เหรียญชินราชคุ้มเกล้า หลังภปร.พ.ศ. 2521

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 8 พฤษภาคม 2019.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ForumID0033742-PIC1.jpg
    าติภูมิ หลวงพ่อสง่า อนุปุพฺโพ แห่งวัดบ้านหม้อจังหวัดราชบุรี มีนามเดิมว่า สง่า เวสสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2469 เป็นบุตรของนายเขี้ยมและนางเม้า เวสสุวรรณ ณ บ้านหม้อ ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี...... ชีวิตในวัยเยาว์ของท่านได้รับการศึกษาจากโรงเรียนวัดบ้านหม้อโดยมีบรรดาพระภิกษุสงฆ์ เป็นผู้อบรมสั่งสอนวิทยาวิชาการอีกทั้งบางวันยังต้องนอนค้างวัดเพื่อช่วยปรนนิบัติรับใช้ พระสงฆ์อยู่เสมอๆ ดังนั้นชีวิตของหลวงพ่อสง่าจึงอยู่ใกล้ชิดกับพระและวัดมาโดยตลอดจนกระทั่งจบชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 จึงได้ออกจากโรงเรียนมาช่วยครอบครัวทำไร่ทำนา
    อุปนิสัย
    ของท่านในวัยหนุ่มก็เหมือนกับวัยรุ่นส่วนใหญ่ทั่วไปที่เสร็จจากการทำงานก็มักไป เที่ยวเล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ ไปตามเรื่อง บางครั้งท่านก็ไปเที่ยวยังหมู่บ้านอื่นเพื่อเสาะแสวงหาความรู้ด้านคาถาอาคมจากครูอาจารย์ที่เก่งๆ แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจจนกระทั่งทราบมาว่าที่วัดไทรอารักษ์มีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญคาถา อาคมอยู่รูปหนึ่งจึงดั้นด้นไปพบเพื่อขอเรียนวิชาแต่หลวงพ่อวัดไทรอารักษ์กลับตั้งคำถามว่า มาจากที่ใดและพอทราบว่ามาจากบ้านหม้อท่านจึงปรารภขึ้นว่า
    “หาหญ้ากินไกลคอกเหลือเกินนะเรา อย่าลืมหญ้าปากคอกดูบ้างว่าหญ้าปากคอกนั้นงามขนาดไหน”
    นายสง่าในขณะนั้นได้แต่คิดถึงถ้อยคำปริศนาที่หลวงพ่อวัดไทรฯได้พูดถึงแต่ก็คิดไม่ออก จนกระทั่งไม่นานท่านจึงไขปริศนาได้ว่าหญ้าปากคอกที่พูดถึงนั้นก็คือท่านพระครูเจ้าอาวาส วัดบ้านหม้อนั่นเองท่านจึงได้ปวารณาตัวเป็นศิษย์เพื่อเล่าเรียนวิชาอาคมนานนับปีจนมี ความรู้แคล่วคล่องในบทสวด คาถาอาคม อักขระเลขยันต์พอควร
    ต่อมาในปี 2481 ท่านได้ตัดสินใจอุปสมบทที่วัดบ้านหม้อ จ.ราชบุรี ขณะมีอายุได้ 22 ปีโดยมี พระอธิการกลิ่น วัดคงคาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เกลี้ยง วัดเฉลิมอาสน์เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เช้งและพระอาจารย์แป๊ะ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ (สมัยนั้นใช้พระคู่สวดในพิธีกรรมถึง 3 รูป) ได้รับฉายาว่า “อนุปุพฺโพ”
    ครั้นอุปสมบทแล้วท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดบ้านหม้อเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจนสามารถ สอบได้นักธรรมชั้นตรีและโทตามลำดับรวมถึงวิชาอาคมที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก พระอาจารย์แป๊ะ พระอาจารย์เปีย วัดบ้านหม้อและวิชาการแพทย์แผนโบราณ วิชาสมุนไพร จนกระทั่งเรียกได้ว่ามีความเชี่ยวชาญยากหาใครเทียบในเวลานั้น
    ต่อมาในปี 2484 ทางวัดหนองม่วง อ.บางแพ จ.ราชบุรี ขาดพระสงฆ์ผู้นำที่จะดูแลวัด ชาวบ้านและไวยาวัจกรจึงได้พร้อมใจนิมนต์ท่านให้มาดูแลและพัฒนาวัดหนองม่วง หลวงพ่อสง่าพิจารณาดูแล้วเห็นด้วยกับเจตนาอันบริสุทธิ์ของชาวบ้านท่านจึงได้ย้ายมาอยู่ ที่วัดหนองม่วงตามคำขอและได้พัฒนาวัดให้ดีขึ้นตามที่ชาวบ้านต้องการดังที่เห็น ในปัจจุบันโดยได้ใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาให้เกิดประโยชน์กับชาวบ้านอย่างสูงสุด จากนั้นจึงกลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านหม้อตามเดิม
    การศึกษาพุทธาคม
    หลวงพ่อสง่าเริ่มศึกษาคาถาอาคมและอักขระเลขยันต์ มาตั้งแต่ตอนสมัยเป็นหนุ่ม ทั้งวิชาสักยันต์ รดน้ำมนต์ ครั้นพออุปสมบทแล้วก็ยังให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ด้วยว่า
    “แม้ไม่ใช่กิจของสงฆ์แต่ก็เป็นความนิยมของคนสมัยนั้น เพื่อให้เกิดศรัทธายึดเหนี่ยวทางจิตใจ”
    โดยหลวงพ่อท่านได้เป็นอาจารย์สักอยู่หลายปีจนกระทั่งได้ข่าวว่าผู้ที่ท่านสักให้ส่วนมากไปกระทำชั่ว เป็นนักเลงเพราะฮึกเหิมลำพองในความคงกระพันของรอยสักที่หลวงพ่อสักให้ ท่านจึงได้เลิกพิธีกรรมการสักทั้งหมดเพราะเห็นว่าสิ่งนี้ไม่เกิดแก่นสารที่แท้จริง
    เมื่อมีเวลาว่างท่านได้ไปขอต่อวิชากับหลวงปู่ดี วัดบ้านยาง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งเก่งในด้านการสร้างพระปิดตามหาอุตม์ คงกระพันชาตรี, หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ จ.กาญจนบุรี โดยได้รับการถ่ายทอดวิชาลบผงอิทธิเจ ปถมัง และการเขียนยันต์ 108, หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ได้วิชามหาอุตม์, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมได้ครอบครูนะเมตตาและได้รับการสอนวิชาเจริญวิปัสสนาและครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ อีกมากมาย
    ปฏิปทากิตติคุณและคุณธรรมของหลวงพ่อสง่าช่างมีเมตตาธรรมสูงส่งยิ่งนัก ท่านได้พัฒนาวัดและพัฒนาคนให้รู้จักหลักการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข สอนให้รู้จักอดทน เพียรพยายามพึ่งตนเอง เอาชนะใจตนเอง เน้นวิถีชีวิตอย่างชาวบ้าน ดังที่ท่านเน้นเสมอว่า
    “คนเราถ้าไม่รวยก็อย่าจน ให้มีหิริโอตัปปะ ให้มีความอดทนและเพียรพยายามจะไม่อดตาย ความจนความรวยเราไม่ได้เอามาตั้งแต่เกิด แต่เราทำตัวเราให้รวย ให้จนได้ทั้งนั้น เป็นหนี้ก็เอามาให้พระแก้ เราต้องแก้ที่ต้นเหตุคือตัวเราเอง หาได้ใช้เป็น ใช้ให้น้อย หาพอเพียงก็จะไม่จน”
    http://www.krusiam.com/community/fo...C7%A7%A1%D2%C3%BE%C3%D0&postid=ForumID0033742

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จหลังลพ.สง่า ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่ง EMS50 บาทครับ

    ลพ.สง่า.JPG ลพ.สง่าหลัง.JPG
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    https://www.phuttha.com/พระสงฆ์/สังเขปประวัติพระภิกษุสงฆ์/หลวงปู่ชอบ-ฐานสโม
    https://www.tnews.co.th/columnist/213358/ประวัติหลวงปู่ชอบ-ฐานสโม
    ประวัติหลวงปู่ชอบ ฐานสโม


    chob1-1-jpg.jpg

    ชาติกำเนิด

    ท่านเกิดเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2444 ท่านเกิดเมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2444 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 3 ปีฉลู ณ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เป็นบุตรของนายมอ และ นางพิลา แก้วสุวรรณ แต่เดิมครอบครัวท่านอยู่อำเภอด่านซ้ายดินแดนอันศักดิ์สิทธ์แห่งพระธาตุศรีสองรักเนื่องจากตัวอำเภอด่านซ้ายอยู่กลางหุบเขาพื้นที่ราบมีไม่มากนัก ทำให้การทำมาหากินลำบากจึงได้พากันอพยพมาอยู่บ้านโคกมน

    การอุปสมบท การศึกษา และธรรมปฎิบัติ อภิญญา

    บวชสามเณรเมื่ออายุ 19 ปี ณ วัดบ้านนาแก ตำบลบบ้านากลาง อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นสามเณรอยู่ถึง 4 ปีกว่า และได้อุปสมบทเมื่ออายุ 23 ปี วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2467 ณ วัดศรีธรรมาราม อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร โดยมีพระครูวิจิตรวิโสธนาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แดง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สังกัดธรรมยุติกนิกาย

    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ท่านเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น โปรดปรานมากที่สุด และเป็นพระอริยสงฆ์ กล่าวกันกันว่าเป็นพระอริยเจ้าผู้ทรงอภิญญาญาน คือผู้ทรงความรู้ยิ่งในพระพุทธศาสนามีคุณสมบัติพิเศษ 6 อย่าง

    1. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ 2. ทิพโสต หูทิพย์ 3.เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่น 4.บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ 5.ทิพจักขุ ตาทิพย์ 6. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้นไป

    chob1-2-jpg.jpg






    chob-2-2-jpg.jpg

    chob-2-1-jpg.jpg

    ท่านได้พบพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ณ เสนาสนะป่าบ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม หลวงปู่มั่นได้ให้โอวาทสั้นๆ ว่า “ท่านเคยภาวนามาอย่างไร ก็ให้ทำต่อไปเช่นนั้น อย่าได้หยุด ธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้นั้น มันอยู่ที่ใจเรานี่แหละ ถ้าอยากรู้อยากเห็นธรรมเหล่านั้น ก็ให้ค้นหาเอาที่ใจของท่านเอง” และจากการที่ท่านมีนิสัยชอบโดดเดี่ยวเที่ยวไปอยู่ในป่า ทำในสิ่งที่บุคคลอื่นทำได้ยาก ไม่ชอบเกี่ยวข้องกับหมู่ชนพระเณร เป็นผู้มีความองอาจเด็ดเดี่ยวอดทนเป็นเลิศ ไม่กลัวความทุกข์ยากลำบาก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย กล้าได้กล้าเสียในการปราบกิเลส ถึงกับพระอาจารย์มั่นออกปากชมท่ามกลางสภาสงฆว่า “ให้ทุกองค์ภาวนาให้ได้เหมือนท่านชอบสิ ท่านองค์นี้ภาวนาไปไกลลิบเลย” ท่านสามารถแสดงธรรมและสนทนาธรรมเป็นภาษาต่างๆ ได้หมด เพียงกำหนดจิตดูว่าภาษานั้นเขาใช้พูดกันว่าอย่างไร ท่านสามารถแสดงธรรมโปรดเทวดา พญานาค ตลอดจนภพภูมิต่างๆ ได้ ในระยะที่ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นนั้น ท่านได้รับความไว้วางใจและมอบหมาย ให้ช่วยดูแลพระเณรที่คิดอะไรนอกลู่นอกทาง ไม่ถูกต้องตามครรลองของผู้ทรงศีลธรรม ท่านก็จะตักเตือน เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นว่า ท่านมีความรู้ภายในว่องไวไม่แพ้หลวงปู่มั่น พระเณรทั้งหลายจึงเกรงกลัวท่านมาก และท่านก็ยังสามารถระลึกชาติรู้อดีตชาติของท่านเองว่าเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เช่น เคยเกิดเป็นพระภิกษุรักษาศีลอยู่กับพระอนุรุทธะ เคยเป็นสามเณรน้อยลูกศิษย์พระมหากัสสปะ เคยเกิดเป็นท้าวมหาพรหมในพรหมโลกและเป็นสัตว์หลายชนิดอีกด้วย หลวงปู่ชอบท่านบำเพ็ญภาวนาอยู่ตามป่าตามเขา ส่วนมากทางภาคเหนือหลายพื้นที่รวมถึงประเทศพม่าด้วย


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่ชอบ ปี 2535 ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    วันนี้จัดส่ง

    EW 4762 5868 8 TH อ่าวอุดม

    ขอบคุณครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    1233126076.jpg
    533113725_l319.jpg


    หลวงพ่อตาบ อัตตกาโม หรือ "พระครูเวชคามคณารักษ์" วัดมะขามเรียง จ.สระบุรี ตามประวัติ หลวงพ่อ

    ตาบ วัดมะขามเรียง ได้ศึกษาด้านวิทยาคมกับพระเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายท่าน"พระครูเวชคามคณารักษ์" หรือ

    หลวงพ่อตาบ อตฺตกาโม แห่งวัดมะขามเรียง อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี เป็นพระเกจิดังชื่อดังที่มีวัตรปฏิบัติดีปฏิบัติ

    ชอบมีเมตตาธรรมสูง มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตจังหวัดสระบุรี วัตถุมงคลของหลวงพ่อตาบ ท่านเป็น ที่เสาะแสวงหา

    ของบรรดาเซียนพระ ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ รูปเหมือน พระกริ่ง พระเนื้อผง โดยเฉพาะพระชัยวัฒน์เวชคามมะขาม

    เรียง พระกริ่งเวชคามมะขามเรียง

    ประวัติ หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง (พระครูเวชคามคณารักษ์)

    อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า ตาบ คชรินทร์ เกิดวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2454 ตรงกับแรม ๗

    ค่ำ เดือน ๑๒ ปีกุน ณ บ้านบ่อกระโดน ต.ไผ่ขวาง อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี โยมบิดาชื่อ นายโป๋ คชรินทร์ เป็นชาว

    บ้านเสาธง อ.บางปะหัน จ.อยุธยา โยมมารดาชื่อ นางฟัก คชรินทร์ เป็นชาวบ้านกระโดน ท่านเป็นบุตรชายคน

    เดียวของครอบครัว เมื่อหลวงพ่อตาบ เติบโตพอสมควรได้เรียนรู้อ่านเขียนกับบิดา จนมีอายุได้ ๙ ปี (ใน พ.ศ.

