เห็นผลในชาตินี้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Mantalay, 16 ธันวาคม 2010.

  1. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]


    เรื่องที่เขียนให้อ่านนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับบ้านตัวเราเอง หน้าบ้านเราเป็นคลองรัด เมื่อ 13ปีที่แล้ว ไม่มีเขื่อนเดินริมคลอง เป็นคลองที่ตื้นเขิน จึงมีการขุดลอกคูคลองและทำเขื่อนสองฝั่งคลองให้คนเดินริมคลองได้ด้วย ที่นี้ที่ดินที่อยู่ตรงกันข้ามกับฝั่งคลองเรา ก็จัดการย้ายเสาหลักเขต ให้ออกมาติดกับตลิ่งริมคลองให้ได้มากที่สุด เพื่อเอาที่ดินเพิ่ม และเอาเงินแจกเรือขุดคลองให้มาเบียดฝั่งคลองบ้านเราเข้ามาทดแทน ดังนั้นที่ดินฝั่งเค้าเพิ่ม แต่ฝั่งเราขาด เมื่อการทำเขื่อนริมคลองสิ้นสุดลง แม่เราก็แบ่งที่ดินให้ลูกๆ ช่างมารังวัด ปรากฏว่าที่ดินที่ปรากฏอยู่ในโฉนด กับที่ดินที่รังวัดได้ ไม่เท่ากัน ที่ดินบ้านเราหายไป 10กว่าตารางวา เป็นเงินไม่ใช่น้อยสำหรับที่ดินในกรุงเทพฯ แม่เราไม่ว่าอะไรเหลือเท่าไหนก็เท่านั้น แม่บอกว่า

    วันที่คนฝั่งตรงข้ามย้ายเสาหลักเขตที่ดินริมคลอง แม่ก็ยืนดูอยู่ แม่ก็ไม่ว่าอะไร เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่นาน ผลของวิบากกรรมก็มาถึงเจ้าของที่ดินฝั่งตรงข้ามค่ะ เขื่อนริมคลองสร้างเสร็จได้ไม่กี่ปี คนที่ย้ายหลักเขตที่ดินก็เป็นอัมพฤก อัมพาต ประมาณนี้แหละค่ะ เดินไม่ได้รักษาตัวเองอยู่หลายปี ตอนนี้พอเดินได้บ้าง จะไปไหนแต่ละทีก็ลำบากค่ะ ต้องค่อยๆเดินแบบทั้งช้ามากและสั่นไปทั้งตัวค่ะ ต้องออกจากงาน ทั้งที่ถ้าทำต่อไป หน้าที่การงานก็คงจะไปได้ไกลกว่านี้แน่นอนค่ะ

    ยังมีอีกรายหนึ่ง เป็นชาวบ้านสวนด้วยกันค่ะ หลักเขตที่ดินถูกต้อง ลุงเจ้าของที่จึงปลูกต้นหมากเป็นการแสดงเขตของตนไว้ แต่ที่ดินใกล้เคียงได้ย้ายหลักเขตเข้าไปในที่ดินของคนที่ปลูกหมาก และทำรั้วกั้น แนวต้นหมากทั้งแนว ไปอยู่ในรั้วเค้าเลยเข้าไปตั้งเยอะค่ะ ปรากฏว่าไม่นาน คนที่ย้ายหลักเขตก็เป็นอัมพฤก อัมพาตเหมือนกันค่ะ เดินไม่ได้ ลุงเจ้าของที่แกบอกว่า คนที่โกงที่ดินคนอื่นเค้าต้องแบกที่ดินไว้ ทำให้เดินไม่ได้ค่ะ อันนี้ลุงเจ้าของที่ดินที่ปลูกต้นหมากแกพูดเปรียบเทียบให้ลูกหลานฟัง ถึงเวรกรรมของคนโกงที่ดินค่ะ
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มกราคม 2011
  2. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]
    นกก็มีหัวใจ
    ครั้งนั้นเป็นฤดูแล้ง ผม(ไม่ใช่ ท.เลียงพิบูลย์) ได้ถือปืนออกจากบ้านไปเที่ยวหานกในสวนตามนิสัยชอบและอยู่ว่างไม่ค่อยได้ เมื่อผมเดินเข้าไปในสวนก็ได้พบนกเขาคู่หนึ่ง เกาะอยู่ที่ยอดก้านหมาก กำลังจับคู่เพลิดเพลินอยู่ เมื่อนกเห็นผมถือปืนในมือ สัญชาติญาณทำให้นกทั้งคู่รู้ว่า ภัยกำลังจะมาถึงตัว ทั้งสองรีบโผบินหนีไปทั้งคู่ ผมยกปืนขึ้นเล็งแล้วปล่อยกระสุนออกไป ตัวหนึ่งถูกกระสุนของผมหล่นลงมา อีกตัวหนึ่งยังบินวนเวียนไปมาอยู่ใกล้ๆไม่ยอมทิ้งคู่ คอยดูอยู่เหมือนจะรู้ว่าคู่ของตัวได้ตายเสียแล้ว ดูท่าทางนกตัวที่อยู่นั้นคงจะรู้สึกเสียใจมาก หากเป็นคนก็คงร้องไห้ฟูมฟายน้ำตา ผมใช้สายตาคอยจ้องดูความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นึกในใจว่า ทำไมมันจึงไม่หนีไปให้ไกลนะ มันคงรู้แล้วว่าคู่ของมันถูกยิงตายนอนแทบเท้าผม ด้วยความอาลัยมันจึงบินวนเวียนอยู่ไม่ยอมจากไป หรือจะยอมให้ผมยิงมันอีกตัว กำลังนึกว่าควรสงเคราะห์ให้มันตายไปตามกัน ยังไม่ทันจะยกปืนขึ้น ทันใดนั้นผมรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเห็นมันเหินขึ้นสู่ท้องฟ้าสูง แล้วห่อตัวหุบปีกพุ่งตัว เอาหัวดิ่งลงสู่พื้นดินตรงหน้าผม ถึงแก่ความตายทันที

