เหรียญชินราชคุ้มเกล้า หลังภปร.พ.ศ. 2521

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 8 พฤษภาคม 2019.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    4-u1586596-635158049333911793-1-jpg.jpg

    พระเกจิชื่อดังในสายสำเร็จลุน
    ศิษย์เอกสำเร็จตันผู้เก่งกาจ วิชาของหลวงปู่จันทร์หอมถือได้ว่าอยู่ในลำดับต้นๆ ในสายของสำเร็จลุน
    ถึงขนาดมีคำพูดกันว่า "ในอุบลราชธานีปัจจุบันนี้มีสิงห์เหนือเสือใต้อยู่" กล่าวคือ สิงห์เหนือได้แก่หลวงปู่คำบุซึ่งมีชื่อเสียงแถบพิบูลมังสาหาร ตาลสุม ส่วนเสือใต้ก็คือหลวงปู่จันทร์หอมนั่นเองที่มีชื่อเสียงในละแวก เขมราฐ วารินชำราบ นอกจากนี้หลวงปู่จันทณ์หอมผู้นี้เองซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังประสบการณ์ของเหรียญปราบอริราชศัตรูพ่าย (เหรียยระเบิด 8 ลูก) อันลือลั่นคงกระพัน ปืน ระเบิด มีด ไม้ ไม่ได้กินเลือด ในปัจจุบัน
    ท่านเก่งเรื่องธาตุและหนุนธาตุมาก เครื่องรางที่โด่งดังของท่านก็คือ ตะกรุดธาตุ4 โด่งดังมากทางมหาอุด พวกทหารอากาศขึ้นท่านมากเลยครับ สำเร็จลุน เป็นพระผู้ทรงอภิญญา หลวงปู่จันทร์หอม สุภาธโร เกิดที่เมืองไทย จังหวัดอุบลราชธานี เป็นศิษย์สำเร็จลุน ปัจจุบันหลวงปู่จันทร์หอม สุภาธโร อยู่ที่วัด บุ่งขี้เหล็ก ตำบลนาของ อำเภอเขมราฐ จ.อุบลราชธานี แต่งโปโล ประเทศลาวก็เคยเป็นศิษย์สำเร็จลุนเกิดหมู่บ้านเวินไซ เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก ประเทศลาว ชึ่งวัดที่ท่านอยู่คือวัดบ้านเนิน วัดบ้านเนินไซ หมู่บ้านที่ท่านเกิด เป็นพระผู้ทรงอภิญญา ทราบว่าเป็นคนเจ้าระเบียง อายุ ๑๒ ปี ทำงานแบบชาวบ้านธรรดา พ่อแม่ใช้ทำอะไรก็ขี้เกียจ พ่อแม่จึงนำไปฝากเป็นเณร เมื่อบวชเป็นเณรก็ฉันอาหารมื้อเดียวตลอดมา และยอมทำงานเป็นอย่าง ๆ แม้แต่นุ่งสบงจีวลก็เป็นระเบียบ ไม่เคยท่องและอ่านหนังสือเลย หลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จก็สอนคัมภีร์อยู่บนธรรมนาสน์ (นอกจากทำกิจวัตรตามปกติ) ต่อมาก็เข้านอนไม่สนใจอ่านหนังสือเหมือนเพื่อน เจ้าอาวาสเรียกไปถาม บอกว่ากินข้าว กินปลาเสียเปล่า อาจารย์ให้ท่องหนังสือ สามเณรลุนก็ท่องให้อาจารย์ฟังเริ่มแต่มูลน้อย มูลกลาง ศรัทา สังฆทา ปาฏิโมกข์ สนมูลได้หมด เก่งกว่าอาจารย์เสียอีก หลวงปู่จันทร์หอมท่านเป็นศิษย์สมเด็จลุน ยุคสุดท้ายท่านมีโอกาสได้ศึกษาวิชากับสมเด็จลุนโดยตรงนะครับเนื่องจากท่านเป็นหลานของสมเด็จตัน สังฆราชเมืองลาวองค์ต่อจากสมเด็จลุน ตะกรุดยุคแรกๆท่านจะจารมือให้รอรับได้เลย ก่อนเอาไปถ้าเป็นทหารตำรวจท่านให้ลองก่อนโดยทำเสร็จท่านผูกคอแมวที่ท่านเลี้ยงไว้แล้วให้ยิงไม่มีออกครับ นี่คือตะกรุดที่สร้างชื่อให้ท่านจากนั้นท่านก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงปู่จันทร์หอม วัดบุ้งขี้เหล็ก อุบลราชธานี
    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    5%E0%B8%9B-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1-jpg.jpg 99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%95_opt-696x392.gif
    อริยะโลกที่ 6

    สมภพ สินพิพัฒนฤดี

    “พระครูสุนทรคุณวัฒน์” หรือ “หลวงพ่อทองเหลือ ปาลิโต” อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดังวัดท่าไม้เหนือ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์

    มีนามเดิมว่า ทองเหลือ อินสาแล เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 6 พ.ย.2452 ที่หมู่ 5 ต.บ้านหม้อ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์

    ในช่วงวัยเยาว์สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนบ้านท้ายน้ำ ต.บ้านหม้อ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์

    อุปสมบทเมื่อวันที่ 15 เม.ย.2488 ณ วัดกลาง ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ โดยมี พระไฝ สิริมงคโล วัดคลองโพธิ์ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์พระสิทธิ์ วัดคลองโพธิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์ประสงค์ วัดธรรมาธิปไตย เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ภายหลังอุปสมบท มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ.2478 สามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท

    จากนั้นช่วยงานศาสนกิจคณะสงฆ์ ในจังหวัดอุตรดิตถ์ นอกจากนี้ยังได้ศึกษาวิทยาคมกับพระอุปัชฌาย์ไฝ และฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิทยาคมกับหลวงพ่อกล่อม วัดป่ากะพี้ พระเกจิดัง พร้อมหาประสบการณ์ด้านการปฏิบัติธรรม ด้วยการเดินธุดงค์ไปยังสถานที่หลายแห่งทั้งในประเทศไทย พม่า และลาว เพื่อศึกษา วิทยาคมนำมาช่วยสงเคราะห์ญาติโยม

    ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2492 ได้รับ แต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าไม้เหนือ ต.ท่ามะเฟือง อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ พ.ศ.2497 เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    [​IMG]
    ผลงานด้านการศึกษา พ.ศ.2519 เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมประจำสำนักศาสนศึกษา วัดท่าไม้เหนือ พ.ศ.2529 เป็นกรรมการคุมสอบธรรมสนามหลวงชั้นตรี ณ สนามสอบ วัดมหาธาตุ ต.ในเมือง อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ พ.ศ.2530-2532 เป็นกรรมการคุมสอบธรรมสนามหลวงชั้นตรี ณ วัดบ้านดง ต.พญาแมน อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ พ.ศ. 2533-2539 เป็นกรรมการกลางงานสอบธรรมสนามหลวงประจำวัดดอกไม้ ต.ท่ามะเฟือง อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์

    ผลงานการศึกษาสงเคราะห์ พ.ศ.2533 เป็นประธานจัดหาอุปกรณ์การเรียนบริจาคให้แก่นักเรียนที่เรียนดี มีความประพฤติดี แต่ยากจน บริจาคปัจจัยซื้อหนังสือสูตรพระปริยัติธรรมชั้นตรีแจกให้กับนักเรียนที่ตั้งใจเรียนและพระผู้บวชใหม่เพื่อให้ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัย, มอบทุนการศึกษาแก่พระภิกษุของวัดท่าไม้เหนือที่เข้าสอบธรรมและผู้ที่สอบได้ตามสมควร

    ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2530 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าอาวาสชั้นตรี ในราชทินนามที่ พระครูสุนทรคุณวัฒน์

    หลวงพ่อทองเหลือ มีเมตตาต่อสัตว์โลก ทั้งแมว สุนัข ไก่ มีคนนำมาปล่อยที่วัด ท่านรับเลี้ยงหมด รวมถึงปลาที่อยู่ในแม่น้ำน่านบริเวณท่าน้ำหน้าวัด ซึ่งชุกชุมมาก จึงได้ขอร้องไม่ให้ใครจับ ตั้งเป็นเขตอภัยทานและยังให้พระในวัดนำข้าวก้นบาตรไปเป็นอาหารปลาด้วย

    ด้านวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่ปรารถนาคือ เหรียญรุ่นแรกปี พ.ศ.2534 ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อทองเหลือ ด้านหลังเหรียญเป็นยันต์สามเกลอกินน้ำบ่อเดียว มีทั้งเนื้ออัลปาก้าและเนื้อทองแดงจำนวน 5,000 เหรียญ หาทุนสร้างกำแพงวัด พ.ศ.2539 สร้างรูปหล่อเหมือน ตะกรุดโทนเรียกทรัพย์เงินล้าน ตะกรุดโทนเสาร์ห้าเมตตา โดยหลวงพ่อจะดำลงไปในแม่น้ำน่านเพื่อนั่งบริกรรมคาถาปลุกเสก และปลุกเสกเดียวในพระอุโบสถตลอดพรรษา มอบให้กับศิษยานุศิษย์ไว้ป้องกันตัว จัดทำครั้งละไม่เกิน 9 ดอก ทั้งตัดแผ่นทอง ลงอักขระ ม้วนบริกรรมคาถา ลงรักและมัดด้วยสายสิญจน์ พร้อมเข้าพิธีใหญ่จึงเสร็จสมบูรณ์

    พ.ศ.2544 หลวงพ่อทองเหลือ จัดสร้างวัตถุมงคลของดีเมืองพิชัย 92 ปี รายได้บำรุงการศึกษาพระปริยัติของสงฆ์ในอำเภอ พิชัยและสมทบทุนสร้างศาลาธรรมสังเวช ประกอบด้วย ล็อกเกตรูปเหมือนทรงรูปไข่และสี่เหลี่ยม, พระปิดตาภควัมบดีเนื้อโลหะ, พระสังกัจจายน์ เม็ดกระดุม

    พ.ศ.2545 จัดสร้างรูปเหมือน หน้าตักกว้าง 5 นิ้ว สำหรับซื้อเครื่องช่วยหายใจให้กับโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ พร้อมรูปหล่อขนาดเล็ก รุ่นพิเศษ อายุ 93 ปี พระครูวิสุทธิปัญญาสาร ลูกศิษย์ใกล้ชิดได้รับอนุญาตจัดสร้างเป็นรุ่นสุดท้าย หลวงพ่อปลุกเสกเดี่ยวตลอดพรรษา

    มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2545 เวลา 13.53 น. สิริอายุ 94 ปี พรรษา 57

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ

    รูปถ่ายหลังจารยันต์หลวงปู่เหลือ ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ
    ลป.เหลือ.jpg ลป.เหลือหลัง.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2022
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    bud06281060p1-696x384.jpg
    “พระครูจันทสโรภาส” หรือ “หลวงพ่อเที่ยง จันทสโร” อดีตเจ้าคณะตำบล ม่วงชุม และอดีตเจ้าอาวาสวัดม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เจ้าตำรับตะกรุดโทนหนังเสืออันลือลั่น

    ท่านยังเป็นศิษย์และเป็นหลานหลวงปู่เปลี่ยน (พระวิสุทธิรังษี) วัดใต้ (วัดไชยชุมพลชนะสงคราม) พระเกจิชื่อดัง

    รวมทั้งเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อนารถ วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง อีกทั้งมีความสนิทสนมอย่างมากกับ “หลวงพ่อเต๋” วัดสามง่าม จังหวัดนครปฐม ว่ากันว่าเรียนวิชาทำตะกรุดหนังเสือมาจากสำนักเดียวกัน

    นอกจากนี้ ยังมีสหธรรมิกอีกหลายท่านที่พบปะในงานพุทธาภิเษก อาทิ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่, หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก, หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว เป็นต้น

    เกิดในตระกูล “ท่านกเอี้ยง” ตรงกับวันพฤหัสบดี ปีชวด ที่บ้านม่วงชุม ต.ม่วงชุม อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เมื่อปี 2431 เป็นบุตรของนายเขียวและนางทองแคล้ว มีพี่น้องรวม 8 คน หญิง 5 คน ชาย 3 คน

    ในวัยเด็กมีอุปนิสัยชอบทางด้านชกมวย และรักความยุติธรรม เป็นคนพูดแบบตรงไปตรงมาไม่เกรงกลัวใคร จึงเป็นที่รักของเด็กวัยเดียวกันยกให้เป็นพี่ใหญ่

    อายุ 21 ปีบริบูรณ์ ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรับใช้ชาติอยู่ 2 ปี หลังปลดประจำการกลับมาอยู่บ้านประกอบอาชีพทำนา

    กระทั่งอายุ 24 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดบ้านถ้ำ หลังจากบวชแล้วอยู่ศึกษาเล่าเรียนกับอุปัชฌาย์ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะย้ายมาอยู่จำพรรษาที่วัดม่วงชุม ซึ่งเป็นวัดอยู่ใกล้บ้าน โดยได้ศึกษาเล่าเรียนหนังสืออย่างจริงจังและเต็มที่

    เนื่องจากในวัยเด็กมีโอกาสเล่าเรียนไม่มาก เพราะขาดแคลนครูและห้องเรียน ยิ่งเรียนท่านก็มีความสุขกับการเรียน ทำให้มีความแตกฉานเรื่องหนังสืออย่างมาก

    [​IMG]
    หลังจากศึกษาพระธรรมวินัย และพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาจนเชี่ยวชาญ ท่านจึงเริ่มหันมาศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานและวิทยาคมกับหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ (วัดไชยชุมพลชนะสงคราม) ในฐานะที่หลวงพ่อเที่ยงมีศักดิ์เป็นหลานของหลวงปู่เปลี่ยน จึงได้รับความเมตตาจากหลวงปู่เปลี่ยนเป็นพิเศษในการถ่ายทอดสรรพวิชาด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านพุทธาคม จนมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก

    ชาวบ้านทั่วไปมักกล่าวขวัญว่า “ใครแขวนวัตถุมงคลของท่าน แมลงวันไม่ได้กินเลือด” หมายความว่า คนคนนั้นหนังเหนียว แทงไม่เข้า ยิงไม่ออก

    แม้กระทั่งหลวงปู่แย้ม พระเกจิอาจารย์ดังแห่งวัดสามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ยังกล่าวยกย่องหลวงปู่เที่ยงว่าท่านเก่งมาก โดยท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อเต๋ คงทอง (อาจารย์หลวงปู่แย้ม) ซึ่งทั้ง 2 ท่าน ต่างมีชื่อเสียงอย่างมากในการสร้างตะกรุดหนังหน้าผากเสือ

    เป็นพระของชาวบ้านชนบทโดยแท้ พูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ภาษาที่ใช้สื่อสารก็เหมือนหลวงพ่อคูณเป็นภาษาไทยแท้ๆ ฟังไม่เพราะหู แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ญาติโยมที่ไปขอความช่วยเหลือจากท่านจะได้รับความเมตตาช่วยเหลือในทุกๆ เรื่องด้วยดี โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

    จากการบอกเล่าของชาวบ้านกล่าวว่า ท่านชอบกีฬาชกมวยอย่างมาก การละเล่นนิยมลิเกและหนังตะลุง ท่านเป็นพระโบราณลูกทุ่งชนบท ชอบฉันหมากไม่เคยขาดปากเลย จึงเป็นที่มาของการสร้างพระเครื่องเนื้อชานหมากที่โด่งดัง

    หลวงพ่อเที่ยงลงมือสร้างอุโบสถเมื่อปี 2484 ท่านค่อยสร้างโดยไม่มีการเรี่ยไร เพราะไม่ต้องการเป็นภาระของชาวบ้าน

    ในช่วงนั้นประเทศไทยยังตกอยู่ในระหว่างปลายสงครามโลกครั้งที่ สอง เมืองกาญจนบุรีได้รับผลกระทบจากภัยสงครามอย่างมาก ด้วยทหารญี่ปุ่นมาตั้งฐานทัพหลายแห่ง ทำให้ทหารพันธมิตรนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเพื่อทำลายฐานทัพของญี่ปุ่น เป็นเหตุให้สภาพเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพง แต่ชาวบ้านก็ช่วยบริจาคทุนทรัพย์สร้างอุโบสถจนสำเร็จ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 3 ก.พ.2494

    มรณภาพด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2523 เวลา 09.00 น. ที่วัดม่วงชุม ทางวัดได้เก็บสรีระของท่านไว้ถึง 10 ปี ปรากฏว่าสังขารของท่านไม่เน่าไม่เปื่อย จึงพร้อมใจกันสร้างมณฑป พร้อมทั้งโลงแก้วบรรจุร่างไว้ให้ผู้คนกราบไหว้ เมื่อวันที่ 1 เม.ย.2534
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อเที่ยง วัดม่วงชุม ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลพ.เที่ยง.JPG ลพ.เที่ยงหลัง.JPG
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    59423695_2742714042469035_8722763684058759168_o.jpg?_nc_cat=106&_nc_ht=scontent.fbkk24-1.jpg
    หลวงพ่อเบี่ยง วัดทุ่งสมอ กาญจนบุรี ลองหาประวัติท่านตามเวปอ่านดูครับ สายนี้เขารู้กัน

    ล๊อคเก็ตหลวงพ่อเบี่ยง วัดทุ่งสมอ กาญจนบุรี ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลพ.เบี่ยง.JPG ลพ.เบี่ยง หลัง.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2019
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    หลวงปู่ชด เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2448 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเส็งซึ่งเป็นวันมาฆบูชาเวลารุ่งเช้า เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 8 คน บิดาท่านชื่อนายแช่ม มารดาชื่อเลื่อน ในสกุลอยู่เจริญอยู่บ้านหัวสำโลง หมู่ 7 ต.ห้วยลำโพง อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ครอบครังของท่านมีอาชีพทำนา อายุได้ 8 ขวบ ท่านก็ได้เข้าเรียนที่วัดลำโพง แต่เรียนได้แค่ 3 เดือน ก็ต้องออกมาเลี้ยงน้อง จนอายุท่านได้ 13 ปี ท่านก็ได้เข้าเรียนอีกครั้ง ท่านเรียนจนแตกฉาน ทั้งภาษาไทย ขอม บาลี และท่านก็ได้รับใช้ชาติรับราชการทหารจนท่านปลดประจำการและได้เข้าอุปสมบททดแทนคุณบิดามารดาเมื่ออายุได้ 22 ปี โดยมีหลวงพ่อสายเป็นพระอุปัชฌาย์ ณ.วัดพยัคฆาราม ท่านบวชได้ 2 พรรษาท่านได้ลาสิกขาบทออกมาทำนาจนอายุได้ 26 ปี ท่านได้แต่งงาน และท่านพาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ และหลังจากนั้นท่านก็ได้ฝากตัวเป็นศิย์ฆาราวาสและไล่เรียบวิชาจากหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพธิ จังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาในปี พ.ศ.2496 โยมแม่ของท่านได้เสียชีวิตลงและท่านได้บวชอีกครั้งที่วัดหนองก่อไผ่ ต. วังสำโรง อ.บางมูลนาก จพิจิตร โดยมีพระครูวิเศษธรรมวิวัติเป็นพระอุปัชณาย์ และการบวชครั้งนี้ของท่านได้ตั่งปณิธานว่าจะไม่สึก และท่านก็ได้ออกธุคงค์ไปตามที่ต่างๆ จนในปี พ.ศ. 2500 ท่านได้มาปักกลดที่วัดถ่ำน้ำบัง และได้มาจำพรรษาที่วัดเสาธงทอง ช่วงนั้นเป็นวัดร้าง และครั้งนัน้เองท่านได้รู้จักกับหลวงพ่อทบที่วัดช้างเผือกและไปมาหาสู่กันจนท่านได้ฝากตัวเป็นศิย์หลวงพ่อทบร่ำเรียนวิชาอาคมต่างๆจนเชียวชาญ ต่อมาท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลนายมและได้สมณศักดิ์ที่พระครูวิบูลพัชรญาณ ในปี พ.ศ. 2516 จากนั้นชาววังชมพูก็ได้นิมนต์ท่านมาจำพรรษาที่วัดซับข่อยท่านอยู่ได้ไม่นานท่านก็ออกธุดงค์อีกจนถึงปี พ.ศ. 2527 ท่านก็หยุดธุดงค์เนื่องจากสังขารของท่านไม่อำนวยท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดซับข่อยและได้เริ่มพัฒนาวัดซับข่อย จนในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2532 เวลา สี่ทุ่มเศษๆ ท่านได้นั่งสมาธิในอาการที่ไม่ปกติลูกศิย์จึงถามท่านว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ท่านลืมตาแล้วบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ฉันต้องไปแล้ว หลวงพ่อท่านรู้วันละสังขารของท่าน และท่านก็ได้หลับตาลงและมรณะภาพในท่านั่งสมาธิ และลูกศิษย์ของหลวงพ่อก็นำสังขารของท่านบรรจุไว้ในโลงแก้ว สังขารของท่านไม่เน่าเปื่อยเล็บมือเล็ปเท้ายาวและผมของท่านยังงอกออกมาปกติ หลวงปู่ชดท่านได้สร้างวัตถุมงคลขึ้นครั้งแรกปี พ.ศ. 2518 ประกอบด้วยสีผึ้ง น้ำมันมนต์ เหรียญ รูปหล่อ พระผงสมเด็จ พระผงผสมว่าน ตะกรุด เป็นต้น
    ทีมงานขอกราบนมัสการขอบพระคุณพระอาจารย์เจริญ เจ้าอาวาสวัดซับข่อย และคุณพร วังชมพู ที่ให้ข้อมูลและภาพประกอบในครั้งนี้เป็นอย่างสูงครับ

    1.jpg
    สรีระของหลวงปู่ชดบรรจุในโลงแก้วที่วัดซับข่อย

    1-20090318095154.jpg

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนรุ่นสร้างโบสถ์หลวงพ่อชด ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ
    ลพ.ชด.JPG ลพ.ชดหลัง.JPG

