เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 11 สิงหาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ อีกสักครู่เราจะมีการเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งปีนี้พระองค์ท่านเจริญพระชนมายุ ๘๙ พรรษาแล้ว ถ้าพูดกันแบบไม่ประมาทก็คือ อาจจะได้เจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านครั้งสุดท้ายแล้ว..!

    ในส่วนของราชวงศ์เป็นสถาบันหลักสถาบันหนึ่งในประเทศไทย ความเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผูกพันกันอย่างชนิดแยกกันไม่ออก โดยเฉพาะในจิตในใจของคนไทยเรา ดังนั้น...บรรดาผู้ประท้วงซึ่งได้ทำการประท้วงไปเมื่อสองสามวันก่อน ถ้าไม่ใช่บวกเอาสถาบันพระมหากษัตริย์เข้าไปด้วย การประท้วงของเขาก็คงสำเร็จไปนานแล้ว แต่คราวนี้ในเมื่อบวกสถาบันพระมหากษัตริย์เข้าไปด้วย ซึ่งไม่ใช่ความต้องการของคนส่วนใหญ่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดความสำเร็จ

    ในส่วนของการปฏิบัติหน้าที่ในวันนี้ที่ผ่านมา ก็ได้ต้อนรับนายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ที่เดินทางมาตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามวัดท่าขนุน ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านมีนโยบายว่าให้จัดเป็นศูนย์พักคอย แต่เมื่อมาเห็นสถานที่จริง เห็นระบบการทำงาน ตลอดจนกระทั่งเครื่องไม้เครื่องมือที่มีความพร้อมของพวกเรา ท่านก็ยอมรับว่า ของวัดท่าขนุนนี่คือโรงพยาบาลสนามจริง ๆ จึงสั่งการให้รายงานขึ้นไปว่าเป็นโรงพยาบาลสนาม เพื่อที่ถึงเวลาแล้วทางโรงพยาบาลและหน่วยงานต่าง ๆ ที่มาช่วยเหลือ จะได้เบิกงบประมาณได้สะดวกขึ้น

    ตรงจุดนี้เราจะเห็นถึงความใส่ใจของผู้บังคับบัญชา ที่ถือว่าเป็นระดับสูงสุดของจังหวัด ซึ่งท่านทำงานในเชิงรุก ไม่เหมือนกับบรรดาผู้นำของจังหวัดอื่น ๆ อีกหลายจังหวัด ที่ว่าท่านทำงานในเชิงรุกก็เพราะว่ามีการลุยเข้าไปตรวจคัดกรองบรรดาบุคคลในสถานที่แออัด โดยเฉพาะตามโรงงานต่าง ๆ โดยไม่ได้หวั่นวิตกว่ายอดที่อยู่ ๆ พุ่งกระฉูดไปถึง ๒,๖๐๐ กว่าคน จะทำให้ภาพพจน์ของจังหวัดเสียหาย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดสีแดงเข้ม ที่ได้รับการควบคุมสูงสุดอยู่แล้ว ต่อให้ตรวจเจอสักสองหมื่นสามหมื่นคน ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่ย่ำแย่ไปกว่านี้ แต่ถ้าตรวจไม่เจอ..ปัญหาใหญ่จะเกิดขึ้น เพราะว่าบรรดาผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ แล้วแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคน ก็จะกลายเป็น "คลัสเตอร์" ที่ทำให้เกิดการระเบิดของผู้ติดเชื้อขึ้นมาเป็นกลุ่ม ๆ เป็นปัญหางูกินหางแบบไม่รู้จบ

    แต่ถ้าทำในลักษณะของการตรวจเชิงรุก อย่างที่กระผม/อาตมภาพได้บอกกล่าวไปหลายครั้งแล้วว่า ถ้าล็อกดาวน์แล้วไม่มีการตรวจเชิงรุก คัดกรองผู้ป่วยออกจากคนปกติ รักษาผู้ป่วย กักกันกลุ่มเสี่ยง ถ้าอย่างนั้นการล็อกดาวน์ก็ไม่มีผล

    แต่ท่านผู้ว่าฯ จีระเกียรติ พอล็อกดาวน์จังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ก็มีการตรวจเชิงรุก และสั่งการให้ทั้งจังหวัดทำในลักษณะเดียวกัน ซึ่งเมื่อวานนี้ในการตรวจเชิงรุก ก็ทำให้ทองผาภูมิพบผู้ติดเชื้อถึง ๒๑ คน..! ส่วนวันนี้ผลการตรวจ..ทางฝ่ายรับผิดชอบยังไม่ได้แจ้งมาว่าพบเพิ่มเติมอีกเท่าไร การพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ๆ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ถ้าไม่พบจะน่ากลัวมาก เราพบผู้ติดเชื้อ มีระบบการจัดการอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่พบ..ปัญหาใหญ่ก็คือบุคคลดี ๆ จะเดือดร้อน..!

