เรื่อง 10 รัชกาล (ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย แมวน้ำ9, 7 เมษายน 2011.

  1. deity

    deity เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,139
    ค่าพลัง:
    +1,645
    ความจริงแล้ว

    ใน ร.9 นี้

    เมืองไทยเราก็มีความเจริญก้าวหน้าทันสมัยมากพอสมควรนะ

    มือถือ รถไฟบนฟ้า รถไฟใ้ต้ดิน คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ทีวีธรรมดา

    ทีวีดาวเทียม ดาวเทียมดวงแรก ธนาคารออนไลน์ ท่าเรือน้ำลึก ทางด่วน

    การปิโตรเลียม บันไดเลื่อน ฯลฯ

    ล้วนเกิดใน ร.9 นี้


     
  2. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->เวลานี้ มีใครบ้างไหมที่เป็นตัวอย่างพอจะยกขึ้นมาให้ดูได้ว่าเป็นบัณฑิตที่เราควรจะคบ มีอยู่คนหนึ่ง ความจริงมีมาก มีมากที่บรรดาท่านทั้งหลายควรจะเอาเป็นตัวอย่างหรือควรจะคบ แต่ว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นมีคนรู้จักกันเฉพาะบางจุดบางพวก บางกลุ่ม แต่มีคนอยู่คนหนึ่งรู้จักกันหมดทั่วประเทศไทย ที่จัดว่าเป็นบัณฑิต ท่านผู้นั้นก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงพระนามว่าภูมิพลอดุลยเดช อันนี้เราจะเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นบัณฑิตจริง ๆ มีพรหมวิหาร ๔ แต่ความจริงการจะคบบัณฑิตนี่ เขาเลือกคบแต่เฉพาะบุคคลที่ใจเป็นบัณฑิตหรือจริยาที่เป็นบัณฑิต เพราะคนเราทุกคนเกิดมาแล้วจะให้ดีทุกอย่างน่ะไม่ได้ ทีนี้เวลาเราคบเราก็เลือกคบเฉพาะจุด จุดไหนเป็นบัณฑิตเราจะคบจุดนั้น ถ้าจุดไหนเป็นพาลเราก็ละเสีย เท่านี้แหละ ถ้าฉลาดคบสักนิดเดียวมันก็เป็นของไม่ยากที่ยกตัวอย่างจะเอาพระมหากษัตริย์ขึ้นมาเทิดทูน แต่ความจริงอาตมาเองกับพระเจ้าแผ่นดินยังไม่เคยเห็นหน้ากันจริง ๆ เลย ยัง ยังไม่เคยเข้าไปนั่งคุยกัน เห็นแต่ภาพของพระองค์เสด็จที่นั่น เสด็จที่นี่ ตานี้เรามากล่าวถึงความดีว่าพระองค์เป็นบัณฑิต ก็เพราะจริยาที่พระองค์ทรงปฏิบัติ ที่เขาเรียกกันว่าพระราชจริยาวัตรอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลายจะอ่านกันลำบาก พูดกันอย่างแบบชาวบ้านธรรมดาดีกว่า ภาษาลูกทุ่ง ว่างานที่พระเจ้าแผ่นดินทรงทำน่ะ เอางานใหญ่ ๆ ที่เห็นได้ง่าย ๆ เวลานี้พระองค์ทรงคิดได้แล้วนั่นคือทำฝน จะเรียกว่าทำฝนเทียมมันก็ไม่ถูก เรียกว่าคาถาเรียกฝนดีกว่า จะบอกว่านี่พระองค์ไม่ได้ทำองค์เดียวนะ คนอื่นเขาช่วยทำนั่นก็ถูก แต่ว่าพระองค์ทรงเป็นประธานช่วยกันคิด แล้วก็คนทั้งหลายเหล่านั้นจะทำก็ต้องอาศัยทุนที่พระองค์ทรงหามาได้ด้วยพระองค์เองบ้าง จากรัฐบาลให้บ้าง ที่ชาวบ้านช่วยสงเคราะห์บ้าง ใช้ความคิดว่าคาถาเรียกฝน บันดาลให้ฝนตกในที่ทั้งหลาย ในระหว่างที่กำลังบันทึกเสียงนี้ อ่านหนังสือพิมพ์ดูแล้วเขาบอกว่ามีจังหวัดถึง ๑๔-๑๕ จังหวัด กำลังขอร้องพระมหากษัตริย์ขอฝนพระราชทาน ยังงี้พระองค์ทรงทำเพื่อประโยชน์ส่วนพระองค์ หรือว่าส่วนใคร ถ้าเราไม่คิดว่าพระองค์ทรงมีจิตเมตตาในฐานะที่พระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดินนี่ จะนั่งนอนเฉย ๆ ตามใจรัฐบาลตามใจรัฐสภา รวมความว่าไม่ต้องการสงเคราะห์ใคร ถ้ารัฐบาลว่ายังไง ก็เซ็นส่งเดชเข้าไปเป็นที่ไม่ขัดใจของรัฐบาลและรัฐสภา พระองค์ก็จะมีอารมณ์สบาย เขาจะชอบใจพระองค์แต่นี่พระองค์มาคิดโน่น คิดนี่ คิดนี่คิดนั่น ดีไม่ดีคิดเลยรัฐบาลขึ้นไป คิดเลยรัฐสภาขึ้นไป คนที่มีอารมณ์ใจประกอบไปด้วยกิเลสอาจจะไม่พอใจพระองค์ก็ได้ แต่พระองค์ก็ไม่คิดว่ายังไง เขาจะคิดว่ายังไงก็ตามใจเขา ขอให้พสกนิกรราษฎรของพระองค์มีความสุข มีความสบายตามความสามารถของพระองค์ก็แล้วกัน แล้วก็ฝนพระราชทานของพระองค์น่ะ พระองค์คิดเม็ดเท่าไหร่ หรือว่าคิดซีละเท่าไหร่ออนซ์ละเท่าไหร่ หรือว่าปอนด์ละเท่าไร? เปล่าไม่ได้เคยคิด ค่าคิดก็ไม่ได้คิด ไอ้เรื่องค่าใช้จ่ายเสียหายก็หามาจากที่ไหนต่อที่ไหนตามแต่จะพึงได้ นี่เป็นอันว่า พระองค์มีพระทัยประกอบไปด้วยเมตตาและกรุณาสงเคราะห์พสกนิกรของพระองค์ นี่อย่างหนึ่งที่เราเห็นได้ชัด ๆ แต่ความจริงพระองค์ทำหลายสิบเรื่อง