     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2019
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    upload_2019-5-10_18-51-34.jpeg
    ชีวประวัติ หลวงปู่นอง ธัมมะโชโต 1/3
    วัดวังศรีทอง จ.สระแก้ว วัดแห่งนี้เป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนาและที่พักของพระเกจิ “ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ” รูปหนึ่ง ซึ่งได้รับความเคารพนับถือและศัทธาจากญาติโยมกันมากชื่อของ ท่านคือ หลวงปู่นอง ธมฺมโชโต อายุ92ปี ต้นตำรับแห่ง “ของดี” และ
    “ของขลัง” ที่โด่งดังด้านโชคลาภเป็นที่หนึ่ง และเรื่องของเมตตามหานิยม ทำมาค้าขึ้น ญาติโยมทั่วสารทิศต่างดั้นด้นมากราบไหว้บูชาแต่ละวันเนืองแน่น
    หลวงปู่นอง ธมฺมโชโต ประวัติเดิมเป็นชาว จ.ลพบุรี โดยกำเนิด บิดาชื่อ ช่วง ปัจจะชัย มารดาชื่อ กลาย ปัจจะชัย มีพี่น้อง ร่วมอุทรเดียวกันรวม 8 คนท่านเป็นคนสุดท้อง โดยมารดามีศักดิ์เป็นน้องสาวของพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม)
    วัดหนองโพ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เกจิชื่อดังแห่งภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบนพระอริยสงฆ์ผู้ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบจนได้รับขนานนามว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งเมืองสี่แคว” ต้นตำรับแห่งของขลัง “มีดหมองาช้าง” และวัตถุมงคลอื่นๆ ชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เสาะหา
    ของนักสะสม และผู้ศรัทธาจวบจนปัจจุบันนี้
    ในสมัยวัยเด็ก หลวงปู่นอง หนีออกจากบ้านมาขอบวชเณรอยู่กับ หลวงลุงคือ หลวงพ่อเดิม ตั้งแต่อายุเพียง 12 ขวบ เพื่อศึกษาวิชาอาคมด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี รวมทั้งการฝึกหัดทำมีดหมอให้มีพุทธนุภาพสูงสุด ล้วนได้รับการ ถ่ายทอดมา จนสิ้นและหลวงลุงยังเมตตาสักยันต์ “นะเมตตา” ติดตัวให้ด้วย ต่อมาหลวงปู่นอง เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ “หลวงพ่อกบ” หรือ “หลวงพ่อเขาสาลิกา” แห่งสำนักปฏิบัติธรรมวัดเขาสาลิกา อ.บ้านมี่ จ.ลพบุรี พระเถระที่ ประวัติความเป็นมาไม่เหมือนใคร และเคยสำแดงปฏิหาริย์ให้ผู้คนฮือฮามาหลายครั้ง เช่น ช่วงเข้าเดินบิณฑบาตโยมในกรุงเทพฯ กลับไปฉันเช้าที่วัดได้เพียงพลิบตา มีญาณหยั่งรู้อดีต อนาคต ทำนายได้แม่นยำเหลือเชื่อ โดยเฉพาะวิชา “กสิณไฟ” หลวงพ่อกบ ถ่ายทอดให้หลวงปู่นองศึกษาเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนเชี่ยวชาญ นับว่า หลวงปู่นอง เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับพระมหาชวน (หลวงพ่อโอภาสี)
    แห่งอาศรมบางมด ฝั่งธนบุรี อดีตเกจิผู้บูชาไฟชื่อดัง ซึ่งเคยมาเรียนวิชาที่ วัดเขาสาลิกา เช่นกัน จวบจนเติบใหญ่หลวงปู่นองสึกจากสามเณรรับใช้ชาติเป็นทหารสังกัด กองพันเสนารักษ์กองทัพอากาศ 2 ปี ครบกำหนดปลดประจำการก็ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมี แห่งพระมหาชวน(หลวงพ่อโอภาสี) อาศรมบางมดฝั่งธนบุรี
    ในฐานศิษย์รู่นพี่เป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ 4 ปี ก็ลาสิกขามาเป็น “พระเอกลิเก” ประจำคณะหอมหวล ที่ดังกระหึ่มในยุคก่อนกลายเป็นขวัญใจแม่ยกทั่วพื้นที่ สุดท้ายแต่งงาน หลังจากใช้ชีวิตทางโลก จนรู้แจ้งเห็นจริง หลวงปู่นอง เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่จีรังยั่งยืน จึงหันเข้าสู่ร่มสาวพัสตร์ อุปสมบท เป็นพระภิกษุอีกครั้งเมื่ออายุ 38 ปี รับใช้หลวงลุงจวบ จนหลวงพ่อเดิมมรณภาพใน
    พ.ศ. 2482 ก็ย้ายมาจำพรรษาที่วัดเกรินกฐิน จ.ลพบุรี จึงย้ายมา จำพรรษาที่วัดได้วังศรีทอง ที่จังหวัดสระแก้ว ( ช่วงที่หลวงปู่ท่านย้ายมาอยู่นั้นจังหวัดสระแก้ว ยังไม่ได้เป็นจังหวัดแต่เป็นส่วนหนึ่ง ของจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งทุรกันดารมาก พื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นป่ารก) และหลวงปู่นองท่านก็มาจำพรรษาที่วัดได้วังศรีทอง จนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อสมัยที่หลวงปู่นองท่านศึกษาในสรรพวิชาต่างๆอยู่กับหลวงพ่อเดิม ตั้งแต่เป็น สามเณรจนกระทั่งบวชเป็นพระภิกษุ ซึ่งหลวงพ่อเดิมท่านก็ให้เริ่มต้นศึกษา คัมภีร์มหาพุทธาคมอันเป็น
    แม่บทของคัมภีร์มหาพุทธาคมอันเป็นแม่บทของคัมภีร์ปถมังคัมภีร์อิทธิเจ คัมภีร์มหาราช คัมภีรมหาราช คัมภีร์นิสิงเห ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งอำนาจจิตโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำราพิชัยสงคราม อาทิ คัมภีร์นิติประกาศิตคัมภีร์ธนูเวกว่าด้วยการแต่งเครื่องครอบมนต์ ในสงคราม เป็นต้น และศึกษาในธรรมวินัยศึกษาศาสตร์พิธีต่างๆจากหลวงพ่อเดิมจนหมดสิ้น หลวงปู่นองท่าน จึงกราบลา หลวงลุงเพื่อออกเดินธุดงค์ และหวังกะจะเดินมาทางลพบุรีก่อนเพื่อเยี่ยมบ้านและมารดา
    ซึ่งในระหว่างการเดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่า ผ่านป่า ผ่านทุ่ง ผ่านภูเขา หลวงปู่นองท่าน ก็ได้ใช้ความวิริยะ อุตสาหะควบคู่ไปกับการบำเพ็ญเพียรทางจิตร่ำเรียนจบหลักศาสตร์วิชาจาก ครูบาอาจารย์ที่ได้พบกันในระหว่างเดินธุดงค์อีก จนเกิดความแตกฉานในวิชาอย่างเชี่ยวชาญ จึงออกแสวงหาประสบการณ์ที่สูงขึ้นไปอีก
    เมื่อหลวงปู่นองท่านเดินธุดงค์มาถึงยังเขตลพบุรี เมื่อผ่านแถบบ้านหมี่
    บ้านของโยมแม่เพื่อโปรดแก่แม่และญาติโยมแล้วหลวงปู่นองท่านก็มุ่งหน้าสู่วัดเขาสาลิกา เพื่อไปกราบ นมัสการหลวงพ่อกบ และ ณ ที่นี้เองที่หลวงปู่ท่านได้มีโอกาสที่ได้ศึกษาวิชา ในสายธาตุกสิณมหาสูตร คัมภีร์ตำรับฤาษีจากหลวงพ่อกบทั้งกสิณธาตุไฟคัมภีร์ และคัมภีร์ การเดินธาตุหยุดลมหยุดฝน คัมภีร์เปิดนิมิตตาที่สามและคัมภีร์โอมวิติตรี และวิชาจักษุนิมิตตา วิชาลงเลขเสกของนะโอมทนะฤาชา นะบัวบังใบ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นวิชาในสายฤาษีแทบทั้งสิ้น
    เมื่อช่วงเวลาที่หลวงปู่นองท่านมีโอกาศท่านก็จะเดินทางมากราบนมัสการ หลวงพ่อโอภาสี ซึ่งเป็นทั้งศิษย์รุ่นพี่และพระอุปัชฌาย์ อยู่บ่อยๆและเมื่อได้มาถึงอาศรมบางมด ฝั่งธนบุรี หลวงปู่นองท่านจึงได้ศึกษาธรรมและปฏิบัติกรรมฐานอยู่กับหลวงพ่อโอภาสี และมีโอกาสที่ จะได้ศึกษาคัมภีร์มูลกัจจายน์ไปด้วยและหลวงปู่นองท่านก็ได้สำเร็จทั้งกรรมฐานและศาสตร์วิชา ในมหาคัมภีร์มูลกัจจายน์สูตรจนสำเร็จ
    เมื่อสมัยก่อนนั้นจะเห็นได้ว่าพระคณาจารย์สมัยโบราณนั้นท่านเรียกจบกัจจายน์สูตร ทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น สมเด็จพระสังฆราชสุกไก่เถื่อน สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อศุข หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อเนียม วัดน้อย หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และพระคณาจารย์นักปราชญ์อีกหลายๆองค์ เพราะเหตุว่าคัมภีร์มูลกัจจายน์สูตรนี้เป็นมูลฐานของวิชา อาคมการลงอักขระเลขยันต์ การลงผงวิเศษทุกตำราล้วนมาจากคัมภีร์นี้ทั้งนั้นอีกทั้งยังเป็นพื้นฐานแห่ง การฝึกกระแสจิตให้มีอำนาจลึกลับแตกฉานในสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานยิ่งนัก เพราะในช่วงท้ายของคัมภีร์มีการเจรจากฎไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา พิจารณาสภาพพระนิพาน
    ความเพียรและความมุ่งมั่นของหลวงปู่นองท่านนั้น ท่านก็ฝึกฝนและดำเนินรอยตาม แบบบูรพาจารย์ ศึกษาในคัมภีร์มูลกัจจายน์สูตรจนครบถ้วน จากนั้นหลวงปู่องท่านจึงกลับมาอยู่รับ ใช้หลวงพ่อเดิมจนกระทั่งหลวงพ่อเดิมท่านมรณภาพ ซึ่งในช่วงนั้นหลวงปู่นองท่านจะอยู่รับใช้ หลวงพ่อเดิมตลอด จะได้รับการถ่ายทอดการสร้างชนวนพิเศษ “ชนวนรัตนโลหะ” ซึ่งมีอานุภาพ อาถรรพณ์ที่อยู่เหนือชนวนธาตุอื่นๆ เป็นชนวนที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวอย่างมาก ตำรับวิชา “การผูก การลงเสก และผสมชนวนรัตนโลหะ”
    หลวงปู่นองเป็นพระเกจิที่เชี่ยวชาญด้านไสยเวท คาถาอาคม โดยเฉพาะวิชา “กสิณไฟ” โดยวิชานี้สามารถขับไล่สิ่งชั่วร้าย ทั้งหลายทั้งปวง ล้างอาถรรพณ์ ใช้เสริมมงคลครอบ จักรวาล เสริมดวงให้ดีขึ้น ช่วยเกื้อหนุนโชคลาภวาสนาได้อย่างอัศจรรย์ซึ่งหลวงปู่นองท่านจะใช้


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่นอง ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลป.นอง.jpg ลป.นองหลัง.jpg
     
  8. Suppasit_S

    Suppasit_S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +3,869
    ขอบูชารายการนี้ครับ และขอดูรายการอื่นๆสัก 2-3 วัน เผื่อจะได้โอนทีเดียวครับ

     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ชีวประวัติ หลวงปู่สมชาย ฐิติวิริโย (ย่อ)






    nummpoo.jpg
    หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย สมัยนวกภิกษุ



    หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านเป็นชาวจังหวัดร้อยเอ็ด เกิดเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2468 ตรงกับวันอังคารขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีฉลู เวลาเที่ยงวัน ณ หมู่บ้านเหล่างิ้ว ตำบลจังหาร อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด

    ในตระกูลที่เป็นชาวฮินดู หลวงปู่สมชาย เป็นบุตรคนที่ ๒ ของ โยมบิดาชื่อ สอน มติยาภักดิ์ โยมมารดาบุญ มติยาภักดิ์ โยมมารดาของท่านเป็นบุตรีคนเล็กของ คุณหลวง เสนา ผู้นำศาสนาพราหมณ์ ในท้องถิ่นนั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโยท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันเพียง 2 คน คือ

    1. นายหนู มติยาภักดิ์
    2. หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย

    หลวงปู่สมชาย ได้ถือกำเนิดในสกุลของศาสนาพราหมณ์ วันที่หลวงปู่สมชายกำเนิดนั้น เป็นวันตรงกับเวลาประกอบพิธีทางศาสนา พอเริ่มขบวนแห่ มารดาของท่านให้กำเนิดท่าน ซึ่งทำให้พิธีการทางศาสนาที่กำลังกระทำอยู่ ต้องหยุด ชะงักลง ด้วยนิมิตหมายอันนี้

    คุณตาหรือคุณหลวงเสนา จึงได้ทำนายไว้ว่า "หลวงปู่สมชาย จะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงศาสนาเดิมของตระกูล" และ ก็เป็นไปตามนั้น เพราะท่านมีความสนใจในธรรมะทางพระพุทธศาสนา ท่านชอบอ่าน หนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาก โดยท่านมีอุปนิสัยใน ทางธรรมตั้งแต่อายุ 16 ปี ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ในทางฆราวาส จนถึงอายุ 19 ปี

    ด้วยความเบื่อหน่ายต่อความเป็นอยู่ของโลกที่เต็มไปด้วยความ สับสนวุ่นวายและเต็มไปด้วยความทุกข์ไม่เที่ยง ท่านจึงคิดที่จะสละเพศฆราวาสออกบวชในบวรพุทธศาสนาเพื่อแสวงหาความพ้นทุกข์

    ท่านได้บรรพชาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2487 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ปีวอก อายุ 19 ปี ณ อุโบสถวัดเหนือ อ.เมือง จ. ร้อยเอ็ด โดยมีท่านเจ้าคุณพระโพธิญาณมุนีเจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด ธรรมยุตเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้ถวายตัวเป็น ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร

    เมื่อปลายปี พ.ศ.2487 ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    ท่านได้ทำการอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดศรีโพนเมือง จ.สกลนคร เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2489 โดยมีท่านเจ้าคุณ พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโลเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์

    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่กล่าวมา ทั้งหมดล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นทั้งสิ้น โดยเฉพาะท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์นั้น เป็นพระอุปัชฌาย์ของ หลวงปู่ฝั้น อาจาโรอีกด้วย

    ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เป็นทั้งลูกศิษย์ หลานศิษย์และเหลนศิษย์ของ หลวงปู่มั่น ภายหลังจากอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว หลังจากประพฤติปฏิบัติธรรม จนซาบซึ้งในพระศาสนาพอสมควรแล้ว ท่านได้นำเอาธรรมะไปอบรมสั่ง สอนประชาชนในท้องถิ่นเดิมของท่าน จนปัจจุบันหันมานับถือพุทธศาสนาจนหมดสิ้น

    ชีวิตในเยาว์วัย
    เมื่อหลวงปู่สมชาย มีอายุได้ ๒ ขวบ มารดาของท่านก็ถึงมรณะกรรม คุณตาของท่านก็รับภาระ เลี้ยงดู สิ้นบุญของคุณตาหลวงปู่สมชายก็มาอาศัยอยู่กับญาติ ซึ่งมีฐานะเป็นลูกผู้พี่ แต่เมื่อพี่สะไภ้ได้เสียชีวิตจากไป ท่านต้องรับภาระเลี้ยงดูหลาน ๔ -๕ คนแทนเพราะพี่ชายเมื่อสิ้นพี่สะไภ้ ก็กระทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ หาได้สนใจในหน้าที่ของพ่อที่มีต่อลูกไม่

    ท่านจึงได้พยายามสร้างฐาานะขึ้นมา ให้ทัดเทียมกับผู้อื่น ด้วยอุปนิสัยที่เป็นผู้มีนิสัยเด็ดเดี่ยว เอาจริง ถ้าตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้วต้องทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เป็นนักเสียสละบำเพ็ญประโยชน์ ของส่วนรวม ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก เป็นผู้มีความทรหดอดทน กล้าหาญ ท่านได้สร้างฐานะขึ้นมาจนสำเร็จ เป็นที่เคารพยกย่อง นับถือของตระกูล ตลอดจนคนทั่วไปในหมู่บ้านนั้น

    ระลึกชาติได้
    ตอนที่ท่านยังไม่บวช เวลาท่านนอน มือท่านทั้งสองข้างมาพนมเข้าหากัน และบริกรรมว่า โอม ปถวีๆๆ ขานั้นก็นั่งขัดสมาธิ หลุดปุ๊บก็ระลึกถึงชาติเก่าทันที ท่านบอกว่าเป็นอยู่อย่างนี้ ระลึกได้ถึง ๔ ปี ทุกคืน และเป็นไปอัตโนมัติ ว่าชาติที่ ๑ นั้น ท่านเกิดเป็นฤาษี บวชเป็นฤาษี ลุงของท่านเป็นหัวหน้าฤาษีในชาตินั้น

    ชาตินี้ลุงของท่านก็กลับมาเป็นพ่อของท่าน ชาติที่ ๒ ก็เป็นอย่างนั้นอีก(เหมือนชาติที่ ๑) ชาติที่ ๓ ได้เกิดเป็นลูกชาวประมง พอโตขึ้นหน่อย พ่อแม่ก็ให้ออกไปหาปลาเพราะเป็นชาวประมง แต่ท่านไม่เอา ท่านก็เลยบวช พอไปก็ไปพบกับสำนักของฤาษีอีก พอกลับชาตินี้ คือชาติปัจจุบัน ท่านก็กลับมาเป็นลูกของลุงในชาติอดีตคือ ฤาษีนั่นเอง กลับมาเกิดเป็นพ่อของท่าน

    การสนใจในธรรมะ
    ดังที่รู้กันอยู่แล้ว เดิมท่านอยู่ในตระกูลชาวฮินดู ขณะที่คุณตายังมีชีวิตอยู่ท่านก็มีความสนใจในทางธรรมะ ของทางพระพุทธศาสนา ท่านได้เสาะแสวงหาหนังสือพุทธประวัติมาอ่าน บางทีก็แอบไปฟังเทศน์จากท่านพระอาจารย์นาค โฆโส ซึ่งเป็นพระปฏิบัติกรรมฐานในสาย หลวงปู่มั่น

    การกระทำนี้ท่านต้องแอบกระทำ เพราะเป็นการกระทำผิดต่อศาสนาเดิมอย่างร้ายแรง และยิ่งถ้าคุณตาของท่านรู้ก็ยิ่งจะต้องถูกทำโทษสถานหนัก แต่การกระทำ ของท่านก็หารอดพ้นสายตาของคุณตาไม่ ท่านถูกคุณตาทำโทษ บางครั้งถูกเฆี่ยนตี และมัดมือไพล่หลังตากแดด ท่านก็ไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยร้องขอความเห็นใจจากผู้ลง โทษเลยเด็ดขาด ท่านได้แต่นิ่ง เงียบ เฉย ตลอดเวลา แต่ก็หาเข็ดหลาบ

