เหตุที่บรรลุธรรม

nilakarn · 12 พฤศจิกายน 2020

ฟ้ากับเหว said: ↑

ขออนุญาตุเจ้าของกระทู้และบูรพคณาจารย์ พระอริยะสาวกทั้งหลาย อยากขอลองทำเหมือนคนอื่นบ้าง ไม่รู้จะถูกต้องตามใจทุกคนไหม แค่ขอลอง ผิดถูกอย่างไร ก็ตามแต่ใจท่านเถอะ

ท่านผู้อ่านทั้งหลายคงเคยได้ทราบเรื่องของพระสาวกบางรูปมาแล้วว่า ท่านได้บรรลุพระอรหัตตผลในขณะที่ท่านนั่งฟังพระธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์นั่นเอง แล้วท่านเคยคิดบ้างไหมว่าทำไมท่านจึงสำเร็จง่ายดายนัก ท่านไม่ได้เจริญ ฌาน-สมาธิ-วิปัสสนา และมรรค ๘ บ้างหรือ

...น่าคิดนะ...แต่ เป็นหัวข้อคำถามให้คิด คิดอะไร ก็คิดว่า ผู้บรรลุธรรมในขณะจิตนั้น ไม่มีการเจริญ ฌาน-สามาธิ-วิปัสสนา...เหรอ?

หากท่านตั้งใจคิดและพิจารณาด้วยใจอันเป็นธรรมแล้ว คงจะเห็นชัดด้วยใจของตนเองว่า ท่านเหล่านั้นในขณะนั้นท่านไม่ได้เจริญฌาน หรือหากบางท่านจะเคยได้เจริญฌานมาก่อนแล้วก็ตาม แต่ในขณะที่ท่านนั่งฟังพระธรรมเทศนาอยู่นั้น ท่านไม่ได้เจริญฌาน ท่านเจริญสัมมาทิฏฐิ อันมีสัมมาสมาธิเป็นรากฐาน คือดำเนินตามองค์มรรค ๘ ทีเดียว มีวิปัสสนาคือ พระไตรลักษณญาณเป็นผู้อุดหนุน

...ถ้าคนแยกออกว่าฌานกับสมาธิต่างกันอย่างไร ก็ดีในระดับนึง ยิ่งถ้าแยกระหว่างสมาธิปกติกับสัมมาสมาธิได้ นี่น่าจะมีลุ้น เพราะมีแต่สัมมาสมาธิที่จะใช้รากฐานของมรรคทั้งแปดในการเข้าถึงสมาธินั้น เป็นไตรสิกขา เกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์....

หากจะมีความสงสัยว่าสมาธิในขณะนั้นจะมีได้อย่างไร ขอเฉลยไว้ ณ โอกาสนี้เลยว่า สมาธิ ไม่ต้องดับรูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส เหมือนฌาน แต่สมาธิจะยึดเอาอารมณ์ทั้ง ๖ นั่นแหละมาเป็นเครื่องพิจารณาจนเห็นอารมณ์ทั้ง ๖ นั้นชัดตามเป็นจริงว่า อายตนะ ๖ มีตาเป็นต้น เป็นบ่อเกิดของอารมณ์ ๖ มีรูปเป็นต้น กิเลสจะเกิดขึ้นที่อายตนะ ๖ นี้เพราะความไม่รู้ตามเป็นจริง แล้วเข้าไปยึดอารมณ์ ๖ นั้นมาไว้เป็นของตัวจึงเดือดร้อนเป็นทุกข์

....นี่คือการอธิบายลักษณะของสัมมาสมาธิที่ใช้เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์ ถ้าหากสมาธิแบบอื่นๆ รวมไปถึงฌานทั้งที่เป็นรูปฌานหรืออรูปฌาน ไม่ใช่ฐานะที่จะเกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์ได้ ทุกข์ที่อ่านเห็นเป็นทุกข์ได้ในหลายระดับ หยาบก็ได้ถ้าไม่อยู่ในฌาน ละเอียดมากจนถึงขั้นไม่สามารถหยั่งรู้เพราะอยู่ในฌาน...