    อีกเรื่องหนึ่งก็เรื่องสำคัญที่สุดในปัจจุบัน เวลานี้น้ำมันแพง พระองค์ตั้งหน้าตั้งตาว่าคาถาเสกน้ำเป็นน้ำมัน เสกขึ้นมาได้แล้วราคาถูกกว่าน้ำมันของชาวโลกตั้งครึ่ง แล้วก็มีคุณภาพดีกว่า การที่พระองค์ทำแบบนี้ ก็อาศัยทรงพระมหากรุณากับพสกนิกรของพระองค์ว่าจะไม่ต้องพึ่งบารมีของชาวต่างชาติ ดีไม่ดีเขาก็หาโอกาสกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง ความดีประเภทนี้จัดว่า เป็นพรหมวิหาร ๔ ของพระมหากษัตริย์ประเภทอปริมาณปัญญาคือไม่มีปริมาณ ไม่เฉพาะกลุ่มบุคคล แล้วมิได้ลำเอียงเที่ยงธรรมว่าฝนน่ะ ฉันให้จังหวัดนี้จังหวัดโน้นว่าฉันไม่ดีฉันไม่ให้ น้ำมันนี่ก็เหมือนกัน คนนี้ว่าฉันดีฉันก็ขายให้ ขอทุนคืนมาทำใหม่ คนนั้นว่าฉันทำไม่ดี ฉันไม่ขายให้ เปล่า พระองค์ไม่ได้คิดอย่างนั้น ทำไปเพื่อสาธารณประโยชน์ และเวลานี้ทราบว่าพระองค์ทรงโปรดให้ตั้งโรงงานในนามโรงงานของประชาชนกลั่นน้ำมัน
    นี่พระองค์ทรงเป็นบัณฑิตให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านปฏิบัติเป็นตัวอย่าง เราเลือกเอาแต่เฉพาะที่พระองค์ทรงความดีนะ ประเดี๋ยวคนที่เกลียดพระเจ้าแผ่นดินเขาจะมาว่า นี่มายกย่องสรรเสริญกัน ทั้ง ๆ ที่พวกท่านเหล่านั้นเห็นว่าไม่ดี ความจริงพระองค์อาจจะมีความไม่ดีอยู่บ้างในฐานะที่เป็นปุถุชนคนธรรมดา คำว่าคนธรรมดานี่ก็หมายความว่า เป็นคนที่ยังมีกิเลส แต่ทว่ามีบุญบารมีเหนือกว่าคนทั่วไป เพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน คนพูดนี่ถึงแม้ว่าจะบวชเป็นตาเถร เฮอะ เขาจะเรียกว่าตาเถร หรือพระก็ไม่รู้ บางทีก็เป็นพระ บางทีก็เป็นตาเถร เพราะอะไร เพราะมันดีไม่ทั่ว ถึงเวลาดีขึ้นมาก็เป็นพระ เวลาไม่ดีขึ้นมาก็เป็นตาเถรไป ทีนี้ความจริงตาเถรคนนี้แกเกิดก่อน ถ้าหากว่าพระองค์ไม่มีบุญญาธิการดีกว่าพระองค์ก็เป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ อีตาคนนี้ต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทีนี้อาศัยบุญบารมีของพระองค์ดีกว่า จึงจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ นี่ว่ากันไปนี่เขาจะหาว่าเป็นพวกพระเจ้าแผ่นดินเสียแล้วมั้ง ก็ตามใจ ถ้าไม่เป็นพวกของพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่รู้จะเป็นพวกของใครนี่ เพราะเวลานี้ฝนมันไม่ตก พระองค์ก็ทำให้ฝนตกได้ที่วัดมีน้ำกินก็อาศัยฝนของพระเจ้าแผ่นดิน เป็นฝนพระราชทาน ความจริงรัฐบาลท่านก็ดีแต่ว่าท่านไม่มีฝน ก็ไม่เคยว่ารัฐบาลชั่ว นี่ยกตัวอย่างโดยเฉพาะว่า เอาตัวอย่างที่เรารู้จักกันง่าย ๆ อย่างพระเจ้าแผ่นดิน อย่างนี้ละควรคบ แล้วท่านผู้อ่านจะบอกว่า เออ พ่อเจ้าพระคุณ นี่มานั่งให้ไปพบพระเจ้าแผ่นดินน่ะ เวลาจะเข้าเฝ้าแต่ละทีนี้ โอ้โฮ ยากเหลือเกิน จะเข้าไปยังไง อันนี้ก็ขอแนะนำให้ว่าไม่ต้องเข้าไปหรอก การพบพระเจ้าแผ่นดินนี่พบไม่ยาก พบง่ายจะตายไป เราพบพระเจ้าแผ่นดินน่ะ เราพบในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นบัณฑิต เราไม่ได้พบหรือคบกับพระองค์ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ ถ้าเวลาเราจะเข้าไปเฝ้าพระมหากษัตริย์มันต้องมีเวลา ต้องมีหมายกำหนดการ ต้องขออนุญาตกัน ต้องกราบทูลให้ทรงทราบก่อน แล้วก็ทรงอนุญาต แต่ว่าถ้าเราจะพบพระองค์ในฐานะที่เป็นบัณฑิต ไม่เห็นจะมีอะไรยากเลยนี่ พบได้ทุกเวลา นี่บางทีอาจย้อนถามมาว่า นี่แกรู้จักกับพระเจ้าแผ่นดินมานานแล้วรึ? บอกว่าถ้าในฐานะพระเจ้าแผ่นดินนี่นะ ไม่เคยรู้จักกันเลย แต่ว่าในฐานะที่เป็นบัณฑิตนี่รู้จักมานาน พบกันมานาน เวลาจะพบกับท่านจะทำยังไงมันจะไปยากอะไร พบเมื่อไรก็ได้ ดึกดื่นเที่ยงคืนค่อนคืน เมื่อไหร่ก็พบได้ พบตอนไหนเล่า พบกันตอนนี้ซี เอากันตอนที่พระองค์ทรงมีความเมตตาปรานีน่ะ แล้วก็มีความปรารถนาสงเคราะห์ให้พสกนิกรของพระองค์มีความสุข ทำทุกอย่างเพื่อพสกนิกรทั้งหลายได้มีความสุข แล้วพระองค์ทำไปก็ไม่คิดค่าจ้าง รางวัล เราพบไม่ยาก พบไม่ยาก เราพบเมื่อไรเราก็พบได้ คือทำใจให้เสมอท่าน ไอ้การทำใจเสมอกัน แล้วปฏิบัติเสมอกันนี่เขาเรียกว่าคบหาสมาคม ไม่ใช่ต้องไปพบตัวนา นี่เราคบความเป็นบัณฑิตของพระองค์ ไม่ใช่คบในฐานะที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์
