เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 มีนาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,369
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๖

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2023
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,369
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ช่วงเช้ากระผม/อาตมภาพนอกจากจะต้องเข้าระบบ Zoom Meeting Online เพื่อที่จะร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ วิพากษ์แผนยุทธศาสตร์ ๕ ปี (๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แล้วก็ยังต้องไปงานทำบุญอายุ ๔๘ ปีของพระครูวินัยธรถวิล ถาวรธมฺโม เจ้าอาวาสวัดอุดมมงคล รองเจ้าคณะตำบลปากแพรก

    คราวนี้ท่านมีตำแหน่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับกระผม/อาตมภาพโดยตรงก็คือ ท่านเป็นเลขานุการศูนย์ประสานงานสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรี ที่กระผม/อาตมภาพเป็นประธานศูนย์ฯ ดูแลวัดต่าง ๆ ที่เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีทั้ง ๔๔ แห่งอยู่ จึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องใช้วิธีหอบเอาโน้ตบุ๊กเอาไปในงานวันเกิดของท่านด้วย

    ในเรื่องของการวิพากษ์แผนยุทธศาสตร์นั้น ผู้ร่วมงานหลายคนก็ยังไม่เข้าใจว่ายุทธศาสตร์คืออะไร ? ยุทธวิธีคืออะไร ? จึงได้มีคำถามประเภทที่ว่า ทำไมไม่เขียนแผนให้มีการจัดการกับศาสนาอื่นที่มาเบียดเบียนศาสนาพุทธ ? คือพอ
    กระผม/อาตมภาพได้ฟังคำถามก็ทราบเลยว่า ผู้ถามไม่มีความเข้าใจเลยว่ายุทธศาสตร์คืออะไร ?

    ยุทธศาสตร์ เป็นคำที่ยืมมาจากการบราฆ่าฟันกันในสนามรบ ถ้าหากว่าจะพูดกันให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือเป้าหมายที่เราจะทำ แผนยุทธศาสตร์ ๕ ปี หมายความว่า ใน ๕ ปีนี้เรามีเป้าหมายว่าจะทำอะไรบ้าง ? ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย ส่วนยุทธวิธียิ่งแล้วใหญ่ เพราะดึงมาจากแผนการรบโดยตรงเลย แต่ความหมายของยุทธวิธีก็คือ จะใช้วิธีการอย่างไรเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้ ?

    พอฟังเป็นภาษาไทยง่าย ๆ ก็จะเข้าใจว่าในเรื่องของยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัย เป็นเรื่องของการสร้างความเจริญด้านต่าง ๆ ให้กับมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เรื่องของการที่จะไปรบราฆ่าฟัน หาทางเล่นงานอีกศาสนาหนึ่งที่มาเบียดเบียน นั่นเป็นหน้าที่ของทางด้านหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง อย่างเช่นว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เป็นต้น

    ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราไม่มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในระดับหนึ่ง ก็จะพาให้ผู้ที่ไม่เข้าใจด้วยกันหลงทางได้ง่ายที่สุด
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,369
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    ส่วนในเรื่องของงานวันเกิดนั้น กระผม/อาตมภาพไม่มีความเห็น เพราะว่าตัวกระผม/อาตมภาพเองถือตามแบบโบราณ ก็คือทำบุญวันเกิดตอนอายุ ๖๐ ปี หลังจากนั้นแล้วคนโบราณมีแนวจัดการ ๒ อย่าง ก็คือทำทุก ๑๐ ปี หรือทำทุกรอบนักษัตร ๑๒ ปี ก็แปลว่าหลัง ๖๐ ไปแล้ว ถ้าไม่ใช่ทำบุญอายุ ๗๐ , ๘๐ , ๙๐ ก็จะทำบุญอายุ ๗๒ , ๘๔ , ๙๖ ปี เป็นต้น

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบุคคลที่ทำบุญวันเกิดในสมัยก่อนนั้น ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มากด้วยบุญด้วยบารมี เป็นเจ้าพระยามหาอำมาตย์บ้าง เป็นเชื้อพระวงศ์บ้าง ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีคนเคารพนับถือมากก็จริง แต่ท่านก็เกรงว่าจะเป็นการรบกวนคนอื่น โดยเฉพาะสมัยก่อน การเดินทางไม่ได้สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ เอาแค่ว่าถ้าในอำเภอทองผาภูมิของเรา จากวังปะโท่จะเดินทางลงไปกาญจนบุรี ต้องลงมาค้างที่อำเภอทองผาภูมิ ๑ คืน ทั้ง ๆ ที่วังปะโท่ห่างจากทองผาภูมิแค่ ๒๒ กิโลเมตรเท่านั้น..!