ความจริงแล้ว อายตนะ ๖ ก็มีไว้สำหรับรับรู้ทำหน้าที่ของตนๆเป็นธรรมดาอยู่แล้ว อายตนะมิได้มาไหว้วอนหรือร้องขอให้ใครๆ มาหลงรักหลงชอบหรือเกลียดชังอะไร แต่ใจของเราต่างหาก แส่ไปยึดไปถือเอาอารมณ์นั้นมาเป็นตน เป็นของตน ทั้งๆที่อารมณ์เหล่านั้นก็หาได้เป็นไปตามปรารถนาไม่ มันเกิดขึ้น ณ ที่ใด มันก็ดับลง ณ ที่นั้น มันเกิดๆ ดับๆ อยู่อย่างนี้ตลอดกาล
....สติที่เกิดขึ้นในขณะมีสัมมาสติเท่านั้นจะเป็นผู้ทราบว่า ตนกำลังยึดถือสิ่งใดด้วยสิ่งใดและสิ้นสุดลงเมื่อใด บางทีจะเรียกว่า สติก็คือจิตก็ได้ จิตก็คือสติก็ได้ มันเกิดๆดับๆ อยู่ตลอกเวลา เท่าแต่เพียงรับรู้ให้จงได้เท่านั้น ด้วยอะไร ก็ด้วยอายตนะที่มีนั่นแหละ....

ผู้มาพิจารณาเห็นชัดแจ้งอย่างนี้ด้วยใจด้วยปัญญาอันชอบแล้ว จิตจะไม่แส่ส่ายลังเลไปในอารมณ์นั้นๆ แล้วจะตั้งมั่นแน่แน่วอยู่ในความจริงใจว่า อายตนะทั้ง ๖ จะเป็นกิเลส และเป็นภัยก็แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจตามเป็นจริง แล้วเข้าไปยึดถือ เอามาเป็นตนเป็นของตนเท่านั้น ผู้ที่รู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอายตนะทั้งหลายก็จะเป็นอายตนะอยู่ตามเดิม และทำหน้าที่อยู่ตามเคย ใจก็จะไม่หลงเข้าไปยึดเอามาเป็นตนของตนเลย ที่เรียกว่าสมาธิเกิดขึ้นเพราะเอาความเห็นอันเป็นจริงในสัจจธรรมมาเป็นอารมณ์ ต่อนั้นไป หากมีผู้มาแสดงสัจจธรรมอันเนื่องมาจากอายตนะ-ขันธ์ เป็นต้น อันมีมูลฐานอันเดียวกัน ท่านผู้นั้นก็จะส่องแสงปัญญาตามรู้ตามเห็นไปตามทุกแง่ทุกมุมจนสิ้นสงสัยในธรรมนั้นๆ ที่เรียกว่าได้บรรลุธรรม

...เป็นบทสรุป ยกตัวอย่าง ถ้ามองเห็น...เพราะการมองเห็นทำให้ยึดมั่นถือมั่น...เพียงเพื่อละการมองเห็นด้วยการทำลายหรือโดยการละเลยย่อมไม่ใช่ทางและไม่ได้เป็นไปตามความเป็นจริงทั้งสามรูปแบบ ภวตัณหา วิภวตัณหา อัพพยากตธรรมตัณหา สติที่มีบ่อเกิดมาจากสัมมาสมาธิจึงเป็นสติรู้เป็นสัมม่าสติเข้าถึงธรรมารมณ์ทั้งหลายด้วยความเป็นจริง ไม่ใช่การมโน หรือ วิปัสสนึกเอา อุปโหลกเอา เมื่อเป็นดังนั้นแล้วก็หมดสงสัย เรียกได้ว่า ถึงกระแสพระนิพพาน....