    ตานี้ เมื่อพระองค์เสกฝนได้ เราก็เสกมั่ง พระองค์เสกน้ำมันได้ เราก็เสกบ้าง ถ้าพระองค์ทำฝนให้ตกมาจากฟ้าได้ เราก็ไม่เอาละ เราไม่ใช่พระองค์มีทุนไม่มาก เราก็ทำฝนตกจากแม่น้ำหรือจากบ่อให้มันไปลงอยู่ในพืชในผัก มันจะเป็นไงไป ถ้าบ้านใกล้เรือนเคียงเขาขาดน้ำ บังเอิญเรามีเครื่องสูบน้ำ หรือเราไม่มีก็เกณฑ์บรรดาชาวบ้านใกล้เรือนเคียงด้วยกันว่า เออ ไอ้น้ำทุ่งของเราไม่มีจะขึ้นนา ไม่มีจะขึ้นไร่ มาช่วยกันสูบน้ำ มาช่วยกันโพงขึ้น นี่เรียกว่าเรากระทำฝนเหมือนกัน
    ตานี้ วิชาทำน้ำมันของเราทำยังไง ถ้าน้ำมันไม่มีใช้กันจริง ๆ ก็ช่วยกันลากเครื่องไอ้ยานพาหนะที่จะเคลื่อนเอาไปได้เอาไปใช้กิจการงานแบบสมัยโบราณใช้ด้วยกำลังแรงอย่างนี้มันก็ไปได้คล้ายน้ำมัน พวกเราไม่ใช่พระเจ้าแผ่นดินนี่จะได้มีทุนมาก ๆ
    เป็นอันว่าเราทำจิตใจให้ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔ ตามแบบฉบับของพระองค์ก็ชื่อว่าพบพระองค์ได้ตลอดเวลา
    ตานี้มาว่ากันแบบธรรมะ ว่าการคบบัณฑิต เราจะคบคนเช่นไร คบพระยังงั้นรึ? พระไม่แน่นักหรอก นี่บวชพระอยู่นะรู้ว่า เทวดาพระนี่น่ะที่ระยำ ๆ จนกระทั่งบอกไม่ถูกก็นับปริมาณไม่ได้ แต่ที่ดีควรสักการะ ควรไหว้ ควรบูชาก็มีเยอะ ทีนี้เวลาเราจะคิดว่าพระเป็นบัณฑิตหรือไม่ ก็ดูจริตกริยาเสียก่อน ตามที่พูดมาแล้ว อันนี้ไม่ได้กล่าวโทษกัน พูดให้กันฟัง แล้วควรจะพูดตามแบบฉบับขององค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าที่ทรงรับสถาปนาใหม่ ๆ พระองค์ตรัสมาดีเหลือเกิน ชอบใจว่าถ้าพระไม่ดี พระจัญไรแล้วควรจะไม่ใส่บาตรเสียบ้าง นี่ชอบใจจริง ๆ เป็นอันว่าสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ พระเจ้าแผ่นดินสถาปนาขึ้นมา แหม ชอบใจมาก เพราะอะไร พูดชัดถ้อยชัดคำตรงไปตรงมา แสดงว่าพระองค์นี่ อาจจะมีพระอริยธรรมประจำพระทัยของพระองค์อยู่มาก ฉะนั้นจึงกล้าตรัสออกมาว่า ถ้าพระไม่ดีก็เลิกใส่บาตรเสีย คือว่าพระนี่ก็เหมือนกับฝุ่นละออง หรือของสะอาด พระศาสนาเหมือนกับพื้นที่ ถ้าพื้นที่ถูกฝุ่นละอองทับถมอยู่มาก ก็เกิดความสกปรก มันแปดเปื้อนมีแต่ความมัวหมอง ถ้าเราช่วยกันขัดสีฉวีวรรณ พื้นที่ก็จะสะอาดฉันใดพระศาสนาก็เหมือนกัน อย่านึกว่าพระน่ะ เป็นพระไปเสียทุกองค์ แล้วก็พระดีต้องมียศฐาบรรดาศักดิ์ชั้นสูงสุดมันไม่แน่นัก ขนาดที่เมาในยศฐาบรรดาศักดิ์นี่แสดงว่าใจไม่ใช่พระ แต่ว่าท่านที่มียศฐาบรรดาศักดิ์แล้วท่านไม่เมาในยศ ปรากฏว่าปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัย อย่างนี้เป็นพระแท้ เรียกว่าเขาโยนโคลนมาให้ แต่ไม่ยอมให้โคลนซึมเข้าไปในกายเข้าไปในใจ เพราะอะไร? เพราะว่ายศฐาบรรดาศักดิ์นี่มันเป็นโคลนจัดเป็นโลกธรรม ลาภสักการะนี่เกิดมาเพราะอาศัยยศฐาบรรดาศักดิ์มีอยู่ อันนี้องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสว่า ถ้าเมาในลาภไม่ใช่พระเสียอีก ยังติดอยู่ในโลก ท่านเหล่านั้นได้ลาภสักการะมาแล้ว ท่านก็ไม่เมาเอาเงินทองของชาวบ้านที่ได้มาไปสงเคราะห์พระพุทธศาสนา หรือบุคคลผู้ยากจนเข็ญใจแล้วก็เป็นผู้นำในด้านพรหมวิหาร ๔ ช่วยกันสถาปนาความดีให้ความสุขแก่ประชาชนเพราะพระเป็นศูนย์กลางช่วยกัน พระเจ้าแผ่นดินทำฝนจากบนฟ้า เราก็ทำฝนจากใต้ดินที่ไหนเขาอดน้ำอดท่าเราก็บอกเกณฑ์บรรดาประชาชนที่มีศรัทธาบอกเอาสตางค์ไปช่วยขุดบ่อกัน หรือออกแรงไปช่วยขุดบ่อกัน ที่กันดารน้ำจะได้มีน้ำบริโภค ที่ไหนมีถนนหนทางไม่ดี พระช่วยได้ดี บอกศรัทธาแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทว่าการสร้างทางนี่มีอานิสงส์ อันดับแรกเดินสะดวกสบายติดต่อกันได้ ประการที่ ๒ ตายแล้วไปสวรรค์อย่างท่านมาฆมานพ ดังนี้นี่พระประเภทนี้เป็นบัณฑิต ถ้าพระทุกองค์ช่วยกันคิดแบบนี้ละก็ชื่อว่าเป็นบัณฑิตประเทศชาติของเราจะมีความดี จะมีความสุขมาก เอนี่พูดมากไปแล้วกระมัง

    คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
     
  3. Obsidian

    Obsidian สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ถึงมันจะงดงามเพียงใด แต่ใจมนุษย์ก็ไม่ได้พัฒนาให้สูงขึ้นเลย


    ครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาอ่านอย่างจริงจัง

    เวป ลานธรรมจักร ก็เป็นอีกหนึ่งที่น่าสนใจ
     
  4. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    เชื่อว่าอีกไม่นานคงจะดีขึ้นค่ะ กราบโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  5. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    เข้าวัง ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๓


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๓ เป็นการบันทึก หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๘ การบันทึกที่ไม่ติดต่อกันก็เพราะว่า อาการป่วยทางร่างกายยังมีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ หรือตอนนี้ จะเว้นเรื่องการธุดงค์ไว้ก่อน เอาเรื่องปัจจุบันมาคุยกันก่อน คือว่า เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๓ เป็นวันเฉลิมฯ ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ วันนั้น ได้มีโอกาสเข้าไปในพระราชฐาน ตามที่พระองค์เคยนิมนต์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๘ และก็มาเว้นอยู่ ๒-๓ ปี เพราะป่วยมาก เข้าไม่ได้ ตอนหลังนี่ก็มา ๓ ปีติดต่อกัน เข้าไปในวังอยู่เสมอ
    ทีนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทอยากจะทราบว่า เวลาที่พระเข้าไปในวังทำอะไรกันบ้าง และมีอะไรเป็นที่น่าคิดบ้าง แต่ความจริง ถ้าหากว่าบรรดาท่านทั้งหลายที่เคยเข้าไปในงานเฉลิมฯ ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็จะมีความรู้สึกว่า ไม่มีอะไรมากเป็นของธรรมดา ๆ เพราะว่าทั้งสองพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี ไม่ทรงถือพระองค์เลย เห็นว่าทุกคนเป็นกันเองเสมอ แต่ว่าสำหรับพระ อาตมาก็จะเล่าเรื่องของอาตมาให้ฟัง
    เมื่อถึงวันเฉลิมจริง ๆ เดินทางไปจากวัด ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เพราะร่างกายไม่ดี เมื่อเข้าไปถึง แพทย์หญิงแสงโสม ปิรยะวราภรณ์ เธอก็มาให้น้ำเกลือ และให้ยานอนหลับ พอตกกลางคืนก็คุยกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่มาอาศัยที่มีเจตนาเป็นมหากุศล ต่างคนต่างก็ทำบุญกันบ้าง ถวายสังฆทานกันบ้าง พอวันรุ่งขึ้นจะเข้าวัง ก็มาคิดในใจว่า เวลาที่เข้าวังจริงๆ ตามหมายกำหนดการที่ทางจังหวัดนิมนต์มา ให้เดินทางเข้าถึงวังเวลา ๑๕ นาฬิกา และขึ้นไปที่ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เวลา ๑๖ นาฬิกา หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถจะเสด็จมา
    และก็เวลานั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลา ๑๖ นาฬิกา ถึงเวลา ๑๙ นาฬิกา เป็นเวลาที่อาตมาท้องถ่ายเป็นปกติ เวลานั้นมันก็จะถ่ายหลาย ๆ ครั้ง ตั้งแต่ ๑๖ นาฬิกา ถึง ๑๙ นาฬิกานี่ อย่างน้อยท้องจะถ่าย ๓ ครั้ง ถ้าเข้าไปในวัง ต้องถ่ายแบบนี้ ก็เห็นจะลำบากมาก ทั้งนี้เพราะว่า การเข้าออกก็ลำบาก ส้วมก็มีน้อย คนก็มีมาก ก็ต้องหาทางยับยั้งการขับถ่าย วันนั้นทั้งวัน ยาที่เนื่องในการขับถ่ายทั้งหมดงด และก็ฉันกาแฟขนาดแก่ ๆ เข้าไปถึง ๓ ถ้วย คือ ก่อนจะเดินทางไปจากบ้านเจ้ากรมเสริม ไปพักที่บ้านเจ้ากรมเสริมซอยสายลม
    ก่อนจะไปจากบ้านเจ้ากรมเสริมก็ฉัน ๑ ถ้วย ก่อนจะเข้าไปในวัง เมื่อรถเข้าไปในวังแล้วก็ฉันอีก ๒ ถ้วย กาแฟแก่จัด ก็เลยกลายเป็นคนเมากาแฟไป เดินงงไปงงมา ความจริงขาไม่ดีมานานแล้ว ทางเข่าไม่ดี มันเดินจะล้ม จะเข้าไปในวัง ถือไม้เท้า เขาก็บอก ไม่ให้ถือ ถ้าถือไม้เท้าเข้าไป ก็อาจจะถือเป็นประเพณีว่า ถือว่าเป็นอาวุธก็ได้ ก็ต้องไม่ถือ