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมสะดุ้ง งงงัน ลืมตัวขาดสติไปครู่หนึ่ง ทำอะไรไม่ถูกคิดอะไรไม่ออก เพราะไม่นึกว่าความรักของนกทั้งสองจะรุนแรง ถึงกับยอมสละชีวิตตายร่วมกัน พอได้สติก็รู้สึกเศร้าเข้าไปถึงหัวใจ เมื่อเห็นภาพนกทั้งสองนอนตายอยู่แทบเท้าผม

    ผมก้มลงไปหยิบนกตัวแรกขึ้นมาดู ก็เห็นว่าถูกลูกปืนที่หน้าอกทะลุ เป็นนกตัวเมีย ส่วนตัวหลังที่บินขึ้นสูงแล้วพุ่งหัวดิ่งลงมาตายนั้นเป็นตัวผู้ ไม่มีรอยถูกกระสุนเลย แต่ก้านคอหักมีเลือดไหลออกทางปาก นกคู่นี้ต้องตายเพราะการกระทำของผม ผมต้องนั่งลงเอามือทั้งสองกุมขมับไว้ ผมเป็นลูกผู้ชายน้ำตาผมออกยาก แต่ครั้งนั้นผมต้องนั่งน้ำตาไหล ยิ่งคิดถึงชีวิตรักของนกคู่นี้แล้ว ก็สะอึกสะอื้นเหมือนคนได้รับทุกข์ทรมานใจที่สุดในชีวิต เพราะผมได้สร้างบาปกรรม ทำให้นกเขาคู่นี้ต้องตายลงต่อหน้าต่อตา ผมนั่งร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด ก็ไม่อาจทำให้นกทั้งสองฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้ มีแต่ทำให้จิตเศร้าหมอง ควรคิดหาทางสร้างบุญดีกว่า ต่อไปนี้เราจะไม่ทำบาป จะเลิกกีฬาฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะไม่ให้เหตุการณ์อย่างวันนี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด
    [​IMG][​IMG]
    (กฏแห่งกรรม ของ ท.เลียงพิบูลย์ เล่ม๖)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2010
  3. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้[​IMG]

    ๑.บางคนเรียกการกระทำอย่างนี้ว่า "กีฬา" และภูมิใจว่าตนเองเป็นนักกีฬา ทำให้ดูโก้เก๋ทันสมัย แต่ที่จริงเป็นการข่มเหงรังแกฝ่ายที่อ่อนแอกว่าและไม่มีทางสู้ เป็นความด้อยพัฒนาและความไร้น้ำใจนักกีฬา หากนักกีฬาล่า(ฆ่า)สัตว์ เป็นฝ่ายถูกล่าโดยไม่มีทางสู้บ้างจะรู้สึกอย่างไร ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงตรัสไว้ในธรรมบท(๒๕/๒๐)ว่า
    สัตว์ทั้งหมด ย่อมหวาดหวั่นต่ออาชญา ย่อมกลัวต่อความตาย บุคคลทำตนให้เป็นอุปมาแล้ว ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรใช้ให้ผู้อื่นฆ่า

    ๒. ผู้ที่หวังความสุข แต่กลับทำบาปด้วยการเบียดเบียนผู้อื่น ย่อมไม่ได้ความสุข แต่จะได้ผลเป็นความทุกข์ ตนเองก็ทุกข์ ผู้อื่นก็ทุกข์ ดังเช่นชายผู้นี้ต้องหลั่งน้ำตาเพราะเศร้าใจและสำนึกผิดในบาปของตน การหาความสุขจากความเจ็บปวดและชีวิตเลือดเนื้อของผู้อื่นจะเป็นไปได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงตรัสไว้ในธรรมบท(๒๕/๒๐)ว่า
    ผู้ใคร่สุข แสวงหาสุขเพื่อตน แต่เบียดเบียนสัตว์อื่น ผู้นั้นละไปแล้ว ย่อมไม่ได้สุข ผู้ใคร่สุข แสวงหาสุขเพื่อตน ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น ผู้นั้นละไปแล้ว ย่อมได้สุข

    ๓. ชายผู้นี้ต้องโศกเศร้าเพราะได้ทำบาป จัดเป็นนรกในใจ เป็นผลของบาปกรรมที่เห็นได้ในชาตินี้ และจะไม่หมดสิ้นเพียงแค่นี้ คงต้องรับผลของบาปกรรมนี้อีกในชาติต่อๆไป
    [​IMG][​IMG]
    หนังสือ กรรมลิขิต โดยธัมมวัฑโฒ ภิกขุ วัดโสมนัสวิหาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2010
  4. นิพ_พาน

    นิพ_พาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,984
    ค่าพลัง:
    +7,810
    ขยันจริงๆๆหาเรื่องมาเล่า
    เดี๋ยวไปหามาบ้างนะแล้วจะมาเล่าบ้าง
    ไปเอาเรื่องหุ่นพยนต์ ปะทะกุมารเทพดีไหมจ๊ะ
    5555555555
     