สมมติว่า หากท่านผู้อ่านสนใจในธรรมอยู่ ได้ไปเฝ้าฟังธรรมของพระพุทธเจ้าผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาฉลาดเฉียบแหลมลึกล้ำ สรรเอาแต่ถ้อยคำที่เป็นอรรถเป็นธรรมนำมาซึ่งประโยชน์ เสียงก็ไพเราะเพราะพริ้ง ตรัสคำใดออกมาก็เป็นที่น่าจับใจ พระรูปพระโฉมผิวก็ผุดผ่อง นิ่มนวลชวนให้เกิดความเลื่อมใส จรณธรรมทั้งหลายของพระองค์ไม่มีบกพร่อง ทั้งด้านน้ำพระทัยของพระองค์เล่าก็เปี่ยมไปด้วยพรหมวิหารทั้งสี่เช่นนี้แล้ว ท่านจะทำอย่างไร หากท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าดังนั้นเข้าแล้วท่านจะนั่งภาวนากรรมฐาน เจริญฌานกสิณ ดับอารมณ์ภายนอก มีรูปเป็นต้น เสวยความสุขยึดเอาเอกัคคตารมณ์ชมไม่รู้อิ่มไม่รู้เบื่อ จนเกิดวิปัสสนาญาณ ๙ แล้วจึงจะเข้าถึงมรรคผลนิพพานอย่างนั้นหรือ หากท่านมัวทำเช่นนั้นอยู่ เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าคงจะต้องเสด็จหนีก่อนเป็นแน่แต่ถ้าท่านไม่ดับอารมณ์เหล่านั้น แต่มายึดเอาอารมณ์เหล่านั้นขึ้นมาพิจารณาให้เห็นตามเป็นจริงดังแสดงมาแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีจิตใจอันบริสุทธิ์ กลั่นกรองเอาธรรมที่เป็นของบริสุทธิ์มาแสดงให้ท่านผู้มีความเห็นอันบริสุทธิ์ คือสัมมาทิฏฐิและมีสัมมาสมาธิ เป็นผู้อุดหนุนนั่งฟังธรรมอยู่นั้น เมื่อถึงพร้อมเช่นนั้น ขอให้ท่านพิจารณาดูว่าจะมีอะไรเกิดตามมา เท่าที่แสดงมานี้ เข้าใจว่าท่านผู้อ่านทั้งหลาย พอจะเข้าใจเนื้อความที่ว่า ผู้นั่งฟังธรรมของพระพุทธเจ้าได้บรรลุมรรคผลนิพพานในขณะนั้นจะมี ฌาน-สมาธิ หรือไม่

....แสดงว่าขณะฟังธรรมไม่ต้องเข้าฌานสมาธิ แปลว่า ไม่อยู่ในฌาน อันมีองค์ทั้ง 5 มากำหนด...มันไม่ใช่ทาง อุปมาเหมือนหากการมองเห็นธรรมคือการมองเห็นพระศาสดา ย่อมไม่อาจเกิดได้ในฌานเลย ถ้านั่นคือฌานนะ.... เว้นไว้แต่นึกเอาคิดเอาว่านั่นคือฌานสมาบัติ จึงไม่เหมาะที่จะมาทำฌานขณะพิจารณาธรรม แม้จะไม่ได้อยู่ต่อหน้าพระศาสดาก็ตาม แต่ธรรมที่ปรากฏตรงหน้าว่าดั้วยอริยสัจธรรม มีขันธ์ 5 เป็นที่ตั้ง ก็เป็นธรรมที่พระศาสดาสอน สัมมาทิฏฐิและสัมมาสมาธิจึงเป็นสิ่งที่ต้องมีในการเกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์....

ขอเฉลยว่า ฌานเป็นของเล็กน้อย ฌานเป็นเครื่องอยู่เครื่องเล่นของท่านผู้ที่ได้บรรลุธรรมชั้นสูงสุดแล้ว ท่านจะเจริญให้เกิดให้มีขึ้นเมื่อไรก็ได้ไม่เป็นของยาก เหมือนคนผู้มีความฉลาดเฉียบแหลมสมบูรณ์แล้ว จะทำตนเป็นคนโง่ย่อมง่ายดาย แต่ถ้าคนโง่นี่ซิ จะทำตนให้เป็นคนฉลาดเปรื่องปราดมันยากนัก ถึงจะทำได้ก็ไม่เหมือน ขอย้ำอีกว่า ถ้าหากท่านยังเห็นว่า ฌาน สมาธิเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ข้อความที่แสดงมาข้างต้นนั้นก็จะไม่สามารถซึมซาบเข้าไปถึงใจของท่านได้เลย

....สรุปว่า ฌานเป็นที่พักผ่อน ไม่ใช่ห้องทำงาน สัมมาสมาธิ สัมมาสติ เป็นห้องทำงาน ทำเสร็จก็เก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าทำรก เพราะมันไม่ใช่ของพึงมีของผู้ซึ่งประกอบด้วยสิ่งทั้งสองนี้...