    ๒๔๖๒) บิดาจึงได้พาไปเข้าเรียนชั้นประถมที่ โรงเรียนวัดศักดิ์ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา และเป็นเด็กวัด

    อยู่กับพระที่วัดศักดิ์ จนถึงอายุ ๑๒ ปี จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ก็กลับมาช่วยบิดา-มารดา ทำงาน ระหว่างนี้ คุณ

    ตาแจ้ง ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านอักขระ ด้านเลขยันต์ เวทมนตร์พุทธาคม ได้สอนฝึก จนพอมีความสามารถด้าน

    พุทธาคมแต่เยาว์วัย

    ครั้นอายุครบ 21 ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดมะขามเรียง เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม

    2476 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา มี พระครูศรีคณาภิบาล (โฉม) วัดดอนพุด เป็นอุปัชฌาย์, พระ

    อธิการแซ วัดบ้านร่อม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการปลั่ง เจ้าอาวาสวัดมะขามเรียง เป็นพระอนุสาวนา

    จารย์ ได้รับฉายาในเพศบรรพชิตว่า "อตฺตกาโม" หลังจากอุปสมบทแล้วก็จำพรรษา ณ วัดมะขามเรียงกับพระอนุ

    สาวนาจารย์ คือพระอธิการปลั่ง

    หลวงพ่อตาบ ท่านได้อยู่จำพรรษา ณ วัดมะขามเรียง ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม

    พ.ศ.2480 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก

    นอกจากนี้หลวงพ่อตาบ ยังได้ศึกษาวิชานักเทศน์กับครูพรหม พระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงแห่งวัดสาม

    ง่าม กรุงเทพฯ จนสามารถเทศน์ได้ดีเยี่ยม ท่วงทำนองลีลาแบบลมพัดชายเขา หรือ คลื่นกระทบฝั่ง เป็นที่ประทับ

    ใจแก่ญาติโยม แต่สุดท้าย ท่านได้หันกลับไปศึกษาด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน

    พ.ศ.2497 ท่านเดินทางไปศึกษากับพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) วัดมหาธาตุ

    กรุงเทพฯ อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย ได้ฝึกฝนจนมีความชำนาญ จึงได้กลับมายังวัดมะขาม

    เรียง ตั้งสำนักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดมะขามเรียง มีลูกศิษย์มากมายมาขอฝึกปฏิบัติกับหลวงพ่อเป็นจำนวน

    มาก ด้านวิทยาคม หลวงพ่อตาบ ได้ศึกษากับน้าชาย คือ พระครูประสาธน์วิทยาคม หรือ หลวงพ่อนอ วัดกลาง

    ท่าเรือ พระเกจิชื่อดังด้านตะกรุดหน้าผากเสือ อีกทั้งได้ศึกษาวิชากับหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค, หลวงพ่อพิณ วัด

    มะขามโพรง, หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์

    พ.ศ.2489 คณะสงฆ์ได้แต่งตั้งหลวงพ่อตาบ เป็นเจ้าอาวาสวัดมะขามเรียง จากนั้น หลวงพ่อตาบ

    ได้ร่วมกับชาวบ้าน สร้างโบสถ์ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ ร่วมกันพัฒนาวัดมะขามเรียงบนเนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาม

    14 ตารางวา เจริญรุ่งเรืองตามลำดับ

    พ.ศ. 2509 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์

    พ.ศ.2510 หลวงพ่อตาบ สร้างตะกรุด แจกจ่ายแก่คณะศิษย์

    พ.ศ.2515 ได้สร้างเหรียญรุ่นแรกจำนวน 6,000 เหรียญ เป็นรูปหลวงพ่อนั่งเต็มองค์เนื้ออัลปาก้า

    พ.ศ. 2511 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูสัญญาบัตร ชั้นตรี ที่ พระครูอัตถจริยนุกูล

    พ.ศ. 2513 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ในราชทินนามเดิม

    พ.ศ. 2527 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูสัญญาบัตร ชั้นเอก ในราชทินนามเดิม

    พ.ศ. 2531 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูเจ้าคณะอำเภอบ้านหม้อ ที่ พระครูเวชคามคณารักษ์

    พุทธาคมหลวงพ่อตาบ

    หลวงพ่อตาบ กับพุทธาคมของหลวงพ่อ ตามประวัติเบื้องต้นที่ได้กล่าวมาแล้วว่า หลวงพ่อตาบ มี

    ความรู้พื้นฐานด้านพุทธาคมมาตั้งแต่เยาว์วัยโดยได้ศึกษากับคุณตา ผู้มีความเป็นเลิศทางด้านเวทย์มนต์คาถา

    ครั้นมาอุปสมบทหลวงพ่อก็เริ่มศึกษาทางธรรมตลอดจนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน นับได้ว่ารากฐานทางด้าน

    พลังจิต อำนาจบารมีทางใจของหลวงพ่อแข็งแกร่งขึ้น กล่าวกันว่า วิชาพุทธาคมและเวทย์มนต์นั้นเป็นเพียง

    แผนที่ แต่จิตใจเป็นกำลังที่พาให้เดินไปตามแผนที่ เมื่อมีอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวย่อมไม่สามารถ

    กระทำได้สัมฤทธิ์ผลสมบูรณ์ หากมีสองสิ่งสองประการครบถ้วน ปฏิบัติการทางพุทธาคมย่อมประสบผลอย่างแน่

    แท้ เช่นเดียวกับหลวงพ่อตาบ หลังจากท่านได้ฝึกฝนปฏิบัติการทางจิตใจโดยวิปัสสนากรรมฐานอย่างชำนิชำนาญ

    จนจัดว่าเป็นนายของใจได้แล้ว การปฏิบัติทางพุทธาคมและคาถาอาคมของหลวงพ่อตาบจึงมิต้องสงสัยเลยว่าจะ

    ทำได้ดีเยี่ยมขนาดไหน

    นอกจากหลวงพ่อตาบ จะศึกษาพุทธาคมกับคุณตาแล้ว ท่านยังได้ศึกษากับน้าชาย ซึ่งเป็นเกจิ

    อาจารย์ชื่อดังในครั้งอดีต คือ พระครูประสาธน์วิทยาคม (หลวงพ่อนอ) วัดกลางท่าเรือ จ.อยุธยา ผู้กระฉ่อนชื่อ

    ด้านตะกรุดหน้าผากเสือ โดยหลวงพ่อได้ศึกษาวิชาต่าง ๆ มามากมาย และที่แน่นอนที่สุดก็คือ วิชาตะกรุดหน้า

    ผากเสือ ซึ่งหลวงพ่อตาบทำได้ขลังไม่แพ้ของอาจารย์ทีเดียว นอกจากหลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือแล้ว หลวงพ่อ

    ยังได้ศึกษาวิชาบางประการกับ หลวงพ่อพิณ วัดมะขามโพรง และเคยเดินทางไปศึกษากับ หลวงพ่อเดิม วัด

    หนองโพธิ์ ซึ่งหลวงพ่อก็ทำมีดหมอได้ขลังมากเช่นกัน สำหรับ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค นั้น ดูเหมือนหลวงพ่อ

    จะสนิทสนมกัน เพราะเคยเดินทางไปมาหาสู่อยู่บ่อย ๆ ได้สนทนาธรรมและวิชาความรู้ต่าง ๆ มากมาย นับได้ว่า

    หลวงพ่อมีความสนใจทางพุทธาคมอยู่มาก และเพียรพยายามติดตามศึกษาอย่างเจนจบ

    พระเครื่อง วัตถุมงคล หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง

    พระเครื่องและวัตถุมงคลของหลวง พ่อตาบ ที่จัดสร้าง อาทิ ตะกรุดโทน ตะกรุดสามพี่น้อง

    ตะกรุดนวโลกุตระ (9 ดอก) ตะกรุดหน้าผากเสือ เหรียญรุ่นต่างๆ พระชัยวัฒน์ พระกริ่งเวชคาม รูปเหมือนกริ่ง

    มีดหมอ พระผงต่างๆ ผ้ายันต์ แหวนถักด้วยเชือกและจีวร เป็นต้น ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์กับผู้ที่พกพาพระ

    เครื่องและวัตถุมงคลของท่าน ไม่ว่าจะด้านเมตตาค้าขาย โชคลาภ คงกระพัน มหาอุด ก็พบเห็นกันบ่อยๆ โดย

    เฉพาะตะกรุดหน้าผากเสือ ของหลวงพ่อตาบ ที่ใครหลายคนต้องการ พุทธคุณไม่แพ้ หลวงพ่อนอ วัดกลางท่า

    เรือ เลยทีเดียว

    สังขารของท่าน ไม่เน่าเปื่อย บรรดาลูกศิษย์จึงนำสังขารร่างของท่านใส่ไว้ในโลงแก้ว ตั้งไว้ให้บรรดาพุทธศาสนิกชนได้

    กราบไหว้

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียงให้บูชา150บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ
    ลพ.ตาบ.jpg ลพ.ตาบหลัง.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    1233126076-jpg.jpg


    ประวัติหลวงพ่อตาบ อตตฺกาโม วัดมะขามเรียง อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี

    กำเนิด
    พระครูเวชคามคณารักษ์ (ตาบ อตตฺกาโม) เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ตรงกับแรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีกุน ณ บ้านบ่อกระโดน ต.ไผ่ขวาง อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ได้นามว่า "ตาบ" ในสกุล "คชรินทร์" บิดาชื่อ "โป๋" มารดาชื่อ "ฟัก" หลวงพ่อตาบเป็นบุตรชายคนเดียวของครอบครัว
    การศึกษา
    เมื่อหลวงพ่อเจริญวัยได้พอสมควรก็ได้ศึกษาหาความรู้พื้นฐานด้านภาษาไทยกับบิดา จนสามารถอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่เยาว์วัย จนมีอายุได้ ๙ ปี (ใน พ.ศ. ๒๔๖๒) บิดาจึงได้พาไปเข้าเรียนชั้นประถมที่ รร.วัดศักดิ์ อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา และเป็นเด็กวัดอยู่กับพระที่วัดศักดิ์ จนถึงอายุ ๑๒ ปี จบชั้นประถมปีที่ ๓ ก็กลับมาช่วยบิดา-มารดาทำงาน ในระหว่างช่วงนี้เองที่หลวงพ่อได้รับความรู้อักขระวิธีด้านเลขยันต์ และเวทมนต์พุทธาคมจาก "คุณตาแจ้ง" ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านนี้เป็นเยี่ยม ทำให้มีความปรีชาสามารถในด้านพุทธาคมมาแต่เยาว์วัย
    อุปสมบท
    เมื่อหลวงพ่อตาบอายุครบ ๒๑ ปี บิดา-มารดา จึงได้พาเข้ารับการอุปสมบท ตามแบบอย่างประเพณีของคนไทย เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๗๖ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา ณ พัทธสีมาวัดมะขามเรียง โดยมีพระครูศรีคณาภิบาล (โฉม) วัดดอนพุด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการแซ วัดบ้านร่อมเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการปลั่ง วัดมะขามเรียง พระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาในเพศบรรพชิตว่า "อตตฺกาโม" หลังจากอุปสมบทแล้วก็จำพรรษาอยู่ ณ วัดมะขามเรียง
    หลังจากอุปสมบทแล้วหลวงพ่อได้คำนึงถึงชีวิตที่ผ่านมา และค้นคว้าศึกษาธรรมทำให้พิจารณาได้เข้าใจกฎเกณฑ์ของชีวิต ธรรมชาติและธรรมของพุทธองค์ได้แจ่มแจ้งซาบซึ้งจึงตั้งอธิษฐานจิตว่าจะครองเพศพรหมจรรย์ตลอดชีวิต เมื่อตั้งใจได้ตั้งแต่พรรษาแรก หลวงพ่อจึงพยายามศึกษาค้นคว้าด้านปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมตรี ในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ นักธรรมโท ในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ และนักธรรมเอก ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ เรียกได้ว่าท่านศึกษาได้แตกฉานอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้หลวงพ่อยังได้ศึกษาวิชานักเทศนืกับครูพรหม แห่งวัดสามง่าม จนสามารถเทศน์ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะการเทศน์มหาชาติ "กัณฑ์มหาราช" ชื่อเสียงของหลวงพ่อโด่งดังมาก ด้วยน้ำเสียงและลีลาการเทศน์ ทั้งท่วงทำนองไม่ว่าจะแบบ "ลมพัดชายเขา" หรือ "คลื่นกระทบฝั่ง" หลังจากนั้นหลวงพ่อได้หันไปศึกษาทางด้านวิปัสสนากรรมฐานกับพระธรรมธีรราชมหามุณี (โชดก ญาณสิทธิ) วัดมหาธาตุ กทม. เมื่อปี ๒๔๙๗ เมื่อเข้าใจและชำนาญดีแล้ว จึงจัดตั้งเป็นสำนักปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานวัดมะขามเรียง และชวนญาติโยมที่สนใจมาฝึกปฎิบัติกับหลวงพ่อมากมาย
    พุทธาคมของหลวงพ่อ ตามประวัติเบื้องต้นที่ได้กล่าวมาแล้วว่า หลวงพ่อมีความรู้พื้นฐานด้านพุทธาคมมาตั้งแต่เยาววัยโดยได้ศึกษากับคุณตา ผู้มีความเป็นเลิศทางด้านเวทย์มนต์คาถา ครั้นมาอุปสมบทหลวงพ่อก็เริ่มศึกษาทางธรรมตลอดจนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน นับได้ว่ารากฐานทางด้านพลังจิต อำนาจบารมีทางใจของหลวงพ่อแข็งแกร่งขึ้น กล่าวกันว่า วิชาพุทธาคมและเวทย์มนต์นั้นเป็นเพียงแผนที่ แต่จิตใจเป็นกำลังที่พาให้เดินไปตามแผนที่ เมื่อมีอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวย่อมไม่สามารถกระทำได้สัมฤทธิ์ผลสมบูรณ์ หากมีสองสิ่งสองประการครบถ้วน ปฏิบัติการทางพุทธาคมย่อมประสบผลอย่างแน่แท้ เช่นเดียวกับหลวงพ่อตาบ หลังจากท่านได้ฝึกฝนปฏิบัติการทางจิตใจโดยวิปัสสนากรรมฐานอย่างชำนิชำนาญจนจัดว่าเป็นนายของใจได้แล้ว การปฏิบัติการทางพุทธาคมของหลวงพ่อจึงมิต้องสงสัยเลยว่าจะทำได้ดีเยี่ยมขนาดไหน

    นอกจากหลวงพ่อจะศึกษาพุทธาคมกับคุณตาแล้ว ท่านยังได้ศึกษากับน้าชาย ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังในครั้งอดีต คือ พระครูประสาธน์วิทยาคม (หลวงพ่อนอ) วัดกลางท่าเรือ จ.อยุธยา ผู้กระฉ่อนชื่อด้านตะกรุดหน้าผากเสือ โดยหลวงพ่อได้ศึกษาวิชาต่าง ๆ มามากมาย และที่แน่นอนที่สุดก็คือ วิชาตะกรุดหน้าผากเสือ ซึ่งหลวงพ่อตาบทำได้ขลังไม่แพ้ของอาจารย์ทีเดียว นอกจากหลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือแล้ว หลวงพ่อยังได้ศึกษาวิชาบางประการกับ หลวงพ่อพิณ วัดมะขามโพรง และเคยเดินทางไปศึกษากับ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ซึ่งหลวงพ่อก็ทำมีดหมอได้ขลังมากเช่นกัน สำหรับ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค นั้น ดูเหมือนหลวงพ่อจะสนิทสนมกัน เพราะเคยเดินทางไปมาหาสู่อยู่บ่อย ๆ ได้สนทนาธรรมและวิชาความรู้ต่าง ๆ มากมาย นับได้ว่าหลวงพ่อมีความสนใจทางพุทธาคมอยู่มาก และเพียรพยายามติดตามศึกษาอย่างเจนจบ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมุลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง สระบุรี ออกวัดสาธุประชาสรรค์ สระบุรี พิธีใหญ่และออกเหรียญครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นเช่น หลวงปู่หิน วัดหนองนา พัฒนานิคม ลพบุรี ด้วย เหรียญออกแบบสวยประสพการณ์สุงในพื้นที่ ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%9A-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    upload_2019-5-15_11-40-34-jpeg.jpg

    หลวงปู่บาง หรือ พระศีลวุฒาจารย์ (บาง จนฺทสรเถร)

    สถานเดิมพระศีลวุฒาจารย์ (บาง จนฺทสรเถร) เดิมชื่อ บาง นามสกุล ศรีตัณฑ์ เกิดเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 2 ปีเถาะ วันที่ 21 มกราคม 2433 บิดา พระธรรมโรง(ต้น) มารดา พลอย บ้านเลขที่ 1 ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองฯ จังหวัดสระบุรี จบการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 4 ณ โรงเรียนศาลาแดง (วัดศาลาแดง) ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี

    อุปสมบทเมื่อวันศุกร์ แรม 10 ค่ำ เดือน 4 ปีฉลู ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม 2455 วัดหนองพลับ ตำบลหนองควายโซ อำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี พระอุปชฌาย์ พระอธิการหล้า เจ้าคณะหมวดและเจ้าอาวาสวัดบ้านโดน ตำบลหนองสีดา อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี พระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดธรรม เจ้าอาวาสวัดหนองนกชุม พระอานุสาวนาจารย์ พระอธิการบัว ปุณณธรรมโน เจ้าอาวาสวัดหนองพลับ

    วิทยฐานะสอบได้นักธรรมเอกและสอบได้เปรียญธรรมประโยค 2 พ.ศ. 2457 สำนักเรียนวัดปทุมคงคาราม กรุงเทพมหานคร

    งานปกครอง

    พ.ศ.2458 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองพลับ

    พ.ศ.2461 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะหมวด ตำบลเมืองเก่า ตำบลหนองพลับ แขวงเสาไห้ จังหวัดสระบุรี

    พ.ศ.2477 ได้สถาปนาจากกรมการศาสนาแต่งตั้งให้เป็น พระครูกรรมการศึกษาที่พระครูบางในสมัยนั้น็็น

    พ.ศ.2479 ทางราชการคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้พระครูบาง ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะแขวง กิ่งอำเภอหนองแซง อำเภอเสาให้ จังหวัดสระบุรี ในตำแหน่งพระครูบาง มีการทำอุโบสถสังฆกรรม(สวดพระปาฎิโมกข์) ตลอดทั้งปี ทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็นตลอดทั้งปี

    งานการศึกษา

    พ.ศ. 2461 เป็นผู้จัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดหนองพลับ

    พ.ศ.2507 เป็นผู้จัดหาที่ดิน 13 ไร่2 งานเศษ เพื่อจัดสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษา

    งานเผยแผ่

    พ.ศ.2510 ตั้งศูนย์พัฒนาวัด ซึ่งวัดหนองพลับ ได้รับเป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง จังหวัดสระบุรี และจัดตั้งมูลนิธิศีลวุฒาจารย์

    สาธารณูปการพ.ศ.2457 เป็นผู้ดำเนินก่อสร้างอุโบสถต่อจากเจ้าอาวาสสององค์เดิมได้ก่อสร้างไว้จนแล้วเสร็จสมสมบูรณ์

    สมณศักดิ์พ.ศ.2477ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูกรรมการศึกษาที่ พระครูบาง และให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะแขวงกิ่งอำเภอหนองแซง อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี

    พ.ศ.2487 ได้รับเป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูสิริธรรมสาร ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอหนองแซง ชั้นโท ปกครองคณะสงฆ์อำเภอหนองแซง

    พ.ศ.2498 ได้เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษชั้นพิเศษในพระราชทินนามเดิมที่พระครูสิริธรรมสาร เจ้าคณะอำเภอชั้นพิเศษ

    พ.ศ. 2515 เจ้าคณะจังหวัดสระบุรีได้ขอยกขึ้นไปดำรงที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี

    พ.ศ.2516 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่พระศีลวุฒาจารย์
    อวสานแห่งชีวิตพระศีลวุฒาจารย์ ท่านล้มป่วยด้วยโรคปอดบวม และโรคถุงลมโป่งพอง เข้าพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลมิตรภาพเมโมเลี่ยน ถนนมิตรภาพ อำเภอเมืองฯ จังหวัดสระบุรี ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2534 สิริอายุรวม 101 ปี 2 เดือน 19วัน พรรษาได้ 80 พรรษา เป็นเจ้าอาวาสได้ 76 ปี เป็นเจ้าคณะอำเภอได้ 28 ปี เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดได้ 19 ปี เป็นพระอุปัชฌาย์ได้ 47 ปี คณะสงฆ์ได้ขอน้ำพระราชทานน้ำสรงศพหีบทองทึบประกอบเกียรติยศ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2534 และพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2535

    ความสำคัญเป็นพระเกจิอาจารย์ มีวิชาความรู้หลากหลายด้าน เป็นเจ้าคุณองค์แรกของอำเภอหนองแซง ถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญทางศาสนาของอำเภอหนองแซง ที่สร้างชื่อเสียงให้ชาวอำเภอหนองแซงเป็นที่รู้จัก นอกจากนี้ท่านได้สร้างวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงของหลวงปู่บาง คือ ตะกุดที่คาดเอว เหรียญรูปเหมือน ปัจจุบันวัดได้จัดสร้างวิหารชื่อว่า “วิหารศีลวุฒาจารย์”ภายในวิหารจะมีรูปปั้นของท่านไว้ให้ศิษย์ยานุศิษย์ ประชาชนที่ผ่านไปมา ได้กราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว และในอาทิตย์สุดท้ายเดือนพฤษภาคม ของทุกปี วัดหนองพลับโดยพระครูสุวรรณธรรมวัตร เจ้าอาวาสพร้อมด้วยศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนชาวอำเภอหนองแซง จะแสดงมุฑิตาท่านด้วยการทำบุญครบรอบวันมรณภาพของท่านเป็นประจำทุกปี
    ขอบขอบคุณท่านเจ้าของที่มาบทความข้อมูลอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จกฤตยาคาแฝดหลวงปู่บาง วัดหนองพลับให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ
    %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg %E0%B8%A5%E0%B8%9B-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-jpg.jpg


    เหรียญอายุ๑๐๐ปีหลวงปู่บาง ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    ลป.บาง.jpg ลป.บางหลัง.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ประวัติพระราชสังวรญาณ
    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านมีนามเดิมว่า พุธ อินทรหา ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๔ หมู่บ้านชนบท ตำบลหนองหญ้าเซ้ง อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี เป็นบุตรคนเดียวของบิดามารดา

    2012310_318251.jpg

    อุปสมบท
    ในช่วงวัยเยาว์ ท่านได้ออกศึกษาหาความรู้ ในโรงเรียนประชาบาลวัดไทรทอง ท่านได้เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จึงได้ลาออกมาแล้วบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๙ เมื่อมีอายุได้ ๑๕ ปี ที่วัดอินทร์สุวรรณ บ้านโคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยมีท่าน พระครูวิบูลย์ธรรมขันธ์ เจ้าคณะอำเภอสว่างแดนดิน เป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์เป็นพระบรรพชาจารย์ วันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๑ ได้อุปสมบท ขณะอายุได้ ๒๑ ปี ณ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร เขตปทุม กรุงเทพ

    การศึกษาธรรม
    หลังจากบรรพชาแล้ว ท่านก็อาศัยอยู่กับท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์นั่นเอง ท่านได้รับเมตตา จากพระอาจารย์ให้ได้ศึกษาทางด้านปริยัติธรรมด้วย และในพรรษาแรกนี้เอง สามเณรพุธสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรีและเริ่มรับการฝึกอบรมด้าน ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จากท่านพระอาจารย์เสาร์เป็นครั้งแรก ในปีพ.ศ. ๒๔๘๓ ท่านพระอาจารย์เสาร์ ได้พาหลวงพ่อไปฝากตัวเป็นศิษย์พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) ณ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร ซึ่งหลวงพ่อได้จำพรรษาเรื่อยมาจนอายุครบบวช ๒๑ ปี จึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ณ วัดแห่งนี้ หลวงพ่อได้ปฏิบัติศาสนกิจช่วยงานพระศาสนาตลอดมา และในช่วงสงครามแปซิฟิก ท่านได้อพยพ กลับไปจำพรรษาที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี และท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดแห่งนั้นจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ระหว่างนั้น ท่านได้อาพาธอย่างหนัก ต่อมาท่านได้พบกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร และท่านก็ได้ช่วยรักษาโดยการให้เพ่งถึงอาการ ๓๒ โดยให้พิจารณาถึงความตายให้มากที่สุด ทั้งยัง คอยให้กำลังใจกับท่านตลอดเวลา จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ท่านได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าสาละวัน ในระยะเวลาที่ท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างไม่หยุดยั้ง และทำหน้าที่เป็นวิทยากรบรรยายธรรม สร้างคุณประโยชน์ต่อศาสนามากมาย และได้สร้างโรงเรียนราชอุปถัมภ์ สร้างอาคารให้เด็กนักเรียน มอบทุนสนับสนุนการก่อตั้งมูลนิธิของโรงเรียน ตลอดจนหน่วยงาน ราชการต่างๆ นอกจากนี้ท่านยังช่วยจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลเสมอๆ อีกทั้งยังมอบทุนสนับสนุนการก่อสร้างตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาล มหาราช จังหวัดนครราชสีมา รวมทั้งมอบทุนสนับสนุนการก่อตั้งมูลนิธิของโรงพยาบาลต่างๆอีกด้วย

    คำสอน
    “ผู้มีสติ ไม่จำเป็นต้องคำนึงว่า เราจะนั่งสมาธิที่ไหน ในวัดไหน
    สมาธิจะได้ลึกตื้นหนา เพียงใด แค่ไหน ขอให้มีสติ รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา”


    -หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-poot/lp-poot-hist-01-09.htm เข้าไปอ่านประวัติปฎิปทาหลบวงพ่อในเวปครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อพุธให้บูชา100บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลพ.พุธ.jpg ลพ.พุธหลัง.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    23472007_1923532687675632_1905894844418332082_n.jpg
    หลวงพ่อจ้อย วัดพันลาน นครสวรรค์ สมัยก่อนท่านมีชื่อเสียงมาก ศิษย์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ลองหาประวัติท่านอ่านตามเวปครับ ท่านไม่ได้สรา้งวัตถุมงคลออกมาเยอะครับ มีไม่กี่รุ่น


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อจ้อย วัดพันลาน นครสวรรค์ให้บููชา150บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลป.จ้อย.jpg ลป.จ้อยหลัง.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    [​IMG]


    พระครูบรรหารศีลคุณ สถานะเดิมชื่อ แร่ พิมพ์ธนู เกิดวันอังคาร ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะเมีย ตรงกบัวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๙ เป็นบุตรนายลู่ นางดำ พิมพ์ธนู ณ บ้านเลขที่ ๒ ตำบลบ้านเซิด อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี จำนวนพี่น้อง ๔ คน อุปสมบทที่วัดเซิดสำราญ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรีเมื่อวันอังคาร แรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะมเย ตรงกับวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๓ โดยมีพระครูศรีพนัสนิคม วัดหลับ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ผินวัดพลับ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า จนฺทสโร เมื่อท่านเข้าสู่บวรพระพุทธศาสนาแล้ว ท่านก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนวิชาภาษาไทยและภาษาขอม จนเชี่ยวชาญและได้ศึกษาพระธรรมวินัย เรื่องกิจการคณะสงฆ์ บูรณะซ่อมแซมเสนาสนะของวัดจำนวนมาก ต่อมาท่านได้รับแต่งตั้งให้ไปรักษาการเจ้าอาวาสวัดกุฏโง้ง ๓ ปี จากนั้นเจ้าอาวาสวัดเซิดสรำราญว่างลง เนื่องจากเจ้าอาวาสคนเดิมสาลิกขา ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดเซิดสำราญตามเดิม เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๙ ท่านเป็นพระที่เข้าถึงชาวบ้าน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคยไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านทั้งใกล้และไกลเช่น พระครูศรีพนัสนิคม หลวงพ่อเหมือน หลวงพ่อแน้ม หลวงพ่อโด่ หลวงพ่อผุย หลวงพ่ออี๋ หลวงพ่อเหลือ หลวงพ่อเสือ หลวงพ่อกัง และอีกลายคณาจารย์ที่มิได้กล่าวนาม โดยท่านศึกษาในด้านการลงตะกรุด ด้านคงกระพัน มหาอุตม์ และเรียนการทำน้ำมนต์การแก้คุณไสยตลอดจนเรียนวิปัสนาธุระ และคันถธุระ หลวงพ่อแร่ มรณภาพ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๒ สิริอายุ ๙๒ ปี ๘ เดือน พรรษา ๖๙

    ผู้ถือครองวิชามหาอุด
    พระครูบรรหาญศีลคุณ (แร่ จันทสโร) วัดเซิดสำราญ ต.บ้านเซิด อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
    โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์

    วัดเนินตามาก...
    ผมถามหลวงปู่ม่น ธัมมจิณโณ ที่นั่งมองหน้าผมอยู่ว่า “หลวงปู่แร่ วัดเซิดสำราญ เก่งไหมครับ หลวงปู่”

    ท่านนิ่งอยู่อึดใจก่อนจะตอบเรียบ ๆ “ฉันจะไปรู้เรอะ”

    ครั้นเห็นศิษย์หน้าม่อย ท่านก็พึมพำ

    “เก่ง”

    วัดเซิดสำราญ...
    ผมถามหลวงปู่แร่ จันทสโร ที่นั่งมองหน้าผมอยู่ว่า “หลวงปู่เวลาเข้าพิธีปลุกเสกพุทธาภิเษกเนี่ย เราจะรู้ได้ไหมครับว่าใครเก่ง ใครไม่เก่ง หรือใครมานั่งหลับเฉย ๆ”

    “รู้ได้” ท่านว่า

    “แล้วหลวงปู่เคยเสกพระร่วมกับหลวงปู่ม่นไหมครับ”

    “กับอาจารย์ม่น เคยหลายครั้ง” ท่านตอบ

    เข้าเป้าพอดีจึงถามตรง ๆ “หลวงปู่ม่น เก่งไหมครับ” ถามแล้วก็กลั้นใจรอคำเฉลย

    ท่านพูดหนักแน่น

    “เก่ง...อาจารย์ม่น เก่งมาก”

    เท่านั้นแหละพอแล้ว

    สำหรับผม แท้จริงผมให้ความเคารพเลื่อมใสในความเป็นพระดี พระเก่งของทั้งสองหลวงปู่นี้มานานหนักหนา การถามเช่นนี้ก็เพียงเพื่อให้สนองความอยากรู้ของตัวเอง เพื่อตอกย้ำหมุดแห่งความศรัทธาให้แน่นเข้า

    บัดนี้ฝั่งลึก

    file.jpg



    หลวงปู่แร่ จันทสโร เป็นพระที่ดังเงียบในท้องถิ่นมานานเน ละแวกบ้านเซิดเป็นชาวลาวแท้ ๆที่อพยพมาจากเมืองเวียงจันทร์ ก่อนจะแบ่งออกอีกหนึ่งสายรอนแรมไปสร้างบ้านหัวถนนลึกเข้าไปในอำเภอพนัสนิคม ผมไม่อาจทราบได้ว่าหลวงปู่แร่เป็นชาวลาวกับเขาด้วยหรือไม่ เพราะเมื่อพูดถึงประวัติท่านทีไร คำตอบก็คือ

    “ฉันเขียนไว้แล้ว อยู่ในไดอารี่จะเอามาทำหนังสือก็ได้ แต่ต้องรอให้ฉันตายก่อน”

    ผมไม่คิดขออีกเลย ขี้เกียจรอ เพราะจะมารอครูบาอาจารย์ละสังขารเพื่อเอาประวัติมันก็กระไรอยู่

    แต่ที่ทราบชัดคือ คนแถวนั้นคาดตะกรุดโทนของหลวงปู่กันแทบทุกคน ถามเขาก็ตอบแค่เยี่ยมที่สุด ผมเคยได้ยินมาว่า ชาวลาวพวนเหล่านี้คิดลองวิชาทางไสยศาสตร์กับท่านหลายครั้ง นัยเพื่อทดสอบความ “เจ๋ง” ของท่าน ผลที่ได้คือท่าน “เจ๋ง” จริง “หมอธรรม” เหล่านี้เลยยกธงขาว แล้วหันมาคาดตะกรุดของหลวงปู่กันเป็นแถว

    ปัจจุบัน หลวงปู่แร่มีอายุราว 95 ปี แต่ท่านก็ยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงเมื่อเปรียบกับผู้เฒ่าในวัยเดียวกัน เป็นพระที่ไม่ดังเปรี้ยงปร้างองค์เดียวที่ได้ขึ้นแท่นเป็น 1 ใน 6 พระภาวนาจารย์ในพิธีสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทย คือการสวดเสริมดวงเมือง เมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา โดยมีสมเด็จพระสังฆราชฯ เป็นประธานพิธี

    สมควรแล้วที่เลือกท่าน เพราะโดยปกติหลวงปู่จะมีความชำนาญในการพิจารณาชะตาราศีของผู้ที่มาหาว่าดีร้ายประการใด ถ้าเข้าตาเสียท่านก็ให้ทำพิธีที่เรียกว่า “สะเดาะเคราะห์” ส่วนจะ “สะเดาะ” ออกหรือไม่นั้น ผมไม่รู้หรอกเพราะไม่เคยทำ สัมภาษณ์คนที่เคยเห็นเขาก็ว่าดี ก็ O.K.

    สะเดาะคนมามากแล้ว ลองสะเดาะประเทศชาติบ้างก็เข้าที

    ความเก่งของท่านไม่ใช่มีเพียงนี้ ในพ.ศ. 2528 เป็นปีที่ผมกำลังคึกคะนองสุด ๆ เรื่องยิงพระเครื่องนั้นบอกเถิด รณธรรมยอมอดข้าวเอาเงินซื้อลูกปืน.38 เข้าป้อมยิงพระกับเพื่อนคู่ใจทั้ง 7 คนมาแล้ว เก็บปลอกกระสุนไว้ดูเป็นที่ระลึกได้เกือบ 100 ลูก

    พระองค์ไหนที่ว่าแน่ จอดไม่ต้องแจวจนผมใจเสีย เพื่อน ๆ และไทยมุงก็โห่ฮาหาว่างมงายเชื่อเข้าไปได้ ผมน้อยใจซะไม่มีที่พระดัง ๆ (อย่าให้เอ่ยเลย) ไม่รู้จักกี่องค์ ซึ่งคุยว่าแน่ ๆ แพ้ลูกตะกั่วโม้ด... เจ็บใจนัก เลยหันไปคว้าเหรียญพระโนเนมมาอัดซะให้หายแค้น ลูกปืนเหลือแค่ 6 นัด เอ้า ! ยิงกันให้ระเบิดเถิดเทิงไปเลย

    คนยิงก็อุตส่าห์ชวนพี่ตุ๊นักแม่นปืนเหรียญทองชลบุรีมายิง เหรียญโนเนมถูกวางกับพื้นทรายพิงกะลามะพร้าว คนเหรียญทองเอาปืนจ่อยิงพระห่างกันไม่ถึงคืบ สับนกลงอย่างมั่นใจ

    แชะ !

