เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อบุญมี วดสระประสานสุขเหรียญหลวงพ่อวิริยังปี๑๔

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 18 พฤษภาคม 2015.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เบอร์บัญชีผมครับ
    เบอร์บัญชีธ.กรุงไทย KTB125-0-08923-9 supachai thu
    โอนเงินแล้วช่วยแจ้งวันเวลาที่โอนในกระทู้เพื่อง่ายในการตรวจสอบหรือทางPMแล้วจะรีบดำเนินการจัดส่งEMSไปให้โดยด่วนนะครับ..หลายรายการก็ค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    ติดต่อได้ที่ 08..1.70..4..72..64


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2016
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    รับประกันตามกฎระเบียบข้อบังคับปฎิบัติของเวปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2015
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    คชสิงห์มหาอำนาจ มหาบารมี รุ่น 9 อริยะ 5 แผ่นดิน หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล ปลุกเสก พร้อมเกจิอายุ 100 กว่าปี รวมกันเป็นพันปีร่วมปลุกเสก
    [​IMG]
    มีพิธีพุทธาภิเษก เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๔ เวลา๑๗.๓๐ น. โดยมี สมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว) ทรงเป็นประธานจุดเทียนชัย
    พระเถราจารย์ที่ร่วมพิธีพุทธาภิเษก คือ
    1 หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล อายุ ๑๐๖ ปี วัดบ้านจาน จังหวัดศรีสะเกษ
    2 หลวงปู่อิง โชติโญ อายุ ๑๑๕ ปี สำนักปฏิบัติธรรมคงคำโคกทม จังหวัดบุรีรัมย์
    3 หลวงปู่สุภา กันตสีโล อายุ ๑๐๕ ปี สำนักสงฆ์เขารัง จังหวัดภูเก็ต
    4 หลวงปู่เหมือน ฐานุตตโม อายุ ๑๐๔ ปี วัดบ้านคลองทรายใต้ จังหวัดสระแก้ว
    5 หลวงปู่วรพรต วิธาน อายุ ๑๐๓ ปี วัดจุมพล จังหวัดขอนแก่น
    6 หลวงปู่กอง จันทรังโส อายุ ๑๐๓ ปี วัดสระมณฑล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    7 หลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโน อายุ ๑๐๓ ปี วัดท่าทอง จังหวัดอุตรดิตถ์
    8 หลวงปู่ละมัย ฐิตมโน อายุ ๑๐๒ ปี สวนป่าสมุนไพร จังหวัดเพชรบูรณ์
    9 หลวงปู่บุญศรี อินทวัณโน อายุ ๑๐๑ ปี วัดใหม่ศรีสุทธาวาส จังหวัดนครสวรรค์
    หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม ได้เมตตาเข้าพิธีพุทธาภิเษกในครั้งนี้ด้วย ชนวนมวลสารศักดิ์สิทธิ์ ประกอบด้วย การรวมชนวนและรวมแผ่นยันต์ ที่ได้รับการอนุโมทนา และ จารอักขระเลขยันต์ จากพระเกจิที่มีอายุเกิน 100 ปี ถึง 9รูป





    [​IMG]

    (ปิดรายการ)

    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2015
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2015
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    พระชัยวัฒน์เกษม สมเด็จพระญาณสงวรสมเด้จพระสังฆราชอธิฐานจิตและหลวงพ่อเกษม เขมโก เททอง

    หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์จังหวัดลำปาง ได้เททองพระชุดนี้ในวันที่ 8 พ.ค. 2533 หลังจากเททองเป็นองค์พระตกแต่งสวยงามดีแล้ว สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ทรงเมตตาอธิฐานจิตให้เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2533 จากนั้นคณะจัดสร้างได้นำมาให้หลวงพ่อเกษมอธิษฐานจิตให้อีกครั้งที่สุสานไตรลักษณ์ ชนวนมวลสารที่นำมาจัดสร้างล้วนเป็นชนวนสำคัญทั้งได้รับความเมตตาจากพระคณาจารย์เจ้า ลงแผ่นทองชนวนมีอาทิ
    1. หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    2. หลวงพ่ออุตตะมะ วัดวังวิเวการ
    3. หลวงปู่สิม พุทธจาโร
    4. หลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย
    5. หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
    6. หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกะเฌอ
    7. หลวงพ่อ ดี วัดพระรูป
    8. หลวงพ่อพรหม วัดขนอนยาเหนือ
    9. ครูบาชัยวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม

    ให้บูชา600 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    <table class="contentpaneopen"><tbody><tr><td class="contentheading" width="100%">ประวัติ หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน </td><td class="buttonheading" align="right" width="100%"> [​IMG] </td><td class="buttonheading" align="right" width="100%"> [​IMG] </td><td class="buttonheading" align="right" width="100%"> [​IMG] </td></tr> </tbody></table> <table class="contentpaneopen"> <tbody><tr> <td valign="top"> ประวัติ หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน
    [​IMG]"หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ" หรือพระครูเขมคุณโสภณ วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระวิปัสสนาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากสาธุชนเป็นอย่างมาก
    อัตโนประวัติหลวงปู่จันทร์แรม มีนามเดิมว่า จันทร์ ร้อยตะคุ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2465 ที่บ้านปะหลาน ต.ปะหลาน อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม เป็นบุตรของนายอ่อนสีและนางแก้ว ร้อยตะคุ ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา
    พออายุได้ 17 ปี บิดามารดาได้ให้บุตรชายบวชเรียนเป็นสามเณร ณ วัดสระทองนพคุณ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม โดยมีพระครูจันทรศรีธีรคุณ เจ้าคณะอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย เป็นพระอุปัชฌาย์ ในช่วงเป็นสามเณร ท่านสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท และเอก ตามลำดับ ครั้นพออายุครบ 20 ปี ท่านได้ลาสิกขาเดินทางกลับบ้าน ช่วยงานงานรับจ้างปลูกพืชผักสวนครัว นำไปขายได้เงินเลี้ยงครอบครัว
    ต่อมาท่านเกิดความเบื่อหน่ายในการครองชีวิตฆราวาสหลายครั้งหลายครา อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดความสลดสังเวชใจ จนกระทั่งถึงกาลเวลาแห่งบารมีธรรม ท่านจึงตัดสินใจเป็นแน่วแน่ว่าจะบวช
    เมื่อตัดสินใจบวช โยมบิดามารดาได้นำไปฝากเป็นนาคที่วัดกระดึงทอง ซึ่งขณะนั้นมีพระอาจารย์แก้วเป็นผู้ปกครอง ในสมัยนั้น การบวชเป็นพระสายธรรมยุตเป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร จะต้องเดินทางไปเป็นแรมคืน เพราะในแถบจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ที่เป็นวัดธรรมยุตมีพัทธสีมา สามารถให้การอุปสมบทได้ มีเพียงวัดเดียวเท่านั้นคือ วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
    ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบูรพาราม เมื่อปีพ.ศ.2488 โดยมีพระครูรัตนากรวิสุทธิ์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูคุณสารสัมปัน (หลวงปู่โชติ คุณสัมปันโน) วัดวชิราลงกรณวราราม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า เขมสิริ
    ถึงแม้หลวงปู่จันทร์แรมจะไม่ได้อยู่อุปัฏฐาก พระอุปัชฌาย์ในฐานะที่เป็นสัทธิวิการิก แต่ท่านก็ยึดถือปฏิปทาของพระอุปัชฌาย์เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ท่านเป็นพระที่พูดน้อย แต่เคร่งครัดในการปฏิบัติ ยึดมั่นในพระธรรมวินัยเป็นหลักตามแบบฉบับของหลวงปู่ดูลย์ สิ่งเหล่านี้ หลวงปู่จันทร์แรมได้ยึดถือเป็นแบบปฏิบัติ ดังปรากฏเป็นคติสอนศิษยานุศิษย์เรื่อยมาจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
    ครั้นบวชได้ 4 พรรษา วันหนึ่ง หลวงปู่จันทร์แรม ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระอาจารย์มั่น โดยพระอาจารย์มั่นได้ให้โอวาทกับหลวงปู่จันทร์แรม ว่า "การภาวนาอย่านอน 3 ทุ่ม 4 ทุ่มจึงนอน นอนตื่นเดียวไม่ให้นอนซ้ำ เมื่อตื่นขึ้นให้ภาวนาต่อ ก่อนภาวนาต้องมีสติ เอาใจใส่ต่องานที่เราทำ อย่าทำแบบลวกๆ กลางวันอย่านอน ให้เดินจงกรมนั่งสมาธิ ให้ไปทำหลังวัดที่เป็นป่ากระบาก
    นอกจากนั้นให้ไปที่ถ้ำพระบ้านนาใน เป็นถ้ำที่มีเสือเดินผ่าน ด้วยความกลัวจะทำให้จิตเป็นสมาธิเร็ว อย่าขี้เกียจ" โอวาทธรรมที่หลวงปู่จันทร์แรมได้รับจากท่านพระอาจารย์มั่นในครั้งนั้น เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่หลวงปู่จันทร์แรมมีโอกาสได้รับธรรมะโดยตรงจากพระอาจารย์มั่น เป็นที่ปลื้มปีติและซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งจนถึงทุกวันนี้ในเมตตาธรรมของครูบาอาจารย์
    ทั้งนี้ หลวงปู่จันทร์แรม เป็นพระนักปฏิบัติที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นอย่างดี ยิ่ง มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของศิษย์ยานุศิษย์มากมาย ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ พ่อค้า และประชาชนทั่วไปทั่วทุกภาคของประเทศ และต่างประเทศ
    ในช่วงบั้นปลายชีวิต หลวงปู่จันทร์แรม เริ่มอาพาธด้วยโรคหัวใจ ต้องเข้ารับการรักษาและดูแลจากคณะแพทย์อย่างใกล้ชิด กระทั่งเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 29 พฤศจิกายน 2552 หลวงปู่จันทร์แรม กำลังฉันภัตตาหารเพล เกิดหมดสติล้มฟุบลงกับพื้น คณะศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างช่วยกันรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์
    ครั้นมาถึงโรงพยาบาลเอกชนฯ คณะแพทย์ช่วยกันปั๊มหัวใจ กระทั่งหลวงปู่จันทร์แรมหัวใจทำงานอีกครั้ง แต่หลวงปู่จันทร์แรมยังไม่รู้สึกตัว จึงได้นำตัวหลวงปู่จันทร์แรม ส่งไปรักษาต่อที่ห้องไอ.ซี.ยู. โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์
    จากนั้น หลวงปู่จันทร์แรม มีสภาพเหมือนคนนอนหลับ ไม่รู้สึกตัว โดยคณะแพทย์ได้ใส่เครื่องช่วยหายใจและให้น้ำเกลือ กระทั่งเวลา 01.20 น. วันที่ 8 ธันวาคม 2552 หลวงปู่จันทร์แรม ได้มรณภาพลงอย่างสงบ สร้างความโศกสลดให้แก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก
    </td> </tr> </tbody></table>
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จรุ่น๑หลวงปู่จันทร์แรม เขมศิริ บุรีรัมย์ ศิษย์สายหลวงปู่มั่นอีกท่านครับ

    ให้บูชา300 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12501

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จวัดป่าสันติกาวาส

    ให้บูชา300 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2015
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9529

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาเวปอย่างสูงครับ

    รูปหล่อรุ่นแรกนวะก้นทองแดง หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ ว้ดผาเทพนิมิตร สกลนคร

    ให้บูชา2500 บาทครับ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2015
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    รับประกันตามกฏเวปครับบูชาไปเซฟรูปเก้บไว้ด้วยนะครับ
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    [FONT=Arial,MS Sans Serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=Arial,MS Sans Serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=Arial,MS Sans Serif]
    [​IMG]
    [FONT=Arial,MS Sans Serif]

    [​IMG]
    [/FONT]
    [/FONT][FONT=Arial,MS Sans Serif]มวลสาร
    ทองคำ 1 กิโลกรัม เงิน 1 กิโลกรัม ในชนวนพระประธานก้นเบ้า หลวงพ่อชำนาญ อัญเชิญนำมาเททอง

    พระกริ่ง “ขุมทรัพย์ ” ณ หน้าพระอุโบสถ วัดบางกุฎีทอง ที่หน้าบัน มีดวงตรา สุริยประภา และ จันทรประภา ตามตำนานพระกริ่งฯ ในวันอาสาฬหบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ วันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ (เวลา ๙.๕๙ น.)เททองเสร็จ หลวงพ่อชำนาญ ทุบเบ้าอัญเชิญพระกริ่งทั้งช่อ เสกในพระอุโบสถ์ เป็นปฐมฤกษ์ (เวลา ๑๖.๑๙ น)
    เฉลิมพระนาม “พระกริ่งขุมทรัพย์” เพราะเหตุผลกลใด

    *** พระกริ่ง “ ขุมทรัพย์*** เป็นองค์จำลองขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครูของเทวดา มาร พรหม พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์ พระพุทธเจ้าผู้เป็นสรรเพชุดาญาณ เครื่องหมายแห่งคลังของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คลังแห่งบริสุทธิคุณ คลังแห่งพระปัญญาคุณ คลังแห่งพระกรุณาคุณ ดุจพระปัญญาเป็นคลังแห่ง โภคทรัพย์ ที่จักไหลมาจากจตุรทิศ ทรงเป็นประธานแห่ง อริยทรัพย์ภายใน และ อริยทรัพย์ภายนอก ว่าด้วย สมบัติจักรพรรดิอันยิ่งใหญ่เป็นต้น นี่แหละขุมทรัพย์อริยสัตว์ อันบริสุทธิ์ ประการ ๑ )

    *** ทองคำแท่ง หนัก 1กิโลกรัม (66บาทมูลค่าประมาณ หนึ่งล้านห้าแสนบาท) เงินบริสุทธิ์ 1กิโลกรัม ชนวนพระเก่าพระกรุเนื้อชินเงิน เนื้อสนิมแดง เนื้อสัมฤทธิ์ จำนวนมาก ทองรูปพรรณเก่า เก็บตกทอดกันมา ชนวนทองสัมฤทธิ์ ทองดอกบวบ เข็มขัดนาก หัวเข็มขัดเงิน จำนวนมากที่หล่อเป็นชนวนก้นเบ้า ชนวนเอกในการหล่อพระกริ่งครั้งนี้ และ ทองคำรูปพรรณสายสร้อยแหวนกำไร อีกจำนวนมากหนักประมาณ 20บาท โลหะมงคลเหล่านี้ นี่แหละถือว่า เป็นขุมทรัพย์ขุมสมบัติ อีกประการ ๑ )

    *** พระกริ่งขุมทรัพย์สร้าง ในวาระ ที่หลวงพ่อชำนาญ ระดมทุนทรัพย์ ถมดิน ให้โรงเรียน วัดบางกุฎีทอง โรงเรียนที่สอนเด็กเยาวชนของชาติกว่า 500ชีวิต ขุมปัญญาสร้างชาติ หลังจากถมดินแล้วหลวงพ่อจะดำเนินการสร้างอาคารเรียนมอบให้เพื่อกิจกรรมการ เรียนการสอนของนักเรียน ก้อนดินแต่ละก้อนเหมือน ทองแท่งแต่ละแท่ง ใช้ทองกี่ร้อยก้อนทองกี่ร้อยแท่งในการถมดินทั้งหมด เท่ากับได้บุญได้กุศลมหาศาล อานิสงค์ ถมดินนี้ มีข้ามภพ ข้ามชาติ นี่แหละแหล่งขุมทรัพย์ปัญญา และ ขุมทรัพย์บุญกุศล อีกประการ ๑ )

