เห็นผลในชาตินี้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Mantalay, 16 ธันวาคม 2010.

  1. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    บทความพิเศษ : อนุสาสนีปาฏิหาริย์ พระพุทธศาสนามีหลักคำสอนเป็นอัศจรรย์
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>4 มีนาคม 2554 16:43 น.


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    พระพุทธศาสนามีหลักคำสอนเป็นอัศจรรย์ ซึ่งเรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนเป็นจริง สอนให้เห็นจริง นำไปปฏิบัติได้ผลสมจริงเป็นอัศจรรย์ ได้แก่ คำสอนที่จูงใจผู้ฟังให้นิยมคล้อยตามได้โดยสามารถชี้แจงแยกแยะหัวข้อธรรมให้พิสดารด้วยอุปมาอุปมัยที่ผู้ฟังเข้าใจง่ายและเห็นจริงดุจหงายของคว่ำอยู่ ทำให้ผู้ที่ได้ฟังคำสั่งสอนแล้วได้แสดงตนเป็นสาวก และรับคำสอน ไปปฏิบัติตามจนได้บรรลุประโยชน์โภคผลตามสมควรแห่งการปฏิบัติของแต่ละบุคคล

    หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนามีปรากฏเป็นข้อมูลบริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ในคัมภีร์พระบาลีไตรปิฎกและอรรถกถาฎีกา ซึ่งเป็นคัมภีร์ภาษาบาลีอันถือว่าเป็นหลักฐานอ้างอิงชั้นเดิมของพระพุทธศาสนา โดยพระภิกษุสามเณรได้ศึกษาเล่าเรียนจนแตกฉาน แล้วทรงจำนำมาประยุกต์ประดิษฐ์ถ้อยคำไทยร่วมสมัยเหมาะกับสถานการณ์เพื่อประกาศเผยแผ่เทศนาอบรมสั่งสอนให้ประชาชนได้รับรู้ เข้าใจโดยง่าย และพิจารณาเลือกสรรน้อมนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวิตประจำวันของตน จึงมีศรัทธาประชาชนได้รวบรวมคำสอนเหล่านั้นไว้นำไปจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มหนังสือธรรมะเผยแพร่แก่ประชาชนผู้สนใจทั่วไป มีทั้งจัดพิมพ์เป็นธรรมบรรณาการในโอกาสต่างๆบ้าง จัดพิมพ์เพื่อการพาณิชย์บ้าง

    ปัจจุบันเป็นยุคข่าวสารข้อมูล หลักคำสอนสำคัญทางพระพุทธศาสนาได้รับการนำไปเผยแผ่อย่างกว้างขวางแพร่หลายในสื่อวัสดุต่างๆ มีทั้งรูแปบบเป็นแถบบันทึก เสียง (เทป/ซีดี.) รูปแบบเป็นภาพประกอบเสียง (วีดีโอ./วีซีดี./ดีวีดี.) รวมถึงการเผยแผ่ทางเครือข่ายเชื่อมโยงที่กว้างไกล (เว็บไซต์ของอินเตอร์เน็ต)

    ดังนั้น พุทธศาสนิกชนผู้สนใจที่จะศึกษาหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาว่ามีความอัศจรรย์อย่างไร ก็สามารถศึกษาได้จากแหล่งความรู้อ้างอิงหรือสื่อวัสดุต่างๆ

    ในที่นี้ได้นำคุณลักษณะด้านคำสอนแห่งพระพุทธศาสนาตามนัยที่ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ได้ประมวลไว้ มาเสนอให้เห็นประจักษ์ ดังนี้

    ๐ พระพุทธศาสนาสอนว่า การอยู่ในอำนาจผู้อื่นเป็นทุกข์ จึงสอนให้มีอิสรภาพทั้งภายนอกและภายในอิสรภาพภายในคือไม่เป็นทาสของกิเลส หรือถ้ายังละกิเลสไม่ได้ ก็อย่าถึงกับปล่อยให้กิเลสบังคับมากเกินไป

    ๐ พระพุทธศาสนาสอนให้พยายามพึ่งตนเอง ไม่ให้มัวคิดแต่จะพึ่งผู้อื่น สอนให้มีความอดทนต่อสู้กับความยากลำบากและอุปสรรคทั้งหลาย ไม่เป็นคนอ่อนแอ พอพบอุปสรรคก็วางมือทิ้ง ถือว่าความอดทนจะนำประโยชน์ และความสุขมาให้ สอนให้มีความขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้าน ยิ่งสำหรับคฤหัสถ์ การตั้งเนื้อตั้งตัวได้ต้องมีความขยั่นหมั่นเพียร

    ๐ สอนให้ทำความดีเพราะเห็นแก่ความดี ไม่ใช่ทำด้วยความโลภ คือ อยากได้สิ่งตอบแทน หรือทำด้วยความหลง คือไม่รู้ความจริง บางครั้งก็นึกว่าดีแต่กลายเป็นทำชั่ว

    ๐ สอนเน้นในเรื่องความเป็นผู้กตัญญูรู้คุณผู้อื่น และกตเวทีตอบแทนพระคุณท่าน และสรรเสริญว่าใครมีคุณข้อนี้ชื่อว่าเป็นคนดีและประพฤติสิ่งเป็นสวัสดิมงคล

    ๐ สอนให้มีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สอนให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี ให้ระงับเวรด้วยการไม่จองเวร และในขณะเดียวกัน ก็ให้พยายามทำตนอย่าให้มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น ให้รู้จักผูกไมตรีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน จึงเท่ากับสอนให้แก้ความชั่วด้วยความดี ให้ระงับเวรด้วยการไม่จองเวร ให้ระงับความโกรธด้วยความไม่โกรธ ใหม่ๆ อาจทำได้ยาก แต่ถ้าลองฝึกหัดทำดูบ้าง จะได้รับความเย็นใจ สงบร้อน หมดเวรหมดภัย

    ๐ สอนว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หว่านพืชเช่นใดก็ได้ผลเช่นนั้น จึงเท่ากับสอนให้หว่านแต่พืชที่ดี คือพยายามทำแต่กรรมดี พยายามละเว้นความชั่วทั้งปวง

    ๐ สอนให้ประกอบเหตุ คือลงมือทำเพื่อให้เกิดผลที่มุ่งหมาย ไม่ใช่ให้คิดได้ดีอย่างลอยๆ โดยคอยพึ่งโชคชะตาหรืออำนาจลึกลับใดๆ จึงเท่ากับสอนให้ลงมือปฏิบัติ เพื่อจะได้รู้แจ้งผลดีด้วยตนเอง ไม่ต้องเดาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตราบใดที่ยังเดาอยู่ ตราบนั้นยังไม่ชื่อว่ารู้ความจริง

    ๐ สอนมิให้เชื่ออะไรอย่างงมงายไร้เหตุผล ให้ใช้ปัญญากำกับความเชื่ออยู่เสมอ สอนให้รู้จักพิสูจน์ความจริงด้วยการทดลอง การปฏิบัติ และการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน

    ๐ สอนยิ่งกว่าเทศบาลและรัฐบาล คือ เทศบาลปกครองเฉพาะท้องถิ่น ส่วนรัฐบาลก็ปกครองเฉพาะประเทศ แต่พระพุทธศาสนาสอนให้มีโลกบาลธรรม คือธรรมอันปกครองโลก ได้แก่ หิริ ความละอายแก่ใจ ต่อการทำบาป ทำชั่ว ประพฤติทุจริตทุกชนิดทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง และโอตตัปปะ ความเกรงกลัวหวาดหวั่นต่อผลของบาปทุจริตที่จะกระทำลงไปนั้น

    ๐ สอนให้มีสติกับปัญญาคู่กัน คือ ให้มีความเฉลียวคู่กับความฉลาด ไม่ใช่เฉลียวอย่างเดียวหรือฉลาดอย่างเดียว จึงสอนให้มีสติกับสัมปชัญญะ อันเป็นตัวปัญญาคู่กันและถือว่าเป็นธรรมมีอุปการะมากต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน

    ๐ สอนให้บุคคลมีความเจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ เช่น สอนให้เคารพในการศึกษา ให้มีการสดับตรับฟังมาก ให้คบหาผู้รู้หรือคนดีและสนใจฟังคำแนะนำของท่าน โดยเฉพาะได้สอนว่าไม่สรรเสริญความหยุดอยู่ในคุณความดี สรรเสริญแต่ความเจริญก้าวหน้าในคุณความดี