    ประดุจเสียงสวรรค์คำพรที่จุดประกายความหวังให้ลุกโชน ทุกลูกตาเพ่งมองหน้าคนยิงสลับกับปืนว่าเล่นพิเรนทร์อะไรหรือเปล่า พี่ตุ๊ไม่ยอมว่อกแว่ก รวบรวมสมาธิกระทุ้งไกปืนลงซ้ำ

    แชะ !

    เสียงที่สองทำไทยมุงรวมทั้งผมเผลอตัวก้าวถอยหลังอย่างไม่ตั้งใจ ด้วยปรากฏควันขาวเป็นละอองบาง ๆ ลอยออกจากลูกโม่ ผมร้องเตือนพี่ตุ๊ให้ระวัง เพราะใจที่ยังเหลือเชื้อแห่งศรัทธาว่าปืนจะแตกยังมีอยู่

    พี่ตุ๊กำปืนมือชุ่มเหงื่อเหนียวหนับ พึมพำบนบานออกมาว่า ถ้า 2 นัดแรกเป็นเพราะหลวงปู่หยุดไว้จริง ไม่ใช่ฟลุก นัดนี้ขอให้ยิงออกไม่อย่างนั้นปืนต้องร้าวเสียหายอย่างแน่นอน พูดจบก็สับนกลงทันที

    เปรี้ยง !

    มะพร้าวแตกกระจายเหมือนโยนเล่น พอตั้งสติได้ผมก็คิดเสียดายเหรียญขึ้นมาทันที ทะยานถึงจุดตกกระทบก่อนใคร ขุดคุ้ยลงทรายเพื่องัดเหรียญขึ้นมาดูให้ถนัด ปรากฏว่าพบแต่ลูกปืน ลูกปืนที่ไม่มีรอยการขูดขีดหรือบุบเพราะกระทบโลหะแต่อย่างใด

    เหรียญไปไหน ?

    ตอนนี้เพื่อนผมและไทยมุงเริ่มก้มหากันบ้างแล้ว ผมใจไม่ดี เหรียญจะไปไหนได้ มันจะมีอภินิหารอะไรขนาดนั้น ขณะที่ผมนั่งคิด พี่ตุ๊ยังคงนั่งชันเข่าอยู่ที่จุดยิงไม่ได้ขยับเขยื้อนไปทางไหน ผมจึงลุกเข้าไปหา แกนึกอย่างไรไม่ทราบกลับหมุนตัวหันหลังให้ผมทั้งที่ยังนั่งชันเข่าอยู่

    เหรียญอยู่ตรงหน้าแกพอดี

    ไปวางอยู่ตรงจุดที่เป็นส้นรองเท้าในตอนแรกที่แกเล็งยิงเหรียญนี้ จะเรียกว่าอัศจรรย์ก็เข้าท่านะ พอเจอเหรียญใครก็ต่างฮือเข้ามาขอ ผมเหรอจะให้ คนยิงขอผมยังไม่ให้เลย งกทั้งที่ไม่รู้จักว่าใคร รีบเผ่นกลับบ้านหยิบเหรียญขึ้นมาอ่าน

    พระครูบรรหาญศีลคุณ วัดเซิดสำราญ พนัสนิคม ชลบุรี

    ด้านหลังเป็นตัว “เฑาะว์มหาอุด” ตัวเดียวไม่มีอื่นใด นับว่าผู้เป็นเจ้าของเหรียญมั่นใจในวิชาของตนถึงขีดสุด จึงใช้อักขระตัวเดียวพอ

    ก็พอจริง ๆ

    ผมเดินทางออกสืบหาวัดเซิดสำราญจนเจอ เมื่อเข้าไปกราบท่านผู้เป็นเจ้าของเหรียญก็พบว่าท่านมีความเป็นอยู่ที่สมถะยิ่ง กุฏิเก่าโบราณไม่มีอะไรที่จะอำนวยความสะดวกแบบโลก ๆ ได้เลย ผู้เป็นเจ้าของเองก็ไม่มีมาด ไม่มีโอ่ นั่งรับแขกกับเสื่อเก่า ๆ อย่างสงบ คุยน้ำเสียงเรียบ ๆ เบา ๆ ปราศจากความทะนงตนทั้งที่เป็น...

    เจ้าคณะตำบล

    เมื่อผมรวบรวมกำลังใจก็ออกปากสารภาพผิดที่ไปยิงเหรียญท่านเข้า โดยเล่ารายละเอียดให้ฟังทุกขั้นตอนไม่ปิดบัง เล่าไปก็เสียวไปไม่รู้ว่ากระโถนใบใหญ่ตรงหน้าท่านจะลอยมาเมื่อไร แต่ก็เปล่า...ตลอดเวลาที่เล่า ผมเฝ้าสังเกตท่านไปด้วย ไม่มีอาการตื่นเต้น ไม่มีท่าทีของคนผู้สำคัญตนว่าวิเศษ ไม่มีสีหน้าหรือแววตาพออกพอใจกับความเก่งของตน และไม่มีความโกรธขึ้งไม่พึงพอใจที่มาลบหลู่ตนเลย

    แม้สักน้อยหนึ่ง

    ท่านคงมวนใบจากกับยาเส้นช้า ๆ สูบไปฟังไปตลอดเวลาที่ผมน้ำลายฟุ้ง หมดมวนท่านก็ต่อใหม่ จนผมเล่าจบ ผมก็เงียบ

    ท่านก็เงียบ

    เมื่อต่างคนต่างเงียบ บรรยากาศ “มาคุ” ก็เกิด ผมไม่รู้จะคุยอะไรอีกดี เลยออกปากขอเหรียญรุ่นนี้เอาดื้อ ๆ

    ท่านเอ่ยเบา ๆ ”หมดไปนานแล้ว เพราะเป็นเหรียญรุ่นแรก”

    หือ ! นี่รณธรรมยิงเหรียญรุ่นแรกเจียวหรือ

    ผมเริ่มคิดสะระตะว่าจะขออะไรดี กำลังนึกอยู่ ท่านก็พูดขึ้นว่า

    “มีอยู่แต่พระสมเด็จรุ่นสอง จะเอาหรือเปล่า”

    หา! รุ่นสอง ถามด้าย...ใครจะปฏิเสธ พอผมว่าเอาครับ ท่านก็ลุกเดินขึ้นไป “ปีน” กระไดที่แสนชันขึ้นชั้นสอง ก่อนที่จะไต่กลับลงมาพร้อมพระสมเด็จ 3 องค์ เมื่อส่งให้แล้วก็นั่งสูบใบจากต่อ ผมจึงเรียนว่า “องค์ละเท่าไรครับ”

    “ไม่ได้ขาย” นั่นคือคำตอบ

    ผมสว่างแว่บรีบถาม “อยากถวายค่าน้ำ ค่าไฟ กับหลวงปู่จะทำยังไงดีครับ” ท่านชี้ไปที่ตู้รับบริจาคนอกกุฏิท่าน ผมเลยไปหยอดองค์ละ 50 บาท

    แต่นั้นมาผมก็เป็นขาประจำวัดเซิดสำราญ ขี่มอเตอร์ไซด์ไปหาหลวงปู่ม่นก็แวะคุยกับหลวงปู่แร่ก่อน เพราะเป็นทางผ่าน กราบหลวงปู่ม่นแล้วขากลับก็แวะคุยอีกรอบ ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง

    ท่านเก่งจริง ๆ

    file.jpg


    พระสมเด็จรุ่นแรกท่านทำเองกับมือ ท่านเคยบอกว่าทำในปี พ.ศ. 2478 แต่พระอุปัฏฐากใกล้ชิดแย้งว่าท่านจำผิด ที่จริงปี พ.ศ. 2500 เศษ จึงยังหาข้อยุติไม่ได้ แต่คนเสกเป็นอันว่าแน่นอนคือ

    1. หลวงพ่อโด่ ไชยเสมอ วัดนามะตูม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
    2. หลวงปู่เหมือน อินทโชโต วัดกำแพง อ.เมือง จ.ชลบุรี
    3. หลวงปู่ทรัพย์ วัดบ้านงิ้ว อ.พานทอง จ.ชลบุรี
    4. หลวงปู่แร่ จันทสโร วัดเซิดสำราญ ต.บ้านเซิด อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี

    ส่วนพระสมเด็จรุ่นสองใช้ผงเก่าที่ตกค้างจากรุ่น 1 มาทำในปี พ.ศ. 2511
    file.jpg


    ปัจจุบันนี้มีคณะศรัทธาสร้างวัตถุมงคลถวายหลวงปู่มากมายหลายรุ่น แต่ที่แน่นอนคือ ผ้ายันต์ธง อันเป็นสุดยอดวิชาอีกแขนงหนึ่งของท่าน ซึ่งหลวงปู่จะลงอักขระเองด้วยมือท่านทุกผืน ผ้าขาวที่นำมาทำก็จะเป็นผ้าที่ดาดเพดานเวลาเผาศพ ผมเคยคิดอยากได้ แต่พอท่านบอกให้ไปหาผ้าดาดผีมา ผมก็หมดอยาก

    ทว่าตอนนี้มีแล้ว ไม่รู้ใครไปแย่งของผีมา กรรมการให้บูชาผืนละ 500 บาท แต่พุทธคุณนั้นเกิน 500 จริง ๆ คนบูชาเป็นเจ้าสัวมาหลายคนแล้วนะจะบอกให้

    ส่วนเหรียญรุ่นแรกที่ผมยิงไม่ออกนั้น มีนักดิ่งพสุธามาโดดในงานทำบุญหลวงปู่ ปรากฏว่าร่มไม่กาง ตกแอ้กมาบนทุ่งนา คนไปมุงกันเพียบที่คิดจะไปดู “คนย่น” แกก็ไม่ย่น หมอเอาเปลสนามมารับไปตรวจอาการที่เต็นท์ ซึ่งตั้งทำการอยู่ในวัดเซิดสำราญ แกไม่เป็นอะไรเลยจริง ๆ สักพักก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปกราบขอบพระคุณหลวงปู่ที่กุฏิ เพราะตนเองแขวนเหรียญรุ่นแรกท่านอยู่เหรียญเดียว

    ถ้าได้มาแถว ๆ วัดเซิดฯ ถามชาวบ้านดูก็ได้นะจ๊ะว่ารณธรรมโม้หรือเปล่า

    ที่น่าแปลกคือ พอทหารนายนั้นตกตุ้บหายไปจากสายตาคนดูในบริเวณวัด เสียงฮือฮาก็ดังสนั่นจนหลวงปู่เดินออกมาถามที่หน้ากุฏิว่าเกิดอะไรขึ้น ศิษย์รายงานว่าคนโดดร่มแล้วไม่กาง ตอนนี้ชาวบ้านกำลังวิ่งไปดูศพ หลวงปู่เพ่งมองไปข้างหน้า ซึ่งไม่มีอะไรนอกจากต้นไม้เต็มไปหมด ก่อนจะบอก

    “ไม่ตายหรอก”

    จากนั้นก็เดินเข้ากุฏิไป

    ผมว่าพระเก่งจริงอย่างนี้หายากนะครับ ใครว่างก็รีบ ๆ มากราบท่านเสียเถิด ท่านย้ายที่อยู่เมื่อไรจะเสียใจ

    แล้วเจอกันที่วัดนะครับ

    บทความนี้ได้ตีพิมพ์เมื่อ วันที่ 1 มีนาคม 2541

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่แร่ ให้บููชา100บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลป.แร่.jpg ลป.แร่หลัง.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    ประวัติ หลวงพ่อบุญมา โชติธมฺโม วัดบ้านแก่ง จังหวัดปราจีนบุรี

    d4b8c4262104485476305f154fdcd370b98015f3_311x448_Q75.jpg

    โลกยุคใหม่เจริญก้าวหน้าขึ้น สิ่งลี้ลับและความอาถรรพ์ต่างๆ ก็เริ่มลดน้อยลง สมัยก่อนพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมมีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่ละรูปล้วนมีชื่อเสียง สาธุชนคนใจบุญรู้จักกันถ้วนทั่ว และพระเกจิอาจารย์เหล่านั้นก็ล้วนแต่เป็นพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งสิ้น และพระดีนั้นก็ย่อมไม่อวดอ้างคุณความดี ทำให้มองไปว่าพระเกจิอาจารย์ยุคใหม่หายากที่บ้านแก่ง ตำบลวังตะเคียน หมู่ ๓ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี

    มีผู้ไปพบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเรืองวิชาอาคมจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านแก่ง ตำบลวังตะเคียน ความเล่าลือปากต่อปาก และจากประสบการณ์ทางวัตถุมงคลที่ท่านสร้างขึ้นมาแสดงพลังอิทธิปาฏิหาริย์อยู่ยงคงกระพัน ชื่อเสียงของ “พระครูสุนทรโชติธรรม” หรือ หลวงพ่อบุญมา โชติธมฺโม ค่อย ๆ เริ่มปรากฏและโด่งดังในพื้นที่อย่างรวดเร็วเมื่อกาลเวลาผ่านมา

    budd2968.jpg ย้อนอดีต...ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๓ ตรงกับวันอังคารที่ ๗ พฤศจิกายน ปีเถาะ ครอบครัว “จิตศรี” โดย นายพ่วง และ นางทองคำ จิตศรี ไผ่เจริญ ได้บุตรคนที่สองของครอบครัว คนแรกเป็นผู้หญิงชื่อ เด็กหญิงเลียบ จิตศรี คนที่สองตั้งชื่อเรียกขานว่า เด็กชายบุญมา จิตศรี และหลังจากให้กำเนิดเด็กชายบุญมาแล้ว ปีต่อ ๆ มานางทองคำได้ให้กำเนิดสมาชิกในครอบครัวอีก ๒ คน คือ เด็กชายสุวิทย์ และ เด็กหญิงสมหมาย จิตศรี รวมลูก ๔ คน สมาชิกทั้งบ้าน ๖ คน

    ทั้งนายพ่วงและนางทองคำ มีอาชีพทำนา ฐานะทางบ้านก็พอมีพอกินปานกลาง แต่มาระยะหลังมีลูก ๔ คน ทำให้อาหารการกินฝืดเคือง เด็กชายบุญมาเจริญวัยตามกาลเวลา จวนจบกระทั่งถึงวัยที่จะต้องได้รับการศึกษาเล่าเรียน ผู้เป็นพ่อส่งเด็กชายบุญมาให้ไปอยู่กับ หลวงพ่อเขียน หรือ พระครูประสารวุฒิคุณ เจ้าอาวาสวัดบ้านกุง ซึ่งเด็กชายบุญมามีศักดิ์เป็นหลานของหลวงพ่อเขียน สมัยนั้นหลวงพ่อเขียนเป็นพระเกจิอาจารย์เก่งทางด้านอยู่ยงคงกระพัน

    เด็กชายบุญมาอยู่รับใช้หลวงพ่อเขียน และศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนวัดบ้านกุง จนกระทั่งจบการศึกษาประชาบาลชั้นประถมปีที่ ๓ นายพ่วงผู้เป็นพ่อก็ไปรับตัวกลับให้มาอยู่กับ “หลวงปู่เอี่ยม” พระเกจิอาจารย์ที่มีคนให้ความเคารพนับถือกันมาก ชาวบ้านเรียกกันว่า “หลวงพ่อใหญ่” หลวงปู่เอี่ยมนั้น มีวิชาอยู่ยงคงกระพันชาตรี หลวงปู่เอี่ยม รับเด็กชายบุญมาไว้เป็นลูกศิษย์แล้วก็ส่งให้เรียนต่อชั้นประถมปีที่ ๔ จนจบพอโตเป็นหนุ่มหลวงปู่เอี่ยมก็สอนวิชาอาคม ให้ร่ำเรียนอักขระวิชาต่าง ๆ ฝึกให้ทำจิตให้เป็นสมาธิ สอนการนั่งวิปัสสนากรรมฐานขั้นต้นให้

    นายบุญมาใช้ชีวิตทางโลกอยู่จนกระทั่งอายุ ๒๕ ปี เข้าวัยเบญจเพศจึงหันหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เป็นศิษย์พระตถาคตเจริญรอยตามพระพุทธองค์ โกนหัวปวารณาตัวอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดทุ่งแฝก หมู่ ๒ ตำบลกบินทร์บุรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี โดยมี พระครูศรีวิเลิศ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สวัสดิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการกรอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า“โชติธมฺโม”

    เมื่อบวชแล้ว ภิกษุหนุ่มนามบุญมาก็ศึกษาพระธรรมวินัย จนสามารถสอบนักธรรมเอกได้ในเวลาต่อมา จังหวะนั้นเองทางวัดบ้านแก่ง ว่างสมภารลง หลวงพ่อใหญ่ก็ได้สั่งให้ พระอธิการบุญมา มาเป็นสมภารวัดบ้านแก่ง สืบแทนหลวงพ่อทองดีที่มรณภาพ พระอธิการบุญมา พอ
    มาอยู่วัดบ้านแก่ง ก็ทำนุบำรุงพัฒนาวัดตามแต่อัตภาพ