    ดังนั้น..ในสมัยที่เรา ๆ ท่าน ๆ ยังเห็นทันกันอยู่ การเดินทางยังลำบากขนาดนี้ บรรดาเจ้าใหญ่นายโตที่มีบุญมีบารมี จึงใช้วิธีการทำบุญตามรอบนักษัตร ซึ่งมีค่านิยมมาจากประเทศจีนว่า รอบนักษัตรใหญ่เลยก็คือ ๖๐ ปี หลังจากนั้นก็จะถือรอบ ๑๐ ปีครั้ง หรือว่า ๑๒ ปีครั้งก็แล้วแต่เจ้าตัว จะได้ไม่เป็นการบกวนผู้อื่นหรือว่าบริวารมากจนเกินไป แต่มาสมัยนี้การเดินทางสะดวกสบาย การทำบุญวันเกิด ใครมีความสามารถก็จัดไป แต่กระผม/อาตมภาพก็ยังคงถือหลักโบราณ ก็คือไปทำอีกทีตอนอายุ ๗๒ ปีโน่น ถ้าอยู่ไม่ถึงก็จบกันแค่นี้..!

    สมัยนี้บรรดาเด็ก ๆ ให้ความสำคัญกับงานวันเกิดมาก อายุแค่ ๒ ขวบก็มาเป่าเทียน ๒ ต้นกันแล้ว ซึ่งถ้าหากว่าเป็นแนวปฏิบัติที่กระผม/อาตมภาพได้ทำเอาไว้ตั้งแต่สมัยฆราวาส วันเกิดก็จะพาแม่ไปทำบุญไหว้พระ ไปเลี้ยงอาหาร เพราะว่าวันเกิดของเราเป็นวันที่แม่เฉียดความตายมากที่สุด เนื่องเพราะว่าการคลอดลูกสมัยก่อน ไม่ได้สะดวกเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้ถ้าคลอดไม่ได้ หมอก็ช่วยผ่าให้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เอาสะดวกให้หมอผ่าไปเลย แต่สมัยก่อนถ้าคลอดไม่ออก โอกาสตายมีเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์..!

    ดังนั้น..บรรดาไอ้ทิดต่าง ๆ ที่บวชเข้ามาแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องศึกษาก็คือการทำน้ำมนต์สะเดาะลูก อย่างไม่เป็นอะไรเลย อย่างน้อยก็ต้องเสกกล้วยให้เมียกินเพื่อให้คลอดง่าย หรือถ้าจะเอาระดับสุดยอดเลย ต่อให้เด็กตายในท้อง ก็เสกสายสิญจน์ให้กินเข้าไปพร้อมกับน้ำมนต์ แล้วคลอดศพเด็กออกมาได้โดยที่สายสิญจน์คล้องคอเด็กออกมาด้วย ซึ่งไอ้กระเพาะที่รับน้ำมนต์กับมดลูกนั้นคนละทิศคนละทางกัน แต่ในเรื่องของจิตศาสตร์ ทุกอย่างสามารถแปลงเป็นพลังงาน เมื่อไปถึงอีกที่หนึ่ง จึงกลับมาเป็นวัตถุตามเดิม ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,369
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,921
    แต่กระผม/อาตมภาพสงสัยมากเลยว่า ขนาดศพเด็กยังสามารถที่ให้กินน้ำมนต์แล้วเอาออกมาได้ ทำไมตอนเป็น ๆ ถึงไม่ทำ ? หรืออยากได้เมียใหม่ ? อันนี้ไปถามครูบาอาจารย์กันเอาเองนะ ถ้ากระผม/อาตมภาพถามอาจจะโดนตีกบาลแยก เพราะว่าเป็นคนขี้สงสัยแล้วไม่ค่อยเก็บไว้ด้วย สงสัยอะไรก็จะถามเลย