    อย่างวันนี้ทางวัดเวฬุวันก็งดการบิณฑบาตไปแล้ว เพราะว่าพระสงฆ์ที่บิณฑบาตตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ นอกจากที่จะงดบิณฑบาตแล้ว ก็ยังมีการปิดวัด กักตัวอย่างน้อย ๑๔ วัน ตอนนี้ยังเหลือรอดแค่วัดท่าขนุนและวัดทองผาภูมิ ที่ยังคงออกบิณฑบาตโปรดญาติโยมกันตามปกติ

    วัดทองผาภูมิมีหลวงพ่อ ภปร. พระพุทธกาญจนธรรมพิทักษ์ ถือว่าเป็นหลวงพ่อ ภปร. องค์ใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนวัดท่าขนุนมีหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ต่างก็อาศัยบารมีพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ตอนนี้ก็ต้องมาดูกันว่าการปฏิบัติของใครจะเคร่งครัดกว่ากัน ถ้าหากว่าของเราปฏิบัติได้เคร่งครัด เป็นที่เกรงอกเกรงใจของบรรดาท่านทั้งหลายที่ข้องเกี่ยวกับเรื่องของโรคระบาด เราก็จะอยู่รอดไปได้อีกระยะหนึ่ง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    แต่ว่ากระผม/อาตมภาพก็มองภาพในแง่ร้ายที่สุดไว้แล้วว่า อย่างแย่ที่สุดก็คือต้องปิดวัด ๓ อาทิตย์ เหตุที่ต้องปิดวัด ๓ อาทิตย์ ก็เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดเชื้อจริง ๆ ซึ่งการวางแผนการทั้งหลายเหล่านี้ที่จะบริหารจัดการ หรือว่ารับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ นั้น เราต้องมองในแง่ที่ร้ายที่สุด

    ดังที่หลายท่านซึ่งจะทำกิจการ ทำธุรกิจ แล้วมาปรึกษาหารือ อาตมภาพฟังเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นั่งกุมหัว ถ้าอย่างที่โยมวางแผนตั้งใจทำงาน ถ้าไม่ใช่คนที่ทำบุญมาดีจริง ๆ รับประกันว่าเจ๊งแน่..! เพราะโยมไปคิดว่า ถ้าเราทำวันหนึ่งได้เท่านี้ เดือนหนึ่งจะได้เท่านี้ ปีหนึ่งจะได้เท่านี้ ไม่ได้มีการคิดล่วงหน้าไว้ก่อนเลยว่า "ถ้าเกิดความผิดพลาด ไม่เป็นไปตามเป้าหมายแล้วจะแก้ไขอย่างไร ?"


    ดังนั้น...ไม่ว่าใครจะมีกิจการใหญ่เล็กขนาดไหนก็ตาม สิ่งแรกที่ต้องคิดเลยก็คือว่า ถ้ากิจการไม่เป็นไปตามแผน เราจะแก้ไขอย่างไร ? จะดึงใครเข้ามาแก้ไขปัญหา ? จะเอางบประมาณจากตรงไหนมาอุดหนุน ? จะมีแนวทางไหนที่จะถอยจากตรงนี้เพื่อที่ก้าวขึ้นหน้าไปใหม่ ?


    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายตอบคำถามเหล่านี้ได้ ก็สามารถเปิดกิจการได้ แต่ถ้าตอบปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ เปิดไปก็เจ๊งเปล่า ไม่เชื่อลองถามแม่ชีเกรซ (อุบาสิกาเกสรมณี จารย์ไธสงค์) ดูก็ได้ เพราะว่าเราไม่ได้คำนวณในแง่ที่ร้ายที่สุด โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ต้องบอกว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะว่าเดือดร้อนไปทั้งโลก..!

    วันนี้ได้ยินองค์ในหลวงรับสั่งกับคณะรัฐบาล ก็เห็นผงกหัวกันเป็นนกหัวขวาน..! แต่ฟังเข้าหูหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ที่พระองค์ท่านตรัสว่า "จะต้องมีความรู้จักโรค จะต้องมีระบบการจัดการ จะต้องมีวิธีการจัดการที่ถูกต้อง จะต้องมีงบประมาณลักษณะอย่างไรบ้าง" ที่พระองค์ท่านตรัสมานั้น ครอบคลุมวิธีการแก้ไขปัญหาทั้งหมด


    แต่ถ้าหากว่าในสายตาชาวบ้านทั่วไปก็คือ ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ทำอะไรที่ถูกต้องสักอย่าง ก็เป็นเรื่องปกติที่ว่า ชาวบ้านบางส่วนอาจจะโกรธแค้น เพราะว่าเหมือนกับโดนปล่อยให้ตายแบบไร้การช่วยเหลือ..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    ดังนั้น..ในวันนี้ที่บอกกล่าวกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ไปอย่างหนึ่งก็คือว่า ทางวัดของเราพร้อมที่จะสนับสนุนโรงพยาบาล และส่วนราชการทุกอย่าง ก็เพื่อพี่น้องประชาชนของเราเอง แล้วถ้าท่านทั้งหลายติดตามข่าว จะเห็นว่าระยะนี้คณะสงฆ์ทำงานหนักมาก การช่วยเหลือที่ถึงมือชาวบ้านจริง ๆ ส่วนใหญ่มาจากคณะสงฆ์ทั้งหมด ขนาดนั้นก็ยังมีคนมา "ปาดหน้าเค้ก" ซึ่งสำนวนนี้ อาตมภาพก็เพิ่งจะได้ยินเมื่อไม่นานนี้เอง