    สมัยนั้นวัดบ้านแก่งและหมู่บ้านค่อนข้างทุรกันดาร ความเจริญยังเข้าไปไม่ถึง ความเป็นอยู่ของชาวบ้านไม่ค่อยดี วัดก็เลยไม่รุ่งเรืองตามสภาพ ขณะอยู่วัดพระอธิการบุญมาก็ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน โดยเฉพาะพระกรรมฐานนั้น พระอธิการบุญมาให้ความสนใจเป็นพิเศษ ได้รับถ่ายทอดวิชาจากหลวงปู่เอี่ยมนำมาปฏิบัติด้วยตนเองอย่างเคร่งครัด

    หลวงพ่อบุญมาทำกรรมฐานโดยกำหนดเอาแสงสว่างจากเปลวเทียนเป็นหลัก เพ่งกสิณจากเปลวแสงเทียนที่เรียกกันว่า “เตโชกสิณ” คือ การทำสมาธิจิตเพ่งแสงสว่างแห่งเปลวไฟ ภิกษุที่ทำได้ต้องมีสมาธิมั่นตั้งอยู่ในกรรมฐาน กำหนดเอาธาตุทั้ง ๔ อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นมั่นคง แล้วพุ่งกระแสจิตสู่สิ่งที่กำหนดนั้น จนดวงจิตสงบนิ่งบังเกิดความสว่างขึ้นกลางมโนจิต อันเป็นการบรรลุมรรคผลในระดับหนึ่ง นั่นคือการสามารถกำหนดจิตให้เป็นสมาธิอันแน่วนิ่งและมั่นคงได้ จึงจะถือว่าผ่านการทดสอบของการบำเพ็ญพระกรรมฐานและการทำกสิณ หลวงพ่อบุญมา เพ่งกสิณเพ่งเปลวเทียนอยู่นาน กว่าจะบรรลุมรรคผลก็เล่นเอาดวงตาข้างขวาของท่านเสียเกือบจะบอดเลยทีเดียว

    หลวงพ่อบุญมา พัฒนาวัดบ้านแก่งมาตลอดจนสามารถสร้างกุฏิ สร้างศาลาการเปรียญ และสร้างโบสถ์ใหม่ได้สำเร็จ ทำการยกช่อฟ้าอุโบสถและผูกพัทธสีมา ปิดทองฝังลูกนิมิตในปี ๒๕๓๘ ล่าสุดท่านกำลังสร้างซุ้มประตูเข้าโบสถ์และงานที่สำคัญของหลวงพ่อ คือ ท่านตั้งใจจะพัฒนาถนนหนทางเข้าวัดให้ดีขึ้น ไม่ใช่เป็นลูกรัง รถวิ่งฝุ่นฟุ้งอยู่ทุกวันนี้ เพื่อที่สาธุชนจะได้ไปมาหาสู่สะดวกสบายขึ้นโลกยุคใหม่เจริญก้าวหน้าขึ้น สิ่งลี้ลับและความอาถรรพ์ต่างๆ ก็เริ่มลดน้อยลง สมัยก่อนพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมมีอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่ละรูปล้วนมีชื่อเสียง สาธุชนคนใจบุญรู้จักกันถ้วนทั่ว และพระเกจิอาจารย์เหล่านั้นก็ล้วนแต่เป็นพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งสิ้น และพระดีนั้นก็ย่อมไม่อวดอ้างคุณความดี ทำให้มองไปว่าพระเกจิอาจารย์ยุคใหม่หายาก



    budd2969.jpg



    ที่บ้านแก่ง ตำบลวังตะเคียน หมู่ ๓ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี มีผู้ไปพบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเรืองวิชาอาคมจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านแก่ง ตำบลวังตะเคียน ความเล่าลือปากต่อปาก และจากประสบการณ์ทางวัตถุมงคลที่ท่านสร้างขึ้นมาแสดงพลังอิทธิปาฏิหาริย์อยู่ยงคงกระพัน ชื่อเสียงของ “พระครูสุนทรโชติธรรม” หรือ หลวงพ่อบุญมา โชติธมฺโม ค่อย ๆ เริ่มปรากฏและโด่งดังในพื้นที่อย่างรวดเร็วเมื่อกาลเวลาผ่านมา

    หลวงพ่อบุญมาทำกรรมฐานโดยกำหนดเอาแสงสว่างจากเปลวเทียนเป็นหลัก เพ่งกสิณจากเปลวแสงเทียนที่เรียกกันว่า “เตโชกสิณ” คือ การทำสมาธิจิตเพ่งแสงสว่างแห่งเปลวไฟ ภิกษุที่ทำได้ต้องมีสมาธิมั่นตั้งอยู่ในกรรมฐาน กำหนดเอาธาตุทั้ง ๔ อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นมั่นคง แล้วพุ่งกระแสจิตสู่สิ่งที่กำหนดนั้น จนดวงจิตสงบนิ่งบังเกิดความสว่างขึ้นกลางมโนจิต อันเป็นการบรรลุมรรคผลในระดับหนึ่ง นั่นคือการสามารถกำหนดจิตให้เป็นสมาธิอันแน่วนิ่งและมั่นคงได้ จึงจะถือว่าผ่านการทดสอบของการบำเพ็ญพระกรรมฐานและการทำกสิณ หลวงพ่อบุญมา เพ่งกสิณเพ่งเปลวเทียนอยู่นาน กว่าจะบรรลุมรรคผลก็เล่นเอาดวงตาข้างขวาของท่านเสียเกือบจะบอดเลยทีเดียว

    หลวงพ่อบุญมา พัฒนาวัดบ้านแก่งมาตลอดจนสามารถสร้างกุฏิ สร้างศาลาการเปรียญ และสร้างโบสถ์ใหม่ได้สำเร็จ ทำการยกช่อฟ้าอุโบสถและผูกพัทธสีมา ปิดทองฝังลูกนิมิตในปี ๒๕๓๘ ล่าสุดท่านกำลังสร้างซุ้มประตูเข้าโบสถ์และงานที่สำคัญของหลวงพ่อ คือ ท่านตั้งใจจะพัฒนาถนนหนทางเข้าวัดให้ดีขึ้น ไม่ใช่เป็นลูกรัง รถวิ่งฝุ่นฟุ้งอยู่ทุกวันนี้ เพื่อที่สาธุชนจะได้ไปมาหาสู่สะดวกสบายขึ้น

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่บุญมา ให้บููชา100บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลพ.บุญมา.jpg ลพ.บุญมาหลัง.jpg
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    0n.jpg

    บางท่านยังอาจจะไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์หรือแม้กระทั่งชื่อของหลวงปู่ฤทธิ์มาก่อน แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในเขตจังหวัดบุรีรัมย์และสุรินทร์กับผู้ที่นิยมวัตถุมงคลของเกจิอาจารย์ยุคปัจจุบันแล้ว หลวงปู่ฤทธิ์ท่านมีชาวบ้านชาวช่องนับถือและรู้จักกันดีเป็นอย่างยิ่ง มีลูกศิษย์ลูกหาที่นำวัตถุมงคลของท่านมาบูชา ติดตัว ติดบ้าน ติดร้านกันมาก วัตถุมงคลของท่านเป็นที่แพร่หลายมานับสิบปีโ
    ประวัติ หลวงปู่ฤทธิ์



    หลวงปู่ฤทธิ์ท่านเป็นพระเกจิดังเชื้อสายเขมรที่มีความเชี่ยวชาญด้านคาถาอาคมทั้งของไทย ลาว และเขมร อย่างหาผู้เทียบเคียงไม่ได้ ท่านเป็นพระที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนฐานะ เป็นอย่างไร หลวงปู่ท่านจะให้การต้อนรับพูดคุยด้วยเป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องนั่งรถยนต์ราคาแพงๆไปกราบ ท่านแล้วถึงจะได้พบหลวงปู่ นอกจากจะได้รับการต้อนรับขับสู้จากท่านอย่างไม่ถือเนื้อถือตัวแล้ว หลวงปู่ยังจะ ปลุกเสกวัตถุมงคลในมือของท่านอีกอย่างดีก่อนมอบให้ บางครั้งท่านก็จะจารเป็นยันต์ให้ บางครั้งท่านก็จะพรมน้ำมนต์ให้ วัตถุมงคลของท่านถือว่าเป็นสุดยอดไม่ว่าจะได้โดยตรงจากมือหรือที่ศูนย์พระเครื่องต่างๆก็ตาม ยังไม่พบว่าวัตถุมงคลของท่านมีของปลอมหรือเสริมโดยที่หลวงปู่ยังไม่ได้ปลุกเสก บรรดาผู้ที่บูชาวัตถุมงคลของท่าน ต่างก็พบกับอภินิหารแบบพลิกชะตาชีวิตให้อย่างทันตาเห็น ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน เมตตา มหานิยม โชคลาภ ค้าขาย เรียกเงินเรียกทอง เป็นต้น แม้ว่าทุกวันนี้จะเป็นยุค ไอเอ็มเอฟ ที่เศรษฐกิจฝืดเคือง ทำมาหากินลำบากกันถ้วนหน้า แต่คนที่บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ฤทธิ์มักจะได้พบกับสิ่งแปลกประหลาด เช่น ค้าขายดีขึ้นอย่างผิดปกติ มีโชคได้ลาภ ลองปืนไม่ออก เป็นต้น
    หลวงปู่ฤทธิ์เกิดวันอาทิตย์ที่ 13 เดือน 6 (พฤษภาคม) แรม 8 ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ. 2460 ณ ตำบลทุ่งมน อำเภอประสาท จังหวัดสุรินทร์ ท่านบวชเณรเมื่อปี 2482 และบวชเป็นพระที่วัดเพชรบุรี ต.ทุ่งมน จ.สุรินทร์ เมื่อปี 2483 โดยมีหลวงพ่อแปะ วัดปราสาทธนาพร(บ้านพลวง) อำเภอประสาท เป็นพระอุปปัชฌาย์ หลังจากนั้นท่านมาจำพรรษาที่วัดปราสาทธนาพร เพื่อ ศึกษาพระธรรมกับหลวงพ่อแปะอยู่ 3 ปีจึงได้ย้ายไปจำวัดอยู่ที่วัดพลับ ตำบลทุ่งมน อีก 4 ปี หลวงปู่ฤทธิ์ย้ายไปอยู่ วัดบ้านกระนัง ตำบลปรือ อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อปี 2490 ระหว่างที่อยู่วัดนี้ท่านได้ออกธุดงค์ไปเสาะแสวงหา ความรู้ทั้งทางธรรมและทางไสยศาสตร์ทั่วเขตอีสานจนตลอดเข้าไปในประเทศลาวและเขมร ท่านได้พัฒนาวัดบ้านกระนัง จนเจริญ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
    ในปี พ.ศ.2535 ท่านจึงได้ย้ายมาสร้างวัดชลประทานราชดำริ ที่บ้านกระทุ่ม ตำบลสูงเนิน อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ตามพระราชดำริและได้จำพรรษาอยู่ที่นี่มาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากวัดชลประธานราชดำริเพิ่งเริ่มก่อตั้งมาไม่นาน ยังขาดถาวรวัตถุในวัดอยู่เป็นอันมาก ซึ่งในขณะนี้หลวงปู่ได้กำลังก่อสร้างศาลาการเปรียญเพื่อใช้เป็นที่อบรมพระสงฆ์และสามเณร รวมทั้งกุฏิสงฆ์ 2 ชั้น ก็กำลังก่อสร้างอยู่เช่นกัน ซึ่งปัจจัยในการก่อสร้างนั้นได้จากการให้บูชาวัตถุมงคล รวมถึงการที่บรรดา ลูกศิษย์ร่วมทำบุญในการทอดกฐินและการทอดผ้าป่า สำหรับท่านผู้อ่านที่ต้องการทำบุญและรับวัตถุมงคลที่ช่วยเหลือ ท่านได้จริงๆ ในยุคไอเอ็มเอฟ โปรดอย่าลืมนึกถึง หลวงปู่ฤทธิ์ รตนโชโต พระเกจิชื่อดังชาวเขมรแห่งวัดชลประทานราชดำริ จังหวัดบุรีรัมย์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ลูกอมผงพราย หลวงปู่ฤทธิ์ รตฺนโชโต วัดชลประทานราชดำริ บุรีรัมย์ อ.เปล่ง บุญยืน ท่าตูม สุรินทร์ร่วมเสก
    ให้บููชา1000บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ
    คาถา : โอมละลวย มหาละลวย ละลวยหน้า ละลวยหลัง ละลวยทั้งอินทร์ พรหม ยมราช อากาส เทพบุตร เทพธิดา ละลวยทั้งแม่พระคงคา มาช่วยค้ำคู่สู่องค์ สัพพะสิทธิสวาหะ สวาโหม นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธาเอ็นดู ยะยินดี

    อ.เปล่ง.JPG อ.เปล่ง1.JPG อ.เปล่ง2.JPG
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    showimage.jpg
    (N)
    วัดบางกุฏีทอง ตั้งอยู่ที่ถนนติวานนท์ เลยห้าแยกปากเกร็ด มาทางปทุมธานี ประมาณ 15 กิโลเมตร อยู่ตรงข้ามกับทางเข้านิคมอุตสาหกรรมบางกะดี จ.ปทุมธานี โดยตั้งอยู่ที่ ต.บางกะดี อ.เมือง จ.ปทุมธานี

    ประวัติโดยสังเขป

    พระครูปทุมวรกิจ (ชำนาญ อุตตมปญโญ)
    อุปสมบท

    ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 7 ปีวอกวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2538 ณ วัดบางกุฎีทอง ตำบลบางกะดี อำเภอ

    เมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี

    พระอุปัชฌาย์พระสุเมธาภรณ์ วัดบางหลวง ตำบลบางหลวง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี

    พระกรรมวาจาจารย์ พระครูปทุมธรรมานุสิฐ วัดบางกุฎีทอง ตำบลบางกะดี อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี

    พระอนสาวนาจารย์ พระครูปทุมสุตคุณ วัดสังลาน ตำบลบางกะดี อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี

    การเข้าสู่ภายใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา

    โดยที่บ้านของท่านอยู่ใกล้กับวัดบางกุฎีทอง ชีวิตของท่านจึงวนเวียนผูกพันอยู่กับวัด อาจกล่าวได้ว่าชีวิต

    ของท่านส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในวัดมากกว่า เพราะท่านจะเข้าไปรับใช้หลวงปู่สุรินทร์ เรวโต(พระครูปทุมธรรมนุสิฐ)

    เจ้าอาวาสวัดบางกุฎีทองในขณะนั้นอยู่เป็นประจำ จึงทำให้หลวงปู่สุรินทร์ มีความรักและเมตตาต่อท่านตั้งแต่เด็ก













    เมื่อหลวงพีได้เรียนจบชั้นประถมศึกษาภาคบังคับแล้ว หลวงปู่สุรินทร์ ก็ได้ให้ท่านบรรพชาเป็นสามเณร ตั้งแต่อายุ

    ได้ 14 ปี เมื่อท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ทำให้ท่าน ได้รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่สุรินทร์ได้เรียนรู้ข้อวัตรปฏิบัติและ

    และวิชาการต่าง ๆ จากหลวงปู่สุรินทร์ ซึ่งหลวงปู่สุรินทร์ได้เรียนวิชาอาคมต่าง ๆ จากพระอาจารย์ของท่านโดย

    เฉพาะสายรามัญคือท่านเจ้าคุณรามัญมุนี วัดบางหลวง จังหวัดปทุมธานี หลวงพ่อชำนาญ ท่านสนใจศาสตร์วิชาอาคม

    และสักยันต์ตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งจากพระภิกษุสงฆ์ผู้เรืองเวทและฆราวาสผู้เชี่ยวชาญ เมื่ออุปสมบทแล้วท่านได้ไปศึกษา

    วิชาถึงเมืองมอญประเทศพม่า ได้พบ และสนทนาธรรมกับหลวงพ่ออุตตม สาโร พระชาวมอญผู้มีวิชาอาคมขลังเป็น

    ที่เคารพศรัทธาของชาวมอญและชาวพม่าทั่วไป

    เมื่อใครได้ไปพบหลวงพ่อที่วัด จะเห็นได้ว่ารูปภาพด้านหลังที่ท่านนั่งอยู่นั้นจะเป็นรูปภาพครูบาอาจารย์ที่

    ประสิทธิ์ประศาสน์วิชาความรู้ให้แก่หลวงพ่อท่าน ท่านถือความกตัญญูนั้นเป็นคุณธรรมสำคัญ เพราะเป็นคุณธรรม

    ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนดี แสดงให้เห็นถึงความเป็นบุคคลที่โลกยกย่อง ชื่นชม นิยมบูชา ความกตัญญู คู่กับ

    คำว่า กตเวที คำว่า กตัญญู แปล ว่ารู้ความดี กตเวที แปลว่า หาวิธีตอบแทนความดีของท่าน ใครก็ตามที่มีคุณธรรม

    ความดีต่อเรา วิสัยคนดีย่อมจะต้องกตัญญู ย่อมจะต้องกตเวที ด้วยบทกวีที่ว่า

    กตัญญูรู้คุณท่านสำคัญนัก นี้เป็นหลักคนดีมีครบถ้วน

    ตอบแทนท่านให้งามตามสมควร คนดีล้วนใจมั่นกตัญญู




    หลวงพ่อชำนาญมีความเชี่ยวชาญทั้งวิชาการสักยันต์ และการทำตะกรุด ท่านได้เรียนวิชาจาก

    อาจารย์อยู่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านอาจารย์อยู่บอกหลวง

    พ่อว่า ถ้าท่านอยากได้วิชาอาคมดังกล่าว ท่านต้องพิจารณาซากศพที่เน่าเหม็นนั้น ให้เห็นเป็นซากศพที่ไม่เหม็นไม่

    มีกลิ่นเหมือนท่อนไม้ จึงจะเรียนวิชาได้ผลจากการปฏิบัติเช่นนี้ จิตใจของหลวงพ่อ จึงเย็นและสงบนิ่ง โดยเฉพาะ

    อิริยาบถการเดินของท่านเบาและเสมือนไร้ร่องรอย ยิ่งปัจจุบันเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไกลไร้พรหมแดน แต่แปลก

    ท่านไม่มีแม้ทั้งวิทยุและโทรทัศน์

    สิ่งหนึ่งท่าครองใจศิษย์ไม่เสื่อมคลาย คือท่านเป็นที่รัก และเป็นที่พึ่งของศิษย์ โดยเฉพาะความรักลูกศิษย์

    ของท่านที่มีมากจนรู้ซึ้งในน้ำใจของศิษย์ทุกคน ใครที่น้อมเข้ามาเป็นศิษย์ของท่านแล้ว ท่านจะช่วยเหลือจนถึงที่สุด

    ดังคำสอนของหลวงพ่อที่บอกต่อศิษย์เสมอว่า

    อันครูบาอาจารย์ไม่เคยทอดทิ้งศิษย์ มีแต่ศิษย์นั้นแหละที่ลืมและทอดทิ้งอาจารย์

    หากศิษย์ไม่ลืมครูบาอาจารย์ มีหรือจะทิ้งศิษย์ต้องช่วยกันจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    รูปถ่ายติดจีวรหลังพระยอดธง
    ให้บููชา150บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลพ.ชำนาญ.JPG ลพ.ชำนาญหลัง.JPG
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    หลวงพ่อฟื้น วัดโพธิ์เผือก อยุธยา




    ศิษย์รุ่นสุดท้ายของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
    ยุคเดียวกับหลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง และหลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน พุ
    ทธคุณสุดยอดมากๆ แคล้วคลาด มหาอุด ค้าขาย โชคลาภ..เป็นสุดยอด




    หลวงพ่อฟื้น วัดโพธิ์เผือก ทุ่งมะขามหย่อง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่อายุยืนอีกองค์หนึ่ง มรณภาพอายุประมาณ 94 ปีครับ เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับหลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง
    วัตถุมงคลที่ท่านสร้างไว้เป็นเอกลักษณ์ คือ ลูกอม ประสบการณ์มากมายลือลั่น ชาวบ้านนิยมไปขอจากท่าน โดยหลวงพ่อฟื้นท่านจะสร้างจากน้ำตาเทียนที่ท่านจุดบูชาพระ โดยท่านจะเลือกวันพระใหญ่พระจันทร์เต็มดวง ท่านจะนำเทียนมาปั้นแล้วภาวนา เป็นลูกอมขนาดเล็ก ถ้าเก็บไม่ดีก็ละลาย ปัจจุบันของเหมือนของ ปลอมง่าย ถ้าไม่ได้รับจากมือ คงจะบูชายากครับ

    ท่านเป็นพระที่เก่งมากองค์หนึ่ง แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัว มีครั้งหนึ่งพระในวัดจะไปบูชาตะกรุดที่วัดแห่งหนึ่ง ตามธรรมเนียมปฎิบัติของพระภิกษุ เวลาจะออกจากวัดต้องบอกลา เมื่อแจ้งความประสงค์กับท่าน หลวงพ่อฟื้นท่านบอกว่า ไม่ต้องไปถึงโน่นหรอก เราก็ทำได้ ท่านจึงบอกว่า ไปหาแผ่นโลหะมาซิ เอากระป๋องโอวัลตินนี่ก็ได้ เราจะทำให้ จึงเป็นที่มาของตะกรุดโทนลายโอวัลติน ปัจจุบันยังหาชมได้ยาก เพราะท่านสรางไว้ไม่กี่ดอก ก็เลิกทำ คือเหมือนบอกให้รู้ว่าเราก็ทำได้ แต่ไม่อยากทำ


    67c.jpg

    หลวงพ่อฟื้นท่านบอกเองว่า พระเราไม่มีวันเสื่อม ลอดราวผ้า ลอดตะพานหัวเดียว ไม่มีปัญหา แม้พกเข้าที่อโคจร ............ขนาดศิษย์ไปเที่ยวซ่อง กำลังปฏิบัติกิจ ห้อยพระกริ่งของท่านเพียงองค์เดียว โดนอริบุกยิง กระสุนยังด้าน เลยครับพี่น้อง..
    ท่านเก่งขนาดหลวงพ่อหน่าย เรียกพี่ครับ ไม่เชื่อไปถามคนอยุธยาดูสิครับ..
    แม้แต่หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราชฯ ยังชมว่าเก่งจัด...วัตถุมงคลของท่าน เป็นที่นิยม ของซุ้มมือปืนเป็นอย่างยิ่ง..ในอยุธยา ถ้ามีพระของท่านห้อยคอ ถือว่าอุ่นใจได้ ไปได้ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ..

    ประสบการณ์ และเรื่องเล่า มีอยู่เรื่องนึงมีหนุ่มคนหนึ่งไปสักมาแล้วถูกยิงตาย
    เมื่อก่อนนี้หลวงปู่หน่ายท่านดังมากในเรื่องสักยันต์ใครๆต่างก็ไปสักกันและ ก็นายคนนี้ด้วยครับ(ไม่ขอบอกชื่อ) แต่นายคนนี้ชอบกินเล่า เมาแล้วชอบด่าไม่เว้นจนเป็นนิสัย และก็เป็นเรื่องจนได้
    และมีอยูครั้งหนึ่งไปด่าไม่รู้จักที่เลยโดนดักตีมาทีนึงแล้วก็ไม่เป็นอะไร แต่ก็คงจะถึงที่ละไปด่าใครเขาเข้าไม่รู้เลยโดนดักยิงข้างหลังขณะเวลายืนฉี่ อยู่จนตกน้ำตาย (อย่าลืมนะครับว่าเวลาสักมาแล้วหลวงปู่สั่งห้ามอะไรบ้าง) และทางบ้านเขาเลยจัดงานที่วัดโพธิ์เผือกจนถึงวันเผา

    เนื่องจากเป็นคนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ วัดจึงได้อาราธนาหลวงพ่อฟื้นขึ้นทอดผ้าเป็นองค์แรก หลวงพ่อบังสกุลเสร็จก็พูดว่า "ของกูมึงก็ได้กันไปของดีๆของกูมึงก็ขอกันไป ของกูดีๆมึงก็ไม่ใช้กัน มึงเอาไปเก็บ ของกูทำไว้ให้ใช้ ไม่ได้ให้มึงเอาไปเก็บ ถ้ามึงใช้ของกูมึงคงไม่ต้องนอนแบบนี้หลอก"

    นี่คือคำพูดก็ที่หลวงพ่อพูด ก่อนจะลงจากเมรุ แต่คำพูดนี้มีคนได้ยินเพราะยืนอยู่ข้างหลังหลวงพ่อ แล้วก็เอามาเล่าสู่กันฟังจนเป็นที่เรื่องลือกันไปทั่ว นี่คือความจริงจากคนได้ยินบอกเล่ากันมา


    มีเรื่องเล่ากัน ถึงการสร้างเหรียญรุ่นแรกของท่านว่า ที่มาของเหรียญรุ่นแรกนี้ ในช่วงเพลวันหนึ่ง พระกำลังล้อมวงฉันข้าวอยู่นั้น พระลูกวัดองค์หนึ่งพูดขึ้นว่า หลวงพ่อครับ ผมอยากจะให้หลวงพ่อสร้างเหรียญขึ้นมาสักรุ่นหนึ่ง เพื่อหารายได้มาก่อสร้างกำแพงโบสถ์ที่ยังค้างอยู่ แต่หลวงพ่อฟื้นท่านไม่ได้พูดอะไร พอถึงเวลาพระฉันข้าวพร้อมกันทีไร พระองค์นั้นพูดขอหลวงพ่ออยู่อย่างนั้น จนวันหนึ่ง หลวงพ่อฟื้นท่านก็พูดขึ้นว่า แล้วจะสร้างกี่เหรียญ ให้ทำบุญเหรียญละเท่าไหร่ จึงจะพอสร้างกำแพง พระองค์นั้นตอบว่า สร้างประมาณ ห้าพันเหรียญและให้บูชาเหรียญละห้าสิบบาทก็คงจะพอครับ หลวงพ่อฟื้นจึงบอกว่า งั้นไปทำมา

    เมื่อได้เหรียญมาแล้ว นำเหรียญมาให้ท่านปลุกเสก หลวงพ่อฟื้นบอกว่า ให้กองไว้ที่หน้ากุฏิท่านแล้วนั่นแหละ เดี๋ยวจะเสกให้ สักพัก หลวงพ่อฟื้นท่านก็ลุกขึ้นห่มจีวร แล้วนำจีวรของท่านผืนหนึ่งไปคลุมวัตถุมงคลไว้ทั้งหมด แล้วท่านก็มุดเข้าไปในจีวร นั่งสมาธิปลุกเสก ในระหว่างนั้นมีพระอีกรูปหนึ่งเดินไปด้อมๆมองๆ อาจจะด้วยความสงสัยว่าท่านทำอะไรอยู่ในจีวรที่คลุมปิดมิดอย่างนั้น หรือด้วยคิดปรามาสท่านอย่างไรก็ไม่ทราบได้ อยู่ๆหลวงพ่อฟื้นท่านพูดออกมาจากข้างในจีวรว่า ไม่เคยเห็นหรือไง มองอยู่ได้ พระองค์นั้นจะด้วยความละอายใจหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ รีบเก็บข้าวของแล้วออกจากวัดไปในวันรุ่งขึ้นเลยครับ
    สำหรับวัตถุมงคลของท่าน มีประสบการณ์กันมากมายทั้งด้านคุ้มครองแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ที่โด่งดังสุดๆก็เรื่องคงกระพันชาตรีนี่ล่ะครับ เจอกันมามากมาย จนวัตถุมงคลของท่านเป็นที่เสาะหากัน

    ในบรรดาวัตถุมงคลประเภทเหรียญคณาจารย์ที่ผมเคยเห็นว่าปืนนั้นยิงไม่ออกจริงๆนอกจากหลวงพ่อมหาอาคมแล้ว เห็นจะมีก็เฉพาะเหรียญหลวงพ่อฟื้นวัดโพธิ์เผือกเท่านั้น ที่ยอมรับว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ และคนที่ยิงเหรียญหลวงพ่อฟื้นก็คือคุณพ่อของผมเอง ซึ่งท่านได้ทำการทดสอบพุทธานุภาพด้วยปืน .38 รีวอลเวอร์ ของสมิทฯ ปีที่ลองคือ ปลายปี 2530 สาเหตุที่นำเหรียญหลวงพ่อฟื้นมาลองเพราะ ลูกน้องคุณพ่อเป็นศิษย์หลวงพ่อฟื้น และได้นำเหรียญรุ่นแรกมาให้กับผู้บังคับบัญชา นั้นคือคุณพ่อผม จำนวน 1 เหรียญ แล้วบอกว่าเป็นเหรียญรุ่นแรกของท่าน เพิ่งออกเป็นครั้งแรก และมีคนลองความขลังด้วยปืนกันมาหลายเจ้าแล้ว ส่วนใหญ่จะยิงไม่ออก มีบ้างที่ยิงออกแต่ไม่โดน ระยะที่ยิงคือระยะประชิดเลยครับเรียกว่าแบบจ่อยิงก็ว่าได้ครับ ซึ่งเมื่อฟังเช่นนั้นคุณพ่อของผมเลยเกิดอยากจะลองดูสิว่าขลังตามที่ลูกน้องมันบอกหรือเปล่า เลยมีการนำมาลองกันให้เห็นกันไปเลยครับ ผลการทดสอบความขลังก็เป็นไปตามคำร่ำลือ คือ ปืนจำนวน 3 กระบอก ไม่มีกระบอกไหนยิงออกสักนัด........


    สาเหตุที่ผมเขียนและนำวัตถุมงคลของหลวงพ่อฟื้นมาให้ชมกันนั้น เพียงเพื่ออยากให้ พี่ๆน้องๆที่ชอบพระแบบมหาอุดหยุดปืนได้มีของดีราคาถูกไว้ใช้กันครับ และที่สำคัญ นักการเมืองไม่ว่าระดับท้องถิ่นยันระดับชาติบางท่าน ยังห้อยเหรียญหลวงพ่อฟื้นวัดโพธิ์เผือก รุ่นแรกกันทั้งนั้นครับ อันนี้คือเรื่องจริงที่อยากจะแนะนำให้ท่านๆได้รับทราบกันครับ เผื่อมีโอกาสพบเจอเหรียญท่านที่ไหนจะได้รีบเช่าหาไว้บูชากันครับ ของท่านทุกรุ่นดีเยี่ยมพทธคุณสูงล้ำทุกอย่างครับ โดยเฉพาะเหรียญรุ่นแรกของท่านนั้นเป็นสุดยอดแห่งประสบการณ์ครับ แต่มีด้วยกัน 2 แบบครับ คือแบบบล็อคนิยม สร้างครั้งแรก 3000 เหรียญ เป็นทองแดงรมดำ

    เมื่อปี 2530 ครั้งที่สอง ใช้บล็อคเดิม สร้าง 5000 เหรียญ เป็นทองแดงผิวไฟ เหรียญจะบางกว่าบล็อคแรก มีทั้งแบบตอกโค๊ตและไม่ตอกโค๊ตครับ

    มีอยู่ครั้งนึงหลวงพ่อได้รับกิจนิมนต์ไปพุทธาภิเษกที่กรุงเทพฯก็จะมีพระอยุธยาที่รับนิมนต์ไปด้วยคือ หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา หลวงพ่อทิม วัดพระขาว ต่างก็นั่งกันไปในรถตู้ที่วัดเจ้าภาพได้จัดรถมารับ และรวมพระที่ติดตามอีกวัดละ2-3 องค์ เพื่อนคนขับอีก 1 พระลูกวัดก็คุยกันไปตามภาษาพระที่จะไปงานใหญ่ก็จะไปขอของดีพระองค์นั้นองค์นี้

    หลวงพ่อเมี้ยนก็พูดว่า "..ของๆท่านดี มีดหมอของท่านได้ไป สิงคโปร์ "

    เนื่องจากหลวงพ่อเมี้ยนท่านดังมาก่อน ท่านเลยคุยว่ามีคนที่สิงคโปร์มานิมนต์ไป ท่านได้พกมีดหมอของท่านไปด้วยและผ่านเครื่องตรวจจับโลหะไปได้ เพราะหลวงพ่ออธิษฐานก่อนผ่านเครื่องตรวจจับ จึงทำให้หลวงพ่อคุยใหญ่เลย

    แต่คงเป็นเพราะความรำคาญของหลวงพ่อฟื้น เพราะท่านเป็นพระที่ไม่ค่อยพูด แต่พอหลวงพ่อเมี้ยนพูดว่ามีดของท่านผ่านเครื่องตรวจจับได้
    จนหลวงพ่อฟื้น ต้องพูดขึ้นมาบ้าง "..เดียวเครื่องรถคันนี้จะดับ.."