อนึ่ง มติของบางท่านยึดเอาตัวหนังสือเป็นหลักว่าพระอรหันต์สุขวิปัสสกไม่มีสมถะ เจริญวิปัสสนาล้วนๆ คำว่า สมถะใครๆ ก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ได้แก่ฌานหรือสมาธิ ถ้าพระสุขวิปัสสกไม่มีสมถะ มันจะไม่ขัดกันกับพระพุทธพจน์ที่ว่า ผู้เจริญสมาธิดีแล้วย่อมมีปัญญาเป็นผลเป็นอานิสงส์ใหญ่หรือ ที่ว่าผู้ที่จะถึงมรรคผลนิพพานต้องดำเนินอัฏฐังคิกมรรค มรรค ๘ ก็มีสมาธิอยู่ด้วย มรรค ๘ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น เป็นทางเอกอันจะนำสัตว์ให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสได้

....สรุปคำว่าสมถะสมาธิ ไม่ได้สื่อว่าเป็นแค่เพียง ฌาน ยังระบุถึงสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิด้วย หากตีความว่า สมถะ เป็นแต่แค่ฌานสมาบัติ จะเกิดความสับสน ขัดกับพระธรรม ผู้ใช้คำเหล่านี้บางท่านไม่ทราบหรือละเลยถึงความจริงว่า สมาธินั้นแตกต่างกับฌาน จึงยังให้เกิดพระขีณาสพผู้ซึ่งเรียกว่า สุขวิปัสโก เพียงแต่ท่านมิได้ใช้คำว่า ฌานสมาบัติ มาเป็นเครื่องอยู่หรือเครื่องอาศัยอันให้เกิดเป็น สัมมาสมาธิ เพราะเขามีสัมมาสติละเอียดอ่อน พร้อมด้วยสัมมาสมาธิ จึงเข้าถุงด้วยอาศัยความเป็นไปตรงๆของขันธ์ทั้งหลาย...

ท่านผู้รู้ทั้งหลายทำไมไม่หยิบยกเอาคำเหล่านั้นขึ้นมาพิจารณาดูบ้าง หรือมิฉะนั้นก็ขอให้ลงมือปฏิบัติจนให้จิตเป็นสมถะ วางความยึดมั่นถือมั่นตัวหนังสือแล้วเกิดความรู้จากสมถะนั้น ภายหลังจึงเอาความรู้ทั้งสองอย่างนั้นมาเทียบเคียงกัน ท่านก็จะหายความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์

......จิตที่เป็นสมถะ ถ้าเห็นว่านั่นเป็นฌานก็ได้เป็นสัมมาสมาธิก็ได้ไม่เหมารวมว่า สมถะเป็นเพียงฌานเท่านั้น ก็จะเห็นบางสิ่งที่พระศาสดาสอนไว้ตรัสไว้ อย่างสมบูรณ์
น้ำใสแสนใสถ้าไม่นิ่งจะเห็นตัวปลาและเม็ดทรายอยู่ใต้น้ำได้อย่างไร ใจไม่สงบจะเห็นกิเลสและอารมณ์ภายในของตนได้อย่างไร

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ที่มา สามทัพธรรม

....ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดนี่นา หรือผมลำเอียงในการตีความก็ไม่ทราบได้ ท่านก็ลองตีความกันดู เห็นเป็นอย่างไรเก็บไว้ที่ท่านเถิด...
กราบอนุโมทนาธรรมหลวงปู่เทสก์
Click to expand...

ถูกต้องแล้ว ท่านสอนไม่ผิดแต่อย่างใด
นี่คือ อารมณ์ของพระอรหันต์ นั่นเอง
ผู้ฟังจะต้องเป็น พระอรหันต์ หรือ อนาคามี เท่านั้น
จึงจะฟังกันรู้เรื่อง คนทั่วไปยิ่งฟังก็ยิ่งง่วงนอน

nilakarn · 12 พฤศจิกายน 2020

ฟ้ากับเหว said: ↑

อันนี้ก็ต้องย้อนไปดูว่าข้อความเจ้าของกระทู้เอียงใจไปทางใด สังเกตว่า มีความเป็นพุทธมามกะสมบูรณ์ รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักเผื่อแผ่ธรรม รู้จักฟังและยอมรับเหตุผลแต่ก็ยังน้อยเพราะมีความยึดมั่นตามความคิดของตนเองเป็นใหญ่เสมอ ก็ไม่แปลกนะ หลวงปู่เทสก์ กล่าวตามวาระนั้นๆ คงเพราะมีคนถาม ถูกต้องคนตอบควรมีมากกว่าหนึ่ง เพราะตอนนั้นคงเป็นอะไรที่ไปมาหาสู่กันในหมู่ผู้ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ คงไม่ใช่เพื่อแต่งหนังสือขายหรอก แต่ก็อาจเป็นผลพลอยได้ของเขาก็ได้ อันนี้โม้เอาเดาเอาหรอก แต่คิดว่าหลวงปู่กำลังตอบคำถามหรือไขข้อข้องใจให้ญาติโยมที่ศรัทธาอยู่ ตามที่เห็น ทั้งฝ่ายฤทธิ์หรืออ้างว่าต้องมีก็ให้บทสรุปลงท้ายเหมือนกัน เป็นมรรค ในมรรค ครองมรรค จึงบรรลุได้ ย้อนไปอ่านดีๆสิ อย่าเอียงจนเรือคว่ำแบบนี้สิ คนบนเรือจะพากันตายห่าหมด
Click to expand...

