลวงพ่อจงนั่งพักอยู่ใกล้ๆ กัน ก็บังเอิญมีโยมคนหนึ่งมาขอให้พ่อท่านคล้ายช่วยทำน้ำมนต์ให้ พ่อท่านจึงบอกกับโยมคนนั้นว่า ให้ไปเอาขวดมา และเอาน้ำมาแก้วหนึ่งด้วย ท่านจะทำน้ำมนต์ให้ โยมคนนั้นก็ไปเอาขวดและน้ำมาให้พ่อท่านทำน้ำมนต์ พ่อท่านรับแก้วน้ำมาแล้วให้โยมคนนั้นเอาขวดไปตั้งไว้ข้างหน้าห่างไปพอสมควร จากนั้นพ่อท่านก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาเหมือนดื่ม แต่ไม่ได้ดื่ม เพียงแค่อมไว้ แล้วก็พ่นน้ำไปที่ขวดใบนั้น พรวดเดียวน้ำเต็มขวดเลย

    หลวงพ่อจงหันมามองแล้วก็หัวเราะหึหึ แล้วก็บอกว่า

    "จ้ะ... ฉันก็ทำได้"!!

    แล้วก็ให้โยมคนนั้นไปเอาขวดมาหนึ่งใบ
    โยมคนนั้นก็ดีใจ เพราะวันนี้จะได้น้ำมนต์วิเศษจากพระเกจิอาจารย์ดังถึงสองรูปด้วยกัน และที่สำคัญ...วิธีทำน้ำมนต์ของท่านนั้นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก จึงรีบไปเอาขวดและน้ำมาให้หลวงพ่อจง แต่หลวงพ่อไม่เอาน้ำ รับไว้เพียงขวดเปล่า จากนั้นหลวงพ่อจึงเอามือประสานกันบนปากขวด ทันใดนั้นก็ปรากฏว่ามีแสงสว่างเกิดขึ้นและมีน้ำไหลจากมือของหลวงพ่อลงไปในขวด (ดังภาพ)

    ฝ่ายพ่อท่านคล้ายเห็นดังนั้นก็รีบยกมือไหว้แล้วก็กล่าวว่า

    "ท่านจง...ผมยอมแพ้ท่านแล้ว"!!

    หลังจากนั้น เมื่อพ่อท่านคล้ายไปร่วมงานพุทธาภิเษกที่ไหน ถ้ารู้ว่าหลวงพ่อจงไปด้วยก็จะให้ลูกศิษย์อุ้มท่านมากราบหลวงพ่อจง (เนื่องจากขาของท่านไม่ดี)

    ผู้ที่ถ่ายภาพนี้บอกว่า เสียดายที่ถ่ายภาพตอนพ่อท่านคล้ายทำน้ำมนต์ไม่ทัน แต่พอเขารู้ว่าหลวงพ่อจงจะทำน้ำมนต์ด้วยจึงรีบตั้งกล้องคอยท่าไว้ เมื่อหลวงพ่อจงทำน้ำมนต์ให้ไหลลงไปในขวด เขาก็เลยถ่ายภาพนี้เอาไว้ได้
     
  4. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    #เรื่องเล่า ความมหัศจรรย์ ในพิธีพุทธาภิเษก วัดป่าสักฯ เหรียญหลวงปู่หมุนแจกทานในพิธี เหรียญดวงเศรษฐีหลวงปู่หมุนรุ่น3 กับความสามารถของผู้ฝึกวิชาสายธรรมกายของหลวงปู่สด วัดปากน้ำฯ จักรพรรดิ์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก สายมโนมยิทธิ หลวงพ่อฤาษีฯวัดท่าซุง กับความแยบคายในการนำมาประยุกติ์ใช้ตรวจรังสีพลังของวัตถุมงคล เชิญรับฟังครับ

     
  5. จิรบดี

    จิรบดี สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +21
    สวัสดีครับ ผมก็ติดตามกลุ่มของคุณภักดี กับคลิปของพี่ท่านนึงที่ได้ลงไว้เหมือนกันครับ
    ขอสาธุ อนุโมนาที่ช่วยกันเผยเเพร่นะครับ
     
  6. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    สวัสดีครับ ยินดีครับ ในคลิบที่เผยแพร่ เป็นเพื่อนในกลุ่มที่ได้รวมกลุ่มกันไปทำบุญและ ตะเวณกราบพระอริยะ ด้วยกันนะครับ อาศัยเพื่อนๆหลายคนในกลุ่มที่ตาดีเก่งๆในแต่ละแบบ คอยแนะนำพระดีให้ไปทำบุญ วัตถุมงคลขลังๆพลังเยี่ยมให้บูชา เป็นความชอบแนวเดียวกันนะครับ
     
  7. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    66418419_1421186874688970_8984694944664911872_n.jpg

    B8BDC866-A0A9-4B38-BD5F-4FFAC220FAD1.jpeg
    #เล่าสู่กันฟัง หลวงปู่ขันธ์ วัดมงคลโสภิต(วัดต้นสน) จ.ฉะเชิงเทรา พระอริยเจ้าศิษย์สายหลวงปู่มั่น อายุ97ปี

    แอดมิน : หลวงปู่ครับ เคยมีคนนิมนต์หลวงปู่ไปไล่ผีไหมครับ

    หลวงปู่ : มีสิ เยอะด้วย

    แอดมิน : แล้วหลวงปู่ไปไล่ผีให้เค้าไหมครับ

    หลวงปู่ : ไปๆ

    แอดมิน : หลวงปู่ไปถึงแล้ว ไล่ผียังไงครับ

    หลวงปู่ : ไปถึงก็ไปสวดมนต์ นั่งสมาธิ แบ่งบุญให้เค้า แล้วก็ส่งเค้าไปสู่ภพภูมิที่ดี

    แอดมิน : แล้วหลวงปู่เคยเจอผีที่ไม่เอาบุญไหมครับ

    หลวงปู่ : เจอสิ ไอ้พวกนี้มันไล่ยาก มันดื้อ เราก็แผ่เมตตาให้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายผีมันก็รับ บุญกุศลมันสบายหนิ ผีได้แล้วเค้าสบาย เค้าก็เอา

    แอดมิน : แล้วอย่างไล่ผีด้วยคาถาอาคมหล่ะครับหลวงปู่

    หลวงปู่ : โอ้ยย ไม่ได้ๆ ไล่ผีด้วยคาถาอาคมมันไม่ถูกต้อง ไปสร้างความเดือนร้อนให้เค้าปล่าวๆ ทำให้เค้าเป็นทุกข์ ไม่ทำๆ

    แอดมิน : สาธุครับหลวงปู่

    แอดมินขอน้อมกราบหลวงปู่ขันธ์ วัดมงคลโสภิต(วัดต้นสน) จ.ฉะเชิงเทรา พระอริยเจ้าศิษย์สายหลวงปู่มั่น อายุ97ปี ด้วยเศียรเกล้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2019
  8. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    66374935_341307136767707_2616703752731623424_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี

    ฤทธิ์น้ำมันเสก..

    หลวงปู่เป็นพระที่มีเมตตาจิตสูง ท่านชอบแจกของให้ผู้ที่มากราบนมัสการเสมอ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะทำบุญกับท่านหรือไม่ ท่านมีอะไรก็หยิบแจกเสมอ หนึ่งในนั้นที่ท่านชอบแจกก็คือ น้ำมันเสก น้ำมันที่ว่านี้ก็มีหลายอย่าง อาทิ น้ำมันพิมเสน การบูร น้ำมันนวดต่างๆ ท่านจะบอกว่า

    " นี่เป็นของเสก จะใช้ทางไหนก็อธิษฐานเอา.."
    มีพระอาจารย์ลูกศิษย์หลวงปู่อยู่รูปหนึ่งซึ่งได้รับแจกน้ำมันพิมเสนเสกจากหลวงปู่ ท่านก็มีติดย่ามไว้ใช้ตลอด แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ตาลายคล้ายจะเป็นลม ใช้ดม ใช้ทาในหลอดเดียวกัน ฯลฯ ว่ากันสารพัดประโยชน์

    แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีชาวบ้านถูกผีเข้า ก็มีคนมาตามให้พระอาจารย์รูปนี้ไปช่วยสวดไล่ผีให้ ด้วยความที่เร่งรีบเป็นห่วงลูกศิษย์พระอาจารย์จึงไม่ได้เตรียมอุปกรณ์อะไรไปเลย คว้าย่ามได้เท่านั้นก็รีบไปทันที พอไปถึงคนไข้ที่ถูกผีเข้า พระอาจารย์จึงล้วงไปในย่ามเพื่อจะหาของขลังจะมาไล่ผี แต่ว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำมันพิมเสนเสก ของหลวงปู่พิศดูที่ติดย่ามเพียงขวดเดียวเท่านั้น พระอาจารย์จึงได้นำน้ำมันนั้นออกมาอาราธนานึกถึงหลวงปู่พิศดู คนไข้ก็มีอาการกระสับกระส่ายเหมือนจะหมดแรง พอพระอาจารย์นำน้ำมันนั้นไปป้ายคนที่ถูกผีเข้าเท่านั้น ผีก็ออกทันที คนไข้ก็เริ่มได้สติ พระอาจารย์จึงมอบน้ำมันขวดนั้นไว้ให้โยมที่บ้านนั้นใช้

    พระอาจารย์ได้บอกว่า.. " ของๆหลวงปู่พิศดูขลังทุกอย่างจริงๆ ขนาดน้ำมันพิมเสนที่ท่านแจก เอาไปป้ายคนผีเข้า ผียังออกเลย.."
    — ใน วัดเทพธารทอง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี - หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี
    Cr .
    Sira Popกลุ่ม หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กรกฎาคม 2019
  9. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    27F5F150-DBC4-4250-BC7D-65DF9D80333C.jpeg

    #เล่าข่าวบุญ


    โอนร่วมบุญกันได้นะครับ 10 บาท 20 บาท ตามที่เราอยากทำ

    โครงการหุ้มทองคำยอดน้ำค้างพระธาตุพนมพร้อมปิดทองคำเปลว,ทาสี


    **เปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมเป็นเจ้าภาพถวายทองคำและทองคำเปลวดังนี้

    1.จัดตั้งกองบุญ 10,000 กอง กองละ 1,000 บาท

    (1 ท่านจะร่วมกี่กองก็ได้)

    ในกองบุญนี้เพื่อจัดซื้อทองคำตีหุ้มยอดน้ำค้าง ใช้ทองคำประมาณ 7 กิโลกรัม พร้อมค่าสีทาองค์พระธาตุ ค่าช่างค่าดำเนินงานทั้งหมด

    2.ร่วมบูชาแผ่นทองคำเปลวถวายติดพระธาตุ แผ่นละ 5 บาทเราใช้ทั้งหมดประมาณ 7 แสนแผ่น

    3.บริจาคตามกำลังศรัทธา

    *ระยะระดมทุน ประมาณ 4 เดือนหรือจนครบ

    *ระยะดำเนินการคาดว่าช่วงออกพรรษาไปแล้ว

    (จะแจ้งรายละเอียดอีกครั้งหลังจากระดมทุนได้แล้ว)

    สามารถร่วมในบัญชี
    ชื่อบัญชี พระครูโสภณธรรมสโรช (ก้องเกียรติ คืนดี)
    เลขบัญชี 678-3-62481-1
    ธนาคาร กรุงไทย ออมทรัพย์
    สาขาเขื่อนใน

    #บัญชีโครงการมีบัญชีนี้บัญชีเดี่ยวเท่านั้น

    #ลูกพระธาตุรวมพลังสามัคคีด้วยกันเทอญสาธุ

    #ขออานิงค์นี้ส่งผลอันดีงามสู่ผู้ร่วมบุญทุกๆท่านสาธุๆๆ

    #บุญนี้เป็นของทุกๆท่านร่วมด้วยช่วยกันแชร์สาธุ

    ลิงก์ไปเฟสได้ครับ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    93F505F1-AB44-43D8-B9CB-A61DD166395E.jpeg

    #เล่าสู่กันฟัง.