  5. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]
    ร้อนไม่จริง
    ไฟไหม้บ้านริมน้ำแห่งหนึ่ง คนในบ้านใกล้เคียงตกใจ ขนของกันเป็นการใหญ่ มีเรือลำหนึ่งเทียบเข้าไปแล้วเจ้าของเรือก็ร้องตะโกนให้เขาขนของลงเรือ พอเห็นว่าของเต็มเรือดีแล้ว เจ้าของเรือก็แจวออกไป เป็นการโกงซึ่งๆหน้า ซึ่งผู้กำลังเดือดร้อนไม่รู้จะไปเรียกร้องเอากับใครได้ อยู่มาผู้ที่โกงนั้นเกิดอาการเจ็บไข้ไม่สบายในถิ่นของตน อาการที่ปรากฏคือต้องการกินแต่น้ำร้อนจัดๆ ยิ่งร้อนเท่าไรยิ่งพอใจเท่านั้น ในที่สุดไม่พอใจคนรินน้ำร้อน หาว่าเอาน้ำร้อนไม่จริงไปให้ จึงให้นำเตาถ่านและกาน้ำไปต้มในที่ใกล้กับที่นอนเจ็บอยู่ พอน้ำเดือดพล่านมีควันพลุ่งออกมาเต็มที่แล้ว ก็ลุกขึ้นยกกาน้ำร้อนนั้นดื่มทางพวยกา พอดื่มเสร็จร้องเฮ้อ คล้ายกับว่าชื่นใจเสียเหลือเกิน แล้วก็ตายไป
    เรื่องนี้พระคุณเจ้าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดเทพศิรินทราวาสเคยเล่า มีผู้ฟังรู้เห็นกันมาก
    จาก..หนังสือคุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา
    โดย สุชีพ ปุญญานุภาพ

    [​IMG]

    [​IMG]ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้[​IMG]
    ๑. แทนที่จะช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อนถูกไฟไหม้ เจ้าของเรือกลับทำบาปคือการโกงเขาซึ่งๆหน้า ได้ของไปเต็มลำเรือ คงจะมีมูลค่ามาก บาปจึงหนัก(ถ้ามูลค่าน้อยบาปก็น้อยลง) และให้ผลในชาตินี้ จัดเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม
    ๒. สภาพที่คนโกงผู้นี้ต้องทนทุกข์ทรมานก่อนตาย เปรียบเหมือนตกนรกทั้งเป็น เมื่อชาติปัจจุบันเป็นเช่นนี้ ตายแล้วสุคติเป็นอันไม่ต้องหวัง
    [​IMG]
    หนังสือ กรรมลิขิต โดยธัมมวัฑโฒ ภิกขุ วัดโสมนัสวิหาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2010
  6. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]

    เชิญตามสะดวกเลยจ้า คุณนายจ๋า กี่เรื่องก็ได้จ้า
     
  7. ppojai

    ppojai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    4,637
    ค่าพลัง:
    +9,971
    เข้ามาตามอ่าน เห็นผลในชาตินี้ ของน้องจั่นจ้า ๆ
    ขยันค้น คว้า เจง ๆ ...
    ก็พยายามทำกรรมดี เพราะกลัวจะได้รับผลกรรมในชาตินี้น่ะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2010
  8. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    เรื่องนกกางเขน
    พ่อของข้าเจ้าก็เคยเล่าให้ฟังนะคะ
    ว่า
    เคยเห็นนกที่ถูกยิง แล้วคู่ของมันก็บินขึ้นสูงแล้วทิ้งตัวลงมา ซ้ำไปซ้ำมาจนตายตามกัน
    น่าเวทนานัก
     
  9. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    หนูเอาหนังสือในห้องพระของพ่อ มาพิมพ์เองค่ะ พ่อจะได้ ได้บุญค่ะ
    ขอบคุณที่มาอ่านนะค่ะ
    .....................................................
    เรื่องนกกางเขน
    พ่อของข้าเจ้าก็เคยเล่าให้ฟังนะคะ
    ว่า
    เคยเห็นนกที่ถูกยิง แล้วคู่ของมันก็บินขึ้นสูงแล้วทิ้งตัวลงมา ซ้ำไปซ้ำมาจนตายตามกัน
    น่าเวทนานัก<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ความเจริญยศเป็นความเจริญเล็กน้อย แต่ความเจริญปัญญาเป็นความเจริญยิ่งใหญ่<!-- google_ad_section_end -->

    น่าสงสารมากเลยค่ะ
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2010
  10. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044

    อย่าทำกรรมชั่วทั้งในที่ลับและในที่แจ้งเลย
     
  11. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    ขออนุโมทนาสาธุค่ะ...
     