    ท่านยังคงสนใจในทางธรรมะ ทำบุญและไปเรียนรู้ทางสำนักปฏิบัติ ฟังเทศน์จากพระ กรรมฐานต่างๆ แต่เป็นการกระทำที่ระมัดระวังยิ่งขึ้น เหตุการณ์ต่างๆภายในครอบครัวของพี่ชายที่เกิดขึ้น ยิ่งเป็นสิ่งกระตุ้นให้ท่านหันเข้าสู่โลกุตรธรรมมากขึ้น เบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย มีความพอใจในเพศนักบวชมากขึ้น

    เมื่อเห็นว่าท่านปฏิบัติหน้าที่ภายในครอบครัวสมบูรณ์ เป็นเวลาอันสมควรแล้ว จึงได้ขออนุญาตจากพี่ชายขอบวช พี่ชายท่านก็อนุญาตเพราะคิดว่าเป็นไปได้ยาก

    เข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์
    เมื่อพี่ชายอนุญาตแล้ว หลวงปู่สมชายได้เดินทางไปฝากตัวเป็นนาคกับท่านอาจารย์เพ็ง วัดป่าศรีไพรวัลย์ อยู่ฝึกฝนอบรมพอสมควร จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด มีท่านเจ้าคุณพระโพธิมุนี เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด ธรรมยุตเป็น พระอุปัชฌาย์ วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๗ ตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีวอก พำนักจำพรรษา ณ วัดป่าศรีไพรวัลย์ ๑ พรรษา ขณะนั้นท่านมีอายุประมาณ ๑๙ ปี

    ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่ได้ยินกิตติศัพท์ว่า หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถร "เป็นพระอรหันต์ ผู้หมดจดจากกิเลส" ใคร่จะได้เห็นพระอรหันต์ขีณาสพในสมัยปัจจุบัน จึงกราบลาท่านอาจารย์ ติดตามพระอาจารย์ป่อง จนฺทสาโร และคณะ ๔ - ๕ รูป เดินทางมุ่งสู่สำนักหลวงปู่มั่น จนลุถึงเขตสาขาสำนักหลงงปู่มั่นคือ สำนักท่านอาจารย์กู่ วัดป่าบ้านโคกมะนาว

    ซึ่งเป็นสำนักหน้าด่านอยู่รอบนอก อยู่ฝึกฝนอบรมจิตใจ และมารยาทพอสมควรแล้ว ได้พากันไปมอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ที่วัดป่าหนองผือ ตำบลบนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ขณะที่ยังเป็นสามเณรอยู่ หลังจากเข้าไปมอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ ภูริทตฺตเถร แล้วท่านก็ได้ตั้งใจศึกษาธรรมะ ข้อวัตรปฏิบัติทั้งปวง

    เมื่อเห็นว่าจวนจะถึงฤดูกาลพรรษา จึงได้กราบลาหลวงปู่มั่นออกไปบำเพ็ญและจำพรรษา อยู่กับท่านพระอาจารย์ กงมา จิรปุญโญ วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.เมือง จ.สกลนคร ที่สำนักหลวงปู่มั่น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ เพื่อคอยเวลาไปศึกษาธรรมะในโอกาสต่อไป เมื่อท่านอาจารย์อายุครบ ๒๐ ปี พอที่จะทำการญัติติจตุตถกรรม เป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนาได้แล้ว หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถร ก็ได้มอบผ้าสังฆาฏิให้ผืนหนึ่ง มีขันธ์ ๑๑ ขันธ์ ช้อนซ่อมทองเหลือง ๑ คู่ รวมในการอุปสมบท

    หลวงปู่สมชายเห็นว่าเป็นผ้าของครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยใช้มาแล้ว ลูกศิษย์ไม่ควรเอามาใช้ เพราะจัดอยู่ในประเภทบริโภคเจดีย์ ควรแก่การกราบไหว้ สักการะบูชาแก่ศิษยานุศิษย์ ท่านจึงเก็บเอาไว้ หลวงปู่มั่นได้ทราบเจตนาจึงได้สั่งให้คุณแม่นุ่ม ชุวานนท์ ซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐากของท่านที่สำคัญคนหนึ่ง จัดการหาผ้าสังฆาฏิใหม่ มาถวาย

    เมื่อจัดบริขารทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่มั่นได้สั่งให้ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโสเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สั่งให้ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ทำการอุปสมบทกรรม ณ พัทธสีมา วัดศรีโพนเมือง อ.เมือง จ.สกลนคร โดยมีหลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นเจ้าอาวาส

    ออกแสวงหาโมกขธรรม
    ในสมัยหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโยยังเป็นนวกะภิกษุ ได้ออกบำเพ็ญสมาธิ แสวงหาโมกขธรรมโดยตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ตลอดมา เพื่อพิสูจน์ความจริงในพระศาสนา สถานที่ที่ท่านใช้บำเพ็ญกรรมฐานนั้น เป็นสถาานที่ๆ ซึ่งนักปฏิบัติธรรม หรือพระกรรมฐานชอบแสวงหาความสงบวิเวก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระปฏิบัติสายหลวงปู่มั่นสถานที่นั้นคือ "ภูวัว" ซึ่งมีเทือกเขายาวติดต่อกันทั้งยังมีภูเขาลูกเล็กบ้างใหญ่บ้างสลับซับซ้อนจนถึงฝั่งแม่น้ำโขง ตลอดจนสำนีกต่างๆที่เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น จนอายุพรรษาเข้าขั้นเถรภูมิ ท่านเห็นสมควรเป็นนิสสัยมุตตกะ คือ พ้นจากการถือนิสัยกับอาจารย์ได้แล้ว ก็ได้จาริกเสาะแสวงหาสถานที่สงบวิเวก เพื่อบำเพ็ญกรรมฐาน บางครั้งไป องค์เดียว

    บางครั้งก็มีเพื่อนสหธรรมิกติดตามไปด้วย เฉพาะทางภาคอีสานท่านเคยธุดงค์ผ่านเกือบทุกจังหวัด ในการเดินธุดงค์ปฏิบัติกรรมฐานของท่านนั้นท่นเป็นพระที่เอาจริง ปฏิบัติจัง เด็ดเดี่ยวและประกอบด้วยเคยมีบารมีมาแต่ก่อน ท่านจึงเป็นพระที่มีบุญญาอภินิหารมากมาย

    มีเรื่องเล่ากันว่า วันหนึ่งขณะที่ท่านปักกลดบำเพ็ญเพียรอยู่ที่แถงจังหวัดสกลนคร บังเอิญมีพระเจ้าอาวาสวัดหนึ่งที่เคยรักใคร่ชอบพอกันมาก มรณะภาพลง เมื่อข่าวทราบถึงหลวงปู่ ท่านจึงคิดว่า เอ..ท่านกัยเรานี่ชอบกันมากจะไม่ไปเยี่ยมก็จะน่าเกลียด ครั้นจะไปมือเปล่า ก็จะเป็นการไม่สมควร จึงคิดว่าอย่ากระนั้นเลย เราจะขอร้องให้ญาติโยมไปหาหน่อไม้ป่า เอาไปฝากสักสองสามกระสอบก็จะเป็นการดี

    เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วจึงเอ่ยปากบอกญาติโยมที่มาหา ญาติโยมก็เต็มใจพากันออกหาหน่อไม้มาถวายตามความประสงค์หลายคนด้วยกัน แต่ก็ไม่สามารถหาได้ตามความต้องการ เพราะปรากฏว่ามีคนมาหักเสียก่อนแล้ว จึงได้ติดไม้ติดมือมาไม่กี่หน่อ

    ทางด้านหลวงปู่สมชาย เมื่อญาติโยมกลับมารายงานดังนั้น ก็คิดว่า เอ เราจะไปเยี่ยมศพอย่างไรได้เล่า อะไรๆก็ไม่มีติดมือไป จะอยู่ต่อไปก็อายเขาเพราะพระชอบๆกันยังไปเยี่ยม อย่ากระนั้นเลย เราหนีดีกว่า จึงบอกกับญาติโยมว่า

    ถ้ากระนั้นอาตมาจะต้องขอลาโยมๆไปก่อนละนะอยู่ไม่ได้อายเขา ญาติโยมก็อ้อนวอนให้อยู่ก่อนเถอะ จะได้เป็นที่พึ่งได้อบรมธรรมะกันบ้าง เมื่อญาติโยมอ้อนวอนอย่างนั้น ท่านก็ใจอ่อนนั่งนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วก็บอกกับญาติโยมว่า อาตมาจะอยู่ต่อไปละ แต่ญาติโยมจะต้องออกไปหาหน่อไม้อีกครั้ง ถ้าได้อาตมาก็จะอยู่ต่อ ถ้าไม่ได้อาตมาก็ต้องไปแน่


    ญาติโยมก็อึ้ง แต่ก็ต้องตกลง เพราะอยากให้อยู่ ต่างก็คิดว่าจะหาได้อย่างไร เมื่อกี้ก็ไปแล้วยังไม่ได้ แต่ด้วยความยากให้ท่านอยู่จึงจำเป็นต้องออกไปหาอีกครั้ง
    คราวนี้ออกไปกันหลายต่อหลายคนเอากระสอบเตรียมไปด้วย พอออกไปได้หน่อยเดียวเท่านั้น ทุกคนต้องตกตะลึงเพราะปรากฏว่ามีลิงตูดแดงๆ ไม่รู้ว่ามาจากไหนมากมายแถวนั้น ไม่เคยมีลิงประเภทนี้มาก่อนเลย ฝูงลิงต่างก็หักหน่อไม้จากกลางกอไผ่โยนออกมากลาดเกลื่อนไปหมด

    ญาติโยมไม่ต้องหักเลยทำหน้าที่แต่เพียงเก็บใส่กระสอบอย่างเดียว เดี๋ยวเดียวเต็มสามสี่ กระสอบเกินความต้องการ ต่างคนต่างก็พูดโจทย์ขานกันใหญ่ว่า เอ หน่อไม้มาจากไหนเมื่อตะกี้พวกเราไม่เห็นมีเลย ลิงก็ไม่มีหน่อไม้ก็ไม่มีน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ นี่คงจะเป็นบุญญของพวกเรา และบุญญาธิการของท่านหลวงปู่สมชาย จึงทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น พอกลับมาก็เข้ารายงานหลวงปู่ และเรียนถามท่านว่า ลิงและหน่อไม้นั้นมาจากไหนกัน

    หลวงปู่ตอบอย่างยิ้มๆว่า เทวดาเขาคงจะเอ็นดูญาติโยม กลัวว่าอาตมาจะไปจากที่นี่กระมัง เขาจึงลงมาช่วยญาติโยมหาหน่อไม้ให้ ญาติโยมก็พนมมือ สาธุขึ้นพร้อมๆกัน แต่ต่างก็นึกว่านี้คงจะเป็นอำนาจบารมีธรรม ของหลวงปู่เป็นแน่ หรือเขาเรียกกันว่า อภิญญาธรรมละกระมัง จึงดลบันดาลให้เป็นไป


    ในหมู่ญาติโยมที่ไปเก็บหน่อไม้นั้น มีคุณย่าของท่านครูบาคำพัน อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาสุกิม รวมอยู่ด้วยเมื่อคราวถวายเพลิงพระศพพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ญาติโยมทั้งหลายที่เคยช่วยเก็บ หน่อไม้ยังมาร่วมถ่ายภาพร่วมกับหลวงปู่ด้วย แม้บางคนแก่จนเดินไม่ไหว ยังพยายามนั่งรถเข็นมา เพราะความเลื่อมใสในเมตตาธรรม และธรรมปฏิบัติที่เคยสั่งสอนอบรมมา ให้เป็นแนวทางแต่ กาลนั้น เป็นต้นมา

    ภาคเหนือและภาคกลางก็มีบ้างเป็นบางจังหวัด บางทีก็ข้ามไปยังประเทศลาว นอกจากนี้ท่านยังเข้าไปในเขตประเทศพม่า ปักหลักบำเพ็ญภาวนาอยู่หลายเดือนกับพวกชาวกระเหรี่ยง และในระหว่างบำเพ็ญตอนนี้ แทบจะเอาชีวิตไม่รอด เนื่องจากไม่ได้ฉันอาหารตั้งหลายเดือน ฉันเฉพาะผักและใบไม้พอประทังชีวิตอยู่เท่านั้น เพราะกระเหรี่ยงเขานับถือภูติผีปีศาจ ภาษาก็ไม่รู้เรื่องกัน กว่าพวกเขาจะมีความเลื่อมใสศรัทธาให้การอุปถัมภ์บำรุงร่างกายก็แทบแย่

    เมื่อร่างกายและกำลังดีพอแล้ว หลวงก็ได้เดินทางกลับมาพักที่อ.หัวหิน จ.ประจวบขีรีขันธ์ จนกระทั่งมีลูกศิษย์ของอาจารย์ ท่านหนึ่ง แนะนำว่าจังหวัดจันทบุรีเป็นสถานที่ประกอบพร้อมไปด้วยสัปปายะ มีสถานที่สงบวิเวกหลายแห่ง เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา หลวงปู่จึงตกลงใจมาจันทบุรีเพื่อทดลองดู เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔

    หลวงปู่สมชายท่านเป็นผู้ต้องการหลุดพ้น มีปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติเคร่งครัดตรงต่อพระธรรมวินัย และมุ่งหวังเทิดทูนพระศาสนา มีศีลาจารวัตรที่งดงาม สาธุชนทั้งหลายได้พบเห็นการปฏิบัติ ของท่านเกิดความศรัทธา