    การเสริมดวงโชคลาภ (ความเชื่อ โปรดใช้วิจารณญาน)


    ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา เวลามีเคสมาถามว่า ทำไม เขาไม่ค่อยมีลาภ มีโชคเลย เช่น ไม่ถูกหวยเลย ไม่ค่อยมีใครให้อะไร ตกงานนานๆ สัมภาษณ์งานแล้วรอนานๆ ไม่ได้บรรจุสักที ค้าขายไม่ค่อยดี ทั้งๆที่ปรับสินค้า ปรับแผนการตลาด โดยมากจะแนะนำดังนี้

    1.ให้ทำทานบ่อยๆ บ่อยในที่นี้ไม่ต้องเยอะ ทำบ่อยๆ เช่น ให้อาหารหมาข้างถนน อาหารแมวจร ให้ขนมแก่นกพิราบ ใส่บาตร บริจาคเสื้อผ้ามือสอง ได้ทุกอย่าง ที่เป็นการให้ทาน ทำบ่อยๆ

    2.หากข้อ 1 ไม่สะดวก ให้บริจาคแรงงาน หรือเวลาที่มีที่ว่าง ไปทำประโยชน์ให้คนอื่น หรือส่วนรวม เป็นการให้ทาน ที่ไม่ต้องเสียเงิน แต่ได้บุญ เช่น เก็บขยะ ตามถนนสาธารณะ ลงถังขยะ กวาดลานวัด ล้างห้องน้ำวัด ไปช่วยเตรียมสถานที่งานบุญเพื่อนบ้าน แม้กระทั่ง ไปเจอถนนเป็นหลุมบ่อ เราเจตนาเอาดินลูกรัง ไปถมไว้ให้ ให้เต็มคนไปมาสะดวก อย่างนี้ก็ได้

    3.เห็นใครทำดี อะไรก็ตาม นั่งรถผ่าน หรือเห็นในข่าวทีวี ให้น้อมจิตโมทนาบุญกับเค้า
    4.สวดมนต์ เน้นคาถาพระสีวลี คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ฉบับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค คาถาจินดามณี ฉบับ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ /ก่อนสวดสมาทานศีล กราบพระรัตนตรัย สวดอิติปิโส 3 ห้อง ก่อน

    ทำตามนี้ เอาตามที่ทำได้ แล้วก็ ขยันทำมาค้าขาย ทำกิจของตนให้ดี ไปเรื่อยๆ มันจะมีแรง แปลกๆมาช่วย บางครั้งคนเอาของมาฝากมาให้ ทั้งๆที่ไม่เคยได้ เกิดถูกหวย เกิดมีโอกาสดีๆเข้ามาเยอะกว่าเดิม ปิดยอดการขายได้ เป็นต้น

    ไม่ต้องเชื่อ ให้ลองทำดู สัก 1 เดือน แล้วเว้นไป 1 เดือน ให้คุณสังเกตุความแตกต่าง จะทราบชัดเลย

    ;อ.ปาล์ม
    แชร์ได้ แต่โปรดใช้วิจารณญาน อย่าพึ่งเชื่อ
     
  11. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    FBA19201-0FB8-4085-8A71-736A6134DF65.jpeg

    #เล่าสู่กันฟัง

    หลวงพ่อลีสอนท่านเจ้าคุณสมเด็จ


    หลวงตามหาบัวเล่าเรื่องท่านพ่อลีสอนสมาธิสมเด็จฯ (อ้วน ติสฺโส) ในเรื่องนี้ขอนำเรื่อง “ท่านพ่อลี ธมฺมธโร” สอนสมาธิ “สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)” ที่ “หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน” เล่าไว้ มาถ่ายทอดให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบกัน มีความว่า
    “...พระสมเด็จฯ ผู้มีปฏิปทาอย่างนี้ หายากยิ่งนัก เพราะสมัยนี้อย่าหวังว่าจะหาพระสมเด็จฯ ที่อ่อนน้อมถ่อมตน ยอมลดตน ลดทิฏฐิมานะเพื่อธรรมขั้นสูงนั้นเจอ หาเข็มในมหาสมุทรยังง่ายกว่า !! เป็นไหนๆ ในสมัยที่ท่านพ่อลีอยู่จำพรรษากับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) วัดบรมนิวาส ปทุมวัน กรุงเทพฯ ท่านได้รับความเมตตาจากสมเด็จฯ เป็นอย่างมาก แต่สมเด็จฯ ท่านไม่ค่อยจะเชื่อน้ำยาพระกรรมฐานสักเท่าไร ท่านเคยออกคำสั่งไล่พระกรรมฐานออกจากป่า แม้หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เองก็เคยถูกท่านไล่มาแล้ว...”

    ท่านพ่อลีจึงคิดหาทางที่จะดัดนิสัยสมเด็จฯ ให้รู้เสียบ้างว่า

    “...ธรรมของจริง ผู้รู้จริงเป็นอย่างไร สมเด็จฯ ท่านอ่านตำรามาก ชอบวิจารณ์วิจัย แต่วันๆ ผ่านไปโดยไม่ปฏิบัติสมาธิภาวนาพิจารณาสังขาร ทำแต่งานภายนอก คิดดูแล้วก็น่าสงสาร ท่านเป็นผู้มีคุณูปการต่อเรา เราต้องปฏิบัติการตอบท่านด้วยธรรมที่รู้เห็นมาตามสติปัญญาที่มี”

    เมื่อท่านพ่อลีคิดอย่างนั้น ท่านก็เริ่มปฏิบัติการเบื้องต้น ท่านจึงกำหนดจิตเพ่งกสิณน้ำและไฟ ในบางคราวเพ่งกสิณน้ำใส่ สมเด็จฯ ก็จะหนาวสะบั้นสั่นเทาเหมือนคนเป็นไข้จับสั่น บางคราวเพ่งกสิณไฟ กำหนดเป็นไฟไปเผา สมเด็จฯ ร้อนรนกระวนกระวายผ่าวไปทั้งร่าง แต่การเพ่งกสิณทั้งนี้ไม่ให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ กลับเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อยๆ สมเด็จฯ ท่านจึงเรียกท่านพ่อลีมาถามว่า

    “เอ...วันนี้มัน มันเป็นอะไรกันนะ เดี๋ยวร้อนเหมือนถูกไฟเผา เดี๋ยวหนาวจนสะบั้น”

    เมื่อท่านพ่อลีเข้าไปหา ทำทีจับโน่นจับนี่ พูดว่า “ไหน...ไหน...มันเป็นอะไร” อากาศร้อนหนาวมันก็เปลี่ยนแปลงบ้างแหละ...ขอรับเจ้าประคุณ !

    เมื่อเป็นหลายครั้งหลายหน สมเด็จฯ ท่านเป็นนักปราชญ์ฉลาดหลักแหลม ช่างสังเกตหาเหตุผลเสมอจึงเอะใจ เป็นที่น่าสงสัยเพราะถ้าท่านพ่อมาเมื่อใดอาการนั้นก็หายทันที สมเด็จฯ ท่านจึงพูดกับพระใกล้ชิดว่า “เหตุที่เป็นดังนี้ ท่านลีคงทำเราแหละ เราเคยดูถูกพ่อของพระกรรมฐานคือท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านลี”

    หลังจากนั้นมา สมเด็จฯ ท่านก็เข้าใจพระป่า อุดหนุนส่งเสริมในการสร้างวัดป่ากรรมฐาน เช่น วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นวัดที่สำคัญเป็นกองทัพธรรมกรรมฐานในสมัยนั้น

    ต่อมาสมเด็จฯ ท่านขอร้องให้ท่านพ่อลีสอนสมาธิให้ทุกวัน ท่านพ่อลีไปอยู่แห่งหนตำบลใด ท่านก็จดหมายไปตามมาทุกครั้ง นับว่าท่านพ่อลีเป็นผู้ที่ท่านโปรดปรานมาก เมื่อสมเด็จฯ ปฏิบัติได้ถึงขั้นจิตลงสู่ความสงบ ท่านถึงกล่าวชมท่านพ่อลีว่า “...คำพูดของคุณแปลกจากพระกรรมฐานองค์อื่น แม้เราจะทำไม่ได้ไม่ถึง ก็เข้าใจได้ชัดแจ้งไม่สงสัย พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์เสาร์ ที่เคยอยู่ใกล้ชิดกับเรา เราก็ไม่ได้ประโยชน์เหมือนคุณมาอยู่กับเรา เพราะเรารู้สึกมีสิ่งแปลกประหลาดใจหลายอย่างในขณะนั่งสมาธิ”

    แล้วสมเด็จฯ ท่านก็เผยความในใจว่า “...เราไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่า การนั่งสมาธิจะมีประโยชน์มากอย่างนี้ เราก็ได้บวชมานาน ไม่เคยเกิดความรู้สึกอย่างนี้เลย แต่ก่อนเราไม่นึกว่าการทำสมาธิเป็นของจำเป็น แต่บัดนี้เราได้เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง อันมีผลปรากฏที่ใจแล้ว”

    หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้กล่าวสรุปไว้อย่างน่าฟังว่า “ท่านพ่อลีนี่เองเป็นผู้ที่สามารถเอาชนะใจสมเด็จฯ ได้ แต่ก่อนนั้นสมเด็จฯ เป็นคนบ้ายศ แล้วเที่ยวขนาบกรรมฐานไปทั่ว เที่ยวไล่ ไล่พระกรรมฐานที่อยู่ในป่าในเขา หลวงปู่มั่นก็เคยถูกไล่”

    ต่อมาในงานเผาศพหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล สมเด็จฯ ได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจึงเดินเข้าไปหาและพูดว่า “เออ! ท่านมั่น เราขอขมาโทษเธอ เราเห็นโทษแล้ว แต่ก่อนเราก็บ้ายศ”

    หลวงตามหาบัวเล่าพร้อมทั้งหัวเราะ มีรอยยิ้มหน่อยๆ ที่ริมฝีปาก เป็นกิริยาที่น่ารักเคารพของพระอริยเจ้าผู้สงบระงับ นี่เองสาระสำคัญในบทนี้ ท่านผู้มีธรรมท่านปฏิบัติต่อกันด้วยความงดงาม ถือธรรมวินัยเป็นใหญ่ ไม่ได้ถือยศตำแหน่งอันกิเลสแต่งแต้มให้ลุ่มหลง ผู้รักธรรมจึงยอมตน สละตนจากความยึดมั่นถือมั่นไปสู่ความว่างเปล่าจากกิเลส แต่เต็มตื้นไปด้วยคุณธรรม เพราะการบรรลุธรรม บรรลุด้วยใจ หาใช่บรรลุด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ เพศภาวะ ชาติตระกูล ญาติพี่น้อง หรือทรัพย์สินเงินทองไม่ หากอยากได้ต้องมีการประพฤติปฏิบัติ พระกรรมฐานมีวิชชา มีธรรม มีศีล และมีชีวิตอันอุดมไปด้วยความดีเท่านั้น เพียงเท่านั้นจริงๆ

    ขณะที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) กำลังอาพาธหนัก ท่านได้สั่งว่า “ท่านลี ต้องอยู่กับเราจนตาย ถ้าเรายังไม่ตายจะหนีไปไหนไม่ได้ จะมาเฝ้าหรือไม่เฝ้าอยู่ปฏิบัติก็ตาม ขอให้เรารู้ว่าอยู่กับเราก็พอ”

    ท่านพ่อลีจึงรับปากว่าจะอยู่ปฏิบัติ แต่ก็คิดในใจว่าเป็นกรรมอะไรของเราหนอถึงต้องมาอยู่เหมือนถูกกักขังในเมืองพระนครเช่นนี้ ทันใดนั้นท่านได้กำหนดจิตพิจารณาได้ทราบว่า เป็นกรรมเก่าที่เคยขังนกเขาไว้ ก็เลยต้องจำใจอยู่

    ท่านพ่อลีได้ฝึกสอนให้สมเด็จฯ นั่งสมาธิทุกวัน โดยเจริญอานาปานสติมีข้อสำคัญอยู่ ๗ ข้อ คือ

    ๑. ให้ภาวนา ‘พุท’ ลมเข้ายาวๆ ‘โธ’ ลมออกยาวๆ ก่อน ๓ ครั้ง หรือ ๗ ครั้ง

    ๒. ให้รู้จักลมเข้าลมออกโดยชัดเจน

    ๓. ให้รู้จักสังเกตลมในเวลาเข้าออกว่ามีลักษณะอย่างไร สบายหรือไม่สบาย กว้างหรือแคบ ขัดหรือสะดวก ช้าหรือเร็ว สั้นหรือยาว ร้อนหรือเย็น ถ้าไม่สบายก็ให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขจนได้รับความสะดวกสบาย เช่น เข้ายาวออกยาวไม่สบาย ให้เปลี่ยนเป็นเข้าสั้นออกสั้น เป็นต้น จนกว่าจะได้รับความสบาย เมื่อได้รับความสบายสะดวกดีแล้ว ให้กระจายลมที่สบายนั้นไปในส่วนต่างของร่างกาย เช่น สูดลมเข้าไปที่ท้ายทอยปล่อยลงไปในกระดูกสันหลังให้ตลอด ไปตามขาขวาทะลุถึงปลายเท้า แล้วกระจายไปในอากาศ แล้วก็กลับมาสูดใหม่ปล่อยเข้าไปในท้ายทอย ปล่อยลงไปในกระดูกสันหลัง ปล่อยไปตามขาซ้ายทะลุถึงปลายเท้า แล้วกระจายไปในอากาศ แล้วก็กลับมาปล่อยตั้งแต่ท้ายทอยผ่านไหล่ทั้งสองถึงข้อศอก ข้อมือทะลุถึงปลายนิ้ว กระจายไปในอากาศ แล้วก็ปล่อยลงคอหอยกระจายไปที่ขั้วปอดขั้วตับ กระจายเรื่อยลงไปจนถึงกระเพาะเบา กระเพาะหนัก แล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปตรงกลางอกทะลุไปจนถึงลำไส้ กระจายลมสบายเหล่านี้ให้ทั่วถึงกัน จะได้รับความสะดวกขึ้นมาก