  12. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]ปลาเป็นเหตุ
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันใกล้นครสาวัตถี เช้าวันหนึ่งพระองค์เสด็จไปบิณฑบาตยังนครสาวัตถี พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นพวกเด็กหนุ่มกำลังจับปลาในสระแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ข้างหน้า เพื่อจะนำมาปิ้งกิน พระองค์เสด็จไปหาพวกเด็กหนุ่ม แล้วตรัสถามว่า พวกเธอกลัวความทุกข์ ความทุกข์ไม่เป็นที่รักของพวกเธอไม่ใช่หรือ
    เด็กเหล่านั้นกราบทูลว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถ้าพวกเธอทำบาปแล้ว แม้จะเหาะหนีไป ก็ไม่อาจพ้นจากความทุกข์ได้เลย
    (กุมารกสูตร๒๕/๑๑๕)
    เหตุใดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นสัพพพัญญูรู้แจ้งทุกสิ่ง จึงทรงเตือนเด็กพวกนั้น เรื่องต่อไปนี้จะเป็นอุทาหรณ์ที่ดี
    [​IMG]
    แพทย์หญิงชาวไต้หวันชื่อกวั๋วฮุ่ยเจิน เป็นแพย์ทางด้านโรคมะเร็ง
    ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่ตนได้พบเห็นความว่า
    ชายคนหนึ่งมีนิสัยชอบเคี้ยวหมาก สูบบุหรี่ และดื่มสุรา ต่อมาได้ป่วยเป็นมะเร็งในโพรงปาก ได้มารับการรักษาในโรงพยาบาล อาการป่วยอยู่ในขั้นโคม่า ภายในโพรงปากถูกฝีหนองของมะเร็งกิดกินจนทะลุเป็นรูออกทางแก้มหน้า น้ำหนองไหลออกมาตลอดเวลา แม้อาหารที่กินเข้าไปก็มักไหลออกมาทางรูทะลุด้วย แม้สุราที่เคยชอบหนักหนา หากดิ่มเข้าไปก็เปรียบเหมือนเอาน้ำทองแดงกรอกปากก็ไม่ปาน แม้หมากที่เคยเคี้ยวเป็นประจำด้วยความชื่นชอบ ก็กลับกลายเป็นเหมือนกลืนกินลูกเหล็กกลมที่ร้อนแดง เนื่องจากดื่มกินไม่ได้ ประกอบกับจิตใจที่สับสนเศร้าหมอง ร่างกายที่เคยแข็งแรงสมบูณ์มาก่อนก็ผอมโซลงอย่างรวดเร็ว ในสภาพที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสนี้ แพทย์ยังได้ต่อท่ออาหารจากจมูกตรงไปยังกระเพาะอาหารอีกด้วย ภรรยาของผู้ป่วยก็อยู่ในสภาพที่เจ็บปวดที่สุด เพราะต้องคอยหมั่นดูแลทำความสะอาดน้ำเลือดน้ำหนองที่ไหลออกมาอย่างไม่มีวันหยุด ทั้งยังต้องเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อหาแพทย์มารักษา และที่สำคัญคือต้องใช้จ่ายเงินทองมากมาย
    ผู้ป่วยได้เล่าให้ พ.ญ.กวั๋วฮุ่ยเจินฟังว่า ปกติตัวเขาชอบไปตกปลา เคี้ยวหมาก ดื่มสุรา ขณะที่ตกปลามีความรู้สึกที่แสนจะสุขสมอารมณ์หมาย แต่ในขณะที่โรคมะเร็งได้กำเริบจนใบหน้าต้องทะลุเป็นรูโบ๋ เขามีความรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก บัดนี้จึงได้เรียนรู้ว่า ขณะที่เงี่ยงเบ็ดแทงแก้มของปลาจนทะลุ ภายในจิตใจของปลา ความรู้สึกกลัวและความเจ็บปวดเป็นอย่างไร
    เสียงกระซิบอันแผ่วเบาที่ผู้ป่วยพยายามเปล่งออกมาอย่างลำบากยากเย็นนี้ แสดงถึงความสำนึกในบาปกรรมของตน เขาได้รู้สึกว่า ช่วงเวลาที่มีความสุขนั้นมันช่างน้อยนิด บาปกรรมที่ทำให้ปลาต้องตกใจกลัว และทนทุกข์ทรมาน บัดนี้ได้สะท้อนกลับมายังตน ร่างกายต้องเจ็บปวดถูกแทงทุลุที่กระพุ้งแก้ม ขณะที่ตัวเองกลืนน้ำลายก็เปรียบเสมือนถูกไฟเผาหรือถูกมีดกรีดร่างก็ไม่ปาน สภาพที่เจ็บจนทนไม่ไหวนี้ เทียบกับขณะที่ปลาถูกเบ็ดตกขึ้นมาแล้วดิ้นรนเพื่อหาทางรอด ก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก
    ชีวิตของผู้ป่วยรายนี้เป็นบทเรียนชีวิตที่ลึกซึ้งและเป็นอุทาหรณ์ว่า กฏแห่งกรรมไม่เข้าใครออกใคร กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนองแน่นอนที่สุด
    [​IMG]
    เสียงเพลงจากแม่น้ำนิรันดร์ แปลโดย
    ว่าที่ ร.ต.ทรงศักดิ์ อัมพรวิวัฒน์
    [​IMG]ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้[​IMG]
    ๑. ทุกชีวิตต่างก็มีความทุกข์ประจำอยู่แล้ว ลำพังแต่ความร้อน หนาว หิว กระหาย แก่ เจ็บ ตาย เพียงแค่นี้ก็ทุกข์จนสุดจะทนแล้ว เหตุไฉนจึงเบียดเบียนกัน เข่นฆ่ากัน เพิ่มทุกข์ให้แก่กันอีกเล่า
    ๒. คนที่รักษาสุขภาพเป็นอย่างดีมักจะไม่เจ็บไข้แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะตามหลักพระพุทธศาสนา บางครั้งคนเราก็เจ็บป่วยเพราะผลของกรรมเก่า ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์ว่า
    ในกาลก่อนเราเป็นเด็กลูกของชาวประมง อยู่ในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นพวกชาวประมงฆ่าปลาแล้ว (แทนที่จะสงสารกลับ)เกิดความชื่นชม ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราจึงปวดศีรษะ เมื่อครั้งที่วิฏฏุภะ ฆ่าพวกศากยะ
    (พุทธาปทาน ๓๒/๓๙๒)
    โรคมะเร็งในปากอาจเป็นผลของบาปกรรมจากการตกปลาก็ได้ ดังนั้นผู้ที่ชอบหาความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น พึงสังวรให้มากไว้ สภาพความเจ็บปวดของผู้ป่วยน่าสยดสยองมาก บทเรียนบางอย่างนั้น คนฉลาดอาจเรียนรู้ได้โดยไม่ต้องใช้น้ำตาหรือชีวิตเลือดเนื้อของตนเองไปแลก
    ๓. คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่สามารถเลือกทำดีหรือทำชั่วก็ได้ เรื่องที่นำมาเสนอนี้ย่อมเป็นอุทาหรณ์ว่า ควรจะใช้ชีวิตนี้ไปในทางใด
    [​IMG]
    หนังสือ กรรมลิขิต โดยธัมมวัฑโฒ ภิกขุ วัดโสมนัสวิหาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2010
  13. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    ขออนุโมทนาบุญค่ะ ขอบคุณที่มาอ่านนะค่ะ
    การที่เราได้พิมพ์ให้คนอ่าน ใจเราได้สะดุ้งกลัวบาปไปด้วยค่ะ ก็ดีไปอย่างนึงค่ะ
    [​IMG]
    เชิญแวะอ่านค่ะ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2010
  14. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]ทรชนคนบาป [​IMG]
    ในสมัยพุทธศตวรรษที่๑๑ พระเจ้าศศางกะ กษัตริย์อินเดียผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เกิดริษยาความเจริญของพระพุทธศาสนา จึงคิดจะทำลายล้าง โดยจัดการกับวิหารมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก่อน ในวิหารนั้นมีพระพุทธรูปอันงดงาม พระเจ้าศศางกะสั่งให้แม่ทัพจัดการทำลายพระพุทธรูปทันที แล้วเสด็จออกไปตัดต้นมหาโพธิ์ ส่วนภายในวิหารปล่อยให้แม่ทัพจัดการ
    ฝ่ายแม่ทัพเป็นผู้รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่กล้าทำตามคำสั่งนาย ได้ดำริว่า ถ้าทำลายพระพุทธรูปตามโองการของพระราชา เราก็ต้องตกนรก ถ้าไม่ทำตามโองการ ศีรษะก็จะไม่อยู่กับบ่า ในที่สุดคิดอุบายร่วมกับคนสนิท ก่อกำแพงบังพระพุทธรูปนั้นให้มิด และทูลพระราชาว่า ทำลายเสร็จสิ้นแล้ว