มี พระอริยะบุคคลขั้นสูง อยู่ที่นั่นด้วย
ท่านจึงสอนอย่างนั้น ตั้งใจจะสอน พระเหล่านั้น
และต่อไปในภายภาคหน้า เมื่อมีพระอริยะเจ้าชั้นสูง
มาฟัง ธรรมะข้อนี้ ก็อาจจะได้เป็น พระอรหันต์ ก็ได้

nilakarn · 12 พฤศจิกายน 2020

ปวีรัศม์ชา said: ↑

ที่ท่านไม่ให้นั่งสงบแบบสมถะที่ไม่เกิดปัญญา อาจเป็นเพราะว่าสมถะอย่างเดียวสมัยนั้นดังหรือป่าวคะ.... แต่สมัยนี้สติปัฎฐานกลายเป็นที่นิยมแทนแล้ว
Click to expand...

หลักการดูกายในกาย ของ หลวงพ่อเทียน
ก็คือ การทำสมาธิในวิปัสสนา นั่นเอง
หากจิตไม่เป็นสมาธิ จะสามารถที่จะ ดูกาย ทันไหม
จิตมันก็จะ หลงไปคิดปรุงแต่ง ทันที
ทีนี้พอเรารู้ตัว เราก็ดึงจิตกลับมาอยู่ที่ท่าทาง
การพิจารณาท่าทางนั่นแหละ คือ
การพิจารณากายในกาย นั่นเอง

nilakarn · 12 พฤศจิกายน 2020

ปวีรัศม์ชา said: ↑

ที่ท่านไม่ให้นั่งสงบแบบสมถะที่ไม่เกิดปัญญา อาจเป็นเพราะว่าสมถะอย่างเดียวสมัยนั้นดังหรือป่าวคะ.... แต่สมัยนี้สติปัฎฐานกลายเป็นที่นิยมแทนแล้ว
Click to expand...

ถึงยุคที่ ผู้คนธรรมดา สามารถที่จะบรรลุธรรมได้แล้ว
เพราะ ผู้สอน สอนได้ตรงทางแล้วนั่นเอง
สมัยก่อนจะสอนให้ ศิษย์นำไปฝึกเอง
จะเน้นแต่การทำสมาธิ ไม่เจริญปัญญา
เพราะคิดว่า สมาธิ กับ ปัญญา เป็นสิ่งเดียวกัน
แต่สมัยนี้ จะต้อง พิจารณาปักลงไปที่ พระไตรลักษณะสามอย่าง
จึงจะสามารถทำให้ คนบรรลุธรรมได้เลยทันที
ไม่ต้องรออาจารย์มาสอนเหมือนสมัยก่อน
ใครคิดได้ในใจก่อน ก็สามารถบรรลุธรรมได้เลย
เมื่อโอกาสมาถึง เรียกว่า ถึงกาลแล้ว นั่นเอง

nilakarn · 12 พฤศจิกายน 2020

ปวีรัศม์ชา said: ↑

ลพ.เทียนสอนแบบZenค่ะ ดูตรงที่จิตเลย ..ลพ.ปราโมทย์ไปเรียนด้วยทีหลัง ...ในเน็ตที่เขาเอามาลงเกี่ยวกับ ลพ. เทียน ไม่ครบค่ะ นู๋หาซื้อหนังสือ ลพ.เทียนเก่าๆ มาได้เกือบครบ ลพ.สอนดูจิต แต่ใช้รูปแบบจงกรมมือ ..เมื่อทำได้ดีแล้ว ให้มารู้ที่ผู้รู้ได้เลย
Click to expand...