    พระกริ่ง “ขุมทรัพย์ ”

    *** จึงเป็นพระกริ่ง ที่อุดม ไปด้วยสรรพมงคล ดลผลเลิศ ให้ท่านผู้มีบุญได้ไว้บูชาจักพบเจอแต่ สิริสมบัติ อริยทรัพย์ สินทรัพย์ เงินทอง แล โภคทรัพย์ สมปรารถนา ทรัพย์เนื่องนอง ท่วมท้น หลับก็ได้รับเงิน ตื่นก็ได้รับทอง เพิ่มพูนทวีความสุขความเจริญ ทุกประการเทอญ

    *** จึงเป็นแหล่งแห่งบุญ ประดุจขุมทรัพย์ ที่ไม่รู้จักหมด พระแม่ธรณีอยู่คู่โลกฉันใด เอ่ยอ้างเป็นเหตุปัจจัยแห่งผลบุญกุศล พึงเกิดกับท่าน ตลอกกาลนาน แล ปรารถนา ทรัพย์สินเงินทอง จะไหลเนื่องนอง เทมาหาดัง ห้วงน้ำเล็กใหญ่ หลั่งไหล ไปสู่ มหาสมุทรสาคร ฉันนั้น

    *** พระกริ่ง ของ ข้าฯ อธิฐานให้ เอง เอาไว้ใช้ได้ทุกอย่าง อธิษฐานทำน้ำพระพุทธมนต์ แก้ เคราะห์กรรม ไล่ผี เสนียดจัญไร ก็ได้ หรือจะบูชาให้นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ เพิ่มยศเพิ่มตำแหน่งฐานะ ก็สุดแต่จะ อัญเชิญบารมีพระกริ่งองค์นี้ แต่ขอให้ มั่นคงในพระรัตนตรัยอย่างแน่วแน่ มั่นคงในศีลของตน เพราะศีล เป็นเหตุให้มีความสุข ตลอดชาตินี้และชาติหน้า ศีลเป็นเหตุให้ อุดมทรัพย์ไม่ฝืดเคืองเรื่องสมบัติเงินทอง และ ศีลเป็นเหตุให้เข้าถึงพระนิพพาน พระกริ่งขุมทรัพย์เป็นเหตุให้เติมเต็ม เข้าถึงขุมทรัพย์ แหล่งอริยสมบัติ ติดตัวตลอดการนานเทอญ


    ดีในยอดยิ่ง ชนวนโลหะชั้นเอก โลหะอาถรรพ์ขั้นหัวกระทิ ยอดโลหะมงคลทุ่มเทสร้างพระกริ่ง “ขุมทรัพย์”

    หลวงพ่อชำนาญดำริสร้างพระกริ่งขุมทรัพย์ ทั้งทีท่านต้องทำให้ดี อย่างที่ไม่มีมาก่อน ท่านทุ่มเท นำโลหะมงคลชั้นครูที่หาที่ไหนไม่ได้ หล่อหลอมเป็นองค์พระกริ่งขุมทรัพย์ ว่ากันง่ายๆ แค่เอาชนวนมวลสารอย่างเดียว ก็หาเงินถมที่ได้แล้วแต่หลวงพ่อท่านมีดำริให้สร้างพระกริ่งแสนวิเศษ มอบให้ทุกท่านที่ร่วมบุญกันด้วยใจที่บริสุทธิ์และเป็นยอดของมงคลล้ำค่าที่ สุด ที่ยากจะหาได้อีก ขอสรุปชนวนโลหะหัวกระทิ ให้ทุกท่านได้ทราบเป็นจารึกบันทึกประวัติศาสตร์พระกริ่งขุมทรัพย์ รุ่นสำคัญ ของหลวงพ่อชำนาญ

    1.ชนวนทองก้นเบ้า หล่อพระประธาน ทองคำแท่ง หนัก 1กิโลกรัม (66บาทมูลค่าประมาณ หนึ่งล้านห้าแสนบาท) เงินบริสุทธิ์ 1กิโลกรัม ชนวนพระเก่าพระกรุเนื้อชินเงิน เนื้อสนิมแดง เนื้อสัมฤทธิ์ จำนวนมาก ทองก้นเบ้านี้ศักดิ์สิทธิ์นัก หนัก ๘ กิโลกรัม (ทองเหลือ ถือว่า เป็นเคล็ดมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ เงินทองเหลือเก็บเหลือกิน)

    2.ทองคำรูปพรรณ เช่น สร้อย แหวน กำไร สร้อยข้อมือ ลูกศิษย์ทราบว่าหลวงพ่อจะหล่อพระกริ่ง จึงนำมาถวายเป็นจำนวนมากหนักประมาณ 20บาท คิดเป็นเงินกว่า 5แสนบาท

    3.กล้องยานัตถุ์ ของหลวงพ่อ ที่ใช้มานาน 2กล้อง เนื้อทองคำ 1กล้อง เนื้อนาก 1กล้อง หลวงพ่อปลุกเสกลงจารไว้

    4.องค์พระกริ่ง เจ้าคุณศรี(สน) วัดสุทัศน์ พระปิดตาหล่อ หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า หลวงปู่ทวดบัวรอบ พระพุทธหล่อตำรับ วัดสุทัศน์ฯ วัดบวรฯ สังกัจจายน์ วัดประสาท พระเก่าๆที่มีคนถวายใส่ยามหลวงพ่อร่วม 20องค์

    5.ชนวนพระเก่าพระกรุ มีส่วนผสม ของพระกรุเนื้อชินเบญจภาคี ยอดขุนพล (พระร่วงรางปืน พระหูยาน พระท่ากระดาน พระชินราชใบเสมา พระมเหศวร)เบญจภาคี เหรียญ (เหรียญหลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่ ) และเหรียญเก่า พระกรุโลหะเก่าจำนวนมาก ที่สึกบ้างชำรุดบ้าง ได้มาบางส่วนไม่เต็มองค์บ้าง หลวงพ่ออัญเชิญมาหล่อเป็นแท่งและอธิฐานจิตไว้นานแล้ว

    6.ปรอทเก่าของหลวงปู่สุรินทร์ (อาจารย์ของหลวงพ่อ)ที่ออกหาปรอทกันริมแม่น้ำเจ้าพระยากับหลวงพ่อนำมาหุงและ ปลุกเสกจนปรอทเดือด ด้วยแสงตะวัน

    7.เงินสตางค์รู สตางค์แดง ของเก่า เท่าที่ดู พ.ศ. ประมาณ 2480-2485จำนวนหนึ่งพาน (มีเงินมีทอง)

    8.เงินสตางค์เหรียญ หลังตราแผ่นดิน เฉพาะ พ.ศ. 2500 (เอาเคล็ดเรื่องบารมี อำนาจ เดชานุภาพ) เงินนี้เข้าพิธีเสก พร้อมพระ 25ศตวรรษ ที่วัดสุทัศน์ฯ ท่านพิจารณาเองว่า พระ 25ศตวรรษ มีพระเกจิอาจารย์องค์ใดเสกบ้าง

    9.ขันสาคร เนื้อสัมฤทธิ์ 2ใบ ใบแรกเป็นใบที่หลวงพ่อทำน้ำมนต์พรมลูกศิษย์มากว่า 5ปี ใบที่ 2หลวงพ่อใช้ทำน้ำมนต์พรมตอนเจิมรถกว่า 10ปี ท่านคิดดูหลวงพ่อเสกมากี่ครั้ง

    10.รูปหล่อรุ่นตั้งตำบล เนื้อทองระฆัง จำนวน 1พาน 108องค์

    [/FONT]พระกริ่งขุมทรั[FONT=Arial,MS Sans Serif]11.ตะกรุด 7 พานกับ 2 ถาด ตะกรุดทุกดอก หลวงพ่อลงเองทั้งหมด ใช้เวลาลงทั้งหมด 3 ปี ตะกรุดประมาณ 500 ดอก แต่ละพาน หลวงพ่อลงแต่ละอย่าง อาทิ

    · ตะกรุดสร้างตน เพิ่มยศ เพิ่มตำแห่ง อำนาจ บารมีชื่อ เสียง 1 ถาดเล็ก

    · ตะกรุดหาทรัพย์ หาลาภ ค้าขาย ทำมาหากิน เจริญในอาชีพ 1ถาดใหญ่

    · ตะกรุดแก้โรคภัยไข้เจ็บ ความทุกข์ เดือดร้อน สุขภาพทรุด ใจตก 1พานเล็ก

    · ตะกรุดแก้อาถรรพ์เจ้าที่เจ้าทาง ฮวงจุ้ย ล้างสิ่งอัปมงคล 1พานเล็ก

    · ตะกรุดเมตตา มหาเสน่ห์ เข้าหาผู้ใหญ่ ติดต่อการงาน คนรัก ไม่เกลียด 1พานใหญ่

    · ตะกรุดยกฐานะ พาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เรา ไม่มีทางตัน ลงด้วยเงิน 1พานเล็ก

    · ตะกรุดผู้มีทรัพย์ (ขุมทรัพย์)ไม่อดยาก ไม่ยากจน เป็นคนมีทรัพย์ตลอดเวลาเทวดาต้องช่วย ลงด้วยเงิน 1พานเล็ก

    12.ยันต์ 108 นะปัถมัง 14 นะ ตามตำราการสร้างพระกริ่ง หลวงพ่อลงเองทั้งหมด ด้วยแผ่นเงิน

    13.ปลาตะเพียรเงิน หลวงพ่อลงไว้ค้าขาย เรียกลูกค้า ลงไว้หลายปีแล้ว 2 คู่ 4 ตัว แต่หลวงพ่อให้ลูกศิษย์ที่ค้าขายในต่างแดนไป 1 ตัว ร้านขายของดีมากเสียภาษีอันดับ 1ในเมืองนั้น เหลือ 3 ตัวที่วัด เอามาหลอมพระกริ่งขุมทรัพย์

    14.ทองแดง บริสุทธิ์ เป็นแท่ง หลวงพ่อเสกและลงยันต์ไว้ หนัก 80บาท เท่า พระชนมายุพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า 80พรรษา

    15.พระปิดตายันต์ยุ่งมหาอุตม์ หยุดปืน เนื้อระฆัง 1พานเล็ก

    16.วัวธนู หล่อด้วยเงิน อิทธิฤทธิ์ 108แก้เคราะห์ร้าย ป้องกันอาถรรพ์คุ้มครองบ้าน ป้องกันปราบปรามภูตผีปีศาจ คุณไสยมนต์ดำ 2ตน (คนปีฉลูถวาย)

    พระกริ่ง"ขุมทรัพย์" ใส่ชนวนที่กล่าวมาทั้ง 16อย่างแล้ว ต้องใช้โลหะในการหล่อพระกริ่ง อีก ประมาณ 200กิโลกรัม โลหะทั้งหมดหลวงพ่อจะใช้โลหะที่หลวงพ่อปลุกเสกแล้วทั้งสิ้น หลอมโลหะที่วัดทั้งหมดโดย ไม่ใช้โลหะ ของโรงงานหล่อพระเลย โลหะ 200กิโลกรัม ที่ต้องใส่เพิ่ม ประกอบด้วย

    1.แร่เศรษฐี(คลองบางม่วง) หลวงปู่ทองย้อย มอบถวาย 300 กรัม

    2.เหล็กละลายตัวของเก่า 500 กรัม

    3.เงินแท้หนัก 1 กิโลกรัม

    4.ฝาบาตร 1 กิโลกรัม

    5.รูปหล่อแร่เหล็กทั้งก้อน หนัก 10 กิโลกรัม

    6.สังกะสีเก่า 10 กิโลกรัม

    7.ขาปิ่นโต 20 กิโลกรัม

    8.ตะกั่วลงถม 20 กิโลกรัม

    9.ทองเหลืองเก่า 60 กิโลกรัม

    10.ทองแดงเก่า 80 กิโลกรัม

    หลวงพ่อได้อัญเชิญพระกริ่งทั้งหมด ทำพิธีมหาพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดบางกุฎีทอง ที่หน้าบัน มีตราสุริยประภา (พระอาทิตย์) ตราจันทรประภา (พระจันทร์ทรงรถ) ตามตำนานโบสถ์ ที่เสกพระกริ่งได้ขลัง

    ดังที่ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆาราช(แพ) เจ้าตำรับพระกริ่ง เคยตรัสไว้ว่า “เสกพระกริ่งที่ไหนก็ไม่เท่าเสกที่วัดสุทัศน์ เพราะ พระกริ่งหรือพระไภศยคุรุ มีบริวารเป็นพระอาทิตย์และพระจันทร์หน้าบันอุโบสถวัดสุทัศน์มี 2 ตรานี้การเสกจึงครบองค์)





    ยันต์ “จักรพัตราธิราช” ๓ กษัตริย์

    ยันต์ตำราหนึ่งที่ถือว่าเป็น “พญายันต์” หรือจะเรียกว่า “ยันต์ใหญ่” เหนือยันต์ ทั้งหลายทั้งปวงเพราะเหตุว่ามีคุณภาพครบ ครอบจักรวาล อย่าได้ กล่าวถึงเรื่องอะไรเลย เป็นมีผลดังนั้นทุกอย่างไป “พญายันต์” นี้ ครอบครบหมดจด พญายันต์นั้น คือ ยันต์ “จักรพัตราธิราช” พญายันต์นี้ สร้างเป็นอะไรก็ดี มีผลอันอัศจรรย์ ทั้งนั้น ถมดินให้โรงเรียนครั้งนี้ เปรียบประดุจท่านเอาเงินทองทรัพย์สมบัติฝังไว้กับพระแม่ธรณี เกิดอีกกี่ชาติทรัพย์สินอเนกอนันต์ก็จะไหลมาเทมาหาท่านทำให้เพิ่มพูนเหมือน ดอกเบี้ยออกดอกออกผลนานเท่าไรก็ได้รับไม่มีจบไม่มีสิ้น เกิดกี่ชาติก็ร่ำรวย มีทรัพย์มีเงินมีทองมีแผ่นดิน บ้านช่องเป็นสมบัติติดตัวสืบต่อไป ในวาระแห่งมหากุศลดังกล่าว หลวงพ่อจึงได้สร้างของดีตอบแทนท่าน นั้นคือ แผ่นยันต์ “จักรพัตราธิราช” โดยสร้างเป็นแผ่นยันต์จารด้วยมือทีละแผ่นตามตำรา พญายันต์ “จักรพัตราธิราช” มอญให้ลงแผ่นโลหะมงคล 3กษัตริย์ เรียงตามลำดับคือ เงิน ทอง นาก (เงิน ใช้แผ่นอลูมิเนียมเคลือบเงินแทน) แผ่นทองใช้แผ่นทองเหลืองแทน แผ่นนากใช้แผ่นทองแดงแทน ) ตำรับพญายันต์ “จักรพัตราธิราช” มอญนี้ท่านสืบเชื้อสายมาหลายชั่วอายุคน ตั้งไว้บูชาที่แผ่นดินใด บ้านใดเรือนใด วัดใด วังใด จะมีผลเพิ่มพูน คูณเกษม ดังใบฝอยตามตำรากล่าวไว้ว่า “ เป็นพญาแห่งยันต์ทั้งปวง มีคุณดั่งดวงแก้วสารพัดนึก ล้ำค่า บุคคลใดได้พบได้เห็น ได้ชื่อว่ามีบุญยิ่งแล้ว อย่ากลัวตกทุกข์ได้ยาก ได้พบแล้วให้บูชาให้จงดี ก็จักเต็มไปด้วยข้าวของสมบัติเป็นอันมากมายนัก จักได้เป็นคหบดี เศรษฐี แม้นว่าจักปรารถนาสิ่งอันใด ก็จักสัมฤทธิ์ผล มีบุญวาสนาดี วัฒนาสถาพรสืบไปแล ”