    เมื่อลงจากรถ ก็มีเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง หรือกรมการศาสนาไม่ทราบ อาจจะเป็นหน้าที่สำนักพระราชวัง มาถึงก็มารับพัด แล้วก็นำไปตั้งให้ แล้วก็นำไปพัก ที่เต๊นท์ข้าง พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เมื่อเข้าไปถึงแล้วก็ปรากฏว่า มีพระอยู่หลายองค์ เมื่อเดินเข้าไปดู พระที่รู้จักก็ไม่ค่อยจะมี ส่วนใหญ่ก็เป็นพระราชาคณะ เห็นอาจารย์สมชาย วัดเขาสุกิม ท่านนั่งอยู่ด้านหลัง คิดว่าจะไปนั่งกับท่าน ก็พอดีผ่าน ท่านเจ้าคุณราชรัตนโมลี วัดแก้วแจ่มฟ้า หรืออาตมาเรียกว่า หลวงพี่เจ๊ก องค์นี้มีบุญคุณกับอาตมามาก สงเคราะห์ทุกอย่าง มีทุกข์ทุกอย่าง ช่วยเหลือด้วยประการทั้งปวง จะยากจะลำบากเพียงใดก็ตาม ช่วยเหลือตลอดเวลา ท่านเรียกให้นั่ง ก็เลยนั่งคุยกับท่านเป็นที่สนิทสนมกันว่า ท่านเป็นผู้มีคุณด้วย และท่านเองท่านก็วางตัวเสมอกัน ท่านไม่ถือว่า ท่านเป็นใคร
    เมื่อนั่งคุยกันอยู่สักครู่หนึ่ง ก็มีเจ้าหน้าที่มาถามพระว่า องค์ไหนจะเข้าห้องน้ำบ้าง ท่านเจ้าคุณท่านก็ไปเข้าห้องน้ำ ไปด้วยกันหลายองค์ อาตมาไม่ต้องเข้า เพราะปิดทางระบายไว้แล้ว นั่นคือกาแฟ ไอ้กาแฟนี่ไม่เคยฉัน ตามปกติเขาจะคิดว่า อาตมานี่เคร่งครัดมัธยัสถ์น้ำดื่มต่าง ๆ ก็ไม่ฉัน กาแฟก็ไม่ฉัน หรือโอวัลตินก็ไม่ฉัน ที่ไม่ฉันก็เพราะว่า มันเป็นภัยกับท้อง ความจริงไม่ไช่เคร่งครัดมัธยัสถ์ เมื่อฉันกาแฟหรือน้ำชาเข้าไปแล้วท้องจะผูก แต่วันนั้นมีความจำเป็นต้องให้ท้องผูก มันก็เมากาแฟ เดิน นั่ง ยืน โงงเงง ๆ ไปต่าง ๆ นา ๆ นี่เวลาคุยเวลานี้กำลังป่วยเหมือนกัน อาการยังไม่ฟื้น
    เมื่อถึงเวลา สักครู่หนึ่ง ก็มีเจ้าหน้าที่มาเรียก อันดับแรกก็เรียก พระราชพรหมยาน เป็นองค์ที่เข้าเป็นองค์แรก พอเข้าไปถึงก็ไปนั่งอาสนะข้างหน้า ตอนนั้นก็ไม่ได้สังเกตดูพัดว่า พัดประจำตัวเจ้าหน้าที่เขาวางไว้ถูกต้องหรือไม่ ไม่ทราบ ตามปกติเขาเคยวางไม่ผิด เพราะพัดฝ่ายวิปัสสนาธุระ พัดสีขาว ก็ถือว่าที่นั่งเป็นสำคัญ ไปถึงก็นั่ง ต่อมาที่นั่งในขั้นสอง ก็ เจ้าคุณมหานายก ท่านเจ้าคุณองค์นี้ก็เป็นพระที่มีนิสัยดีมาก มีความโอบอ้อมอารีดีมาก ท่านเป็นปลัดขวาของสมเด็จพระสังฆราช บ้านเดิมอยู่กำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ตั้งแต่ไปรับเลื่อนสมณศักดิ์ร่วม ๆ กัน รู้สึกว่า ท่านคุยเป็นที่ถูกใจ และอัธยาศัยดี เรียบร้อย ท่านก็มีความเมตตาอารี
    ถ้าถามว่า ท่านเป็นธรรมยุต หรือมหานิกาย ก็ต้องตอบว่า ท่านเป็นธรรมยุต ถ้าถามว่า อาตมาเป็นมหานิกาย ทำไมเข้ากับธรรมยุตได้ง่าย อาตมาก็ถือว่า จะเป็นมหานิกายก็ตาม ธรรมยุตก็ตาม อาตมาไม่ถือคณะเป็นสำคัญ ถือส่วนบุคคลเป็นสำคัญ เมื่อท่านดี เราก็ดีตอบ และท่านก็ดีจริง ๆ ไม่ใช่ดีน้อย และก็ดีมากด้วย เมตตาปรานีมาก ช่วยประคับประคองเวลาเดินทุกอย่าง เวลาเดินจะล้ม ท่านเดินตามไป ท่านก็ประคองให้ จับแขนพยุงตัวไว้ไม่ให้ล้ม พระองค์นี้น่าไหว้น่าบูชา สมศักดิ์ศรีกับความเป็นพระจริง ๆ
    ก็เป็นอันว่าคุยกันต่อไป หลังจากนั่งเสร็จ ก็ไม่รู้จะทำอะไร ยังไม่ถึงเวลาสวดมนต์ กาแฟมันก็กวน ทำให้ประสาทมึนงง ก็เลยนั่งหลับตาภาวนาดีกว่า ตอนภาวนาก็คิดว่า เราจะภาวนาบทไหนดี คำภาวนาที่ใช้ได้ทุกบททุกอย่าง อะไรก็ได้จับเข้ามา มันก็เป็นเหตุเป็นผลหมด และก็มีผลเสมอกันหมด เพราะขึ้นอยู่กับกำลังใจ แต่ทว่าก่อนที่จะภาวนา ก็ได้ยินเสียงพระ คำว่า เสียงพระ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นเสียงที่ก้องมาจากอากาศว่า ภาวนาบทนี้ จะเป็นที่ปลอดภัยของพระมหากษัตริย์ พระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกเธอทั้งหลาย ให้ภาวนาบทนี้เรื่อยไปเป็นปกติตลอดงาน ก็ใช้คำภาวนาบทนั้น
    ถ้าถามว่า คำภาวนาบทนั้นว่าอย่างไร ก็ขอไม่ตอบ เพราะว่า พระบอกเฉพาะองค์ ความจริงก็เป็นบทภาวนาที่มีคนรู้จักกันมาก แต่ก็ขึ้นกับจิตใจ เมื่อจับ อานาปานสติกรรมฐาน กับภาวนา ทำไปเรื่อย ๆ จิตก็เริ่มเป็นสุข
    ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่งว่า ที่เต๊นท์ที่พักข้างพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ที่นั่นมีทั้งน้ำ มีทั้งหมาก มีทั้งกระโถน พอมาที่นั่งจริง ๆ ปรากฏว่า ปีนี้ไม่มีกระโถน ไม่มีหมาก ทุกปีเคยมี อันนี้เห็นจะเป็นระเบียบที่มีคำสั่งมาใหม่ คนเป็นเจ้าหน้าที่สั่ง ไม่ใช่พระเจ้าอยู่หัวสั่ง เวลาอยากน้ำ ก็เลยไม่น้ำจะกิน เวลาอยากจะบ้วนน้ำลาย น้ำหมาก ก็ไม่มีจะบ้วน ก็ไม่เป็นไร ก็กลืน
    ขณะที่นั่งภาวนาไป พอจิตเริ่มเป็นสุข ก็ไม่ได้คิด ไม่ได้กำหนด ไม่ได้อะไรทั้งหมด ไม่ได้คาด ไม่ได้ฝัน ไม่ได้คิด ไม่ได้ตั้งใจอะไรทั้งหมด เห็นเทวดาองค์หนึ่งมีสภาพแจ่มใสมาก เห็นชัดเจนมา เหมือนกับเราเห็นเวลากลางวัน อากาศเที่ยง รูปร่างผึ่งผาย สง่างามมาก เครื่องทรงเป็นทองคำทั้งหมด และแพรวพราวไปด้วยเพชร ก็คิดว่าเป็น พรหม ถ้าดูแล้วสภาวะของท่านคล้ายพรหม ถามว่า ท่านเป็นพรหมชั้นไหน ท่านบอกว่า ผมอยู่ ปรนิมมิตวสวัตดี ครับ ก็ยังไม่แน่ใจ เพราะว่าชั้นปรนิมมิตวสวัตดีนี่ เป็นสวรรค์ แต่ว่า ท่านองค์นี้ลักษณะท่าทางของท่านเป็นพรหม ก็ถามท่านอีกว่า ท่านเป็นพรหมชั้นไหน ท่านก็ตอบว่า ท่านอยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
    มองไปข้างหลังเห็น พระสยามเทวาธิราช ไม่รู้จะนับอย่างไร แน่นขนัดไปหมดในอากาศ นี่เป็นเพราะอำนาจบุญญาธิการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระสยามเทวาธิราชเต็มพรึ่บ ก็ถามท่านเทวดาท่านองค์นั้นว่า ท่านมีหน้าที่อย่างไร ท่านก็ถามว่า เวลาที่ท่านนั่งภาวนาท่านนึกว่าอย่างไร
    ก็ตอบว่า การมาคราวนี้ ก่อนจะมามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี มีคนปองร้ายในท่าน ด้วยวิธีการที่แยบยล ที่คนคาดไม่ถึง ก็อยากจะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายเหล่านั้น เพราะพระองค์มีบุญญาธิการมาก และมีพระเมตตา พระกรุณากับบรรดาประชาชนมาก ยากที่จะหาพระมหากษัตริย์ปฏิบัติได้อย่างนี้ ทรงเหน็ดเหนื่อยทุกอย่างเพื่อประชาชน ทำทุกอย่างเพื่อความเจริญของประเทศชาติ ทำทุกอย่างเพื่อคนในชาติปลอดภัยจากภัยสงคราม และทำทุกอย่างเพื่อความสันติสุข เพื่อความสามัคคี เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน
    เมื่อตอบท่านอย่างนั้น ท่านก็บอกว่าผมก็คนนั้นแหละ ที่มีหน้าที่ป้องกันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ถามท่านว่า ท่านป้องกันองค์เดียวหรือ ท่านก็ตอบว่า เวลาท่านท่านนึกถึงใคร ก็เลยบอกว่า นึกถึงหัวหน้า ความจริงพระสยามเทวาธิราชนี่ เห็นมาหลายปีแล้ว ก็ไม่ทราบว่า องค์ไหนที่เป็นหัวหน้าควบคุมความเป็นอยู่ ความปลอดภัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระบรมราชินีนาถ และท่านก็บอกว่า ในเมื่อท่านคิดถึงหัวหน้าก็ผมนี่อย่างไรล่ะ หัวหน้าก็มาใกล้ท่าน ความจริงท่านมานั่งข้างหน้าคุยกันใกล้ชิดมาก ถามย้ำอีกทีว่า ท่านเป็นพรหมชั้นไหน ท่านบอกว่า ผมบอกท่านแล้วว่า ผมอยู่ชั้น ปรนิมมิตวสวัตดี เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๖ ก็พอดีเวลานั้น ท่านสหัมบดีพรหม ท่านลงมา นั่งข้างขวาของเทวดาองค์นั้น ข้างซ้ายของอาตมา
    เมื่อท่านสหัมบดีพรหมลงมา ก็ถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระบรมราชินีนาถ จะทรงปลอดภัยจากข่าวทั้งหลายไหม เพราะว่าข่าวทั้งหลายเขามีมาหลายประการ แต่ว่าข่าวที่แนบเนียมที่จะต้องการสังหารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่แนบเนียนจริง ๆ มีอย่างหนึ่ง ท่านไม่พอพูดในที่นี้ ท่านสหัมบดีพรหมท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไร ทั้ง ๒ พระองค์ปลอดภัย แล้วก็มองไปที่เทวดาองค์นั้น ถามท่านสหัมบดีพรหมว่า ท่านองค์นี้น่ะ เป็นพรหมหรือเป็นเทวดา ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่า องค์นี้เป็นเทวดา ไม่ใช่เป็นพรหม
    ก็พอดีพระอินทร์ท่านมาพอดี มานั่งกลาง ท่านบอก องค์นี้ไม่ใช่พรหมเป็นเทวดา เนื้อเหมือนผม ท่านสังเกตเนื้อพรหม กับเนื้อเทวดานี่ไม่เหมือนกัน เนื้อของเทวดาเหมือนกับเนื้อที่มีผิวใสบาง ๆ แต่เนื้อของพรหมเหมือนกับเนื้อแก้ว เมื่อดูแล้วก็เหมือนกันจริง ๆ เนื้อท่านสหัมบดีพรหมเหมือนแก้ว เนื้อพระอินทร์ กับเนื้อเทวดาองค์นั้น ก็เหมือนเนื้อเทวดา ไม่ใช่หยาบเหมือนเนื้อคน เนื้อสวยสดงดงาม