    ๔. ให้รู้จักขยายลมออกเป็น ๔ แบบ คือ

    ๑) เข้ายาว ออกยาว
    ๒) เข้าสั้น ออกสั้น
    ๓) เข้าสั้น ออกยาว
    ๔) เข้ายาว ออกสั้น

    แบบใดเป็นที่สบายให้เอาแบบนั้น หรือทำให้สบายได้ทุกแบบยิ่งดี เพราะสภาพของบุคคลลมหายใจย่อมเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลา

    ๕. ให้รู้จักที่ตั้งของจิต ฐานไหนเป็นที่สบายของตัวให้เลือกเอาฐานนั้น (คนที่เป็นโรคเส้นประสาท ปวดศีรษะ ห้ามตั้งข้างบน ให้ตั้งอย่างสูงตั้งแต่คอหอยลงไปและห้ามสะกดจิต สะกดลม ให้ปล่อยลมตามสบาย ปล่อยใจตามลมเข้าลมออกให้สบาย แต่อย่าให้หนีไปจากวงลม) ฐานเหล่านั้นได้แก่

    ๑) ปลายจมูก
    ๒) กลางศีรษะ
    ๓) เพดาน
    ๔) คอหอย
    ๕) ลิ้นปี่
    ๖) ศูนย์ (สะดือ)

    นี้ฐานโดยย่อ คือที่พักของลม

    ๖. ให้รู้จักขยายจิต คือ ทำความรู้ให้กว้างขวางออกไปทั่วสรรพางค์กาย

    ๗. ให้รู้จักประสานลม และขยายจิตออกให้กว้างขวางให้รู้ส่วนต่างๆ ของลม ซึ่งอยู่ในร่างกายนั้นก่อน แล้วจะได้รู้ในส่วนอื่นๆ ทั่วไปอีกมาก คือ ธรรมชาติของลมมีหลายจำพวก ลมเดินในเส้นประสาท ลมเดินหุ้มเส้นประสาททั่วๆ ไป ลมกระจายออกจากเส้นประสาทแล่นแทรกแซงไปทั่วทุกขุมขน ลมให้โทษและให้คุณย่อมมีปนกันอยู่โดยธรรมชาติของมัน

    ที่มา: เว็บ #ลานธรรมจักร
    4E34A8EF-20E6-4818-8209-795B5AB4C3C0.jpeg
     
  12. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    8F6DCEA9-F714-4FFA-94AA-C0D6369853FB.jpeg 587FC994-FBFB-470D-90D2-937B3C3B1C08.jpeg

    #เล่าสู่กันฟัง

    #หลวงปู่หมุนศิษย์หลวงตาดำหรือหลวงปู่ใหญ่องค์อัครบูรพาจารย์แห่งดินแดนโลกุตระในดง


    หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล อมตะสงฆ์ทรงอภิญญา๕แผ่นดินที่ทุกคนรู้จักดีในปัจจุปันนี้ ได้เคยกล่าวถึง"หลวงตาดำ" ในประวัติการติดตามหาครูบาอาจารย์ในช่วงแรกๆ
    ที่ผมเขียนไว้ในหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ก"หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล รวยทันใจ อมตสงฆ์ทรงอภิญญาห้าแผ่นดิน อายุ๑๐๙ปี" ความว่า..

    หลวงปู่หมุนนับเป็นทายาทผู้สืบสายพระเวทย์พุทธาคมของหลวงปู่สมเด็จลุนแห่งนครจำปาสัก สปป.ลาว
    โดยสมเด็จลุนเป็นที่เลื่องลือในคุณธรรมและมีอภิญญาอภินิหารสามารถเดินบนน้ำได้ เดินทะลุภูเขาได้ ย่นระยะทาง แปลงร่างได้ กล่าวกันว่าภิกษุสงฆ์ยุคก่อนนั้นได้ดั้นด้นไปขอเรียนวิชากับสมเด็จลุนมากมาย หลวงปู่หมุนเองก็ธุดงค์เข้าจำปาสักเพื่อสืบหาสมเด็จลุนแต่ไม่พบจึงได้พักกับหลวงพ่อมหาเพ็ง วัดลำดวน ในช่วงนั้นหลวงปู่หมุนได้ใช้เวลาค้นคว้าศึกษาพระไตรปิฏกในเรื่องพระวินัยปิฏก พระอภิธรรม การเจริญพระกรรมฐานประมาณ ๒ เดือนกว่าจึงได้ธุดงค์กลับประเทศไทยและเดินทางเข้ากรุงเทพมาพำนัก ณ วัดหงษ์รัตนาราม

    ต่อมาท่านได้ธุดงค์ไปอิสานและข้ามไปที่ลาวอีกช่วงนั้นท่านยังหนุ่มอายุ๓๐ปีเศษ หลวงปู่หมุนได้พบกับฆราวาสผู้ทรงอภิญญาท่านหนึ่งชื่อ"อาจารย์ฉันท์"ซึ่งมีศักดิเป็นหลานสมเด็จลุน จึงได้ขอเรียนวิชาจนสำเร็จจนอาจารย์ฉันท์หมดภูมิที่จะสอนแล้วจึงได้แนะนำหลวงปู่หมุนให้ไปฝากตัวเป็น"ศิษย์หลวงตาดำ"

    ในการเป็นศิษย์"หลวงตาดำ"นั้นมีกฏเกณฑ์รายละเอียดมากมายทั้งยังต้องทดสอบภูมิปัญญาและกระแสจิตที่ต้องเข้มแข็งพอที่จะเรียนวิชาของท่านได้ในรุ่นที่หลวงปู่ฝากตัวเป็นศิษย์นั้นมีพระมาขอเรียนวิชามากกว่า๕๐รูป แต่"หลวงตาดำ"ท่านทดสอบวิชาแล้วคัดออกจนเหลือแค่สามรูป มีหลวงพ่อสงฆ์ วัดม่วง จ.ลพบุรี หลวงปู่หมุน และอีกรูปหนึ่งซึ่งหลวงปู่หมุนลืมชื่อไปแล้ว

    สำหรับพิธีครอบครูของ"หลวงตาดำ"นั้นมีของยกครูที่หลวงปู่หมุนจำได้แม่นยำคือ ๑.ผ้าไตรจีวร ๒.บาตร
    ๓.ทองคำหนัก๑๐บาท(สำหรับทองคำจะคืนให้เมื่อเรียนจบ)และมีข้อห้ามประการสำคัญคือ ห้ามสึกหาลาเพศลาสิกขาบทตลอดชีวิตถ้าสึกไปชีวิตก็จะหาไม่ ในการเรียนวิชานี้ต้องใช้ความเพียรเป็นอย่างมากต้องฉันท์อาหารมื้อเดียว อดนอนผ่อนอาหาร พักผ่อนจำวัดได้วันละเพียงสี่ชั่งโมงเท่านั้นและขั้นตอนสุดท้ายก่อนสำเร็จผู้เรียนจะต้องใช้ชีวิตเข้าทดสอบโดยการถูกจับมัดแล้วใส่กระสอบถ่วงน้ำแล้วใช้พระเวทย์วิทยาคมและพลังจิตที่ถูกฝึกฝนมาจนเชี่ยวชาญในขั้นเข้าออกตามใจนึก(วสี)ปลดพันธนาการออกจากกระสอบที่จมน้ำให้ได้ ถ้าไม่สำเร็จก็จะจมน้ำตายทันที ซึ่งวิชานี้เรียกว่าวิชา"จตุรธาตุวัฏฐาน" หรือธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งไม่ง่ายที่สำเร็จเท่าที่ผมรู้มาว่าอีกรูปที่สำเร็จวิชานี้และเป็นศิษย์รุ่นพี่ของหลวงปู่หมุนคือ "หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี" วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี

    เมื่อสำเร็จวิชานี้แล้วหลวงปู่หมุนพร้อมสหธรรมิกที่สำเร็จวิชานี้คือหลวงพ่อสงฆ์ก็เดินธุดงค์กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดม่วง จ.ลพบุรี ต่อมาหลวงพ่อสงฆ์เกิดติดตาต้องใจสาวไทยพวนเพราะวิบากกรรมเก่าหรือจะเป็นเพราะกรรมใหม่มาขวางทางมรรค ผล นิพพาน จึงได้ทำให้ผ้าเหลืองร้อน หลวงพ่อสงฆ์จึงได้ลาสิกขาไปแต่งงานอยู่กินกับสาวไทยพวนโดยลืม"สัจจะ"ที่ให้ไว้กับครูบาอาจารย์ (อยู่กับสาวได้ประมาณ๗วันกลางเดือน๕กลางวันแสกๆหลวงพ่อสงฆ์ก็โดนฟ้าผ่าตาย)

    หลวงปู่หมุนได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตัวท่านเองจึงเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้กับหลวงปู่หมุน หลังจากนั้น
    ท่านก็กลับมาอยู่ที่วัดบ้านจาน จนได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสและพระอุปัชฌาย์ รับสมณศักดิเป็นพระครูชั้นประทวนที่ "พระครูหมุน ฐิตสีโล" หลวงปู่ได้ปฏิบัติศาสนากิจบวชกุลบุตรได้๒๐กว่าพรรษาจึงได้ลาออกจากทุกตำแหน่งเพื่อใช้เวลาที่เหลือปฏิบัติธรรมภาวนาเพื่อความหลุดพ้นให้ถึงพระนิพพาน

    และด้วยเหตุที่ #หลวงตาดำ# ท่านเป็นองค์อัครบูรพาจารย์แห่งดินแดนโลกุตระ(ในดง)อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของหลวงปู่โลกอุดร ทางวัดป่าภูริทัตตภักดี
    จ.เพชรบูรณ์ ที่กำลังสร้าง "หลวงปู่โลกอุดรสูงรวม๑๕เมตร" และเพื่อเป็น"อาจาริยบูชา"ครูบาอาจารย์พระเหนือโลกและพระในดง จึงได้จัดสร้างรูปเหมือน
    "หลวงตาดำ" ที่เกิดจากนิมิตที่เห็นเมื่อกว่า๑๕ปีก่อนและได้ให้ช่างวาดรูปเหมือน"องค์หลวงตาดำ"และจะทำการปั้นและหล่อรูปเหมือนจริงของท่านในเดือนธันวาคมนี้(กำหนดการจะแจ้งให้ทราบต่อไป)

    ในการนี้ทางวัดจึงจัดสร้าง"พระบูชาหลวงปู่โลกอุดร สูง๑๒นิ้ว(เขียวเหนี่ยวทรัพย์)จำนวนแค่๙๙๙องค์และรูปเหมือนหลวงปู่โลกอุดร(แขวนคอ)เนื้อทองคำ เงิน นวโลหะและเนื้อผงสีเขียวเหนี่ยวทรัพย์ และผงแดงแรงฤทธิ จำนวนไม่มากเพื่อสมณาคุณแด่ท่านที่ร่วมบริจาคเงินร่วมบุญ"หล่อรูปเหมือนหลวงตาดำเท่าองค์จริง" โดยใช้ชื่อรุ่นว่า #เหนือโลกโภคทรัพย์# (รายละเอียดจะแจ้งให้ทราบในลำดับต่อไป)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    #เล่าสู่กันฟัง หลวงปู่บุญส่ง

    "ใจ"


    ใจเรานี้ บางครั้ง มันใหญ่กว่าภูเขา

    ใจเรานี้ บางครั้ง มันแกร่งกว่าเพชร

    ใจเรานี้ บางครั้ง มันกว้างกว่ามหาสมุทร

    เพราะใจเรานี้ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีประมาณการ

    ขอให้พวกเรา เรียนรู้เรื่องจิตใจ รู้เท่าทันจิตใจ

    ว่ามันคิดไปทางไหน ทางดีหรือทางร้าย ใจใจใจเท่านั้น

    ที่ทำให้เรา เกิดภพเกิดชาติ

    ใจใจใจเท่านั้น ที่ทำให้เรา ตัดภพตัดชาติ

    จงให้รู้ ทุกขณะจิตใจของเรา คิดอะไรอยู่

    เรียนรู้และรู้ให้ทัน ว่าจิตใจเรานั้น มันคิดอะไรอยู่

    คิดดีก็รู้ แล้วปล่อยวาง คิดชั่วก็รู้ แล้วปล่อยวาง ทั้งดีและชั่ว ปล่อยวางให้ได้

    โอวาทธรรม : #หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร
     
  14. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    #เล่าสู่กันฟัง

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำพบหลวงปู่เทพโลกอุดร


    ประสบการณ์ตรง "หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)" วัดจันทาราม (ท่าซุง) อุทัยธานี พบ "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ภิกษุลึกลับปรากฎตัวในงานบุญ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