    กุลบุตรพึ่งปรารถนา ลาภยศ ให้เพิ่มพูนดัง คหบดี ให้นำแผ่นพญายันต์นี้ ใส่ขันสาครอธิฐานทำน้ำพุทธมนต์พึ่งกินดื่นอาบจักเจริญขึ้นโดยเร็ว อีกทั้งบำบัดทุกภัยไข้เจ็บต่างๆได้โดยพลันเป็นผู้มีอายุมั่น ความสุขสำเร็จสมปรารถนา พึงตั้งมั่นอยู่ในความสัตย์ จักเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทุกผู้ ทำการค้าขายให้นำยันต์นี้ติดที่หาบคลอน ของตนจักขายของดี ทำการค้าคล่อง ผู้คนหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศเพื่อมาอุดหนุนเราแล ถ้าถูกผีเข้า คุณไสย เขากระทำเอา ให้เอายันต์นี้ทำน้ำพุทธมนต์อ้างอัญเชิญคุณพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเป็นสรณะ ประพรม ผีหนีคุณไสยอยู่กับเราไม่ได้แล ถ้าเป็นขุนนางท้าวพญาจักรบทัพจับศึกให้นำพญายันต์นี้ ห่อด้วยผ้าขาวนำทัพออกไปจักเป็นที่เกรงข้าม ชนะศึกสงครามทั้งปวง ศัตรูไม่กล้าแม้แต่จะมองตาเราแล หรือจักตั้งบูชาพญายันต์นี้ในบ้านเรือน จะนำมาซึ่งความสุขความเจริญ ยิ่งขึ้นไป หาความเสื่อม และ กันวิบัติขัดสนอับจนทุกชนิด พญายันต์นี้ประเสริฐนัก ใครได้ไปจะไม่พบเจอความทุกข์ยากลำบาก ยากจนเลยแลฯฯ หลวงพ่อทำพิธีลงยันต์ และปลุกเสกยันต์ พร้อมนำไปใส่กรอบ อย่างสวยงาม ให้ท่านที่ได้ไปติดบูชาไว้ที่บ้านเรือนแลร้านค้าของตน
    [/FONT]พย์เนื้อตะกั่วฐานชนวน หลวงพ่อชำนาญ ปทุมธานี
    ให้บูชา1000 บาทครับ
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2015
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    <table align="center" border="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center">(N)
    หลวง ปู่ละมัย ฐิตมโน สำนักสงฆ์คีรีนามฑาสุขาวดี(สวนสมุนไพร) ต.บ้านโตก อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ตามใบสุทธิ ที่หลวงพ่อสินชัย ได้จดบันทึกไว้ก่อนที่ไฟจะไหม้กุฏิหลวงปู่เมื่อปี พ.ศ.2537 ได้ระบุไว้ว่า เกิดปี พ.ศ.2403 หลวงปู่ท่านบวชเณรเมื่ออายุ 15 ปี เรียนมูลกัจจายน์ บวชพระปี พ.ศ.2443 เดินธุดงค์มาทั่ว ทั้งไทย ลาว เขมร พม่า ได้วิชาต่างๆมามาก และช่วยเหลือลูกศิษย์ลูกหาด้วยปรอท และยาสมุนไพรต่างๆมาโดยตลอด

    หลวงปู่เป็นพระที่มีน้ำใจเยือกเย็น มีเมตตา แก่เหล่าลูกศิษย์มาโดยตลอด แม้ว่าบางครั้งคำพูดของท่าน อาจจะฟังดูดุดัน แต่ท่านก็ไม่ได้มีจิตใจที่กระด้างเหมือนคำพูดท่านแม้แต่น้อย กลับชุ่มเย็น มั่นคง หนักแน่น เป็นหลักชัยให้แก่เหล่าลูกหลานได้ตลอด การบุญการกุศลหลวงปู่ท่านก็รับเป็นประธานอุปถัมภ์ในการก่อสร้างหลายๆที่ ที่ผมได้สัมผัสก็คือ การก่อสร้างพระธาตุเกษแก้วจุฬามณี ที่วัดแดนคงคาวนาราม จ.ชัยภูมิ

    วัดแดนคงคาวนาราม นี้หลวงปู่บุญมา เจ้าอาวาส ท่านได้เคยธุดงค์ไปในประเทศต่างๆของแหลมอินโดจีนนี้มาอย่างทะลุปรุโปร่ง และได้พบกับหลวงปู่ละมัยในป่า ได้รับการสั่งสอนอบรมสมาธิจิต วิชา คาถาอาคมต่างๆพอสมควร จึงกราบลาหลวงปู่ออกธดงค์ต่อไป และเมื่อผ่านไปยังประเทศอินเดีย ก็ได้รับพระบรมสารีริกธาตุมาด้วย และท่านก็ได้นำมาเก็บรักษาไว้ ณ วัดแดนคงคาวนาราม

    ลุถึงปีพ.ศ.2545 หลวงปู่บุญมา อายุได้ 108 ปี มีความต้องการที่จะสร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้น เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่ก็เกรงว่าจะไม่สำเร็จ จึงปรึกษากับเหล่าศิษยานุศิษย์ และได้ทราบว่า หลวงปู่ละมัย ยังดำรงขันธ์อยู่ จึงให้คณะศิษย์ ไปกราบอาราธนานิมนต์

    พระเดชพระคุณหลวงปู่ละมัยมาเป็นประธาน ซึ่งท่านก็รับนิมนต์จนการก่อสร้างสำเร็จ และยกฉัตรไปแล้วเมื่อปีพ.ศ.2552

    หลวงปู่บุญมา ได้บอกกับลูกศิษย์ว่า "หลวงปู่(ละมัย)เป็นครูบาอาจารย์ของหลวงปู่(บุญมา)นะ เคยพบกับท่านตอนธุดงค์ ตอนนั้นเราอายุ 15 ปีได้ ท่านจะเป็นผู้ที่สร้างพระธาตุสำเร็จ เพราะท่านมีบารมีมาก" หลังจากหลวงปู่ละมัยรับนิมนต์ได้ไม่นาน หลวงปู่บุญมาก็มรณภาพลง

    วัตถุมงคลของหลวงปู่ละมัย ที่เด่นๆคือพระปรอท และแม่ซื้อประจำวันครับ ส่วนอย่างอื่นก็แล้วแต่ท่านจะสั่งให้ทำ หรือลูกศิษย์สร้างถวาย

    หลวงปู่ละมัยได้มรณภาพเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2554 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 2.00 น. ในระหว่างเข้าสมาธิ ก่อนมรณภาพได้สั่งไว้ว่า อย่าทำอะไรกับสังขารท่าน เอาไว้เฉยๆ ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องสวด 9 วัน และมีพิธีบรรจุศพลงในโลงแก้ว เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2554 เวลา13.00 น. รวมสิริอายุได้ 151 ปี
    </td></tr> </tbody></table>

    พระผงประจำวันแม่ซื้อหลวงปู่ละมัย ครบ7วัน7สี

    ให้บูชา3000 บาทครับ

    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2015
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    วันนี่้จัดส่ง

    EN3328 9162 0 TH นนทบุรี

    ขอบคุณครับ
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เหรียญหลวงพ่อมนัส วัดทุ่งจันคำ จันทบุรี รุ่น ๒

    ให้บูชา300 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ
    <a href="http://image.goosiam.com/view.asp?uid=13739&s=rzJRGQ2OG3Fq" target="_blank"><img border="0" src="http://image.goosiam.com/imgupload/b/rzJRGQ2OG3Fq.jpg"/></a>
    <a href="http://image.goosiam.com/view.asp?uid=13740&s=fYhey10GzsiG" target="_blank"><img border="0" src="http://image.goosiam.com/imgupload/b/fYhey10GzsiG.jpg"/></a>
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    พระกริ่งหลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา อยุธยา เนื้อผง

    ให้บูชา200 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับปิดรายการ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2015
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    <center>พิธีพุทธาภิเษกพระพุทธสิหิงค์ ภปร. ธรรมศาสตร์ 60 ปี
    [​IMG]</center>
    <center>[​IMG]
    <center>[​IMG]</center>
    </center>
    เหรียญพระพุทธสิหิงค์ ภปร. ธรรมศาสตร์ 60 ปี เนื้อทองแดงมีหูเหรียญ


    พิธีพุทธาภิเษก เหรียญพระพุทธสิหิงค์ ภปร.และ พระกริ่ง ภปร.ธรรมศาสตร์ 60 ปี จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ
    ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2537 โดยกราบบังคมทูลเชิญ
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธี และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
    เป็นองค์ประธานจุดเทียนชัย เพื่อพิธีนี้ ศ.คุณหญิง นงเยาว์ ชัยเสรี เดินทางไปนิมนต์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    มาร่วมพิธี ด้วยตนเอง ซึ่งหลวงตาเมตตารับนิมนต์ และบอกให้ไปนิมนต์พระเถระที่เป็นศิษย์สำคัญของท่านอีก 5 รูป
    มาร่วมพิธีด้วย คือ หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ หลวงปู่เพียร วิริโย หลวงปู่ลี กุสลธโร พระอาจารย์อุ่นหล้า ฐิตธัมโม
    และพระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก

    เมื่อเสร็จพิธีเจริญพระพุทธมนต์แล้ว หลวงตามหาบัวออกจากพระอุโบสถและเดินทางกลับสวนแสงธรรมทันที
    โดยไม่ร่วมพิธีพุทธาภิเษก แต่ให้ศิษย์ของท่านทั้ง 5 รูป รอเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก จากนั้น จึงเริ่มพิธีพุทธาภิเษก
    ซึ่งจัดพระเถราจารย์เข้านั่งปรกเป็นรอบๆ รวม 3 รอบด้วยกัน รายนามพระเถราจารย์ที่นั่งปรกพุทธาภิเษก ได้แก่

    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต จ.หนองคาย
    หลวงปู่พุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
    หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร วัดป่านาสีดา จ.อุดรธานี
    หลวงปู่คำพอง ติสโส วัดถ้ำกกดู่ จ.อุดรธานี
    หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุง จ.ร้อยเอ็ด

    หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู
    หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จ.พิจิตร
    หลวงปู่ท่อน ญาณธโร วัดศรีอภัยวัน จ.เลย
    หลวงปู่หลวง กตปุญโญ วัดป่าสำราญนิวาส จ.ลำปาง
    หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม วัดป่าสีห์พนมประชาราม จ.สกลนคร

    หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ วัดป่านาคูน จ.อุดรธานี
    หลวงปู่เพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง จ.อุดรธานี
    หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดภูผาแดง จ.อุดรธานี
    พระอาจารย์อุ่นหล้า ฐิตธัมโม วัดป่าแก้วชุมพล จ.สกลนคร
    พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก วัดป่านาคำน้อย จ.อุดรธานี

    พระอาจารย์อุทัย สิริธโร วัดถ้ำพระภูวัว จ.หนองคาย
    พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก จ.เชียงใหม่
    หลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ วัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม
    หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี
    หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี

    พระเทพวัชรธรรมาภรณ์ (หลวงพ่อสุรพงษ์) วัดตรีทศเทพ กรุงเทพฯ
    พระปริยัติมุนี (หลวงพ่อชูศักดิ์ ธัมมทินโน) วัดหงส์รัตนาราม กรุงเทพฯ
    พระญาณสมโพธิ (หลวงพ่อขวัญ) วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพฯ
    พระครูปริยัติคุณาธาร (หลวงพ่ออัมพร) วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ
    หลวงพ่อฟู วัดเวฬุราชิน กรุงเทพฯ

    พระราชปริยัติวิธาน (หลวงปู่บุศย์) วัดดาวดึงษาราม กรุงเทพฯ
    พระครูพิศาลพัฒนาพิธาน (หลวงพ่อสมชาย) วัดปริวาศ กรุงเทพฯ
    พระสมุห์วีระ วัดอัปสรสวรรค์ กรุงเทพฯ
    หลวงปู่เหล็ง วัดโคกเพาะ จ.ชลบุรี
    หลวงพ่อพูลทรัพย์ วัดอ่างศิลา จ.ชลบุรี

    หลวงปู่สาย โสมสิริ วัดขนอนใต้ จ.อยุธยา
    หลวงปู่มี เขมธัมโม วัดมารวิชัย จ.อยุธยา
    หลวงปู่เมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา จ.อยุธยา
    หลวงปู่ทิม อัตตสันโต วัดพระขาว จ.อยุธยา
    หลวงพ่อหวล วัดพุทไธสวรรย์ จ.อยุธยา

    หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ จ.อยุธยา
    หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม จ.อยุธยา
    หลวงปู่มหาทองใบ วัดอบทม จ.อ่างทอง
    หลวงพ่อผล วัดดักคะนน จ.ชัยนาท
    หลวงปู่หยอด วัดแก้วเจริญ จ.สมุทรสงคราม

    หลวงพ่อเก๋ วัดแม่น้ำ จ.สมุทรสงคราม
    หลวงพ่อเกตุ จิตตสาโร วัดเกาะหลัก จ.ประจวบคีรีขันธ์
    หลวงพ่อทองใบ วัดสายไหม จ.ปทุมธานี
    หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดไทรน้อย จ.นนทบุรี
    หลวงพ่อจาง วัดนครเนื่องเขต จ.ฉะเชิงเทรา

    หลวงพ่อสมชาย พุทธสโร วัดโพรงอากาศ จ.ฉะเชิงเทรา
    หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ วัดบางพระ จ.นครปฐม
    พระครูสมุห์อวยพร วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม
    หลวงพ่อสง่า วัดบ้านหมอ จ.ราชบุรี
    หลวงปู่ดี จัตตมโล วัดพระรูป จ.สุพรรณบุรี

    หลวงพ่อฮวด วัดดอนโพธิ์ทอง จ.สุพรรณบุรี
    หลวงปู่สวิง วัดเสาธงทอง จ.สุพรรณบุรี
    หลวงปู่ผล สำนักสงฆ์เขารักษ์ จ.กาญจนบุรี
    หลวงพ่อแก้ว วัดเขาปูน จ.นครศรีธรรมราช
    หลวงพ่อเนื่อง วัดสวนจันทร์ จ.นครศรีธรรมราช
    <center>[​IMG]

    เหรียญพระพุทธสิหิงค์ ภปร. ธรรมศาสตร์ 60 ปี เนื้อทองแดงมีหูเหรียญสภาพสวยพร้อมซองเดิมๆ

    ให้บูชา2000 บาทครับ(ปิดรายการ)
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]


