เหรียญชินราชคุ้มเกล้า หลังภปร.พ.ศ. 2521

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 8 พฤษภาคม 2019.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    ประวัติย่อ หลวงปู่ฤาษีลิงขาว (ช่อ อภินันโท)

    a.jpg
    พระครูสุวรรณสิทธิการย์ หรือ
    หลวงปู่ฤาษีลิงขาว (ช่อ อภินันโท) วัดช่องลม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
    หลวงปู่ฤาษีลิงข่าว (ช่อ อภินันโท) วัดฤกษ์บุญมี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
    เป็นองค์เดียวกัน

    เกิดพ.ศ. 2461 ปีมะเมีย ณ บ้านสาลี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี บิดาชื่อ เชื่อม มารดา ชื่อ เล็ก ร่มวงษ์

    เริ่มพบหลวงปู่ปาน
    โยมแม่เล็กเป็นคนส่งข้าวส่งน้ำให้หลวงปู่ปาน และเมื่อวัดบางนมโคมีงานต่างๆ โยมแม่เล็กจะมาช่วยทำครัวงานวัดเป็นประจำ เมื่อวัยเด็กเด็กชายช่อได้ติดตามมารดาที่ไปช่วยแม่ทำครัว ณ วัดบางนมโค เพื่อจัดงานประจำปี และเมื่อไปที่วัดมักจะเล่นกับเด็กที่วัดบางนมโคเด็กชายช่อมีผิวขาว น่ารัก ฉลาด เป็นที่ถูกใจหลวงปู่ปาน หลวงปู่ท่านจึงบอกโยมมารดาท่าน (โยมเล็ก) เพื่อขอให้เด็กชายช่อมาอยู่ที่วัดบางนมโคเพื่อเรียนหนังสือ

    หลวงปู่ปานได้มอบเด็กชายช่อให้อยู่ในความดูแลของ หลวงพ่อเล็ก เกสโร เด็กชายช่อเป็นเด็กฉลาด และใฝ่รู้ จึงได้ร่ำเรียนสรรพวิชาต่างๆ ทั้งกรรมฐาน อักขระวิธี เลข ยันต์ ตำราต่างๆ จากทั้งหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อเล็ก ตั้งแต่เล็กจนโต และสิ่งหนึ่งที่ชำนาญคือ แพทย์แผนโบราณยาและสมุนไพรต่างๆ สมุฎฐานของโรค รากฐานของพืชสมุนไพรทุกชนิด เด็กชายช่อสามารถจดจำได้หมด คนสมัยก่อนจะทราบว่าหลวงปู่ปานท่านเก่งเรื่องแพทย์แผนโบราณมากและยาที่ท่านทำท่านจะใช้อาคมเสกยาด้วย ก่อนจ่ายให้คนป่วยทาน


    อุปสมบท
    เมื่ออายุครบเกณฑ์บวช หลวงปู่ปานได้รับเป็นธุระเรื่องบวชให้ทั้งหมด เด็กชายช่อจึงได้อุปสมบทบวชในบวรพุทธศานา เมื่อ กรกฎาคม พ.ศ. 2481 โดยมี
    พระครูพิทักษ์ธรรมคุณ วัดช่องลม เป็นอุปัชฌาย์
    หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อเล็ก เกสโร วัดบางนมโค เป็นคู่สวด ได้รับฉายาว่า อภินันโท
    โดยขณะนั้นหลวงปู่ปานได้มาเป็นประธานการสร้างอุโบสถ วัดสาลี และ ศาลาการเปรียญ วัดช่องลม จ.สุพรรณบุรี จึงให้มาบวชที่วัดช่องลม


    หลวงปู่ช่อบวชอยู่ที่วัดช่องลม และจำพรรษาอยู่ 3 พรรษาก่อนลาสิกขาออกมาเป็นแพทย์แผนโบราณช่วงหนึ่งก่อนจะอุปสมบทใหม่ และเป็นหลวงปู่ (ช่อ อภินันโท) วัดฤกษ์บุญมี จ.สุพรรณบุรี อย่างที่เรารู้จักกัน

    หลวงปู่ช่อได้เรียนวิชาความรู้จากหลวงปู่ปานและหลวงพ่อเล็กมามาก เนื่องจากเป็นคนฉลาด และอยู่กับท่านทั้งสองมาเป็นเวลานาน คือตั้งแต่เล็กอยู่ที่วัดบางนมโค มิใช่เป็น การไปเรียนสั้นๆเพียงบางวิชาระยะสั้นๆ จึงถือว่าท่านสืบทอดตำหรับวิชาจากหลวงปู่ปานแบบสมบูรณ์ และท่านได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาสงเคราะห์ลูกหลานมาโดยตลอด มีความเมตตาสูงยิ่ง



    การเป่ายันต์เกราะเพชร ของหลวงปู่ช่อ
    พิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ของหลวงปู่ช่อนั้น จะเป็นการเป่ายันต์เกราะเพชรแบบเต็มสูตรตามแบบ ของหลวงปู่ปาน ซึ่งจะต่างจากที่เราเห็นทั่วไป โดยหลวงปู่ช่อจะจัดขึ้นปีละครั้งตอนงานบุญประจำปีที่วัด และจะจัดในวันอื่นเป็นคราวๆไป มีผู้ร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก ผู้ที่เข้าร่วมพิธีจะมีประสพการกันมากเรื่องการรู้สึกคันตามร่างกาย และผู้ที่มีครรภ์ที่ได้เข้าพิธีไปแล้วเมื่อคลอดออกมาแล้วปรากฎเป็นรอยยันต์ สีแดงบน กระหม่อมของบุตรให้เห็น คนอยู่ในเหตุการณ์รับรู้เรื่องนี้มากมาย

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวพ่อช่อ(ฤาษีลิงขาว)พลเอกชวลิต สร้างถวาย ให้บูชา100บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ



    ลพ.ลิงขาว.jpg ลพ.ลิงขาวหลัง.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    ๆ วัด และมีงูสิงห์ขนาดใหญ่มาก เลื้อยเข้ามาบนศาลาด้วยครับ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดบริเวณหน้าอกข้างขวาหลวงปู่จู่ ๆ ก็เกิดเรืองแสงขึ้นมาบนจีวร ดังภาพที่ถ่ายมา ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติมาก ไม่ใช่ภาพจากฝุ่น หรือรูปจตุคามที่เราเคยเห็นนะครับ แต่เป็นแสงที่เปล่งออกมาจากภายในลอดผ่านออกมาทางจีวรหลวงปู่ฤาษี กตฺปุญฺโญ เมื่อถามท่าน หลวงปู่บอกแต่เพียงว่าหินที่นำมาปลูกเสกและจะนำกลับวันนี้มีคุณวิเศษมาก และ มีพุทธคุณในตัวไม่ต้องไปปลูกเสกที่ใดก็สามารถคุ้มครองผู้ที่ศรัทธานั้นได้ หินทุกชนิดใด้ทำปฏิกิริยากับสิ่งที่อยู่ในตัวหลวงปู่ลูก!!!หลวงปู่บอกอย่าง นั้น และไม่ได้พูดอะไรอีกโปรดใช้วิจารณญานด้วยนะครับเป็นความเชื่อส่วนบุคคลเท่า นั้นครับ
    ***หลวงปู่อ่อง ฐิตฺธมฺโม วัดเทพสิงหาญ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ก่อนนำกลับท่านว่าเป็นของมีค่าเอาไว้บูชาไม่มีวันจนท่านว่าอย่างนั้นครับ
    ***หลวงปู่เนย สมจิตฺโต วัดป่าโนนแสนคำ อ.บ้านทุ่งคำ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ท่านให้พรว่า เจริญสุข ร่ำรวย ๆ
    ***พระอาจารย์ชัย กิตฺติญาโณ วัดป่าบ้านกอก อ.เมือง จ.ขอนแก่น อธิฐานจิตเดียวในพระอุโบสถ ก่อนกลับท่านพระอาจารย์เรียกพระลูกศิษย์มาทดสอบพลังวิชาปรากฎว่ามีพลัง มากกว่าวัตถุมงคลทุกชนิด นี่คือพระผู้ประสบการณ์เหนียวและคงกระพันชาตรีเป็น 1 ในขอนแก่นตอนนี้ครับ



    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    สมเด็จแกะจากพระธาตุข้าวสารหิน

    ให้บูชา600บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B8-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    http://www.panyapatipo.com/
    เข้าไปอ่านฟังธรรมได้เลยครับ
    เหรียญพระอาจารย์เปลี่ยน แม่แตง เชียงใหม่ ออกที่สกลนคร วัดที่ท่านบวช
    ให้บูชา300บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    e0-b8-ad-e0-b9-80-e0-b8-9b-e0-b8-a5-e0-b8-b5-e0-b9-88-e0-b8-a2-e0-b8-99-jpg-jpg-jpg.jpg -9b-e0-b8-a5-e0-b8-b5-e0-b9-88-e0-b8-a2-e0-b8-99-e0-b8-ab-e0-b8-a5-e0-b8-b1-e0-b8-87-jpg-jpg-jpg.jpg
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    เหรียญหลวงพ่อชู กันตะวีโร วัดหินเหล็กไฟ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ รุ่นแรกรุ่นเดียว สวยมีจารหน้าหลัง อาจารย์ชินพร สุขสถิตย์ สร้างถวาย ปี ๒๕๒๘ สร้างเนื้อเดียวจำนวน ๙,๒๗๒ เหรียญ เมื่อสมัยที่หลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่หลวงพ่อเคยพูดว่า " ใครที่บูชาเหรียญรุ่นนี้ของท่านไปถ้าจะถามถึงพุทธคุณเป็นอย่างไรนั้น หลวงพ่อท่านบอกให้เอาปืนเอ็ม 16 ลองยิงได้เลยจะได้รู้และถ้าไม่ดีจริงอย่าเอาไปขึ้นคอ"
    หลวงปู่ชู ผู้สร้างตำนานขุนแผนกัวเผาะ น้ำมันช้างตกมัน อันโด่งดังด้วยพุทธคุณ รวมทั้งเหรียญรุ่นแรกของท่านก็มีประสบการณ์ไม่แพ้กัน ประสบการณ์ล่าสุดเมือกลางปีที่ผ่านมา (กรกฎาคม 2553) นายดาบตำรวจท่านหนึ่ง ขอสงวนนาม ประจำปฏิบัติหน้าที่อยู่ สภ.กระโพ จ.สุรินทร์ ได้ใช้อาวุธปืนทดลองยิงเหรียญรุ่นนี้ ผลปรากฎว่า กระสุนนัดแรกยิงไม่ออก กระสุนไปติดค้างอยู่ในลำกล้องปืน คาดว่าหากยิงนัดที่สองออกไปปืนต้องแตกแน่ เลยตัดสินใจไม่ยิง ข่าวนี้ดังกระฉ่อนไปทั่วพื้นที่สุรินทร์ และเขตอิสานใต้โดยเฉพาะในวงการตำรวจ จนทำให้เกิดกระแสความนิยมอย่างรุนแรง ทำให้หลายคนแปลกใจว่าทำไมราคาพระเครื่องของท่านจึงขยับสูงสึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้
    ทุกเหรียญจะจารยันต์การะแวก
    เหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อชู กัณตวีโร แห่งสำนักสงฆ์หินเหล็กไฟ ต.กะโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ จัดสร้างโดย
    ท่านอาจารย์ชินพร สุขสถิตย์ ประธานมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโก จำนวนการจัดสร้างตอนแรก ตั้งใจจะสร้างให้
    ครบ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ แต่แม่พิมพ์แตกเสียก่อนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จึงสร้างได้แค่เพียง ๙,๒๗๒ เหรียญ
    เท่านั้น นับเป็นเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อชู เพราะท่านยังไม่เคยสร้างเหรียญหรือรูปหล่อใดๆมาก่อนเลย และ
    หลวงพ่อได้ปลุกเสกให้ตลอดพรรษา เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘ หลวงพ่อชูท่านบอกว่า เหรียญนี้เป็นรุ่นแรกของท่าน
    ต้องทำให้เต็มสติกำลังหน่อย คนเอาไปใช้จะได้ไม่เสียชื่อ หลวงพ่อชูยังบอกต่ออีกว่าเหรียญรุ่นนี้ดีทุกอย่าง มี
    ทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาด บังภัย และป้องกันคุณไสย เข้าป่าหรือนำติดตัวจะป้องกันไข้ป่าได้ด้วย สิ่งสำ
    คัญ หลวงพ่อลงหัวใจการะเวกไว้ด้วย ก็ดุจเดียวกับสาลิกาลิ้นทองล่ะครับ เจรจาพาทีมีมหานิยม
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสุงครับ
    เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อชู วัดหินเหล็กไฟ ท่าตูม สุรินทร์ รอยจารยันตืบางๆครับยังพอเห้นครับเหรียญนี้ ปกติคนจะไปนิยมแต่ขุนแผนหลังดาบขุนแผนกัวเผาะท่าน ราคาสูงเหรียญท่านมี่รุ่นแรกรุ่นเดียวครับ

    ให้บูชา1000บาทครับ


    e0-b8-a5-e0-b8-9e-e0-b8-8a-e0-b8-b9-jpg-jpg.jpg e0-b8-a5-e0-b8-9e-e0-b8-8a-e0-b8-b9-e0-b8-ab-e0-b8-a5-e0-b8-b1-e0-b8-87-jpg-jpg.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    ทองนพเก้า สายหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา, อีกหนึ่งสายวิชาที่แทบจะสูญหายไป
    กระทู้โดย : potigo
    เห็นคุงเขาได้เล่าเรื่องสายหลวงปู่ทอง วัดราชโยธาในสวนขลังผมเห็นว่าเป็นสายของหลวงปู่ทองที่ควรจะเพยแพร่เลยขออนุญาตคุงและwebmasterนะครับ
    หลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา (หรือวัดลาดบัวขาวในปัจจุบัน) ท่านที่เป็นนักเล่นพระ หรือ ถวิลหาความขลัง ย่อมเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ทั้งการสร้างพระเครื่อง วิชาอาคม สักยันต์ และอื่นๆอีกมากมาย ท่านเป็นศิษย์ร่วมสำนักวัดมณีชลขัณธ์ร่วมกับ "มหาโต" หรือสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดระฆังโฆษิตาราม และยังเป็นพระเกจิที่เป็นครูบาอาจารย์ของบรรพชิตและฆราวาส อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก ทางฆราวาสก็มี อาจารย์แก้ว คำวิบูลย์ ท่านพ่อเที่ยง น่วมมานา อาจารย์สักชื่อดังแห่งบางกอกน้อย อาจารย์เจ๊ก สามแยกไฟฉาย เป็นต้น

    แต่ลูกศิษย์หลวงปู่ท่านที่ผมจะกล่าวถึงอีกรูปหนึ่งคือ

    หลวงพ่อพระครูพิชัยณรงฤทธิ์ วัดสิตาราม หรือ วัดคอกหมู กรุงเทพ ผู้รับการถ่ายทอดวิชาการลงทองนพเก้า จากหลวงปู่เพียงรูปเดียว (เนื่องจากได้สืบเสาะดูแล้ว ไม่พบศิษย์หลวงปู่รูปใดหรือท่านใด ได้สืบต่อวิชานี้เลย)

    หากท่านอายุ 60 ปีขึ้นไป น่าจะเคยได้ยินชื่อหลวงพ่อพิชัยฯ เพราะท่านลงข่าวหน้าหนังสือพิมพ์บางกอกไทมส์ ในการลงทองแล้วใช้มีด( ด้ามใหญ่) ฟันหลังทันทีหลังจากลงทองเสร็จ

    หลวงพ่อพระครูพิชัยณรงฤทธิ์ ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทองตั้งแต่ยังเยาว์วัย เนื่องจากสมัยเด็กท่านเป็นศิษย์วัด วัดสามปลื้ม ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่ทองได้เดินทางไปมาหาสู่เป็นประจำ หลวงพ่อท่านจึงรู้จักมักคุ้นจนได้ครอบครองตะกรุดใต้น้ำที่หลวงปู่ท่านจาร และไปศึกษาเล่าเรียนกับหลวงปู่เป็นเวลาถึง 3 ปี

    วิชาการที่หลวงปู่ถ่ายทอดให้หลวงพ่อมีมากมาย ทั้งทำตะกรุด รดน้ำมนต์ ถอดถอนคุณไสย แต่ที่สำคัญคือการลงทองนพเก้านั่นเอง

    การลงทองนพเก้านั้น จะเป็นการลงทอง 9 แผ่น ไว้บริเวณต่างๆของร่างกาย คือ หน้า หน้าอก และหลัง ซึ่งหากจะลงให้สมบูรณ์ต้องลง 3 ครั้ง จะคุ้มครองตลอดชีวิต หากลง 1 ครั้ง คุ้มครอง 3 เดือน 2 ครั้ง คุ้มครอง 3 ปี ถ้าจะให้ติดตัวตลอดไปต้อง 3 ครั้ง