    พอสิ้นคำหลวงพ่อฟื้นพูดจบปุ๊บ รถตู้คันที่นั่งอยู่เครื่องดับทันที...! ทั้งคนขับ ทั้งพระในรถงงกันเป็นไก่ตาแตก เจ้าของรถบอกไม่น่าเชื่อ
    หลวงพ่อฟื้นพูดคำเดียว หลวงพ่อเมี้ยนเลยไม่พูดอะไรอีกเลย แล้วสักพักรถก็ติดขึ้นตามปกติไปได้ต่อ หลวงพ่อทิมท่านก็ไม่พูดอะไรอยู่แล้วท่านนั่งของท่านนิ่งๆ เอาเป็นว่างงกันทั้งรถ

    นี่และคงเป็นความหมายของผู้ใหญ่ตะหวาดเด็กแทนคำดุ...หลังจากนั้นมาหลวงพ่อเมี้ยนก็เรียก"หลวงพี่ฟื้น" มาตลอด...นี่ละครับเสือซ่อนเล็บ

    ชาติภูมิของหลวงพ่อฟื้น ปุญญสิริ

    หลวงพ่อฟื้นเกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๕ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่อายุยืนอีกองค์หนึ่ง ท่านมรณภาพในราวปี ๒๕๓๙ ศิริอายุประมาณ ๙๔ ปีครับ
    โยมบิดา ชื่อนายหนึ่งซึ่งมีเชื้อสายจีนมาจากดินแดนโพ้นทะเลแล้วมาตั้งรกรากในประเทศไทย มารดาชื่อ นางพลอย นามสกุลตาจันทร์เป็นชาวตำบลบ้านใหม่ มีพี่น้อง3คน
    1. หลวงพ่อฟื้น ปุญญสิริ(ตาจันทร์)
    2. นายฮวด ตาจันทร์ รับราชการ
    3. นางกิมไล้ พานทอง

    ชีวิตในเยาวัยของหลวงพ่อฟื้นเป็นเด็กที่มีร่างกายอ่อนแอ เป็นโลกเลี้ยงยากบิดามารดาจึงได้แก้เคล็ดโดยให้ชื่อใหม่ว่าฟื้น และก็ได้ถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเป็นอย่างดี และก็ปรากฏว่าหลวงพ่อฟื้นได้กลายเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่ค่อยเป็นโรคเหมือนแต่ก่อน ครั้นเมื่อโตจนได้วัยของการศึกษาหาความรู้บิดามารดาจึงได้นำไปฝากที่วัดเกตุ และได้บวชเป็นสามเณรศึกษาหาความรู้ทั้งภาษาไทยและขอมจนอ่านออกเขียนได้จากอาจารน์หน่ายวัดเกตุ(ไม่ใช่อาจารน์หน่ายบ้านแจ้งนะครับ)

    และยังได้เรียนวิชาควบคู้ไปด้าย(สมัยก่อนวัดเกตุแห่งนี้เป็นที่เรียน ที่สอนสัพพะวิชาอาถรรพ์ วิชาต่างๆดั่งเช่นวัดตูมครับและเป็นที่แวะพักของหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่าในสมัยนั้น ก่อนจะล่องเข้ากรุงเทพฯ )และความซุกซนในวัยเด็กขณะที่เป็นเณรก็ใด้ยังตามสามเณรเชยไปอยู่ที่วัดนิเวศน์ธรรม หลวงพ่อฟื้นก็ยังได้ศึกษาหนังสือขอมกับวิชาอาคมเพิ่มเติมบ้าง ครั้งสามเณรเชยเข้าไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯหลวงพ่อก็ยังได้ติดตามไปด้วยและยังได้เรียนรู้เพิ่มอีกเป็นปี ครั้งหนึ่งมีญาติหลวงพ่อไปหาที่วัดบอกว่าจะกลับอยุธยาจะไปไหว้หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง หลวงพ่อจึงได้กลับอยุธาอีกวระหนึ่ง และยังได้กลับมาเรียนเพิ่มเติมที่วัดเกตุอีกครั้ง อย่างจริงจังเพราะว่าโตขึ้นมาก และยังได้เจอกลับหลวงปู่ศุข อีกหลายครั้งและหลวงปู่ศุขยังได้สอนเคล็ดลับวิชาบางอย่างให้อีกด้วย และในขณะที่หลวงปู่ศุขไม่ได้ ล่องเข้ากรุงเทพฯก็จะศึกษากับอาจารน์หน่าย จนได้อายุ 20 ก็ได้ถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารอยู่ 2 ปี โดยเข้าสังกัดกรมทหารราบที่ 3 ท่าช้างวังหลวง

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อฟื้นให้บููชา300บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ(ปิดรายการ)

    ลพ.ฟื้น.JPG ลพ.ฟื้นหลัง.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2019
  14. wangbao

    wangbao Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +151
    ขออนุญาตจองครับ
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    upload_2019-5-21_12-1-29-jpeg.jpg
    ข้อมูลส่วนใหญ่คัดมาจากหนังสือโลกทิพย์และผมเพิ่มเติมในบางส่วนเพื่อความสมบูรณ์ในเนื้อหา ดังนี้ครับ
    ชาติภูมิ หลวงปู่เย็น ทานรโต เป็นชาวเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี โดยกำเนิดท่านเกิดเมื่อวันเสาร์ เดือนสี่ ปีขาล พุทธศักราช ๒๔๔๕ เป้นบุตรคนแรกในจำนวนพี่น้อง ๖ คน ของ นายถิ่น นางแซ่ม ศรีศาสตร์ บิดามารดาของท่านมีอาชีพทำนา ตัวท่านเองนั้นนอกจากจะช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพกสิกรรมแล้ว ยังมีฝีมือในเชิงช่างหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ ช่างปูน แม้กระทั้งการออกแบบบ้านเรือน หรือวัดวาอารามตลอดจนสลักลวดลายท่านก็ทำได้และฝีมือดีมากเสียด้วย จนกระทั่งอายุครบบวชหลวงปู่เย็นได้ทำการอุปสมบทตามประเพณีอันดีงามของชายไทยทั่วไป ณ วัดเดิมบาง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งอยู่ใกล้บ้านของท่าน หลังจากได้เป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนาสมบูรณ์แล้ว ท่านได้ย้ายไปอยู่วัดระฆังโฆสิตาราม จังหวัด ธนบุรี (ในสมัยนั้น) กับพระที่เป็นญาติของท่านรูปหนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย ภาษาบาลี และภาษาขอม จนกระทั่งสอบได้นักธรรมเอก และเปรียญ ๔ ประโยค ระหว่างนั้นท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ในฐานะนักเทศน์ฝีปากเอก ที่ใดมีงานมงคลต่างๆ หรือแม้กระทั่งงานศพ หากประชาชนรู้ว่าได้นิมนต์มหาเย็นมาเทศน์ด้วยไม่ว่าอยู่ใกล้อยู่ไกลก็หลั่งไหลมาฟังเทศน์กันอย่างล้นหลาม ธุดงค์ลึกลับ สมัยที่หลวงปู่เย็นยังจำพรรษาอยู่ที่วัดระฆังฯ นั้น วันหนึ่งท่านเห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินแบกกลดสะพายบาตรผ่านมา เกิดความรู้สึกเลื่อมใสในบุคลิกของท่าน จึงเข้าไปกราบนิมนต์ขอให้พระธุดงค์เข้ามาพักที่กุฎิก่อน และให้การต้อนรับสู้อย่างแข็งขัน ระหว่างการสนทนาตอนหนึ่ง หลวงปู่เย็นได้ขอให้พระธุดงค์เล่าถึงการเดินธุดงค์ของท่าน พระธุดงค์ก็มีเมตตาเล่าถึงการออกธุดงค์ไปยังเมืองลาว ต้องเดินผ่านเข้าไปยังหมู่บ้านหนึ่งที่มีชื่อว่า “บ้านแก้ว” ซึ่งเป็นที่เลื่องลือในเรื่องยาพิษยาสั่ง คนแปลกหน้าผ่านเข้าผ่านไปในหมู่บ้านเป็นต้องถูกลองยาเสมอ น้อยคนนักจะออกมาได้อย่างปลอดภัย หลวงปู่เย็นได้ฟังดังนั้นเกิดความสงสัยจึงถามท่านว่า “ท่านไม่กลัวเขาทำให้ตายหรือ” “เขาทำให้ตาย กินข้าวได้เราไม่กลัว” พระธุดงค์ตอบเป็นปริศนา หลวงปู่เย็นแม้ว่าจะไม่เข้าใจคำตอบกระจ่างนัก แต่ก็มิได้ซักถามต่อเมื่อได้สนทนาต่อไปเรื่อยๆ จึงรู้ว่าพระธุดงค์รูปนั้นไม่ใช่พระธรรมดา แต่เป็นพระอภิญญาที่เรืองวิทยาคมยิ่งรูปหนึ่ง จึงไม่เกรงกลัวต่ออะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นอันตรายจากสัตว์ร้าย ไข้ป่า หรือแม้กระทั่งคน ท่านได้ธุดงค์มาแล้วแทบจะทั่วแผ่นดินไทยยังไปถึงเมือง ญวน เขมร ลาว และพม่า ก่อนจะจากกัน พระธุดงค์ได้มอบของวิเศษอย่างหนึ่งไว้ให้หลวงปู่เย็นบอกว่าเป็นแก้วสารพัดนึก สามารถบันดาลให้เป็นไปตามปรารถนาได้ทุกประการ
    แก้วสารพัดนึก พระธุดงค์รูปนั้นเอื้อมมือหยิบก้านธูปที่หน้าหิ้งพระมาก้านหนึ่งแล้วดัดให้เป็นรูปตัว “พ” ต่อจากนั้นก็หยิบสายสิญจน์มาพันผูกก้านธูปตัว “พ”นั้นหลายๆ รอบพร้อมกับร่ายมนตร์กำกับตัว “พ” ต่อจากนั้นก็ยื่นให้หลวงปู่เย็น และได้กำชับว่าตัว “พ” นี้คือแก้วสารพัดนึกหมายถึงการนึกอยากได้หรือต้องการอยากได้อะไรก็จะได้ดังใจปรารถนา ผู้ใดได้ไว้ครอบครองตั้งมั่นในศีลธรรม ในความดี ก็จะได้สมใจนึก ตัวพอ “พ” นี้ เป็นของวิเศษ อันเกิดจากพระวาจาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสไว้ที่โคนต้นโพธิ์ “พอ พอ แล้วใครไม่ต้องเป็นครูสอนเราแล้ว” พอเรารู้ในธรรมวินัยนี้ว่าเป็นของที่เลิศประเสริฐยิ่งนัก พระพุทธก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี เป็นของดีที่วิเศษ ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลกนี้ ดังคำบาลีว่า “ยังกิญจิ ระตะนังโลเก วิชชะติวิวิธัง ปุถุระตะนัง พุทธธะสะมัง นัตถิตัสสะมา โสตถี ภะวันตุเม” แปลว่า แก้วแหวนเงินทอง ทรัพย์สินใดๆ ในโลกนี้ มนุษย์หรือปุถุชนจะไขว่คว้าหามาได้โดยไม่ยากแต่ของวิเศษ ดีเลิศ ประเสริฐ ยิ่งกว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีอีกแล้วที่ดีกว่านี้ พระธุดงค์รูปนั้นท่านได้อธิบายถึงสรรพคุณและถ่ายทอดวิชาสร้างตัวอักษร “พ” ให้กับพระเย็น (หลวงปู่เย็น) จนหมดสิ้น หลวงปู่เย็นท่านจึงได้ก้มกราบพระธุดงค์รูปนั้น แต่พอครั้นเงยหน้าขึ้นมาปรากฎว่า พระธุดงค์รูปนั้นได้หายไปอย่างไรร่องรอย นับว่าน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง “ท่านบอกว่าชื่ออะไรก้ไม่รู้แต่จำหน้าท่านได้แม่นยำ มารู้ที่หลังว่าเป็นใครเมื่อได้เห็นรูปท่านนั่นแหละ” หลวงปู่เย็นบอก หลวงปู่เย็นชี้ให้ดูรูป “พระครูโลกอุดร” ที่ท่านใส่กรอบตั้งไว้บูชาข้างหัวนอนและว่า “อาจารย์รูปนี้แหละ ที่ทำให้สร้างวัดสร้างวาได้สำเร็จ”

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    เหรียญหลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ ออกวัดใหม่เจริญธรรม ปี ๒๕๓๘

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    e0-b8-a5-e0-b8-9b-e0-b9-80-e0-b8-a2-e0-b9-87-e0-b8-99-jpg-jpg.jpg 0-b8-a5-e0-b8-9b-e0-b9-80-e0-b8-a2-e0-b9-87-e0-b8-99-e0-b8-ab-e0-b8-a5-e0-b8-b1-e0-b8-87-jpg-jpg.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เหล็กไหลแม่น้ำโขงนี้ มีลักษณะเหมือนดังเนื้อเหล็กปนหินอยู่บริเวรใต้น้ำโขงถือเป็นเหล็กไหลชั้นยอดอีกชนิดหนึ่งแม่เหล็กสามารถดูดติดได้ คนละชนิดกับอกธรณี เพราะเนื้อเป็นคล้ายเหล็กปนหิน เป็นของบารมีสูง มีพลังงานมหาศาลเหมาะแก่การใช้ป้องกันเขี้ยวงาต่างๆ แคล้วคลาดกันภัย ท่านนิยมหากันมาแต่โบราณ อยู่ใต้ท้องแม่น้ำโขง ท่านวิเศษมีคุณโชคลาภค้าขายร่ำรวยป้องกันไฟ ดับพิษ เข้าป่า สัตว์มีพิษไม่กล้ามาเข้าไกล้ หกติกตัวไปมีแต่เงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสาย เป็นของทนสิทธิ์ที่หายากอีกชนิดหนึ่ง เหมาะแก่ข้าราชการ แม่ค้าพ่อขาย ประชาชนทั่วไป เด็กนอนผวาผกไว้ใต้หมอยมิเป็นอีกเลย ถือเป็นของมงคลที่ดียิ่งนัก
    แร่ เหล็กไหลแม่น้ำโขงหรือแร่ฮีมาไทท์ HEMATITE เป็นแร่ธาตุกายสิทธิ์มีพลังอำนาจมีคุณวิเศษและพุทธคุณยิ่ง นับว่าเป็นพลอยหรือรัตนชาติที่มีค่าราคาสูงแร่ชนิดนี้อยู่คู่กับโลกมานับ ล้านๆปี มีอยู่ที่เดียวในโลก คือ ตามลำน้ำโขง ตามเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ กรมทรัพยากรธรณีวิทยาทางงธรรมชาติคำนวณอายุและความเก่าแก่ ของแร่ชนิดนี้มีอายุไม่น้อยกว่า 65 ล้านปี

    แร่เหล็กไหลแม่น้ำโขงหรือแร่ฮีมาไทท์ HEMATITE เป็นแร่ธาตุที่หาได้ยากและมีอำนาจมหาศาล พุทธคุณหรือคุณวิเศษมีอยู่ในตัวทั้งในด้านคุณเสน่ห์ และ เมตตามหานิยม ความแคล้วคลาดปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านโชคลาภร่ำรวยขึ้นทันตาแบบไม่ น่าเชื่อ จึงเป็นที่ต้องการของผู้ได้พบ เพราะมีความเชื่อว่าเป็นแร่ที่มีอาถรรพ์อยู่ได้เฉพาะผู้ที่ทีบุญบารมีมาแต่ อดีตชาติเท่านั้น
    อีกชื่อหนึ่งก็คือ เหล็กไหลนาคาราช เหล็กไหลบาดาลหายากมากทีเดียว มักปรากฏอยู่ในลำแม่น้ำใหญ่ที่มีภูเขาสลับซับซ้อน ในประเทศไทยมีที่เดียวในแม่น้ำโขง ประเทศลาวพบที่ ภูเขาควาย ประเทศจีนแม่น้ำแยงซีเกียง อินเดียแม่น้ำคงคา เป็นต้น เพราะต้นน้ำเหล่านี้มาจากภูเขาสูงที่ศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะคล้ายก้อนหินมันเงาเป็นเลื่อม สีดำเหมือนนิล บางองค์มีสนิมเหล็กสีน้ำตาลเกาะ บางองค์มีแร่ทอง งดงามมาก แม่เหล็กดูดติด เด่นมากในทางให้โชค เสี่ยงโชค และค้าขาย ป้องกันพิษสัตว์เขี้ยวงา แคล้วคลาด คงกระพันเป็นเลิศเลยทีเดียว!!!!