    สำหรับการบำเพ็ญภาวนาในระหว่างอยู่ในป่าของหลวงปู่ มีทั้งการผจญกับสัตว์ร้ายต่างๆ นั้น สามารถอ่านได้จากประวัติของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ฉบับเต็มได้ เลยครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม หลังเสือคาบดาบอีกรุ่นที่นิยมของท่านครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลพ.สมชาย.JPG ลพ.สมชายหลัง.JPG
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pusao.jpg
      pusao.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.5 KB
      เปิดดู:
      131
    • pumung.jpg
      pumung.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9 KB
      เปิดดู:
      132
    • mun.jpg
      mun.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.7 KB
      เปิดดู:
      129
    • pufun.jpg
      pufun.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.8 KB
      เปิดดู:
      167
    • sink.jpg
      sink.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.9 KB
      เปิดดู:
      117
    • poo.jpg
      poo.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.3 KB
      เปิดดู:
      171
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร เป็นศิษย์หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง และมีศักดิ์เป็นหลานแท้ๆ ของหลวงพ่อแช่มด้วย สมัยเป็นฆราวาสอยู่รับใช้ใกล้ชิด โดยทำหน้าที่คอยบีบนวด ชงนำร้อนนำชาถวาย และเลี้ยงวัวควายอีกหนึ่งฝูงใหญ่
    หลวงพ่อแช่มถ่ายทอดพื้นฐานความรู้เรื่องบทสวดมนต์ และคาถาอาคมให้ท่องจำ สอนอ่าน-เขียน อักษรขอม เพื่อปูทางไปสู่การเรียนคำภีร์อื่นๆ
    ได้บรรพชาอุปสมบทที่วัดตาก้อง โดยมี พระครูอุตรการบดี(หลวงพ่อสุข วัดห้วยจระเข้) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง และพระใบฎีกาล้ง วัดห้วยจระเข้ เป็นพระคู่สวด
    อยู่ศึกษาพระธรรมวินัย ตลอดวิชาอื่นๆ และเจริญสมาธิวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อแช่ม ที่วัดตาก้อง จนชำนาญแก่กล้า
    ศิษย์รุ่นพี่ที่เล่าเรียนด้วยกัน คือหลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม และหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี
    พระสหธรรมิก ที่สนิทสนมเป็นพิเศษ ทั้งอายุพรรษาอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน มีหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม , หลวงพ่อหลิว วัดไร่แตงทอง
    หลวงพ่อเต้ามรณะเป็นรูปแรก(ศพท่านไม่เน่าหลังจากเก็บไว้ ๑๐๐ วัน แล้ว)

    ที่นับว่าเล่าลือกันอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือในงานพุทธาภิเษก ในวัดใหญ่แห่งหนึ่งในนครปฐม มีพระเกจิอาจารย์ร่วมนั่งปรกกันมาก เจ้าภาพตั้งบาตรนํามนต์ไว้หน้าอาสนะ ที่พระเกจิอาจารย์จะนั่งปรกปลุกเสก และจุดเทียนนํามนต์เอาไว้ที่ปากบาตร
    พอพิธีเริ่มไปได้ไม่นาน ฝนก็ตั้งเค้าลมกระโชกมาอย่างรุนแรง เทียนนํามนต์ในที่บาตร ของพระเกจิที่นั่งปรกถูกลมพัดดับหมด
    *** เหลือแต่เพียงเทียนที่ปากบาตรนํามนต์หน้าหลวงพ่อเต้า ยังไม่ดับและเปลวไฟตั้งตรงเหมือนไม่โดนลมพัดอีกด้วย
    หลวงพ่อเต้านั้นท่านมีฌาณสูง และในการนั่งปรกทุกครั้ง หลวงพ่อจะกำหนดจิตนั่งปรกเป็นเวลานาน เรียกว่าไม่มีพักยกหลับตาเข้าฌาณแล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น จนเวลาผ่านไปตามที่หลวงพ่อกำหนด ท่านก็จะออกจากฌาณเหมือนตั้งนาฬิกาปลุก ไม่ต้องไปยุ่งกับท่าน
    แม้พระเกจิส่วนใหญ่จะกลับกันหมดแล้ว แต่ถ้าไม่ถึงเวลาที่กำหนดไว้ในงาน หลวงพ่อก็จะนั่งอยู่อย่างนั้น จนถึงเวลาจะออกจากฌาณ
    นางกวักของหลวงพ่อ นั่งโยกตัวไปมา เหมือนมีชีวิต บางท่านพบว่ากำลังลุกขึ้นเดินด้วยซ้ำ
    เสกเสากระทู้ปักกลางวัด คนมายิงนกยิงปลาภายในวัด ปาฏิหาริย์ปืนยิงไม่ออก
    ประสบการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับปาฏิหาริย์นั้น มีประจักษ์พยาน และมีหลักฐานยืนยันได้ แต่หลวงพ่อกลับบอกว่า
    *** "อิทธิปาฏิหาริย์ไม่ใช่วิถีทางของการดับทุกข์ ดั่งที่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ อิทธิปาฏิหาริญ์ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้ ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้นที่จะทำให้หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารได้"***
    ชาวนครปฐม และจังหวัดใกล้เคียง ยอมรับในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์แห่งวัตถุมงคลหลวงพ่อเต้า *** ขนาดโดน M 16 กระหนํายิงระยะกระชั้นชิดถึง ๒ ชุด ยังคลาดแคล้วความตายมาแล้ว ตำรวจ ทหาร ในเขตจังหวัดนครปฐม เคารพศรัทธาหลวงพ่อมาก แม้กระทั่งทหารไทยที่ไปกู้ระเบิดในประเทศเขมร พลาดเหยียบกับระเบิด เสื้อผ้าขาดยับเยิน ร่างกายฟกชําดำเขียว แต่ไร้บาดแผลมีจดหมายมาเล่าให้ทราบ และขอเรียนว่า มิใช่โฆษนา
    อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นประสบการณ์ขั้นอุกฤกษ์ ตื่นเต้น ประทับใจ และท้าทายมัจจุราชยิ่งนัก นั่นคือ พลตำรวจหนึ่งแห่งกองบังคับการตำรวจภูธร จังหวัดนครปฐม เอาปืนจ่อปากเพื่อนแล้วลั่นไก ด้วยคิดว่า ไม่มีกระสุนในรังเพลิง ผลคือ ปืนลั่นเปรี้ยง ลูกปืนกระทบริมฝีปากด้านบน ส่งผลให้เพื่อนตำรวจหงายหลังตึง เขม่าดินปืนเต็มปาก แต่ทว่า ไม่มีบาดแผลแต่อย่างใด
    เจ้าตัวมาขอให้หลวงพ่อรดนํามนต์สะเดาะเคราะห์ แล้วเรื่องก็เงียบไป เพราะหลวงพ่อไม่ชอบให้เอิกเกริก อันเป็นวิสัยที่แท้จริงของท่าน ขอยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มีผู้รู้เห็น

    แต่ที่รู้เห็นเป็นจำนวนมากนับพันนับหมื่นคน ชื่นชมและทึ่งในบุญฤทธิ์แห่งอิทธิฤทธิ์ ของหลวงพ่อเต้านั่นก็คือ
    *** "ธงแดง แรงฤทธิ์ พิชิตฝน หรือที่เรียกกันว่า ผ้ายันต์ธงแดง(ผ้ายันต์อาจารย์ ๑๐๙ ซึ่งออกในงานผูกพัทธเสมาฝังลูกนิมิต ปี ๒๕๑๙ มีทั้งสีแดงและขาว ประสบการณ์มาก นิยมแพร่หลาย) "
    ของหลวงพ่อ ตั้งแต่สนามกีฬาภายในบริเวณพระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม หรือแม้กระทั่งสนามกีฬา ไทย-ญี่ปุ่นดินแดง กทม. ล้วนประจักษ์ถึงความศักสิทธิ์กันมาแล้ว
    ในเขตจังหวัดนครปฐม ถ้าจัดงานมงคล หรืออวมงคล จะเห็นธงแดงของหลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร สะบัดพริ้วเหนือเคหะสถานบริเวณที่จัดงาน และย่อมเป็นสัญญาณที่รู้กันว่า ทั้งลมและฝนจะไม่มีให้พบเห็นในบริเวณงานนั้น
    จากปากต่อปาก และคำต่อคำ ทำให้รายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง สนใจ และนำเรื่องออกเผยแพร่ไปแล้ว

    305-1.jpg
    305-2.jpg
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร นครปฐม ให้บูชาเหรียญละ 150 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ มี2 เหรียญ2พิมพ์ครับ

    เหรียญที่1(ปิดรายการ)

    ลพ.เต้า1หลัง.JPG ลพ.เต้า1.JPG

    เหรียญที่ 2
    ลพ.เต้าหลัง.JPG ลพ.เต้า.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2019
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
  12. DRAKOY

    DRAKOY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    798
    ค่าพลัง:
    +1,133
    โอนวันนี้13:26ที่อยู่ทางข้อความ
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    34474036.jpg
    หลวงปู่ทองวัดลำกระดานมรณภาพแล้ว..
    พระพระครูสุวรรณพัฒนกิจ(อาจารย์ทอง)เป็นพระผู้สืบทอดอาคม และครองวัดลำกระดานสืบต่อจากหลวงปู่เมฆ นั้น ของชี้แจง และขอแก้ไข โดยข้อประวัตของ หลวงปู่เมฆ มาอุปสมบทเมื่อ อายุ 62 ปี ในปีพ.ศ. 2513 ที่วัดนังคัลจันตรี (วัดคลอง 7) ตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยมี พระครูพิทักษ์ธัญสาร (หลวงพ่อ ตุ๊ย ) วัดนังคัลจันตรี (วัดคลอง 7) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อชิด วัดแจ้งลำหิน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ (คู่สวด) และพระครูสุวรรณพัฒนกิจ(หลวงปู่ทอง สัจจวโร ตอนนั้น) วัดลำกะดาน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ (คู่สวด) แล้วมาจำพรรษาที่วัดลำกะดาน แล้วท่านได้ทำปลัดขิก ด้วยไม้เขยตาย โดยท่านได้เรียนมาจาก อาจารย์ของท่านคือหลวงพ่อนิดวัดสะพาน ในการทำปลัดขิกท่านได้ใช้ไม้เขยตายมาทำ แล้วท่านได้แจกให้ผู้ที่มาขอโดยให้กลับมือของท่านเลย โดยไม่รับปัจจัย(เงิน)เลย เคยมีผู้ที่ไม่รู้ไปถวายเงินท่าน ท่านได้ไล่ให้ลงจากกุฏิแทบไม่ทัน ส่วนประลัดขิกของท่าน มีประวัตเล่าขานกันมามากมาย ชาวบ้านได้ถูกงูกัด หมากัด ตะขาบกัด แม้นเด็กเล็กตกน้ำไม่จม และมีเมตามหานิยม ในด้านค้าขาย และเป็นที่โด่งดัง และขึ้นชื่อจนทุกวันนี้ จึงของแก้ไขและชี้แจงให้ทราบว่า พระครูสุวรรณพัฒนกิจ(หลวงปู่ทอง สัจจวโร)ไม่ได้สืบทอดวิชามาจาก หลวงปู่เมฆ ในทางกลับ หลวงปู่ทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ (เป็นคู่สวดผู้บวชให้) หลวงปู่เมฆ ถือว่าเป็นอาจารย์หลวงปู่เมฆ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ

    พระพิมพ์ขุนแผนหลวงปู่ทองวัดลำกระดานให้บูชา บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ
    ลป.ทอง.jpg ลป.ทองหลัง.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2022
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    3388-1-jpg.jpg

    ชีวประวัติ หลวงพ่อเอื้อน วัดวังแดงใต้

    รายละเอียด : หลวงพ่อเอื้อน อตตมโน มีนามเดิม เอื้อน นามสกุล พันธุมิตร เกิดเมื่อวันที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ที่บ้านเลขที่ ๑ หมู่ ๖ ตำบลวังแดง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ่อแม่ของท่านประกอบอาชีพในการทำนา และพ่อของท่านยังเป็นหมอแผนโบราณมีความเชี่ยวชาญรักษาโรค ปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ เล่าเรียนด้านมนต์คาถาศักดิ์สิทธิ์ ทั้งการดูฤกษ์พานาที ทำนายทายทักก็ถือว่าค่อนข้างมีคนให้ความเลื่อมใสอย่างมาก

    หลวงพ่อเอื้อนมี พี่น้องด้วยกัน ๗ คน ครอบครัวของท่านเป็นครอบครัวชาวนาเหมือนชาวบ้านในละแวกเดียวกัน ชีวิตในวัยเยาว์ ท่านก็ช่วยเหลือครอบครัวเท่าที่ช่วยได้ นิสัยตอนเด็กของท่านนั้นเปี่ยมไปด้วยเมตตา ไม่เคยเอาเปรียบใคร ๆ ช่วยเหลือคนอื่น ไม่ชอบการรังแกกลั่นแกล้ง

    ถึงท่านจะเป็นเด็กที่ มีรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่กว่าคนอื่น เมื่อเข้าเรียนหนังสือท่านยิ่งไม่ชอบการเอาเปรียบและกลั่นแกล้ง ใครจะมาแกล้งท่าน ท่านก็ไม่ยอมใครเหมือนกัน อยู่ไปนานวันเข้าก็ไม่มีใครมารังแก เพราะใจมันสู้ซะอย่าง

    พอจบชั้นประถมปีที่สี่แล้วก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา ทั้งเลี้ยงวัว เกี่ยวหญ้า บางคราวก็ไปหาปลามาประกอบอาหาร เพราะในสมัยนั้นทำนาได้ปีละครั้ง หมดหน้าทำนาแล้วก็ไม่มีอะไร อยู่กับบ้านทำงาน ต่าง ๆ ไป ด้วยความเป็นคนที่ชอบความสงบ

    สมัยนั้นชอบมากที่สุดคือในช่วงคืนเดือนหงาย พระจันทร์สาดส่อง สว่างไสวเป็นสีเหลืองที่งดงามมาก ท่านบอกดูแล้วมีความสุข ด้วยการที่เราไปเที่ยวบ้านเหนือบ้านใต้ก็ต้องระวังตัว เจ้าถิ่นเขาคอยจะหาเรื่องทะเลาะวิวาท ยิ่งถ้าไปจีบสาวในหมู่บ้านนั้นด้วยยิ่งแล้วเลยต้องเจอดีแน่นอน ท่านเองจึงไม่ค่อยชอบไปเที่ยวที่ไหน