    </center>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2015
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ประวัติพระมหาวิบูลย์ พุทธญาโณ [​IMG]
    ชื่อ พระมหาวิบูลย์ ฉายา พุทฺธญาโณ สังกัด มหานิกาย
    วัดโพธิคุณ เลขที่ ๖๔ หมู่ที่ ๖ ถนน ตาก-แม่สอด
    ตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก รหัสไปรษณีย์ ๖๓๐๐๐
    โทรศัพท์ ๐๕๕-๕๐๐-๐๙๒ มือถือ ๐๘๑-๘๘๖-๙๘๔๖ ​
    เปรียญธรรม ๔ ประโยค นักธรรมเอก ​
    วิชาสามัญประโยคครูพิเศษมูล ​
    ชื่อเดิม วิบูลย์ นามสกุล ลวดเงิน ​
    วัน / เดือน / ปีเกิด ๕ มีนาคม ๒๔๗๘ สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย ​
    สถานที่เกิดบ้าน ไผ่ท่าโพเหนือ หมู่ที่ ๑ ตำบล ไผ่ท่าโพ
    อำเภอ โพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร ​
    นามบิดา นายชิน นามสกุล ลวดเงิน ​
    นามมารดา นางมอญ นามสกุล ลวดเงิน (เกิดศาสตร์)
    เป็นบุตรชายคนโต ในบรรดาบุตรธิดา ๕ คน ​
    อุปสมบทเมื่อ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๙ ณ อุโบสถวัดชัยมงคล
    ตำบลในเขต อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร ​
    นามพระอุปัชฌาย์ พระครูพิเศษธรรมนิวิษฐ์ เจ้าคณะอำเภอ สังกัดวัดชัยมงคล
    ตำบลในเขต อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร ได้รับฉายา พุทฺธญาโณ
    ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๑ พระครูพิเศษธรรมนิวิษฐ์ พระอุปัชฌาย์ ได้ส่งไปเรียนหนังสือ
    นักธรรมและบาลี ที่วัดอินทารามวรวิหาร ตลาดพลู ธนบุรี กรุงเทพมหานครฯ
    สังกัดอยู่ที่วัดอินทารามวรวิหาร ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ​
    ในปี ๒๕๒๕ ได้มาเป็นประธานสงฆ์ให้อุบาสกอุบาสิกา ผู้มีศรัทธาได้มาเริ่มก่อตั้งวัดโพธิคุณ
    เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดโพธิคุณ เมื่อ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๑ จนถึงปัจจุบัน ​
    <table align="center" width="587"> <tbody><tr> <td height="97" width="48">
    </td> <td width="474">
    </td> <td width="49">
    </td> </tr> <tr> <td>
    </td> <td>
    Video รายการครอบจักรวาล นำชมวัดโพธิคุณ
    </td> <td>
    </td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
    วัดโพธิคุณ ​
    หลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ พุทธญาโณ
    พระภิกษุผู้มีความสำรวมเป็นอารมณ์แห่งวัดโพธิคุณ (สวนโพธิญาณ) บ้านแม่ห้วยหินฝน ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ​
    ได้เคยเขียนชีวประวัติของหลวงพ่อพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต แห่ง วัดพระยาทำ ผู้ทรงอภิญญาเป็นเอก ไม่แพ้เกจิอาจารย์ท่านใดในกรุงรัตนโกสินทร์นี้มาแล้ว ​
    จวบจนกระทั่งท่านได้มรณภาพไปเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ บรรดาศิษย์ทั้งหลายของท่านก็บังเกิดความว้าเหว่ประดุจนกที่ขาดร่มโพธิ์ร่ม ไทรเป็นที่พึ่งพิง ​
    หากทว่าได้ ท่าน มหาประทุม จินตคุโณ พระภิกษุผู้ทรงคุณธรรมที่เคยปฏิบัติหน้าที่เป็นเลขาฯ ของหลวงพ่อพระอาจารย์สุชาติมาแนะนำว่า ศิษย์ของหลวงพ่อพระอาจารย์สุชาติที่เก่งขนาดท่านออกปากชมเชยยังมีอยู่อีก องค์หนึ่ง ซึ่งจะเป็นที่พึ่งแก่บรรดาศิษย์ทั้งหลายของหลวงพ่อพระอาจารย์สุชาติได้ ​
    พระภิกษุองค์นี้ หลวงพ่อพระอาจารย์สุชาติเคยเรียกมาใช้แทนตัวท่านเองอยู่เป็นเนืองนิตย์ ในสมัยที่ท่านยังอยู่วัดอินทารามตลาดพลู ครั้งเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ​
    แต่พระภิกษุองค์ดังกล่าวท่านชอบออกธุดงค์หาความ วิเวกเสมอมา ในระยะหลังบรรดาศิษย์ทั้งหลายของหลวงพ่อพระอาจารย์สุชาติ จึงไม่ค่อยจะได้รู้จักท่าน ​
    ปัจจุบันนี้ท่านพำนักอยู่ที่วัดโพธิคุณ (สวนโพธิญาณ) อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ​
    ท่านผู้นี้คือ ท่านพระอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ
    อยากได้หรือ...เอาไป
    บรรดาศิษย์ทั้งหลายของหลวงพ่อพระอาจารย์สุชาติ ทราบดังนั้น ก็พากันไปหาท่านพระอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ ถึงวัดโพธิคุณ ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ​
    หนึ่งในจำนวนคณะศิษย์ของหลวงพ่อพระอาจารย์สุชาติมีอยู่ท่านหนึ่งชื่อ คุณทอง ประสิทธิรัตน ได้เข้าไปกราบนมัสการท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ ซึ่งกำลังคุยอยู่กับแขกภายในกุฏิ แล้วถอยออกมานั่งรอข้างนอก พลางนึกในใจว่า ​
    ถ้าท่านอาจารย์มหาวิบูลย์เก่งจริง ทำยังไงเราจะได้คาถาดี ๆ สักอย่างหนึ่งจากท่าน
    คุณทอง ประสิทธิรัตน นั่งคิดในใจอยู่คนเดียวได้ครู่หนึ่ง ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ก็เดินออกมาจากกุฏิส่งกระดาษให้แผ่นหนึ่งพร้อมกับบอก สั้น ๆ ว่า ​
    โยมอยากจะได้คาถาหรือ... เอาไป
    คุณทองมองดูกระดาษแผ่นนั้นก็เห็นลายมือของท่านเขียนคาถาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว คุณทองถึงกับนั่งตะลึง ! ​
    เมื่อกิตติศัพท์ของ ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ ใน ด้านคุณธรรมอันวิเศษของท่านได้แพร่หลายไปเช่นนี้ ผู้เขียนจึงกราบเรียนถามท่านมหาประทุม จินตคุโณ ว่าอยากจะพบพระอาจารย์มหาวิบูลย์ได้ที่ไหน นอกจากวัดโพธิคุณ ที่แม่สอด เพราะผู้เขียนมีสุขภาพไม่สู้จะสมบูรณ์พอที่จะเดินทางไปนมัสการท่านได้ถึง จังหวัดตาก ​
    ท่านมหาประทุมก็แนะนำให้ผู้เขียนลองไปติดต่อสอบถามที่วัดอินทาราม ตลาดพลู ดูเถิด ด้วยท่านมักจะลงมาพำนักที่วัดอินทารามอยู่เสมอ ​
    ผู้เขียนจึงไปเรียนถามพระภิกษุ วัดอินทาราม ถึงท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ ก็เผอิญโชคดีที่ได้มีโอกาสกราบนมัสการท่านซึ่งกำลังรับแขกอยู่พอดี ​
    ครั้นแขกของท่านนมัสการลากลับกันไปแล้ว ผู้เขียนจึงเข้าไปแนะนำตัวเองให้ท่านรู้จัก และกราบเรียนท่านว่าใคร่ขอสัมภาษณ์ชีวประวัติของท่านเพื่อเผยแพร่ลงใน นิตยสาร โลกทิพย์ แต่ท่านขอผัดไปให้สัมภาษณ์ในวันหลัง ​
    ในระหว่างนั้นผู้เขียนเกิดอยากได้คาถาของท่านมา สวดมนต์ภาวนากับเขาดูบ้าง หากทว่ายังไม่กล้าเอ่ยปากขอเพราะเพิ่งจะได้มีโอกาสนมัสการเป็นครั้งแรก ​
    ครั้นได้เวลาพอสมควรผู้เขียนก็กราบนมัสการลา ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์บอกให้ผู้เขียนรอสักครู่แล้วท่านก็หยิบกระดาษมาเขียน อะไรไม่ทราบส่งให้ พลางบอกว่า คาถานี้ยาวหน่อยนะคุณโยม เล่นเอาผู้เขียนถึงกับตัวชาไปทั้งตัว ! ​
    พระภิกษุผู้สำรวม
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เป็นพระภิกษุที่อยู่ในอาการสำรวมตลอดเวลา ​
    ท่านไม่ใช่พระที่ขาดความสำรวมแม้แต่น้อยนิด และเมื่อพบกันครั้งแรกผู้เขียนก็ระลึกนึกไปถึงพระภิกษุทั้งหลายผู้เคยเป็นศิษย์ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะ ที่ผู้เขียนเคยมีวาสนาได้กราบไหว้ในทันที่เพราะอากัปกิริยาของท่านดูเสมือนได้รับการอบรมมาในแนวนั้นเช่นกัน ​
    ท่านเป็นพระที่พูดน้อย คำพูดแต่ละประโยคจะพูดออกมาด้วยความมีสติ ไม่หัวเราะเฮฮาเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อพอใจสิ่งใด กิริยาอาการของท่านในทุกอิริยาบถน่าเลื่อมใส น่ากราบไหว้เป็นอย่างยิ่ง ​
    ครั้นถึงเวลาที่นัดหมายท่านก็ให้สัมภาษณ์ตามความประสงค์ของผู้เขียนดังต่อไปนี้ ​
    ชาติภูมิ
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เกิด ที่อำเภอโพธิ์ประทับช้าง (โพธิ์ทะเลเดิม) จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ บิดามารดาประกอบอาชีพด้วยการทำนาเช่นชาวนาชนบททั้งหลายในสมัยนั้น ​
    ท่านมีพี่น้องร่วมอุทร ๔ คน เป็นหญิง ๒ ชาย ๒ ท่านเป็นบุตรคนโต ​
    อยากบวชมาตั้งแต่เด็ก
    ท่านเปิดเผยว่าไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด ท่านอยากจะบวชเป็นสามเณร เป็นพระภิกษุมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ขัดที่เป็นลูกชายคนโตถ้าท่านออกบวชทางครอบครัวก็จะไม่มีคนช่วยทำงาน ​
    ความอยากที่จะบวชนั้น ท่านได้เดินทางไปยังวัดพระศรีมหาธาตุจังหวัดพิษณุโลก เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อพระพุทธชินราช ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดในประเทศไทย โดยท่านบอกว่า ​
    อาตมาได้ไปเห็นพระพุทธชินราชใน ครั้งนั้นแล้ว เกิดความเลื่อมใสศรัทธามนพระศาสนามากจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้หลวงพ่อพระพุทธชินราชช่วยให้อาตมาได้บวชเถิด ถ้าบวชแล้วจะไม่สึกตลอดชีวิต
    ...อย่างไม่คาดคิด
    ปีที่ท่านจะได้บวชเป็นสามเณร ทั้ง ๆ ที่มีอายุ ๒๐ แล้ว แต่ยังไม่ครบปีดี เพราะท่านเกิดปลายปี มีเหตุอยู่ว่า ​
    ในปีนั้นท่านไปทำนาอยู่กับโยมผู้ชายของท่าน และในขณะนั้นฝนตกชุก ปลาพล่านไปมา ก็เลยนึกอยากจะทำลอบดักปลาจึงไปเอาไม้ไผ่มาเหลาเป็นซี่ลอบ ​
    แต่เมื่อท่านกำลังนั่งเหลาซี่ลอบอยู่ดี ๆ นั้น เกิดเป็นตะคริวขึ้นที่มือ ทำให้ไม่สามารถจะเหลาไม้ไผ่ต่อไปได้ ท่านจึงเรียกน้องชายของท่านให้ช่วยมาบีบนวดมือให้ ​
    แล้วอาตมาก็หมดความรู้สึกไปตั้งแต่เช้า มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนเที่ยงคืน
    โยมแกก็ถามว่า อาตมาไปบนอะไรไว้บ้าง อาตมาก็บอกไปตามความจริง แกเลยพูดขึ้นว่า ถ้าอยากบวชถึงขนาดนี้ก็บวชไป อาตมาก็เลยได้บวชสมกับที่ปรารถนามาช้านาน
    แต่การบวชครั้งนั้นเป็นเพียงบรรพชาเป็นสามเณร โดยท่านได้ไปบรรพชาที่วัดไผ่ท่าโพธิ์มี พระครูธรรมาภิรัตน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ​
    ครั้นบวชเณรได้พรรษาหนึ่งท่านก็เริ่มไปศึกษา นักธรรมบาลีที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนากจังหวัดพิจิตร จนใกล้จะสอบก็ต้องสึกเพราะโยมผู้ชายของท่านเกิดเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทัน ด่วน ! ​
    ฝันประหลาด
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ เล่าถึงคืนที่โยมผู้ชายจะเสียชีวิตว่า ​
    ในคืนนั้นท่านซึ่งกำลังป่วยหนักด้วยไข้รากสาดได้ เกิดไข้สูงกว่าทุกวัน ทั้งท้องเดิน ทั้งอาเจียนจนคล้ายจะสลบไป ก็มียมทูตจำนวนสี่นายล้วนนุ่งผ้าแดง ตัวเปล่าเปลือยรูปร่างกำยำสูงใหญ่ จะเข้ามาจับท่าน ​
    ท่านเห็นท่าไม่สู้จะดีก็ออกวิ่งหนีไปถึงหนองน้ำแห่งหนึ่งจึงกระโดดลงไปซ่อนตัวอยู่ใต้กองผักตบชวา ​
    ยมทูตตามท่านมาถึงหนองน้ำก็กระโดดลงไปในหนองน้ำนั้น ๓ นาย เหลืออีกนายหนึ่งให้ยืนเฝ้าปากทางไว้ ซึ่งท่านเล่าถึงตอนนี้ว่า ​
    อาตมาคำนวณดูกำลังเห็นว่ายมทูตใน น้ำมีถึง ๓ คน เห็นจะสู้ไม่ไหว ก็ตัดสินใจผละจากกองผักตบชวาขึ้นจากหนองน้ำไปสู้กับยมทูตที่เฝ้าปากทาง
    ยมทูตคว้าอาวุธจะมาทำร้ายอาตมาแย่งมาได้ ก็พอดีรู้สึกตัวแล้วก็หายป่วยแต่นั้นมา
    ในคืนเดียวกันนั้นเอง โยมผู้ชายของท่านก็ฝันไปว่า เห็นใครก็ไม่ทราบมีจำนวน ๔ คน ไล่จับสามเณรลูกชายของตน แล้วเอาโซ่เหล็กมามัดตัว พลางถามสามเณรว่า รับได้ไหม? รับได้ไหม?
    ฝ่ายโยมผู้ชายเมื่อเห็นเขาทรมานลูกชายเช่นนั้นก็เกิดความสงสาร ก็เลยหันมาถามลูกของตนว่า ​
    เณรรับเขาได้หรือไม่ได้ก็บอกเขาเถิด
    ในฝันของโยมผู้ชายนั้นแกบอกว่า อาตมาว่ารับได้
    พอบอกว่ารับได้เท่านั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มาจากไหนไม่ทราบ มาจับตัวอาตมาพุ่งลงแม่น้ำไป
    โยมผู้ชายก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ปลุกโยมผู้หญิงแล้วเล่าให้ฟังไว้ พอวันรุ่งขึ้นโยมผู้ชายก็เสียเลย !” ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์เล่า​
    อุปสมบท
    เมื่อจัดการฌาปนกิจศพบิดาเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ช่วยมารดาของท่านเกี่ยวข้าว เพราะในปีนั้นทางบ้านทำนาไว้มากไม่มีกำลังคนจะเกี่ยวข้าวเพียงพอ ครั้นเกี่ยวข้าวเสร็จอายุท่านก็ครบเป็นพระได้ ​
    ตามปกติธรรมดาของชาวชนบทในสมัยนั้น เมื่อบ้านใดจะบวชลูกชาย ก็จำต้องป่าวประกาศเชิญแขกเหรื่อมาในงานทำขวัญนาค และมารดาของท่านอาจารย์วิบูลย์ก็ต้องการที่จะจัดงานเช่นนั้น โดยเตรียมเครื่องอัฐบริขารไว้แล้วจะไปเชิญหมอทำขวัญนาค ​
    แต่ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้ชิงบอกแก่มารดาของ ท่านในตอนนั้นเสียก่อนว่า ท่านต้องการบวชเงียบ ๆ และจะไปบวชเองเพียงแต่ขอให้มารดาอนุญาตเท่านั้นมารดาท่านก็นิ่งอั้น ​
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ ก็หอบเครื่องอัฐบริขารไปที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก โดยลำฟัง แต่มารดาของท่านได้ตามไปทันในวันรุ่งขึ้น ​
    ก่อนที่จะบวชในคืนนั้นท่านพักอยู่ที่ศาลา โกนศีรษะเรียบร้อยแล้ว ท่านหลับไปก็ฝันว่า ไปพบบิดาที่หน้าประตูโบสถ์ ​
    ในความฝันนั้นท่านเป็นนาคแล้วโดยนุ่งขาวห่มขาวเป็นอันดี ​
    ท่านเห็นบิดาของท่านมายืนอยู่เช่นนั้น ก็กล่าวชวนว่า ​
    พ่อเข้าไปในโบสถ์ด้วยกันเถิด แต่บิดาไม่ยอมพูดด้วย ท่านก็นึกเสียใจว่าทำไมบิดาไม่ยอมพูดไม่ยอมเข้าไปในโบสถ์ร่วมบวชท่าน ​
    ในฝันนั้นท่านนึกเสียใจจนร้องไห้ออกมา ครั้นตื่นขึ้นหมอนหนุนศีรษะเปียกน้ำตาไปหมด ​
    รุ่งขึ้นในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๙๙ ท่านก็อุปสมบท ณ วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร มี ท่านพระครูวิเศษธัมมวินิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ​
    มุ่งมั่นบุกบั่นเรียน
    ครั้นท่านอุปสมบทบทเป็นพระนวกะที่วัดชัยมงคลแล้ว ก็เรียนทั้งบาลีและนักธรรมควบคู่กันไป ​
    ตามธรรมดานั้นพระนวกะจะต้องเรียนถึง ๓ ปี จึงจะสมัครสอบบาลีได้ แต่ท่านอาจารย์วัดชัยมงคลเห็นท่านเรียนเก่ง พอเรียนได้ ๒ ปี ก็ให้ท่านเข้าสอบนักธรรมตรีกับเปรียญ ๓ ผลปรากฏว่าท่านสอบนักธรรมตรีได้ แต่สอบเปรียญ ๓ ตก ท่านเล่าว่า ​
    พอสอบตกอาตมาอายเขาก็หนีมาจำพรรษา ที่วัดค้างคาวจังหวัดลพบุรี มาเรียนบาลีที่วัดบัวเรียนได้พรรษาหนึ่ง ก็เข้าสอบนักธรรมโทคู่กับเปรียญ ๓
    ผลออกมาสอบได้นักธรรมโทแต่ตกเปรียญ ๓ อีก อาตมาก็ลงมากรุงเทพฯ มาพำนักอยู่วัดอินทาราม ตลาดพลูนี้ เมื่อปี ๒๕๐๑ ตั้งใจว่าจะเรียนเปรียญให้จงได้ถ้าเรียนไม่ได้ก็ให้ตายหมดเรื่องไป
    จึงพยายามมุมานะดูหนังสือแต่เกิดป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบเสียอีก ต้องเข้าโรงพยาบาลไปผ่าตัดไส้ติ่ง
    หลังจากผ่าตัดแล้วก็มุมานะเรียนบาลี ก็สอบได้เปรียญ ๓
    จากนั้นก็เรียนต่อจนถึงปี ๒๕๐๔ โดยเรียนนักธรรมเอกกับวิชาครูที่กรมฝึกหัดครู ซึ่งสมัยนั้นเขาเปิดรับพระเณรเข้าเรียนได้ ก็สอบได้นักธรรมเอกและวิชาครู จึงเลิกเรียน แล้วไปเรียนพระอภิธรรมที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ ของท่านพระครูประกาศสมาธิคุณ อยู่พรรษาหนึ่ง
    ไม่เชื่อก็ต้องลอง
    ผู้เขียนได้นมัสการกราบเรียนถามท่านถึงสาเหตุที่ มาปฏิบัติธรรมทั้ง ๆ ที่เป็นพระนักศึกษามาก่อน ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้เปิดเผยว่า ​
    สาเหตุที่อาตมามาปฏิบัตินั้น เพราะเคยเข้าใจว่าธรรมะอยู่ที่การเรียน คือการศึกษาเล่าเรียนอาจจะทำให้เข้าใจธรรมะดี
    แต่เรียน ๆ ไปจนได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก และมหาเปรียญแล้วก็รู้สึกเหมือนเดิมไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดสุขก็ยัง สุข ทุกข์ก็ยังทุกข์จิตใจไม่ดีขึ้น ก็เลยมาค้นหาธรรมะ ว่าธรรมะที่แท้จริงนั้นอยู่ตรงไหน ธรรมะนั้นเป็นอย่างไร
    ตอนนั้นอาตมาเกิดอคติต่อธรรมะ คือแทบไม่เชื่อว่าธรรมะนั้นมีจริง ! คิดว่าเป็นเพียงตัวหนังสือที่ชาวบ้านเขาเขียนกันขึ้นมาให้คนเรียนเท่านั้น
    อาตมาเข้าใจอย่างนั้น มีความเห็นผิดขนาดนั้น ! ต่อมาจึงได้ตัดสินใจ หลังจากได้ยินท่านพระครูประกาศพูดบ้าง ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ้าง