    การลงทองนพเก้านี้มิใช่เพื่อทางเมตตามหานิยมดั่งลงนะหน้าทองเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมไปถึง คงกระพัน แคล้วคลาด เมตตา มหานิยม อำนาจ อีกทั้งยังป้องกันคุณและของที่เขากระทำมาอีกด้วย ดังคำที่อาจารย์ท่านให้ลูกศิษย์พูดกำกับเวลาลงทองทุกครั้งว่า "อยู่ คง เหนียว สวย งาม มีอำนาจ"

    สมัยที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่นั้นเมื่อลงเสร็จก็จะฟันหลังทันที มีดที่ฟันนั้นผมเห็นมาแล้ว ไม่ใช่มีดแบบปัจจุบัน แต่เป็นดาบแบบโบราณที่มีความหนักและคมอยู่ในตัวเอง ซึ่งการลงดาบที่หลังนั้นนักวิทยาศาสตร์หลายคนออกมาพูดว่า เป็นเพราะหนังตึงจึงมีความยืดหยุ่นให้ไม่เข้า แต่เมื่อผมคุยกับวงสนทนารุ่นน้องที่เป็นเด็กช่าง ผ่านชีวิตนักบู๊โชกโชน มันก็ได้แต่บอกว่า "พี่ลองให้พวกที่ออกมาพูดว่าฟันแล้วหนังตึงเลยไม่เข้ามาหาผมสิ เดี๋ยวผมฟันให้ดูว่ามันเข้าไม่เข้า" หลักการทางวิทยาศาสตร์บางอย่างที่หาเหตุผลมาหักล้างเรื่องขลัง เราก็ควรฟังไว้แบบ ฟังหูไว้หูเหมือนกัน เพราะไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่นอกเหนือธรรมชาติอันวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้

    การลงทองนพเก้านั้นเหนียวหรือไม่ ผมไม่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อตามความเห็นของผมได้ แต่เพราะความห่ามของผม เมื่อลงครบสามครั้งไม่รู้เกิดร้อนวิชาอะไรขึ้นมา ผมหยิบที่เปิดกระป๋องซึ่งข้างบนเป็นปลายแหลม (สำหรับเจาะกระป๋องนม) มาดู นึกถึงครูบาอาจารย์ที่ลงให้อันมีหลวงปู่ทองเป็นที่สุด แล้วเอาคมแหลมนั้นกรีดเข้าไปที่หนังตึงๆของผม แบบไม่คณามือ

    ผลออกมามีแค่รอยแดงปรากฎ ไม่มีแม้กระทั่งยางบอน ทั้งที่กรีดลงไปไม่ยั้งเหมือนกัน

    นี่เป็นแค่ประสบการณ์ที่ผมเจอะเจอมา แต่สำหรับลูกศิษย์หลวงพ่อพระครูพิชัยแล้ว หากจะให้เล่าประสบการณ์ก็คงไม่หมดแน่นอน

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา หลังหลวงพ่อพิชัย ณรงค์ฤทธิ์ วัดคอกหมู
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาท

    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    เดิมหลวงพ่อพุฒ ก่อนที่ท่านจะมาอยู่วัดเขาไม้แดง ท่านได้อยู่ช่วยสร้างวัดแถบอุตรดิตถ์ และสุโขทัย มาก่อน จนมาถึงวัดอินทรีย์ศรีสังวร จึงมีเหตุให้ท่านต้องมาอยู่กับลพ.ยงยุทธ์ ก็เนื่องจาก ท่านจะไปสร้างวัดและปกป้องสมบัติที่วัดอินทรีย์ศรีสังวร แต่ได้ไปขวางผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่ม ท่านได้ถูกถล่มปืนเข้าที่กุฏิเป็นรูพรุนไปทั่ว จนชาวบ้านนึกว่าท่านมรณะภาพแล้ว แต่ผลปรากฏว่าท่านไม่เป็นไร มีแต่จีวรขาด และเนื้อตัวฟกช้ำเป็นจ้ำๆ หัวปูด เท่านั้น ข่าวเรื่องนี้ได้ทราบถึงลพ.ยงยุทธ ซึ่งรู้จักกันก่อนหน้าแล้ว ลพ.ยงยุทธจึงได้ชวนลพ.พุฒ มาอยู่ด้วยกัน เพื่อมาร่วมสร้างพระพุทธศาสนากันจนมาถึง วัดเขาไม้แดง จนถึงวาระสุดท้ายของหลวงพ่อ.....
    ประวัติหลวงพ่อพุฒ ในวัยเด็กนั้น อายุ 4 -5 ขวบ บิดามารดา ได้นำมาถวายให้กับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เมื่อไปอยู่กับหลวงปู่ศุขแล้ว เด็กชายพุฒก็ได้รับการเลี้ยงเป็นอย่างดีในฐานะเด็กวัด ได้อยู่ช่วยกิจการงานในวัดตามที่จะพอทำได้ และเมื่อเติบโตขึ้น พอจะร่ำเรียนอะไรได้ หลวงปู่ศุขท่านก็ได้สอนให้ เริ่มตั้งแต่อักษรสมัยเรียน ไทย ขอม จนทางด้านคาถา อาคมและก็เรียนวิชาการต่างๆ เท่าที่มีสอนในสำนักวัดปากคลองมะขามเฒ่า จนกระทั่งมีอายุได้ประมาณ11 - 12 ปี หลวงปู่ศุข ท่านก็จัดการให้เด็กชายพุฒได้บวชเป็นสามเณร เมื่อบวชแล้ว ก็ได้อยู่ศึกษาพระธรรมวินัย และเรียนทางด้านวิปัสสนา กัมมัฎฐานรวมตลอดไปถึงวิชาพระเวทย์ต่างๆในสำนักวัดปากคลองมะขามเฒ่าต่อไป..... ( ข้อมูลอ้างอิงจากหนังสืออนุสรณ์ในวาระครบรอบมรณะภาพ 3 ปี ของลพ.ยงยุทธ ธัมมโกสโล วัดเขาไม้แดง )

    พระนาคปรกหลวงพ่อพุฒ สารสุข วัดเขาไม้แดง

    ให้บูชา300บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ
    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%9E%E0%B8%92-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%9E%E0%B8%92%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  7. wangbao

    wangbao Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +151
    ขออนุญาตจองครับ
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    1017-0562.jpg

    ชาติภูมิ

    พระครูนิสัยจริยคุณ ฉายา ปัญญาโร นามเดิมชื่อ วิสุทธิ์ นามสกุล แป้นโต แต่ชาวบ้านทั่วไปนิยมเรียกท่านว่า "หลวงพ่อโอด" ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๘ เดือน ธันวาคม ๒๔๖๐ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเส็ง ณ บ้านเลขที่ ๑๐๓ หมู่ที่ ๗ (บ้านหัวเขา) ตำบลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ บิดามารดาของท่านชื่อ นายชิต นางต่วน แป้นโต มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม ๗ คนคือ
    ๑. นายดำ แป้นโต ถึงแก่กรรม
    ๒. นางหนู เกรียงไกรเพชร ถึงแก่กรรม
    ๓. นายกุหลาบ แป้นโต ถึงแก่กรรม
    ๔. นางพยอม แป้นโต ถึงแก่กรรม
    ๕. พระครูนิสัยจริยคุณ ถึงแก่กรรม
    ๖. นางหลอม แป้นโต ถึงแก่กรรม
    ๗. นายออน แป้นโต ถึงแก่กรรม



    การศึกษาเบื้องต้น

    ท่านสำเร็จการศึกษา วิชาสามัญประถมบิริธูรณ์ จากโรงเรียนวัดหัวเขา อำเภอตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์


    1016-afc8.jpg รูปถ่าย2509

    อุปสมบท

    เมื่อวันเสาร์ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล ตรงกับวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๘๑ ณ พระอุโบสถ วัดหัวเขา อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยมี
    ๑. พระธรรมไตรโลกาจารย์ (ยอด) วัดเขาแก้ว อำเภอพยุหะคีรี เป็นพระอุปัชฌาย์
    ๒. พระครูนิปุณธรรมธร วัดตาคลี เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    ๓. พระครูพิพัทธศีลคุณ วัดหัวเขาตาคลี เป็นพระอนุสาวนาจารย์



    วิทยฐานะ

    พ.ศ. ๒๔๘๔ สอบได้นักธรรมเอก จากสำนักเรียนวัดมหาพฤฒาราม เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ

    1018-81d0.jpg

    งานด้านปกครอง
    ๑) พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดหนองสีนวล อำเภอ ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
    ๒) พ.ศ. ๒๔๓๙ ทางคณะสงฆ์ได้ย้ายท่านให้มารักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดจันแสน
    - ๒๔ มิถุนายน ๒๔๙๓ ได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าอาวาสวัดจันแสน
    - ๒๖ มิถุนายน ๒๔๙๓ ได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าคณะตำบลจันแสน
    - ๒๖ มีนาคม ๒๔๙๖ ได้รับแต่งตั้งเป็น พระอุปัชฌาย์และเป็นศึกษาอำเภอตาคลี
    ๓) พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้รับแต่งตั้งเป็น รองเจ้าคณะอำเภอตาคลี
    ๔) พ.ศ. ๒๕๑๖ ได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าคณะอำเภอตาคลี


    สมณศักดิ์
    ๑) พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้น ตรี
    ๒) พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้น โท
    ๓) พ.ศ. ๒๕๒๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้น เอก
    ๔) พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้น พิเศษ

    1014-7dc0.jpg

    ด้านการศึกษาของภิกษุ-สามเณร
    - เป็นครูสอนนักธรรม ของวัดดอนยานนาวา เขตยานนาวา กรุงเทพฯ (ในสมัยที่พระอาจารย์กึ๋น เป็นเจ้าอาวาสวัดดอนฯ)
    - เป็นครูสอนนักธรรม วัดหัวเขา และวัดหนองสีนวล อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
    - เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดจันแสน
    - เป็นกรรมการตรวจประโยคธรรมสนามหลวง


    ความสัมพันธ์กับหลวงพ่อรุ่ง และหลวงพ่อเดิม

    หลวงพ่อโอด ท่านมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อรุ่ง แห่งวัดหนองสีนวลและหลวงพ่อเดิม แห่งวัดหนองโพ สองพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของอำเภอตาคลี ในฐานะที่เป็นหลานที่ใกล้ชิด กล่าวคือ โยมพ่อของหลวงพ่อโอด คือ นายชิต แป้นโต เป็นน้องชายแท้ๆ ของหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล และแม่ของนายชิต แป้นโตและหลวงพ่อรุ่ง ก็เป็นพี่สาวโยมแม่ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ดังนั้นหลวงพ่อโอดท่านจึงเรียก หลวงพ่อรุ่ง และหลวงพ่อเดิมว่า "หลวงลุง"


    การศึกษาด้านพุทธาคม

    เมื่อท่านกลับจากการเป็นครูสอนนักธรรมที่วัดดอนยานนาว่าแล้ว ได้มาอยู่กับหลวงพ่อรุ่งที่วัดหนองสีนวล ซึ่งในระยะนี้เองที่ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมต่างๆ จากหลวงพ่อรุ่ง โดยศึกษาคู่กับหลวงพ่อสด วัดหางน้ำสาคร (พระครูวิจิตชัยการ) หลวงพ่อรุ่งได้เขี่ยวเข็ญ และพร่ำสอนท่านเป็นอย่างดี ซึ่งท่านได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ท่านเองได้ค่อยจะสนใจเรียนเท่าใดนัก แม้หลวงพ่อรุ่ง จะแสดงคุณวิเศษทางวิชาที่สอนให้ท่านดู ท่านก็ไม่ค่อยจะสนใจ จนหลวงพ่อรุ่งถึงกับเอ่ยปากต่อว่าท่านว่า ท่านเป็นพระหัวสมัยใหม่ สักวันหนึ่งจะต้องนึกถึงตัวท่านอยู่ศึกษาวิชากับหลวงพ่อรุ่ง จนกระทั่งหลวงพ่อรุ่งมรณภาพ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านก็ได้รักษาการเจ้าอาวาสวัดหนองสีนวลต่อจากหลวงพ่อรุ่ง และในปีนี้เองชาวบ้านหนองสีนวล ชื่อนายอ๊อด ถูกลอบยิงด้วยปืนลูกซอง กระสุนฝังในทั้งเก้าเม็ด จะไปรักษาที่ไหนก็ไม่ได้ เพราะเป็นยุคปลายสงคราม ญาติๆ ของนายอ๊อด จึงได้นำร่างที่บาดเจ็บของนายอ๊อดมาไว้ที่ศาลาวัดหนองสีนวล แล้วนิมนต์ท่านให้ทำการรักษาด้วยความจำเป็น ท่านจึงต้องรักษาให้ตามที่เขาขอร้อง โดยก่อนที่จะลงมือรักษาท่านได้จุดธูปอธิษฐานต่อหลวงพ่อรุ่งว่า "หากหลวงลุงต้องการใช้วิชานี้คงอยู่สืบไป ก็ขอให้ทำการรักษานายอ๊อดให้หาย หากรักษาหายจะเริ่มเรียน วิชาที่สอนให้ทั้งหมด" เสร็จแล้วท่านจึงทำน้ำมนต์ตามที่ได้เรียนมา แล้วนำไปให้นายอ๊อดดื่มและพรมตามบาดแผลที่ถูกปืน หลังจากนั้นท่านจึงได้เข้าจำวัดจนเช้ามืด ท่านได้ยินเสียงเรียกว่า หลวงน้า หลวงน้าผมไม่ตายแล้ว ท่านจึงลุกออกมาดู ปรากฏว่าเป็นนายอ๊อด ที่ท่านได้รักษานั่นเองผลออกมาว่าลูกปืนที่ฝังอยู่ในตัวนายอ๊อดทั้ง ๙ เม็ดไหลออกมาทั้งหมด และบาดแผลก็สมานกันดี เลือดหยุดไหล เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาท่าน ดังนั้นท่านจึงหันมาศึกษาวิชาของหลวงพ่อรุ่ง ทั้งหมดอย่างจริงจัง


    ส่วนหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ระยะที่ท่านอยู่หนองสีนวล ท่านได้ไปมาหาสู่กับหลวงพ่อเดิมเป็นประจำ และหลวงพ่อเดิม ท่านก็มาหนองสีนวลอยู่เป็นประจำซึ่งท่านก็ได้ศึกษาวิชาต่างๆ จากหลวงพ่อเดิม ทั้งที่วัดหนองโพและที่วัดหนองสีนวลต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดจันเสน หลวงพ่อเดิมท่านก็ได้ให้ทายกยิ้ม ทายกใหญ่วัดหนองโพ นำตำราต่างๆ ของหลวงพ่อเดิม ขึ้นรถไฟมาให้ท่านได้ศึกษาที่สัดจันเสนอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งหลวงพ่อเดิมมรณภาพในปี พ.ศ. ๒๔๙๔

    จึงนับได้ว่า หลวงพ่อโอดท่านเป็นทั้งหลาน และเป็นทั้งศิษย์ ของสองพระเกจิอาจารย์ ที่โด่งดังและเกรียงไกรที่สุดของอำเภอตาคลีในยุคนั้น แต่ มิใช่ว่าจะมีอาจารย์ที่ท่านได้ศึกษาทางพุทธาคม เพียงแต่หลวงพ่อรุ่ง และหลวงพ่อเดิม เท่านั้นก็ไม่ ที่ผู้เขียนรู้จากคำบอกของท่านเองยังมีอยู่อีก ๒ องค์คือ

    - หลวงพ่อพรหม วัดช่องแคอำเภอ ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ยุค พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ท่านไปหาหลวงพ่อพรหมบ่อยๆ มาก ท่านบอกว่าท่านไปเรียนวิชากับหลวงพ่อพรหม แต่ท่านไม่ได้บอกว่าไปเรียนวิชาอะไร แต่ที่รู้ๆ หลวงพ่อพรหมรักใคร่ในตัวหลวงพ่อโอดมาก ถึงกับยอมมาปลุกเสกวัตถุมงคลให้ที่พระอุโบสถวัดจันเสน ซึ่งหลวงพ่อพรหมท่านไม่เคยยอมไปปลุกเสกนอกวัดช่องแคเลย

    - หลวงพ่อเชน วัดสิงห์ ตำบล ทับยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ท่านไปอยู่เรียนกับหลวงพ่อเขน ที่วัดสิงห์เลย ท่านบอกว่า ท่านไปเรียนวิชาทำตะกรุดซึ่งหลวงพ่อเชน ท่านเก่งมากในเรื่องการทำตะกรุดโทน

    ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า พระอาจารย์ที่หลวงพ่อโอด ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนไสยเวท พุทธาคม มีอยู่ ๔ องค์คือ
    ๑. หลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
    ๒. หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
    ๓. หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
    ๔. หลวงพ่อเชน วัดสิงห์ ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี

    ด้านวิปัสนากรรมฐาน

    หลวงพ่อโอดท่านเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านการปฏิบัติมาก ท่านศึกษามาจาก หลวงพ่อรุ่ง ต่อมาท่านได้ไปศึกษาต่อที่สำนักวิปัสนากรรมฐาน วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ และต่อมาในปี ๒๕๐๕ ท่านได้ไปศึกษาต่ออีกที่วิเวกอาศรม จังหวัดชลบุรี จนท่านมีความชำนาญ และมีพลังจิตที่กล้าแข็ง สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอดีต และในอนาคตอย่างแม่นยำ ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ท่านได้เปิดสำนักสอนวิปัสนากรรมฐานขึ้นที่วัดจันเสน โดยท่านเป็นผู้สอน และในระยะเวลาที่เข้าพรรษาท่านจะนั่งปฏิบัติของท่านติดต่อกัน๗ วัน โดยไม่ลุกออกมาจากกุฏิเลย ผมในวัยที่ท่านชราภาพและป่วยก็จะปฏิบัติของท่านอยู่เสมอ ในตอนกลางคืนและตอนเช้ามืด แม้จะป่วยอยู่ในโรงพยาบาลก็ตาม


    ลูกอม และ สีผึ้ง สุดยอดวัตถุมงคล

    วัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงมานานที่สุดของท่านคือ ลูกอม และสีผึ้ง ซึ่งท่านสร้างตามตำรับของหลวงพ่อรุ่ง มีพุทธคุณทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาดและคงกระพันอยู่พร้อม ลูกอมในสมัยหลวงพ่อรุ่งนั้นท่านบอกว่าจะต้องใช้วัสดุต่างๆ คือ ๑) ดิน ๗ เมือง ๒) ขี้ตะไคร่เรือจ้าง ๗ ท่า ๓) ขี้ตะไคร่เสาตะลุงช้าง ๗ เสา ๔) รังนกหัวหงอก ๕) ดินอุดโพรงนกเหงือก ๖) เทียนวิปัสสนา ๗) หนังสือ แต่ ในสมัยของท่านวัสดุบางอย่างหายากมาก จึงต้องใช้อย่างอื่นแทน และในการปลุกเสกทุกครั้ง ท่านจะนำเม็ดลูกอมของหลวงพ่อรุ่ง มาผสมปลุกเสกด้วยเสมอสีผึ้งและลูกอมวัดจันเสนนี้โด่งดังมาก ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ท่านสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกเพียง ๓ ลูกเท่านั้น และนำติดตัวไปด้วยเสมอ ต่อมาท่านมีกิจนิมนต์ ท่านจึงไปพร้อมกับพระครูพยอม วัดราษฎร์บำรุง ตำบลน้ำตาล อำเภออินทร์บุรี ได้ไปยืนคอยเรืออยู่ริมแม่น้ำ เรือผ่านไปมาไม่มีแวะรับท่านสักลำ จนเวลาจะไม่ทันงานที่เขานิมนต์ ท่านจึงนำลูกอมที่ท่านสร้างมาเสกภาวนา พร้อมอธิษฐานว่าถ้าเรือมาขอให้จอดรับท่าน วิ่งไปจนระยะคุ้งน้ำงเลี้ยวกลับมารับท่านทั้งสอง เมื่อนิมนต์ท่านขึ้นเรือแล้วท่านก็ถามว่า "เมื่อกี้ทำไมไม่จอดรับต้องเลยไปก่อน" คนขับเรือตอบว่า "พอผมเลยไปถึงข้างหน้าแล้วพึ่งนึกขึ้นได้ว่าท่านทั้งสองจะไปไม่ทันฉันเพล จึงย้อนกลับมารับ" ดังนั้นการสร้างลูกอมจากวัดจันเสนจึงมีมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้จะสิ้นหลวงพ่อโอดไปแล้ว แต่ท่านพระครูนิวิฐธรรมขันธ์ (เจริญ) ก็ได้รับการถ่ายทอดวิชานี้ไว้จากหลวงพ่อโอดไว้ จนมีความสามารถที่จะสร้างแจกแก่บรรดาผู้ที่ยังต้องการลูกอมของวัดจันเสนอยู่

    ทรายเสกที่ศักดิ์สิทธิ์

    ในห้องพระหลวงพ่อนาค วัดจันเสน จะมีกระถางธูปขนาดใหญ่ใส่ทรายไว้ตลอดเวลา ประชาชนที่มากกราบไหว้หลวงพ่อนาค และหลวงพ่อโอด จะต้องนำถุงใส่ทรายในกระถางธูปนี้กลับบ้านทุกคน เพราะทรายในกระถางธูปนี้ หลวงพ่อโอดท่านจะทำการปลุกเสกในตอนกลางคืนของทุก ๆ คืน เชื่อกันว่ามีสรรพคุณในการคุ้มครองป้องกันไฟ โจรผู้ร้าย และภูตผีปีศาจ ได้อย่างดี วันหนึ่ง ๆ จะมีผู้นำทรายจากวัดจันเสนไปเป็นจำนวนมาก แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้มานำทรายไปอยู่เช่นเดิม ท่านพระครูนิวิฐธรรมขันธ์ (เจริญ) เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ท่านจะทำการเสกไว้ในตอนกลางคืนทุก ๆ คืน ท่านได้รับการถ่ายทอดจากหลวงพ่อโอดไว้เช่นกัน

    ภาพยนตร์ ลิเก ต้องจ้างให้เลิก

    วัดจันเสนปกติจะมีงานประจำปีเพียงปีละ ๓ ครั้งเท่านั้นคือ ๑. งานคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อโอด ๒. งานวันสงกรานต์
    ๓. งานวันลอยกระทง ในงานประจำปีทุกครั้ง สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับงานนี้คือ ภาพยนตร์และลิเก ซึ่งที่วัดจันเสนนี้ ไม่เหมือนที่วัดอื่น ๆ เพราะ ภาพยนตร์ ลิเก ที่มาแสดงในวัดนี้ จะต้องจ้างให้เลิกแสดงทุกครั้งในวันสุดท้ายของงาน หากว่าหลวงพ่อโอดท่านไม่จ้างให้เลิกเล่นแล้ว ทั้งภาพยนตร์ ลิเก ก็จะเล่นอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าจะเช้า สายเพียงใด และเป็นเช่นนี้มากกว่า ๒๐ ปี แล้ว เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ ภาพยนตร์ ลิเก และประชาชนทั้งหลายเชื่อมั่นกันว่า จำนวนเงินที่หลวงพ่อโอดท่านจ้างให้เลิกแสดงนั้น จะไปตรงกับหวยที่ออกในงวดนั้น ๆ เสมอ

    มีเมตตาสูงยิ่ง

    หลวงพ่อโอดท่านเป็นพระที่มากด้วยเมตตา ท่านตัดแล้วซึ่งโกรธ โลภ หลง วันหนึ่ง ๆ ท่านจะนั่งคอยรับแขก อยู่ทั้งวัน ใครมีเรื่องทุกข์ร้อนใจไปหาท่าน ท่านก็จะให้คำแนะนำที่ดีแก่เขาเหล่านั้น ไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะเป็น คนรวย คนจน ท่านอนุเคราะห์ให้แก่เขาเหล่านั้นเสมอกันทุกคน มีบางคนขึ้นไปขอเงิน ขอข้าวของต่างๆจากท่าน ท่านก็ให้โดยมิได้หวงแหน บางคนนำของมาเสนอขายให้ท่าน ท่านก็ซื้อไว้ทั้งที่รู้ว่าเป็นของไม่ดี เช่นนำพระเครื่อง พระบูชา มาให้ท่านเช่า ท่านก็มีเมตตาเช่าไว้ โดยท่านพูดว่า เมื่อชาติก่อนติดค้างเขาไว้ ชาตินี้เขาจึงต้องตามมาทวงคืน ให้ๆ เขาไปเถิดจะได้ไม่ต้องติดค้างกันอีก ในการพูดคุยกับญาติโยมที่มาหาหรือว่ากล่าวใคร ท่านยิ้มอยู่เสมอ แม้แขกมานั้นจะจู้จี้ พูดมาก จนน่าเบื่อเพียงแค่ไหน ท่านก็ไม่มีอาการให้เห็นว่าท่านรำคาญหรือรังเกียจเขาเหล่านั้น แต่จะยิ้มเสมอ ผู้เขียนยังไม่เคยเห็นท่านแสดงอาการโกรธ หรือดุด่าว่ากล่าวใครเลย นับว่าท่านมีเมตตาสูงยิ่ง

    1013-ea9c.jpg

    อาพาธและมรณภาพ

    หลวงพ่อโอดท่านป่วยด้วยโรคเบาหวานมานานนับสิบๆปี แต่ท่านก็ใช้พลังจิตของท่าน ข่มกลั้นความเจ็บป่วยนั้นมาตลอด ไม่หนักหนาจริงๆ ท่านจะไม่ยอมให้พาท่านไปโรงพยาบาลเลย จนบั้นปลายของชีวิต อาการเบาหวานของท่านกำเริบมาก จนเท้าของท่านบวมอยู่ตลอดเวลา คณะกรรมการวัดและศิษย์ของท่าน ก็นำท่านไปรักษาที่กรุงเทพฯ บ้าง ที่บ้านหมี่บ้าง แต่ท่านเองก็ไม่ค่อยจะยอมไปเพราะท่านเกรงใจเขาเหล่านั้นที่จะต้องมาเสียค่า ใช้จ่ายในการรักษาท่าน จนครั้งหลังสุดอาการเบาหวานของท่านกำเริบมากจนไตไม่ทำงาน ต้องนำเข้าโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ เพื่อล้างไต เมื่ออาการดีขึ้นท่านก็ขอให้ท่านกลับวัด มาอยู่จันเสนได้ไม่นานอาการของท่านทรุดลงอีก คณะศิษย์จึงนำท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลบ้านหมี่ ท่านอยู่ ที่โรงพยาบาลบ้านหมี่ได้ไม่นาน ท่านก็มรณภาพด้วยอาการอันสงบ เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๒ เวลา ๒ ทุ่มเศษ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งเป็นวันอาสาฬบูชา ประชนชนชาวจันเสนและใกล้เคียง ต่างเศร้าโศกเสียใจ อาลัยในมรณภาพของท่านมาก ทางคณะกรรมการวัดได้เคลื่อนศพของท่านจากโรงพยาบาลบ้านหมี่ มายังวัดจันเสน มีประชาชนเข้าร่วมขบวนแห่มากมายเป็นประวัติการณ์ปัจจุบันร่างของท่านยังอยู่ ที่ตึกนิสิตสามัคคี เปิดให้ประชนชนทั่วไปได้สักการบูชาทุกๆ วัน สิริรวมอายุได้ ๗๒ ปี ๖ เดือน ๑๙ วัน ๕๐ พรรษา

    มณฑปวัดจันเสน

    เมื่อบั้นปลายชีวิตของหลวงพ่อโอด ท่านมีความประสงค์อย่างยิ่งที่จะสร้างมณฑป บรรจุพระธาตุซึ่งท่านมีอยู่ โดยมีโครงการว่า ตัวมณฑปจะใช้เป็นที่บรรจุพระธาตุ ส่วนชั้นล่างจะใช้เป็นที่ประชุมสงฆ์ และเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บวัตถุโบราณของเมืองจันเสน ท่านได้มอบหมายให้ คุณประสิทธิ์ โตวิวัฒน์ เป็นผู้ติดต่อกับสถาปนิกออกแบบแปลนมณฑป และจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่น "รุ่นสร้างมณฑป" ขึ้น เมื่อวัตถุมงคลรุ่นนี้สร้างเสร็จท่านก็ปลุกเสกให้เป็นอย่างดีทุกคืน ท่านพูดเป็นนัยว่า ปลุกเสกนี้ให้เต็มที่เลยเพราะคงจะเป็นรุ่นสุดท้ายแล้ว เมื่อปรับพื้นที่ที่จะทำการก่อสร้างมณฑปเสร็จแล้ว ท่านก็ได้เป็นประธานในการวางศิลาฤกษ์ เมื่อช่างได้ทำการลงเสาเข็มรากฐานมณฑปเสร็จไม่นานท่านก็มรณภาพ การก่อสร้างเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อพระครูนิวิฐธรรมขันธ์(เจริญ) ได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดจันเสน ต่อจากหลวงพ่อโอดท่านจึงได้ดำเนินการก่อสร้างต่อ ปัจจุบันแล้วเสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม และเด่นเป็นสง่าแห่งหนึ่งของวัดจันเสน

    ข้อมูลอ้างอิงจาก : soonphra.com

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อโอด วัดจันเสนออกวัดอัมพวันคีรีปี๒๕๒๑
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาท
    ลพ.โอด.jpg ลพ.โอดหลัง.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    1746-be47.jpg

    หลวงปู่ทองมา ถาวโร


    ประวัติ

    หลวงปู่ทองมา ถาวโร เกิดเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๔๔๓ ปีชวด ที่บ้านท่าสี ตำบลท่าสี อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด บิดาชื่อ นายแก่นท้าว มารดาชื่อนางหา ภูมิวัล เป็นตระกูลที่มั่งคั่งในละแวกนั้น โยมบิดามารดาของท่านเป็นชาวลาวเกิดที่หลวงพระบาง ได้อพยพกันมาตั้งรกรากที่บ้านท่าสี ในวัยเด็กท่านได้ติดตามพระเณรไปอยู่วัดเสมอ เพราะต้องการศึกษาคาถากันผีตามประสาเด็ก


    การศึกษา
    จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากอำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ท่านเป็นคนเรียนเก่งและอ่อนน้อมถ่อมตน กิริยามารยาทเรียบร้อยและไม่เคยเอาเปรียบเพื่อนฝูงทำให้เพื่อนฝูงรักใคร่กันทุกคน จนกระทั่งอายุได้ ๑๕ ปี ท่านจึงถูกทาบทามให้เป็นครูชั่วคราว ที่โรงเรียนบ้านเชียงใหม่ ทำการสอนได้ ๓ เดือนจึงมีครูใหม่มาสอนแทน หลังจากนั้นท่านได้บรรพชา เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๔๕๙ โดยมีพระอธิการคำแห่งบ้านงิ้วโพธิ์ อำเภอธวัชบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ และจำพรรษา ณ วัดสว่างท่าสี ท่านมีความสนใจหนังสือจารใบลานที่ผูกเป็นมัดๆ เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะเป็นบทสวดมนต์เป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคือนิทานพื้นบ้าน และมีวิชาคาถาอาคมบ้าง ท่านได้เรียนบุพพสิกขาวรรณา สวดมนต์น้อย สวดมนต์กลาง สวดมนต์ใหญ่ เรียนตัวธรรม เรียนเทศน์พระเวสสันดรทำนองอีสานจนสามารถเทศน์ได้ทุกกัณฑ์ เมื่อครบ ๓ ปี ที่วัดสว่างท่าสี ท่านจึงย้ายสำนักไปเรียนมูลกัจจายน์ จากพระอาจารย์คำภา ที่วัดบ้านใผ่ใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งพระเณรนิยมเรียนกันมากในสมัยนั้น เพราะถือว่าเป็นของสำคัญเรียกว่าธรรมะชั้นสูง ถ้าใครเรียนสำเร็จจะมีความรู้แตกฉานมากเพราะเป็นการเรียนภาษาบาลีล้วนๆ กับพระอาจารย์คำภา ๑ ปี จึงได้ลากลับและบวชเป็นพระในปี พ.ศ.๒๔๖๓ ณ พัทธสีมาวัดท่าม่วง อำเภอเสลภูมิ โดยมีพระสีลาจารวิสุทธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพักอยู่วัดสว่างท่าศรี ได้เพียง ๖ วัน แล้วกลับไปยังอุบลราชธานีอีกครั้ง เพื่อเรียนแปลธรรมบทมงคลทีปนี กับพระอาจารย์มหาพันธ์ ที่วัดท่าศาลา อำเภอเขื่องใน เป็นเวลา ๒ พรรษา จึงย้ายไปเรียนที่วัดทุ่งศรีเมือง เพื่อเรียนวิปัสสนากรรมฐาน กับพระครูมหาสมณาจารย์ได้ ๓ เดือน จึงกราบลาอาจารย์ผู้สอนออกเดินธุดงค์ หลวงพ่อทองมาผ่านการธุดงค์มาอย่างโชกโชน ถึง ๖ ประเทศคือ ไทย ลาว เขมร เวียดนาม พม่าและอินเดีย ท่านได้ผ่านอุปสรรคนานับประการโดยที่ท่านมีเพียง "ธรรมาวุธ" เพียงอย่างเดียว ทุกแห่งที่ท่านธุดงค์ผ่าน ท่านจะอบรมสั่งสอนชาวบ้านให้ตั้งอยู่ในศีลธรรม ยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์