    ช่วงที่เริ่มเป็นหนุ่มนั้นก็ ถือว่าพอตัวเหมือนกัน คือไม่ยอมให้ใครมารังแก แต่ก็ไม่เคยไปรังแกใคร ไปบ้านไหนก็อ่อนน้อมถ่อมตน แล้วอีกอย่างหนึ่งก็เล่าเรียนวิชามาเหมือนกัน โยมพ่อได้ถ่ายทอดให้ ตอนนั้นที่ว่าแน่นั้นต้องเสกปูนคาดคอ ขอดชายผ้าติดตัว บางครั้งก็เสกใบพลูกิน เรียกว่าพอเสกอะไรแล้ว ต้องลองกันได้เลย ถึงจะมั่นใจว่าไปแล้วไม่มีคำว่าเลือดไหลให้แมลงวันกิน ชีวิตเริ่มเป็นหนุ่มมากขึ้น ท่านกลับต้องช่วยโยมพ่อ

    บาง ครั้งโยมพ่อจะสอนให้ทำกรรมฐาน ทำให้มีจิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ตอนแรก ๆ นั้นก็ทำไม่ค่อยได้ ใจคิดอะไรต่ออะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่พอบอกว่าเรียนมนต์คาถาต่าง ๆ ทำให้มีความสนใจ ตอนหลังถึงเข้าใจว่านั่นคือสมาธิ แต่การฝึกฝนทำสมาธิให้สงบ เมื่อนั่งแล้วต้องเห็นอะไร เมื่อจิตมีความสงบ มีสติ ก็ทำให้เกิดปัญญา มีความคิดรอบคอบ จะทำอะไรก็ไม่ผิดพลาด ต้องใช้การพิจารณาก่อน

    ชีวิตตอนเป็นหนุ่มของท่าน ไม่มีเรื่องที่ต้องทำให้พ่อแม่ต้องทุกข์ร้อนใจ มีแต่คอยให้ความช่วยเหลือเพื่อน ๆ ช่วยงานทางบ้านทุกอย่าง หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนใกล้บวชพระนั้น มีความเบื่อหน่ายมาก เบื่อชีวิตในการครองเรือน เพราะเห็นเพื่อน ๆ มีความเดือดร้อนหลายคน บางคนมีลูกเมียแล้วก็ต้องพลัดพรากกัน ป่วยไข้ทรมาน แม้คนในหมู่บ้านที่ป่วยตายนั้นก็หลายคน ยิ่งมาพบเห็นชาวบ้านตายตอนโรคห่าระบาด ท่านบอกตอนนั้นกลัวเหมือนกัน พอเย็นลงมันวังเวงที่สุด บ้านของท่านมีคนแวะเวียนมาไม่เคยขาด เขามาขอให้ช่วยเหลือปัดเป่าให้โรคร้ายนั้นหายไป พ่อของท่านก็ทำน้ำมนต์ใส่กระถางใบโต เสกนานเป็นชั่วโมง

    ท่านมาคิดได้ว่าชีวิตคนเรานี้ เมื่อเกิดแล้วก็ต้องป่วยไข้ หากไม่ป่วยไข้อาจถูกคนทำร้ายตาย บางคนยากจนแสนเข็ญหากินจนตาย ทำให้ปลงว่า ชีวิตนี้ต้องตายทุกคน บางรายนอนป่วยนานเป็นเดือนถึงตาย บางรายกว่าจะตายทรมานมาก อันนี้เกิดขึ้นด้วยผลแห่งกรรม

    ต่อมา เมื่ออายุ ๒๒ ปี จึงได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบึง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ได้มีโอกาสศึกษาวิชาวิปัสสนากรรมฐานตามแบบอย่างหลวงพ่อตาบ แห่งวัดมะขามเรียง อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี รวมทั้งศึกษาการเขียนยันต์ตะกรุดจากหลวงพ่อตาบ จน พ.ศ. ๒๕๑๔ จึงได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดวังแดงใต้ ได้พัฒนาวัดแห่งนี้จนมีความเจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับ

    ปัจจุบัน ชื่อเสียงท่านโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศ ทั้ง มาเลเซีย สิงคโปร์ เดินทางมากราบท่านถึงวัด ท่านสร้างวัตถุมงคลแต่ละชนิดออกมาน้อย แต่มีประสบการณ์สูง ทั้งด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย วัตถุมงคล พระเครื่องของท่านจึงเป็นที่ต้องการในหมู่ลูกศิษย์อย่างมาก



    เพิ่มเติมประวัติหลวงพ่อเอื้อน อตตมโน วัดวังแดงใต้ ต.วังแดง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา

    หนึ่งในพระเกจิอาจารย์แห่งลุ่มแม่น้ำป่าสัก ของขลังยอดเยี่ยมในด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ทั้งเมตตามหานิยม มีประสบการณ์ให้ประจักษ์มาแล้ว
    หลวงพ่อเอื้อน อตตมโน ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งในอำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นที่นับถือของชาวบ้าน และจะได้พบเห็นในงาน
    ปลุกเสกพระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆที่ตามวัดนิมนต์ท่านไปร่วมปลุกเสกให้บังเกิดความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ให้มีความขลังในด้านต่างๆ เรียกว่างานไหนไม่มี หลวงพ่อเอื้อนแล้ว ดูเหมือนว่าการปลุกเสกจะไม่สมบูรณ์เอาเลย ก่อนที่จะทราบเรื่องราวความเป็นมาของท่านและอภินิหารต่างๆ มารู้ความเป็นมาของวัด ความเป็นมาของวัดวังแดงใต้ วัดนี้เป็นวัดเล็กๆสร้างขึ้นในต้นรัชสมัยของกรุงรัตนโกสินทร์ อยู่ริมแม่น้ำป่าสักด้านทิศเหนือ บ้านวังแดงเป็นหมู่บ้านที่จัดแต่ง
    ผลหมากรากไม้และเครื่องใช้ต่างๆส่งเข้าวัง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวังเก่ามากนัก ปัจจุบันคือบริเวณใกล้วัดร้อยไร่หรือโรงเรียนท่าช้างพิทยาซึ่งมีโครงสร้างฐานอิฐ
    เก่าแก่มากมาย จากการสันนิษฐานของนักโบราณคดีบอกว่า เป็นที่ตั้งของวังเล็กๆและสถานที่เก็บสิ่งของ ที่พักช้าง ที่พักม้า แต่ก่อนตรงวัดร้อยไร่นั้นทางเดิน ข้ามแม่น้ำจะเป็นก้อนหินก้อนโตๆมากมาย ต่อมาการขนส่งสินค้าต้องใช้ทางเรือ จึงมีการลอกล่องน้ำ แต่การสร้างวัดวังแดงใต้ อาจสร้างขึ้นที่หลังแน่นอน เพราะไม่มีหลักฐานว่าเป็นวัดที่สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ลำดับเจ้าอาวาสนั้นมีมาแล้วกี่รูปไม่แน่ชัด ปัจจบันหลวงพ่อเอื้อนท่านเป็นเจ้าอาวาส
    หลวงพ่อเอื้อน อตตมโน นามเดิมเอื้อน นามสกุลพันธุมิตร เกิด1กันยายน2483 ที่บ้านเลขที่1หมู่6 ตำบลวังแดง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    พ่อแม่ของท่านประกอบอาชีพในการทำนา และพ่อของท่านยังเป็นหมอแผนโบราณเชี่ยวชาญรักษาโรคปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บเล่าเรียนด้านมนต์คาถาศักดิ์สิทธิ์
    ทั้งการดูฤกษ์ผานาที ทำนายทายทักก็ถือว่าค่อนข้างมีคนให้ความเลื่อมใสอย่างมาก หลวงพ่อเอื้อนท่านมีพี่น้องด้วยกัน7คน เหลือเพียง5คน เสียชีวิตไป2คน
    ครอบครัวของท่านเป็นครอบครัวชาวนาเหมือนชาวบ้านในละแวกเดียวกัน

    ชีวิตในวันเยาว์ ท่านก็ช่วยเหลือครอบครัวเท่าที่ช่วยได้ นิสัยตอนเด็กของท่านนั้นเปี่ยมไปด้วยเมตตา ไม่เคยเอาเปรียบใครๆช่วยเหลือคนอื่น ไม่ชอบการ
    รังแกกลั่นแกล้ง ถึงท่านจะเป็นเด็กที่มีรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่กว่าคนอื่น เมื่อเข้าเรียนหนังสือท่านยิ่งไม่ชอบการเอาเปรียบและกลั่นแกล้ง ใครจะมาแกล้งท่าน
    ท่านก็ไม่ยอมใครเหมือนกัน อยู่ไปนานวันเข้าก็ไม่มีใครมารังแก เพราะใจมันสู้ซะอย่าง สมัยนั้นเรียนก็เรียนที่ศาลาวัด บางแห่งมีโรงเรียนบ้างแล้ว ท่านเรียน
    จบชั้นประถมปีที่สี่แล้วก็ออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา ทั้งเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเกี่ยวหญ้า บางคราวก็ไปหาปลามาประกอบอาหาร เพราะในสมัยนั้นทำนาได้ปีละครั้ง
    หมดหน้าทำนาแล้วก็ไม่มีอะไร อยู่กับบ้านทำงานต่างๆไป ด้วยที่เป็นคนชอบความสงบ สมัยนั้นชอบมากที่สุดคือในช่วงคืนเดือนหงาย พระจันทร์สาดส่อง
    สว่างไสวเป็นสีเหลืองที่งดงามมาก ท่านบอกดูแล้วมีความสุข ด้วยการที่เราไปเที่ยวบ้านเหนือบ้านใต้ก็ต้องระวังตัว เจ้าถิ่นเขาคอยจะหาเรื่องทะเลาะวิวาท
    ยิ่งถ้าไปจีบสาวในหมู่บ้านนั้นด้วยยิ่งแล้วเลยต้องเจอดีแน่นอน ท่านเองจึงไม่ค่อยชอบไปเที่ยวที่ใหน
    ช่วงที่เริ่มเป็นหนุ่มนั้นก็ถือว่าพอตัวเหมือนกัน คือไม่ยอมให้ใครมารังแก แต่ก็ไม่เคยไปรังแกใคร ไปบ้านใหนก็อ่อนน้อมถ่อมตน แล้วอีกอย่างหนึ่งก็เล่าเรียน
    วิชามาเหมือนกัน โยมพ่อได้ถ่ายทอดให้ ตอนนั้นที่ว่าแน่นั้นต้องเสกปูนคาดคอ ขอดชายผ้าติดตัว บางครั้งก็เสกใบพูรับประทาน เรียกว่าพอเสกอะไรแล้ว ต้อง
    ลองกันได้เลย ถึงจะมั่นใจว่าไปแล้วไม่มีคำว่าเลือดไหลให้แมลงวันกินอิ่ม ชีวิตเริ่มเป็นหนุ่มมากขึ้น ท่านกลับต้องช่วยโยมพ่อ บางครั้งโยมพ่อจะสอนให้ทำ
    กรรมฐาน ทำให้มีจิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ตอนแรกๆนั้นก็ทำไม่ค่อยได้ ใจคิดอะไรต่ออะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่พอบอกว่าเรียนมนต์คาถาต่างๆทำให้มีความสนใจ
    ตอนหลังถึงเข้าใจว่านั่นคือสมาธิ สมาธิที่มีความสนใจแต่การฝึกฝนทำสมาธิให้สงบต้องนั่งแล้วต้องเห็นอะไรต่างๆ ทั้งๆที่โยมพ่อก็บอกว่าให้ภาวนาว่า พุทโธ
    พุทโธ ยังไม่ได้สอนให้ทำขั้นสูง เมื่อจิตมีความสงบ มีสติ ทำให้เกิดปัญญา มีความคิดรอบคอบ จะทำอะไรก็ไม่ผิดพลาด ต้องใช้การพิจารณาก่อน ชีวิตตอน
    เป็นหนุ่มของท่าน ไม่มีเรื่องที่ต้องทำให้พ่อแม่ต้องทุกข์ร้อนใจ มีแต่คอยให้ความช่วยเหลือเพื่อนๆ ช่วยงานทางบ้านทุกอย่าง หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า ตอน
    ใกล้บวชพระนั้น มีความเบื่อหน่ายมาก เบื่อชีวิตในการครองเรือน เพราะเห็นเพื่อนๆมีความเดือดร้อนหลายคน บางคนมีลูกเมียแล้วก็ต้องพลัดพรากกัน ป่วยไข้
    ทรมาน แม้คนในหมู่บ้านที่ป่วยตายนั้นก็หลายคน ยิ่งมาพบเห็นชาวบ้านเขาตายตอนโรคห่าระบาด ท่านบอกตอนนั้นกลัวเหมือนกัน พอเย็นลงมันวังเวงที่สุด
    บ้านของท่านที่มีคนแวะเวียนมาไม่เคยขาด เขามาขอให้ช่วยเหลือปัดเป่าให้โรคร้ายนั้นหายไป พ่อของท่านก็ทำน้ำมนต์ใส่กระถางใบโต เสกนานเป็นชั่วโมง
    ท่านมาคิดได้ว่าชีวิตคนเรานี้ เมื่อเกิดแล้วก็ต้องป่วยไข้ หากไม่ป่วยไข้อาจถูกคนทำร้ายตาย บางคนยากจนแสนเข็ญหากินจนตาย ชีวิตนี้ต้องตายทุกคน
    บางรายนอนป่วยนานเป็นเดือนถึงตาย บางรายกว่าจะตายทรมานมาก อันเกิดขึ้นด้วยผลแห่งกรรม
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ

    พระนางพญาหลวงพ่อเอื้อน วัดวังแดงใต้ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลพ.เอื้อน.jpg ลพ.เอื้อนหลัง.jpg
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ชานหมากกลายเป็นเหล็ก
    ต่อมาอาตมาได้ทราบกิตติศัพท์เกี่ยวกับศีลาจารวัตรอันงดงามของ พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ ( วัดพระธาตุน้อย ตำบลช้างกลาง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ) หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า หลวงพ่อคล้าย วาจาสิทธิ์

    ครั้งนั้นอาตมารู้ข่าวว่าพ่อท่านคล้ายมาที่บ้านเขาธง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อกิจในการสงเคราะห์ญาติโยม อาตมาก็ดีใจเป็นอย่างมาก ได้ตระเตรียมและเรี่ยไรเครื่องบริโภคต่างๆ มีกะปิ ปลา กุ้ง เป็นอันมาก รวบรวมเอาไปถวายท่านให้เป็นทาน

    เมื่ออาตมาไปถึงก็ได้ถวายของไทยทานแก่ท่าน แล้วขอพร แล้วก็ขอชานหมากมา ซึ่งได้ขอพรจากท่านว่า

    "หลวงพ่อครับ…ให้พรผมบวชไม่สึกนะ ให้มีธรรมะชั้นสูง"

    แล้วท่านก็ให้พร และให้ชานหมากมาแจกกัน ปรากฏว่าช่วงระยะไม่ถึงปี ชานหมากนั้นกลับกลายเป็นเหล็ก ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งยังมีความแข็งแกร่งมาก จนสามารถขีดหินเป็นร่องรอยได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง เพราะตามธรรมดาแล้วชานหมากนั้น หากทิ้งไว้นานก็จะแห้งกรอบและอ่อน ไม่น่าจะแข็งและกลายสี กลายสภาพเป็นธาตุเหล็กได้เลย นับว่าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดเหนือธรรมชาติอย่างหนึ่ง

    จากเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ทำให้อาตมาศรัทธาหลวงพ่อคล้ายตั้งแต่อายุยังน้อยเรื่อยมา

    เรียนวิชา - ธรรมะจากหลวงพ่อท่านคล้าย

    อาตมาหนีมาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พอแรมค่ำหนึ่งก็ถึงสุราษฎร์ธานีแล้ว ไปทางรถไฟ ไปอยู่ วัดสุคนธาวาส ตำบลบ้านนาสาร เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน จำเป็นต้องมาอยู่เพื่อช่วยเหลือคนให้รอดตาย สละชีวิตไปแล้วว่าต้องไปให้ได้ ถึงจะโดนหนักขนาดไหนก็ยอม

    ก่อนจะไปอยู่ที่นั่น เขานิมนต์ไปเทศน์ก่อน อาตมาได้ไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว ทางวัดได้นิมนต์ไปเงียบๆ ไม่ให้ทางวัดชายนารู้

    เมื่อเดินทางไป ระหว่างทางได้มีครู นักเรียนและชาวบ้านได้มารับสองข้างทาง ตั้งแต่สถานีจนถึงวัดหลายพันคน

    อาตมาอยู่ที่วัดสุคนธาวาสนี้ ๑๐ ปี ต่อสู้กับฝ่ายผู้ก่อการร้าย นายทหารเจ้าหน้าที่ บุคคลที่ไม่มีความเป็นธรรมชาวบ้านถูกเขาฆ่าตายมาก ก็ช่วยเหลือให้รอดตายมาเป็นจำนวนมากทีเดียว

    เพราะเห็นว่าถ้าเราไม่ไปทำอย่างนั้น ศาสนาของเราจะหมดและการรบราฆ่าฟันจะเพิ่มขึ้นมากมายทำให้เดือดร้อนมาก

    อาตมาจำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่น เขายิงกันตายทุกวัน ตานกันมาก ทิ้งระเบิดบ้าง อะไรบ้าง ก็ขอความร่วมมือจากชาวบ้านมาสำรวจสถานที่

    ต่อมาก็เรียกประชุมแม่ม่ายได้ ๗๐๐ กว่าคน ที่ผัวถูกฆ่าตายไป ๗๐๐ กว่าคนมาสอบถามได้ความว่า ถูกเจ้าหน้าที่ฆ่าบ้าง ผู้ก่อการร้ายฆ่าบ้าง ฆ่ากันเองบ้าง ล้วนแต่เรื่องการเมือง

    อาตมาได้พยายามชักชวนทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ก่อการร้าย ไม่ให้ฆ่าประชาชน ชาวบ้านก็อยากให้ช่วยเหลือเขา

    อาตมาก็ไปหา หลวงพ่อคล้าย ให้ช่วยปลุกเสกให้ยิงไม่ออกจะปราบปืนให้หมดเลย มันกำลังยิงกันอยู่ มีแต่ที่เขาเขาจะฆ่าอาตมา แล้วพวกเราที่เป็นชาวพุทธก็ตายไปเรื่อย จำเป็นต้องลุกขึ้นต่อสู้แบบใดแบบหนึ่งขึ้นมา แต่ไม่ต้องจับอาวุธ เอาธรรมาวุธไปขอให้หลวงพ่อคล้ายท่านช่วยปลุกเสกของช่วยป้องกันให้ยิงไม่ออก

    หลวงพ่อคล้ายท่านบอก “แล้วทำอย่างไร หลวงพ่อ คนตายกันมาก อุบาสกในวัดนี้คนสำคัญตายแล้ว ถูกยิงตายไปแล้ว”

    ท่านก็บอกว่า “เออ มันเกิดมาฆ่ากันจริงๆ เอาอย่างนี้ดีกว่า เอายิงไม่ถูกดีกว่า ถูกไม่เข้าและเข้าก็ไม่ตาย”

    อาตมาก็ว่า “หลวงพ่อ ผมอยากได้ยิงไม่ออก”

    ท่านบอกว่า “ยิงไม่ออกปืนก็เสีย มันมีค่า เอายิงไม่ถูก ถูกไม่เข้า เข้าไม่ตาย เถอะ”

    อาตมาก็ตอบตกลงว่า “เอ้า ตกลง ผมเอาแล้วครับหลวงพ่อครับ ผมทำเองมันเสื่อม ทำอย่างไรล่ะ ถ้าผมรับประกันแล้ว เขายังตาย มันเสื่อม ผมเสกทำมาแล้วไม่ได้ผล”

    ท่านบอกว่า “โลกุตระซิ”

    อาตมาก็ถามว่า “เอ๊ โลกุตระมีหรือหลวงพ่อ การปลุกเสกมันเดรัจฉานวิชา”

    ท่านบอกว่า “คุณอย่าพูดเดรัจฉานวิชามันหนักไป คำพูดนั้นเสกโลกุตระ มันไม่เสื่อม เอาไปฝังในดินก็ได้ไม่เสื่อม ใส่กางเกงก็ไม่เสื่อมหรอก โลกุตระ”

    อาตมาก็ถามท่านอีกว่า “เอ หลวงพ่อเป็นอย่างไรโลกุตระ”

    ท่านตอบว่า “คุณทำกรรมฐานเป็นอาจารย์วิปัสสนา ทำไมไม่เข้าใจโลกุตระ”

    อาตมาตอบท่านว่า “ผมเข้าใจวิปัสสนา แต่ผมไม่เข้าใจปลุกเสก”

    แล้วท่านบอกอย่างนี้ว่า “เอาผ้าเช็ดหน้ามาผืนหนึ่ง ผ้าเช็ดปากของท่านก็ได้ เสกนี่ไหม เอาเสกนี่ ให้นึกว่า ว่างหมดในผ้านี้ ว่างๆ ๆ ๆ ไม่มีอะไรทั้งหมด ว่าหมด ไม่มีใครปลุกเสก ไม่มีใครถูกฆ่า ไม่มีใครเบียดเบียนกัน พอจิตว่าบริสุทธิ์ ไม่มีใคร ไม่มีผู้หญิงไม่มีผู้ชาย ไม่มีตัวเราแล้วเสกอะไรก็ได้”

    อาตมาถามว่า “แล้วหลวงพ่อเสกอะไร เมื่อจิตหลวงพ่อเป็นโลกุตระว่างแล้ว จนเป็นโลกุตระ หลวงพ่อเสกอะไร

    ท่านบอกว่า “พุทธัง อะระหังพุทโธ ธัมมัง อะระหังพุทโธ สังฆัง อะระหังพุทโธ เท่านั้นเอง ก็ให้เข้าโลกุตระ ถ้าคุณเสกประจำ คุณเป็นพระอรหันต์ด้วยในชาตินี้”

    โอ้จริง อาตมาเข้าใจแล้ว เชื่อทันทีเพราะว่าเสกด้วยความว่างหมด ไม่มีกิเลส

    ท่านบอกว่า “ผมก็แก่แล้ว ผมจะอยู่ไม่นาน ผมจะบอกคาบให้คุณ”

    คำว่า “คาบ” คือการเสกให้ว่าง ในผ้านี้ พอจิตแวบนึกไปหาใครจะจบคาบเลย จะเสกต่อไปไม่ได้ พอเรานั่งทำว่างอยู่ พอจิตถึงเรื่องหมู ว่าหมู หมูอรหันต์ๆ ๆ ใช้ไม่ได้ ถ้านึกถึงผู้หญิง ว่าผู้หญิงอรหันต์ๆ ๆ มันเข้ามาทั้งผู้หญิงอรหันต์อยู่ ใช้ไม่ได้

    พอจิตว่างบริสุทธิ์ดีก็ว่า ไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น เสร็จแล้วก็ยกให้เขาไป นั่นแหละโลกุตระไม่เสื่อม ถ้าหากว่าไม่ใช่กรรมเก่าเขาก็ไม่เป็นอะไร

    พอหลวงพ่อคล้ายบอกให้อาตมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว

    อาตมาก็บอก “หลวงพ่อไม่ต้องอธิบายมาก ผมเข้าใจ”

    อาตมาดีใจมากทีเดียว คืออาตมาทำถูกแล้ว แล้วก็ถามอีกเพื่อให้แน่ใจ เอากระดาษมาแล้วพูดกับท่านว่า

    “หลวงพ่อครับกระดาษนี่มันบางนะครับผมนึกว่าจิตอยู่ในกระดาษนี้ ละเอียดที่สุด แกร่งที่สุด แข็งที่สุดแล้วแคล้วคลาดที่สุด อย่างนี้ถูกไหมครับหลวงพ่อครับ”

    ท่านตอบว่า “ถูกๆ ๆ ใช้ได้แล้ว กระดาษมันไม่มีความหมายหรอก แต่ว่าอำนาจจิตมันมีความหมาย”

    อ๋อ อย่างนั้นดีใจ อาตมาลุกขึ้นรีบกลับจะมาช่วยคน สักประเดี๋ยวหลวงพ่อท่านก็ให้ โกล้วน ตามมา บอกให้กลับไปหาท่านอีก

    โกล้วนบอกว่า “ท่านอาจารย์ หลวงพ่อบอกให้ไปเร็วๆ”

    เอ๊ะ สงสัยหลวงพ่อท่านจะให้อะไรเป็นของดี คิดว่าฟันหรืออะไรของท่านสักอย่าง ดีใจ พอไปถึง ท่านก็ถามว่า

    “คุณดีใจมากไหม”

    อาตมาตอบว่า “ครับผมดีใจ”

    ท่านว่า “ไม่ได้ ดีใจไม่ได้ คุณต้องฝึกโลกุตระ ดีใจมันเป็นโลกีย์ ไม่ได้คุณต้องฝึกใหม่”

    อาตมาถามว่า “ทำอย่างไรหลวงพ่อ”

    ท่านสอนให้ว่า “ก็คุณอย่าดีใจสิแล้วคุณอย่าเสียใจนะ ทำใจให้ดีให้ว่าง”

    อาตมารับปากว่า “ครับผมไม่เสียใจ”

    ท่านบอกว่า “มาๆ ๆ”

    พอเข้าไปถึง ท่านให้คุกเข่าลงที่ตัก แล้วเอามือตบลงที่หัวอาตมาแล้วบอกว่า “คุณระวังใจให้ดีนะ”

    อาตมาตอบ “ครับผมระวังแล้วผมไม่เสียใจหรอก แต่ยังดีใจอยู่”

    ท่านบอกว่า “นี่ยังดีใจอยู่ล่ะ ถ้าดีใจกับเสียใจมันคู่กันนะ”

    อาตมาตอบอีกว่า “จริงครับผมดีใจ”

    ท่านบอกอีกว่า “เอ้อ คุณอย่าดีใจ อย่าเสียใจ ทำใจให้เป็นกลาง คุณทำจิตให้ว่างสิ”

    อาตมาก็นึกว่าดีใจก็ไม่เอา ว่างๆ ๆ แล้วบอกกับหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับจิตว่างแล้ว ไม่ดีใจแล้ว ว่างแล้ว”

    ท่านบอกว่า “ที่คุณเอาไปเสกช่วยเหลือไม่ให้ถูกยิงตายนั้นดีครับ คุณช่วยไว้คุณมีบุญด้วย คุณช่วยได้ด้วย แต่ที่จะช่วยไม่ได้น่ะคือ อนันตริยกรรม ฆ่าบิดา มารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายพระสงฆ์ ทำลายผู้มีศีล ฆ่าผู้มีศีล ทำลายพระโพธิสัตว์ ไม่มีเครื่องรางของขลังใดในโลกช่วยได้ โลกุตระก็ช่วยไม่ได้ พระโมคคัลลานะตีมารดากระดูกหัก ต้องใช้กรรม ได้ถูกโจรตีทั้งที่เป็นเอตทัคคะบุคคล ก็ไม่พ้นนะคุณ”

    พอหลวงพ่อพูดอย่างนั้นใจอาตมาตกทันที คือกลัวว่าอาตมาไปรับรองว่าเขาไม่ถูกฆ่าตาย หากใครถูกฆ่าตาย เขาไม่เชื่ออาตมาก็หนีจากอาตมาไปหมดอีก จิตตก แล้วท่านรู้ทันที