    พระเจ้าศศางกะชอบพระทัย พอล่วงไป ๗ วัน ก็บังเกิดโรคพุพองเปื่อยเน่าไปทั่วสรีระ กษัตริย์ใจบาปนี้ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างสาหัสจนสิ้นพระชนม์ ฝ่ายแม่ทัพก็รีบมารื้อกำแพงออกทันที

    เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ แม้พระพุทธรูปยังไม่ได้ถูกทำลาย แต่เป็นผลอันเกิดจากการทำอันตรายต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งพระพุทธองค์อาศัยร่มเงาในคืนตรัสรู้

    อ.เสถียร โพธินันทะ ได้ยินผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าว่า ท่านได้เห็นชายชราเป็นโรคผิวหนังพุพองเปื่อยเน่าทั้งตัว ทั้งยังเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ ต้องเที่วถัดไปตามถนนขอทานเขากิน ชายชราผู้นี้เล่าชีวประวัติให้ผู้ใหญ่ท่านนั้นฟังว่า เมื่อหนุ่มหากินทางขโมยลอกทองพระพุทธรูปบ้าง เที่ยวขุดทรัพย์ในองค์พระปฏิมาตามวัดร้างโบราณ ทำให้องค์พระเสียหายขาดอวัยวะไป บัดนี้กรรมตามทันมาสนองให้ต้องทรมานอย่างนี้หลายปีแล้ว และรู้ตัวว่าหากตายไปคงตกนรกแน่นอน

    ผู้ใหญ่ท่านนั้นเล่าว่า ได้เห็นสภาพของชายชราแล้ว ใจของท่านสลดสังเวชมาก เพราะมีสภาพเกือบไม่เป็นมนุษย์ ตามตัวเน่าไปหมดส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งทีเดียว เป็นการตกนรกทันตาเห็นอยู่แล้ว
    (ตอบปัญหาร้อยแปด โดย เสถียร โพธินันทะ)
    [​IMG][​IMG][​IMG]

    เมื่อคืนวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๓๖ ชายสองคนขี่รถจักรยานยนต์ไปที่วัดซุ้มกอ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร(ชาวบ้านเรียกว่ากรุทุ่งเศรษฐี) ทั้งสองนำรถไปซุ่มจอดอยู่ใต้ต้นมะม่วง ซึ่งห่างจากเจดีย์ซุ้มกอประมาณ ๒๐ เมตร แล้วเดินมาขุดที่บริเวณฐานของเจดีย์ซุ้มกอ เพื่อหาพระซุ้มกอที่ยังมีหลงเหลือด้านบนของฐานเจดีย์ที่ทั้งสองลักลอบขุด มีจอมปลวกขนาดใหญ่ก่อตัวอยู่ ทั้งสองขุดชอนลึกลไปจนท่วมหัว สันนิษฐานว่าขุดกันมาหลายวันแล้ว โดยใช้ต้นหญ้าปิดปากหลุมไว้ ขณะที่กำลังใช้ชะแลงขุดลึกลงไปเรื่อยๆนั้น ดินจอมปลวกและฐานเจดีย์ได้ถล่มพังทับร่างของทั้งสองชนิดตายทั้งเป็น

    รุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจและชาวบ้านได้ช่วยกันขุดดินออก พบร่างชายสองคนคือ นาย ก.อายุ ๒๑ ปี อีกศพเป็นชายอายุประมาณ ๒๐ ปี ชื่อนาย น. พร้อมชะแลงเหล็ก ๑ อัน

    ขณะที่กำลังขุดเอาศพออกมา หลายคนเห็นฝูงปลวกจำนวนนับล้านตัว บางตัวมีขนาดเกือบเท่านิ้วก้อยเกาะติดศพขึ้นมา ต่างตกตะลึงไปตามๆกัน และบอกว่าฟ้าดินและเจ้าที่เจ้าทางลงโทษทันตาเห็น