    เกียรติประวัติและผลงาน
    คำสอนจากหลวงปู่ หลวงปู่ทองมาถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของท่าน ซึ่งท่านเน้นหนักไปในทางให้พระพุทธศาสนิกชน เคร่งครัดไปในทางถือศีลซึ่งแปลว่าปาติ คือการรักษากาย วาจา ใจของตนให้เป็นอยู่อย่างปกติ ไม่ให้มีความผิดแปลกไปจากความเป็นมนุษย์ได้อย่างปกติ โดยเฉพาะศีล ๕ ถ้าใครรักษาหรือนับถือไม่ได้ ก็เท่ากับนิ้วมือของเราที่มีอยู่ ๕ นิ้ว ถ้าขาดหายไปนิ้วหนึ่งมันก็ไม่ปกติ จะทำอะไรก็ไม่เป็นสุข ผู้รักษาศีลให้สะอาดหมดจดดี ต้องปฏิบัติธรรม ๒ ข้อเสียก่อนคือ หิริ และโอตตัปปะ ส่วนการสมาทานศีลนั้นเราจะสมาทานเองก็ได้ จะไปสมาทานกับพระก็ได้ หรือสมาทานจากสามเณรก็ได้ ทั้งนี้อยู่ที่เราตั้งใจทำให้ถูกต้องเท่านั้น เมื่อศีลเกิดมีขึ้นที่ตัวเรา เราก็เกิดความอิ่มใจ เมื่ออิ่มใจด้วยศีล ใจก็สงบ เมื่อใจสงบ ความสบายก็เกิดขึ้นที่ใจ อีกข้อหนึ่งที่ท่านเทศน์อยู่เสมอคืออย่าให้มีความโลภเกิดขึ้นในสันดานของตนเพราะความโลภคิดอยากได้ของผู้อื่นนั้น เป็นความคิดที่ผิดจะไม่มีมิตรคบค้าสมาคมด้วย และความโลภนี้จะนำท่านไปสู่ความหายนะ นอกจากนี้ท่านยังมีคติธรรมคำกลอนบทหนึ่งที่ว่า
    "มัวรื่นเริงสรวลสันต์กันทำไม เมื่อเปลวไฟกำลังไหม้โลกนี้อยู่
    ความมืดปกคลุมท่านไม่ทันดู ใยไม่รู้หาโคมไฟไว้ส่องทาง"
    อันหมายถึงให้พุทธศาสนิกชนตั้งหน้าปฏิบัติธรรม และหาธรรมะไว้ส่องทางเทวโลกหรือพระนิพพาน ดังคำกล่าวของท่านที่ว่า "จงยอมโง่ในเรื่องโลกีย์ แต่ให้เข้าใจดีในเรื่องโลกุตตระ"
    หลวงปู่ทองมานับว่าท่านเป็นพระผู้เป็นเนื้อนาบุญของชาวพุทธจริงๆ เพราะท่านเป็นผู้มีคุณธรรมเป็นเลิศ จนชาวบ้านต่างขนานนามให้ท่านว่าเป็น "พระนักบุญแห่งภาคอีสาน" เพราะท่านเป็นผู้ให้ตลอดกาล ไม่ว่าใครจะมีความทุกข์ร้อนใจอย่างไร เมื่อท่านมาหาท่านจะปัดเป่าความอัปมงคล และความเศร้าหมองให้สิ้นไปทุกคน โดยเฉพาะในหมู่บ้านชนบทที่ห่างไกลความเจริญ ท่านเป็นที่พึ่งทางใจ เป็นหมอของหมู่บ้าน ในด้านการศึกษาของเยาวชน ท่านได้ช่วยหาทุนทรัพย์ให้บุตรหลานของชาวบ้านได้เข้าศึกษาทั้งในหมู่บ้านและตัวเมือง พระภิกษุสามเณรที่จำพรรษาอยู่กับท่านต่างก็ได้รับการส่งเสริมในด้านการศึกษา ในทางปริยัติธรรม และได้ไปศึกษาต่อในกรุงเทพฯ นอกจากนี้ท่านยังพัฒนาถนนหนทาง ตลอดจนแหล่งน้ำให้กับชาวบ้านอีกด้วย ส่วนการพัฒนาวัดสว่างท่าศรี ท่านได้สร้างศาลาการเปรียญ สร้างอุโบสถ สร้างพระธาตุพนมจำลอง เป็นต้น และวัดอื่นๆ เป็นจำนวนมาก เช่น วัดป่าเมตตาธรรม วัดป่าสักดาราม วัดป่าท่าม่วง วัดป่าหวาย ฯลฯ


    หลวงปู่ทองมา ถาวโร มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ รวมอายุได้ ๙๑ ปี พรรษา ๗๑ และพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๓๕
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่ทองมา วัดสว่างทาสี ร้อยเอ็ด ปี๒๕๑๙ รุ่น๑๔
    ให้บูชา 150บาทค่าจัดส่งEMS50 บาท
    ลป.ทองมา.jpg ลป.ทองมาหลัง.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2019
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    https://palungjit.org/threads/แชร์ป...ราม-ต-เขาวงกต-อ-แก่งหางแมว-จ-จันทบุรี.643577/ เข้าไปอ่านข้อมุลตามนี้ครับ


    หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร วัดสันติวนาราม ต.เขาวงกต อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี 28577513_10211283935160783_322851869988063072_n-jpg.jpg
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อบุญส่ง
    ให้บูชา100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาท

    ลพ.บุญส่ง.jpg ลพ.บุญส่งหลัง.jpg
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    วันนี้จัดส่ง

    EF 3126 7330 8 TH พระโขนง

    ขอบคุณครับ
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    ลพบุรี เป็นเมืองที่มีความสำคัญมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่สมัยขอม เราจะเห็นถาวรวัตถุหลายอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของลพบุรียุคขอมเรืองอำนาจ เช่น พระพุทธรูป พระกรุ วิหาร ปราสาท พระปรางค์สามยอด ฯลฯ เป็นต้น อีกทั้งสมัยพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ลพบุรีก็มีความสำคัญในฐานะเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองในสมัยนั้น เมืองลพบุรี มีสุดยอดพระเกจิอาจารย์มากมาย ซึ่งยังคงสืบทอดกันมาไม่ขาดสายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าเป็นในสมัยก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ สุดยอดพระเกจิของเมืองนี้ที่คุ้นหูนักสะสมพระก็คงเป็น หลวงปู่ก๋ง ปรมาจารย์แห่งเขาสมอคอน หลวงพ่อสาย วัดเสือ หลวงพ่อกรัก วัดอัมพวัน หลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก หลวงพ่อเนียม วัดเสาธงทอง แม้กระทั่งพระอาจารย์องค์สำคัญของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังที่เลื่องลือ ก็ยังอยู่ที่เมืองนี้ นั่นก็คือ หลวงพ่อแสง หรือ ขรัวตาแสง แห่งวัดมณีชลขัณฑ์ นั่นเอง

    ส่วนยอดพระเกจิอาจารย์ยุคหลังปี พ.ศ. ๒๕๐๐ จนถึง พ.ศ. ๒๕๒๐ ที่ขึ้นชื่อลือชาอยู่ในระดับแถวหน้าก็คงไม่พ้น "หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์" หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน หลวงปู่มัง วัดเทพกุญชร หลวงพ่อทัน วัดหนองนา หลวงพ่อดำ วัดเสาธงทอง เป็นต้น ส่วนในยุคปัจจุบันที่โด่งดังก็มีหลายองค์ เช่น หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน หลวงพ่อทองดำ อาจารย์ติ๋ว เป็นต้น

    แต่ตอนนี้ผู้เขียนขอแนะนำให้ท่านรู้จักกับเรื่องราวของ หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.เมือง จ,ลพบุรี กันเสียก่อน ซึ่งนับเป็นพี่ใหญ่ของยอดพระเกจิในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๐ - ๒๕๒๐ โดยจะเห็นได้จากงานพิธีปลุกเสกพระเครื่องของวัดต่างๆ ในจังหวัดลพบุรี และจังหวัดใกล้เคียงในสมัยนั้น ถ้ามีการนิมนต์หลวงปู่คำมี หลวงพ่อพริ้ง และหลวงพ่อบุญมี มาร่วมงานพร้อมกัน หลวงปู่คำมี จะได้รับเกียรติให้เป็นผู้นำของพระสายลพบุรี เพราะว่ามีคุณวุฒิ และอาวุโสสูงสุด หลวงปู่คำมีเป็นพระไม่ธรรมดา เก่งทั้งด้านวิชาอาคม และวิปัสสนา ถ้าท่านได้อ่านประวัติของหลวงปู่คำมีที่จะได้นำเสนอในตอนต่อไปนี้ จะเห็นว่า ท่านได้เดินธุดงค์อยู่ตามป่าเขานับเป็นสิบๆ ปี เพราะท่านเป็นพระที่ไม่ยึดติดอยู่กับที่ จนกระทั่งในวัยชรา ท่านจึงมาจำพรรษาที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ เพราะต้องการความสงบ

    หลวงปู่คำมี เป็นหนึ่งในศิษย์ของ สมเด็จลุน แห่งนครจำปาสัก และได้ศึกษาวิชากับ หลวงปู่ศรีทัต อำเภอท่าอุเทน นครพนม นอกจากนี้ท่านยังได้เรียนวิปัสสนากับ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล อาจารย์ใหญ่แห่งกองทัพธรรมอีกองค์หนึ่งในสายพระอาจารย์มั่น หลวงปู่คำมีมีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่รู้จักตั้งแต่สมัยสงครามอินโดจีน ตอนที่มาอยู่ลพบุรีแล้ว เนื่องจากเมืองลพบุรีเป็นเมืองทหาร จึงมีพวกทหารมาขอเครื่องราง เช่น ตะกรุด เพื่อป้องกันตัว ซึ่งปรากฏว่ามีประสบการณ์ดี ดังนั้น ทหารจึงนับถือท่านมาก ต่อมาในสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม พระของท่านก็สร้างชื่อเสียงอีกครั้ง เพราะทหารที่พกวัตถุมงคลของท่านทุกคน ล้วนปลอดภัยกลับมา หลวงปู่คำมีเป็นพระที่มีอายุยืนยาวถึง ๑๐๘ ปี มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นพระอีกรูปหนึ่งที่มรณภาพแล้ว สังขารไม่เน่าเปื่อย และทางวัดยังเก็บสรีระของท่านไว้ในโลงแก้วจนทุกวันนี้

    bar-1s.jpg

    หลวงปู่คำมี เกิดเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๖ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง เวลาเที่ยงตรง ในราชอาณาจักรลาว เดิมชื่อ คำมี พระวิเศษ มารดาชื่อนางน้อย พระวิเศษ มีพี่น้องร่วมสายโลหิต ๙ คน หลวงปู่คำมีเป็นบุตรชายคนที่ ๕

    ลักษณะพิเศษของหลวงปู่คำมี ที่แปลกไปจากบุคคลธรรมดาโดยทั่วไปก็คือ ฝ่ามือทั้งสองข้างลวดลายของเส้นมือ มีลักษณะปรากฏเป็น ยอดปราสาททั้งสองข้าง ฝ่าเท้าทั้งสองข้าง กลางฝ่าเท้ามีลักษณะปรากฏเป็น ยอดปราสาททั้งสองข้าง ฝ่าเท้าทั้งสองข้าง กลางฝ่าเท้ามีลักษณะลวดลายคล้ายดอกพิกุล ที่กลางฝ่าเท้าทั้งสองข้าง

    B3%E0%B8%A1%E0%B8%B5-%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A3-01.jpg
    เมื่อสมัยที่ท่านยังเยาว์วัยมีอุปนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรม เพื่อให้ได้ศึกษา และเจริญก้าวหน้าในทางธรรมยิ่งๆขึ้น หลวงปู่จึงได้ขออนุญาตบรรพชาเป็นสามเณรจากโยมบิดา และโยมมารดาของท่าน ยังความปีติยินดีแก่โยมทั้งสองท่านเป็นอันมาก โยมบิดาท่านจึงพาหลวงปู่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์บรรพชาเป็นสามเณรกับ พระครูพล ที่วัดชุมพรพิสัย แขวงสุวรรณเขต เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยมีพระครูพลเป็นพระอุปัชฌาย์ ขณะนั้นท่านมีอายุได้ ๑๔ ปี

    ในระหว่างที่หลวงปู่คำมีศึกษาปฏิบัติธรรม และวิชาต่างๆ กับพระครูพล อยู่ที่วัดชุมพรพิสัยนั้น สิ่งที่ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษคืออักขระ คาถา ยันต์ต่างๆ และมีความเจริญก้าวหน้าในการร่ำเรียนอย่างรวดเร็ว เมื่อท่านศึกษาปฏิบัติจนแก่กล้าแล้ว ท่านจึงขออนุญาตพระครูพลออกธุดงค์เพื่อแสวงหาสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การเจริญธรรม เป็นเวลา ๒ ปีที่ท่านได้ศึกษาวิชาต่างๆ อยู่กับพระครูพล และในเวลาเดียวกันนั้นเองท่านก็ได้ยินกิติศัพท์คำร่ำลือเกี่ยวกับถึงคุณวิเศษ และบารมีอันมหัศจรรย์ของสมเด็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ ทำให้หลวงปู่มีความปรารถนาอยากไปร่ำเรียนวิชาต่างๆ จากสมเด็จลุนเป็นกำลัง

    เมื่อท่านได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับพระครูพลจนเป็นที่พอใจแล้ว ท่านจึงขออนุญาตกับโยมทั้งสองของท่าน และพระครูพล ท่านทั้งหลายเห็นความปรารถนาตั้งใจดีของหลวงปู่แล้ว ถึงแม้จะประหลาดใจกับสามเณรน้อย แต่ก็ไม่ได้ขัดศรัทธา หลวงปู่คำมีจึงกราบลาโยมทั้งสอง และพระครูพลเพื่อธุดงค์แสวงหาครูบาอาจารย์ที่จะศึกษาต่อไป จุดมุ่งหมายคือ นครจำปาศักดิ์ ที่พำนักของสมเด็จลุน

    พบสมเด็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์

    เมื่อท่านจากถิ่นฐานบ้านเกิดมาแล้ว การธุดงค์ในป่าประเทศลาวเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเพียงลำพังคนเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งกระแสข่าวการพำนักของสมเด็จลุนนั้น ก็ไม่ได้มีความแน่นอน วันนั้นได้ทราบว่าท่านจะไปโปรดญาติโยมที่เมืองอื่นในประเทศลาว วันนี้ได้รับทราบว่าท่านจะไปฝั่งไทย ยังความสับสนต่อท่านเป็นอันมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ท่านอดทนบุกป่าฝ่าดงต่อไปก็คือ ท่านต้องไปเรียนวิชากับสมเด็จลุนให้ได้

    หลวงปู่เล่าให้ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดฟังว่า การติดตามหาสมเด็จลุนในสมัยนั้นยากมาก ข่าวคราวของสมเด็จฯ นั้น มากมายไปด้วยบารมีอิทธิปาฏิหาริย์ บางข่าวลือว่ากันว่า ท่านเดินข้ามลำน้ำโขงมาได้อย่างสบาย บางข่าวว่าท่านถูกทหารฝรั่งเศสจับกุมโทษฐานระดมผู้คนเพื่อทำการต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ทำอะไรท่านไม่ได้ เนื่องจากศรัทธาของญาติโยมที่หลั่งไหล มากราบไหว้ชื่นชมบารมีของสมเด็จนั้นมากมายเหลือเกิน อันเกิดจากบารมีธรรมของท่านล้วนๆ หาได้มีการปลุกระดม โฆษณาแต่อย่างใดไม่ สุดท้ายแม้แต่เหล่าบรรดาทหารฝรั่งเศสเองก็ให้ความเคารพนับถือสยบต่อท่าน

    สุดท้ายหลวงปู่ทราบข่าวว่า สมเด็จลุนท่านเสด็จมาโปรดญาติโยมที่นครจำปาศักดิ์ คราวนี้ท่านตั้งใจว่าจะเป็นตายอย่างไรท่านต้องไปกราบสมเด็จลุนให้จงได้

    หลวงปู่คำมีท่านเล่าว่าท่านยังแปลกใจตัวเองว่า ท่านดั้นด้นมาถึงสมเด็จลุนได้อย่างไร ส่วนสมเด็จลุนนั้นมองสามเณรน้อยที่บุกป่าฝ่าดงมาหมอบกราบอยู่ต่อหน้าท่านด้วยความชื่นชม

    คำถามแรกที่ท่านถามสามเณรน้อย “สามเณรน้อย มาหาข้าด้วยเรื่องอันใด และมาจากไหน”


    หลวงปู่ก็เล่าให้ฟังว่า “ท่านมาจากแขวงสุวรรณเขต ทราบว่าท่านเก่ง อยากจะมาเรียนวิชาจากท่าน”


    สมเด็จลุนท่านยิ่งหัวเราะชอบใจในความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวของหลวงปู่ ที่สามารถมาหาท่านจากแขวงสุวรรณเขตโดยลำพัง “รู้ได้อย่างไร ว่าข้าเก่ง และข้าดีอย่างไร”

    สามเณรน้อยตอบไปว่า “ข้าน้อยไม่ทราบว่าสมเด็จเก่งอย่างไร แต่ข้าน้อยมีความตั้งใจอยากมากราบสมเด็จให้ได้ และขอเป็นศิษย์ของสมเด็จ”


    คำตอบของสามเณรน้อย เป็นที่ชอบใจของสมเด็จลุนเป็นอย่างยิ่ง จึงรับตัวไว้เป็นศิษย์ สามเณรคำมีอยู่รับใช้ และศึกษาวิชาต่างๆ จากสมเด็จลุนอย่างเคร่งครัด เมื่อท่านเห็นว่าสามเณรคำมีได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆ จากท่านจนหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงให้สามเณรคำมีกลับไปเผยแพร่ธรรม และโปรดโยมบิดามารดาของท่านที่สุวรรณเขต โดยท่านฝากสามเณรคำมีไปกับกองคาราวานชาวไทยใหญ่ หลวงปู่จึงได้กราบลาสมเด็จลุนมาด้วยความอาลัย

    ศึกษาวิชากับหลวงปู่ศรีทัต

    %8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%88-2.jpg
    เมื่อหลวงปู่กลับมากราบพระครูพล อาจารย์องค์แรกของท่าน และโปรดญาติโยมที่วัดชุมพรพิสัยได้ระยะหนึ่ง ท่านได้เกิดความตั้งใจที่จะเดินทางไปไหว้พระธาตุพนมที่ฝั่งไทย จึงลาพระครูพลเพื่อเดินทางมาทางฝั่งไทย พอข้ามฝั่งโขงเหยียบถึงแผ่นดินไทย เกิดได้ทราบข่าวบารมีความเก่งกล้าของ พระครูศรีทัต แห่งอำเภอท่าอุเทน เมื่อนมัสการพระธาตุพนมเสร็จ ท่านจึงยังไม่กลับไปสุวรรณเขต แต่มุ่งหน้าสู่อำเภอท่าอุเทน เพื่อไปกราบนมัสการพระครูศรีทัต และขอฝากตัวเป็นศิษย์ เมื่อพระครูศรีทัตทราบความเป็นมาของหลวงปู่คำมี จึงรับสามเณรคำมีไว้เป็นศิษย์ หลวงปู่คำมีเล่าว่าได้อยู่รับใช้และศึกษาธรรมจากหลวงปู่ศรีทัต ที่เมืองไทยถึงสามพรรษา หลวงปู่ศรีทัตนั้นมีความเข้มงวดมากตั้งแต่เรื่องพระธรรมวินัย จนไปถึงการศึกษาวิชาต่างๆ ท่านมีความเคร่งครัดมาก จนเมื่อหลวงปู่คำมีอายุครบบวชท่านจึงลาหลวงพ่อศรีทัตกลับไปยังฝั่งลาวเพื่อทำการอุปสมบท

    พบพระอาจารย์ใหญ่แห่งกองทัพธรรม

    %B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C.jpg
    ท่านได้กลับมายังแขวงสุวรรณเขต และได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีพระครูพลเป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดชุมพรพิสัย ท่านได้จำพรรษาโปรดโยมบิดามารดาที่วัดชุมพรพิสัยอยู่ ๒ พรรษา ด้วยความต้องการแสวงหาวิมุตติธรรมของท่านเป็นที่ตั้ง ท่านจึงลาโยมบิดามารดาของท่านอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ท่านไม่มีโอกาสได้กลับมาพบโยมของท่านอีกเลย ท่านกราบลาพระครูพล และโยมบิดามารดาของท่านแล้วออกธุดงค์มายังฝั่งไทยอีกครั้ง ธุดงค์ไปหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสานของไทยหลายพรรษา จนกระทั่งเข้าสู่เมืองโคราช ท่านก็ได้ยินชื่อเสียงความเป็นนักปฏิบัติที่เคร่งครัดของ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโร วัดป่าสาลวัน พระอาจารย์ใหญ่แห่งสายกองทัพธรรม ท่านจึงเดินทางไปกราบขอฝากตัวเป็นศิษย์ รับแนวทางปฏิบัติจากท่านหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่คำมีเล่าว่า หลวงปู่เสาร์มีความเชี่ยวชาญแก่กล้าทางด้านกสิณเป็นอันมาก โดยเน้นให้ความสำคัญทางด้านกสิณ ๔ อันเป็นปฐมของธาตุทั้งมวลในโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งหลวงปู่คำมีได้ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติในการตั้งธาตุปลุกเสกวัตถุมงคลในกาลต่อมา

    เมื่อท่านได้ศึกษาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เสาร์จนเป็นที่พอใจแล้ว จึงได้กราบลาหลวงปู่เสาร์เพื่อธุดงค์ต่อไป ท่านได้เดินธุดงค์มาถึงอำเภอพระพุทธบาท สระบุรี ไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท และได้เดินธุดงค์มายังบ้านโปร่งสว่าง ปัจจุบันขึ้นกับอำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่บ้านโปร่งสว่าง และได้สร้างวัด และพระอุโบสถจนสำเร็จ จากนั้นท่านได้มาจำพรรษาที่บ้านประดู่ ได้มาสร้างวัด และพระอุโบสถ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดประดู่ ๑๖ พรรษา ในระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดประดู่ ท่านยังได้ทำการสร้างวัด และพัฒนาวัดต่างๆ จนเจริญเป็นอย่างมาก เป็นที่ศรัทธาของญาติโยมในละแวกนั้น อันได้แก่ วัดหนองแก, วัดหนองจิก และวัดตาลเสี้ยน

    %B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B9.jpg
    หลวงปู่คำมีท่านได้เล่าให้ฟังว่า เรื่องทั้งหลายมันชักจะวุ่นวายไม่มีเวลาแสวงหาความสงบ และปฏิบัติธรรม ท่านจึงจากญาติโยมทั้งหลายออกธุดงค์ต่อไปโดยมิได้ล่ำลา มุ่งมาทางจังหวัดลพบุรี ท่านได้เดินธุดงค์มาพบ ถ้ำเอราวัณ ท่านเห็นว่าเป็นสถานที่สัปปายะ เหมาะแก่การหลบหลีกจากความวุ่นวายทั้งหลาย ท่านจึงอาศัยเป็นที่พำนักในการเจริญธรรม

    แต่เพียงไม่นาน ญาติโยมก็ทราบข่าวจึงออกติดตามมาให้ท่านไปกลับไปที่วัด เพื่อเจริญศรัทธาให้แก่พวกเขาต่อไป พร้อมทั้งจะไปขอตำแหน่งพระครูให้ท่าน ท่านจึงแสดงให้ญาติโยมทั้งหลายทราบว่า การที่ท่านหนีออกมาก็เพราะลาภ ยศ และสักการะทั้งหลาย ท่านว่าเป็นควา มมัวเมา ความวุ่นวาย ท่านขอจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำเอราวัณต่อไป ญาติโยมทั้งหลายจึงต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง
    http://www.dharma-gateway.com/monk/...e-poottasaro/lp-kummee-poottasaro-hist-01.htm
    เข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ในเวปด้านบนครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    เหรียญหลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์
    ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาท

    ลป.คำมี.jpg ลป.คำมีหลัง.jpg
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    "หลวงพ่อหิน วัดป่าแป้น" ประดิษฐานอยู่บริเวณหน้าอุโบสถ วัดป่าแป้น ต.บ้านลาด อ.เมือง จ.เพชรบุรี ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเมืองเพชรบุรี ให้ความเลื่อมใสศรัทธา

    หลวงพ่อหินศักดิ์สิทธิ์ วัดป่าแป้น เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินแกรนิต สีเขียวอมเทา พุทธลักษณะแบบปางห้ามสมุทร สูงประมาณ 145 เซนติเมตร ฐานกว้าง 58 เซนติเมตร ปัจจุบันประชาชนได้นำทองคำเปลวมาปิดจนทึบ ทำให้รูปทรงหลวงพ่อหินหนาขึ้นจากเดิม

    ศิลปะในการแกะสลัก เป็นพระพุทธรูปยืนยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างเสมอพระอุระ รูปทรงเป็นศิลปะสมัยทวารวดี แต่ที่สำคัญองค์พระพุทธรูปยังสร้างไม่แล้วเสร็จ เพียงแต่โกลนรูปทรงไว้เบื้องต้นเท่านั้น

    สันนิษฐานว่าผู้ที่สร้าง อาจมีการเคลื่อนย้ายไปตกแต่งให้สมบูรณ์ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจน เพียงแต่พิจารณาตามลักษณะของพระพุทธรูปใช้หินแกรนิต ซึ่งใน จ.เพชรบุรี ไม่มีแหล่งวัตถุดิบดังกล่าว หรือหินที่จะนำมาสร้างพระพุทธรูปได้ มีแต่หินจากภูเขาลูกรังและภูเขาหินเป็นส่วนใหญ่ จึงสันนิษฐานว่า องค์หลวงพ่อหินจะต้องถูกเคลื่อนย้ายมาจากทิศตะวันตก แถบเทือกเขาตะนาวศรี โดยล่องมาทางแม่น้ำเพชรบุรี สอดคล้องกับสถานที่พบ

    โดยหลวงพ่อหิน วัดป่าแป้น ได้ถูกขุดค้นพบ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2515 โดยชาวบ้านหมู่ 3 ต.บ้านลาด จ.เพชรบุรี ถูกฝังกลบอยู่ในดินภายในสวนละมุดใกล้กับแม่น้ำเพชรบุรี

    ภายหลังชาวบ้านได้นำพระพุทธรูปดังกล่าว ไปถวายวัดป่าแป้น ซึ่งเป็นวัดภายในหมู่บ้าน

    เจ้าอาวาสจึงได้นำไปประดิษฐานไว้บริเวณด้านหน้าอุโบสถ และได้แจ้งไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ได้มีข้อสรุปว่า พระหินขุดพบเป็นพระหินที่สร้างยังไม่เสร็จ ศิลปะแบบทวารวดี พระเกตุมาลาเป็นมุ่นมวยผม การแกะสลักทำแต่เพียงโกลนแบบไว้เท่านั้น จึงไม่ได้จดทะเบียนเป็นวัตถุโบราณ และให้ตั้งประดิษฐานไว้ที่วัดป่าแป้น สืบต่อจนถึงปัจจุบัน

    ภายหลังการนำ พระพุทธรูปหินประดิษฐานไว้ที่หน้าอุโบสถวัดป่าแป้น ได้มีชาวบ้านพบเห็นแสงสว่างเกิดขึ้นบริเวณหน้าอุโบสถเป็นประจำ

    ที่สำคัญหลังข่าวการขุดพบพระหินสมัยโบราณแพร่กระจาย ได้มีประชาชนทั้งในจังหวัดเพชรบุรีและต่างจังหวัด เดินทางมากราบไหว้ขอพรอย่างเนืองแน่น ทำให้ทางวัดได้สร้างแท่นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขึ้นใหม่ ให้ดูสวยงาม และมีมติจากคณะกรรมการวัดและชาวบ้าน ได้ตั้งชื่อพระพุทธรูปว่า "หลวงพ่อหินศักดิ์สิทธิ์ นฤมิตมหามงคล"

    มีชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ ป่วยมาอธิษฐานกับ หลวงพ่อหินให้ช่วยปัดเป่ารักษาให้หาย โดยนำน้ำมนต์ไปดื่มกิน ต่อมาอาการป่วยก็หายเป็นปลิดทิ้ง ทำให้ข่าวความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อหิน แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว

    พระมหาประสงค์ มหาวีโร เจ้าอาวาสวัดป่าแป้น เผยว่า วัดป่าแป้นได้จัดงานนมัสการปิดทองหลวงพ่อหินเป็นประจำทุกปี โดยจัดในช่วงวันสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 12-14 เมษายน แต่ละปีจะมีประชา ชนมากราบไหว้นมัสการหลวงพ่อหินจำนวนมาก

    จากการสอบถามพุทธศาสนิกชน ที่มากราบไหว้ หลวงพ่อหิน วัดป่าแป้น นอกจากมากราบไหว้ปกติแล้ว มีจำนวนมากที่มาแก้บนโดยการทำบุญกับหลวงพ่อหิน สิ่งที่มีการบนบานกันมาก คือ ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตราย หรือแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุบนท้องถนน

    งานที่จัดขึ้นแต่ละปี จะมีประชาชนจากทุกสารทิศเดินทางมากราบไหว้นมัสการ ปิดทองขอพรหลวงพ่อหินเป็นจำนวนมาก แต่พื้นที่บริเวณหน้าอุโบสถคับแคบ เมื่อประชาชนมากันจำนวนมาก จะเกิดความแออัด ทางวัดจึงเตรียมสร้างมณฑป เพื่อประดิษฐาน หลวงพ่อหิน วัดป่าแป้นขึ้นใหม่ โดยใช้บริเวณใกล้กับอุโบสถ ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง

    สำหรับวัดป่าแป้น เป็นวัดเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่โบราณสถานเกือบทั้งหมด ได้ถูกบูรณะก่อสร้างขึ้นใหม่ สิ่งที่ยังบอกถึงความเก่าแก่ คือ อุโบสถ ที่มีประตูเข้าออกเพียงทางเดียว หรือที่เรียกว่าโบสถ์มหาอุด แต่มีการสร้างตกแต่งใหม่ภายหลัง

    ส่วนเส้นทางที่จะเดินทางไปยัง วัดป่าแป้น อยู่ห่างจากถนนเพชรเกษมประมาณ 5 ก.ม. เริ่มจาก 4 แยกทาง หลวง ไปตามถนนสาย อ.บ้านลาด ปัจจุ บันมีการก่อสร้างขยายถนนเพชรเกษม ช่วง 4 แยกทางหลวง มีการยกระดับ โดยรถยนต์ที่วิ่งมาบนถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ เมื่อมาถึง 4 แยกทางหลวง ต้องเลี้ยวขวาลงใต้สะพาน ข้ามถนนไปสู่ถนนสาย อ.บ้านลาด จากนั้นก็วิ่งไปตามถนน ตรงไปไม่นานก็จะถึงทางเข้าวัด ที่อยู่ทางซ้ายของถนน มีป้ายบอกชัดเจน

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    เหรียญหลวงพ่อหิน วัดป่าแป้น ปี๒๕๑๗
    ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาท

    ลพ.หิน.jpg ลพ.หินหลัง.jpg
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    _oc=AQkyVLnD2K5YqrxhTPSV6GwIpiH90M_URIWW7-vesWlYPfje_y7dCeU-B23VXucr0oc&_nc_ht=scontent.fbkk24-1.jpg
    หลวงปู่ครูบาอินตา วัดห้วยไซ"
    พระครูถาวรวัยวุฒิ (หลวงปู่ครูบาอินตา อินฺทปัญฺโญ)
    วัดห้วยไซ ตำบลห้วยยาบ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน
    อัตโนประวัติของหลวงปู่ครูบาอินตา อินฺทปัญฺโญ วัดห้วยไซ ท่านเกิดเมื่อวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๘ เหนือ ปี มะเส็ง(งูเล็ก) ตรงกับ วันเสาร์ ที่ ๖ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๔๘ ณ บ้านห้วยไซ ตำบลห้วยยาบ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน มีนามเดิมว่า อินตา นามสกุล ปาลี เป็นบุตรของ นายก๋อง นางก๋ำ นามสกุล ปาลี เป็นคนที่มีเชื้อสายยอง มารดาของท่านเสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังเด็กไม่รู้ความ ท่านจึงได้รับการเลี้ยงดูจากบิดาจนอายุท่านได้ ๙ ขวบ จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์วัด(ขะโยม)ที่วัดห้วยไซเพื่อจะได้รับการศึกษาเล่า เรียน ในสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียนเช่นปัจจุบัน เด็กชายอินตา จึงได้เรียนภาษาพื้นเมืองตามแบบสมัยนิยม และได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรขณะอายุได้ ๑๓ ปี พ.ศ.๒๔๖๑ ณ วัดห้วยไซ โดยมีพระภิกษุพุธเป็นผู้บวชให้ หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรแล้วจึงได้ไปศึกษาภาษาไทยกลางเพิ่มเติมที่สำนักวัด สันก้างปลา(วัดทรายมูลในปัจจุบัน) อำเภอสันกำแพง โดยมีพระครูอินทนนท์ เจ้าอาวาส (ท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่เก่งกล้ามากได้ปรมัติสูญสตาอรรถพยัญชนะทรงอภิญาชั้นสูง)เป็นอาจารย์ผู้สอนให้ ด้วยความเป็นผู้ไผ่เรียนท่านยังมีความสนใจเรื่องของภาษาอื่นๆด้วยเช่น อักษรขอมโบราณ ภาษาอังกฤษ และจีนเพิ่มเติม ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากในสมัยนั้น เมื่อพออายุครบบวชจึงได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดห้วยไซ พ.ศ.๒๔๖๙ โดยมีครูบาอินทจักร วัดป่าลาน เป็นพระอุปัชฌาย์(เป็นศิษย์ครูบาหลวงวัดฝายหิน จบสตาปรมัติรู้ภาษานกกาได้ เจนจบ 9 มัด) พระอธิการชื่น สันกอแงะ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ครูบาขันแก้ว วัดป่ายาง(สันพระเจ้าแดง) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า “อินฺทปัญฺโญภิกขุ”

    หลัง จากอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วจึงได้ตั้งใจที่จะศึกษาพระธรรมวินัยและสรรพวิชา ตามจริตวิสัยที่ชอบศึกษาหาความรู้อันเป็นทุนเดิมของท่าน ทำให้ท่านเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้คนในเรื่องของวิชาพลังจิตที่สูงมากตลอดถึงในวิชาอาคมแขนงต่างๆ ประกอบกับการปฏิบัติสมถะวิปัสสนาธุระควบคู่กันไประหว่างปีพ.ศ.๒๔๗๑ ครูบาศรีวิชัยท่านได้มาเป็นประธานในการบูรณะพระธาตุดอยห้างบาตร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดห้วยไซมากนัก หลวงปู่ครูบาอินตาก็ได้ไปร่วมในการบุญครั้งนั้นด้วยและได้พบกับครูบาศรี วิชัยและถือโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์ หลังจากนั้นขณะที่ครูบาศรีวิชัยท่านเป็นประธานในการสร้างทางขึ้นดอยสุ เทพหลวงปู่ครูบาอินตาก็ได้มีโอกาสไปร่วมในการสร้างทางด้วยเช่นกัน เมื่อครูบาศรีวิชัยมรณภาพไปหลังเสร็จสิ้นงานพระราชทานเพลิงศพ ผ้าขาวดวงต๋า ได้นำอัฐิธาตุของครูบาศรีวิชัยมาบรรจุและสร้างกู่อัฐิขึ้นที่บนดอยง้ม เขตติดต่อระหว่างอำเภอสันกำแพงกับอำเภอบ้านธิ หลวงปู่ครูบาอินตาท่านก็ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมในการนำสร้างด้วย ที่วัดห้วยไซเองท่านถือได้ว่าเป็นกำลังสำคัญที่มีส่วนร่วมกับอดีตเจ้าอาวาส ของวัดห้วยไซองค์ก่อนๆในการนำสร้างถาวรวัตถุต่างๆภายในวัด โดยเฉพาะสมัยของพระครูดวงดี จนกระทั้งครูบาดวงดีท่านมรณภาพไป หลวงปู่ครูบาอินตาท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดห้วยไซ เมื่อพ.ศ.๒๕๑๙ และได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์เป็น พระครูถาวรวัยวุฒิ เมื่อปีพ.ศ.๒๕๓๖ ระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นได้ได้ฝากผลงานทางด้านพระพุทธศาสนาและ สาธารณประโยชน์มากมาย อาทิ พัฒนาถาวรวัตถุสิ่งก่อสร้างต่างๆของวัดห้วยไซจนเป็นที่เจริญรุ่งเรือง สาธารณะประโยชน์เช่นโรงเรียน สถานีอนามัย โรงพยาบาล ห้องสมุด ที่อ่านหนังสือพิมพ์ ตลอดจนฌาปนกิจสถานประจำหมูบ้าน นอกจากนั้นท่านยังทำนุบำรุงพระศาสนาไปยังวัดวาอารามต่างๆที่มาของความเมตตา อนุเคราะห์จากท่าน เช่น ถาวรวัตถุต่างที่วัดเปาสามขา วัดวังธาน อำเภอแม่ออน วัดโป่งช้างคต อำสันเภอกำแพง วัดเวียงแห่ง อำเภอเวียงแห่ง จังหวัดเชียงใหม่ วัดศรีชัยชุม บ้านห้วยไซเหนือ

    พระพุทธรูปยืนวัด ศรีดอนชัย อำเภอบ้านธิ ประธานสร้างตึกสงฆ์อาพาสโรงพยาบาลบ้านธิ และผลงานชิ้นสุดท้ายที่ทิ้งไว้ให้ศิษย์ได้สารงานต่อคือพระวิหารของวัดห้วยไซ ก่อนที่ท่านจะมรณภาพด้วยชราภาพ เมื่อวันที่ ๒๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๕ สิริรวมอายุได้ ๙๘ ปี ๗๗ พรรษา พระเถระที่หลวงปู่ครูบาอินตาท่านสนิทสนมไปมาหาสู่กันเป็นประจำก็มี ครูบาขันแก้ว วัดป่ายาง(สันพระเจ้าแดง)ครูบาธรรมชัย วัดประตูป่า ครูบาสิริ วัดปากกองสารภี(ครูบาผีกลัว)ครูบาแก้ว สันกำแพงครูบาดวงทิพย์ วัดสันคะยอม(เป็นพระที่ครูบาพรหมาจักรนับถือมากๆ) ครูบาชุ่ม วัดวังมุย ครูบาหล้าตาทิพย์ วัดป่าตึง ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง ครูบาดวงจันทร์ วัดป่าเส้า ครูบาน้อย วัดบ้านปง ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี ครูบาวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม ครูบาอินตา วัดวังทอง สำหรับพิธีพระราชทานเพลิงศพ หลังจากศิษยานุศิษย์ได้เก็บรักษาสรีระของหลวงปู่ครูบาอินตาไว้เป็นเวลาหลาย ปีแต่รางของท่านก็มิได้มีการเน่าเปื่อยแต่อย่างใด เมื่อก่อสร้างวิหารแล้วเสร็จจึงได้ของไฟพระราชทานและประกอบพิธีพระราชทาน เพลิงศพ เมื่อวันที่ ๔ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ขึ้น

    สำหรับวัตถุมงคล ของหลวงปู่ครูบาอินตา ท่านได้สร้างขึ้นในยุคแรกๆก็จะมีเพียงยันต์และตระกุดเพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหา ไว้ใช้ป้องกันตัวอิทธิวัตถุมงคลต่างๆก็มีประสิทธิผลจนเป็นที่ลำลือเป็นที่ ต้องการกันมากทำให้ทำแจกแทบไม่ทัน ยุคต่อๆมาเมื่อท่านชราภาพก็ให้ลูกศิษย์ที่พอมีความรู้เป็นผู้ทำให้โดยใช้ ตำราของท่านแล้วให้หลวงปู่ครูบาอินตาเสกเป่าอีกครั้ง ลักษณะของตระกุดจะมีดอกเดียวที่เรียกกันว่าตระกุโทนโดยใช้ตะกั่วทำ ตะกั่วนั้นได้จากหลังกระจกสีที่ใช้ติดตามห้าบรรณวิหารและตามเจดีย์ในสมัย ก่อนเมื่อชำรุดตกหล่นลงมาท่านจึงได้นำมาทำเป็นตระกุด ต่อมาศิษย์จึงได้ขอนุญาติจัดสร้างเหรียญรุ่นแรกขึ้นเมื่อปีพ.ศ.๒๕๓๓ และอีกหลายๆรุ่นในเวลาต่อมา ทั้งเหรียญ รูปหล่อลอยองค์ รูปเหมือนบูชาขนาดต่างๆ ล็อกเก็ต พระผง วัตถุมงคลรุ่นต่างๆที่ท่านได้อธิฐานจิตปุกเสกเอาไว้ก็มีอิทธิปาฏิหาริย์จน เป็นที่ลำลือเช่นกันและได้รับความนิยมมาก เหรียญใบโพธิ์ รุ่นสมปรารถนา แซยิด ๙๑ พ.ศ.๒๕๓๘ หนึ่งในเหรียญประสบการณ์ที่โดดเด่นทางด้านแคล้วคลาดคงกระพัน มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่ามีเด็กวัยรุ่นถูกคู่อริไล่ยิงและถูกยิงจนเสื้อที่ สวมนั้นขาดเป็นรอยลูกกระสูนรูพรุน แต่ลูกกระสูนไม่ได้ผ่านเข้าผิวแค่เป็นรอยจุดแดงซ้ำเป็นยางบอนเจ็บๆแสบๆเท่า นั้น ผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ที่เข้าไปช่วยเหลือขอดูของดีที่วัยรุ่นคนนั้นพกติดตัว ที่คอของเขามีเพียงเหรียญใบโพธิ์ของครูบาอินตาเพียงเหรียญเดียว ทำให้เหรียญรุ่นดังกล่าวเป็นที่แสวงหากันมาก นี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในประสบการณ์ของวัตถุมงคลของหลวงปู่ครูบาอินตาที่มี อยู่มากมายหลายต่อหลายครั้ง
    อัฐิธาตุที่แปรเปลี่ยนเป็นผลึกพระธาตุแล้วของหลวงปู่ครูบาอินตา อินทปัญโญ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ล๊อคเก็ตครูบาอินตา วัดห้วยไซ
    ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาท

    ครูบาอินตา.jpg ครูบาอินตาหลัง.jpg
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2581.gif

    ประวัติหลวงพ่อเกตุ จิตฺตสาโร วัดเกาะหลัก
    พระราชวิสุทธิคุณ หรือ หลวงพ่อเกตุ จิตฺตสาโร วัดเกาะหลัก ตำบลประจวบ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

    พระวิสุทธาจารคุณ เดิมชื่อ เกตุ วงษ์แหวน เกิดวันอังคาร แรม 15 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2466 บิดาชื่อนายเหลือ วงษ์แหวน มารดาชื่อนางเสริม วงษ์แหวน อุปสมบทเมื่อวันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2486 ณ วัดวังยาว ตำบลกุยบุรี อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประชาชนทั่วไปเรียกท่านว่า “หลวงพ่อเกตุ” วิทยฐานะ ที่สำคัญ มีดังนี้

    1. จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดโตนดหลวง ตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ.2478

    2. สอบได้นักธรรมชั้นเอกในสำนักเรียน วัดเกาะหลัก อำเภอเมืองฯ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

    3. การศึกษาพิเศษ และชำนาญวิชาช่างไม้ ช่างปูน ช่างศิลป์ วิชาโหราศาสตร์ และการแพทย์แผนโบราณ

    4. มีความชำนาญด้านการเทศน์ทำนอง (แหล่) ในเรื่องชาดกต่างๆ และการสวดทำนองสังคะหะ ผลงาน งานด้านการปกครอง เมื่อได้อุปสมบทแล้ว ได้ช่วยเหลือ งานของคณะสงฆ์ด้วยความอุตสาหะ ได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสำคัญเรียงตามลำดับดังนี้

    - พระฐานานุกรม ที่พระปลัด

    - พระกรรมวาจาจารย์

    - รองเจ้าอาวาสวัดเกาะหลัก

    - เจ้าอาวาสวัดกุยบุรี

    - เจ้าอาวาสวัดเกาะหลัก ปี 2511

    - เจ้าคณะอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์

    - เจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2529

    หลวงพ่อเกตุ นับได้ว่าเป็นศิษย์เอกสายตรงของหลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก หนึ่งในพระเกจิสมัยสงครามอินโดจีนและสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งทหารไทยที่ออกรบในสมัยนั้นในพื้นที่ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกมีการปะทะกับทหารไทยอย่างดุเดือด ทหารสมัยนั้นที่มีของดีจากหลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก ได้รับฉายาว่าทหารผี เพราะญี่ปุ่นทั้งยิงทั้งฟันไม่เข้า เป็นเรื่องที่เล่าขานกันมาแต่อดีต สำหรับหลวงพ่อเปี่ยม นับเป็นปรมาจารย์องค์หนึ่งของเมืองนี้และมีชื่อเสียงที่สุด เป็นหนึ่งในเกจิ 108 รูปที่ได้เข้ามาปลุกเสกพระที่วัดราชบพิธในช่วงประมาณปี 2481 หลวงพ่อเปี่ยม เลื่องลือด้านวิชาอาคมและด้านโหราศาสตร์ยากที่ใครจะเทียบ แม้แต่สมเด็จสังฆราช (อยู่) วัดสระเกศ ผู้ที่มีชื่อเสียงด้านโหราศาสตร์ (หลวงปู่เริ่ม วัดจุกกระเชอ เคยเรียนวิชาโหราศาสตร์) ยังขอเรียนวิชาด้านโหราศาตร์บางอย่างจากหลวงพ่อเปี่ยม

    หลวงพ่อเกตุ ได้จำพรรษาอยู่วัดวังยาวในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ต่อมาได้ย้ายมาอยู่จำพรรษาที่วัดเกาะหลักเพื่อเรียนวิชากับหลวงพ่อเปี่ยม หลวงพ่อเกตุ เป็นพระที่ความสามารถทั้งการปกครองและพัฒนา จนได้รับความไว้วางใจจากคณะสงฆ์ เป็นเจ้าอาวาสวัดเกาะหลัก และเป็นเจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

    นอกจากนี้หลวงพ่อเกตุ ยังเป็นอาจารย์ท่านหนึ่งของหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก เพราะเป็นพระอุปัชฌาย์ ในตอนที่หลวงพ่อยิด กลับมาบวชครั้งที่สอง

    หลวงพ่อเกตุ ได้มรณภาพลงด้วยอาการสงบ ด้วยโรคไตวาย เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2542 ณ โรงพยาบาลราชวิถี สิริอายุ 76 ปี เป็นเถราจารย์อีกรูปหนึ่งที่ร่างกายไม่เน่าเปื่อยหลังจากมรณภาพแล้ว

    วัตถุมงคลหลวงพ่อเกตุ ที่นิยมและมีชื่อเสียงมากๆคือ เหรียญรุ่นแรก ปี 2519 พระปิดตามหาอุด ตะกรุดที่ทำจากตะกั่วอวน เป็นต้น ซึ่งเป็นที่นิยมมากในหมู่นักนิยมพระเครื่อง และในหมู่ข้าราชการทหาร ตำรวจและประชาชนทั่วไป มีประสบการณ์เรื่องเมตตา แคล้วคลาด และคงกระพัน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลังเกษษหลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาท

    ลพ.เกตุ.jpg

    ลพ.เกตุหลัง.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    [​IMG]


    (หลวงปู่บุญตา วิสุทธสีโล) วัดคลองเกตุ อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี
    มีนามเดิมว่า บุญตา นามสกุล พาซื่อ โยมบิดาชื่อ นายอุด โยมมารดาชื่อ นางทุม พาซื่อ
    เกิดที่บ้านโนนสะคาม จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2449
    ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4 ท่าน คือ
    1. นายอ้วน พาซื่อ
    2. นายรุณ พาซื่อ
    3. นางลา พาซื่อ
    4. หลวงปู่บุญตา วิสุทธสีโล
    เมื่ออายุได้ 3 ขวบ บิดาย้ายถิ่นฐานไปอยู่บ้านพระเสาร์ อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร
    ชีวิตในวัยเยาว์อายุ 12 ปี ได้ศึกษาภาษาไทย ณ วัดพระเสาร์ จนถึงชั้น ป. 3 จึงออกมาช่วยบิดามารดาทำนา
    จนกระทั่งอายุ 16 ปี บิดามารดาพาย้ายถิ่นฐานไปอยู่บ้านจาน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
    และได้ย้ายไปอยู่บ้านหนองมะนาว ต.ขอนแก่น อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์
    จนอายุได้ 23 ปี มารดาก็เสียชีวิต ท่านจึงได้บวชหน้าไฟเพื่อทดแทนคุณมารดา
    ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2472 ที่วัดหนองม้า ต.หนองฮะ อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์
    โดยมีพระอธิการกลัด เจ้าอาวาสวัดสะเม็ด เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระอาจารย์กา วัดสะเม็ด เป็นพระกรรมวาจา
    พระอธิการเผือ วัดบ้านเครือ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ท่านได้รับฉายาว่า "วิสุทธสีโล" แปลว่า "ผู้มีศีลอันบริสุทธิ์"
    เมื่อบวชแล้วได้จำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์กลัด พระอุปัชฌาย์ในวัดสะเม็ด
    ได้เริ่มเรียนการปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างจริงจังกับผู้เป็นอุปัชฌาย์
    พร้อมกับเรียนพระปริยัติธรรมควบคู่ไปด้วยและก็สอบได้นักธรรมชั้นตรีในพรรษาแรก
    เมื่อจิตใจพึงพอใจอยู่กับความสงบประกอบกับหลวงปู่ท่านได้สมาธิแล้ว
    ก็ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายที่จะต้องอยู่กับสิ่งแวดล้อมแห่งผู้คน
    จึงขออนุญาตพระอาจารย์กลัดแสวงหาครูบาอาจารย์สอนวิชา
    โดยไปจำพรรษาที่วัดกลาง จังหวัดบุรีรัมย์
    เพราะทราบว่ามีครูบาอาจารย์ดีในวัดหลายองค์
    ท่านจึงได้ศึกษาวิชาต่างๆ หลายแขนงทั้งทางด้านปฏิบัติธรรม ด้านคาถาอาคม
    ไสยศาสตร์ แต่เนื่องจากวิชาอาคมต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นภาษาขอมท่านจึงคิดที่หาที่เรียนภาษาขอม
    จึงเดินทางไปยังวัดเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
    เรียนภาษาบาลีและอักขระขอม ใช้เวลาเรียนอยู่ 4 ปีเต็มจนแตกฉานในภาษาบาลีและอักขระขอม
    จบแล้วจึงไปจำพรรษาที่วัดพระเสาร์เป็นเวลา 3 พรรษา
    และท่านก็ปรารถนาจะกราบนมัสการพระธาตุพนม ซึ่งไม่เคยไปมาก่อน
    ท่านจึงออกเดินทางธุดงค์ไปยังวัดพระธาตุพนม ค่ำไหนก็ปักกลดที่นั่น
    ทำการสำรวจจิตใจด้วยตนเอง ทบทวนด้วยเรื่องของสังขารอยู่ในป่าทึบ
    จนกระทั่งถึงวัดพระธาตุพนม และอยู่ที่วัดพระธาตุพนม 7 วัน
    จากนั้นออกธุดงค์ต่อไปทางจังหวัดเชียงใหม่ไปพักอยู่วัดอุโมงค์
    เป็นวัดที่พระชาวศรีลังกามาสอนธรรมะ
    ท่านอยู่ที่นั่น 15 วัน ก็ธุดงค์ต่อไปทั่วภาคเหนือและภาคอิสาน
    ปี พ.ศ. 2474 หลวงปู่เดินธุดงค์อยู่เชียงใหม่
    ท่านทราบว่าเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) แสดงธรรมอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง
    ท่านดีใจมากที่จะได้พบพระสุปฏิปันโน
    และท่านก็ได้รับความเมตตาชี้แนะแนวทางธรรม
    หลังจากนั้นท่านจึงธุดงค์ไปวัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
    ไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเสาร์ กันตสีโล
    ซึ่งหลวงพ่อเสาร์ ท่านเชี่ยวชาญเรื่องปัฏฐวีกสิณ เตโชกสิณ อาโปกสิณ และวาโยกสิณ
    หลวงพ่อเสาร์ท่านได้เมตตาสอนปัฏฐวีกสิณให้
    โดยนำดินมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ ขนาดเท่าหม้อใหญ่และขนาดขันน้ำ โดยมองให้เห็นอยู่อย่างนั้น
    แล้วลืมตามาเพ่งใหม่คือ การเพ่งดินเป็นอารมณ์ และในการฝึกนั้นจะมีพระมหาปิ่น ปญฺญาธโร
    และพระอาจารย์สิงห์ ขันตคยาโม เป็นผู้เข้มงวดในการฝึก
    จนกระทั่งหลวงปู่บุญตา เข้าถึงปฐวีกสิณอย่างรวดเร็วกว่าศิษย์ท่านอื่นๆ
    จากนั้นท่านจึงกราบลาหลวงพ่อเสาร์ และพระมหาปิ่น ธุดงค์มาทางจังหวัดลพบุรี
    และมาพักอยู่วัดพรหมมาสตร์ มาอยู่กับหลวงพ่อพุทธวรญาณได้ศึกษาธรรมะอยู่ 1 พรรษา
    จากนั้นจึงเดินทางเข้าไปกรุงเทพฯ ไปอยู่วัดมหาธาตุ
    พร้อมกับปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานกับพระเทพสิทธิมุนี ภาวนายุบหนอ พองหนอ
    เพ่งสติให้เป็นมหาสติปัฏฐาน ปฏิบัติได้ 2 เดือนเศษก็มีความชำนาญและช่ำชองอย่างรวดเร็ว
    ออกจากวัดมหาธาตุ ย้อนกลับไปยังจังหวัดนครสวรรค์
    ได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิม พุทธสโร แห่งวัดหนองโพ ได้ศึกษาวิชากับหลวงพ่อเดิมหลายอย่าง
    เช่น การสร้างมีดหมอเทพศาสตราตามตำรับเดิมแท้ ฯลฯ
    และท่านได้ไปเรียนวิชากับหลวงพ่อทองวัดเขากบ ซึ่งท่านมีชื่อเสียงในการเล่นแร่แปรธาตุ
    จากนั้นได้เข้าศึกษาพระธรรมที่วัดศรีษะเมือง หรือวัดนครสวรรค์ ซึ่งมีชื่อเสียงทางปริยัติธรรม
    หลวงปู่บุญตาจึงได้ศึกษาจนสำเร็จนักธรรมชั้นโทและนักธรรมชั้นเอก
    ท่านอยู่ที่ในนครสวรรค์ 4 พรรษา จากนั้นก็กลับมาลพบุรี มาจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองบัว ต.คลองเกตุ
    อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส ในปี 2483
    ท่านอยู่ที่วัดหนองบัว 3 พรรษา จากนั้นจึงกลับไปเยี่ยมภูมิลำเนาเกิด โดยไปจำพรรษาที่วัดพระเสาร์
    เป็นเวลา 3 พรรษา จากนั้นก็กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองบัวอีกครั้งหนึ่ง
    ในการอยู่วัดหนองบัวท่านก็ได้โน้มน้าวจิตใจของญาติโยมเข้าวัดปฏิบัติธรรม
    ควบคู่ไปกลับการสอนปริยัติธรรมให้กับพระภิกษุสามเณร
    รวมทั้งเป็นที่พึ่งของญาติโยมในภาวะเจ็บไข้ท่านก็ใช้พลังอำนาจทางจิตทำการรักษา
    รวมทั้งผู้ที่ถูกคุณไสยมนต์ดำ หลวงปู่สยบมาแล้วทั้งนั้น
    ชื่อเสียงด้านการสอนธรรมะและปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ ทำให้ผู้ใหญ่ระดับสูงในอำเภอโคกสำโรง
    อาราธนานิมนต์ไปยังอารามแห่งใหม่
    ท่านอยู่วัดหนองบัวครั้งหลัง 3 พรรษา ปี 2492 ก็ได้รับคำสั่งให้ไปปกครองวัดสิงห์คูยาง
    ซึ่งอยู่ใจกลางชุมชนตลาดอำเภอโคกสำโรง ท่านพัฒนาวัดสิงห์คูยาง จนก้าวหน้า
    และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพระครูสังฆรักษ์บุญตา พระฐานานุกรมของพระกิตติญาณมุนี
    (พระพุทธวรญาณ) เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี รวมระยะเวลาปกครองวัดสิงห์คูยาง 23 พรรษา
    ขณะที่ท่านพำนักอยู่วัดสิงห์คูยางนั้นท่านเดินทางสู่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
    เพื่อขอรับการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวทางของพระธรรมธีราชมุนี (โชดกญาณสิทธิ ป.ธ.9)
    ในรุ่นที่ 3 และได้รับการยกย่องจากพระเดชพระคุณ พระพิมลปัญญาว่า เป็นพระวิปัสสนาจารย์ชั้นเยี่ยม
    เพราะเข้าสมาธิได้เป็นที่ 1 สามารถทำให้ร่างกายไม่ไหวติงนานนับ ถึง 1 วัน 1 คืน
    ถึงขั้นมีผู้ทดสอบยกร่างของท่านจากที่เดิมไปที่แห่งใหม่ โดยที่ท่านั่งของท่านยังคงเดิมไม่ไหวติง
    เพราะหลวงปู่ท่านเข้าถึงสภาวะจิตขั้นสูงแล้ว
    วัดคลองเกตุ ต.คลองเกตุ อ.โคกสำโรง ถึงยุคเสื่อมโทรมร้างเจ้าอาวาส
    ชาวบ้านตำบลคลองเกตุได้พร้อมใจกันไปขอร้องท่านผู้ใหญ่ในอำเภอ
    ขออาราธนานิมนต์ไปปกครองวัดคลองเกตุไปเป็นหลักของชาวบ้านคลองเกตุ
    เพราะความศรัทธาที่มีต่อท่านตั้งแต่ครั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองบัว ซึ่งอยู่ในตำบลเดียวกัน
    คณะสงฆ์ผู้ใหญ่ได้สอบถามหลวงปู่ หลวงปู่ก็ตอบตกลงเพราะว่าวัดสิงห์คูยางเจริญแล้ว
    และอยู่กลางอำเภอ และเห็นว่าวัดคลองเกตุเงียบสงบ
    เหมาะแก่การเจริญภาวนา ปฏิบัติธรรม ท่านจึงตอบตกลงทันที
    วันที่ 25 มกราคม 2514 ขบวนชาวบ้านคลองเกตุ ได้จัดขบวนไปรับหลวงปู่ถึงวัดสิงห์คูยาง
    เพื่อไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดคลองเกตุ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
    หลวงปู่ท่านก็ได้ไปบริหารจัดการและพัฒนาจนเจริญก้าวหน้าจนเป็นวัดคลองเกตุในปัจจุบัน
    หลวงปู่บุญตาท่านมีความช่ำชองในการเพ่งกสิณไฟเป็นพิเศษ
    ถึงขนาดที่กำหนดจิตเสกพระให้แก่ผู้ศรัทธาเพียงชั่วอึดใจ
    พระที่ท่านเสกให้ถึงกับร้อนจัดขึ้นทันที
    และที่น่าอัศจรรย์คือมีผู้ห้อยพระของท่านถูกฟ้าผ่า แต่รอดตายได้อย่างปาฏิหารย์
    วัตถุมงคลของท่านทุกรุ่น ประสบการณ์เพียบ....เรื่องแคล้วคลาด ปลอดภัย โชคลาภ
    มีพูดคุยปากต่อปากของลูกศิษย์ของท่านไม่ขาดปากตลอดจนถึงปัจจุบันนี้
    และวัตถุมงคลของท่านไม่มีวางให้เห็นตามแผงพระทั่วไป เพราะลูกศิษย์เห็นจะเก็บไว้หมด
    นานๆ ทีจึงจะเห็นวัตถุมงคลของท่านออกมาให้เห็นตามตลาดพระบ้าง
    กสิณไฟเหนือฟ้า วาจาสิทธิ์
    ลูกศิษย์ของหลวงพ่อบุญตา ทั้งใกล้และไกลได้ประจักษ์ถึงคุณวิเศษของท่านคือ วาจาสิทธิ์
    ถ้อยคำที่ท่านพูดออกไปนั้นมักเป็นความจริงเสมอ จนได้รับการยกย่องว่า หลวงปู่บุญตาวาจาสิทธิ์
    หลวงปู่ท่านเป็นพระกัมมัฏฐานที่มีจิตใจสะอาดมองโลกในงแง่ดีเสมอ
    กายวาจาและจิตใจของท่านบริสุทธิ์จริงไม่มีการพลั้งเผลอขาดสติ
    จิตใจแน่วแน่อยู่ในพุทธคุณ วาจาที่กล่าวออกมาจึงบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์
    เป็นที่รู้กันไม่ว่าหลวงปู่จะพูดอะไรก็เป็นไปอย่างนั้น จะทักใครให้อยู่ดีมีความสุข
    คนนั้นก็จะเป็นไปตามที่หลวงปู่พูด คนเกเรข่มเหงไม่ว่าผู้เฒ่าผู้เฒ่าผู้แก่ระรานเขาไปทั่ว
    เมื่อหลวงปู่ทราบก็จะสั่งสอนให้กลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่
    ให้ปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ดีงามก่อนจะสาย หากคนนั้นรับปากแล้วไม่กระทำตามหรือดูหมิ่น
    ในคำสอนของหลวงปู่ก็จะต้องได้รับความวิบัติจนถึงหายนะไปในที่สุดดังที่ประจักษ์กันมาแล้ว
    คำพูดของท่านที่ลูกศิษย์ได้ยินเสมอคือ ช่างเขาเถอะ
    หลวงปู่ท่านเป็นผู้ที่ให้เสมอ ผู้ใดขออะไร ท่านก็มีแต่ให้ ท่านมักพูดน้อย
    วาจาไพเราะ ผิวพรรณผ่องใสงดงาม ผู้ที่เข้ามากราบท่าน พบท่านแล้วจะเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
    สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของท่านก็คือ การเพิ่มพลังกำลังใจให้แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก
    หรือที่ภาษาของชาวบ้านเรียกว่า ต่ออายุหรือต่อชะตา
    ชาวบ้านใกล้ไกลจะมาให้ท่านสงเคราะห์อยู่อย่างสม่ำเสมอ คนป่วยที่ว่าไม่น่ารอด
    ไปหาหมอไหนๆ ก็ส่ายหน้า แต่ถ้ามากราบนิมนต์ให้ท่านทำหรือแนะนำให้ไปปฏิบัติ
    ก็จะหายจากอาการที่เป็นอยู่ และจะดีขึ้นในวันต่อมา เป็นความมหัศจรรย์จริงๆ
    หลวงปู่ท่านจะอบรมสั่งสอนให้ศิษย์เป็นคนดีหนีทุกข์ยากได้สำเร็จ
    ดั่งคำพูดของท่านว่า "อาตมาเป็นพระภิกษุสงฆ์ บวชแล้วได้อาศัยอาหารของชาวบ้าน
    เลี้ยงตัวตนจึงนับด้วยพระคุณ ดุจทองคำอันมีค่า
    แต่ยังด้อยกว่าข้าวเพียงหนึ่งคำที่ฉันผ่านลำคอ
    ดังนั้น แม้เวลาใดขณะใดญาติโยมมาหา อาตมาก็ต้องต้อนรับขับสู้ด้วยจิตที่มีเมตตายินดี"
    หลวงปู่ท่านได้เมตตาอบรมความคิดคติธรรมคำพรประสิทธิ์แด่ลูกศิษย์ ดังนี้
    1. ให้ทำความสงบทางจิตใจ
    2. ให้ขยันหมั่นเพียร
    3. อย่าเกียจคร้านให้สร้างเนื้อสร้างตัวโดยเร็ว
    4. ให้ทำตัวเป็นคนดี จะได้หลุดพ้นความยากจนและความทุกข์
    5. มีให้เกินใช้ มีมากใช้น้อย
    6. ได้ให้เกินเสีย คือทำงานมีเงินควรเก็บไว้แต่เวลาใช้ก็อย่าใช้มากให้ประหยัด
    7. คบเพื่อนที่ดี เพื่อนที่แนะนำไปในทางที่ดี
    8. สวดมนต์ภาวนา สร้างกุศลเพื่อหลุดพ้นภพชาติ
    ขอให้ญาติโยมทุกคนหมั่นเจริญภาวนาหาเหตุผลแยกแยะความดีความชั่ว
    ดูให้ออกมองให้เห็นและหมั่นทำความดีรักษาศีล เจริญธรรม
    ชีวิตที่อับเฉาของญาติโยมก็จะดีขึ้นมีความสุขขึ้น
    เพราะพระธรรมย่อมนำความสุขสงบความร่มเย็นมาให้
    สมัยก่อนมีลูกศิษย์ได้ถามหลวงปู่บุญตาว่า ทำไมฟ้าจึงผ่าคนแล้วไม่ตายครับ
    หลวงปู่ตอบว่า ฟ้าคงจะทดลองบุญบารมีเขากระมัง
    ลูกศิษย์ท่านนั้นก็ถามว่า ทดลองบารมีใครหรือครับ
    หลวงปู่ตอบกลับไปว่า ลองสวดมนต์บ่อยๆ นั่งกัมมัฏฐานเรื่อยๆ นะ เดี๋ยวก็จะรู้เอง
    ลูกศิษย์คนนั้นก็ได้แต่รับปากว่า...ครับ...หลวงปู่

    3713362-46c56.jpg
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่บุญตา วัดคลองเกตุ ลพบุรี

    ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาท

    ลป.บุญตา.jpg ลป.บุญตาหลัง.jpg
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    cimg3098-copy-500x332-jpg.jpg

    …..พระครูมงคลคำภีรคุณ หรือ หลวงปู่คำแดง ฐานทัตโต เป็นพระเกจิ อาจารย์แห่งเมืองดอกบัว เชี่ยวชาญวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือ
    หลวงปู่คำแดง สิริอายุ 91 ปี พรรษา 24 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดคัมภีราวาส บ้านนาพิน ต.นาพิน อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธาน
    นามเดิม คำแดง พึ่งบารมี เกิดเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2465 ตรงกับวันพุธ แรม 10 ค่ำ เดือนอ้าย ปีจอ ณ บ้านเลขที่ 31 หมู่ 10 ต.นาพิน อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี บิดา-มารดา ชื่อ นายถาวรและนางใหม่ พึ่งบารมี มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 8 คน
    มีเรื่องเล่าว่า ก่อนท่านมาเกิด นางใหม่ ผู้เป็นมารดาฝันว่ามีพระธุดงค์เดินมามอบหนังสือใบลานก้อมให้แล้วเดินจากไป ต่อจากนั้น นางใหม่ก็ตั้งครรภ์ 10 เดือน ก่อนคลอดเด็กทารกเพศชายตัวเล็ก สุขภาพไม่แข็งแรง บิดาจึงเอาไปถวายพระอาจารย์ใหม่ บัวแดง ให้ท่านผูกข้อมือรับเป็นพ่อบุญธรรม
    ครั้นอายุ 9 ขวบ เข้าโรงเรียนประชาบาล ต.นาพิน จบชั้น ป.4 สอบชิงทุนได้ นายฮง มณีภาค ศึกษาอำเภอ ได้ส่งไปเรียนที่โรงเรียนกสิกรรม (ท่าวังหิน) แต่นายถาวร ผู้บิดาขอสละสิทธิ์ นำบุตรชายให้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปี พ.ศ.2479-2499 อยู่วัดคัมภีราวาส
    พ.ศ.2480 ย้ายไปอยู่จำพรรษาวัดสิงหาญสะพือ กับพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2481 ออกเดินธุดงค์ไปอยู่ภูขาม แล้วไปจำพรรษาอยู่วัดบูรพา ในเมืองอุบลราชธานี
    พ.ศ.2481 อยู่ ต.นาจิก จ.อำนาจเจริญ สามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้
    ครั้นอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดฉิมพลี อ.เมือง จ.สกลนคร
    หลังอุปสมบทได้เดินทางไปปฏิบัติธรรมและศึกษาพระธรรมวินัยในหลายจังหวัดทางภาคอีสาน ก่อนกลับมาจำพรรษาที่วัดศรีโพธิ์ชัย พ.ศ.2486 เรียนบาลีไวยากรณ์อยู่
    พ.ศ.2491 ย้ายไปเรียนบาลีไวยากรณ์ อยู่วัดกลาง อำเภอเขมราฐ
    ในปี พ.ศ.2501 ย้ายมาอยู่จำพรรษา วัดพาราณสี ต.นาพิน แต่ท่านบวชได้เพียง 6 ปี ท่านตัดสินใจลาสิกขาไปใช้ชีวิตแบบฆราวาส
    เมื่อวันที่ 6 ส.ค.2530 นายคำแดง ป่วยหนักพวกญาตินำส่งโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี หมอผ่าตัดถุงน้ำดี หลังจากนั้น ท่านได้หายป่วย หลังผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ ท่านจึงเริ่มนึกปลงชีวิต ตัดสินใจหันหน้าเข้าสู่ทางธรรมอีกครั้ง ตัดสินใจอุปสมบท เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2532 ที่วัดกุญชราราม ต.ขุหลุ อ.ตระการพืชผล มี พระครูไพโรจน์ปรีชากร เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูภัทรญาณปยุต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูสิริธรรมมากร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา ฐานทัตโต
    ภายหลังอุปสมบท พระคำแดง ได้ออกธุดงควัตรไปสร้างวัดบ้านโนนฮาง หมู่ที่ 9 ต.นาพิน อ.ตระการพืชผล พ.ศ.2533 สามารถสอบได้เปรียญธรรมประโยค 1-2 พ.ศ.2538 สอบได้เปรียญธรรมประโยค 3
    จากนั้น พ.ศ.2541 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดคัมภีราวาสจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
    หลวงปู่คำแดง เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตายามได้รับกิจนิมนต์ไปงานบุญต่างๆ ท่านไม่เคยปฏิเสธ แม้ว่าท่านจะย่างอายุเข้าสู่วัยชราและมีปัญหาด้านสุขภาพตามวัย
    ส่วนงานกิจนิมนต์ในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลตามวัดต่างๆ ท่านต้องเดินทางเข้าร่วมพิธีเสมอ แม้นจะไกลหรือจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ท่านก็มีความสุขที่ได้ปฏิบัติเช่นนั้น ศิษย์ผู้คอยดูแลปรนนิบัติก็ไม่สามารถทัดทานได้
    ส่วนวัตถุมงคลรุ่นต่างๆ ที่ท่านได้สร้างและอธิษฐานจิตปลุกเสกนั้น ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์เล่าขาน วัตถุมงคลหลายรุ่นที่ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสกได้รับความนิยมจากนักสะสมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น เหรียญ รูปเหมือน หรือเครื่องรางของขลังต่างๆ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนผสมเกษาหลวงปู่มหาคำแดง ให้บูชา200บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ
    %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87-jpg.jpg AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    20150227_143154-4.jpg

    มหัศจรรย์ผึ้ง จำนวน 14 รัง เกาะ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ เรียกว่า.. “พระเจ้าตนหลวง” หรือ ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “พระเจ้าต๋นหลวง” ซึ่งประดิษฐาน ที่ “วัดสันคอกช้าง” ต.แม่ก๊า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ สร้างโดย “ครูบาอินถา” หรือ “พระพุทธสันติ
    ปารังกรศรีพิงคนคร” เดิมวัดนี้ เป็น “วัดร้าง” ชื่อ “วัดหลวง”
    ต่อมา ปี พ.ศ. 2500 “ครูบาอินถา สุขวัฒฑโก”(พระครูมหา พุทธาภิบาล) ได้บูรณะปฏิสังขรณ์ และสร้าง “พระเจ้าตนหลวง” มีขนาดหน้าตัก กว้าง 18 เมตร สูง 28 เมตร
    เมื่อ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2509 ได้รับ พระราชทานนาม จาก
    พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ว่า “พระพุทธสันติปารังกรศรีพิงคนคร” หรือ “พระเจ้าตนหลวง”
    ต่อมา เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2510 กระทรวงศึกษาธิการ
    ได้ประกาศยกเลิก “ฐานะวัดร้าง” “ให้เป็น วัดที่มีพระสงฆ์ จำพรรษา”
    และได้รับชื่อทางการว่า “วัดพระพุทธสันติปารังกร” และได้รับ พระราชทาน “วิสุงคามสีมา” เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2518
    เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2519 พระบาทสมเด็จ พระเจ้า
    อยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราช
    ดำเนิน พร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
    และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ วลัยลักษณ์ ทรงประกอบ
    พิธี “ตัดลูกนิมิตร อุโบสถ” และทรงนมัสการ พระพุทธรูป “พระเจ้าตนหลวง” และได้ พระราชทาน ทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อสร้าง
    “หอสมุดรวมใจ” ของวัดอีก จำนวน 20,000 บาท
    ต่อมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2520 ทรงพระกรุณา โปรดเกล้า ฯ ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จแทน พระองค์ ทรงเปิด “หอสมุดรวมใจ”
    เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2538 “ครูบาอินถา” ถึงแก่มรณภาพ ท่ามกลาง “ความโศกเศร้า เสียใจ” ของศรัทธา ประชาชน ขณะวัย 57 ปี พรรษา 38
    แต่…ผลงานของท่าน ได้พัฒนา “วัด สันคอกช้าง” เป็น
    “วัด พัฒนาตัวอย่าง” โดย สร้าง “พระเจ้าตนหลวง องค์ใหญ่ในสมัยนั้น
    และ ยังได้สร้าง “สะพานข้าม แม่น้ำปิง” และ สถานีอนามัย สร้างวิหาร
    ของวัดต่าง ๆ รวม 37 วัด และยังได้สร้าง อุโบสถ และ เสนาสนะอีก นับไม่ถ้วน รวมผลงานค่าก่อสร้าง สมัยนั้น เป็นเงินถึง 58 ล้านบาท
    หลังจาก ท่านพระครู มหาพุทธาภิบาล (ครูบาอินถา) มรณภาพลง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญครูบาอินถา ให้บูชา150บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    ครูบาอินถา.jpg ครูบาอินถาหลัง.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    หลวงปู่กลั่น คุณวโร แห่งวัดใหม่อินทราวาส อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง แรกเริ่มเดิมที ท่านเป็นชาวโพธิ์พระยา จ.สุพรรณบุรี สมัยยังเป็นฆราวาส ก็มีชีวิตเหมือนลูกผู้ชายไทยในอดีต คือ.เสือเก่า ท่านมีความสนิทสนม กันมากกับ อดีตเสือใหญ่แห่งเมืองสุพรรณฯ(เสือฝ้าย เพ็ชนะ)
    ท่านขลังมาตั้งแต่ก่อนบวชเสียอีก เพราะยามว่างท่านก็ไปรับจ้างลงใบลานในวัด และ เล่าเรียนวิชาจากพระอาจารย์(ลป.อ่อน อุตโม วัดชีสุขเกษม เป็นพระอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาหลักๆของท่านเป็นส่วนใหญ่-ต้นตำหรับพระยันต์ที่ท่านใช้เป็นตัวหลักคือ."น.ทอทรหด") และ ลป.คำ วัดหน่อพุทธางกูล(อยู่ตรงกันข้าม) ท่านแสวงหาวิชา-พระอาจารย์ผู้ทรงคุณมากมายหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น ลพ.อี๋(ไปเอา"กันหะ เนหะ"), ลพ.ภักต์ วักโบสถ์, ลพ.ภู วัดดอนรัก(เอาการสร้างตะกรุด), ลพ.คำ โพธิ์ปล้ำ, พ่อท่านคล้าย สวนขัน(เอา ฤ ฤามา-ฦ ฦาไป ใช้เวลา.6 เดือนกว่าจะได้.ใช้เวลาเรียนมาที่สุดในเท่าที่เรียนมาทุกๆ พระอาจารย์ฯ) และ ฆราวาส(อิสลาม) จ.ปัตตานี(เอาวิชาดูตูดจาน"เปิด3โลก") ส่วนที่ว่า ท่านเป็นลูกศิษย์ ลพ.ดิ่ง วัดบางวัวนั้นไม่จริง ท่านไม่เคยไปเรียนกับ ลพ.ดิ่ง บางวัวเลย วิชา.ลิง(หนุมาน) และปลักขิก ท่านเรียนมาจาก ลป.อ่อน อุตโม ทั้งสิ้น เพราะ ลป.อ่อน อุตโม ท่านสร้างปลัดขิก และ ลิงไม้แกะ ด้วย ส่วนพระยันต์(สัพวิชาต่างๆ) ลป.กลั่น คุณวโรท่านนำมาใส่เสริมลงไปในวัตถุมงคลท่าน(เปรียบเสมือนยาหม้อใหญ่) วัตถุมงคลของท่านที่ทุกท่านรู้จักเสียส่วนใหญ่ ก็คือ.ปลัดขิก แต่จริงๆท่านสร้างไว้มากมาย ล้วนแล้วแต่มากประสบการณ์มากมาย วัตถุมงคลท่านๆท่านเสกเอง องค์เดียว ไม่นิมนต์ท่านใดมาร่วมเสก
    ท่านเคยบอกว่า(สมัยสร้างพระประธานในโบสถ์"หลวงพ่อในโบสถ์"พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์")ว่า.
    (ลูกศิษย์): ลป.ครับ จะนิมนต์พระอาจารย์รูปใดบ้าง มาฉลองโบสถหลังใหม่และพระประธาน
    (ลป.กลั่น คุณวโร): จะเชิญท่านมาทำไม เราก็สร้างเอง-เสกเองได้ ดั่งที่ที่โบราณท่านว่าไว้.ชาติเสือ ไม่ขอเนื้อใครกิน
    วัตถุมงคลของท่านก่อนที่จะให้ใครไป ท่านจะต้องมั่นใจดีแล้วจึงให้ไป ท่านว่า.มันจะเป็นบาป-เป็นกรรม แต่ท่านก็ไม่เคยบอกกล่าวใครนะว่า.ของท่านดีอย่างไร-กันอะไร ท่านก็แค่กล่าวว่า.ของดี-ของมงคล จะเอาไว้ที่บ้านก็ดี เป็นมงคลบ้าน ไว้ที่ตัวก็ดี เป็นมงคลตัว ใครจะมาบอกว่า.พอเอาของท่านไปๆพบเจออะไรบ้างท่านก็เฉย กล่าวแต่ว่า.ก็ดี เป็นของมงคล แล้วก็ยิ้ม /
    ที่มาจากคุณโอ่ง สงขลา (ลูกศิษย์จ.สงขลาที่เคารพลป.กลั่น คุณวโร อย่างที่สุด)

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    1 พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อกลั่น วัดอินทาวาส
    ให้บูชาบาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ


    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-jpg.jpg 5%E0%B8%9E-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
    2 พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อกลั่น วัดอินทาวาส
    ให้บูชาบาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ


    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%991-jpg.jpg %E0%B8%9E-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%991%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2022
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,196
    ค่าพลัง:
    +21,324
    ชีวประวัติ
    พระครูวินัยธร (หลุย) ธมมธโร วัดลาดบัวขาว (วัดราชโยธา)เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร
    ชาติกาล ๑๘ สิงหาคม ๒๔๗๑ ชาติภูมิ ตำบลบ้านโคน อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ อุปสมบทอายุ ๔๒ปี มรณภาพ ๑๒ พฤจิกายน ๒๕๕๕ เวลา 00.0๔น. สิริรวมอายุได้ ๘๔ปี ๔๒พรรษา
    พระครูวินัยธร ธมมธโร หรือหลวงปู่หลุย เป็นที่รู้จักของชาวบ้านในระแวกวัดลาดบัวขาวในฐานะพระหมอเป้นพระผู้เปี่ยมด้วยจิตอันงดงามบริสุทธิ ได้ปฎิบัติตนเป็นที่พึ่งของคนทังหลายทังชาวพุทธและอิสลามที่อยู่ในระแวกวัดที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างแท้จริง ผู้ใดมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรหากได้ไปกราบไหว้ขอความช่วยเหลือแล้วเป็นไม่ผิดหวังเพราะท่านมีบารมีธรรมอันแก่กล้าไม่เพียงแต่วิชาทางแพทย์ ในด้านวิชาอาคมต่างๆทั้งการเสกนำ้มันมนต์ ลงกระหม่อม ขับไล่"ของ"ฯลฯ ท่านสามารถใช้วิชาเหล่านั้นอย่างเชี่ยวชาญและมีอานุภาพยิ่ง คนทั้งหลายที่มาหาท่านจึงมีเหตุแห่งทุกข์ที่แตกต่างกันไป ประวัติชีวิตของพระคุณเจ้าพระครูวินัยธร ธมมธโร(หลุย)ซึ่งท่านได้อ่านมาแล้วนี้เป็นเพียงประวัติโดยสังเขปที่นำมาเผยแพร่ เรื่องราวอันแปลกพิศดารต่างๆในชีวิตของท่านนั้นที่จริงมีอยู่อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้คาถาอาคม ผจญกับอมนุษย์และเดรัจฉานวิชาทั้งหลายหรือการศึกษาวิชาอาคมกับอาจารย์ต่างๆซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นจะลงให้ลูกศิษย์ได้อ่านในภายหลังนะครับ ความจริงที่ปฎิเสธไม่ได้ก็คือ ท่านอาจารย์นับเป็นผู้ทรงศิลเปี่ยมด้วยบารมี มีคนูปการอย่างใหญ่หลวงในฐานะผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาท่านเป็นผู้มีเมตตาที่ยิ่งใหญ่ดุจพระโพธิสัตว์เป็นพระอริยะแห่งยุค ปัจจุบันหายากยิ่งรูปหนึ่งซึ่งสมควรแก่การกราบไหว้บูชาอย่างแท้จริงครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    1 พระผงรูปเหมือนจันทร์ลอยหลวงปู่หลุย วัดราชโยธา
    ให้บูชา100บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลป.หลุย.jpg ลป.หลุยหลัง.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...