    ครูบาอาจารย์ที่รู้จักมักคุ้นโดยเฉพาะ หลวงพ่อใหญ่ (ท่านเจ้าคุณวิเชียรมุนี) เจ้าอาวาสวัดอินทารามสมัยโน้น ท่านเป็นพระภาวนาแต่เป็นพระสันโดษ ท่านไม่ค่อยพูด อยู่เงียบ ๆ ท่านเรียกไปพูดให้ฟังก็เลยลองตัดสินใจภาวนาจากตำรา
    มานั่งภาวนาอยู่ในกุฎิคืนหนึ่ง ผลก็คือรู้จักเหตุรู้จักผลดีขึ้น จิตใจสงบลง
    อาตมาภาวนาโดยใช้เพ่งกสิณเพ่งน้ำอยู่คืนหนึ่ง รู้สึกสบายดี ก็เลยตั้งใจจะลองภาวนาดูสัก ๖ เดือน ถ้า ๖ เดือน ไม่รู้อะไรเลยก็จะเลิกแล้ว ไม่เชื่อแล้วธรรมะนี้
    ปฏิบัติกันขั้นอุกฤษฏ์
    เมื่อท่านอาจารย์มหาวิบูลย์พุทธญาโณ ตัดสินใจเช่นนั้น ท่านก็เริ่มปฏิบัติและปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง โดยใช้คำภาวนา พุท-โธ บ้างใช้ภาวนา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ บ้าง ​
    แต่ส่วนมากใช้ อาโปกสิณ หรือไม่ก็ เตโชกสิณ ท่านบอกว่าเป็นวิธีที่ง่ายหน่อย รวมจิตเร็ว ​
    การปฏิบัติของท่านอาจารย์มหาวิบูลย์นั้น ท่านปฏิบัติอยู่ในสามอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง ไม่มีการนอนตลอด ๖ เดือน ! ​
    ยืนก็ภาวนา เดินก็ภาวน นั่งก็ภาวนา เพ่งกสิณบ้าง ถึงกระนั้นท่านยังบอกว่าสองเดือนแรกไม่เห็นผลอะไร พอเข้าเดือนที่สามจึงรู้สึกจะได้ผลดี จิตมีความรู้แปลก ๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็เกิดรู้ขึ้น อะไรที่แปลกปลอมเข้ามา จิตก็เริ่มรู้ทันเร็วขึ้น ธรรมะที่ไม่เคยเรียนรู้ก็ผุดขึ้นมาในใจ ​
    การปฏิบัติของท่านตอนนั้นทำให้สุขภาพทรุดโทรม ร่างกายผ่ายผอม แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ ท่านต้องการเห็นธรรมะ ท่านต้องการรู้ธรรมะ แม้ตัวจะตายท่านก็ยอม ​
    พออาตมาปฏิบัติได้ครบ ๖ เดือนก็เข้าป่า ท่านบอก ​
    การธุดงค์ครั้งแรก
    ครั้งแรกที่ท่านแบกกลดสะพายบาตรออกจากวัดอินทารามตลาดพลูนั้น ท่านธุดงค์ไปอยู่ที่เกาะสีชัง โดยถือธุดงควัตรอย่างเคร่งครัด ​
    เมื่อไปอยู่เกาะสีชังพักหนึ่งเห็นผู้คนชักจะพลุ่ก พล่าน ท่านก็หนี ธุดงค์ขึ้นไปทางภาคเหนือ ท่องเที่ยวหาวิเวกไปตั้งแต่พิษณุโลก แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ ​
    ท่านบอกว่า อาตมาไม่ได้ไปแต่แม่ฮ่องสอนเท่านั้น
    การธุดงค์ของท่านนั้นปฏิบัติเป็นประจำทุกปี นับแต่ พ.ศ.๒๕๐๖ ถึงปัจจุบันนี้ ​
    ถูกหลวงปู่แหวนทรมาน
    ในระยะที่ท่านธุดงค์อยู่ทางภาคเหนือนั้น มีอยู่ปีหนึ่ง (๒๕๑๖) ท่านได้เดินทางไปนมัสการ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ที่วัดดอยแม่ปั๋ง เพื่อไปขอศึกษาธรรมะกับหลวงปู่ ​
    ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านถูกหลวงปู่แหวนทรมานมาก เพราะท่านเป็นคนชอบคิดชอบลอง ​
    เมื่อครั้งไปอยู่กับหลวงปู่ใหม่ ๆ ท่านเคยคิดว่า หนังสือพิมพ์เคยลงว่า หลวงปู่แหวนเหาะได้ ท่านก็มานึกว่าถ้าหลวงปู่เหาะได้จริงก็ลองเหาะให้ท่านดูสักทีซิ ! ​
    เพียงแต่ท่านนึกในใจเงียบ ๆคนเดียวเท่านั้น ประเดี๋ยวเดียวหลวงปู่ก็ใช้ให้พระมาตามไปพบแล้วท่านก็ดุว่า มัวแต่คิดนอกลู่นอกทางอยู่อย่างนี้ จะได้มรรคได้ผลอะไร จากนั้นหลวงปู่ก็สั่งสอนอบรมให้แนวทางปฏิบัติต่อไป ​
    หลวงปู่กวดขันอาตมามากเรียกว่า กระดิกไม่ได้เลย จิตจะต้องเข้าสมาธิตลอดทุกอิริยาบถ ถ้าเผลอไปคิดอะไรเข้า ท่านก็จะเรียกไปดุไปด่าทันที เรียกว่า เผลอใจเมื่อไหร่หลวงปู่รู้หมด !
    จนท่านเห็นว่าอาตมาเรียบร้อยดีแล้ว ท่านก็สั่งให้อาตมาไปอยู่ที่ถ้ำน้ำบัง อำเภอบ้านนายม จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่หลวงปู่มั่นเคยไปอยู่มันเป็นที่อยู่ของพญานาค
    ที่เรียกว่าถ้ำน้ำบังก็เพราะมันเป็นถ้ำสอง ชั้น ชั้นบนเป็นถ้ำธรรมดา อีกชั้นหนึ่งเป็นถ้ำอยู่ใต้พื้นดินมีน้ำขังอยู่ มีพวกงูใหญ่อาศัยอยู่ในนั้น ถ้าพระที่ไปอยู่ปฏิบัติไม่ดี จะถูกงูกัดกินเป็นส่วนมาก
    ระยะหลังนี้มีอาจารย์โพธิ์เป็นคนปราจีนบุรี ไปอยู่ที่นั่นแล้วมรณภาพที่ถ้ำนี่ ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์เล่าให้ฟัง ​
    เรื่องแปลก
    การที่จะไปอยู่ถ้ำน้ำบังนี้ก็มีเรื่องแปลกประหลาดอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้เล่าว่า ​
    หลวงปู่ให้อาตมาไปอยู่ถ้ำน้ำบังนั้น ก่อนจะไปท่านก็เล่าประวัติถ้ำให้ฟังว่า หลวงปู่มั่นทรมานพญานาคที่นี่
    ท่านเล่าให้ฟังแล้วท่านให้ไปภาวนาที่ถ้ำนี้ ท่านบอกว่าจะเป็นมงคล ไปอยู่สัก ๕ วัน ๑๐ วัน ก็จะเป็นมงคลดี
    อาตมาก็เดินทางออกจากเชียงใหม่ ญาติโยมเขาช่วยส่งขึ้นรถไฟมา
    ในระยะนั้นอาตมาไม่อยากจะไปถ้ำน้ำบังเลย เพราะบ้านนายมนี่อาตมาไม่คุ้นเคย ไม่เคยทราบความเป็นอยู่ของเขามาก่อนเลย
    อาตมาอยากจะไปที่อาตมาเคยไป คือมักจะเที่ยวไปแถวสุโขทัยมากกว่าที่อื่น รู้จักภูเขา รู้จักสถานที่ดี
    ระหว่างที่ขึ้นรถไฟก็นึกในใจว่าไม่ไปละที่ถ้ำน้ำบัง ตั้งใจจะลงรถแล้วไปน้ำตกโชกชะนางสุโขทัยดีกว่า
    พอรถถึงพิษณุโลก อาตมาก็ลง แต่จะด้วยอำนาจอะไรก็ไม่ทราบ อาตมากลับจำพิษณุโลกไม่ได้ ลงมาแล้วยังแบกกลดขึ้นบนรถอีก รอรถจะออกแต่คนเขาลงหมดแล้ว อาตมาก็ลงไปยืนดูรถโดยสาร เห็นป้ายรถ หล่มสักพิษณุโลก จึงได้รู้ว่าที่นี่คือพิษณุโลกก็นึกสงสัยในใจว่า ทำไมตัวเราจำพิษณุโลกไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ผ่านไปมาหลายหนเต็มที
    มานึกอีกทีคงจะเป็นเพราะไม่เชื่อหลวงปู่แหวน หลวงปู่จะให้ไปถ้ำน้ำบัง เราเกิดอยากไปสุโขทัยจึงเกิดเหตุเช่นนี้ อาตมาก็เลยตัดสินใจเดินทางมาที่ถ้ำน้ำบัง
    ไล่ผีที่บ้านดงขุย
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้เล่าต่อไปว่า สาเหตุที่หลวงปู่แหวนให้ท่านมาอยู่ภาวนาที่ถ้ำน้ำบังจังหวัดเพชรบูรณ์นี้ หลวงปู่จะให้ท่านมาอยู่ภาวนาหรือช่วยคนที่กำลังมีความทุกข์กันแน่ ​
    เพราะเมื่อท่านเดินทางมาพักที่วัดเก่า บ้านดงขุยนั้นเอง ก็มีญาติโยมเขาพากันมาหาขอให้ทำน้ำมนต์ช่วยปัดเป่าความไข้ของคนป่วยที่ป่วย กันทั้งครอบครัวมานานแล้วครอบครัวหนึ่งซึ่งมีพ่อ-แม่-ลูก ๆ รวมเป็น ๔ คนด้วยกัน แล้วเขาก็เอาขันน้ำมาตั้งให้ท่านทำน้ำมนต์ ​
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ท่านบอกว่าท่านพิจารณาดูน้ำในขันแล้วเห็นมีอะไรแปลก ๆ อยู่จึงถามเขาว่า คนป่วยนี่เป็นโรคอะไรกัน? ​
    เขาก็ไพล่ตอบว่า ป่วยกันมาหลายวันแล้ว ไม่ยอมบอกท่านตรง ๆ ว่าป่วยเป็นโรคอะไร ​
    ท่านก็เลยบอกว่า ​
    มันเรื่องของผี อาตมาจะช่วยได้อย่างไร อาตมาไม่ใช่พระหมอผีนี่ โยมไปหาพระที่เป็นหมอผีมาไล่ผีซิ
    แล้วท่านก็ถามตรง ๆ ว่า คนป่วยอยู่ ๔ คนด้วยกันนั้น เป็นเพราะผีเข้าใช่ไหม? พวกเขาก็ยอมรับ ​
    ท่านก็แนะนำให้เขาไปนิมนต์พระที่มีคาถาอาคมไล่ผี ปราบผีจะดีกว่า เขาก็พากันไปรับพระมาองค์หนึ่ง ปรากฎว่าคืออาจารย์พระประเสริฐ เป็นเพื่อนกับท่านอาจารย์มหาวิบูลย์นั่นเอง ​
    เมื่อท่านอาจารย์ประเสริฐมาถึงก็ชวนท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ไปที่บ้านคนป่วยทันที ซึ่งท่านอาจารย์มหาวิบูลย์เล่าว่า ​
    ก็ไปกันตอนกลางคืน พอเราไปถึง คนป่วยก็ยกเท้าให้อาจารย์ประเสริฐเฉย ๆ
    ผีนี้เป็นผีที่คนเขาเลี้ยง แล้วเขาก็ปล่อยให้เข้าคน เวลาพาคนป่วยไปหาเขาก็เอาน้ำมนต์พรมนิดหน่อยผีก็ผละ ก็จะได้เงินทองตามที่เขาเรียกร้อง
    อาตมาเห็นเช่นนั้นก็บอกอาจารย์ประเสริฐให้ ช่วยเขาหน่อยแต่อาจารย์ประเสริฐกลับกลัวบอกว่าทำไม่ได้ ผีเขามีเจ้าของ กลัวเจ้าของจะทำอันตราย
    อาตมาก็เลยว่า ถ้าอย่างนั้นก็กลับวัดดีกว่า มานั่งดูเท้าผีอย่างนี้มันไม่ได้เรื่อง
    ตกลงก็พากันกลับวัด ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ก็ว่าอาจารย์ประเสริฐว่า ที่เขานิมนต์ให้อาจารย์ประเสริฐมาที่นี่ก็ประสงค์จะให้ท่านช่วยคน กว่าเขาจะเอารถไปรับมาถึงที่นี่ก็สิ้นเปลืองหมดไปเท่าไหร่แล้วมาไม่ช่วยเขา ​
    อาจารย์ประเสริฐก็อ้างท่าเดียวว่ากลัวเจ้าของผีจะทำอันตรายตน ​
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ก็บอกว่า ถ้าเราตายคนเดียวแต่ช่วยคนไข้ตั้ง ๔ คน ก็ควรจะแลกกัน อาจารย์ประเสริฐก็ยังอ้ำอึ้งอยู่ ​
    พอรุ่งขึ้น ญาติพี่น้องของคนป่วยที่ถูกผีสิงก็พากันมาหากท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ ขอให้ช่วยพวกเขา ​
    ท่านก็บอกเขาว่า ขอให้พาคนป่วยมาที่นี่จะสะดวกกว่าไปบ้านเขามันก็มีหลายคน วุ่นวายไปหมด ขอให้เอาคนที่ป่วยหนักกว่าเพื่อนมาที่นี่เถิด ​
    พวกนั้นก็กลับไป เอายายแม่ที่ป่วยหนักมาหลายวันแล้วมาที่วัด ​
    ครั้นคนไข้มาแล้วอาจารย์ประเสริฐก็ชักมีดหมอมา รักษาแต่ปรากฏว่าอาจารย์ประเสริฐตีกับคนผีเข้าตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายสองโมง ผีก็ไม่ยอมออก ​
    อาจารย์ประเสริฐจนปัญญาก็หันมาทางอาจารย์มหาวิบูลย์บอกว่าให้ช่วยหน่อย ​
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์เล่าว่า ​
    “ อาตมาก็ว่าลองดู แล้วตั้งจิตระลึกถึงพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และบารมีของหลวงปู่แหวน ขอให้สิ่งที่ร้าย ๆ ในตัวคนอย่าทานอำนาจของไตรสรณคมน์ได้เลย ​
    พออธิษฐานเสร็จ คนที่ถูกผีเข้าก็ล้มลง รู้สึกตัวทันที ! รู้สึกตัวหิวข้าวทันที ขอยาลมทันที ​
    อาตมายังไม่ได้ทำน้ำมนต์ ยังไม่ได้นั่งสมาธิ ยืนอยู่ด้วยซ้ำไป ​
    จากนั้นอาตมาก็บอกให้เขาพาคนป่วยมาอีก ​
    ลูกสาวกับพ่อพอเห็นอาตมาก็ล้มลงทั้งยืน ผีออกหมด ​
    อาตมาเห็นเขาป่วยมานานแล้วก็บอกให้พาไปหาหมอเสียเพราะเลือดลมอาจจะไม่ดีด้วยป่วยมานาน เขาก็ไปหาหมอ อาตมาก็เลยเข้าถ้ำไป ” ​
    จากถ้ำน้ำบังไปยังแม่สอด
    หลังจากที่ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์อยู่ภาวนาที่ถ้ำ น้ำบังได้เป็นเวลา ๑๐ วันพอดี ก็มีพระไทยพระพม่า จากอำเภอแม่สอด จังหวัดตากมาเที่ยวที่ถ้ำน้ำบัง ​
    ท่านเหล่านั้นได้ชักชวนท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ให้ ไปภาวนาที่แม่สอดโดยพรรณนามถึงป่าเขาทางแม่สอดว่า มีป่าไม้เป็นดงทึบห่างไกลผู้คน มีสถานที่วิเวกเหมาะสมจะปฏิบัติมากมาย ​
    ประจวบกับขณะนั้น ที่ถ้ำน้ำบังชักจะมีคนพลุกพล่าน ท่านก็เลยธุดงค์ไปที่แม่สอดกับพระคณะนั้น ​
    จากปี ๑๗ ถึง ๒๐
    เมื่อปี ๒๕๑๗ ได้ไปจำพรรษาอยู่บนภูเขาที่ชายแดนติดกับพม่าซึ่งระหว่างนั้นยังมีกองทัพกะเหรี่ยงอยู่ที่วังข่า ​
    ครั้นปี ๒๕๑๘ กลับมาจำพรรษาที่วัดอินทาราม ตลาดพลู กรุงเทพฯ ​
    พอปี ๒๕๑๙ ก็ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่เทียม ที่วัดกษัตราธิราช จังหวัดอยุธยา ​
    อันว่าหลวงปู่เทียมองค์นี้ท่านเป็นพระอภิญญาเก่งไปหมดทุกอย่างท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ถึงกับออกปากว่า ​
    ท่านสมกับเป็นชายชาตรีเก่งทุกอย่างจริง ๆ
    ตอนที่อาตมาไปอยู่กับท่านนั้น ท่านอายุ ๗๐ ปีแล้ว เริ่มพิการเป็นอัมพาตไปแถบหนึ่ง
    ท่านต้องการถ่ายทอดตำราพิชัยสงครามแก่พระ ปฏิบัติท่านเกรงว่าของโบราณจะสูญไปและก็พอดี คุณหมอสิริ พัฒนกำจร ทราบว่าอาตมาชอบในทางภาวนาอยู่แล้ว จึงได้แนะนำให้ไปหาหลวงปู่เทียม เพราะท่านต้องการจะถ่ายทอดวิชาที่มีความยุ่งยากมาก ๆ ให้แก่พระปฏิบัติเรียนเอาไว้
    เมื่ออาตมาเข้าไปนมัสการท่าน หลวงปู่ขอร้องให้จำพรรษาที่วัด อาตมาก็เลยจำพรรษาที่วัดกษัตราธิราชอยู่พรรษาหนึ่งในปี ๒๕๑๙
    ทุกวันนี้ศพของหลวงปู่เทียมยังอยู่ที่วัด มีคนไปกราบไหว้บูชาอยู่เสมอ ท่านมรณภาพไปหลายปีแล้ว
    ครั้นปี ๒๕๒๐ ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ก็ออกธุดงค์ขึ้นไปที่แม่สอดอีกครั้งหนึ่ง ในคราวนี้ท่านภาวนาอยู่ที่ดอยดินจี่ ​
    ที่ดอยนี้มีถ้ำอยู่ เป็นที่วิเวกเหมาะแก่การภาวนาเป็นอย่างยิ่งเพราะมีป่าทึบล้อมรอบ เงียบสงัดไกลจากผู้คน เวลาบิณฑบาตท่านต้องไปที่ตลาดวังข่า ซึ่งอยู่ไกลจากที่อยู่ประมาณ ๔ กิโลเมตร ​
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์เล่าว่า ในตอนนั้นมีพระไปอยู่ด้วย ๓ องค์ แต่พระท่านอยู่เชิงเขา มีแต่ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์องค์เดียวที่ไปภาวนาบนเขา ​
    ต่อมาภายหลังมีพระธุดงค์ไปอยู่กันถึง ๑๐ องค์ ต่างองค์ต่างปฏิบัติภาวนา ด้วยเป็นที่สัปปายะภาวนาได้ดีไม่มีญาติโยมพลุกพล่านท่านก็ตั้งใจจะตั้งสำนัก อยู่เป็นที่เป็นทางกันเลย ก็พอดีเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นเสียก่อน ​
    ดูเหมือนจะเป็นเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์เล่า
    เกิดเหตุพม่ายิงกับกะเหรี่ยงสู้รบกันใหญ่โต ยิงเอาตลาดวังข่าเก่าไหม้หมด คนตายในครั้งนั้นไม่ใช่น้อย ๆ ตายมากทีเดียว
    อาตมาเองก็ต้องอาศัยบิณฑบาตที่นั่น พอตลาดวังข่าไหม้เป็นจุรณ อาตมาก็อยู่ไม่ได้ ต้องธุดงค์ขึ้นเหนือต่อไป
    และในพรรษานั้น ท่านก็ไปจำพรรษาที่วัดพระธาตุจอมกิตติ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ​
    เยือนแดนพุทธภูมิ
    ในปี ๒๕๒๑ ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ ก็กลับจากธุดงค์มาจำพรรษาที่วัดอินทารามตลาดพลู กรุงเทพฯ ​
    พอดีผู้อำนวยการกองคลังกลางคนปัจจุบัน คือคุณอุทัย มนธาตุผลิน มาชวนท่านไปนมัสการพุทธสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดีย ​
    เมื่อท่านได้ไปเห็นพุทธสังเวชนียสถานเข้าก็เกิด ความรู้สึกอยากไปอยู่นาน ๆ ครั้นกลับเมืองไทยแล้วท่านก็เดินทางไปจำพรรษาอยู่ที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดียในปี ๒๕๒๒ ​
    ท่านเล่าว่าการไปจำพรรษาที่วัดไทยพุทธคยาครั้งนี้ ท่านได้ไปนมัสการพุทธสังเวชนียสถานและเที่ยวไปตามสถานที่สำคัญ ๆ ในทางพระพุทธศาสนาอย่างทั่วถึง ​
    ผลการปฏิบัติก็เป็นไปอย่างดีเพราะ ณ ที่นั้นเป็นแดนพุทธภูมิภาวนาทางจิตทางใจก็ได้อะไรแปลก ๆ ขึ้นมาเป็นอันมาก ​
    สิ่งที่ท่านเคยเคลือบแคลงสงสัยในพระวินัย บางช่วงบางตอนเมื่อไปอยู่ที่นั่นแล้วก็หมดความสงสัยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติอย่างโน้น บัญญัติอย่างนี้ ​
    ทั้งนี้ได้จากผลการปฏิบัติบ้างและจากความประพฤติ ของชาวอินเดียเอง กล่าวคือพระวินัยบางข้อพระพุทธเจ้าไม่น่าทรงบัญญัติไว้ แต่ทำไมถึงได้ทรงบัญญัติ ​
    อาทิเช่น ห้ามพระภิกษุถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ลงในแม่น้ำอะไรทำนองนี้ ก็เพราะคนอินเดียเราชอบถ่ายในน้ำ ​
    หรือเช่นเรื่องนางสุชาดาเห็นพระพุทธเจ้าเป็นเทวดา ไป ก็สืบเนื่องมาจากคนพื้นเมืองที่นั่นไม่ค่อยจะมีคนที่หน้าตาพอดูสักหน่อย แต่พระพุทธเจ้าท่านสวยรูปร่างก็สง่างาม นางสุชาดาจึงเห็นเป็นเทวดาไปได้นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่ง ​
    กายในไปเห็นก่อน
    เกี่ยวกับเรื่องไปนมัสการสังเวชนียสถานที่อินเดียนี้ ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ ได้กล่าวว่า ​
    “ มีอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งถ้าพูดไปอาจจะเป็นอุตริมนุสธรรม แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริง คือเรื่องมันโยงกัน โยงกันมาครั้งอาตมาเริ่มภาวนาที่วัดอินทาราม ๖ เดือนเต็มในครั้งแรก โดยอยู่ในอิริยาบถสาม คือ เดิน ยืน นั่ง ไม่ได้นอน ตลอดมา ​
    ในระหว่างที่ปฏิบัติเช่นนั้นเคยคิดอยากไปอินเดีย เพราะทราบว่าเป็นดินแดนพุทธภูมิ อาตมาก็มาคิดว่าจะทำอย่างไรหนอ เราจึงจะมีวาสนาไปอินเดียได้บ้าง? เพราะมันไม่ใช่ไปกันง่าย ๆ ​
    เหตุที่อาตมาไปธุดงค์เลาะแถวชายแดนพม่าก็ด้วยตั้งใจจะธุดงค์ไปให้ถึงอินเดียนั่นเอง แต่ทางพม่าเขาเป็นเมืองปิด เลยเข้าไปไม่ได้ ​
    ครั้นเมื่อภาวนาไปเกือบจะครบ ๖ เดือน ภาวนากันจริง ๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย ถ้าหากไม่รู้อะไรก็ให้ตายไปเสียเลย ​
    พอดีวันหนึ่ง อาตมารู้สึกอ่อนเพลียมาก เพราะไม่ได้หลับนอนมาเป็นเวลานาน ก็เลยเอามือหนุนศีรษะ นั่งพิงกับผนังกุฏิและพอศีรษะแตะผนังปุ๊บก็หมดความรู้สึก ​
    มันจะเป็นความฝันหรือหมดสติไปก็ไม่ทราบ ไม่รู้สึกตัวอยู่คืนหนึ่งเต็ม ๆ ​
    ตัวอาตมาลอยขึ้นไปบนอากาศแล้วไปเห็นอะไรต่ออะไรหมดเหมือนกับครั้งขึ้นเครื่องบินไปครั้งแรก ในปี ๒๕๒๑ ​