ทุกพระอาจารย์ เค้ามีสอน เรื่อง กาย เวทนา จิต และ ธรรม
แต่ว่า เค้าจะต้องดูว่า คนที่มาเรียน มีภูมิธรรมแค่ไหน
มีการระวังจิตใจแค่ไหน การปฏิบัติชอบหย่อนยานแค่ไหน
แล้วเค้าก็สอนจี้ลงที่เรื่องนั้นโดยตรง
จะรู้กัน เฉพาะครู กับ อาจารย์ แค่นั้น
จึงเรียกการสอนแบบนี้ว่า การสอนแบบมีเซนต์สัมผัสที่ดี
แบบพวกที่มี เซนต์ในการปฏิบัติ อยู่แล้ว
สอนนิดเดียว ก็จับทางได้ถูก
จึงเรียกวิธิการแบบปิด หรือ แบบตัวต่อตัว นี้ว่า
การสอนแบบมีเซนต์

nilakarn · 12 พฤศจิกายน 2020

ปวีรัศม์ชา said: ↑

ทุกวันนี้เขียนเอามันส์อย่างเดียว คนฝึกควรเข้าหาพระเป็นแนวทางที่ถูกจะดีกว่า.. สมัยนี้พระก็มีมาสอนกันหลากหลายค่ะ น่าจะเข้าถึงกันไม่ยาก การเดินทางก็สะดวก
Click to expand...

ยูทูป ง่ายกว่า บรรลุเป็น พระสุกกะวิปัสสโก ได้เลย
ถ้าฟังเรื่อง พระไตรลักษณะสามอย่าง ที่ตรงกับจริตของตนเอง
ต่อจากนั้น ค่อยไปหาอาจารย์ตัวเป็นๆ ก็ยังไม่สาย

nilakarn · 12 พฤศจิกายน 2020

ปวีรัศม์ชา said: ↑

เห็นว่า ลพ.เทียน ท่านก็มีเปรียญจับผิดอยู่เหมือนกันนะคะ
เพราะ ลพ.เทียนไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ก็มาเรียนตอนหลังๆ เอา ตอนมาบวชแล้ว ...ลพ.เทียน ท่านก็เป็นฆราวาสบรรลุธรรม อยู่ในเพศฆราวาสมา2 ปี 7 เดือน แล้วค่อยมาบวช จุดประสงค์คือ ท่านบอกคนเคารพพระสงฆ์ จะเชื่อฟังมากกว่าฆราวาส

เปิดดูไฟล์ 5486958
Click to expand...

ท่านคิดได้ถูกต้องแล้ว
แม้แต่ พระอริยะเจ้า ยังจะต้องกราบไว้ พระสมมุติสงฆ์
ที่บวชวันเดียว ด้วยความเคารพเอื้อเฟื้อ
เพราะถือว่า พระบวชวันเดียว มีค่ามากกว่า
พระอริยะเจ้า ที่ยังไม่ได้บวช ยกเว้น พระอรหันต์
เพราะฉนั้น ใครที่จาบจ้วงพระสงฆ์
ก็จะต้องขอ อโหสิกรรมให้เป็นด้วย
จะได้ไม่โดนบ่วงกรรมปรามาส
ทำให้การบรรลุธรรมไปต่อไม่ได้
ติดอยู่ที่ขั้นใดขั้นหนึ่ง
พระสงฆ์จึงขออโหสิกรรม และแผ่เมตตาทุกวัน

กระร่อน · 12 พฤศจิกายน 2020

สขวิปัสโกกะมีฌาณปกติละกะมีสัมมาสมาธิเนาะ
แต่ท่านไม่สนใจตัดทิ้งหมดรูปเสียงกลิ่นรสโภทัพภะธรรมารฌณ์ขึ้นมากะทิ้งหมด
มุ่งตัดกิเลสอย่างเดียวพอความรู้มันเต็มภูมิ
ด้วยสิติและความเพียรที่ประคองอยู่พิจารณาไตรลักษณ์กะสะบายไปเลยที่เดียว
สะบายไปกะตามผลงาน
มักง่ายหน่อยกะโดนเตะมาเก็บแต้มใหม่55

nilakarn · 12 พฤศจิกายน 2020

ปวีรัศม์ชา said: ↑

คุณนิลเข้าใจสาย ลพ.เทียนไม่ตรงเท่าไรนัก เลยไม่ได้มาต่อโพส

เรื่องพระสงฆ์ อริยะ นี่นั่น อันนั้นก็ว่าตามกฎพระ
ส่วน ลพ.เทียน ท่านบวชเพราะท่านจะสอนตามแนวทางท่าน เพราะตอนอยู่เป็นฆราวาสคนไม่ค่อยเชื่อท่าน พอมาบวชกลายเป็นที่นิยม และแพร่หลายเป็นอย่างมาก

กายเคลื่อนจิตรู้ ...รู้ที่จิตไม่ให้เข้าไปในความคิด ไม่ใช่ดูที่กาย ..ความรู้สึกทั้งหมดพุ่งออกไปจากจิตผู้รู้ทั้งนั้น ถ้าคุณนิลพอจะเคยสัมผัสมันได้
Click to expand...