    สำหรับกรุทุ่งเศรษฐีนั้น บรรดาเซียนพระในจังหวัดกำแพงเพชร ได้เล่าว่า เคยมีผู้ไปลักลอบขุดพระ ขณะที่ขุดลึกลงไปนั้น ได้เห็นว่ามีน้ำไหลทะลักออกมามากมาย ผู้ที่ลักลอบขุดต้องว่ายน้ำหนีจนหมดแรง กระทั่งรุ่งเช้ามีคนมาพบว่านอนเกลือกกลิ้งอยู่ใกล้หลุมดินนั้นเอง โดยบริเวณดังกล่าวไม่มีน้ำเลย ลักษณะที่เรียกว่า ว่ายบกนี้ ทำให้เข็ดไปตามๆกัน
    (หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๓๖)
    [​IMG]ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้คือ[​IMG]
    พระพุทธรูปเป็นสัญญลักษณ์แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจัดเป็นปูชนียวัตถุสูงสุด ผู้สร้างพระพุทธรูปจะได้ประโยชน์ดังนี้
    ๑. ได้บุญตั้งแต่วินาทีแรกที่คิดสร้าง เพราะเป็นความคิดอันประกอบด้วยศรัทธาในพระพุทธองค์ จัดเป็นคถาคตโพธิสัทธา
    ๒. เมื่อบริจาคทรัพย์ในการสร้างจัดเป็นทานบารมี
    ๓. เมื่อขวนขวายติดตามตลอดงานจัดสร้างพระปฏิมาจัดเป็นกุศลส่วนเวยยาวัจจมัย
    ๔. เมื่อองค์พระปฏิมาสำเร็จบริบูรณ์ ได้เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงพระพุทธคุณ ทั้งตนเองด้วย ทั้งผู้อื่นด้วย กุศลจะเกิดเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้อาศัยพระปฏิมาเป็นสื่อน้อมนำให้ระลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นบ่อเกิดแห่งกุศลจริยาอื่นๆอีกเป็นอันมาก
    ๖. ในสมัยมรณกาล หากมีอารมณ์ในกุศลกิจนั้นมาปรากฏให้จิตยึคก่อนจะจุติ ย่อมปิดอบายภูมิและส่งให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิทันที
    [​IMG]

    ส่วนการทำลายพระปฏิมานั้น ในคัมภีร์ชั้นฎีกา ท่านแสดงไว้ว่ามีบาปเท่ากับทำลายต่อองค์พระบรมศาสดาเหมือนกัน ถึงห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน เที่ยงต่อการตกนรกหมกไหม้ แม้ในกฎหมายโบราณท่านก็ตราเป็นพระราชกำหนดว่า ผู้ใดทำอันตรายต่อพระพุทธรูป มีตัดแขนพระ เป็นต้น ก็ให้จับมันมาลงโทษด้วยการตัดแขนบ้าง ที่ต้องกำหนดโทษรุนแรงทั้งฝ่ายโลกฝ่ายธรรมอย่างนั้น ก็เพราะการทำลายพระพุทธรูปด้วยบาป เจตนาเท่ากับเป็นการทำลายจิตใจของชาวพุทธทั่วไป การทำอันตรายต่อปูชนียวัตถุอันเป็นมิ่งขวัญสูงสุดทางใจของคนจำนวนมากอย่างนั้น ก็ต้องมีผลตอบรุนแรงมาตามธรรมดา
    [​IMG]

    การที่ท่านว่าห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน ก็เพราะคนที่มีใจบาป แล้วทำอันตรายพระปฏิมาได้ คนนั้นไหนเลยจะมีแก่ใจปฏิบัติธรรม เมื่อไม่ได้ปฏิบัติธรรมแล้ว ที่ไหนจะได้สวรรค์นิพพานเล่า เมื่อห้ามสวรรค์นิพพานแล้ว คติที่ผู้นั้นจักไปก็มีแต่อบายภูมิ ๔ เท่านั้น
    (ตอบปัญหาร้อยแปด โดย เสถียร โพธินันทะ)
    [​IMG]
    หนังสือ กรรมลิขิต โดยธัมมวัฑโฒ ภิกขุ วัดโสมนัสวิหาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ธันวาคม 2010
  15. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    [​IMG]ขออัดก่อนนึกไม่ออกจะไปหาเรื่องที่ไหนดี เฮ้อ....

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="86%" align=center><TBODY><TR><TD>



    </TD></TR><TR><TD>
    วิบากเป็นผลของกรรมของตน



    วิบากเป็นผลของกรรมของตน ผู้อื่นทำให้ไม่ได้

    แต่ละคนมีวิบากกรรมที่ตนได้ทำมาแล้ว
    กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก

    ไม่ควรเดือดร้อน

    ทุกสิ่งทุกอย่างกรรมเป็นผู้จัดสรร
    วิบากจิตรับผลกรรมโดยรู้อารมณ์ที่กระทบ

    ตา หู จมูก ลิ้น กาย

    เป็นการใช้หนี้กรรมที่ได้กระทำแล้วของตน

    วิบากเป็นอเหตุกจิตและสเหตุกจิต

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="86%" align=center><TBODY><TR><TD>





    </TD></TR><TR><TD>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 ธันวาคม 2010
  16. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    ขอบคุณพี่จั่นที่นำธรรมมะดีมาให้ได้อ่าน ขึ้นชื่อว่ากรรมชั่วเมื่อมันส่งผลแล้วน่ากลัวจริงๆค่ะ
     
  17. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]
    ขอขอบพระคุณ ลุงหมาน ที่นำธรรมะ มาเพิ่มเติมให้อ่านค่ะ
    ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ ขอเชิญอ่านต่อนะค่ะ
     
  18. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065

    [SIZE=-1][​IMG] [​IMG] [​IMG]
    ผู้โชคดี[SIZE=-1][​IMG] [​IMG] [​IMG][/SIZE]

    [/SIZE]​
    ครั้งพุทธกาล มีพระภิกษุหนุ่มรูปหล่อรูปหนึ่ง ชื่อ พระติสสะ เป็นผู้ประพฤติดี มีศีลธรรม มีเมตตา และเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบแบ่งปันข้าวของที่มีให้แก่ผู้อื่นเป็นประจำ ความดีที่ท่านได้สั่งสมมาช้านาน ทำให้ท่านเป็นผู้โชคดีอย่างประหลาด ในที่ซึ่งพระภิกษุจำนวนมากบิณฑบาตไม่ได้อะไรเลย พอท่านไปก็ได้อาหารเต็มบาตรอย่างรวดเร็ว

    คราวหนึ่ง พระราชาถวายมหาทาน เพื่อบูชาเจดียบรรพต ท่านก็ไปที่นั้น เมื่อท่านรู้ว่าของดีที่สุดในทานนี้คือ ผ้าเนื้อละเอียดสองผืน ท่านก็กล่าวว่า ผู้คู่นั้นจักถึงแก่เรา อำมาตย์ได้ยินจึงไปทูลพระราชา เมื่อพระราชาถวายผ้าแด่พระภิกษุตามลำดับ ผ้าคู่นั้นก็ถึงแก่พระติสสะ พระราชาทรงมองหน้าอำมาตย์ แล้วตรัสถามพระติสสะว่า บรรลุธรรมเมื่อไร พระติสสะปฏิเสธ พระราชาตรัสถามว่า เหตุไรจึงทราบล่วงหน้า พระติสสะถวายพระพรว่า นับแต่อาตมภาพบำเพ็ญสาราณียธรรมบริบูรณ์แล้ว ในที่ที่เขาแจกของ ของที่มีค่ามากจะตกแก่อาตมภาพ พระราชาจึงตรัสว่า ผ้าคู่นี้สมควรแก่พระคุณเจ้า แล้วเสด็จหลีกไป
    (อรรถกถาปฐมสาราณียสูตร มโนรถปูรณี ภาค ๓)
    [​IMG]ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้[​IMG]
    ๑.พระติสสะบำเพ็ญความดีมีทานและศีล เป็นต้น เมื่อสั่งสมนานเข้าก็กลายเป็นบารมี ส่งผลให้ท่านเป็นผู้มีโชคดี สมบูรณ์ด้วยลาภ ไปที่ไหนก็ได้แต่ของดีๆ นี่คือผลของความดีที่ท่านบำเพ็ญในชาตินี้ จัดเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม
    ๒. ถ้าถามว่า คนอื่นที่ให้ทานและรักษาศีล มีอยู่มากมาย ทำไมจึงไม่มีโชคเหมือนพระติสสะ คำตอบคือ กว่าจะสั่งสมความดีได้อย่างนี้ ไม่ใช่ทำได้ง่าย อรรถกถากล่าวว่า ต้องบำเพ็ญให้ครบถ้วนไม่ขาดเลยตลอด ๑๒ ปี ถ้าบกพร่องต้องเริ่มนับใหม่ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ต้องบำเพ็ญจนชินติดเป็นนิสัย
    [​IMG]
    หนังสือ กรรมลิขิต โดยธัมมวัฑโฒ ภิกขุ วัดโสมนัสวิหาร<!-- google_ad_section_end -->​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2010
  19. yaka

    yaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2010
    โพสต์:
    647
    ค่าพลัง:
    +1,384
    เข้ามาอ่านเรื่องราวเห็นผลในชาตินี้ ไม่คิดว่าจะได้ของแถมเพิ่มอีกหลายเรื่องจริงๆ TT ขอบคุณที่นำมาให้อ่านจ้า

    อนุโมทนสาธุกับ จขกท. และทุกท่านด้วยนะค่ะ
     
  20. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]บุญมาวาสนาช่วย[​IMG]
    เมื่อกลางปี พ.ศ.๒๔๖๔ เรือเดินสมุทรชื่อ เรือผ่านสมุทร ซึ่งมีขนาด ๓๐๐๐ตัน บรรทุกสินค้าและผู้โดยสารชาวจีน ประมาณ ๓๐๐คน ออกจากเดินทางจากอ่าวไทยไปฮ่องกง เรือลำนี้เป็นของบริษัทพาณิชย์นาวีสยาม ซึ่งรัฐบาลไทยได้จัดตั้งขึ้น มีมิสเตอร์แม็คลีน ชาวอังกฤษเป็นกัปตัน มิสเตอร์เฮ็นรี่เป็นต้นกล ต้นเรือเป็นทหารเรือไทยชื่อ เรือโทประยูร

    ในสมัยนั้นการเดินเรือในมหาสมุทรนับเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายมาก เพราะขาดอุปกรณ์ที่สำคัญ เช่น เรดาห์ วิทยุ เมื่อเรือผ่านสมุทร ย่างเข้าเขตทะเลจีน ก็เริ่มมืดมนไปทุกทิศทุกทาง กัปตันต้นกลและต้นเรือได้ประชุมกัน เพื่อหาทางรับมือกับสถานการณ์อันร้านแรง ในขณะที่คลื่นลมในทะเลเริ่มแรงขึ้นเป็นลำดับ สลาตันเริ่มพัดและส่งเสียงเหมือนปีศาจที่จ้องจะเอาชีวิตทุกคนในเรือ เรือผ่านสมุทรโยนตัวโต้คลื่นไม่ไหวแล้ว ต้องใช้วิธีมุดคลื่นที่มีขนาดเท่าภูเขาเลากา อากาศมืดลง มืดลงเป็นกำดับจนเกือบจะเป็นกลางคืน

    เหตุการณ์เป็นอยู่เช่นนี้ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ไม่มีอาการกระเตื้องขึ้น มีแต่เสียงอื้ออึงของพายุหมุนและคลื่นที่สาดซัดเข้ามาท่วมลำเรือ ผู้โดยสารชาวจีนที่มีทั้งเด็กเล็ก ผู้หญิงและคนชราเริ่มหลั่งไหลออกมาที่กราบเรือ เพราะเกรงเรือจะลมลงไป เรือโทประยูรซึ่งเป็นต้นเรือเห็นว่า ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ พวกจีนที่เกะกะอยู่ตามกราบเรืออาจจะถูกคลื่นซัดหรือพายุพัดตกทะเลไปทีละคนสองคน จึงออกคำสั่งให้ทุกคนเข้าไปอยู่ในระวางท้องเรือ และให้กลาสีเอากุญแจใส่ไว้อย่างแข็งแรง พวกจีนเข้าใจว่า เรือไทยลำนี้จะขังพวกตนทั้งหมดให้จมน้ำตายพร้อมกัน ต่างพากันตบประตูและร้องตะโกนเสียงดังลั่น เด็กเล็กก็ร้องไห้กันกระจองอแง แต่ ร.ท.ประยูรสั่งเด็ดขาดไม่ให้ไขกุญแจปล่อยตัวออกมา เมื่อกัปตันแลต้นกลถามถึงเหตุผล เขาก็ตอบว่า ถ้าเรืออับปางลงก็ไม่มีหวังรอดชีวิตสักคน ถ้าโชคดีเรือรอดพ้นจากการอับปาง คนทั้งลำรวมทั้งพวกจีนที่ถูกขังก็จะรอดชีวิตทั้งหมดไม่มีตกหล่น