    "พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ" นั้น เป็นที่รู้กันดีในวงนักปฏิบัติและพระอริยเจ้าด้วยกันว่า ท่านเป็นพระแม้เป็นพระวิมุตติบริสุทธิ์และยังทรงคุณธรรมพิเศษทางด้านมโนยิทธิ อภิญญาสมาบัติอีกด้วย มีปกติสนทนาติดต่อกับสิ่งลึกลับที่พวกเราคนปุถุชนสามัญธรรมดาไม่มีตารู้เห็นไม่อาจสัมผัสได้ แต่สำหรับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้นท่านกลับสามารถพูดคุยสนทนาได้ปกติ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้นท่านมีความสามารถทางเห็นผีเห็นวิญญาณมาแต่เล็ก เมื่อโตขึ้นครบบวชก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ "หลวงพ่อปาน" เพราะนิสัยซน อยากรู้อยากเห็น กล้าไม่กลัวใคร หลวงพ่อปานจึงเรียกท่านว่า "ลิง" และเหตุที่ท่านมีผิวคล้ำ หลวงพ่อปานจึงเรียกท่านว่า "ลิงดำ"

    พระอริยเจ้าหลายท่านที่รับรองคุณวิเศษและความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เช่นหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรี สิงห์บุรี ครูบาชัยวงศ์ษา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดพระบาทวังมุย จ.ลำพูน ครูบาธรรมชัย จ.ลำพูน หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพสิรินทร์ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ เพียงเท่านี้ก็น่าจะการันตีรับรองความสามารถของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิง ดำได้ว่าท่านจะเก่งกล้าสามารถขนาดไหน

    ย้อนมาถึงเรื่องราวของ "หลวงปู่เทพโลกดุดร" ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เลื่องลือมานานกว่า 70 ปีมาแล้ว ตั้งแต่ช่วงสงครามเวียดนาม เรื่องราวของพระภิกษุลึกลับก็ยิ่งแพร่สะพัดว่า คอยช่วยเหลือทหารที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตรายจนรอดตายมาได้ และถ้าจะกล่าวว่าผู้ที่นำประวัติพระอภิญญาลึกลับมาเปิดเผยจนกระทั่งโด่งดัง ท่านแรกๆ ก็น่าจะเป็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนี่เอง ท่านเป็นผู้เล่าเรื่องพระองค์ที่ 11 มาตั้งแต่ปี 2518 โน่น เนื้อเรื่องนั้นท่านได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า...

    เรื่องนี้เป็นประสบการณ์โดยตรงของท่าน เนื่องจากการรับนิมนต์ไปงานของคหบดีท่านหนึ่งที่ จ.ราชบุรี ทันที่ที่คณะพระรับนิมนต์ไปถึงบ้านเจ้าภาพท่านนี้ปรากฏว่ามีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งนั่งหัวแถวคอยอยู่ก่อน พระท่านอื่นๆ ที่สูงวัยกว่าก็งงแต่ก็ไม่ว่าอะไร เจ้าภาพเองก็งง เมื่อสอบถามจากเจ้าหน้าที่ที่คอยล้างเท้าพระก่อนขึ้นเรือนก็ ได้รับคำตอบว่าไม่เห็นท่านเดินผ่านมาเลย ไม่ทราบว่าขึ้นไปบนเรือนได้อย่างไรก็ได้แต่ งง!

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเล่าต่อว่า เมื่อพระลึกลับลับรูปนั้นไม่ยอมขยับถอยลงไป ทางพระที่รับนิมนต์ท่านก็ไม่ว่า เมื่อเจ้าภาพเห็นว่าคณะพระที่รับนิมนต์ไม่ว่าอะไร ท่านก็ปล่อยตามเรื่องเหมือนกัน เพราะเห็นเป็นเรื่องของพระ เมื่อเวลาพระจะให้ศีลให้พรนั้นปรากฏว่า เมื่อท่านเริ่มสวดขึ้นเสียงของท่านดังไพเราะอย่างยิ่ง เมื่อกล่าวสวดมนต์สวดพรจบแล้ว จนกระทั่งฉัน ท่านก็ฉันเพียงนิดเดียว คือฉันข้าวคำเดียวเท่านั้น แล้วก็ลาญาติโยม เวลาลาท่านก็ลุกขึ้นแล้วเดินลงบันได ตรงไปที่ทุ่งนาโล่งๆ ทุกคนมองตามกันหมด เพราะอยากรู้ท่านไปทางไหน พอท่านเดินไปสักพักทุกคนเห็นด้วยตาของตนเลยว่าร่างท่านหายไปในอากาศ เป็นที่น่าอัศจรรย์! นี่เป็นเรื่องของพระแปลกที่ออกมาโปรดญาติโยม

    เนื้อเรื่องเดียวกันนี้ "อาจารย์สิทธา เชตะวัน" ได้เล่าไว้อีกเหตุการณ์หนึ่งว่า ที่บ้านคหบดี จ.นครปฐม ลูกชายโชคดีจับได้ใบดำ ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร ท่านคหบดีดีใจมากจึงนิมนต์พระมาฉันเพลที่บ้านทำบุญใหญ่ให้ลูกชาย งานนี้เมื่อถึงเวลาปรากฏว่ามีพระหนุ่มมานั่งหัวแถว เช่นเดียวกับที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเล่า พระที่มาได้รับนิมนต์มาถึงก็งงสร้างความไม่พอใจให้แก่พระเถระอาวุโสเท่าใดนัก เจ้าภาพก็ย้อนมาถามคนคอยล้างเท้าพระว่า พระหนุ่มลึกลับรูปนี้มาแต่ไหน ขึ้นมาได้อย่างไร คนคอยล้างเท้าก็ไม่ทราบเพราะท่านขึ้นไปบนเรือนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทางเจ้าภาพไปเจรจากับพระลึกลับขอให้ท่านไปนั่งท้ายแถว พระลึกลับรูปนี้ก็กล่าวว่า "อาตมาอาวุโสที่สุดในสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นอาตมานั่งในที่นี้จึงถูกควรแล้ว"

    เมื่อท่านยืนยันเช่นนั้นก็เป็นที่จนใจแก่เจ้าภาพและพระภิกษุรูปอื่นๆ ท่านเจ้าภาพต้องขอให้พระรูปอื่นๆ อนุโลมยอมตามกันไป สร้างความไม่พอใจแก่คณะพระที่มา ต่างสงสัยว่าพระหนุ่มรูปนี้จะเป็นพระจริงหรือเปล่าหน้าตาแบบนี้เป็นพระหรือเณรกันแน่

    ครั้นแล้วถึงเวลาพระให้ศีลสวดพระพุทธมนต์ เรื่องน่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ทันทีที่พระหนุ่มลึกลับเริ่มสวดนะโมขึ้น ดินฟ้าอากาศก็เกิดวิปริต มหาเมฆใหญ่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า จนมืดมิดไปหมด เสียงฟ้าร้องครืนคราน พร้อมๆ กันสายอสุนีบาติได้ฟาดลงมาหลายต่อหลายครั้งจนแสบแก้วหู เสียงของพระหนุ่มก้องกังวานใส เมื่อทุกคนเงยหน้าขึ้นดูพระหนุ่มดังกล่าวก็ต้องอัศจรรย์ใจ เพราะบัดนี้พระหนุ่มรูปดังกล่าวกลับกลายเป็นพระชราอายุน่าจะร่วมร้อยปี รูปร่างสูงใหญ่ หูยานผิดคนธรรมดา

    เมื่อท่านสวดจบท้องฟ้าอากาศก็พลันแจ่มใสขึ้น ครั้งเวลาฉันท่านก็ฉันข้าวกับเกลือเพียงคำเดียว แล้วกล่าวว่าอาตมาต้องการมาโปรดญาติโยมทั้งหลาย ผู้ใดใคร่เป็นศิษย์อาตมาให้ไปในป่าแถบกาญจนบุรี ท่านพูดเพียงเท่านี้แล้วก็ลา การลาของท่านนั้นคือตัวท่านค่อยๆ จางหายไปในอากาศ จนหายไปหมดทั้งร่าง สร้างความตะลึงงันแก่ทุกผุ้ทุกคนรวมทั้งพระทุกรูปในงานนั้น นี่คือปาฏิหาริย์จากหลวงปู่ใหญ่โลกอุดรตามบันทึกของอาจารย์สิทธา เชตะวัน

    ทั้งสองเรื่องจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำและท่านอาจารย์สิทธา เชตะวัน คล้ายกันพฤติการณ์นี้น่าเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นพระทรงอภิญญาหลวงปู่ใหญ่องค์ เดียวกันก็ได้ เพราะคล้ายคลึงกันอยู่มากทีเดียว

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้น ท่านมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระอภิญญามากครั้งด้วยกัน แต่ท่านไม่ระบุว่าเกิดจาก "หลวงปู่โลกอุดร" มีเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับพระลึกลับซึ่งน่าสนใจมากคือ ท่านเล่าไว้ว่าสมัยหลวงพ่อปานท่านมีชีวิตอยู่นั้น ขณะที่ท่านคุมงานก่อสร้างเสนาสนะในวัดบางนมโค เคยมีพระลึกลับรูปหนึ่งตะโกนเรียก "หลวงพ่อปาน" ว่า "ไอ้ปาน" คนในวัดฟังเข้าก็ไม่ชอบคิดว่าพระรูปนี้เป็นใครกันจึงกล้ามาพูดเช่นนี้

    เมื่อหลวงพ่อปานท่านเห็นพระรูปนี้เข้า ท่านมีตาใน ท่านรู้ว่าพระลึกลับรูปนี้คือใคร ปรากฏว่าท่านรีบเข้ามากราบทันที พระลึกลับรูปดังกล่าวก็ลูบหัวหลวงพ่อปาน แล้วสอนว่าถ้าจะทำอะไรแล้วนั้นให้บอกพระประธานก่อนนะ เสมือนว่าเรากราบทูลพระพุทธองค์ก่อน พระลึกลับรูปนี้เปลี่ยนจากท่าทีเกรี้ยวกราดเป็นเมตตาทันทีและเรียกหลวงพ่อปานว่า "ลูก" เมื่อถึงคราวลาท่านเดินออกไปกลางทุ่งแล้วหายตัวไปเลยเป็นที่อัศจรรย์ หลายคนเข้าไปถามหลวงพ่อปานว่าพระลึกลับรูปนี้คือใคร ท่านตอบแต่เพียงว่าเป็นพระที่มีความสำคัญมาก สำคัญมากๆ ท่านตอบเพียงเท่านี้แล้วไม่พูดอะไรอีกเลย

    ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเล่าเอาไว้ เกี่ยวกับพระอภิญญาลึกลับ ที่นี้มาถึงการวินิจฉัยเรื่อง "หลวงปู่โลกอุดร" จากหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านเล่าไว้อย่างนี้ว่า ท่านเคยสงสัยเรื่องหลวงปู่โลกอุดรเหมือนกัน จนกระทั่งได้เจอกับ "คณะหลวงปู่โลกอุดร" มีเป็นคณะไม่ได้มีองค์เดียว คณะหลวงปู่โลกอุดรนั้นท่านเหล่านี้ล้วนเคยปรารถนาพุทธภูมิ มีบารมีแก่กล้ามาแล้วทั้งนั้น มาตอนหลังท่านถอนคำอธิษฐานด้านพุทธภูมิแล้วมาปฏิบัติหน้าที่ ดูแลพระพุทธศาสนาอย่างลึกลับ เรียกว่าคอยช่วยงานแบบปิดทองหลังพระ ท่านเหล่านี้จึงมีฤทธิ์อภิญญามากเป็นพิเศษ นี่คือที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำกล่าวไว้ และสรุปได้ว่าหลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านก็เป็นท่านหนึ่งที่ยืนยันว่า หลวงปู่ใหญ่โลกอุดรนั้นมีจริง ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อนแล้วลา อีกประการคือท่านมีเป็นคณะไม่ได้มีองค์เดียว