วิธินี้ เป็น แนวทางของ พระพม่า ครับ
ท่านไปเรียนมาจากที่นั่น ตอนนี้ ที่ พม่า สอนแบบนี้เยอะ
เหมือนสมัย ท่านเจ้าคุณโชดก วัดมหาธาตุฯ
ก็ไปเรียนเรี่องวิปัสสนาญาน16 อย่าง ของ พม่า
แล้วมาสอนพระไทยอีกทีหนึ่ง ทำให้เรารู้ว่า
สมาธิ กับ วิปัสสนา เป็นคนเรื่องกัน
ไม่ใช่เรื่องเดียวกันเหมือนแต่ก่อน

nilakarn · 12 พฤศจิกายน 2020

กระร่อน said: ↑

สขวิปัสโกกะมีฌาณปกติละกะมีสัมมาสมาธิเนาะ
แต่ท่านไม่สนใจตัดทิ้งหมดรูปเสียงกลิ่นรสโภทัพภะธรรมารฌณ์ขึ้นมากะทิ้งหมด
มุ่งตัดกิเลสอย่างเดียวพอความรู้มันเต็มภูมิ
ด้วยสิติและความเพียรที่ประคองอยู่พิจารณาไตรลักษณ์กะสะบายไปเลยที่เดียว
สะบายไปกะตามผลงาน
มักง่ายหน่อยกะโดนเตะมาเก็บแต้มใหม่55
Click to expand...

ก็เหมือนกับ ท่านนั่นแหละ หากคนอย่างท่านบรรลุธรรม
ก็จะบรรลุธรรมแบบสุกกะวิปัสสโก เพราะไม่เคยเล่นฤทธิ์
เน้นพิจารณาธรรมอย่างเดียว การคาดคะเนก็จะไม่ค่อยเก่ง
จินตนาการก็จะมีน้อย หากมีใครมาสอนธรรมะ
ก็ไม่อาจจะบรรลุธรรมได้ เพราะว่า ไม่ตรงกับจริตสบายๆง่ายๆ
ก็ต้องรอ คนสอนคนต่อไป ที่จะค่อยๆ แย้มเปิดปัญญาขึ้นทีละน้อยๆ
เมื่อปัญญาเต็มรอบ ก็บรรลุธรรมได้ โดยที่ไม่มีใครสอน
แต่ มองเห็นความแปรปรวน ของสิ่งหนึ่งสิ่งใด
แล้ว ใจหนักแน่นพอ ก็บรรลุธรรมได้เหมือนกัน

กระร่อน · 12 พฤศจิกายน 2020

จ้างดิคร๊าบผมหนี้เยอะทำได้หมดเละขอแค่มีคนจ้าง55

กระร่อน · 12 พฤศจิกายน 2020

ผมกะเข้าใจตัวเองนะว่าผมหน้าตาดีมีแต่คนอยากสอน
55
แต่ผมไม่เข้าใจคนอื่นเลยจะอยากสอนผมไปทำมัยกัน

nilakarn · 12 พฤศจิกายน 2020

กระร่อน said: ↑

ผมกะเข้าใจตัวเองนะว่าผมหน้าตาดีมีแต่คนอยากสอน
55
แต่ผมไม่เข้าใจคนอื่นเลยจะอยากสอนผมไปทำมัยกัน
Click to expand...

การสอนคนอื่น ถึงจะไม่ทำให้ผู้อื่นบรรลุธรรมได้
แต่ก็ทำให้ผู้ที่สอน มีความหนักแน่นในธรรมที่สอนเหมือนกัน
เพราะเมื่อไหร่ที่ใจอยากจะสอนผู้อื่น
ตัวผู้สอนเอง ก็จะต้องพิจารณาธรรมโดยแยบคายเสียก่อน
แล้วจึงสอน จะทำให้เรามีความรอบรู้มากขึ้นในเรื่องนั้นๆ

กระร่อน · 12 พฤศจิกายน 2020

งั้นกะจัดเลยครับเอาที่สะบายใจ
อย่าลืมดูอาวุธในมือคนถูกสอนด้วยนะครับ
เดียวกิเลสดิ้นรนงานงอกเลย55

maokvid-1800 · 12 พฤศจิกายน 2020

ปวีรัศม์ชา said: ↑

วิปัสสนาการรู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ เป็นของพม่ารึคะ ในเมื่อศาสนาพุทธสอนแบบนี้เพียงศาสนาเดียว...ถ้างั้น ลป.ดูลย์ก็ไปเรียนจากพม่าด้วยสิคะ