    ตั้งนะโม 3 จบ แล้วว่า คาถาเหล็กไหล
    พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ
    สะกะพะจะ บูชาจะมหาบูชา ขอบูชาท่านผู้ดูแลรักษาธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงฤทธิ์อานุภาพนี้
    อิสะวาสุ อิติปิโส ภะคะวา
    เหล็กไหลเจริญมา เจริญยิ่ง เจริญดี สิ่งดี ๆ ทั้งหลายจงหลั่งไหล เข้ามาหาแก่ตัวข้าพเจ้า
    สัมมะ สัมมา สัมมา สัมมะ มะอะอุ
    นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ
    (ให้ภาวนา คาถาบูชาเหล็กไหล อย่างน้อย 3 จบ ทุกๆวัน ก่อนออกจากบ้านเสมอ) get_auc3_img.jpg


    *หลวง ปู่คำ บุ คุตฺตจิตโต วัดกุดชมภู อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี อธิฐาน 1 ไตรมาตปี 53 บนกุฏิ และก่อนจะนำให้บูชายังอธิฐานให้อีกครั้งครับ
    ***หลวงปู่ฤาษี กตปุญฺโญ วัดภูน้อย อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภูองค์นี้พิเศษมากครับ ในคณะที่ท่านอธิฐานจิตครั้งสุดท้าย (อธิฐานเดี่ยวที่กุฏิท่าน ไตรมาส 3 เดือนปี 52 ) ตอนที่ผมไปนำกลับ ท่านอธิฐานเพื่อบันทึกภาพไม่น่าเชื่อ จู่ ๆ ก็เกิดฟ้าร้องเสียงสนั่น และผ่าลงบริเวณใกล้ ๆ วัด และมีงูสิงห์ขนาดใหญ่มาก เลื้อยเข้ามาบนศาลาด้วยครับ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดบริเวณหน้าอกข้างขวาหลวงปู่จู่ ๆ ก็เกิดเรืองแสงขึ้นมาบนจีวร ดังภาพที่ถ่ายมา ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติมาก ไม่ใช่ภาพจากฝุ่น หรือรูปจตุคามที่เราเคยเห็นนะครับ แต่เป็นแสงที่เปล่งออกมาจากภายในลอดผ่านออกมาทางจีวรหลวงปู่ฤาษี กตฺปุญฺโญ เมื่อถามท่าน หลวงปู่บอกแต่เพียงว่าหินที่นำมาปลูกเสกและจะนำกลับวันนี้มีคุณวิเศษมาก และ มีพุทธคุณในตัวไม่ต้องไปปลูกเสกที่ใดก็สามารถคุ้มครองผู้ที่ศรัทธานั้นได้ หินทุกชนิดใด้ทำปฏิกิริยากับสิ่งที่อยู่ในตัวหลวงปู่ลูก!!!หลวงปู่บอกอย่าง นั้น และไม่ได้พูดอะไรอีกโปรดใช้วิจารณญานด้วยนะครับเป็นความเชื่อส่วนบุคคลเท่า นั้นครับ


    ***หลวงปู่อ่อง ฐิตฺธมฺโม วัดเทพสิงหาญ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ก่อนนำกลับท่านว่าเป็นของมีค่าเอาไว้บูชาไม่มีวันจนท่านว่าอย่างนั้นครับ
    ***หลวงปู่เนย สมจิตฺโต วัดป่าโนนแสนคำ อ.บ้านทุ่งคำ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ท่านให้พรว่า เจริญสุข ร่ำรวย ๆ
    ***พระอาจารย์ชัย กิตฺติญาโณ วัดป่าบ้านกอก อ.เมือง จ.ขอนแก่น อธิฐานจิตเดียวในพระอุโบสถ ก่อนกลับท่านพระอาจารย์เรียกพระลูกศิษย์มาทดสอบพลังวิชาปรากฎว่ามีพลัง มากกว่าวัตถุมงคลทุกชนิด นี่คือพระผู้ประสบการณ์เหนียวและคงกระพันชาตรีเป็น 1 ในขอนแก่นตอนนี้ครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    หลวงปู่ทวดเตารีด เนื้อแร่เหล็กไหลแม่น้ำโขง

    ให้บูชา800บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ


    ลป.ทวด.jpg ลป.ทวดหลัง.jpg
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    upload_2019-5-25_18-13-36-jpeg-jpg.jpg

    หลวงพ่อสร้อย ธมฺมรโส วัดเลียบราษฎร์บำรุง ซอยกรุงเทพ-นนท์ ๔๓ ถนนกรุงเทพ-นนท์ แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีลูกศิษย์มากมายมากราบไหว้ท่านตั้งแต่เช้ายันค่ำ เชี่ยญชาญในเรื่องวิชาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถอนคุณไสย อยู่ยงคงกระพัน เมตตารวมไปถึงการทำนายทายทัก

    อีกทั้งท่านยังเป็นพระนักพัฒนาอีกด้วย เดิมทีท่านมีภูมิลำเนาอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงอย่างประเทศกัมพูชา แต่ในอดีตเคยเป็นส่วนปกครองของประเทศไทย ซึ่งอาจจะกล่าวได้อีกอย่างว่า ภูมิลำเนาเดิมของท่านนั้นเป็นคนไทย แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนการปกครองไปเป็นของประเทศกัมพูชาไปแล้ว เมื่อย้อนถึงอดีตความเป็นมานั้นบ้านเดิมของท่านเกิดที่กัมพูชา
    หลวงพ่อสร้อย เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๖ ที่บ้านโคกระวา ต.ละเวีย อ.ปวก จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา แต่ว่าในสมัยนั้นยังคงเป็นดินแดนปกครองของประเทศไทย เข้าสู่เส้นทางธรรมะภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ที่พัธสีมาวัดละเวีย ต.หลักชัย อ.ไพรีฯ จ.พิบูลย์สงคราม (สมัยนั้นประเทศไทยปกครอง) ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยและศึกษาวิชาต่างๆ ที่เป็นตำราโบราณสืบทอดกันมา พร้อมทั้งยังฝึกฝนวิชาต่างๆ จนเกิดความเชี่ยวชาญในการนั่งสมาธิ จนเป็นที่ยอมรับกันดีในประเทศกัมพูชา มีสรรพวิชาต่างๆ จนเป็นที่เลื่องลือและเชื่อกันว่าเสมือนหนึ่งสามารถรู้ถึงเหตุการณ์ข้างหน้า

    พ.ศ.๒๔๙๑ ท่านก็ได้เดินธุดงค์เรื่อยมาทางบ้านแดง อ.ละหานทราย ด้วยเท้าเปล่าจนเข้าเขตประเทศไทยและมาจำพรรษาอยู่ที่วัดแจ้ง อ.ประโคนชัย แต่ที่นั่นมีชาวกัมพูชาอยู่มาก การเทศนาหรือการให้พร การสวดต่างๆ ต้องใช้เป็นภาษาเขมรทั้งหมด ท่านก็ไม่ค่อยจะชอบเพราะอยู่ในประเทศไทยแล้วเทศน์แต่ภาษาเขมร จากนั้นท่านจึงเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ แต่ท่านก็หาวัดจำพรรษาอยู่ไม่ได้ จนในที่สุดท่านก็เดินธุดงค์ต่อไปที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและจำพรรษาอยู่ที่วัดโพธิ์ศรี อ.เมือง จ.ขอนแก่น และมีโอกาสเรียนภาษาไทยตั้งแต่แรกเริ่มอย่างถูกต้อง

    หลวงพ่อสร้อยเดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่าเพื่อเสาะหาสัจธรรมและวิชาต่างๆ จากเกจิอาจารย์ทุกจังหวัดในประเทศไทย จากนั้นเดินเท้าเข้าสู่ประเทศพม่าและอยู่ที่นั่นถึง ๓ ปี ออกจากพม่าเข้าสู่ประเทศอินเดียและอยู่ที่นั่นอีก ๕ ปี ออกจากอินเดียต่อมายังประเทศจีนตอนล่างมายังเวียดนามตอนเหนือผ่านมายังประเทศลาวและสุดท้ายก็เข้าสู่มุกดาหาร

    พ.ศ.๒๕๐๐ ท่านมาปักกรดที่วัดร้างแห่งหนึ่ง ชื่อว่าวัดดอกบัว ท่านได้จำพรรษาอยู่ ๖ พรรษา ซึ่งบริเวณรอบๆ นั้น มีชาวบ้านอาศัยเพียงกว่าสิบหลังคาเรือนเท่านั้น ท่านได้พัฒนาวัดดอกบัวและให้การศึกษาพระธรรมวินัยให้แก่พระภิกษุและสามเณรที่วัดลานคา ในขณะนั้นมีญาติโยมมากมายมานิมนต์ท่านให้ไปจำพรรษาที่กรุงเทพฯ แต่ท่านก็อยู่ดูแลวัดจนถึง พ.ศ.๒๕๐๗ ท่านจึงมาศึกษาพระธรรมวินัยต่อที่กรุงเทพฯ โดยจำพรรษาที่วัดเลียบราษฎร์บำรุง จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๒ ท่านมรณภาพ สิริอายุได้ ๗๖ ปี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อสร้อยหลังพระแก้วมรกรต วัดเลียบ
    ให้
    บูชา300บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ รุ่นนี้มีข้อมูลว่าหลวงปู่สรวง บ้านละลมมาเสกให้ด้วย


    e0-b8-a5-e0-b8-9e-e0-b8-aa-e0-b8-a3-e0-b9-89-e0-b8-ad-e0-b8-a2-jpg-jpg.jpg 0-b8-9e-e0-b8-aa-e0-b8-a3-e0-b9-89-e0-b8-ad-e0-b8-a2-e0-b8-ab-e0-b8-a5-e0-b8-b1-e0-b8-87-jpg-jpg.jpg

    เหรียญหลวงพ่อสร้อย วัดเลียบ
    ให้บูชา150บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    %E0%B8%A5%E0%B8%9E-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2-jpg.jpg 5%E0%B8%9E-%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-jpg.jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    https://palungjit.org/threads/ท่านใดทราบประวัติและมีวัตถุมงคลของ-หลวงปู่อิง-โชติโญ-วัดโคกทม-บ้างครับ.332271/

    ไม่ตอกโค๊ต ข้อมูลว่าลป.แจกในพิธีก่อนนำไปตอกโค๊ต หรือถกผิดยังไหงหาข้อมุลก่อนครับ

    เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่อิง

    ลป.อิง1.jpg ลป.อิง1หลัง.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2019
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    เบอร์บัญชีผมครับ
    เบอร์บัญชีธ.กรุงไทย KTB125-0-08923-9 supachai thu

    โอนเงินแล้วช่วยแจ้งวันเวลาที่โอนในกระทู้เพื่อง่ายในการตรวจสอบ หรือทางPMไม่ต้องโพสหลักฐานให้เสียเวลา สมัยนี้โลกออนไลน์ตรวจสอบง่ายหลอกกันยาก แล้วจะรีบดำเนินการจัดส่งEMSไปให้โดยด่วนนะครับ..หลายรายการก็ค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    ติดต่อได้ที่ 08..1.70..4..72..64
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,150
    ค่าพลัง:
    +21,318
    91430826443764_view_resizing_images_1_.jpg

    หลวงปู่ลี อุตตโร
    วัดเอี่ยมวนาราม ต.คำเจริญ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี

    "พระครูพนาภินันท์" หรือ "หลวงปู่ ลี อุตตโร" อดีตเจ้าอาวาสวัดเอี่ยมวนาราม ต.คำเจริญ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี พระสายวิปัสสนา ศิษย์พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล-พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บูรพาจารย์สายพระป่า

    เกิดในสกุล จุใจล้ำ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 ม.ค.2449 ที่บ้านเลขที่ 82 หมู่ที่ 9 บ้านฮี ต.ขุหลุ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ครอบครัวเป็นเกษตรกร

    การศึกษาสำเร็จวิชาสามัญชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนบ้านอนันต์ อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ เนื่องจากไปอาศัยอยู่กับอา ที่รับราชการครู

    อายุ 19 ปี บรรพชาที่วัดศรีบุญเรือง อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 16 มี.ค.2468

    ต่อมาอายุ 20 ปี เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันที่ 20 ก.ค.2469 โดยมี พระอธิการพันธ์ วัดราษฎร์ประดิษฐ์ อ.ตระการพืชผล เป็นพระอุปัชฌาย์

    ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยจนสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท ในสำนักเรียนวัดโพธิ์ชัย อ.ตระการพืชผล ปีพ.ศ.2480-2481

    พ.ศ.2482 ได้รับพระราช ทานสมณศักดิ์พระครูสามัญชั้นตรี ที่พระครูพนาภินันท์ และปีพ.ศ.2524 เลื่อนเป็นพระครูชั้นโท ในราชทินนามเดิม

    ลำดับการปกครอง พ.ศ.2475 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง อ.ตระการพืชผล และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลกระเดียน พ.ศ.2500 ท่านจึงได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเอี่ยมวนาราม บ้านม่วงเดียด อ.ตระการพืชผล

    ภายหลังชราภาพท่านจึงลาออกจากตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ และเจ้าคณะตำบลกระเดียน

    สำหรับวัดเอี่ยมวนารามเป็นวัดป่าธรรมชาติ และเป็นสำนักวิปัสสนากรรมฐานสำคัญของ อ.ตระการพืชผล สภาพวัดร่มรื่น มีน้ำล้อมรอบ เหมาะสำหรับพระนักปฏิบัติ และผู้แสวงหาความสงบ ผู้ที่อุปถัมภ์สำคัญ คือ นายง้วนเอี่ยม พ่อค้าชาวไทยเชื้อสายจีน

    หลวงปู่ลีเป็นพระสายปฏิบัติที่เคร่งครัดพระวินัยรูปหนึ่งของภาคอีสาน ด้วยความที่เป็นพระซึ่งรักความสงบ สมถะ ชอบป่า จึงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ "พระครูพนาภินันท์" อันมีความหมายว่า "มีความรักความผูกพันกับป่า"

    ท่านเคยธุดงค์ไปตามป่าเขาทั้งในประเทศทั่วทุกภาคและข้ามไปถึงประเทศลาว แถบแขวงจำปาสัก แขวงสะหวันนะเขต รวมทั้งเดินเลยทะลุเข้าไปในประเทศกัมพูชา

    ด้วยความตั้งใจจะเอาจริงและเอาดีทางเจริญวิปัสสนาให้ได้ จึงเข้าฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่เสาร์ และหลวงปู่มั่น รับการฝึกวิชาวิปัสสนากรรมฐาน

    สามารถนั่งวิปัสสนานานถึง 48 ชั่วโมง หรือ 2 วัน 2 คืนติดต่อกัน

    ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาที่น่ายกย่อง คือ พัฒนาทั้งศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล และศาสนธรรม

    ผลงานสำคัญ อาทิ เป็นประธานสร้างอุโบสถวัดบ้านฮี วัดบ้านเวียง และวัดเอี่ยมวนารามแล้ว ยังบริจาคทรัพย์ส่วนตัวและร่วมกับข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน สร้างตึกหลวงปู่ลี อุตตโร (พระครูพนาภินันท์) มอบให้โรงพยาบาลตระการพืชผล

    ส่งเสริมการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม สละทรัพย์ตั้งทุนมูลนิธิวิทยาลัยอุบลราชธานี วัดมหาวนาราม และให้ทุนส่งเสริมปริยัติธรรม แผนกธรรม-บาลี สำนักเรียนวัดบ่อชะเนง อ.หัวตะพาน วัดศรีโพธิ์ชัย อ.ตระการพืชผล และอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก

    นอกจากนี้ ยังจัดตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่วัด เปิดอบรมเข้าปริวาสกรรม บวชสามเณรหมู่ภาค ฤดูร้อนประจำทุกปี เป็นหน่วยอบรมแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองประจำอำเภอ และสร้างวัดเอี่ยมฯ ให้เป็นสถานที่ให้ธรรมเป็นทาน เป็นที่พึ่งทั้งทางกายและใจแก่ชาวพุทธทุกหมู่เหล่า

    เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2544 หลวงปู่ลีมีอาการอาพาธ ศิษยานุศิษย์และญาติโยมจะพาท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลตระการพืชผล แต่ท่านไม่ยอมไป พร้อมกล่าวเป็นนัยว่า "แก่มากแล้ว รักษาก็ไม่หาย"

    วันที่ 9 มี.ค.2545 ศิษย์ทั้งหลายก็นำท่านเข้า โรงพยาบาลจนได้ เมื่ออาการอาพาธทรุดหนักจนน่าเป็นห่วง ถัดมา 2 วันแม้อาการไม่ดีขึ้น แต่สติของท่านมั่นคง และขอให้ศิษย์นำท่านกลับวัด

    สุดท้ายละสังขารด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2545 ด้วยวัย 96 ปี พรรษา 76

    อริยะโลกที่ 6

    http://www.ubonpra.com/board/?topic=43.0

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่ลีรุ่น๒ รุ่นประสพการณ์ มีรอยจารลายมือหลวงปู่สภาพสวยเดิมๆครับ

    ให้
    บูชา500บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    ลป.ลี.jpg ลป.ลีหลัง.jpg


     

แชร์หน้านี้

Loading...