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ กล่าวยืนยันว่า หลวงปู่โลกอุดร ชื่อจริงๆ ก็คือ "อุตตระ" เป็นพระที่นำพระไตรปิฎกเข้ามาสุวรรณภูมิ ความจริงท่านมากัน 2 องค์คือ "อุตตระกับโสณะ" ท่านมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในแถบนี้หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ปัจจุบันท่านก็ยังอยู่ ...ถ้าถามว่าอยู่ได้ยังไง อย่าลืมคำหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ผู้ใดถ้าคล่องอิทธิบาท 4 สามารถจะอธิษฐานร่างกายอยู่ถึงกัปหนึ่ง" คำว่ากัปหนึ่งไม่ใช่ 120 ปี แต่หมายถึงกัปที่มีความยาวนานเป็นล้านปี ท่านอยู่ด้วยอำนาจฌานสมบัติ ถ้าอธิษฐานเอาไว้ด้วยกำลังฌานกายสังขารท่านก็ดำรงอยู่ด้วย เรียกว่าอยู่ได้ด้วยฤทธิ์อิทธิบาทณานนั่นเอง

    ที่มา : ทิพยจักร, หนังสือบารมีเหนือโลกหลวงปู่เทพโลกอุดร

    ‎Cr Baramee Raktham>ธรรมสโมสร
     
  15. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    #เล่าสู่กันฟัง

    #การทำบุญด้วยการถวายเทียน
    แบบนี้มีอานิสงส์ผลบุญที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้การทำบุญด้วยวิธีอื่นๆ แต่จะได้อานิสงส์อย่างไรบ้าง เรามีข้อมูลมาให้ได้รู้กัน

    หลวงพ่อพระราชพรหมยานเล่าถึงเรื่องราว อานิสงส์การถวายเทียนหรือหลอดไฟในวันเข้าพรรษาว่า "การถวายเทียนเข้าพรรษา หรือว่า ถวายกระแสไฟในพระพุทธ-ศาสนา เหมือนกัน อย่างนี้ถ้าเกิดเป็นเทวดาจะมีรัศมีกายสว่างมาก
    ถ้าบรรลุมรรคผล จะเป็นบุคคลผู้เลิศใน ทิพจักขุญาณ อย่างพระอนุรุทธ"

    ท่านได้ถวายเทียนเข้าพรรษาตลอดมา ถวายพระประทีปโคมไฟวัดไหนมืดชอบถวายตะเกียงบ้างน้ำมันบ้างให้มีแสงสว่างต่อมาในชาติสุดท้าย เมื่อเป็น พระอรหันต์วิชชาสาม ท่านสามารถมี ทิพจักขุญาณสว่างกว่าพระอรหันต์ทั้งหมด แม้แต่ พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณก็ยังสู้ไม่ได้

    อีกประการหนึ่งถ้าท่านทั้งหลายไปเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ก็จะมีรัศมีกายสว่างมาก เพราะเทวดา นางฟ้า และพรหมเขาถือรัศมีกายเป็นสำคัญเขาไม่ถือเครื่องแต่งกายเป็นสำคัญ องค์ไหนถ้ารัศมีกายสว่างมากองค์นั้นมีบุญมาก เมื่อมีจิตใจเลื่อมใส ได้ทำการบูชาเช่นนี้ พระชินศรีตรัสว่าเป็นมงคลอันสูงสุด

    ดังพระบาลีว่า "ปูชาปูชะนียานัง เอตัมมังคลมุตตมัง" การบูชาบุคคลผู้ควรบูชาเป็นมงคลอันสูงสุด อนึ่งชื่อว่าได้ขวนขวายในกิจ อันปราศจากโทษความเดือนร้อนในภายหลังมิได้ ย่อมได้รับผลพิเศษทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
     
  16. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    06525F4C-B6F4-42F6-A6A8-05A0C11072A5.jpeg

    #เล่าสู่กันฟัง

    หลวงปู่ผู้พูดน้อย


    ปฏิปทาหลวงปู่นั้นท่านไม่พูดอะไรมาก แม้กระทั่งประวัติส่วนองค์ท่าน ท่านก็เล่าเพียงสั้นๆเท่านั้น ส่วนใหญ่ท่านจะปฏิบัติให้เห็นมากกว่าการเอ่ยด้วยถ้อยคำ หากจะสอนสิ่งใดก็เพียงปรารภอุบายธรรมสั้นๆพอให้ตรงกับอุปนิสัยของผู้นั้น โดยท่านปรารภทีเดียวเท่านั้น แล้วแต่ผู้ฟังจะนำไปพิจารณาทางปํญญาได้มากน้อยเพียงใด เช่น " ไปอยู่กรุงเทพ เดี๋ยวหลงแสง หลงสี กินแต่ของดี ขี้เหม็น" เพื่อเตือนสติพระผู้ติดตาม สมัยหลวงปู่ท่านเข้ารับการรักษาอาพาธที่กรุงเทพมหานคร

    เป็นพระยากที่สุด

    หลวงปู่ท่านอยู่อย่างพระภิกษุผู้ยากจน ไม่ขอไม่ร้องในเหตุเกินควรแก่ฐานะพระภิกษุสงฆ์ ท่านไม่เคยขอร้อง ไม่เคยออกปากอยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรๆ กับใคร แม้แต่กับญาติพี่น้อง ท่านมีความเป็นอยู่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างสม่ำเสมอ นับแต่ปี ๒๔๗๘ ที่ได้บวชมา อาหารบิณฑบาต ๑ มื้อ ก็เพียงพอต่อสังขารร่างกายของท่าน ให้อยู่ปฏิบัติธรรมต่อไปได้อย่างบริบูรณ์ยิ่ง

    บริขารก็เช่นกัน ท่านอาศัยเพียงผ้า ๓ ผืนฉันในบาตร อยู่ในอาสนะพอควร หนักแน่นด้วยธรรมปฏิบัติ เจริญศีล เจริญภาวนา ครั้งหนึ่งท่านเคยปรารภว่า "พระพุทธเจ้าท่านเป็นพระมหากษัตริย์ ท่านยังสละออกป่า อนาถานอนกลางดิน กินของชาวบ้าน จนสำเร็จมรรคผลนิพพาน นั่น... นี่เราเป็นคนด้อยวาสนา เป็นชาวนา จะเอาอะไรให้มากกว่านี้ พระนั้นมิใช่ว่าจะเป็นได้ง่ายๆ บวชเข้ามาเป็นผีเฉยๆก็มาก ลงนรกก็แยะไป เออ...เป็นพระน่ะมันยากที่สุด ไม่ใช่ว่าใครจะคิด จะทำ จะนึก เอาตามใจตัวเองนั้นไม่ได้หรอก บวชแล้วลืมตัวว่าเป็นพระก็ลงนรก เพราะยังพกเอาความหลงมาทำให้พระศาสนาสกปรก"

    Cr.ลานธรรม คุณเสรีชน1
     
  17. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    D4016C96-1B8F-4824-923F-3C731BACCAC5.jpeg
    ผู้ถาม :- “
    หลวงพ่อคะ การใส่บาตรวิระทะโย มีอานิสงส์อย่างไรคะ”

    หลวงพ่อ :-
    “อานิสงส์เท่ากับถวายสังฆทานธรรมดาไม่ต่างกัน อานิสงส์เหมือนกันหมด แต่ว่าใช้วิระทะโย (คาถาภาวนากันจน) #มันมีผลปัจจุบันชาตินี้ทำให้เงินไม่ขาดตัว #ถ้าใส่บาตรทุกวัน #สวดมนต์อยู่เสมอ #ถ้าจะหมดก็มีมาต่อจนได้ #ถ้าแบ่งเวลาทำสมาธิละก็ขลังมาก #รวยมากหน่อย”

    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
    ฉบับพิเศษ เล่ม ๑

    ---------------------------------------------

    ผู้ถาม :
    - “หลวงพ่อเจ้าขา ดิฉันใส่บาตรวิระทะโย มันเกือบจะเต็ม ๓๐๐ ก็เพิ่มให้เต็ม ๓๐๐ บาทพอดี นำมาเปลี่ยนเป็นถวายสังฆทานชุดใหญ่ อย่างนี้จะผิดหรือไม่เจ้าค่ะ…?”

    หลวงพ่อ :-
    “ไม่ผิด เพราะวิระทะโยเป็นเงินสังฆทานอยู่แล้ว ที่นี้ถ้าหากตั้งใจถวายเป็นของสงฆ์ เรายังไม่ถวายจริงนี่ ตอนนั้นมาเปลี่ยนเป็นสังฆทาน จิตใจมั่นคงยิ่งขึ้น ตอนนี้ไม่เป็นไร เอ…พูดแบบนี้วัดจะขาดทุนหรือเปล่านะ ไม่ควรจะถามข้อนี้เลย ไม่เป็นไร…ไม่ใช่ขโมยของสงฆ์ คือว่าทำใจให้มั่นคงยิ่งขึ้น

    แต่เนื้อแท้จริงๆ เงินวิระทะโยนี่ ให้ไปก็เป็นสังฆทานตรง และก็เป็นวิหารทานด้วย ฉันใช้ ๓ อย่าง

    สังฆทาน คืออาหารและกระแสไฟฟ้า
    วิหารทาน ก่อสร้างด้วย ญาติโยมจะได้มีบุญมากขึ้น
    ธรรมทาน พร่องก็ช่วยและก็ได้ปัญญา

    #สังฆทาน ได้ร่างกายเป็นทิพย์
    #วิหารทาน ได้วิมานเป็นทิพย์
    #ธรรมทาน ได้ปัญญาเป็นทิพย์

    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม (ฉบับพิเศษ เล่ม ๔)
    ---------------------------------------------

    ถาม :
    ถ้าผมจะนำเงินในบาตรวิระทะโย #มาบูชาวัตถุมงคลจะได้ไหมครับ ?

    ตอบ : ผิดเจตนา เพราะว่าเงินวิระทะโยหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้เป็นค่าอาหารพระ แต่ถ้าตราบใดที่ยังเป็นเงินเราอยู่ก็เป็นสิทธิ์ของเราในการใช้ #แต่ถ้าหากว่าไม่ทำผิดได้ก็จะดี

    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๐
    ---------------------------------------------

    ถาม : หากอยากหยอดเงินทำบุญวิระทะโยทุกวัน ต้องหยอดในจำนวนเท่ากันทุกวันหรือไม่ ?

    ตอบ : ควรที่จะทำในจำนวนที่เท่ากันทุกวัน #เพื่อแสดงออกซึ่งสัจบารมีของเรา ฉะนั้น...ถ้าคิดจะทำทุกวันก็อย่าทำมาก เดี๋ยวจะเดือดร้อน..!
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐
    ----------------------------------------

    ถาม : การนำปัจจัยจากบาตรวิระทะโย โอนไปร่วมทำบุญในลักษณะที่เป็นสายบุญหรือกองบุญ ทั้งในกรณีที่กระผมเป็นผู้นำสายบุญเอง และการที่กระผมไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสายบุญกับบุคคลอื่นนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ครับ ? และถือว่าการร่วมบุญในลักษณะนี้ จะได้อานิสงส์เฉกเช่นเดียวกับการนำปัจจัยจากบาตรวิระทะโย ไปร่วมทำบุญในวิหารทาน ธรรมทาน และสังฆทาน ตามที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้เมตตาชี้แนะไว้หรือไม่ครับ ?

    ตอบ : ต้องดูว่าตอนที่เขาหยอดบาตรตั้งใจจะทำอะไร #ถ้าตั้งใจไว้แล้วทำผิดประเภท #ก็เจอโทษย้ายเจดีย์อีก

    ถาม : บาตรหลวงพ่อที่ว่าวิหารทาน ธรรมทาน สังฆทาน ชำระหนี้สงฆ์ หยอดไปแล้วมีงานบุญที่สนใจ ก็เอาเงินจากบาตรไปทำ อย่างนี้ถือว่าผิดเจตนาไหมครับ ?

    ตอบ : บอกไว้แล้วว่าตั้งใจอย่างไรก็อย่าทำให้ผิดความตั้งใจนั้น สังฆทาน ธรรมทาน วิหารทาน #ถ้าเราไปทำไม่เกินขอบเขตนี้จะทำวัดไหนก็ทำไปเถอะ

    -----------------------------------------

    ถาม : เงินที่ใส่บาตรวิระทะโยวันละ ๒๐ บาท ก่อนเอามาทำบุญถวายวัด สามารถนับแล้วแลกเงินก่อนเอามาถวายพระได้หรือเปล่าครับ ?

    ตอบ : แลกได้..ถ้าแลกแล้วให้มากขึ้นจะดีเป็นพิเศษ..!

    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑
     
  18. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    67646727_431211014270757_6976071837067247616_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง โดย พ.ธรรมรังสี

    #การเสกพระที่ถูกต้อง

    ถ้าเป็นพิธีพุทธาภิเษก

    ต้องประกอบพิธีกรรมให้ถูกต้อง


    ต้องดูฤกษ์ยาม

    ต้องมีพิธีบวงสรวง

    พิธีพุทธาภิเษกนั้นจึงจะมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ตามแบบโบราณวิธีได้

    เพราะการสร้างพระหรือการเสกพระในจำนวนมากๆ นั้น

    #ต้องทำการบอกกล่าวอัญเชิญบารมีจากเบื้องบนด้วย

    นอกเหนือไปจากพลังจิตของครูบาอาจารย์ที่มาทำการแผ่เมตตาอธิษฐานจิตให้

    ซึ่งมักมีการจัดพิธีพุทธาภิเษก สำหรับการเสกพระเครื่องหรือวัตถุมงคลที่จัดสร้างขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

    #ฤกษ์ยามที่ดีที่ถูกต้อง ต้องเลือกเวลาที่มีความเหมาะสมทั้งในการสร้างและในการเสก

    กล่าวคือ ต้องดูจังหวะเวลาที่เหล่าเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนทั้งหลายมีความสะดวกที่จะมาร่วมในพิธีด้วย

    ซึ่งต้องถามไปที่เบื้องบนโดยตรง ไม่ใช่จากการคำนวณฤกษ์ยามตามตำรา

    #เพราะถ้าเบื้องบนไม่มา พิธีก็ไม่บังเกิดความศักดิ์สิทธิ์สัมฤทธิ์ผล หรือไม่ก็บังเกิดผลที่น้อยมาก

    เนื่องจากวัตถุมงคลที่จะมีความศักดิ์สิทธิ์มากๆ และมีอานุภาพได้อย่างยั่งยืนถาวรยาวนานนั้น

    จำเป็นต้องมีกำลังบารมีจากเบื้องบนและกำลังบารมีของเหล่าเทวดามาช่วยด้วย

    #การทำพิธีบวงสรวงหรือการบอกกล่าวอัญเชิญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนนั้น

    ถือเป็นการแสดงความเคารพเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน

    อันมีคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นประธาน

    #ฤกษ์ยามตามหลักในทางโหราศาสตร์นั้น มีผลต่อการปลุกเสกเครื่องรางของขลังด้วยวิชาทางไสยศาสตร์เท่านั้น

    แต่ไม่มีผลต่อการเสกพระในทางพุทธศาสตร์ด้วยอภิญญาจิต

    ยกเว้น ครูบาอาจารย์บางรูปบางองค์จะใช้เป็นกุศโลบายเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นศรัทธาเท่านั้น

    (คือเสกตอนไหนก็ศักดิ์สิทธิ์ ไม่เกี่ยวกับฤกษ์ยาม เพราะศักดิ์สิทธิ์ด้วยอำนาจของจิต ไม่ใช่เพราะฤกษ์ยาม

    ฤกษ์ยามหรือพิธีกรรมเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น พลังจิตสำคัญกว่า)

    เพราะถ้าเป็นการแผ่เมตตาอธิษฐานจิตของพระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์หรือพระบรมโพธิสัตว์ชั้นสูงในพระพุทธศาสนาแล้ว

    ระดับจิตหรือภูมิจิตภูมิธรรมของพระอริยเจ้าพระบรมโพธิสัตว์ชั้นสูงในพระพุทธศาสนานั้น

    #ย่อมอยู่เหนือกฎเกณฑ์ของโลกมนุษย์

    พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ หรืออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยนั้น

    #เป็นโลกุตระ คือ พ้นโลก เหนือโลก

    พ้นสมมติ เหนือสมมติ

    แม้วัตถุธาตุหรือสังขารร่างกายของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระไตรลักษณ์

    แต่พระพุทธบารมี พระธรรมบารมี และพระสังฆบารมีนั้น

    #อยู่เหนืออำนาจของพระไตรลักษณ์

    มีอำนาจเป็นอัปปมาโณ คือ ไร้ขอบเขต ไร้ประมาณ ไม่มีประมาณ

    อาจต้านทานอำนาจของอกุศลกรรมที่ไม่มากจนเกินไปได้

    #ด้วยอานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย

    ด้วยอานุภาพแห่งฤทธิ์อภิญญาและบารมีธรรมขององค์พระอรหันตขีณาสพเจ้าและขององค์พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย

    ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาฌานอันเป็นอัปปมัญญาพรหมวิหารขององค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ทรงภูมิจิตภูมิธรรมในชั้นสูง

    (พระพุทธเจ้าทรงตรัสแสดงไว้ในเมตตานิสังสสูตรว่า อำนาจแห่งเมตตาฌานอันเป็นอัปปมัญญาพรหมวิหาร สามารถบรรเทาผลของอกุศลกรรมที่มีจำนวนน้อยได้ คือผ่อนหนักเป็นเบา จากเบาเป็นหายได้

    หรือดูได้จากเรื่องของอายุวัฒนกุมารในสมัยพุทธกาล ที่รอดตายจากยักษ์เจ้ากรรมนายเวรด้วยอำนาจแห่งพระพุทธคุณพระธรรมคุณและพระสังฆคุณได้)

    ด้วยอานุภาพแห่งสัจจบารมีอธิษฐานบารมีขององค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ทำการแผ่เมตตาอธิษฐานจิตให้

    และด้วยอานุภาพแห่งทวยเทพเจ้าเหล่าพรหมทั้งหลายผู้ปกปักพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาและเหล่าสาธุชนคนดีที่มีศีลมีธรรมทั้งหลาย

    #ถ้าเป็นการแผ่เมตตาอธิษฐานจิตหรือปลุกเสกเดี่ยว

    ก็ไม่จำเป็นต้องดูฤกษ์ยามหรือประกอบพิธีกรรมใดๆ เลย

    แต่ต้องบอกกล่าวต่อองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ให้องค์ท่านได้รับรู้รับทราบก่อน

    เพื่อให้จิตขององค์ท่านได้รับรู้ในดวงจิตขององค์ท่าน

    เพื่อให้องค์ท่านได้ทำการเพ่งกระแสจิตเข้าไปในวัตถุมงคลนั้น

    #ซึ่งก็แล้วแต่วิธีการแผ่เมตตาอธิษฐานจิตขององค์ท่าน

    คือ อาจมีการโยงสายสิญจน์ การประพรมน้ำมนต์

    การสวดมนต์ การบริกรรมพระคาถาพระพุทธมนต์

    อาจมีการอัญเชิญบารมีของครูบาอาจารย์

    อัญเชิญบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน

    อัญเชิญบารมีแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย

    หรือการบอกกล่าวอัญเชิญเทวดาทั้งหลายให้มาช่วยทำการปกปักรักษาซึ่งวัตถุมงคลนั้นๆ

    อาจมีการสัมผัสแตะต้องหรือการเป่าลมปากลงไปในวัตถุมงคลนั้น

    หรืออาจเพียงการเพ่งมองแล้วนึกอธิษฐานจิตภายในใจก็ได้

    องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่มีพลังอำนาจของจิตที่สูงมากๆ อาจใช้เวลาในการอธิษฐานจิตเพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น

    เนื่องจากสมาธิจิตขององค์ท่านมีความเชี่ยวชาญชำนาญเป็น #วสีภาวะ

    จิตดำรงอยู่ในสมาธิสมาบัติอยู่ตลอดเวลา

    สภาวะจิตขององค์ท่านจึงมีความรวดเร็วมากดุจสายฟ้าแลบ

    ดุจดังเช่นการเหาะเหินเดินอากาศของพระพุทธเจ้าและของพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย

    ที่ไม่ต้องมีการตั้งท่าหรือนั่งหลับตาทำสมาธิใดๆ เลย

    เพียงแค่กำหนดจิตภายในระยะเวลาชั่วพริบตาเดียวก็สามารถแสดงฤทธิ์อภิญญาได้โดยฉับพลันทันที

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกว่า #ชั่วลัดนิ้วมือเดียว

    หรือทรงตรัสเปรียบเทียบว่า #เหมือนบุรุษผู้มีกำลังมากเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียด (สะบัดแขนหรืองอแขนด้วยความรวดเร็ว)

    แต่ส่วนใหญ่ผู้ที่สำเร็จธรรมถึงขั้นสูงสุดแล้ว

    ท่านก็จะไม่แสดงฤทธิ์โดยพร่ำเพรื่อ

    เพราะฤทธิ์อภิญญาทั้งหลายนั้น ถือเป็นเพียงผลพลอยได้จากการเจริญสมาธิภาวนาของท่านเท่านั้น

    ดังคำว่า #สูงสุดคืนสู่สามัญ

    การนำพระหรือวัตถุมงคลไปฝากเข้าพิธี

    #จะเป็นพิธีพุทธาภิเษกหรือพิธีสวดมนต์ก็ตาม

    ถ้าไม่ทำการบอกกล่าวต่อองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์หรือผู้ทำพิธีก่อนแล้ว

    ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาได้

    #อาจมีก็แต่เพียงความเป็นสิริมงคลเท่านั้น

    เพราะความศักดิ์สิทธิ์เกิดจากอำนาจของพลังจิตและพลังบารมีจากเบื้องบน

    #เกิดขึ้นจากจิต ด้วยจิต

    แม้แต่กล่องใส่พระ ซึ่งไม่ใช่พระหรือวัตถุมงคล

    บาตรหรือขันใส่น้ำมนต์ และวัตถุอื่นๆ ที่อยู่ในพิธีหรืออยู่ในการปลุกเสก ก็ไม่ได้มีความศักดิ์สิทธิ์ตามไปด้วย

    #จะศักดิ์สิทธิ์หรือมีพลังได้ ก็เฉพาะในส่วนของวัตถุมงคลที่ได้ทำการอธิษฐานจิตเท่านั้น

    #ถ้าเป็นน้ำมนต์ ก็ศักดิ์สิทธิ์เฉพาะน้ำมนต์เท่านั้น ไม่รวมถึงขันน้ำมนต์และหญ้าคาด้วย

    เพราะในการแผ่เมตตาอธิษฐานจิตขององค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์นั้น

    #จะทำการอธิษฐานจิตว่า ขอให้วัตถุมงคลทั้งหลายนี้หรือพระเครื่องทั้งหลายนี้ จงมีความศักดิ์สิทธิ์ด้วยฤทธานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยเทอญ

    ยกเว้น องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์บางรูปบางองค์จะทำการอธิษฐานจิตด้วยฤทธิ์อภิญญาแผ่ครอบคลุมไปถึงวัตถุธาตุอื่นๆ ด้วย

    แต่ถ้าไม่ทำการอธิษฐานด้วยการประทับพลังจิตลงไปแล้ว พลังจิตพลังงานนั้นก็จะคงอยู่ได้ไม่นาน

    ซึ่งการอธิษฐานจิตนั้น จะทำการอธิษฐานจิตลงไปในวัตถุธาตุใดๆ ก็ได้ ตามที่ต้องการตามที่ปรารถนา

    จะเป็นพระเครื่อง ตะกรุด แผ่นโลหะ ผ้ายันต์ ชานหมาก ข้าว น้ำ หรือก้อนกรวดก้อนหินก็ได้

    แต่ถ้าเป็นผงวิเศษหรือการลงอักขระอันเป็นหัวใจแห่งพระธรรมคุณในพระไตรปิฎกด้วยอักษรขอม

    ที่ผ่านการอธิษฐานจิตผ่านกรรมวิธีตามขั้นตอนตามหลักสูตรในการฝึกสมาธิจิตในทางพุทธศาสตร์พุทธวิชชาแล้ว

    พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นก็จะมีอานุภาพที่ยั่งยืนถาวร ทรงฤทธานุภาพได้ยาวนานมากกว่าวัตถุมงคลที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีตามขั้นตอน

    #การจารอักขระ ก็คือ การประทับตราด้วยลายมือที่แฝงไว้ด้วยพลังจิตด้วยบารมีธรรมขององค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์

    #ซึ่งจะจารหรือไม่จารก็ได้ ถ้าพระหรือวัตถุมงคลนั้นได้รับการอธิษฐานจิตมาแล้ว

    ถ้าจารอักขระด้วยความรวดเร็ว ก็เรียกว่า จารจิต

    #ในการเสกพระขององค์หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุงนั้น

    จะต้องมีการประกอบพิธีบวงสรวงด้วยทุกครั้ง

    เพราะจำนวนของวัตถุมงคลที่ทำการจัดสร้างขึ้นมานั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก

    และองค์ท่านประสงค์จะให้เหล่าเทวดาพรหมทั้งหลายได้มีส่วนร่วมในการทำพิธีพุทธาภิเษกขององค์ท่านด้วย

    นอกเหนือไปจากเป็นการแสดงความเคารพบูชาในคุณของพระศรีรัตนตรัย อันมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธาน

    องค์ท่านจึงมีความพิถีพิถันเป็นอย่างมาก เพื่อไม่ให้เกิดความขาดตกบกพร่อง

    #แต่สำหรับองค์หลวงปู่ดู่ หรือองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายพระป่ากรรมฐานนั้น

    จะไม่มีการประกอบพิธีบวงสรวงอะไรเลย

    #เน้นที่พลังจิตพลังบารมีกันล้วนๆ

    อย่างมากก็มีดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเท่านั้น

    แล้วก็มีการอัญเชิญบารมีจากเบื้องบนด้วยความรวดเร็วมาก

    เสมือนได้เตรียมการล่วงหน้าเอาไว้แล้ว

    ซึ่งดูเรียบง่ายมาก แต่ก็ไม่ธรรมดาเลย

    ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับความถนัดขององค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์แต่ละองค์

    ครั้งหนึ่งเราเคยไปกราบองค์หลวงปู่กูด รักขิตสีโล (วัดป่าศิลาอาสน์ ยโสธร ศิษย์หลวงปู่คำดี ปภาโส หลวงปู่ผั่น ปาเรสโก หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)

    ที่วัดป่าบ้านวไลย (วัดป่าวิทยาลัย) อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

    #องค์หลวงปู่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ (ใครได้ใส่บาตรองค์ท่านในตอนเช้าบ้างเราก็ไม่ทราบได้ เพราะเราไปถึงตอนค่ำแล้ว)

    หลังจากที่องค์ท่านได้สั่งให้ลูกศิษย์ปิดล็อกประตูกุฏิเป็นเวลา 7 วัน (ส่วนใหญ่องค์ท่านจะไปปลีกวิเวกอยู่ในถ้ำบนภูเขาในป่าลึก)

    เราได้นำพระไปให้องค์ท่านแผ่เมตตาอธิษฐานจิตให้

    องค์ท่านกล่าวเป็นภาษาอีสานว่า

    #เอามาบายเบิ่ง (เอามาจับดูซิ)

    เราได้ยินครั้งแรกก็งง

    ลูกศิษย์ขององค์ท่านจึงอธิบายให้เราฟังว่า

    องค์หลวงปู่ให้เอาพระไปให้องค์ท่านแตะสัมผัสก่อน

    เราถึงได้เข้าใจ (คำว่า บาย ภาษาอีสานแปลว่า จับหรือสัมผัสแตะต้อง)

    ในขณะที่องค์หลวงปู่กำลังแตะไปที่พระนั้น

    เราก็ได้เห็นแสงสว่างที่เจิดจ้าออกมาจากกลางอกขององค์ท่าน

    สว่างไสวมาก มีรัศมีแผ่ออกมาโดยรอบเป็นแฉกๆ

    แสงนั้นวิ่งมาตามแขนไปที่มือ แล้วพุ่งออกมาจากมือไปที่องค์พระด้วยความรวดเร็วมาก

    องค์ท่านกำหนดจิตเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น

    องค์พระนั้นเหมือนอาบไปด้วยแสงสีทองอร่ามสุกใส

    ซึ่งเหมือนกับตอนที่เราเคยไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่ศาลเจ้าแม่สุชาดาที่จังหวัดลำปาง

    ในสมัยที่เรายังเป็นเณรเมื่อปี 38 (โยมพ่อเราก็ไปด้วย)

    เรานั่งอยู่ด้านข้างขององค์หลวงพ่อเกษม เขมโก

    โดยองค์ท่านนั่งอยู่บนธรรมาสน์ขนาดใหญ่

    ซึ่งบรรดาลูกศิษย์ลูกหาขององค์ท่านช่วยกันแบกยกองค์ท่านมาทั้งธรรมาสน์

    เพราะตอนนั้นองค์ท่านชราภาพมากแล้ว

    ในขณะที่องค์ท่านกำลังหลับตาอธิษฐานจิตอยู่นั้น

    เราก็ได้เห็นแสงสว่างพุ่งลงมาจากเบื้องบน

    และเรายังเห็นแสงสว่างพุ่งออกมาจากด้านหลังขององค์ท่านด้วย

    แสงสว่างทั้งหมดพุ่งมาที่กองวัตถุมงคลที่ตั้งอยู่ด้านหลังขององค์ท่านกองใหญ่

    แสงนั้นพุ่งมาอย่างรวดเร็วมาก

    เร็วเหมือนไฟจากแฟลชของกล้องถ่ายรูป

    เราเคยเอาเรื่องนี้ไปถามอาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์

    ว่าแสงสว่างที่พุ่งลงมาจากเบื้องบนนั้นคืออะไร

    เพราะแสงสว่างที่พุ่งออกมาจากองค์หลวงพ่อนั้น เราไม่สงสัย

    สงสัยแต่แสงสว่างที่พุ่งลงมาจากเบื้องบน

    อาจารย์ศุภรัตน์ได้ให้คำตอบแก่เราว่า

    #เป็นแสงของพระรัตนตรัย เป็นแสงจากพระนิพพาน

    อาจารย์ยังถามเราอีกว่า แสงพุ่งลงมาเป็นรูปสามเหลี่ยมแบบปิรามิด (พีระมิด) ใช่หรือไม่ (อาจารย์ทำมือประกอบด้วย)

    เราก็ตอบไปว่า ใช่ !!!

    แล้วอาจารย์ก็หัวเราะชอบใจ และพูดว่า

    เออ เณรนี่มีตาทิพย์ ไม่ธรรมดา

    อาจารย์ยังถามเราอีกว่า ฝึกกรรมฐานยังไง

    เราตอบอาจารย์ไปว่า เมื่อปี 36 เราเคยไปฝึกวิชามโนมยิทธิที่วัดท่าซุง

    อาจารย์จึงพยักหน้า แล้วพูดว่า

    ดีๆ ไปถึงพระนิพพานไหม

    เราก็ตอบไปว่า ถึง ไปนอนเล่นด้วย ลงไปที่สระโบกขรณีด้วย มีดอกบัวใสเป็นแก้วอยู่เต็มสระ

    ไปกราบพระพุทธเจ้าที่วิมานของท่านด้วย

    ไล่กราบหมดเลย

    แต่ยังกราบไม่ครบ ก็หมดเวลาซะก่อน

    อาจารย์ก็พูดว่า ดีๆ ขึ้นไปกราบให้ครบนะ

    แล้วก็จบการสนทนาแต่เพียงเท่านั้น

    เอวังฯ

    ขอเจริญพร

    พระอาจารย์ พ ธรรมรังสี
     
  19. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    66908700_1160179790834193_4506280198064308224_n.jpg

    #เรื่องเล่าจาก
    f

    ทำความเข้าใจเรื่องพระเครื่องของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก

    ๑. พระเครื่องของหลวงปู่ส่วนใหญ่เป็นพระผง ซึ่งโดยมากก็ไม่ได้ใช้มวลสารหรือว่าน ๑๐๘ อะไรเลย ส่วนใหญ่เป็นเพียงปูนขาวเท่านั้น เสน่ห์ขององค์พระจึงอยู่ที่ตัวผู้เสกโดยแท้

    ๒. พระหลวงปู่มีหลากหลายพิมพ์เหลือเกิน เพราะท่านมีวีธีที่แสนง่ายในการสร้างพระ เพียงใช้ดินน้ำมันกดทับลงบนพระเครื่องที่มีอยู่ พอแกะออกมาก็จะได้แม่พิมพ์พร้อมใช้งาน ดังนั้น พระผงบางองค์จึงมักมีเศษดินน้ำมันสีชมพูบ้าง สีฟ้าบ้าง ติดอยู่ ด้วยวิธีการนี้ แม้จะเก็บรายละเอียดได้ไม่ดี พระออกมาไม่สวยงามหรือเป็นมาตรฐานเดียวกัน แต่ก็มีเสน่ห์ไม่น้อยเลย

    ๓. แม้ว่าพระเครื่องแต่ละอย่าง ท่านจะอธิษฐานให้เด่นต่างกัน เช่น ตะกรุดจะเด่นในทางเมตตา แหวนจะเด่นในทางแคล้วคลาด ฯลฯ แต่ท่านก็รับรองว่าพระเครื่องทั้งหมดของท่าน ท่านอธิษฐานไว้ให้ครบทุกอย่าง สุดแท้แต่ผู้ใช้จะอธิษฐานเอาเอง

    ๔. หลวงปู่ไม่แนะนำให้เอาพระเครื่องไปหลอมละลาย หรือทำให้เสียรูป เช่น เอาไปทำเป็นเนื้อชนวนหล่อพระองค์ใหญ่ หรือตัดแหวนเพื่อยืด-หดตัวแหวน เพราะถือเป็นการทำลายรูป (พุทธนิมิต) ที่สร้างขึ้นสำเร็จแล้ว โดยเจตนา

    ๕. ในสมัยก่อน หลวงปู่เป็นที่รู้จักของชาวบ้านจากตะกรุด ก่อนที่ท่านจะมาสร้างพระเครื่องอย่างอื่น ๆ ในภายหลัง พระบูชาขนาดตั้งโต๊ะหมู่ โดยมากท่านสร้างด้วยปูน เพื่อสงเคราะห์ชาวบ้านให้สามารถมีพระไปบูชาโดยใช้ปัจจัยน้อยที่สุด

    ๖. พระผงนั้นดีเพราะมีเกศาท่านด้วย เวลาใครไปขอเกศาหลวงปู่ หลวงปู่ก็มักจะบอกว่าไม่ได้ เพราะต้องเก็บไว้ทำพระ

    ๗. ลูกแก้วของหลวงปู่ บางคนสงสัยว่าทำจากปูนแล้วทำไมจึงเรียกลูกแก้ว นั่นก็เพราะท่านเจตนาสร้างให้เป็นแก้วมณีโชติรสหรือแก้ววิเศษของพระเจ้าจักรพรรดิ นอกจากนี้ ท่านก็เน้นว่าต้องเจาะรู เพื่อให้ครบทั้งดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศธาตุ และยังอาจใช้เป็นช่องทางดำเนินของจิตในขณะปฏิบัติภาวนา

    ๘. พระที่สร้างให้มีความหมายทางธรรม ได้แก่ พระชุดพาหุงฯ แต่สร้างไว้ไม่ครบ มีเพียงปางชัยชนะต่อช้างนาฬาคีริง องคุลีมาร นันโทปนันทนาคราช และท้าวพกาพรหม แต่เท่านี้ก็เพียงพอจะใช้เป็นตัวอย่างของชัยชนะที่ไม่ก่อเวรอันเรียกว่าชัยมงคล

    ๙. สำหรับพิมพ์พระเหนือพรหมนั้น เดิมหลวงปู่สร้างพระผงรูปเศียรพรหมขนาดใหญ่ขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างพระพรหมเต็มองค์ชนิดที่ไม่มีขอบ ต่อมาจึงขยายเป็นพระพรหมชนิดมีขอบสวยงาม สุดท้ายก็มาเป็นพรหมองค์เล็ก ติดเกศาบ้าง ไม่ได้ติดเกศาบ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นพระพรหมพิมพ์ใด หลวงปู่ก็เน้นที่พระพุทธที่อยู่เหนือพรหม เพราะเจตนาท่านต้องการบอกว่าพระพุทธเจ้าอยู่สูงสุดในไตรภพ

    ๑๐. พระชำรุดนั้นหลวงปู่ไม่ให้ทำลาย เช่นว่า เหรียญพรหมโลหะที่ชำรุด ท่านก็ให้ตัดส่วนที่เป็นพระพุทธไว้ เอามาเสกซ้ำให้คนศรัทธามั่นได้มั่นใจ ของชำรุดจึงพลันกลายเป็นของดีของหายากไปเสีย

    ๑๑. หลวงปู่บอกว่าพระของท่าน ท่านทำให้อย่างชนิดที่ยากจะหาใครทำให้อย่างท่าน ดังนั้น ผู้ที่มีแล้วก็ควรรักษาไว้ให้ดี แต่เมื่อมีแล้วก็อย่าขวนขวายเช่าหาจนเกินไปเพราะของปลอมมีมากหลาย เสียเงินเช่ามาแพง ๆ แล้วยังต้องอยู่กับความลังเลไปตลอดชีวิต ใครทักว่าแท้ก็ดีใจ ใครทักว่าปลอมก็ห่อเหี่ยวใจ นับถือท่านจริง คงมีเหตุ ให้ได้มาไว้บูชาสักวันเป็นแน่

    ๑๒. เวลาทำพระตกหล่นชำรุดหรือเสียรูปก็ไม่เป็นปัญหา เพราะหลวงปู่ยืนยันว่าพระที่ท่านสร้างนั้น ยังคงใช้ได้ตราบเท่าที่ยังมิได้สลายเป็นผงและละลายน้ำไปหมด

    ๑๓. โบราณบอกว่าห้อยพระอยู่กับตัว อย่าไปเดินลอดราวผ้า เพราะจะทำให้พระเสื่อม สำหรับพระของหลวงปู่แล้ว ท่านว่าไม่เกี่ยวกัน ทองอยู่ที่ไหนก็ยังคงเป็นทอง ที่เสื่อมนั้นหมายถึงใจเจ้าของต่างหากเพราะเมื่อลอดราวผ้าแล้วอาจคิดต่ำ ๆ

    ๑๔. พระดีไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป และพระราคาแพงก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพระดีเสมอไป ราคาพระอยู่ที่ตลาดนิยม คุณค่าพระอยู่ที่ผู้เสก รวมทั้งศรัทธาและคุณธรรมของผู้ครอบครอง หลวงปู่ไม่เคยนิยมส่งเสริมให้ลูกศิษย์เสียเงินเสียทองเช่าบูชาพระแพง ๆ ยิ่งตลาดไม่นิยมสิดี จะได้มีโอกาสมีพระดีไว้ครอบครอง

    ๑๕. พระหลวงปู่จะดีทางไหน ก็ไม่เท่าดีทางเป็นเครื่องมือปฏิบัติกรรมฐาน ไม่เหมือนสำนักไหน ๆ ดังที่เรียกพระของท่านว่า “พระกำนั่ง”

    ๑๖. สุดท้าย หลวงปู่บอกว่า
    “พระของข้า องค์เดียวก็พอ ...ปฏิบัติให้มันจริง”
    _______________________

    สุดยอดพระเครื่องของหลวงปู่ดู่

    โดย พี่สิทธิ์

    คาดว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ปรารถนาจะรู้ รวมทั้งปรารถนาที่อยากครอบครอง พระเครื่องที่ได้ชื่อว่า เป็นสุดยอดพระเครื่องของหลวงปู่ดู่ แต่ทว่า หลวงปู่ก็ไม่เคยบอกยืนยันว่า พระรุ่นใดของท่านที่ท่านรับรองว่า...สุดยอด

    เพียงแต่กล่าวในเชิง...ให้รักษาไว้ให้ดี ๆ เป็นต้นว่า

    ๑. เหรียญเสมารูปเหมือนหลวงปู่
    ที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ด้านหลังมีข้อความว่า รุ่นปฏิบัติธรรม เป็นเหรียญทองแดงชุบทองแดง จึงแลดูสุกแวววาว ท่านว่าตั้งแต่สร้างพระมา เหรียญรุ่นนี้แข็งที่สุด (เป็นคำพูดที่นิยมใช้ที่วัดสะแกหมายความว่า... แรงดี ขึ้นดี มีพลังมาก) จะไม่แรงยังไงได้ ก็ในเมื่อผู้สร้าง แทบจะใช้แต่เนื้อชนวนล้วน ๆ ที่สำคัญคือ เจตนาในการสร้างก็บริสุทธิ์ ไม่มีการจำหน่าย กะว่าจะแจกฟรีสำหรับผู้ปฏิบัติภาวนาท่านจึงตั้งใจเต็มที่ แถมเหรียญส่วนใหญ่อยู่ในกุฏิท่านตั้งราว ๘ ปี

    ๒. เหรียญพระพรหม ทองเหลือง-ทองแดง (ที่สร้างด้วยกรรมวิธีโลหะฉีด) รวมทั้ง แหวนทุกรุ่น หลวงปู่จะพูดถามลูกศิษย์บางคนที่ไม่สัดทัดสะสมวัตถุมงคล ให้ไปหาเก็บเอาไว้ เพราะเป็นของสำคัญ

    ๓. พระพรหมผง
    อันนี้อาจเป็นเพราะพ้องกับชื่อท่าน คนส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่า น่าจะเป็นสัญลักษณ์ หรือ รูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์
    หลวงปู่ท่านก็ย่อมประกันคุณภาพอย่างเต็มที่

    ๔. เหรียญครูบาอาจารย์ หรือ พระเถระผู้มีพระคุณต่อหลวงปู่
    เช่น หลวงพ่อกลั่น หลวงพ่อใหญ่ (พระโบราณคณิศร) หลวงปู่จะตั้งใจอธิษฐานจิตเพื่อบูชาคุณครูบาอาจารย์
    ท่านเคยกล่าวท้าว่า ถ้าไม่ดีจริง...ก็เอามาคืนท่านได้

    ๕. เหรียญยันต์ดวง
    ซึ่งด้านหน้ามีรูปครึ่งองค์หลวงปู่ ซึ่งนับว่าใกล้เคียงท่านมาก แล้วก็ด้านหลังซึ่งบรรจุดวงวันเกิดของหลวงปู่ ที่ลูกศิษย์เชื่อว่า หากดวงเราไม่ดี หากได้บูชาดวงหลวงปู่ ก็จะช่วยให้หนักกลายเป็นเบาได้

    ๖. ตะกรุดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกว่า ตะกรุดจักรพรรดิ
    ซึ่งพระลูกศิษย์ท่านบางรูปกล่าวว่า ต้องเป็นเนื้อทองคำเท่านั้น และ ต้องร้อยเรียงอักขระครบถ้วนตามตำราเท่านั้น มิใช่อะไร ๆ ก็จะเป็นจักรพรรดิเสียหมด

    ๗. เหรียญหลวงพ่อทวดรุ่นเปิดโลก
    เหรียญรุ่นนี้ท่านก็มิได้ว่าดีที่สุด เป็นแต่ว่าท่านกล่าวว่า ท่านเสกให้แบบเปิดสามโลก เหรียญมาดังมากก็เพราะ มีเรื่องราวเกี่ยวเนื่องกับ หลวงปู่เกษม ผ่านทางพระภิกษุ (เพื่อนของคุณรณธรรม) ว่า เหรียญรุ่นนี้กันนิวเคลียร์ได้ ประกอบกับมีหลายท่านกล่าวว่า เหรียญนี้เป็นเหรียญหลวงปู่ทวด
    ที่สวยงามที่สุดรุ่นหนึ่งทีเดียว

    นอกจากนี้ ยังมีพระเครื่องรุ่นอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ที่เชื่อว่าท่านคงกล่าวกับต่างคณะต่างวาระ จนสามารถสรุปได้ว่า

    "ไม่สามารถสรุปว่า พระเครื่องรุ่นใดที่เป็นสุดยอด"

    เพราะหลวงปู่ท่านตั้งใจอธิษฐานจิตให้ทั้งนั้น จะมีความแตกต่างก็แค่รายละเอียดปลีกย่อย อันเกิดจากอารมณ์จิต และ เจตนาของท่านในขณะอธิษฐานจิตเพราะสิ่งที่ท่านเคยกล่าวรับรองไว้ก็คือ

    "พระทุกรุ่นของท่าน ท่านอธิษฐานไว้ครอบจักรวาล แล้วแต่ผู้ใช้จะอธิษฐานเอา"

    มีเรื่องขำ ๆ เกี่ยวกับความลังเลใจของลูกศิษย์ที่คงมีพระเครื่องของท่านมากไปจนไม่รู้จะอัญเชิญองค์ใดมาห้อยติดตัวดี ในเมื่อมองไปทางองค์นั้นก็ว่าสุดยอด องค์นี้ก็เมตตาดี องค์โน้นก็แคล้วคลาดสูง

    สุดท้ายก็เลยใช้วิธีเอาทุกองค์มาใส่รวมในถุงย่อม ๆ แล้วห้อยคอทั้งถุง เป็นอันจบเรื่อง เพียงแต่เวลาก้มกราบพระ หรือ เดินไปไหน ก็จะมีเสียงขลุกขลัก ๆ ไปตลอด ก็น่ารักไปอีกแบบ

    ในเมื่อพระของท่าน แทบจะไม่แตกต่างด้านพุทธคุณ ดังนั้น ความแตกต่างที่ปรากฏจึงเป็นแต่เรื่องของค่านิยมเท่านั้นซึ่งอาจมาจากความชอบส่วนตัวของคนจำนวนหนึ่ง หรือ ไม่ก็เป็นผลมาจากกระบวนการเก็งกำไร

    แต่ที่สรุปได้แน่ ๆ ว่า ทำไมหลวงปู่จึงไม่ยอมกล่าวรับรองว่า พระของท่านรุ่นใดที่เป็นเลิศที่สุดก็เพราะจะไปขัดกับสิ่งที่ท่านกล่าวรับรองไว้เสมอ ๆ ว่า
    พระที่เลิศสุด ประเสริฐสุดก็คือ "พระเก่าพระแท้ในตัวเอง" นั่นเอง

    ขอขอบพระคุณพี่สิทธิ์ที่ได้บันทึกไว้

    ขอบคุณข้อมูลจากเฟสบุ๊ค : สุริยัน ราชา
     
  20. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,852
    67141517_344901239741630_5183003203796467712_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง หลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง


    #รักษาคนตาบอดหาย
    มีผู้เล่าไว้ว่า..
    ประมาณปี 2546 องค์หลวงปู่พิศดูท่านจำพรรษาอยู่ที่โรงพยาบาลสองพี่น้อง มีลูกศิษย์คนหนึ่งมากราบองค์หลวงปู่ และเล่าให้ท่านฟังว่า สงสารเพื่อนมาก เพราะเพื่อนคนนั้นตาบอดเกือบสนิท ไปหาหมอหมอก็รักษาหมดไปเยอะแล้ว แต่อาการไม่ดีขึ้น ตอนนี้นอนอยู่บ้าน เป็นทุกข์มาก ต้องลำบากคนที่คอยดูแล .. วันนี้ผมจึงมาทำบุญกับหลวงปู่ ขอพรให้เพื่อนมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ตาสามารถมองเห็นได้อีกครั้ง แม้ไม่มากก็ยังดี
    พอหลวงปู่ได้ฟังดังนั้น ท่านก็พิจารณาอย่ครู่หนึ่ง แล้วบอกกับเขาไปว่า

    " ถ้าอยากให้คน(ตาบอด)นั้นหายละก็ พรุ่งนี้พามาหาเรา เราจะรักษาให้หายภายใน 3 วัน 7 วัน "

    พอวันรุ่งขึ้นเขาก็ได้พาเพื่อนที่ตาบอดมาหาหลวงปู่ แต่ในใจก็คงไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย เพียงแต่คิดว่าท่านให้มาทำบุญเพื่อความสบายใจเท่านั้น พอหลวงปู่ได้เห็นดังนั้น ท่านก็ถามไถ่พอเป็นพิธี จากนั้นท่านก็สั่งให้คนที่ตาบอดคนนั้นตั้งใจดีๆ แล้วหลวงปู่ท่านก็สวดมนต์...... เสร็จแล้วก็ให้พรว่า

    " ขอให้ตาที่บอดจงหายภายใน 3 วัน 7 วัน .. พ้วง..." (เป่า)

    พอเป่ามนต์วิเศษไปได้ไม่นาน คนที่ตาบอดก็พอมองเห็นภาพชัดขึ้นบ้างแล้ว ก็ใจชื้นขึ้นมานิดบ้าง จากนั้นก็กราบลาองค์หลวงปู่ท่านกลับ ท่านก็สั่งว่าให้พักผ่อนมากๆ และให้หมั่นสวดมนต์ภาวนาบ้าง พอผ่านไปเพียง 3 วันเท่านั้น ดวงตาที่เคยมืดสนิทก็มองเห็นภาพ และเห็นชัดขึ้นโดยลำดับ พอผ่านไปครบ 7 วันดวงตาคู่นั้นก็มองเห็นชัดเจนเลย สร้างความปิติ ยินดีให้กับเขาครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกอัศจรรย์ใจในบารมีธรรมพร้อมทั้งคุณวิเศษขององค์หลวงปู่เป็นที่สุด...

    ผมรู้สึกว่าคาถาที่องค์หลวงปู่ท่านสวด และเป่าให้คนผู้นั้นน่าจะเป็นบทนี้..

    " สะหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพพะจักขุง วิโสธายิ "

    พระคาถาบทนี้ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นมนต์ของพระอินทร์ ใช้เวลาส่องสามโลก บางท่านก็บอกว่า เป็นคาถาปัญญาไว..ฯลฯ ตามแต่จะอธิษฐานเอา
    แต่ถึงอย่างไร ผู้ที่ใช้มนต์บทนี้ในการเป่ารักษาคนตาบอดสนิทให้หาย และมองเห็นได้นั้น ก็ต้องเป็นผู้ทรงฤทธิ์เดชบารมี และคุณธรรมขั้นสูงจริงๆ ไม่เช่นนั้นอาจจะไม่มีผลถึงเพียงนี้เลย ..
    — ใน วัดเทพธารทอง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี - หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี
     

แชร์หน้านี้

Loading...