    เมื่อเครื่องบินอยู่เหนือประเทศพม่า มองลงไปดูก็เห็นเหมือนคราวที่สลบไป ​
    พอเจ้าหน้าที่เขาประกาศว่าเวลานี้เครื่องบินเข้าประเทศอินเดียแล้วอาตมามองลงไปก็เหมือนเคยเห็นในคราวนั้นจริง ๆ ! ​
    ไปนมัสการพุทธสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง ที่ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน และที่แสดงธรรมจักรก็จริงอีก ​
    แล้วตามถ้ำต่าง ๆ ที่ไปดูมาก็เหมือนกับเคยเห็นมาก่อนทั้งสิ้นนี่เป็นเรื่องแปลก ​
    อาตมาเข้าใจว่าจะสลบไปไม่ใช่เรื่องของฌานหรือได้สมาบัติอะไร อาตมามารู้สึกตัวเอาค่อนรุ่งก็ออกไปบิณฑบาตตามปกติ ​
    เรื่องมันโยงกันอยู่ อาจจะเป็นเรื่องของกายทิพย์ อทิสสมานกายอะไรทำนองนั้น ไม่ใช่เรื่องของฌานหรือสมาบัติชั้นสูง.. แต่ตอนนั้นปฏิบัติอย่างเอาเป็นเอาตายจริง ๆ
    ตอนที่เป็นไปดังกล่าวอยู่ในระยะปลาย ๆ ของเดือนที่ ๖ ที่ปฏิบัติอยู่ คงจะเพลียจัด
    ไปลังกา แล้ววกมาไทย
    หลังจากที่ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์จำพรรษาอยู่ที่ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดียแล้ว พอออกพรรษาท่านก็ไปประเทศลังกาเพราะเคยทราบว่า พระพุทธศาสนาของเราเคยรุ่งเรืองที่ลังกาสมัยหนึ่งจึงไปดูความเป็นไปของพระ ศาสนาที่ประเทศนั้นชั่วระยะหนึ่ง ​
    ต่อจากนั้นก็ออกจากลังกาผ่านมาทางสิงคโปร์ เข้ามาเลเซียกลับประเทศไทย โดยท่านเล่าว่า ​
    อาตมากลับมายังไม่ทันถึงดีหลวงพ่อ ใหญ่ (ท่านเจ้าคุณวิเชียรมุนี) ที่วัดอินทารามก็มรณภาพแล้วท่านอาจารย์สุชาติ อภิชาโตวัดพระยาทำ ก็มรณภาพไล่เลียกันในปีเดียวกัน
    หลวงพ่อใหญ่มรณภาพวันที่ ๔ ธันวาคม
    ท่านอาจารย์สุชาติ มรณภาพเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม
    ร่มรืนดี มีสัปปายะ
    เมื่อท่านกลับมาเมืองไทยแล้ว ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ก็ออกธุดงค์ขึ้นไปที่แม่สอดอีกครั้ง เนื่องจากพระที่ไปปฏิบัติอยู่ที่นั่งส่งข่าวมาว่าได้พบสถานที่วิเวก เหมาะสมแก่การปฏิบัติอีกแห่งหนึ่ง ท่านก็ขึ้นไปดู ​
    อาตมาก็ขึ้นไปดู เห็นสถานที่มันร่มรื่นดี มีธารน้ำ มีอะไรเหมาะสมดีหลายอย่าง ทั้งไม่มีคนพลุกพล่าน สถานที่ก็ห่างจากหมู่บ้านเมื่อขึ้นไปเห็นแล้วทำให้นึกอยากอยู่ขึ้นมา
    สถานที่ร่มรื่นเย็นดี ไม่มีใครรบกวนดี ก็เลยบอกกับเพื่อน ๆ เขาว่า ถ้าอยากอยู่ที่นี่จะตั้งเป็นสำนักปฏิบัติก็จะช่วยสนับสนุน
    หลังจากนั้นอาตมาก็กลับกรุงเทพฯ ใกล้ ๆ เข้าพรรษาอาตมาก็ขึ้นไปใหม่ ปรากฏว่าเพื่อนพระเขาหนีกันหมดแล้ว อาตมาเลยอยู่ตั้งแต่นั้น (ปี ๒๕๒๓) จนปัจจุบัน ท่านเล่าให้ฟัง ​
    แม้จะมีปัญหาเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง อาตมาก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา คือมีคนเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง เล่าลือกันว่าอาตมาเป็นหัวหน้า ผกค. บ้าง อะไรบ้าง เป็นเพียงแต่เขาพูดกัน เข้าใจว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์กันมากกว่า ​
    เวลานี้อาณาเขตวัดมีเพียง ๑๕ ไร่ อยากได้อีก ๒๕๐ ไร่ ที่เป็นบริเวณสวนป่าอยู่ติดกับวัดแต่ไม่มีใครดูแล อาตมาต้องให้พระกับเณรคอยดู ๆ เอาไว้เพื่อป้องกันการบุกรุกทำลายป่าซึ่งถ้าได้ที่นี้ไว้ก็จะเป็นประโยชน์ อีกมาก ​
    อีกอย่างหนึ่งเป็นต้นน้ำลำธารถ้าปล่อยให้อยู่อย่างนี้ คนขึ้นไปบุกรุกทำลายก็คงหมดสภาพไปน่าเสียดาย ” ​
    ไม่ขอเรี่ยไร
    เมื่อผู้เขียนถามถึงวัดโพธิคุณ ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตากด้วยทราบว่า ยังสร้างไม่เสร็จ จะไม่บอกบุญให้ผู้มีศรัทธาเขาช่วยกันบ้างหรือ? ​
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์บอกว่า ​
    อย่าเลยคุณโยม อาตมาไม่ขอเรี่ยไร เพราะทุกปีก็มีคนเขาทอดกฐินอยู่แล้ว ได้ปัจจัยเท่าไรก็สร้างเท่านั้น ถ้ายังไม่ได้ก็ค้างเอาไว้ก่อนไม่ขอรบกวนคุณโยมหรอก
    ระหว่าง ๒ อาจารย์
    ผู้เขียนนมัสการกราบเรียนถามถึงอาจารย์ของท่านระหว่าง หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ กับ อาจารย์สุชาติ อภิชาโต ว่าท่านได้รับการอบรมจากท่านผู้ใดมากกว่ากัน ​
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์กล่าวว่า ​
    อาตมาได้รับการสั่งสอนอบรมจากหลวงปู่แหวนมากทีเดียวทุกวันเลย คิดอะไรนอกลู่นอกทางก็จะเรียกไปดุว่าแล้วสั่งสอน
    ต้องอยู่ในกรรมฐานทุกอิริยาบถ เผลอไม่ได้เลย ทั้งกรรมฐานวิปัสสนา ท่านไม่ให้ว่าง ถ้าคิดอะไรไม่ดี ท่านจะเรียกไปเล่านิทานให้ฟัง และการเล่านิทานให้ฟังก็คือด่าไปด้วย สอนไปด้วย
    ปกติอาตมาจะอยู่กับครูบาอาจารย์ไม่นาน เมื่อได้รับคำสั่งสอนของท่านแล้วก็จะหนีท่านไปอยู่ที่อื่น แต่กับหลวงปู่แหวนนั้น ท่านสั่งให้ไปไม่ใช่หนีท่าน
    สำหรับอาจารย์สุชาติ อภิชาโต นั้น ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ใจดีท่านชอบเรียกอาตมาไปใช้อยู่เรื่อยแต่ท่านชอบในทาง ฤทธิ์ ในทางอำนาจ อาตมาไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่สนใจแต่ธรรมะ
    ชีวิตธุดงค์ในพงไพร
    การที่พระภิกษุออกจาริกธุดงค์ในป่าดิบดงทึบนั้น ย่อมหลีกเลี่ยงในการเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าที่ดุร้ายไม่ได้ ผู้เขียนจึงนมัสการกราบเรียนถามท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ ในเรื่องนี้ ซึ่งท่านก็ได้กรุณาเล่าให้ฟังว่า ​
    “ ระหว่างที่อาตมาธุดงค์อยู่นั้น ก็เจอเสือ หมี งูจงอาง เป็นประจำ ​
    เฉพาะที่บ้างมุง ดงชมภู จังหวัดพิษณุโลก ระยะที่อาตมาไปเที่ยวยังเป็นแดนเสือ ชาวบ้านป่าเขาพกปืนทั่วไปหมด เพราะเสือมักจะมาขโมยลูกวัว ลูกควาย ของเขาไปกิน ​
    อาตมาไปอยู่ในภูเขา เคยเห็นกันแต่ไกล แต่สำหรับเสียงร้อยเคยได้ยินอยู่เสมอ แต่เขาไม่ทำอะไร ​
    ตามธรรมดาสัตว์พวกนี้กลัวคนอยู่แล้ว เห็นคนมันก็อยากจะหนีอยู่แล้ว งูจงอางก็เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ฤดูผสมพันธุ์ มันไม่ค่อยจะทำอันตรายใคร ​
    อาตมาเคยเอาเท้าแทบจะเตะมันอยู่ใต้ใบไม้ มันก็ชูตัวขึ้นสูงเลยหัวอาตมาทำท่าจะฉก ​
    อาตมาก็ใช้ภาวนาแผ่เมตตานึกอยู่ว่า ถ้าเคยเป็นศัตรูกันก็เอาเลย ถ้าไม่เคยเป็นศัตรูกันก็ขอให้ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างหากินกันไป เขาก็เลื้อยหนีไป ​
    หมีนั้นเคยเจอที่จังหวัดแพร่ เขาไม่ทำร้าย ​
    อยู่เมืองเหนืออัตคัดเรื่องอาหาร ได้แต่ข้าวเหนียว ก็เลยต้องหามะม่วงกะล่อนตามป่า เที่ยวเก็บตามใต้ต้น เอามาล้างน้ำ ฉันกับข้าวเหนียวเป็นปี ๆ ​
    อาตมาอยู่ในถ้ำผานาง อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ถึง ๕ ปี ทุกวันนี้เป็นที่ท่องเที่ยวไปแล้วปีที่อาตมาธุดงค์ยังเป็นป่าทึบ เสือก็ยังชุม หมีก็ยังชุม ​
    อาตมาไปเก็บมะม่วง หมีอยู่บนต้นไม้ พอเห็นอาตมามันก็เตรียมหนี กระโดดพรึ่บลงมาข้าง ๆ ​
    อาตมาหันไปมอง มันก็วิ่งหนีไป สัตว์พวกนี้ถ้าไม่บาดเจ็บหรือไม่อยู่ในฤดูผสมพันธุ์ มันจะไม่ทำอันตรายใคร ” ​
    พบผ้าขาวผู้วิเศษ
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้เล่าต่อไปว่า ​
    “ อาตมามีโอกาสได้พบผ้าขาวคนหนึ่ง ขณะที่อยู่ถ้ำโมง ​
    ผ้าขาวคนนี้เก่งไม่กินข้าว กินแต่ใบไม้ ผลไม้ ​
    เรื่องมีอยู่ว่า เมื่ออาตมาไปเที่ยวธุดงค์ปีแรก ได้ข่าวจากญาติโยมชาวป่าเล่าให้ฟังว่า มีผ้าขาวคนหนึ่งเคยลงมาที่หมู่บ้าน มาขอน้ำผึ้งบ้าง มาขอเกลือบ้าง ​
    อาตมาเวียนไปอยู่ถ้ำโมงถึง ๔ ปี ก็ไม่เคยพบ จึงตั้งจิตอธิษฐานตลอดเวลาว่า ถ้าผ้าขาวมีฌาน มีสมาบัติ สามารถรู้วาระจิตได้จริง ก็ให้ได้พบกัน ​
    ในปีที่ ๔ ที่อาตมาธุดงค์ไปบ้านมุง นั่งภาวนาอยู่ในถ้ำโมงจิตสงบดี แล้วก็นอนอฝันไปว่าอาตมาขึ้นไปบนภูเขา ไปพบเมืองร้างมีแต่ผ้าขาวเต็มไปหมด พวกผ้าขาวก็บอกว่า ท่านขึ้นมาอยู่ไม่ได้หรอกท่านต้องกลับลงไป ​
    พอรุ่งขึ้นก็มีผ้าขาวคนหนึ่งแกลงมาหาจริง ๆ ​
    ในถ้ำมีอาตมาอยู่นั้น พื้นถ้ำคล้ายลูกรัง เวลาหนูวิ่งยังได้ยินเสียง ​
    แต่วันนั้นอาตมากำลังดูหนังสืออยู่ คือมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งเอาไว้หัดอ่านออกเสียง กลัวจะพูดไม่เป็นเพราะอยู่คนเดียวมาหลายปี ​
    จู่ ๆ ผ้าขาวมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ ไม่ได้ยินเสียงแกเดินมาเลย ทั้งในถ้ำนี้มันก็เข้ายาก มีปล่องอยู่ปล่องหนึ่ง เวลาจะเข้าถ้ำต้องลอดปล่องเข้าไปเข้าได้เฉพาะทีละคน และที่อาตมาอยู่ต้องใช้บันไดพาดไหล่เหวขึ้นไปถึง ๑๐ ขั้น ชาวบ้านป่าเขาตั้งชื่อว่า ถ้ำพุทธมนต์ ​
    อาตมาหันไปเจอแก แกก็ถามว่า ท่านใช่ไหมที่ต้องการพบโยม
    ก็เลยตอบว่า ถ้าอย่างนั้นก็โยมผ้าขาวละซี แกบอกว่า ใช่ ก็เชิญแกนั่ง ​
    แกถามว่า ท่านอยากทราบเรื่องลายแทงใช่ไหม? ก็บอกว่า “ ทราบข่าวว่าโยมรู้เรื่องลายแทงอยากจะทราบไว้ประดับสติปัญญา ” ​
    แกก็บอกให้เอาสมุดมาจดโยมจะบอกให้ แล้วแกก็เล่าเรื่องลายแทงเขาพนมสัก เล่าให้ฟังละเอียดหมด แต่อาตมาไม่ได้ไปหรอก ต่อจากนั้นก็คุยกัน ​
    อาตมาถามว่าทำไมโยมมาเป็นผ้าขาว ทำไมไม่บวชเป็นพระเป็นสงฆ์ ​
    แกก็เล่าให้ฟังว่า แกเคยบวชมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนเชียงราย บวชตั้งแต่อายุได้ ๗ ขวบ แล้วติดตามอาจารย์ไปประเทศพม่าบ้าง ไปประเทศจีนบ้าง ไปอินเดียบ้างแล้วกลับมาเมืองไทย พอดีอายุครบบวชแกก็บวชพระได้ ๒ พรรษา อาจารย์ของแกก็ถึงแก่มรณภาพ ​
    ตอนนั้นแกยังไม่มีคุณวิเศษอะไรแกมาธุดงค์แถบ จังหวัดพิษณุโลก-จังหวัดเลย พบพระที่ได้อภิญญาองค์หนึ่ง พระองค์นั้นชวนแกออกบิณฑบาตด้วยกัน ไปเจอแม่น้ำสายหนึ่งขวางหน้า พระองค์นั้นเดินบนผิวน้ำข้ามไป ส่วนแกไปไม่ได้ ​
    แกก็เลยตัดสินใจว่า ถ้าอยากได้อภิญญาอย่างพระพวกนี้ต้องอยู่ในป่าลึก ปราศจากการรบกวนของผู้คน จะได้ใช้เวลาภาวนาได้อย่างเต็มที่ ​
    แต่การอยู่ในป่าลึกนั้น เป็นพระค่อนข้างจะลำบาก ด้วยต้องอาศัยอาหารจากชาวบ้านเขา จะขุดหัวเผือกหัวมันฉันมันเป็นอาบัติแกก็เลยสึกจากพระมาเป็นผ้าขาว ​
    ตอนที่แกพบกับอาตมานั้นอายุ ๖๐ เศษแล้ว ป่านนี้ถ้าอยู่ก็ ๘๐ กว่า ​
    เรื่องลายแทงนั้นเป็นคำร่ำลือกัน ​
    อาตมาถามว่าโยมเจอตามลายแทงไหม? แกบอกวา เจอแล้วเขา ๑๔ ลูกแกก็เจอมาแล้วหินร้อยกองก็เจอแล้ว แต่เขาพนมสักยังไม่เจอ ​
    แกว่ามีอยู่ที่ลำห้วยด้วน คือมีแม่น้ำบนภูเขาอยู่สามสาย แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำทุ่ม แม่น้ำเค้กไหล ไปรวมกันแล้วหายไปตรงภูเขามันจะเป็นตรงนั้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ​
    แม่น้ำทุ่มดูจะไหลมาลงที่แควน้อย วัดโบสถ์ อาตมาเคยเที่ยวอยู่แถวนั้น ​
    โยมผ้าขาวแกเล่าให้ฟังอย่างนี้ ยังจดคาถามาให้อาตมา แกบอกแกอยากได้ปฏิบัติพระที่ปฏิบัติจริงๆ อยากจะให้พระได้ฌานได้สมาบัติ มีอิทธิ มีอำนาจพิเศษแต่ต้องไม่กินข้าว ต้องกินหัวเผือก หัวมัน ต้นกล้วย ต้นอ้อยไป ​
    แกเคยให้คาถาเสกใบไม้กินแทนข้าว อาตมาเคยทดลองดูก็อิ่มเหมือนกินข้าว ​
    แกบอกว่าเป็นคาถาฤาษีแต่อาตมาว่าไม่ใช่ เป็นบทมาติกาของเรานี่เอง แกบอกให้อาตมาเสกฉันใบไม้พรรษาหนึ่ง แล้วแกจะมารับถ้าหากสามารถเสกใบไม้กินแทนข้าวได้ก็จะรับไปอยู่ด้วย โดยนัดกันไว้จะไปเจอกันที่บ้านแยงดงชมภู ​
    อาตมาลงมากรุงเทพฯ ลองฉันใบไม้อยู่ครึ่งเดือน ประชาชนก็แตกตื่น เห็นพระไม่กินข้าวก็ลือกันว่าเป็นพระผู้วิเศษ อาตมาเลยเลิก ​
    ประชาชนแห่กันมามาก ดูเหมือนจะเป็นปีแรกที่เริ่มยิงกันที่เขาค้อ อาตมาก็เลยไม่ได้ไปตามนัดไม่ทราบว่าปัจจุบันโยมผ้าขาวจะอยู่หรือจะตาย ​
    อาตมาเคยถามแกว่าอยู่ป่าอยู่ดงเคยเจอโขลงช้างบ้างไหม? ​
    แกบอกว่าเจอบ่อย เลยถามวิธีปฏิบัติวาปฏิบัติแบบไหน ​
    แกบอกว่าเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งแกปักกลดอยู่ในลำราง โขลงช้างมันมาพอดี ตัวที่เป็นนายโขลงช้างออกหน้ามาก่อน มายืนคร่อมกลดของแกไว้ ลูกโขลงก็เบียดเสียดกันไปตัวไหนเอางวงล้วงเข้าไปในกลดนายโขลงช้างก็จะใช้งวง ทุบเอาตีเอาไล่ลูกช้างออกหน้าหมด ​
    อาตมาคุยกันอยู่กับผ้าขาวคืนกับวันหนึ่ง เวลาแกไปก็ไปเงียบ ๆ ​
    แกไม่กินข้าวจริง ๆ กินแต่กล้วย กินแต่ผลไม้ ใบไม้ โกนผมทุกเดือนเหมือนพระองค์หนึ่ง แต่ถือศีลแปดเท่านั้น ​
    แกเคยเจอพระอภิญญาในป่าเมืองไทย แต่ที่อินเดียแกเคยเจอแต่ฤาษีที่มีอิทธิอำนาจจริง ๆ ​
    ฤาษีที่ซ่อมแซมเจดีย์ชะเวดากองของพม่า สมัยที่แกธุดงค์อยู่ก็เคยพบกันมาแล้ว ” ​
    เล่าถึงคุณธรรม
    ท่านมหาประทุม จินตคุโณ อดีตเลขาฯ ของ ท่านอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดพระยาทำ ได้เล่าถึงคุณธรรมของท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ว่า ​
    ท่านอาจารย์สุชาติ ท่านเคยเรียกท่านอาจารย์มหาวิบูลย์มานั่งสมาธิให้ติดต่อกับเทพเบื้องบนหรือ ไม่ก็วิญญาณโน้น วิญญาณนี้บ้าง แต่ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ท่านไม่ค่อยชอบในทางนี้ ท่านเลยหลบไปอยู่ป่า ​
    ท่านอาจารย์สุชาติเคยบอกว่า ลูกศิษย์ของท่านมีเก่งอยู่องค์เดียวคือ ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ ​
    มีเพียงหนึ่งซึ่งรู้
    ท่านมหาประทุมเล่าต่อไปว่า ​
    ตอนที่ท่านมหาวิบูลย์ ไปเรียนกรรมฐานกับท่านอาจารย์สุชาติที่วัดนาคปรกนั้นผู้ใหญ่เทิ้มมาเล่าให้ ท่านฟังว่า มีพระภิกษุเข้าไปเรียนอยู่ด้วยกันประมาณ ๑๒-๑๓ องค์ ​
    วันหนึ่งอาจารย์สุชาติกำลังสอบอารมณ์อยู่ พอดีมีโยมคนหนึ่งเดินขึ้นมา ท่านก็ถามพระที่กำลังนั่งสมาธิว่า ​
    ดูซิว่าโยมที่มาหานี่ เขามาหาเรื่องอะไร?
    ปรากฎว่าไม่มีใครตอบได้ มีแต่ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์บอกว่า ​
    เขามาขอฤกษ์ปลูกบ้านครับ !”
    ท่านอาจารย์สุชาติก็หันไปถามโยมว่ามาเรื่องอะไร ​
    โยมก็กราบเรียนท่านว่ามาขอฤกษ์ปลูกบ้าน ! ​
    ดู ๆ ก็แปลก
    ท่านมหาประทุมได้เล่าต่อไปว่า ​
    เมื่อประมาณวันที่ ๑๐ มีนาคม ปี ๒๕๒๙ ที่ผ่านมา ท่านได้นิมนต์ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณไปร่วมทำพิธีพุทธาภิเษกที่วัดสุคันธชาตราษฎร์วราราม (วัดทุ่งตาทั่งเดิม) อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวันครสวรรค์ ​
    ปรากฎว่าในงานนั้นมีแมลงชุกชมุ บินกันให้ว่อนไปหมด ท่านพล.ท.พัฒน์ อัคนิบุตร เจ้ากรมข่าวฯ ก็เอาพัดโบกปัดแมลงไม่ให้เข้าไปรบกวนพระอีกองค์หนึ่ง ​
    ส่วนท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ท่านนั่งอยู่อีกมุม หนึ่ง คนที่อยู่ใกล้ได้สังเกตดู เห็นตัวแมลงที่คลานเข้า มาใกล้ท่าน พอจะถึงตัวท่านก็เบนไปอีกทางหนึ่ง เป็นเช่นนี้ทุกตัว ทั้งพวกแมลงที่บินอยู่ก็ไม่มารบกวนท่าน ​
    มีเมตตา น่ากราบไหว้
    ท่านมหาประทุม จินตคุโณ แห่งวัดพระยาทำ ได้กล่าวถึง ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ ว่า ​
    ท่านดีในทางเย็น ทางเมตตา ท่านเป็นพระภิกษุที่สำรวมทุกอิริยาบถน่ากราบไหว้
    ก่อนคุณโยมจะมาขอสัมภาษณ์ท่าน ท่านเคยบอกกับอาตมาวาท่านยังไม่ตายจะเขียนประวัติท่านไปทำไม แต่ที่ท่านให้สัมภาษณ์แก่คุณโยม คงจะเป็นเพราะท่านเมตตาเป็นพิเศษกระมัง
    เรื่องนี้ผู้เขียนเห็นด้วยกับท่านมหาประทุม เพราะเมื่อผู้เขียนไปนมัสการท่านครั้งแรกและกราบเรียนให้ทราบความประสงค์จะ มาขอสัมภาษณ์นั้น ดูท่าทางท่านอึดอัดมาก ​
    แม้จะให้สัมภาษณ์ในภายหลังท่านก็ไม่เคยพูดถึงคุณธรรมอันวิเศษของท่านเลย ท่านจะกล่าวว่า อาตมาฝันไป อยู่บ่อยครั้ง ​
    และเมื่อผู้เขียนกราบเรียนท่านว่า ผู้เขียนจะขอรายละเอียดจากท่านมหาประทุมเอง ท่านยังห้ามปรามไว้ ​
    สรุปแล้วผู้เขียนใคร่จะกล่าวว่า ผู้เขียนเคยนมัสการพระภิกษุมาก็หลายองค์แล้ว แต่ที่เห็นพระภิกษุที่มีปฏิปทาน่ากราบไหว้จริง ๆ นั้นมีเพียงไม่กี่องค์นัก และ ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ ก็เป็นพระภิกษุรูปหนึ่งในจำนวนน้อยนี้ที่ผู้เขียนอยากจะชักชวนให้ผู้มี ศรัทธาในธรรมได้ไปนมัสการกราบไหว้ท่านเพื่อเป็นสิริมงคลเหลือเกิน ! ​
    [​IMG]