    หลวงพ่อพูดขึ้นมาอีกว่า “ผมบอกคุณว่าอย่าเสียใจ คุณเสียใจใช่ไหมว่าช่วยเขาไม่ได้ คุณกลัวจะถูกคนมีกรรมใช่ไหม”

    อาตมาบอกว่า “ครับๆ”

    หลวงพ่อรู้หมดเลย ที่อาตมาคิดอะไรบอกได้หมอเลย

    หลวงพ่อบอกอีกว่า “นี่คุณแบบนี้ ถ้าถูกคนมีกรรมก็ไม่ต้องช่วยกัน คุณนั่งทำสติใหม่ เอ้าลุกขึ้นนั่ง”

    ท่านบอกให้อาตมานั่ง ถามว่า “ทำจิตว่างได้ไหม”

    อาตมาตอบว่า “ครับ ผมทำจิตว่างแล้วครับ หลวงพ่อผมจิตว่างแล้ว”

    หลวงพ่อบอกว่า “เออ คุณทำเร็วดี ว่างแล้วคุณฟังนะ เสียใจก็ไม่ได้ ดีใจก็ไม่ได้ ที่คุณคิดกลัวว่าเขาจะถูกฆ่าตาย แล้วคุณจะหมดกำลังใจ คุณคิดผิด คุณต้องคิดตามผม”

    อาตมาตอบ “ครับ ผมตามหลวงพ่อหมดเลย ผมนับถือหลวงพ่อมากในชีวิตผม”

    ท่านบอกว่า “ร้อยคน ถ้าทำอนันตริยกรรมมา ๒ คน คุณช่วย ๙๘ คน คุณว่าดีไหม แต่คุณช่วยทั้งร้อยไม่ได้หรอกทั้งโลกนี้ คุณทำไม่ได้ แม่ค้าขายลางสาด ลางสาดเปลือกข้างนอกนั้นเขาปอกทิ้งไป เขากินเนื้อใน เมล็ดในก็ทิ้งอีก ทิ้งสองอย่างนะคุณแล้วก็ขายเป็นกิโลฯ เมล็ดในเขาก็ชั่งรวมเป็นกิโลฯ ด้วย แต่ทำไมเขายังซื้อล่ะ”

    อาตมานึกในใจ “เอ้อ หลวงพ่อพูดถูก”

    หลวงพ่อพูดอีกว่า “แล้วทุเรียนข้างนอกเปลือกมันเป็นหนามด้วย แล้วก็ปอกทิ้งไป กินแต่เนื้อเมล็ดในเราทิ้งอีกแล้วคุณจะช่วยคนทั้งร้อยคนได้อย่างไร ถ้าคุณอยากจะช่วยคนจริง คุณก็ช่วยคนไม่มีกรรมอนันตริยกรรม รอดหมด แต่ถ้าคุณไม่ช่วยมันก็ตายหมด เพราะว่ากรรมอดีตมี กรรมปัจจุบันมี มันจะบวกกันจะทำให้เป็นอันตราย”

    อาตมาบอกหลวงพ่อว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมทำใจได้แล้ว ใจสงบดีแล้ว”

    อาตมาก็ลาท่านกลับ ท่านไม่ว่าอะไรเลยทีนี้ ท่านไม่ว่าแล้ว กลับมาก็ทำเหรียญแจกชาวบ้าน และรับรองให้กำลังใจแก่ทุกคน ก็ช่วยคนให้รอดพ้นจากถูกฆ่าได้มา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนผ้ายันต์เชือก หลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ กระบี่

    ให้บูชาชุดละ 100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ มี 4 ชุดนะครับ

    ลพ.จำเนียร.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    หลวงปู่ทวด รุ่นเพรชพนมรุ้ง พ่อท่านนอง วัดทรายขาว ปัตตานี ปลุกเสกและพิธีใหญ่ สายใต้ รุ่นนี้มีประสพการณ์โดนยิงถล่มด้วยอาวุธสงครามแล้วแคล้วคลาด สมัยก่อนลงหนังสือพระ
    ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ(ปิดรายการ)

    ลป.ทวด.jpg ลป.ทวดหลัง.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2019
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ___paragraphaeparagraph_11_309.jpg
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=45033

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญสมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ (ฟื้น)วัดสามพระยา

    ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ(ปิดรายการ)
    ลป.ฟื้น.jpg ลป.ฟื้นหลัง.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2019
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    1233126076.jpg


    ประวัติหลวงพ่อตาบ อตตฺกาโม วัดมะขามเรียง อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี

    กำเนิด
    พระครูเวชคามคณารักษ์ (ตาบ อตตฺกาโม) เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ตรงกับแรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีกุน ณ บ้านบ่อกระโดน ต.ไผ่ขวาง อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ได้นามว่า "ตาบ" ในสกุล "คชรินทร์" บิดาชื่อ "โป๋" มารดาชื่อ "ฟัก" หลวงพ่อตาบเป็นบุตรชายคนเดียวของครอบครัว
    การศึกษา
    เมื่อหลวงพ่อเจริญวัยได้พอสมควรก็ได้ศึกษาหาความรู้พื้นฐานด้านภาษาไทยกับบิดา จนสามารถอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่เยาว์วัย จนมีอายุได้ ๙ ปี (ใน พ.ศ. ๒๔๖๒) บิดาจึงได้พาไปเข้าเรียนชั้นประถมที่ รร.วัดศักดิ์ อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา และเป็นเด็กวัดอยู่กับพระที่วัดศักดิ์ จนถึงอายุ ๑๒ ปี จบชั้นประถมปีที่ ๓ ก็กลับมาช่วยบิดา-มารดาทำงาน ในระหว่างช่วงนี้เองที่หลวงพ่อได้รับความรู้อักขระวิธีด้านเลขยันต์ และเวทมนต์พุทธาคมจาก "คุณตาแจ้ง" ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านนี้เป็นเยี่ยม ทำให้มีความปรีชาสามารถในด้านพุทธาคมมาแต่เยาว์วัย
    อุปสมบท
    เมื่อหลวงพ่อตาบอายุครบ ๒๑ ปี บิดา-มารดา จึงได้พาเข้ารับการอุปสมบท ตามแบบอย่างประเพณีของคนไทย เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๗๖ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา ณ พัทธสีมาวัดมะขามเรียง โดยมีพระครูศรีคณาภิบาล (โฉม) วัดดอนพุด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการแซ วัดบ้านร่อมเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการปลั่ง วัดมะขามเรียง พระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาในเพศบรรพชิตว่า "อตตฺกาโม" หลังจากอุปสมบทแล้วก็จำพรรษาอยู่ ณ วัดมะขามเรียง
    หลังจากอุปสมบทแล้วหลวงพ่อได้คำนึงถึงชีวิตที่ผ่านมา และค้นคว้าศึกษาธรรมทำให้พิจารณาได้เข้าใจกฎเกณฑ์ของชีวิต ธรรมชาติและธรรมของพุทธองค์ได้แจ่มแจ้งซาบซึ้งจึงตั้งอธิษฐานจิตว่าจะครองเพศพรหมจรรย์ตลอดชีวิต เมื่อตั้งใจได้ตั้งแต่พรรษาแรก หลวงพ่อจึงพยายามศึกษาค้นคว้าด้านปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมตรี ในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ นักธรรมโท ในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ และนักธรรมเอก ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ เรียกได้ว่าท่านศึกษาได้แตกฉานอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้หลวงพ่อยังได้ศึกษาวิชานักเทศนืกับครูพรหม แห่งวัดสามง่าม จนสามารถเทศน์ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะการเทศน์มหาชาติ "กัณฑ์มหาราช" ชื่อเสียงของหลวงพ่อโด่งดังมาก ด้วยน้ำเสียงและลีลาการเทศน์ ทั้งท่วงทำนองไม่ว่าจะแบบ "ลมพัดชายเขา" หรือ "คลื่นกระทบฝั่ง" หลังจากนั้นหลวงพ่อได้หันไปศึกษาทางด้านวิปัสสนากรรมฐานกับพระธรรมธีรราชมหามุณี (โชดก ญาณสิทธิ) วัดมหาธาตุ กทม. เมื่อปี ๒๔๙๗ เมื่อเข้าใจและชำนาญดีแล้ว จึงจัดตั้งเป็นสำนักปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานวัดมะขามเรียง และชวนญาติโยมที่สนใจมาฝึกปฎิบัติกับหลวงพ่อมากมาย
    พุทธาคมของหลวงพ่อ ตามประวัติเบื้องต้นที่ได้กล่าวมาแล้วว่า หลวงพ่อมีความรู้พื้นฐานด้านพุทธาคมมาตั้งแต่เยาววัยโดยได้ศึกษากับคุณตา ผู้มีความเป็นเลิศทางด้านเวทย์มนต์คาถา ครั้นมาอุปสมบทหลวงพ่อก็เริ่มศึกษาทางธรรมตลอดจนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน นับได้ว่ารากฐานทางด้านพลังจิต อำนาจบารมีทางใจของหลวงพ่อแข็งแกร่งขึ้น กล่าวกันว่า วิชาพุทธาคมและเวทย์มนต์นั้นเป็นเพียงแผนที่ แต่จิตใจเป็นกำลังที่พาให้เดินไปตามแผนที่ เมื่อมีอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวย่อมไม่สามารถกระทำได้สัมฤทธิ์ผลสมบูรณ์ หากมีสองสิ่งสองประการครบถ้วน ปฏิบัติการทางพุทธาคมย่อมประสบผลอย่างแน่แท้ เช่นเดียวกับหลวงพ่อตาบ หลังจากท่านได้ฝึกฝนปฏิบัติการทางจิตใจโดยวิปัสสนากรรมฐานอย่างชำนิชำนาญจนจัดว่าเป็นนายของใจได้แล้ว การปฏิบัติการทางพุทธาคมของหลวงพ่อจึงมิต้องสงสัยเลยว่าจะทำได้ดีเยี่ยมขนาดไหน

    นอกจากหลวงพ่อจะศึกษาพุทธาคมกับคุณตาแล้ว ท่านยังได้ศึกษากับน้าชาย ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังในครั้งอดีต คือ พระครูประสาธน์วิทยาคม (หลวงพ่อนอ) วัดกลางท่าเรือ จ.อยุธยา ผู้กระฉ่อนชื่อด้านตะกรุดหน้าผากเสือ โดยหลวงพ่อได้ศึกษาวิชาต่าง ๆ มามากมาย และที่แน่นอนที่สุดก็คือ วิชาตะกรุดหน้าผากเสือ ซึ่งหลวงพ่อตาบทำได้ขลังไม่แพ้ของอาจารย์ทีเดียว นอกจากหลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือแล้ว หลวงพ่อยังได้ศึกษาวิชาบางประการกับ หลวงพ่อพิณ วัดมะขามโพรง และเคยเดินทางไปศึกษากับ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ซึ่งหลวงพ่อก็ทำมีดหมอได้ขลังมากเช่นกัน สำหรับ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค นั้น ดูเหมือนหลวงพ่อจะสนิทสนมกัน เพราะเคยเดินทางไปมาหาสู่อยู่บ่อย ๆ ได้สนทนาธรรมและวิชาความรู้ต่าง ๆ มากมาย นับได้ว่าหลวงพ่อมีความสนใจทางพุทธาคมอยู่มาก และเพียรพยายามติดตามศึกษาอย่างเจนจบ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง สระบุรี ออกวัดสาธุประชาสรรค์ สระบุรี พิธีใหญ่และออกเหรียญครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นเช่น หลวงปู่หิน วัดหนองนา พัฒนานิคม ลพบุรี ด้วย เหรียญออกแบบสวยประสพการณ์สุงในพื้นที่ ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลพ.ตาบ.jpg ลพ.ตาบหลัง.jpg
     
  19. Suppasit_S

    Suppasit_S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,147
    ค่าพลัง:
    +3,869
    โอนเงินเรียบร้อยครับ 13/05/2019 8.58 am. ที่อยู่ PM ครับ

     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    lp-toon-jpg.jpg

    หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ
    นามเดิม ทูล นนฤาชา ฉายา ขิปฺปปญฺโญ เกิด เมื่อวันจันทร์ วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ อุปสมบท ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัด

    หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ เกิด ณ บ้านหนองค้อ ตำบลบัวค้อ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันจันทร์ ที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๘ ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๔ ขณะอายุ ๒๖ ปี ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์(จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์
    ช่วงแรกที่ออกปฏิบัติภาวนานั้น ท่านได้จาริกบำเพ็ญสมณธรรมไปยังสถานที่สัปปายะหลายแห่ง ได้เข้าถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล หลังจากที่หลวงปู่ขาวละสังขารแล้ว ท่านจึงได้นำคณะศิษย์มาพำนักปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดป่าบ้านค้อ
    ท่านได้อุทิศชีวิตให้กับงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านได้เขียนหนังสือธรรมภาคปฏิบัติเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติว่า เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ได้รับพระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร สาขาการแต่งหนังสือทางพระพุทธศาสนา
    จากการที่ท่านได้ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระศาสนาเป็นอย่างมาก ดังนั้นในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๗ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ นามว่า “พระปัญญาพิศาลเถร”
    หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ มรณภาพ เมื่อวันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ณ วัดป่าบ้านค้อ รวมสิริอายุ ๗๓ ปี ๔๘ พรรษา และได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ณ วัดป่าบ้านค้อ
    อัฐิธาตุของหลวงพ่อทูลได้แปรสภาพเป็นพระธาตุ เป็นเครื่องประกาศคุณธรรมที่บริสุทธิ์ เป็นพระอริยบุคคลอีกท่านหนึ่งที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมดังความมุ่งมั่นตามที่ท่านได้ตั้งสัจจะในครั้งออกบวชว่า
    “ท่านจะขอมอบกายและถวายชีวิตเพื่อบูชาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์เจ้า จะทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท”

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7796
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ

    ล๊อคเก็ต หลวงพ่อทูล วัดป่าบ้านค้อ อุดรธานี

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B8%A5-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...