    ทันใดนั้น คลื่นขนาดใหญ่กว่าภูเขาก็สาดซัดเข้ามาดังสนั่นหวั่นไหว กัปตันและต้นกลถูกซัดกระเด็นไปฟุบอยู่หัวเรือ โชคดีเหนี่ยวประตูเคบินแห่งหนึ่งไว้ได้ ส่วน ร.ท.ประยูรกระเด็นออกไปนอกทะเลลึกหายวับไปกับตา

    เมื่อคลื่นยักษ์ผ่านไปแล้ว กัปตันพยายามมองฝ่าไปในทะเลที่กำลังเป็นบ้า เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของต้นเรือ เขาก็น้ำตาคลอ กระทำพิธีส่งวิญญาณทั้งที่ตัวเองเปียกโชกไปหมดด้วยน้ำทะเล พรางพึมพำว่า ต้นเรือได้ปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองผู้โดยสารถูกต้องแล้ว แต่ตัวเองกลับต้องเสียชีวิตลง เขาร้องออกมาเป็นคกสุดท้ายว่า มายก็อด! พระเจ้าไม่ช่วยชีวิตต้นเรือของข้าพเจ้าเสียเลย

    ขาดคำของกัปตัน คลื่นมหึมาอีกลูกหนึ่งก็ซัดตึงเข้ามาที่กัปตันซ้ำ กัปตันกระเด็นไปทางหนึ่ง เมื่อลุกขึ้นมาได้ กัปตันขยี้ตาโดยไม่เชื่อสายตาของเขาเอง ร่างๆหนึ่งที่คลื่นซัดเข้ามานั้น เป็นรางของมนุษย์ที่ยังเป็นๆ แต่เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง หน้าตาเกือบไม่ใช่คน ปากซีดตัวสั่น นอนคว่ำหน้าอยู่ที่ปลายเท้าของเขา ร่างนั้นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก ร.ท.ประยูร ต้นเรือที่เขาทำพิธีส่งวิญญาณไปเมื่อครู่นี้เอง

    เมื่อกัปตันเข้าไปพลิกตัว ต้นเรือก็ลืมตาขึ้นพลางถามว่า กัปตันและต้นกลปลอดภัยหรือ กัปตันกอดเขา และตอบด้วยเสียงกระเส่าว่า พระเจ้าส่งท่านกลับคืนมาเป็นต้นเรืออีกแล้วละ

    หลังจากตกอยู่ในศูนย์กลางของไต้ฝุ่นถึง ๒๐ กว่าชั่วโมง ฟ้าก็สว่าง แดดส่องจ้า เรือผ่านสมุทรก็รอดพ้นอันตรายมาได้ในสภาพที่เอียกระเท่เร่ เสากระโดงหักสะบั้น เรือโบ๊ตทุกลำแตกละเอียดหมด ประตูหน้าต่างเคบินหักวินาศ

    เมื่อพยายามถูลู่ถูกังไปจนถึงฮ่องกง แทนที่จะสาปแช่งต้นเรือ พวกผู้โดยสารชาวจีนกลับพากันกราบไหว้อยู่แทบเท้าของ ต้นเรือ ร.ท.ประยูร ในฐานะที่เอาพวกเขาไปขังไว้ จนรอดตายกันถ้วนหน้าและเรี่ยไรเงินจ้างคณะงิ้วชื่อดัง ของฮ่องกงมาแสดงที่ปากเรือ ๓ วัน เพื่อเป็นการแก้บน
    [​IMG]
    ต้นเรือผู้นั้นคือ จอมพลเรือหลวงยุทธศาสตร์โกศล

    อดีตผู้บัญชาการทหารเรือนั่นเอง

    [​IMG]

    ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
    ๑. คำว่า บุญ แปลว่า สะอาด ผุดผ่อง เมื่อกล่าวตามหลัก พระพุทธศาสนาอาจแบ่งความหมายได้เป็น ๓ ประการคือ
    ๑.๑ เมื่อกล่าวโดยสภาพของจิต ได้แก่ ความบริสุทธิ์สะอาดผ่องใสแห่งจิต

    ๑.๒ เมื่อกล่าวโดยเหตุ ได้แก่ การทำคุณงามความดีทุกอย่าง

    ๑.๓ เมื่อกล่าวโดยผล ได้แก่ ความสุข

    ๒. ทุกชีวิตต่างตกอยู่ใต้อิทธิพลของธรรมชาติ ต่างเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน มีทุกข์ร่วมกัน คือ ต้องแก่ เจ็บ ตาย กันถ้วนหน้า ดังนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นอกจากการช่วยเหลือและแบ่งปันซึ่งกันและกันแล้ว สัตว์ทั้งปวงหามีที่พึ่งอื่นไม่

    ๓. ผู้ที่ใจสูงย่อมช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังแม้เพียงคำขอบใจ หวังเพียงให้ผู้ที่มีทุกข์ได้พ้นจากทุกข์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อทำเหตุแล้ว แม้จะไม่หวังผล ผลทีสมควรแก่เหตุที่ทำย่อมเกิดเอง เรื่องที่จะนำมาเสนอนี้ย่อมเป็นอุทาหรณ์ว่า การช่วยเหลือผู้อื่นเท่ากับช่วยเหลือตนเอง
    [​IMG]
    หนังสือ กรรมลิขิต โดยธัมมวัฑโฒ ภิกขุ วัดโสมนัสวิหาร
    <!-- google_ad_section_end -->​
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...