    ก็คือไม่ได้ทำอะไรเลย แต่มาขอเสนอหน้าเพื่อเอาผลงานด้วย..! ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไป ซึ่งในขณะที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ อาตมภาพก็คิดว่า การทำงานนั้นขอแค่เราได้ทำ ส่วนทำแล้วใครจะได้ประโยชน์ เราไม่ได้ใส่ใจ ใครจะหาประโยชน์ เราไม่ได้ใส่ใจ เราใส่ใจแค่ว่า ผลดีจะตกถึงมือของชาวบ้านที่ให้การสนับสนุนเราหรือเปล่าเท่านั้น


    ซึ่งหลักการทำงานตรงนี้ ต้องบอกว่าเหมาะที่พระจะทำ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วท่านที่บวชเข้ามาก็คือ ไม่ได้ยินดียินร้ายกับทางโลกแล้ว ไม่ได้ใส่ใจกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แล้ว ไม่ได้ใส่ใจว่าสิ่งที่ทำจะเกิดผลดีตอบแทนหรือไม่ แต่ขอให้ได้ทำ ทำเพื่อประเทศชาติ ทำเพื่อประชาชน โดยเฉพาะทำเพื่อญาติโยมที่ให้การสนับสนุนวัดมา

    ตรงจุดนี้ทำให้เห็นว่าสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ในปัจจุบันนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันศาสนายังเป็นที่พึ่งของชาวบ้านได้อย่างแท้จริง เพราะว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน องค์ในหลวงได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ๒,๘๘๐ ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙


    ซึ่งหน่วยราชการ คำว่า "ราชการ" ก็คือทำงานของพระราชา ส่วนหนึ่งไม่ค่อยจะทำตามคำว่าราชการ ก็คือไม่ได้ทำงานเพื่อพระราชาที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน แต่กลายเป็นทำเพื่อประโยชน์ของพวกพ้องและตัวกูเอง..! ก็เป็นเรื่องที่แปลก แสดงว่าขาดจิตสำนึกอย่างมากว่าตนเองเป็นใคร ? ทำหน้าที่อะไรอยู่ ?
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,225
    ค่าพลัง:
    +25,920
    ถ้าหากว่าทุกวันนี้เราสังเกตดูข่าวคราวที่ออกมา จะเห็นว่ามีการผลักภาระโยนความผิดให้กับประชาชนเสมอ เหมือนกับว่าการติดเชื้อที่เดือดร้อนไปทั้งประเทศ เป็นเพราะประชาชนไปแส่หาเอง ก็ต้องบอกว่า พูดไปก็ "น้ำตาจิไหล..!"

    ในเมื่อพวกเราทั้งหลาย เป็นสถาบันซึ่งเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน ก็ต้องพยายามยืนให้มั่นคงที่สุด สิ่งที่จะทำให้เรามั่นคงได้ ก็ประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ยิ่งกระทำได้มากเท่าไร เราก็จะเป็นหลักที่หนักแน่นมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น จะได้ช่วยให้ประชาชนของเรามีหลักยึดที่มั่นคง มีที่พึ่งได้มากเท่านั้น

    บางท่านก็ว่า "พระอาจารย์เล็กดื้อ" เชื้อไวรัสอาละวาดขนาดนี้ ยังพาพระเณรบิณฑบาตอยู่ทุกวัน แต่ท่านทั้งหลายลองนึกดูบ้างว่า ชาวบ้านซึ่งหาที่พึ่งไม่ได้ จะมองไปถึงองค์ในหลวงก็อยู่ไกล จะมองไปถึงหน่วยราชการ ส่วนใหญ่ก็ทำตัวเป็นเจ้านาย เป็นเทวดา ก็เหลือแต่พระที่พึ่งได้ แค่เดินออกไปให้เห็นหน้า ชาวบ้านก็ใจชื้นขึ้นมาแล้วว่า "เรายังไม่ถูกทอดทิ้ง" ถ้าหากว่ายิ่งได้ทำบุญด้วยแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกว่า เออ..อย่างน้อย ๆ ตนเองก็ได้ประกอบกรรมความดีไปอีกวันหนึ่ง สร้างสมความดีเพิ่มขึ้นได้อีกหนึ่งวัน

    แต่ถ้าหากว่าอยู่ ๆ แถวพระภิกษุสามเณรหายไป ชาวบ้านจะว้าเหว่แค่ไหน ? เรายังพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ถ้าความว้าเหว่มีมากขึ้น ๆ เขาก็จะหาพวก แล้วถ้าการหาพวกของเขา เป็นการชักชวนกันไปประท้วงรัฐบาล ท่านทั้งหลายจะเดือดร้อนกว่านี้..!!

    สำหรับวันนี้ก็รบกวนเวลาทุกท่านมามากแล้ว ก็ขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...