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงยอดขุนพลของท่านสภาพสวยเดิมๆในกล่องครับ
    ให้บูชา500 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ(ปิดรายการ)

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2015
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เหรียญหลวงปู่เมฆหลวงพ่อทองวัดลำกระดานครูบาอาจารย์ให้วัดลำกระดานครับ วัตถุมงคลท่านมีพุทธคุณสูง นิยมกันมากในหมุ่ลูกศิษย์และคนที่เคารพรักในสายนี้
    ให้บูชา200 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2015
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    [FONT=Arial,MS Sans Serif]
    [​IMG]
    [/FONT]

    ประวัติหลวงปู่อนันต์ สุขกาโม วัดดอนมะเกลือ เกิด พ.ศ. 2444 ที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นลูกคนที่ 4 จาก 5 บิดาเป็นลาวโซ่ง แกเป็นคนสุขภาพไม่ค่อยดี เลี้ยงยาก พออายุ 5 ขอบบิดาตายด้วยโรคระบาด แม่จึงไปฝากใว้กับหลวงพ่อกอน วัดนาปลาเค้าส่วนโยมแม่กลับบ้านเดิมที่สุพรรณ อยู่ได้3 ปีหลวงพ่อกอนก็ลาสิกขาบท ทำให้หลวงปู่อยู่อย่างลำบากถูกเด็กวัดรังแก พออายุได้ 12 ขวบ หลวงพ่อชันเจ้าอาวาสองค์ใหม่เห็นจึงสงสาร จึงได้นำไปอบรมสั่งสอน จนอายุครบบวช เมื่อ พ.ศ. 2465 โดยมีหลวงพ่อแทน วัดศาลาเลื่อน เป็นอุปัชฌาย์ หลวงพ่อชันเป็นคู่สวด ฉายา "ปสาทิโก"
    จนปี 2469 จึงเดินทางไปเยี่ยมโยมแม่ที่ บ้านดอนมะเกลือ จ.สุพรรณบุรี ญาติโยมจึงนิมนต์จำพรรษาที่วัดดอนมะเกลือ ซึ่งตอนนั้นเป็นวัดร้าง อยู่ได้2ปีก้อเห็นว่าวัดคับแคบจึงย้ายวัด ระหว่างนั้นก้อเกิดนิมิต ว่าหลวงพ่อตาลเจ้าอาวาสองค์เก่าขอย้ายมาอยู่ด้วย จึงทำศาลและรูปปั้น หลวงพ่อตาลใว้ แกใช้ระยะเวลา 5 ปีวัดใหม่ก็เสร็จ ระหว่างนั้น หลวงพ่อโหน่ง จะสร้างพระนอนองค์ใหญ่ จึงให้พระมานิมนต์ ชาวบ้านเล่าว่า หลวงปู่นันต์บอกกับพระในวัดว่า พรุ่งนี้จะมีพระมานิมนต์ไปช่วยงานใหญ่ พอวันรุ่งขึ้นก้อมีพระ 2 องค์ มาบอกว่าหลวงพ่อโหน่งให้มานิมนต์ไปช่วยสร้างพระนอนองค์ใหญ่ กลางวันก้อทำงานกลางคืนก้อแลกเปลี่ยนความรู้ทางธรรมกับหลวงพ่อโหน่ง พอกลับจากสร้างพระนอนแกก้อคิดสร้างพระเพื่อสืบทอด พระพุทธศาสนา ปี 2470-75 แล้วนำไปเก็บที่หลังคาโบสถ์ ปี 2480 จากนั้นแกก้อออกธุดงค์ จนปี 2499 แกก้อลาสิกขาบท หลวงปู่บอกว่าเป็น กรรมวิบัติ ระหว่างเป็นฆราวาสก้อเดินทางไปศึกษาธรรมะไปเรื่อยโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิง ระว่างเป็นฆราวาสได้ช่วยสร้างโบสถ์วัดจันทร์ที่พิษณุโลกจนเสร็จแล้วก้อเดินทางไปถึงเชียงดาว เจออาจารย์ อายันตคุปต์ ก็ศึกษา อยู่ 2ปี ก้อไปศึกษาต่อที่ ถ้ำวังแดง เพชรบูรณ์ กับอาจารย์อะไรก้อไม่รู้ แล้วก็ก้อบวชใหม่อีกที เมื่อ 19 มิ.ย. 2507 ฉายา สุขกาโม