ลพ.เทียนเป็นคนลาว จ.เลย ไม่ได้เรียนจากพม่า ถึงบอกต้องอ่านหนังสือท่านฉบับเต็ม จะไม่เข้าใจผิด ท่านรู้วิธีพวกนี้จากที่ท่านปฎิบัติธรรม จนพ้นทุกข์

การเคลื่อนไหว14จังหวะ ...ลพ.เทียนให้เหตุผลว่า ร่างกายคนเราเคลื่อนไหวตลอดเวลาอยู่แล้ว ทุกการเคลื่อนไหวคือทุกข์ เอามันมาสร้างจังหวะ รู้หยุดรู้เคลื่อน(เกิดดับ) แบบนี้จะไม่เรียกโมหะ โลภะ โทสะ ขึ้นมา กายเคลื่อนแล้วให้จิตรู้อย่าเข้าไปในความคิด ถ้าเคยชินจากการเคลื่อนไหว 14 จังหวะ ให้เปลี่ยน อย่าให้มันเคยชิน แล้วเดินจงกรมร่วมด้วย ..ง่ายๆ แค่นี้เองแหล่ะค่ะ ที่ท่านสอน
Click to expand...

กระร่อน · 12 พฤศจิกายน 2020

ผมสงสัยว่ามันสนุกตรงไหนนั่งไล่ดูลำดับแต่ละญาณ

maokvid-1800 · 12 พฤศจิกายน 2020

ปวีรัศม์ชา said: ↑

แกไม่ต้องมาสาระแนหรอก คุณนิลพูดถึงไปเรียนกับพระพม่า ท่านเจ้าคุณโชดก ..ท่านเจ้าคุณฯบอกว่าพระไตรฯเป็นของใครหล่ะ แต่ทีนี้คนเขาแอนตี้ท่านเจ้าคุณโชดก บวกตอนนั้นท่านไปเรียนที่พม่า เลยเหมาเหตุการณ์รวมไปเลย ท่านเจ้าคุณอธิบายก็ไม่มีใครเชื่อ ท่านเลยบอก เอ้างั้นก็เลยตามเลย ของพม่าก็ของพม่า ตัดปัญหา

ลพ.เทียนเรียนกับพระชื่อท่านปาน ซึ่งไปเรียนที่พม่ามาด้วย สำหรับการเคลื่อนไหวแบบนี้
Click to expand...

"พุทธ.. ไทยอ้าง เอามาจาก พม่า
พม่า อ้าง เอามาจาก ไทย "

ความจริง คือ ถือผีทั้งคู่ แล้วแต่จะกระแดะ อ้าง
พวก ชังชาติ3นิ้ว

maokvid-1800 · 12 พฤศจิกายน 2020

.

.

maokvid-1800 · 12 พฤศจิกายน 2020

ปวีรัศม์ชา said: ↑

ทั่นเมา จิตรอดรูเข็มคือฌานสมาบัติใช่บ่อ้าย
Click to expand...

มะเคอด๊ะยิง ฮับ

เคอด๊ะยิง แต่ "คุณเลเฟนลอดรูเข็ม"

หมายเอา ขณะ บรรลุธรรม

"บริกรรมดับ เมตตาดับ"
"ภพดับ ชาติดับ อายตนะดับ"
แล้ว "แจ้ง" "ธาตุที่ปรากฏอยู่แล้ว ไม่ได้เกิดจาก ปัจจัยการ"
จึงเกิด ธรรมชื่อ "ความเลื่อมใส" แล้ว โน้มไปไม่ถอยกลับ

บริกรรมดับ จึงไม่ใช่ ฌาณ แฌณ
ภพดับ ชาติดับ อายตนะดับ จึงไม่ใช่ วิปัสสนา

ไม่ใช่จิต

กระร่อน · 12 พฤศจิกายน 2020

มาแปลก55

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

เหตุที่บรรลุธรรม

nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

ไฟล์ที่แนบมา:

3a32f1158d32da98ca1b87c921d3a0f1.gif

กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

กระร่อน จิตฺเตน นียติ โลโก

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

เหตุที่บรรลุธรรม

ไฟล์ที่แนบมา:

3a32f1158d32da98ca1b87c921d3a0f1.gif

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา