ดิฉันเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับผู้มีอาชีพฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารสูงๆ เค้าบอกกันว่าบางคนมีซิ๊กเซ็นส์หรือพลังจิตอะไรประมาณนั้น ยิ่งคนที่ทำหน้าที่หาคนสัมภาษณ์คนเป็นพันๆคนจะเรียนรู้จากการอ่านจิตคนตรงหน้าเพราะเค้าอยู่ในสภาวะที่เหนือกว่า บางคนก็รู้ตัวบางคนก็ไม่รู้ตัว
ดิฉัน ไม่แน่ใจว่ามีจริงๆหรือเปล่า แต่อยากเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเพราะคิดถึงพี่ฝ่่ายบุคคลผู้นี้(ขอไม่บอกชื่อและ บริษัท)
ดิฉันทำงานอยู่ฝ่ายจัดซื้อมาได้้ 4 ปีเศษแล้ว (ตั้งแต่ปี 49) ตอนต้นปี 51 มีพี่ฝ่ายบุคคลเป็นผู้ชายอายุน่าจะ 30 เศษๆเข้ามาทำหน้าที่ด้านหาคนเข้าบริษัท ปกติไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวเพราะไม่ค่อยชอบเข้าใกล้ฝ่ายบุคคลเท่าไหร่ เนื่องจากตั้งแต่เรียนจบมาเข้าทำงานก็จะรู้สึกอยู่เสมอว่าเป็นเหมือนหุ่นเชิดนายจ้าง...
พี่เค้ารูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาออกแนวไทยๆเข้มๆสมาร์ทดี เวลาเค้ายิ้มแล้วเหมือนมันอบอุ่นดี ดิฉันสังเกตุเวลาพี่เค้าเดินไปไหนปลายเท้าเค้าจะตรงกับส้นเท้าเหมือนคนเดิน จงกลม มีข่าวลือตอนพี่เค้าเข้ามาว่าบริษัทต้องการให้มาหาคนใหม่ๆมาแทนที่คนเก่าๆ ที่เงินเดือนสูงขึ้นเรื่อยๆทำให้ดิฉันกังวลมากตามประสาคนกลัวตกงาน แล้วช่วงนั้นบริษัทก็เริ่มมีพนักงานใหม่ๆเข้ามาเรื่อยๆเป็นจำนวนมากก็ยิ่ง กังวลกันเข้าไปใหญ่ วันนึงดิฉันเจอพี่เค้าในลิฟท์ตอนเช้าเข้างาน เค้ายิ้มให้แล้วเอ่ยพูดเสียงนุ่มๆมากว่า อย่ากังวลเรื่องที่กำลังคิดอยู่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก ทำงานให้สนุกเถิด แล้วก็เดินลงลิฟท์ไป ดิฉันรู้สึกทั้งงงทั้งแปลกใจมากๆเพราะกำลังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่พอดี มันก็เลยยิ่งทำให้อยากรู้จักพี่เค้ามากขึ้นเรื่อยๆ มีบางคนคุยกันว่าเวลาพี่เค้าสัมภาษณ์เหมือนเค้ารู้เรื่องของเราทั้งที่บาง เรื่องไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย แล้วพี้เค้าก็มักจะทำเป็นว่าเดาเล่นๆสนุกๆและก็หัวเราะเป็นตลกๆ ก็ยิ่งอยากรู้จักเค้ามากขึ้นไปอีก ก็ยิ่งรู้ว่าพี่เค้าชอบศึกษาและเผยแพร่เรื่องเกี่ยวกับธรรมมะและก็การศึกษา ด้านเกี่ยวกับจิตซึ่งบางอย่างเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง มีเหตุผล และเหมือนเป็นคำทำนาย ถึงแม้มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน แต่บางที่มันทำให้ดิฉันรู้สึกว่าบทความของพี่เค้าที่ส่งต่อๆกันมาจากคนที่ อ่านและประทับใจมันจรรโลงใจและช่วยผ่อนคลายได้อย่างดีเยี่ยมโดยไม่ต้องยาก ลำบากในการแสวงหาเลย เค้ามักชอบบอกว่า " ธรรมะ คือ ธรรมชาติ แต่มนุษย์โลกเราเรียนรู้ในสิ่งที่ไกลจากธรรมชาติเข้าไปทุกที " , " ที่ใดไกลจากธรรมะที่นั่นจะร้อนรุ่ม เพราะจริงๆธรรมะอยู่ใกล้กับตัวเราแต่เรามักคิดว่าห่างไกล " แต่ก็เห็นพนักงานบางคนที่ดูวัยรุ่นหน่อยบอกว่าเค้าพิลึกและบ้างก็ว่าหลุดโลก บ้าง
จนปลายปีที่แล้วพี่เค้าลาออกไปดื้อๆ แปลกที่ฉันรู้สึกเสียดายและหดหู่ที่ไม่ได้ทราบหรือเสพข้อมูลดีๆจากพี่ท่าน นี้อีก มันรู้สึกใจหายจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่ามีบางคนถึงกับน้ำตาซรึมกับการจากไปของฝ่ายบุุคคลท่านนี้
สิ่งที่ดิฉันได้รู้จากเพื่อนผู้ชายต่างแผนกที่พอคุ้นเคยหรือพูดคุย กับพี่เค้าบ่อยๆ เล่าให้ฟัง(ซึ่งบางอย่างดิฉันก็ไม่ได้ถามว่าเอามาจากไหนบ้าง) ว่า
1. พี่เค้าจะลาพักร้อนไปบวชพราหมณ์เป็นประจำและชอบนั่งสมาธิเป็นเวลานานๆ
2. พี่เค้าบอกว่า กายไม่สำคัญเท่าจิต และเราคือจิต ส่วนร่างกายเป็นแค่ยานพาหนะเมื่อสิ้นอายุไขก็จะเวียนว่ายเพื่อหายานพาหนะ ใหม่หรือภพใหม่นั่นเอง
3. คลื่นวิญญาณคือ wave ชนิดหนึ่งเช่น คลื่นวิทยุ คลื่นทีวี ที่สามารถเปิดรับได้เมื่อจูนช่องตรงกัน แต่คลื่นวิญญาณละเอียดอ่อนและบริสุทธิกว่ามาก ซึ่งเค้าเรียกแทนวิญญาณว่าจิตที่ขาดพาหนะ
4. วิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่อาจเป็นอีกหนึ่งอย่างที่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง เหมือนเช่นเมื่อหลายพันปีมาแล้วมนุษย์คิดว่าโลกแบนก่อนที่วิทยาศาสตร์จะ พิสูจน์ได้ภายหลังว่าโลกกลม
ส่วนคำทำนายของพี่เค้าบอกว่า
- ก่อนที่วิทยาศาสตร์จะสามารถพิสูจน์เรื่องวิญญาณได้ โลกเราจะสิ้นก่อนจากภัยธรรมชาิติซึ่งเป็นกรรมกำหนด โดยเกิดจากน้ำแข็งจากขั้วโลกละลายอย่างฉับพลันจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจาก ฝีมือมนุษย์โดยหลัก ซึ่งมีเนื้อที่ปกคลุมผืนโลกมากกว่าพื้นดินเสียอีก เค้าอธิบายให้เห็นภาพชัดว่าเหมือนเราเอาลูกปิงปองที่มีน้ำแข็งติดอยู่แล้ว ดึงออกมาจากห้องฟรีซโดยฉับพลัน นำ้ำแข็งก็จะละลายลงมายังผิวลูกปิงปองอย่างรวดเร็ว ถ้าหลับตานึกภาพตามก็น่าจะมีหลักเหตุผลค่อนข้างมากว่ามันคงไม่เหลืออะไรแน่ๆ ซึ่งเป็นไปได้ซึ่งพี่เค้าบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีอายุขัยไม่เว้นแม้แต่โลก ช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเอง
คำพูดเป็นนัยๆเกี่ยวกับเมืองไทยซึ่งตลึงมากๆ(อันนี้เป็นบทความของพี่ เค้าเลยซึ่งอ่านด้วยตัวเอง)
- ปลายปี 51 พี่เค้าบอกกับผู้บริหารอาวุโสท่านนึงก่อนจะเขียนบทความในอีเมล์ภายในบริษัท ซึ่งคุยต่อๆกันมาว่า ประมาณปลายปี 52 หรืออาจปี 53 จะมีกลุ่มคนทั่วสารทิศมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ เรือนแสน ด้วยความร้อนรุ่มเป็นเพลิงไฟ(หลายคนก็รู้สึกเหลวไหลเพราะจะมีใครเชื่อว่าอีก แค่ปีเศษๆจำนวนกลุ่มคนที่มาเรียกร้องด้วยเหตุการณ์ที่รุนแรงเป็นจำนวนไม่ได้ ต่างจากที่พี่เค้าบอกเลย) จากนั้นสิ่งศักสิทธิหรือพระเจ้าจะมองลงมายังบ้านเมืองเราแล้วเห็นแต่เปลว เพลิงกับซากปรักหักพัง และหลังจากนั้นคนไทยแต่ละภาคจะมีความคิดท้องถิ่นนิยมมากขึ้นเด่นชัดขึ้น เรื่อยๆ จนความเป็นไทยเข้มข้นน้อยกว่าความเป็นภาค แล้วพี่แกบอกว่าหลังจากนั้นให้คิดต่อเอาเอง
- ไม่มีกาและไม่มีหงส์อย่างถ่องแท้เพราะกากับหงส์จะตีกันพัลวันตราบนานเท่านาน เพราะด้วยที่มาแห่งสงครามสายเลือดถึงวันตกผลึกแล้ว
- กลุ่มชนผู้แอบอยู่หลังม่านทั้งหลาย(ตรงนี้คิดว่าหมายถึงชาติอื่นๆที่เป็นคู่ แข่งหรือมีอำนาจ) ก็คอยจับจ้องและเข้าครอบครองด้วยกลยุทธที่ง่ายดาย...
* ดิฉันยังคิดถึงพี่ฝ่ายบุคคลท่านนี้อยู่ เพราะอย่างน้อยการได้ศึกษาเค้าทำให้ดิฉันได้เข้าใจอะไรบางอย่างที่ฉันคิดว่า ไม่น่าจะมีโอกาสได้หยั่งรู้เอง นั่นคือการปลงและครองตนในสภาวะต่างๆอย่างไม่วิตกและยิ้มให้กับมัน ทุกวันนี้ดิฉันศึกษาพระธรรมมากขึ้นเรื่อยๆโดยที่มีจุดกำเนิดเริ่มต้นจาก บูรณภาพทางความคิดจากพี่ท่านนี้
** ดิฉันไม่ได้บอกว่าดิฉันงมงายเชื่อพี่คนนี้ทุกอย่าง แต่ดิฉันกำลังจะบอกว่า ความหมายจากการส่งสารของพี่เค้าต่างหากล่ะที่ทำให้ฉันเริ่มต้นด้วยความกลัว ตามมาด้วยความสงสัย และจบลงที่ความสงบ
(ดิฉันไม่เคยคิดว่าพี่เค้าใช้ ความสามารถทางจิตอะไรก็ตามแต่เพื่อให้ใครคิดว่าเค้าพิเศษ แต่ดิฉันเชื่อว่า เค้าพยายามที่จะบอกว่า การศึกษาและเข้าใกล้พระธรรมนั้นสงบร่มเย็นกว่าการเข้าใกล้และเอาชนะกันด้วย วิถีแห่งยุทธสงครามต่างๆนาๆ เพราะเค้ามาแค่ส่งสาร...แล้วเค้าก็แค่จากไป...............!!!)
- ขอให้พี่ชายท่านนั้นมีความสุขตลอดไปด้วยเถิด -
เรื่องแปลกๆของพี่ชายฝ่ายบุคคลท่านนึง
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ปราณีต, 31 พฤษภาคม 2010.
หน้า 1 ของ 2
-
ครับอ่านแล้วรู้สึกดีจังครับ รับรู้ และเข้าใจ ง่ายดี โมทนาบุญครับ ที่คุณได้รับรู้ถึงกระแสธรรมที่หลายๆคนยังมองข้าม และ ผ่านไปอย่างน่าเสียดาย สาธุครับ
-
ถูกต้องครับพี่
ร่างกายเป็นแค่ สิ่งขับเคลื่อนในโลกนี้เท่านั้น !!!! จิตสำคัญสุด T T อนุโททนาครับ -
เรื่องหน้าสนใจดีจัง
อ่านแล้วตื่นเต้นไปด้วย
ถ้าผมรู้จักเขาคงจะถามอะไรหลายอย่างแน่ๆเลย -
ขอขอบพระคุณท่าน จขกท. มากๆครับ
อ่านแล้วรู้สึกดีครับ ยินดีที่ได้อ่านเรื่องของคนดี
อนุโมทนาครับ -
ก็เป็นจริงเช่นนั้น อย่างที่ท่านพี่พูดถึง
ป่านนี้คงอยู่ในป่าอันวิเวกที่ไหนในประเทศนี้ รอดูวันสิ้นสุดของอะไรบางอย่าง
แล้วคงกลับมาเมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนยุคสมัย
คนดีจะหนีไปอยู่ป่า
คนบ้า-คนชั่วจะสู้รบกันในเมือง -
เป็นบทความที่ดีครับ
-
เป้นธรรมดาของผู้ปฎิบัติธรรม ได้ญาณขั้นต่าง ๆๆ
และเป้นธรรมดาของผู้ปฎิบัติธรรม ย่อมประสงค๋ที่จะหาวิเวก และรักสันโดษ
อ่านสนุกดีได้ข้อคิดธรรมะ ขอบคุณมากครับขอท่านเจริญธรรมะยิ่งๆๆขึ้นไป -
อยากรู้ว่าจะถามอะไรพี่เค้าบ้างคะ
ถ้าได้มีโอกาสเจอเค้าอีกดิฉันจะถามเรื่องเกี่ยวกับการนั่งสมาธิค่ะ -
อนุโมทนาและขอขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ ได้รับความรู้และประสบการณ์ดีค่ะ...
-
เรียนคุณปรานีต
มีข้อมูลบางอย่างจากพระเกจิอาจารย์คล้ายกับของทางพี่ชายฝ่ายบุคคลท่านนี้
เพื่อนธรรมคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า พระเกจิอาจารย์ของเขาเล่าให้ฟัง เหตุการณ์ปี พ.ศ. 2552 ถึงปี พ.ศ. 2555 ยังไม่ต้องเชื่อนะครับจับตาดูกันต่อไป
เรื่องราว จากนี้ไป ไม่ง่ายนัก
การเมืองจัก วุ่นวาย ไม่หน่ายหนี
เศรษฐกิจ การเงินซ้ำ กระหน่ำอีกที
ประชาชี สิหนีพราก ลำบากลำบน
ต่อๆไป ไทยอาจแตก เป็นเสี่ยงๆ
เพราะคนเอียง เลี่ยงหลับ จนสับสน
แผ่นดินเรา เขาเข้ายึด เป็นของตน
ประชาชน ต้องหลบลี้ เพราะมีภัย
เสือขาวเหลือง เข้ามาหา กระยาหาร
เข้ารุกราน เราตายเป็นเบือ จะเชื่อไหม
ส่วนที่เหลือ จะอยู่รอด กันอย่างไร
คิดๆไป ใจก็เศร้า ไฟเผาทรวง
วิบากกรรม นำชักพา ให้มาเกิด
ในยุคนี้ ที่เปิดกรรม อันใหญ่หลวง
กระแทกคน ที่ไร้ศีล ที่หลอกลวง
ไม่พ้นบ่วง ต้องรับหมด ตามกฏแห่งกรรม
ทางรอด ดั่งยอดดอย มีน้อยนิด
ทุกคนคิด หยุดแตกแยก หยุดถลำ
ถึงจะหยุด ฉุดกระชาก วิบากกรรม
ชาวสยาม จะกลับยิ้ม อิ่มเอมใจ
คำว่า "เสือขาวเหลือง" หมายถึง เสือขาว(อเมริกา) กับ เสือเหลือง(จีน)
ซึ่งทั้สองประเทศยักษ์ใหญ่นี้ต้องการเข้ามายึดครองประเทศไทยครับก็ระวังกันไว้บ้างก็ดีนะครับ -
ทะเลาะกันให้มาก ๆ ครับ.........วันเวลาที่เคยฉิบหายรออยู่ เร่งมือกันหน่อยครับ
พวกเราที่ใฝ่ธรรม จะได้เริ่มสร้างโลกใหม่ พวกเก่า ๆ คุยไม่รู้เรื่อง ปล่อยเขาไป........
ใคร ๆ ก็คิดว่าตัวเองถูกต้อง...........
ส่องกระจกกันบ้างหรือเปล่า บ้านเมืองพังเพราะใคร
ถ้าไม่ใช่............. -
2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់
มันเป็นของมันอย่างนั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คนไม่เข้าใจก็ทุกข์หนัก คนพอเข้าใจบ้างก็ทุกข์น้อย
คนที่เข้าใจจริงๆก็ไม่ทุกข์ ก็แค่เล่นๆไปตามกระแสบ้างเท่านั้นเอง
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ..... -
ผมก็ฟังเขามาเหมือนกัน...เมืองไทยจะร้อนไปอีกหลายปี วุ่นวายขนาดหนัก...หลังจากในหลวงไม่อยู่แล้ว รบกันอีก แม้แต่ไก่ที่อยู่ในเล้า ยังบินหนีไม่ทัน...
-
อนุโมทนากับท่าน จขกท. ที่ได้พิมพ์ให้พวกเราอ่าน เพื่อเป็นการยืนยันว่า
อภิญญานั้นมีจริง ดั่งเช่นพี่ชายฝ่ายบุคคล ท่านนี้ มี เจโตปริญญาณ และมี อนาคตังสญาณ
ผมเองก็มีเพื่อนที่มี เจโตปริญญาณ เช่นกัน ครั้งแรก ที่ทราบว่า เพื่อนมี ก็รู้สึกแปลกใจมาก
ที่เพื่อนสามารถรู้ว่า เรากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ แต่หลังจากได้ศึกษาพระธรรม ก็ทำให้ทราบ
ได้ว่า เหล่านั้น เรียกว่า "อภิญญา" อนุโมทนา แด่ ท่านผู้ได้อภิญญา ทุกท่านเทอญ... -
-
-
ขออนุญาติเล่าประสพการณ์ ให้ฟังเผื่อว่า..จะเป็นประโยชน์ครับ
ผมกำลังปฏิบัติธรรรมตามแนวทางหลวงปู่ดู่ และหลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะครับ
ได้สวดบทจักรพรรดิ์ และได้รับแจกลูกแก้วและพระผง ไว้ใช้กำนั่งสมาธิและปรับภพภูมิครับ
ผมเคยนำลูกแก้วจักรพรรดิ์ไปวางไว้หิ้งพระบ้านญาติที่ระยอง เพื่อปรับภพภูมิ
ในระหว่างที่หลับตาสวดบทจักรพรรดิ์และอธิษฐานลูกแก้วอยู่นั้น ได้ยินเสียงน้องคนหนึ่งดังว่า
" พี่..หนูขอลูกแก้วลูกนึงนะ จะเอาไปเลี่ยมห้อยคอ "
เมื่อผมวางลูกแก้วไว้ที่หิ้งพระแล้ว ได้กลับมานั่งคุยกับญาติๆ
สักครู่..ผมนึกได้ว่าน้องขอลูกแก้ว จืงได้หยิบลูกแก้วส่งให้
น้องดีใจมาก กล่าวขอบคุณพร้อมกับพูดว่า
" พี่รู้ได้ไงว่า..หนูอยากได้ "
ผมตอบว่า "ก็เมื่อกี้ พี่ได้ยินเราขอ จะเอาไปเลี่ยมห้อยคอ " ใช่มั้ย พี่ถึงให้ไง
น้องทำหน้างง พร้อมกับตอบว่า "ใช่ค่ะแต่หนู..คิดในใจ ไม่ได้พูดออกมา แล้วพี่รู้ได้ไง "
ญาติๆที่นั่งอยู่ด้วยก็ยืนยันว่า ไม่ได้ยินว่าน้องพูด เห็นแต่น้องมองผมอยู่ โดยไม่ได้พูดอะไร
เจอเรื่องอย่างนี้ ทำเอาผมอึ้งไปเลยครับ
แต่จากเหตุการณ์นั้น ทำให้ญาติๆที่รู้เรื่อง ต่างก็หันมาตั้งใจปฏิบัติธรรมกันอย่างจริงจัง
เป็นผลดีอย่างยิ่ง ทั้งต่อตนเองและครอบครัวครับ
สำหรับคุณปราณีต ที่อยากทราบว่า เราจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง
ถึงจะได้มีเจโตปริญญาณ และมี อนาคตังสญาณ
ขอแนะนำให้ดูที่หัวข้อ อภิญญา-สมาธิ (ฝึกสมาธิ) ในเวปพลังจิต
มีทุกอย่างที่คุณต้องการ
ส่วนจะทำได้ผลอย่างไร ก็อยู่ที่คุณแล้วครับ
ถ้าตั้งใจจริง ย่อมสมหวังทุกประการ
ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ -
-
อนุโมทนาค่ะ
จริงๆค่ะ ธรรมะคือธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่ทำไมมนุษย์ถึงชอบแสวงหาสิ่งไกลตัวที่มันไม่จำเป็นกันนะ...
หน้า 1 ของ 2