    โดยมี พระครูวิชิตพัชราจารย์เป็นอุปัชฌาย์ หลังจากบวชก้อธุดงค์อยู่ตามป่าตามเขา จนเดินทางไปถึงแหลมงอบ จ.ตราด จึงข้ามไปที่เกาะช้างบำเพ็ญในป่าที่เกาะช้าง และได้สร้างวัดบางเบ้า จนเสร็จ พออายุได้ 73 ปีแกเห็นว่าการธุดงค์บำเพ็ญภาวนาจนน่าพอใจแล้ว จึงเดินทางกลับมาวัดดอนมะเกลือ เมื่อ 2520 อายุ 76 ชาวบ้านต่างดีใจเพราะนึกว่าแกตายไปแล้ว หลังจากกลับมาแกก้อพัฒนาวัด สร้างโบสถ์หลังใหม่ ศาลาใหม่ โรงเรียนใหม่ หลวงพ่ออนันต์ มรณะ เมื่อ 27 พ.ย. 2543 ตอนนี้ร่างกายท่านใส่อยู่ในโรงแก้วที่วัดดอนมะเกลือ

    เหรียญอาร์มรุ่นแรกหลวงพ่ออนันท์ วัดดอนมะเกลือ ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดันด้วยครับ

    ให้บูชา500 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    <a href="http://image.goosiam.com/view.asp?uid=15303&s=tux5t5cRXgME" target="_blank"><img border="0" src="http://image.goosiam.com/imgupload/b/tux5t5cRXgME.jpg"/></a>

    <a href="http://image.goosiam.com/view.asp?uid=15304&s=ceQNT6z7LIHR" target="_blank"><img border="0" src="http://image.goosiam.com/imgupload/b/ceQNT6z7LIHR.jpg"/></a>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2015
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,149
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เหรียญ๓หลวงปู่ หลวงปู่ศรีจันทร์หลวงปู่ชอบ หลวงปู่คำดี วัดประชานิมิตร ปี๒๕๒๐

    ให้บูชา200 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ
    [​IMG]
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...