    ก็เป็นอันว่า เข้าใจว่า ท่านเป็นเทวดาชั้นปรนิมฯ จริง แต่ว่าแต่งตัว เครื่องทรงคล้ายกับพรหมมาก เครื่องประดับประดาก็เหมือนพรหม หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไร บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ในเมื่อทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชีนินาถ จะปลอดภัยจากอันตรายตามข่าวที่เขาพูดกัน ก็มีความดีใจ ก็หันมาถามท่านสหัมบดีพรหมว่า ตามธรรมดา วันงานของสมเด็จพระบรมราชินินี่ พระติดฝนทุกปี
    พอสวดมนต์ไปได้ครึ่งหนึ่งก็ตาม หรือบางทีก็ตอนให้พร ถวายพระพร ฝนจะตกหนักขนาดจะออกไม่ไหว ท่านบอกปีนี้ไม่เป็นไร ฝนไม่ตก จะตกตอนดึก เพราะเขาขอไว้ ถ้าเขาไม่ขอไว้ก็ตกเหมือนกัน เพราะฝนตก เพราะอำนาจบุญญาธิการของท่านทั้ง ๒ พระองค์ แล้วเทวดามามาก พรหมมามาก
    หลังจากนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ถึงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเด็จมา อาตมาก็ไม่ได้ลืมตา นั่งภาวนาเรื่อยไป คุยกับเทวดาไปตามเรื่องราว แต่คุยอย่างมีสาระ แต่คุยเรื่องอะไรบ้าง มันจะยาวเกินไป เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบูชาที่ต่าง ๆ เสร็จ ก็ได้ยินเสียงอาราธนาพระปริต เป็นอันว่า เวลานี้ถึงเวลาสวดมนต์แล้ว ก็ลืมตาขึ้นมา เอาสายสิญจ์ส่งให้ท่านเจ้าคุณมหานายก ปลัดขวาขององค์สมเด็จพระสังฆราช ท่านก็ส่งต่อไป นั่งกัน ๓ แถว อาตมา กับท่านเจ้าคุณมหานายกนั่งแถวใน แต่ว่าเหลื่อมออกมา นั่งแถวใน แต่ไม่มีใครบังหน้า เขาตั้งให้เหลื่อมออกมา
    เมื่อถึงเวลาสวดมนต์ ก็สวดไหวบ้าง ไม่ไหวบ้าง บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะร่างกายมันเหนื่อยเหลือเกิน มันเพลีย และมันเหนื่อยมาก ก็สวดตามที่พึงจะสวดได้ เมื่อสวดมนต์จบ ก็ได้ยินเสียงอาราธนาศีล สมเด็จพระสังฆราช ให้ศีลเสร็จ สมเด็จพระสังฆราชก็แสดงพระธรรมเทศนา สมเด็จพระสังฆราชแสดงพระธรรมเทศนา ใช้เวลาประมาณ ๒๕ นาที จบ
    หลังจากนั้น ก็เป็นเวลาเจริญกรรมฐานของพระทั้งหมด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็เจริญกรรมฐานด้วย อาตมาก็ทำตามปกติ ตอนนี้เห็นพระสยามเทวาธิราชเข้ามาใกล้มาก ทุกองค์ท่านมองหน้า ท่านก็ยิ้ม จำได้หลายองค์รู้จักกัน นี่ใครจะหา อวดอุตตริ มนุสสธรรม ก็เชิญ มันของจริง ความจริงเป็นพระไม่น่า จะมีอะไรหนักในเรื่องนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมเป็นของปกติของพระอยู่แล้ว จะมานั่งกล่าวหาว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ก็ไม่หนักใจ เพราะอะไร เพราะทำได้ และทำได้มาตั้งแต่พรรษาแรก ไม่มีอะไรหนักใจ เมื่อถึงเวลาครึ่งชั่วโมงได้ยินสัญญาณปรากฏเลิก
    หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ถวายไทยธรรมกับคณะพระในกรุงเทพฯ แถวโน้นอยู่คนละด้าน ด้านอาตมาอยู่ก็ผสมกัน ทั้งพระในกรุงเทพฯ ด้วย พระบ้านนอกด้วย หลายสิบองค์ แต่ชุดนี้ต้องเดินไปรับไทยทานสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ท่านไปตั้งอยู่ระหว่าง พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานกับไพศาลทักษิณ ต้องเดินไป ตอนลุกเดินไป ตอนนี้ท่านมหาดเล็กผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านนี้จำหน้าได้ ทุกเที่ยวต้องพบท่าน แต่บังเอิญไม่รู้จักชื่อ ท่านเห็นว่าเดินโซเซ ท่านก็เลยช่วยประคอง จับแขนไปให้
    พอถึงใกล้สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ท่านก็ปล่อย พอเข้าไปใกล้ถึงสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ท่านยกมือไหว้ ท่านก็ยิ้มถามว่า พระคุณเจ้า เจ้าคะ อาการป่วยไข้เป็นอย่างไรบ้าง ก็ถวายพระพรบอก เวลานี้อาการดีขึ้นมากแล้ว ดีกว่าเก่า และท่านก็ตรัสอะไรอีก ๒-๓ คำ อาตมาก็ไม่อยากจะยืนนานนัก ทั้งนี้เพราะว่า มันจะล้ม ก็ลาท่านกลับออกมาเข้าที่ พอจะเข้าที่ ก็ปรากฏว่า ท่านมหาดเล็กผู้ใหญ่ท่านนั้น ท่านก็ประคองมาจนถึงที่นั่ง
    หลังจากนั้นมา ก็เป็นเวลาถวายพระพร คือ ยถา สัพพีฯ เป็นหน้าที่ของพระผู้ใหญ่ คือ สมเด็จพระสังฆราช และพระทั้งหมดก็รับ ตอนนี้ต้องใช้พัด พอหยิบพัดขึ้นมา ก็ปรากฏว่า พัดผิดพัด พัดของอาตมานี่เป็นพัดชั้นราช สีขาวแต่ไม่มีดิ้นดำ พัดดิ้นดำน่ะถูกเปลี่ยนไปแล้ว คือ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ดิ้นดำ แต่พัดที่มาถือวันนั้น เป็นพัดที่เขาปักที่ข้างหลัง เป็นพัดมีดิ้นดำ ก็แปลกใจว่า เอ๊ะ...พัดของ เรามันขาวล้วน มันทำไมถึงมีดิ้นดำขึ้นมาได้ ดิ้นด้าน ก็นึกในใจว่า คงจะเปลี่ยนกับใคร คนใดคนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ถือพัด รับพัดมา คงจะปักที่ผิด
    แต่ก็ไม่เป็นไร ก็คงตามกันได้ ถ้าตามกันไม่ได้ พอถึงเวลาจะเปลี่ยนพัด ก็เอาเปลี่ยนเฉย ๆ แบบนั้นแหละ บอกมันเป็นอย่างนี้ ถ้าเขาไม่เอา ก็ต้องทำชำระหนี้ ๓๖,๐๐๐ บาท ก็ยังไม่ทราบว่า พัดเล่มนั้นตกอยู่กับพระองค์ไหน เข้าใจว่า ไม่ช้าคงจะกลับมาที่เดิมเพราะ พระย่อมเป็นพระ อีกประการหนึ่ง ชั้นราช กับชั้นสามัญไม่เหมือนกัน ตอนนี้ หลังจาก ยถา สัพพีฯ เสร็จ ตอนลุกกลับ ท่านเจ้าคุณมหานายก ท่านดีจริง ๆ ท่านก็ลุกพร้อมกัน จับแขนประคองมาเรื่อย มาจนกระทั่งออกประตู จนกระทั่งถึง ร้อยเอกกิตติ เข้าไปรับ เข้าไปรับพัด และประคองแทน ท่านเจ้าคุณมหานายกจึงปล่อย
    ฉะนั้น บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านเจ้าคุณมหานายก ปลัดขวาของสมเด็จพระสังฆราช หากว่าท่านรู้จัก หรือพบเห็น ไหว้ได้เต็มที่ พระองค์นี้เป็นพระที่มีความดี มีความเมตตาปรานี และสงเคราะห์พระแก่ดีมาก ท่านพูดจาปราศรัยก็ดี พบกันแล้ว ๒ คราว เมื่อคราวเลื่อนสมณศักดิ์พร้อมกัน ท่านก็คุยดี ท่านบอกว่า ท่านเป็นคนกำแพงแสน และคราวนี้ก็คุยดี ไม่คุยดีเฉย ๆ ห่วงจะล้มอีกด้วย อย่างนี้หายาก มีแต่ว่าเขาต่างคนต่างไปกัน ไอ้เรามันคนเดินไม่ค่อยไหว นี่ความแก่คืบคลานเข้ามามาก ก็เดินออกมา เมื่อขณะที่เดินออกมา ก็เจอะเจ้าคณะตรวจการภาค พอออกประตู พรนุชก็ไปดักถ่ายภาพที่นั่น พอถึง เจ้าคณะตรวจภาค ๓ เจ้าคุณเทพโสภณ วัดโพธิ์ ก็ยืนกอดแขนท่าน บอกพรนุชให้ถ่ายอีกครั้งหนึ่ง ท่านเจ้าคณะภาคองค์นี้ก็เป็นพระ ดีแสนดี เป็นพระเข้าถึงคน
    เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน หลังจากนั้นก็ขึ้นรถ แล้วก็เดินทางกลับ การไปวันนั้นก็มี จ่าปัญญา เจ้าของรถเบนซ์ที่ถวายอาตมา กับบังเอิญ ภรรยา แล้วก็มีลูกสาวอีกคนหนึ่ง ตามไปด้วยเข้าไปในไม่ได้ก็อยู่ด้านนอก ก็เดินเที่ยวชมพระราชฐาน ถ่ายภาพกันบอกว่า ฟิล์ม ๒ ม้วนหมดเรียบร้อย เพราะว่าบังเอิญภรรยาจ่าปัญญา เธอแต่งตัวคล้าย ๆ กับชาววัง ไปที่ไหนก็รู้สึกว่าจะเข้าสะดวกที่นั่น แต่ไปที่แห่งหนึ่ง เธออยากน้ำ ถามเจ้าหน้าที่เขาว่า เขาไปได้ไหม เขาบอก เข้าได้ แต่ออกไม่ได้ เธอก็เลยไม่เข้า เลยเดินถ่ายภาพกันไปเป็นอันว่า กลับมาถึงบ้านเจ้ากรมเสริมประมาณ ๒ ทุ่ม ก็ให้ แพทย์หญิงแสงโสม มาให้ยานอนหลับ เวลา ๒ ทุ่มเศษ ๆ เวลา ๔ ทุ่ม ก็ตื่นขึ้น เริ่มถ่าย มันก็ทยอยถ่ายทีละน้อย ๆ หลังจาก ๔ ทุ่มแล้วก็ไม่เคยหลับเลย ตลอดคืน

    เป็นอันว่า บรรดาท่านพุทธบริษัทเรื่องเข้าวังก็จบแค่นี้ หมดเวลาพอดี ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี
    ------------------------------------------
    หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๑๘โดย พระราชพรหมยาน
     
  6. พระอาจารย์ณัฐนนท์ สิรินันโท

    พระอาจารย์ณัฐนนท์ สิรินันโท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    649
    ค่าพลัง:
    +1,323

    สาธุ ๆ ๆ ๆ ขอนุโมทนาด้วยจ้า...ขออนุญาตินำไปเผยแผ่ต่อ จะได้เป็นความรู้ แก่ผู้ที่ยังไม่ร้ และ ปราถนาที่จะรู้ จะได้รู้เพื่อความคลายสงสัยสืบไป อาจก่อให้เกิดประโยชน์แก่โลก ในภายภาคหน้า...ก็เปนได้

    http://www.facebook.com/profile.php?id=100001599210558
    พระอาจารย์ณัฐนนท์ สิรินันโท
     

แชร์หน้านี้

Loading...