    ส่วนในช่วงบ่าย
    กระผม/อาตมภาพไปปลุกเสกวัตถุมงคลให้กับพระอาจารย์อนุชา อนุชาโต วัดโพธิ์ราษฎร์บูรณะ ตำบลพงสวาย อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ซึ่งอาจารย์อนุชานั้นต้องบอกว่าเป็นพระลูกวัด โดยตัวเจ้าอาวาส คือหลวงพ่อมหาบุญเลิศ - พระครูวาทีธรรมวัฒน์, ดร. (บุญเลิศ ฐิตวฑฺฒโน ป.ธ.๔) นั้น ท่านเป็นเจ้าคณะตำบลพงสวาย - บางป่า เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ราษฎร์บูรณะด้วย

    แต่ท่านถนัดในเรื่องของการเทศน์ เรื่องการปลุกเสกเลขยันต์ท่านทำไม่เป็น แต่ว่าท่านเป็นเจ้าคณะปกครองที่บริหารคนเป็น ในเมื่อมีลูกน้องที่มีฝีมือในด้านนี้ ท่านก็สนับสนุนทุกอย่าง ไม่กลัวว่าลูกน้องจะโด่งดังเกินหน้า ทุกวันนี้ถ้าหากว่าคนสนใจวัตถุมงคลไปวัดโพธิ์ราษฎร์บูรณะ ก็ไปถามหาแต่ท่านอาจารย์อนุชา หลวงพ่อเลิศที่เป็นเจ้าอาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ เขาไม่แลเลย ยกเว้นท่านที่จะมานิมนต์พระไปเทศน์ ถึงได้ไปหาหลวงพ่อเลิศ

    การที่เราจะเป็นผู้บังคับบัญชา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใจกว้าง ถ้าหากว่าขี้อิจฉาริษยา มักจะไปไม่รอด เพราะว่าบุคคลที่ใจคอคับแคบ คนอื่นไม่ค่อยจะอยู่ด้วย อย่างที่โบราณเขาบอกว่า "ถ้าเป็นต้นไม้ใหญ่โคนก็ต้องเย็น ถึงจะมีผู้มาพึ่งพาอาศัย" ถ้าต้นไม้ใหญ่โคนร้อน ใครเขาอยากจะมาพักพิง ?

    ดังนั้น..ในส่วนนี้กระผม/อาตมภาพก็ชื่นชมหลวงพ่อเลิศเป็นอย่างยิ่ง ท่านเรียนปริญญาเอกและจบรุ่นเดียวกันกับ
    กระผม/อาตมภาพมา เห็นวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ของท่านแล้วก็ยังรู้สึกชื่นชมว่า เรามีเพื่อนพระเถระที่เป็นบุคคลที่ใจกว้าง มีเมตตาต่อผู้ใต้บังคับบัญชา มีเมตตาต่อญาติโยมเป็นปกติ ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก

    แต่คราวนี้ว่าท่านอาจารย์อนุชาท่านไปออกวัตถุมงคลรุ่นแรก คือก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่แล้วก็ไปเสกให้ที่อื่นเขา ปรากฏว่าชื่อเสียงเริ่มขายได้ บรรดาคนในวงการที่จ้องอยู่ว่าจะสร้างวัตถุมงคลที่วัดไหน หรือในนามของหลวงพ่อวัดไหน ก็วิ่งเข้าไปหา ต้องบอกว่าเป็นวิธีการทำมาหากินอย่างหนึ่งซึ่งมีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านไม่ได้คบหากับบรรดาวงการพระเหล่านี้ ท่านบอกว่า ถ้าคบหาสมาคมกับพวกนี้ ท่านจะดังกว่านี้อีกหลายเท่า เพราะพวกนี้จะช่วยปั่นราคาให้เพื่อขายของ ประสบการณ์จะเล็กน้อยแค่ไหน ก็จะเอามาลงโฆษณาหมด
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...