    ๐ สอนให้รู้จักเสียสละเป็นชั้นๆ ให้สละสุขเล็กน้อยเพื่อสุขอันสมบูรณ์ ให้สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ให้สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต และให้สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม เป็นการสอนให้ยกจิตใจให้สูงขึ้นในที่สุด จึงเท่ากับสอนให้ยอมเสียน้อย เพื่อไม่ให้เสียมาก

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีเหตุอะไรเกิดขึ้น อันจะต้องเสียสละบ้างก็ควรพิจารณา และสอนให้เอื้อเฟื้อแผื่อแผ่ทั้งทางวัตถุและทางน้ำใจ เพื่อจะได้อยู่อย่างผาสุกร่วมกัน ในสังคม สอนมิให้ปลูกศัตรูหรือมองเห็นใครต่อใครเป็นศัตรู โดยเฉพาะไม่สอนให้เกลียดชังคนที่นับถือศาสนาอื่น จึงนับว่าเป็นศาสนาที่มีใจกว้าง

    ๐ สอนให้รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง ไม่ให้เป็นคนดื้อว่ายากสอนยาก คนที่ฟังความคิดเห็นของผู้อื่นย่อมมีโอกาสแก้ไขความผิดพลาดบกพร่องของตนเองอยู่เสมอ

    ๐ สอนมิให้ใช้วิธีอ้อนวอนบวงสรวงเพื่อให้สำเร็จผล แต่สอนให้ลงมือทำเพื่อให้เกิดผลที่มุ่งหมายนั้นให้ถูกทาง

    ๐ สอนให้รักษากายวาจาให้เรียบร้อยด้วยศีล ให้รักษาจิตให้สงบไม่ฟุ้งซ่านด้วยสมาธิ และให้รักษาทิฏฐิคือความคิดมิให้ผิด แต่ให้ไปตรงทางด้วยปัญญา ฉะนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา จึงเป็นข้อปฏิบัติตามลำดับต่ำสูงทางพระพุทธศาสนา จึงเท่ากับสอนว่า เมื่อมีศีล คือรักษากาย วาจาให้เรียบร้อยได้ ย่อมเป็นอุปการะให้สมาธิเกิดได้เร็ว สมาธิคือการที่ใจตั้งมั่นไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อมีสมาธิก็ช่วยให้เกิดปัญญาได้สะดวกขึ้น

    พระพุทธศาสนาสอนว่า ถ้าไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไรดี เพราะข้อปฏิบัติมากเหลือเกิน ก็สอนให้ปฏิบัติเพียงอย่างเดียว คือให้รักษาคุ้มครองจิตให้เป็นไปถูกทาง เสร็จแล้วจะเป็นอันคุ้มครองกาย วาจา และอื่นๆ ไปในตัว

    ๐ สอนให้มองโลกโดยรู้เท่าทันความจริงที่ว่า สรรพสิ่งมีความไม่เที่ยงแท้ถาวรคงทนอยู่ไม่ได้ และไม่ใช่ตัวตนที่พึงยึดติดยึดถือ เพื่อจะได้มีความปลอดโปร่งโล่งใจ ไม่ยึดมั่นจนเกินไป ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้โดยง่าย

    ๐ สอนให้ถือธรรม คือความถูกความตรงเป็นใหญ่ ไม่ให้ถือตนเป็นใหญ่ หรือถือโลกเป็นใหญ่ พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ถือบุคคลเป็นสำคัญ แต่ถือธรรมหรือความถูกตรงเป็น สำคัญ

    ๐ สอนปรมัตถ์คือประโยชน์อย่างยิ่ง คือให้รู้จักความ จริงที่เป็นแก่น ไม่หลงติดอยู่ในความสมมติต่างๆ เช่น ลาภยศ เป็นต้น แต่ในการเกี่ยวข้องกับสังคม ก็สอนให้รู้จักรับรองสมมติทางกายและวาจาตามสมควร เช่น เมื่อเข้าประชุมชน ก็ให้ทำตนให้เข้าได้กับประชุมชนนั้นๆ ให้ใช้ถ้อยคำให้ถูกตามสมมติบัญญัติ ไม่ใช่เมื่อถือว่าไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาแล้ว ก็เลยเข้ากับใครไม่ได้ การที่พระพุทธศาสนายั่งยืนมาได้ ก็เพราะถึงคราวรับรองสมมติบัญญัติ ก็รับรองตามสมควร ถึงคราวสอนใจให้รู้เท่าสมมติบัญญัติ ก็สอนใจมิให้ติดมิให้หลงจนเป็นเหตุมัวเมางมงาย

    ๐ สอนให้ดับทุกข์ โดยรู้จักว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นต้นเหตุ และการดับทุกข์ ได้แก่ ดับเหตุของทุกข์ รวมทั้งให้รู้จักข้อปฏิบัติที่จะให้ถึงความดับทุกข์ด้วย จึงชื่อว่าสอนเรื่องดับทุกข์ได้อย่างมีเหตุมีผล ซึ่งควรจะได้ศึกษาและปฏิบัติตาม

    ๐ สอนรวบยอดให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คือ สอนไม่ให้ลืมตนทะนงตน หรือ ขาดความระมัดระวัง ถือว่าความประมาทเป็นทางแห่งความตาย และความไม่ประมาท เป็นทางแห่งความไม่ตาย จึงควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

    ๐ พระพุทธศาสนามิได้สอนให้ย่ำยีหรือซ้ำเติมคนที่ทำอะไรผิดไปแล้ว ควรจะช่วยกันให้กำลังใจในการกลับตัวของเขา ไม่ควรดูหมิ่นเหยียดหยาม พระพุทธเจ้าเองก็เคยทรงเล่าเรื่องความผิดของพระองค์ในสมัยยังทรงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ อันแสดงว่าตราบใดยังมีกิเลส ตราบนั้นก็อาจทำชั่วทำผิดได้ แต่ข้อสำคัญ ถ้ารู้ว่าอะไรผิดอะไรชอบแล้วจะต้องพยายามกลับตัวให้ดีขึ้นเสมอ

    พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่สอนให้เห็นอกเห็นใจผู้อื่น สำหรับผู้ที่ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่นจะเพราะชาติสกุล เพราะทรัพย์ หรือเพราะเหตุอื่นใดก็ตาม ไม่ชื่อว่าปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา

    ๐ พระพุทธศาสนาสอนทางสายกลางระหว่างการทรมานตัวเองให้เดือดร้อน กับการปล่อยตัวให้เหลิงเกินไป และสอนทางสายกลางระหว่างความเห็นที่ว่าเที่ยงกับความเห็นที่ว่าขาดสูญ การสอนทางสายกลางนี้ย่อมเป็นประโยชน์ในที่ทุกสถาน อะไรก็ตามมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไป ย่อมไม่ดี

    (จากส่วนหนึ่งของหนังสือคู่มือพุทธศาสนิกชน)

    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 124 มีนาคม 2554 โดย แก้ว ชิดตะขบ นักวิชาการศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)
    [​IMG]
     
  2. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    [​IMG]
    มีอยู่วันหนึ่ง เราต้องตัดใจให้ของแพงและเป็นของที่รักมากๆ ให้คนที่เค้าต้องการเพื่อช่วยเหลือเค้า ก็ให้ด้วยความเต็มใจ
    มีสิ่งที่น่าอัศจรรย์เกิดขึ้นเมื่อ ใจคิดยกให้ปุ๊บ จะมีความสุขอย่างประหลาดเกิดขึ้นในใจอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน นับตั้งแต่จำความได้ ใจไม่เคยเป็นสุขอย่างนี้มาก่อน มันสุขจนบรรยายไม่ถูก ไม่ว่าสุขไหนๆ ก็เทียบไม่ได้จริงๆ อายุก็มากแล้ว ไม่เคยได้รู้ความสุขแบบนี้มาก่อน แม้แต่ยามเมื่อนั่งกรรมฐาน ยังแค่ได้รับความสุขแบบเฉยๆ สงบๆ แต่สุขแบบนี้ไม่เคยรู้มาก่อน มันสุขชื่นใจ บรรยายเปรียบกับอะไรไม่ได้ค่ะ
    [​IMG]
    ที่กล่าวมานี้ไม่ได้มาอวดอ้าง แต่ต้องการจะบอกว่า ใจที่สุขจริงๆ มี และคงจะมีหลายๆ ท่านที่เคยได้รับมาบ้าง เป็นเครื่องยืนยันในเรื่องจิตที่ได้รับผลจากกุศลที่ทำทันทีค่ะ ยิ่งทำให้เราเชื่อมั่นและศรัทธาในพระธรรมของพระพุทธองค์อย่างเต็มเปี่ยมยิ่งๆ ขึ้นไป
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2011
  3. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
    ขอบคุณพี่จั่นนะคะ
    ยุ มาอ่านเสมอนะคะ แม้ว่าจะไม่ค่อยโพสน์ก็ตาม
     
  4. namotussa

    namotussa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,470
    เราตถาคตตั้งศาสนาไว้ ไม่ได้หวังให้บุคคลบำเพ็ญหาประโยชน์อย่างอื่น ตั้งไว้ให้บุคคลบำเพ็ญภาวนาเพื่อระงับดับกิเลสตัณหาเท่านั้น ผู้ปราถนาพระนิพพานต้องศึกษาให้รู้จักพระนิพพานก่อน จากนั้นจงทำตัวให้เหมือนแผ่นดินหรือเหมือนคนตายแล้ว คือปล่อยวางความสุขความทุข์เสีย โดยดับกิเลส 1,500 กอง ซึ่งย่นลงให้สั้นแล้วเหลืออยู่ 5 เท่านั้น คือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ
    บาปอกุศลคือตัวกิเลส ตัวบุญและบาป ก็อยู่ที่ใจของเรา ผู้ปราถนาความสสุขในภพนี้และภพหน้า จงรักษาใจให้ได้รับความสุขในเวลาที่ยังไม่ตาย เพราะการตกนรกแลขึ้นสวรรค์จะเอาตัวไปไม่ได้ เอาแต่จิตไป สุขทุกข์นั้นให้หมายที่จิต จิตสุขเป็นสวรรค์ จิตทุกข์เป็นนรก ถ้าต้องการสวรรค์ก็ทำการงานที่หาโทษมิได้ แลถ้าอยากได้สุขในพระนิพพาน ก็ให้วางเสียซึ่งสุขและทุกข์ อย่าถือว่าเป็นของตน พุทธโอวาส จากหนังสือ คิริมานนทสูตร เจ้าพระคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจน.โท)
     
  5. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    ขอบคุณโพสท์ข้อความของคุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->namotussa<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4500974", true); </SCRIPT> ค่ะ
    พุทธโอวาส จากหนังสือ คิริมานนทสูตร เจ้าพระคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจน.โท)<!-- google_ad_section_end -->
    [​IMG]
    สำหรับผู้ที่ไม่ปราถนานิพพานนั้นมีอยู่
    ผู้ที่อยากเกิดอยู่ พระพุทธองค์ก็สอนไว้ด้วยค่ะ
    ว่าจะอยู่อย่างไร ผู้ที่ต้องการเกิดต่อไป และยังมี
    พระโพธิสัตว์ที่ยังต้องการสุขจากการเกิดอีกด้วยค่ะ
    [​IMG]

    [​IMG]ขอบคุณน้องยุ ราคุ นะคะที่เข้ามาอ่าน
    และขอขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2011
  6. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    [​IMG]
    [​IMG] นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

    เฟรสบุ๊ควัดท่ามะโอ ( wattamaoh )

    นักโทษแห่งวัฏฏะ


    ทุก คนคิดว่าเราอยู่ดีมีสุข สามารถประกอบอาชีพการงาน หาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ญาติพี่น้อง ฯลฯ มีญาติมิตรบริวารแวดล้อม ทำให้เพลิดเพลินในชีวิต คิดว่าเราอยู่อย่างสุขสบาย เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง บุตรภรรยา ข้าทาสบริวาร

    แต่ความจริงเราเป็นนักโทษแห่งวัฏฏะ ถูกขังอยู่ในคุกคือภพ มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นผู้คุมที่ทรมานเราอยู่ตลอดเวลา การแสวงหาทรัพย์สินเงินทองเป็นต้นจึงไม่ควรเป็นกิจที่สำคัญในชีวิต เพราะสิ่งเหล่านั้นมีความเกิด แก่ เ้จ็บ ตาย เป็นธรรมดา ถ้าเราที่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ยังไปแสวงหาสิ่งเหล่านั้นอยู่ ก็ไม่อาจไปพ้นจากความเกิดเป็นต้นได้ การแสวงหาทรัพย์สินเป็นต้นจึงไม่ใช่การแสวงหาอันประเสริฐ

    พระ พุทธองค์ตรัสสอนการแสวงหาอันประเสริฐว่าเป็นการแสวงหาอริยทรัพย์ คือ ทาน ศีล และภาวนา ซึ่งสามารถนำเราออกไปจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2014
  7. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    [​IMG]
    ควรคบคนที่ยิ่งกว่าตน
    [​IMG]
    คนผู้คบคนทรามย่อมเสื่อม ส่วนคน

    ผู้คบคนเสมอกัน ไม่เสื่อมในกาลไหนๆ

    ผู้คบคนที่ประเสริฐกว่า(คุณธรรม)

    ย่อมเจริญเร็ว

    เพราะฉะนั้น จึงควรคบคนที่ยิ่งกว่าตน.

    พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต
    [​IMG]
    เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 85
    ธรรมเตือนใจวันที่ : 6 พ.ค. 2553
    [​IMG]
    จาก...บ้านธัมมะ
     
  8. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    การเลือกคบคน นี้ สำคัญ จริงค่ะ
    สาธุ สาธุ สาธุ ค่า
     
  9. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    อิอิ แอบขำ ราคุเรียวซาย เอ้ย ต้องยุสิมีมุมเรียบร้อยเหมือนกันรึนี่ โอ ไม่น่าเชื่อ ฮิ ฮิ ๆๆๆๆ
     
  10. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,905
    ค่าพลัง:
    +16,487
    [​IMG]
    สิ่งที่คนใกล้สิ้นลม มักจะย้อนนึกเสียใจ
    [​IMG]

    สัปดาห์นี้เปลี่ยนอารมณ์หน่อยนะครับ เพราะพอดีไปเจอบทความเรื่องหนึ่ง โดย Bronnie Ware ซึ่งเป็นนักเขียนอิสระอยู่ที่ออสเตรเลีย
    โดยนักเขียนผู้นี้เคยทำงานดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต โดยในช่วงเวลาดังกล่าวเธอได้มีโอกาสพูดคุยและรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตาม ที่ถ้าทำได้อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นที่มักจะพบในผู้ป่วยที่กำลังใกล้เสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่ครับ

    ประเด็นแรก ผู้ป่วยเหล่านี้อยากจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ตนเองอยากหรือต้องการจะเป็น ไม่ใช่ดำรงชีวิตตามความต้องการหรือความคาดหวัง
    ของผู้อื่นซึ่งพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยอยากจะเปลี่ยนแปลงมากที่สุดครับ เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยพบว่าชีวิตตนเองกำลังจะสูญเสียไปและมีโอกาสมองย้อนกลับไปในอดีตนั้นจะพบว่ามีความฝันหลายๆ อย่างที่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำหรือยังไม่บรรลุและเมื่อใกล้จะเสียชีวิตก็จะพบว่าความฝันของตนเองนั้นจะไม่มีวันบรรลุและส่วนใหญ่ก็มักจะมานั่งนึกเสียใจ เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้นั้น เป็นเพราะตัวเองเลือกที่จะไม่ทำเอง ตัวเองเลือกที่จะทำตามสิ่งที่ผู้อื่นขีดเส้นทางให้เดิน

    ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกๆ ท่านนะครับที่ในช่วงชีวิตหนึ่ง ถ้ามีโอกาสและเลือกได้ก็ควรจะเดินตามความฝันของตัวท่านเอง เพราะคนเราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเมื่อวันนั้นมาถึงเราก็คงจะไม่มีแรงที่จะเดินตามความฝันที่เราต้องการแล้ว การมีสุขภาพที่ดีจะช่วยทำให้ท่านเดินตามความฝันได้
    แต่เมื่อใดก็ตามที่สุขภาพท่านเริ่มแย่แล้วอิสระในการเดินตามฝันก็ท่านก็จะลดน้อยลง

    ประเด็นที่สอง ผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตเหล่านั้นคิดเสียใจว่าในอดีตจะไม่ได้ทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมาซึ่งเหตุการณ์นี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยชายเกือบทุกคนเลยครับ คุณผู้ชายเหล่านี้มักจะเสียใจว่าในอดีตที่ผ่านมาไม่ค่อยได้มีเวลาในการดูแลลูกๆ ของตนเท่าที่ควรรวมทั้งไม่ได้อยู่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากภรรยาเท่าที่ควร
    ผู้ป่วยที่เป็นชายเกือบทุกคนจะรู้สึกเสียดายว่าในอดีตใช้และให้เวลากับงานมากเกินไป

    ข้อสังเกตนี้ก็น่าคิดนะครับ ว่าในปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับการทำงานมากเกินไปหรือไม่ เราต้องการแสวงหารายได้ ชื่อเสียง เกียรติยศมากเกินไปหรือไม่ สุดท้ายเมื่อเราใกล้ตายเราจะสำนึกเสียใจว่าเราได้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับมาหรือไม่ การมีรายได้ที่พอเพียงอาจจะเป็นทางออกสำหรับทุกท่านนะครับอีกทั้งการมีที่ว่างในตารางเวลาและชีวิตที่ไม่ใช่เรื่องของการทำงานเพียงอย่างเดียว จะทำให้เรามีความสุขขึ้นและเมื่อเราใกล้เสียชีวิต
    จะไม่มานั่งย้อนนึกเสียใจในสิ่งที่เราพลาดไป

    ประเด็นที่สาม ผู้ป่วยอยากจะกล้าที่จะแสดงอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตนเนื่องจากคนจำนวนมากจะปิดกั้นอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน
    เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบและสันติ ทำให้สุดท้ายแต่ละคนรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองถูกเก็บกดและไม่สามารถเป็นตัวตนที่แท้จริง

    ประเด็นที่สี่ ผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตนั้น มักจะเสียใจที่ไม่ได้ติดต่อเพื่อนฝูงเก่าๆเนื่องจากเรามักจะไม่ค่อยเห็นถึงคุณค่าของเพื่อนเก่าๆ จนกระทั่งใกล้เสียชีวิตคนจำนวนมากจะมัวแต่ยุ่งและวุ่นวายกับชีวิตประจำวันจนละเลยต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง ทำให้เรามักจะไม่ค่อยให้ความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงต่างๆ
    จนกระทั่งใกล้จะเสียชีวิต ก็จะเริ่มนึกถึงเพื่อนฝูงขึ้นมาดูเหมือนว่าเมื่อคนใกล้จะเสียชีวิต เกียรติยศ เงินทอง หรือสถานะทางสังคมต่างๆ กลับดูไปจะด้อย
    หรือไร้ความหมายนะครับ สุดท้ายดูเหมือนว่า เรื่องของความรักความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยที่กำลังใกล้ตายนึกถึง

    ประเด็นสุดท้ายซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยเหล่านี้กลับสำนึกเสียใจว่าไม่ได้ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของตนเองมีความสุขเท่าที่ควรผู้ป่วยหลายคน
    จะไม่เคยนึกถึงมาก่อนนะครับว่าตนเองสามารถที่จะเลือกที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้ คนจำนวนมากเลือกที่จะอยู่และปฏิบัติในสิ่งที่คุ้นเคย
    ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้คนเรามักจะหลอกตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมีความสุข ซึ่งจริงๆ แล้วกลับไม่ใช้

    ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับว่าเมื่อคนเราใกล้จะตายนั้น เรามักจะนึกย้อนกลับไปถึงอดีต และเริ่มสำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำหรือไม่ได้ทำมาในอดีต
    และเราจะพบว่าเมื่อเราใกล้ตายแล้ว เงินทอง ชื่อเสียง สถานะ เกียรติยศต่างๆ กลับไม่มีความหมาย

    สิ่งที่มีความหมายเมื่อใกล้ตาย คือ เรื่องของความรักและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งหลายครั้งกลับกลายเป็นสิ่งที่เราละเลยหรือไม่สนใจในขณะที่เรามีชีวิตอยู่

    นอกจากนี้ เมื่อใกล้ตาย คนเราจะพบว่าชีวิตในอดีตที่ผ่านมานั้นเรามีสิทธิที่จะเลือก แต่เราดันเลือกในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข หรือเลือกในสิ่งที่
    ทำให้เราต้องมาย้อนสำนึกเสียใจ เมื่อเราใกล้ตาย ดังนั้นในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และยังแข็งแรง เราจะต้องเลือกอย่างมีสติ เลือกอย่างฉลาด เลือกในสิ่งที่ถูกและเลือกในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มีนาคม 2011
  11. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    [​IMG]
    ขอบคุณโพสท์ของพี่ใจ คุณไลออนคิงและน้องยุ ค่ะ
    และขอบคุณทุกๆ ท่านที่อ่านค่ะ
    [​IMG]
    กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : ครึ่งคน ครึ่งเปรต

    ชีวิตของคนเราทุกคนตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ คนที่ปฏิบัติดีย่อมได้รับผลดี คนที่ปฏิบัติชั่วย่อมได้รับผลชั่ว หากเรารักตัวเองก็ไม่ควรที่จะทำความชั่ว เพราะผลของมันจะสะท้อนกลับมาหาตัวผู้กระทำนั่นเอง ดังเรื่องกฎแห่งกรรมต่อไปนี้

    ในกรุงพาราณสีมีพรานคนหนึ่งอยู่ใน หมู่บ้านจุนทัฏฐิละ เลยวาสภคาม ฝั่งแม่น้ำคงคาในอีกด้านทิศหนึ่ง เขาล่าเนื้อในป่าแล้วย่างกิน ส่วนที่เหลือเอาใบไม้ห่อกลับบ้าน พวกเด็กเล็กๆ เห็นเขาที่หน้าหมู่บ้าน พากันวิ่งมาขอเนื้อ เขาก็ได้ให้เนื้อแก่เด็กเหล่านั้นคนละน้อย

    อยู่มาวันหนึ่ง พวกเด็กเห็นเขาที่หน้าหมู่บ้าน แต่ไม่มีเนื้อติดมือมาด้วย มีแต่ดอกราชพฤกษ์ที่หอบกลับมามากมาย เด็กๆ วิ่งเข้าไปขอเนื้อจากเขาเหมือนเดิม แต่เขาได้ให้ดอกไม้แก่เด็กคนละดอก ต่อมาหลังจากเขาตายแล้ว ก็ไปบังเกิดใน หมู่เปรต เป็นผู้เปลือยกาย มีรูปน่าเกลียดน่ากลัว ไม่รู้จักข้าว ไม่รู้จักน้ำ บนหัวมีดอกโกสุมและทัดด้วยดอกราชพฤกษ์ กลับไปหาพวกญาติของตนในจุนทัฏฐิลคามเพื่อขอส่วนบุญ โดยเดินทวนกระแสน้ำคงคาที่ไหลอยู่ไม่ขาดสาย

    ขณะนั้นอำมาตย์ของพระเจ้าพิมพิสาร ชื่อว่า โกลิยะ ได้ปราบโจรที่กำเริบเสิบสานอยู่ชายแดนให้สงบแล้วก็กลับเข้าเมืองมาทางเรือตามกระแสแม่น้ำคงคา เห็นเปรตตัวนั้นกำลังเดินอยู่ จึงถามว่า

    “ดูก่อนเปรต ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มีร่างกายเป็นเปรตครึ่งหนึ่ง ทัดดอกไม้ตกแต่งร่างกาย เดินไปตามน้ำที่ไหลไม่ขาดสายในแม่น้ำคงคานี้ ท่านจะไปไหนหรือ ที่อยู่ของท่านคือที่ไหน”

    เปรตกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไปบ้านจุนทัฏฐิละซึ่งอยู่ในระหว่างวาสภคามกับกรุงพาราณสี มหาอำมาตย์เห็นแล้วสงสารเปรต ดังนั้น เมื่อเรือหยุดเดินจึงได้ให้ข้าวและผ้าแก่อุบาสกช่างกัลบก เพื่ออุทิศไปให้เปรต เปรตนั้นก็ได้ผ้านุ่งห่มทันที เพราะผลบุญที่มหาอำมาตย์ทำให้

    ต่อมาโกลิยมหาอำมาตย์มีจิตอยากจะช่วยเหลือเปรต จึงทำบุญอุทิศแก่เปรตไปเรื่อย จนกระทั่งเดินทางถึงกรุงพาราณสีในตอนเช้า ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาทางอากาศ ประทับยืนที่ฝั่งแม่น้ำคงคา เพื่อจะโปรดเปรต ฝ่ายโกลิยมหาอำมาตย์ลงจากเรือแล้วเกิดความสุขใจ ได้นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าให้มาฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น

    เมื่อโกลิยมหาอำมาตย์ได้ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์ จึงให้สร้างมณฑปใหญ่ประดับประดาด้วยผ้าต่างชนิดอันวิจิตรด้วยสีย้อมต่างๆ ทั้งเบื้องบนและด้านข้างๆ ทั้ง ๔ ด้าน ปูอาสนะถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าในที่นั้น

    พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะที่ตบแต่งไว้แล้ว มหาอำมาตย์จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า บูชาสักการะด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้วกราบทูลคำที่ตนกล่าวและคำโต้ตอบของเปรตให้พระองค์ฟัง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า ขอให้สงฆ์จงมาที่นี่ เพียงแค่ดำริเท่านั้นภิกษุสงฆ์ก็พากันมาแวดล้อมพระองค์ด้วยพุทธานุภาพ

    ในขณะนั้นเอง มหาชนพากันมาประชุมเพื่อจะฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า มหาอำมาตย์เห็นดังนั้นก็ยิ่งมีจิตเลื่อมใส ได้ถวายภัตตาหารอันประณีตแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว ได้ทรงอธิษฐานว่า ขอคนชาวบ้านใกล้กรุงพาราณสีจงประชุมกันเถิด มหาชนทั้งหมดก็ได้มาประชุมกันด้วยกำลังพระฤทธิ์ และพระองค์ได้ทำให้มหาอำมาตย์และประชาชนมองเห็นเปรตทั้งหลายที่มารอขอส่วนบุญ

    เปรตบางพวกนุ่งผ้าขี้ริ้วขาดรุ่งริ่ง บางพวกเปลือยกายมีผมยาวสยายปกคลุมร่าง กระจายกันไปคนละทิศละทางเพื่อหาอาหาร บางพวกวิ่งไปไกลๆ ไม่ได้อาหารก็กลับมา บางพวกสลบล้มลงเพราะความหิวกระหาย นอนกลิ้งเกลือกบนพื้นดิน บางพวกล้มลงตรงแผ่นดินในที่ที่ตนวิ่งไปนั้น พร้อมกับร้องไห้ร่ำไรว่า

    “พวกเราทั้งหลายไม่ได้ทำกุศลไว้ในกาลก่อน จึงได้ถูกไฟคือความหิวความกระหายเผาอยู่ ดุจถูกไฟเผาในที่ร้อน เมื่อก่อนพวกเราชอบทำความชั่ว เมื่อมีทรัพย์สินเงินทองอยู่ก็ไม่ทำบุญทำทานไว้ ข้าวและน้ำก็มีมาก แต่เราก็ไม่เคยแจกจ่ายให้ทานและไม่ได้ถวายอะไรๆ แก่บรรพชิตผู้ปฏิบัติชอบ ชอบทำแต่กรรมที่คนดีเขาไม่ทำ เกียจคร้าน ชอบแต่ความสำราญและกินมาก ตระหนี่ถี่เหนียว ชอบด่าว่าลูกน้อง คนรับใช้เป็นประจำ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอาหาร บ้าน คนรับใช้ ทรัพย์สมบัติเครื่องประดับต่างๆ ของเรา เมื่อเราตายแล้วก็เอามาด้วยไม่ได้ พวกเขาก็หนีไปรับใช้คนอื่นหมด พวกเราได้รับแต่ความทุกข์ เราจุติจากเปรตนี้แล้วจะไปเกิดในตระกูลอันต่ำช้าเลวทราม”

    ส่วนผู้ที่ทำบุญกุศลไว้ ไม่มีความตระหนี่ ย่อมไปเกิดบนสวรรค์ ย่อมมีสวนนันทวันอันสว่างไสว รื่นรมย์อยู่เวชยันตปราสาท อยากได้อะไรก็ได้ดังใจหวัง ครั้นจุติจาก เทวโลกแล้ว ย่อมเกิดในตระกูลสูง มีโภคะมาก คือในตระกูลคนมีเรือนยอด และปราสาทราชมณเฑียร มีบัลลังก์ลาดด้วยผ้าโกเชาว์ (ผ้าทำจากขนแพะ) มีเหล่าบุรุษและสตรีถือพัดอันประดับด้วยแววหางนกยูงคอยพัดให้ ในเวลาเป็นทารกก็ทัดทรงดอกไม้ตกแต่งร่างกาย หมู่ญาติพี่เลี้ยงนางนมผลัดกันอุ้ม ไม่ต้องเอาเท้าแตะพื้นดิน มีผู้คนคอยเลี้ยงดูรับใช้อยู่ทั้งเช้าและเย็นตลอดชาติ

    สวนนันทวันเป็นสวนใหญ่ของเทวดาเหล่าไตรทศ เป็นสถานที่ไม่มีความเศร้าโศก มีแต่ความน่ารื่นรมย์ ย่อมไม่มีแก่ชนผู้ไม่ได้ทำบุญไว้ ความสุขในโลกนี้และโลกหน้า ย่อมมีเฉพาะแต่คนผู้ทำบุญไว้ ผู้ปรารถนาความเป็นสหายแห่งเทวดาเหล่าไตรทศ พึงทำบุญกุศลไว้ให้มาก เพราะว่าบุคคลผู้ทำบุญไว้ย่อมบันเทิงใจอยู่ในสวรรค์เพียบพร้อมด้วยโภคสมบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร ตามควรแก่อัธยาศัยของมหาชนผู้ประชุมกันในที่นั้น หลังจากเทศน์จบ สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ได้ตรัสรู้ธรรม

    .......

    ความสุขความทุกข์อยู่ที่ตัวเราเป็นสำคัญ หากเราทำกรรมดี เราก็จะได้รับผลดีตามกฎเกณฑ์ของกฎธรรมชาติ การทำความดีไม่มีวันสูญเปล่า ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม เราก็ประสบแต่สิ่งที่ดีมีความสุขอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราได้เกิดมาในโลกนี้จึงไม่ควรประมาท ต้องรีบสั่งสมกรรมดีไว้ให้มากๆ เราไม่รู้ว่าชีวิตเราจะสิ้นสุดวันไหน จะยังมีลมหายใจถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่ ความดีจึงเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงของเรา คนที่ทำความดีไว้มากเหมือนกับมีเสบียงมาก พร้อมที่จะออกเดินทางอยู่ตลอดเวลา ไม่หวั่นกลัวต่อความตายใดๆ ทั้งสิ้น คนสมัยใหม่จำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อเรื่องชาติหน้า จึงไม่อยากจะทำความดี การพิสูจน์ว่าชาติหน้ามีหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก ผู้ที่ต้องการพิสูจน์ต้องลงมาปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง เมื่อมีจิตสงบถึงระดับหนึ่งแล้ว จะรู้เองเห็นเองว่า ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ อย่างไรก็ดีการทำความดีไว้ในชาติปัจจุบันก็ไม่เป็นการเสียเปล่าอย่างแน่นอน เพราะกรรมดีจะทำให้เรามีความสุขในชาตินี้ ถึงชาติหน้าจะมีหรือไม่มี เราก็ยังได้รับผลดีอยู่นั่นเอง


    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 ตุลาคม 2551 14:43 น.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2011
  12. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=gq5QBoXE4xA"]YouTube - bakery song[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2014
  13. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,905
    ค่าพลัง:
    +16,487
    [​IMG]
    ตถตา...ทุกสิ่ง ทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งมั่นอยู่ แล้วก็ดับไป...
    มันเป็นเช่นนั้น เอง...........
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มีนาคม 2011
  14. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ข้อคิดพินิจธรรม</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>3 กันยายน 2553 13:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG][​IMG]

    ถ้าใจของเราเป็นโทษเสียแล้ว จะไปทำบุญทำทานอะไรก็ไม่ได้ผล เหมือนกับเราขนปุ๋ยไปใส่ต้นไม้ที่ตายแล้วดังนี้ เมื่อเราอยากจะกินน้อยหน่า สัก 1 ลูก ก็ย่อมไม่ได้ผลสมใจ เพราะปุ๋ยที่ขนไปใส่โคนต้นน้อยหน่านั้น มันก็ไปดีอยู่กับต้นหญ้า แตงกวา ผักเสี้ยน ผักขมหมด หาเป็นประโยชน์แก่ต้นน้อยหน่าซึ่งเราต้องการจะกินผลของมันนั้นไม่

    ฉันใดก็ดีความสำเร็จของเรา คือ ต้องการจะละตัว โลภะ โทสะ และโมหะ ให้หมดไปก็ย่อมไม่ได้ผล ทำแต่บุญทานภายนอกไป แต่ไม่ทำกุศล ภายในใจ บุญทานนั้นก็เท่ากับ “ปุ๋ย” ของกุศลเท่านั้น เมื่อตัวจริงมันตายไปเสียแล้ว

    หลวงพ่อลี ธมฺมธโร
    วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
    [​IMG]

    ความเจ็บมันมีเป็นธรรมดา ร่างกายเป็นที่อยู่ที่อาศัยของโรคภัยเหมือนกันกับพื้นแผ่นดินอันนี้ เป็นที่อยู่ของพวกสัตว์ กายของพวกเราท่านก็ทำนองเดียวกัน โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มันมาเกาะอาศัย รักษาโรคนี้หายไป โรคใหม่มันก็เกิดขึ้นมาอีก มันเป็นอยู่อย่างนี้ เมื่อเจ็บมาจะหาความสุขความสบายในกายไม่ได้ จะยกย่างแข้งขาที่เคยแข็งแรงดี ก็ยกย่างไม่ได้ แขนมือจะจับอะไรก็จับไม่ได้ ยกไม่ได้ นี่คือเจ็บหนัก ข้าวปลาอาหารซึ่งเคยกินได้เอร็ดอร่อย เมื่อเจ็บหนักขึ้นมา มันก็เบื่อไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นอย่างนั้น แล้วมีความสุขความสบายที่ไหน เงินทองของใช้ต่างๆ จะมีมากขนาดไหน ก็รักษาให้จิตใจเบิกบานยิ้มแย้ม แจ่มใสไม่ได้

    พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร
    วัดป่าแก้วชุมพล จ.สกลนคร
    [​IMG]

    เขาสมมุติให้เรียกว่าผู้หญิง ให้เรียกว่าผู้ชาย ให้เรียกว่าหนุ่มหรือแก่ แท้จริง เป็นวัตถุแต่ละอย่างๆ ท่านว่าถ้าไม่มีจิตครองแล้ว ร่างกายอันนี้เหมือนกับท่อนไม้ท่อนฟืนที่นอนล้มทับถมแผ่นดินอยู่ ณ ที่นี้เท่านั้นเอง มันไม่มีความหมายอะไร มันมีความหมายเพราะลมหายใจเข้าออกยังมีอยู่ ถ้าหมดลมแล้ว ใครๆก็รังเกียจ ใครๆ ก็เบื่อหน่าย เคยเป็นลูกเป็นเต้าก็เอาไว้ไม่ได้ เอาไปทิ้ง เคยเป็น ผัวเป็นเมีย ก็เอาไว้ไม่ได้ ต้องเอาไปทิ้ง เคยเป็นพ่อเป็นแม่ ก็เอาไว้ไม่ได้ เมื่อไม่มีลมหายใจแล้ว ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ยศฐาบรรดาศักดิ์ก็หายไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปหมด

    หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ
    วัดป่าเขาน้อย จ.บุรีรัมย์
    [​IMG][​IMG]
    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 118 กันยายน 2553)


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2011
  15. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    [​IMG]

    เสน่ห์อินเดีย 1

    [​IMG]
    จาก...บ้านธัมมะ
    โดย สาวิกา ศาสตรพงศ์

    [​IMG]

    กลับจากอินเดียเมื่อวานนี้ (23 ก.พ. 52) มาถึงบ้านประมาณสี่ทุ่มครึ่ง หมดแรงนอน

    สลบไป วันรุ่งขึ้นต้องทำงานบ้าน แล้วนอนพักอีกรอบ ตื่นมารดน้ำต้นไม้ ตอนเย็นลม
    พัดเย็นๆ เห็นดอกโมกฉัตรออกดอกขาวทั้งต้น ส่งกลิ่นหอมอบอวล รู้สึกมีความสุขมาก
    ที่ได้กลับมาอยู่บ้านที่คุ้นเคยอีกครั้ง หลังจากตะลอนๆ เที่ยวไปที่ต่างๆ ในอินเดีย เป็น
    เวลา ๘ วัน (ตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ. 52 – 23 ก.พ. 52) กลับมาถึงบ้าน จึงรู้ว่าประเทศเรา
    แสนสบาย สะอาด อบอุ่น และคุ้นเคย แต่ทำไมเราถึงอยากไปอินเดีย ทั้งๆที่ไปมาแล้ว
    ๔ ครั้ง แต่ก็ยังอยากไปอีก เราก็รู้ว่าไปอินเดียลำบาก สกปรก ขอทานก็เยอะ ห้องน้ำก็
    ไม่สะอาด ถนนหนทางก็ไม่ดี รถวิ่งได้ประมาณ 35 กม. ต่อชั่วโมง ฝุ่นก็เยอะ แต่ที่ทำให้
    อยากไปอีก ก็เพราะอินเดียมีเสน่ห์ เนื่องจากมีสิ่งที่ทั้งโลกนี้ โลกไหนๆ และแม้แต่ใน
    สวรรค์ก็ไม่มี นั่นคือ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง คือ สถานที่ประสูติ ที่ตรัสรู้ ที่แสดง
    ปฐมเทศนา และที่ปรินิพพาน รวมทั้งสถานที่ต่างๆ ที่มีรอยพระบาทของพระอรหันต-
    สัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสาวกเหยียบย่ำเพื่อเผยแพร่พระธรรม คำสั่งสอน ที่ทำให้
    ผู้ปฏิบัติตามพ้นจากทุกข์ได้ เช่น พระคันธกุฎีบนเขาคิชฌกูฏ พระวิหารเวฬุวัน พระวิ-
    หารเชตวัน เป็นต้น เมื่อได้ไปกราบไหว้ด้วยศรัทธาแล้ว เกิดความปีติซาบซึ้งในพระ
    มหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาธิคุณ ทำให้จิตใจเบิกบาน ชุ่มชื่น ซึ่ง
    ความรู้สึกนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยเมื่อไปเที่ยวสถานที่อื่น การไปครั้งนี้ก็เหมือนกัน ก่อนไปก็
    ชักท้อแท้ ไม่อยากจะไปเท่าไร นึกถึงความลำบากที่จะได้รับ แต่ทำอย่างไรได้ ตกลงใจ
    ไปแล้วก็ต้องไป จัดกระเป๋าก็ลำบาก เพราะปีที่แล้วหนาวมาก ช่วงเวลาห่างกันไม่กี่วัน
    กับปีก่อน (ปลายมกรากับกลางกุมภา) อากาศไม่น่าจะต่างกันมาก เลยใส่เสื้อหนาวไป
    หลายตัว ทั้งตัวใหญ่ ตัวเล็ก ใส่นอน ใส่ข้างใน เผื่อไว้ เพราะถ้าหนาวแล้วจะไม่สบาย
    เผื่อไปเผื่อมา พร้อมกับสบงจีวร ย่าม ที่จะถวายพระ รวมทั้งประทีปที่นำไปเวียนเทียน
    ที่ให้ทุกท่านนำติดตัวไปเอง ก็ได้กระเป๋าใหญ่ 2 ใบ กระเป๋าเล็กอีก 2 ใบ (สำหรับ 2 คน
    ไม่ใช่คนเดียวค่ะ) เฮ้อ! เหนื่อยจริงๆ ทุกครั้งที่จัดกระเป๋าเตรียมเดินทาง ก็รู้สึกว่าโชคดี
    มาก ที่เวลาเปลี่ยนภพชาติแต่ละครั้งไม่ต้องมีการจัดเตรียมสิ่งของไปด้วย นอกจากบุญ
    และบาปเท่านั้นที่ติดตามไปได้ ถ้าต้องจัดเตรียมเป็นวัตถุของใช้ต่างๆ ก็คงเหนื่อย และ
    โกลาหลกันน่าดู
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2011
  16. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    กฎแห่งกรรม : รับทำแท้ง รับกรรมทันที
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>4 มิถุนายน 2553 09:56 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    ทุกวันนี้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปมาก หญิงสาวอายุยังน้อยมักตั้งท้องก่อนวัยอันควร ทำให้มีการทำแท้งกันมากขึ้น เหตุนี้เองจึงมีทั้งหมอที่ทำแท้งอย่างถูกกฎหมายและผิดกฎหมายเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม กฎแห่งกรรมไม่ได้แบ่งแยกว่า จะถูกกฎหมายหรือไม่ถูกกฎหมาย เพราะกฎแห่งกรรมตัดสินไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ใครฆ่าผู้อื่นก็นับว่าเป็นบาปทั้งนั้น ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของหมอทำแท้งเถื่อนที่ได้ประสบชะตากรรมด้วยตนเอง จากผลกรรมที่ตนเองกระทำไว้ เรื่องมีอยู่ว่า

    ณ จังหวัดอุบลราชธานี มีชายสูงวัยคนหนึ่ง ชื่อสมยศ เขาเป็นคนฉลาด ชอบศึกษาหาความรู้อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับยา การรักษาโรคต่างๆ จนกระทั่งมีโอกาสได้เรียนรู้วิธีการทำแท้ง และสามารถทำแท้งได้ด้วยตัวเอง

    สมยศทราบดีว่า ปัจจุบันมีผู้หญิงจำนวนมากในจังหวัดของเขาที่ตั้งท้องก่อนวัยอันควร และผู้หญิงเหล่านั้นก็แสวงหาสถานที่ทำแท้งกันอยู่ บางรายไม่กล้าไปหาหมอ ถึงกับทำแท้งตัวเอง หรือซื้อหายามากินเพื่อให้แท้งลูกก็มี

    สมยศเห็นโอกาสเช่นนี้จึงคิดว่า หากเปิดคลินิกลับๆ ขึ้นมาเพื่อรับทำแท้งให้กับหญิงสาวพวกนี้ ก็น่าจะเป็นอาชีพที่มีรายได้ดี พอคิดได้เช่นนั้นสมยศจึงรีบปรึกษาภรรยา เมื่อภรรยาเห็นด้วย ทั้งสองก็ไม่รอช้า พากันไปซื้ออุปกรณ์การทำแท้ง และตกแต่งห้องสำหรับทำแท้งทันที

    คลินิกเถื่อนของเขา หากมองภายนอกก็คงไม่มีใครรู้ว่า เป็นสถานที่สำหรับทำแท้ง แต่จะเป็นที่รู้จักกันดีในบรรดาหญิงสาว ซึ่งบอกกันปากต่อปาก สมยศเล่าว่า บางทีก็มีหญิงสาวเดินทางมาจากต่างจังหวัดไกลๆ ซึ่งแรกๆ เขาก็งงอยู่เหมือนกันว่า พวกเธอทราบได้อย่างไรว่าเขารับทำแท้ง แต่ก็ได้คำตอบว่า มีคนแนะนำมา

    สมยศได้ทำแท้งให้กับผู้หญิงจำนวนมาก บางครั้งเด็กที่อยู่ในท้องเป็นเพียงก้อนเลือด บางรายก็เริ่มมีแขนมีขางอกมาแล้ว แต่ด้วยความเคยชิน เขาจึงไม่รู้สึกตกใจ กลัวแต่ประการใด และไม่รู้สึกว่าเป็นบาปเป็นกรรมใดๆ ทั้งสิ้น บางครั้งเขากลับคิดว่า เขาได้บุญเสียอีก ที่ได้ช่วยให้ผู้หญิงเหล่านี้แก้ปัญหาของพวกเธอได้ ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่า เขาถูกมิจฉาทิฏฐิเข้าครอบงำแล้วนั่นเอง จึงแยกแยะไม่ออกระหว่างความดีกับความชั่ว!!

    หลังจากเปิดคลินิกเถื่อนได้หลายเดือน สมยศกับภรรยามีฐานะร่ำรวยมากขึ้น มีเงินมีทองจับจ่ายซื้อของมากมาย ทั้งสองจึงเพลินกับการทำแท้ง โดยไม่คิดเลยว่า กรรมนี้จะมาให้ผลในรูปแบบใด หากมองในแง่หนึ่ง เขาทั้งสองกำลังมีอวิชชาบังตาอย่างเต็มที่

    ต่อมาภรรยาของสมยศตั้งครรภ์ ขณะที่ทั้งคู่ก็ยังไม่เลิกอาชีพทำแท้ง เพราะมีหญิงสาวมารับบริการเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ระยะหลังๆ สมยศนอนไม่ค่อยหลับ มักจะมีภาพเด็กที่เขาเคยทำแท้งมาปรากฏให้เห็นอยู่เป็นประจำ เขายิ่งนึกถึงเด็กที่เคยฆ่าไว้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงลูกที่อยู่ในท้องของภรรยาตนเองมากขึ้นเท่านั้น

    เขาพยายามปลอบใจตนเองว่า คิดมากไป จริงๆแล้วไม่มีอะไรหรอก เด็กที่ตายไปแล้ว จะมาทำอะไรเขาได้ แต่ว่ายิ่งคิดก็ยิ่งนอนไม่หลับ ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ สมยศห่วงลูกมากยิ่งกว่าอะไร กลัวว่ากรรมที่เขาก่อไว้นั้น มันจะเกิดขึ้นกับลูกของตัวเอง

    หลังจากภรรยาเขาตั้งท้องเข้าเดือนที่ ๙ เขารู้สึกสบายใจขึ้นว่า ลูกของตนจะต้องปลอดภัย ไม่เป็นอะไรแน่นอน และการที่เขานึกถึงเด็กที่เคยทำแท้งให้กับบรรดาหญิงสาวนั้น เป็นเพียงการคิดมากของเขาเอง ไม่ใช่กฎแห่งกรรมอะไรทั้งสิ้น

    ต่อมาภรรยาของเขาก็คลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย สมยศยิ่งโล่งใจขึ้นมาก และดีใจอย่างสุดซึ้งเมื่อเห็นลูกคลอดออกมามีมือเท้าครบ ทำให้เขาคิดว่า หากการทำแท้งเป็นบาปจริง เขาจะต้องได้รับกรรมคนเดียว เพราะเขาเป็นคนทำเอง ลูกของเขาไม่เกี่ยว แต่ความจริงมันไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดทั้งหมด

    เพราะเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับสมยศก็คือ ลูกของเขาได้กลายเป็นเด็กพิกลพิการ แปลกประหลาด พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ กินข้าวกินน้ำก็กินอย่างทุกข์ทรมาน แม้ว่าในปัจจุบันลูกของเขาจะอายุสิบกว่าปีแล้ว แต่ก็ยังพูดไม่ได้ เดินไม่ได้ และกินข้าวกินน้ำอย่างทุกข์ทรมานอยู่นั่นเอง!!

    นับแต่ที่หมอสมยศทราบว่าลูกของตนพิกลพิการ เขาก็เริ่มตระหนักแล้วว่า คงเป็นกรรมที่ตนเองเคยกระทำไว้นั่นเอง และตอนนี้กรรมนั้นมันได้มาสนองเขาแล้ว ดวงใจของเขาที่มอบไว้กับลูกนั้นแทบแหลกสลาย มันทุกข์ทรมานยิ่งกว่าลูกหลายร้อยหลายพันเท่า ยิ่งเห็นลูกของตัวเองทุกข์ทรมานเท่าใด ดวงใจของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็ยิ่งทุกข์ทบเท่าทวีคูณ

    สมยศกับภรรยาเลี้ยงดูลูกคนนี้ด้วยความทุกข์ยากลำบาก เงินที่ได้มาจากการทำแท้ง ก็หมดไปกับการเลี้ยงดูและค่ารักษาพยาบาลจำนวนมาก และยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกจิปาถะ เพราะลูกคนนี้นอกจากจะไม่สมประกอบแล้ว ก็ยังมีโรคภัยไข้เจ็บมากด้วย เงินที่หามาได้จากการทำแท้งจึงเก็บเอาไว้ไม่อยู่ ต้องจ่ายออกไปๆ ตลอดเวลา เหมือนกับว่าต้องใช้หนี้คืนเขาไป

    เมื่อผลกรรมชั่วได้มาปรากฏกับตนเอง สองสามีภรรยาจึงรู้สึกสำนึกผิด จึงตั้งใจเลิกอาชีพรับทำแท้ง และหันหน้ามาทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล หลายครั้งเขาพยายามที่จะทำบุญทำกุศลส่งไปให้กับเด็กจำนวนมากที่เขาเคยทำแท้งนั้น แต่ความผิดเมื่อทำลงไปแล้ว ก็ย่อมได้รับผล ลูกของเขาไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นคนปกติได้ ต้องมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน จนกระทั่งจะตายจากไป

    แม้ว่าเขาจะขออโหสิกรรมกับบรรดาเด็กๆ ที่เขาฆ่าแล้วก็ตาม แต่ไม่่ว่าจะทำอะไร เขาก็มักจะนึกถึงกรรมชั่วที่เคยทำเสมอ เพราะนั่นคือธรรมชาติของจิต มันไม่สามารถลบออกไปจากใจได้ง่ายๆ ความดีความชั่วที่เคยทำไว้ มันจะมาปรากฏในใจของเราจนกระทั่งวันตาย และหากในขณะใกล้ตายเรานึกถึงกรรมชั่ว หรือกรรมชั่วมาปรากฏให้เห็น จิตของเราก็จะเศร้ามอง หลังจากตายแล้ว ก็ต้องไปเกิดในนรก หรือในภพภูมิที่เป็นทุกข์ นี่คือธรรมชาติของกฎแห่งกรรม

    เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ทุกคนจึงควรหลีกเลี่ยงจากกรรมชั่วให้เด็ดขาด หากพลาดพลั้งไปทำแล้ว ย่อมยากที่จะสร้างความดีทดแทนกรรมดีทดแทนกรรมชั่วไม่ได้ มันทำได้เพียงทำให้ผลของกรรมชั่วเบาบางลงเท่านั้น

    หากเราจะหนีจากกรรมชั่ว มีเพียงทางเดียวเท่านั้นคือ ต้องพยายามบำเพ็ญกุศล ปฏิบัติสมาธิภาวนา จนกระทั่งสามารถบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์ หลังจากนิพพานไปแล้ว กรรมที่เคยทำมาก็จะไม่ให้ผลอีกต่อไป นั่นแหละจึงจะพ้นจากผลของกรรมชั่วได้ แต่ตราบใดยังไม่บรรลุอรหันต์ กรรมชั่วก็ยังต้องตามให้ผลอยู่นั่นเอง
    [​IMG]

    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 115 มิถุนายน 2553 โดย มาลาวชิโร)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2011
  17. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    เสน่ห์อินเดีย 2

    ผิดคาด...ที่พุทธคยา
    โดย สาวิกา ศาสตรพงศ์

    จาก...บ้านธัมมะ
    [​IMG]
    ไปอินเดียคราวนี้ได้ไปการบินไทยแทนแอร์อินเดีย รู้สึกดีใจที่ได้ใช้บริการของสาย

    การบินแห่งชาติ ซึ่งเป็นที่รู้ว่าราคาค่าตั๋วจะแพงกว่าสายการบินอื่น วาดภาพไว้ก่อนว่า
    คงจะดีกว่า แต่ก็ผิดคาด และผิดหวังเล็กน้อยเพราะประเดิมด้วยเครื่องดีเลย์เพราะต้อง
    ซ่อมเบรก ที่วางแผนไว้ว่าจะทานอาหารกลางวันบนเครื่อง ก็ต้องรอด้วยความหิวเพราะ
    เลยเวลาไปมาก หลังจากเช็คอินเข้าไปนั่งคอยเตรียมขึ้นเครื่องแล้ว บางกลุ่มจะออก
    ไปทานข้าวข้างนอก เจ้าหน้าที่ก็ไม่อนุญาต เพราะเครื่องอาจจะซ่อมเสร็จเมื่อไรก็ได้
    จึงต้องนั่งรอกันต่อไป แต่เพราะคณะประกอบด้วยผู้มีกุศลจิตมากมาย จึงมีผู้นำอาหาร
    มาแจกให้ผู้หิวโหยทั้งหลายพอประทังความหิวไปได้ ส่วนตัวเราเองอาหารที่นำมาติด
    ตัวมาด้วยสำหรับการเดินทางไกลก็อยู่ในกระเป๋าใหญ่ ไม่ได้เตรียมไว้สำหรับเครื่องดี-
    เลย์อย่างนี้ จึงต้องอาศัยใบบุญของท่านอื่นตั้งแต่เริ่มเดินทางทีเดียว
    [​IMG]

    เครื่องลงที่สนามบินคยา มองจากเครื่องบินเห็นแม่น้ำเนรัญชราแห้งผากเป็นถนน

    ทรายคดเคี้ยวอยู่เบื้องล่าง ไม่เหมือนกับปีก่อนเลย เพราะคราวนั้นยังเห็นน้ำใสๆในแม่
    น้ำ กัปตันประกาศว่าอุณหภูมิประมาณ 28 องศา แล้วเสื้อผ้าเครื่องหนาวจะได้ใช้ไหมนี่
    ไม่เป็นไร เอาเสื้อบางๆมาเผื่อไว้หลายตัวเหมือนกัน รู้สึกว่าตัวเองจะวุ่นวายกับเรื่อง
    เสื้อผ้ามากไปหน่อย ดัชนีบ่งชี้ความหนาแน่นของกิเลสปรากฏชัดเจนเหลือเกิน คงต้อง
    ขัดเกลาอีกหลายอสงไขยกัปป์ทีเดียว ( หรือจะน้อยไป )

    เมื่อถึงโรงแรมนิกโก้โลตัสที่เลือกมาอยู่เอง เพราะอยู่ใกล้พระศรีมหาโพธิ์ เดินไป
    เองได้ โดยไม่ต้องรอรถของบริษัททัวร์ เมื่อเห็นครั้งแรกไม่ผิดหวัง บริเวณโรงแรมกว้าง
    ขวางกว่าโรงแรม Royal Residency มาก มีดอกรักเร่ปลูกเป็นกลุ่มสวยงาม มีสวน
    กุหลาบอยู่บนเนินข้างหน้า นึกในใจว่าจะมาเดินเล่นตอนเช้ากับตอนกลางคืน เราได้
    ห้องอยู่ชั้น 2 นึกว่าไม่เป็นไร แค่ชั้นเดียวเอง ขึ้นบันไดได้ เพราะไม่มีลิฟท์ ที่ไหนได้
    ชั้น 2 ของอินเดีย คือ ชั้น 3 ของไทย ได้ห้องสุดท้ายของชั้น เมื่อเข้าไปในห้อง ก็ต้อง
    ผงะกับกลิ่นอับ เหมือนไม่ได้เปิดใช้มานาน มียุงบินอยู่มากมาย เปิดตู้เสื้อผ้าก็เห็น
    กางเกงแพรขาดๆกับหมอนเก่าๆกองอยู่ เรียกบ๋อยซึ่งยกกระเป๋ามาส่งมาเก็บไป ผิดคาด
    อีกแล้ว
    [​IMG]

    เมื่อทุกคนเข้าโรงแรมเรียบร้อย พักผ่อนเล็กน้อย ก็เตรียมตัวไปกราบนมัสการ

    พระบรมสารีริกธาตุที่สมาคมมหาโพธิ พวกผู้ชายใส่สูท พวกผู้หญิงก็นุ่งผ้าไทยหรือ
    แต่งตัวสุภาพสวยงาม ส่วนเราเตรียมแต่งตัวสวยแต่เช้าจากบ้าน ( ตามความเข้าใจ-
    ของตนเอง ) เลยไม่ต้องเปลี่ยน เมื่อถึงสมาคมมหาโพธิ เห็นท่านอาจารย์นั่งอยู่บนเวที
    เตรียมบรรยายธรรม ในชัยยะศรีวิหาร ท่านอาจารย์ชี้แจงว่า พระคุณเจ้าท่านจัดให้นั่ง
    อย่างนี้ในการสนทนาธรรม เพื่อเจริญกุศลแสดงความเคารพต่อพระบรมสารีริกธาตุ มี
    พวกเรานั่งคอยฟังอยู่เต็มวิหาร ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งนำแผ่นทองคำจารึกชื่อมูลนิธิศึกษา
    และเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปติดไว้ที่ผอบเจดีย์ทั้ง 3 องค์ เพื่อเป็นประวัติศาสตร์ให้
    อนุชนรุ่นหลังทราบความเป็นมาของผอบเจดีย์ และอีกกลุ่มหนึ่งได้จัดดอกไม้ที่นำมา
    จากกรุงเทพ

    ท่านอาจารย์แสดงธรรมบนเวที ในระหว่างนั้นไฟฟ้าก็ดับเป็นระยะๆ คุณสุวัฒได้
    บอกว่าไฟของรัฐบาลเป็นอย่างนี้เอง ในช่วงพลบค่ำอย่างนี้ยุงบินเต็มไปหมด เป็น
    ธรรมชาติดีจริงๆ ท่านอาจารย์พูดธรรมได้จับใจเช่นเคย แต่ก็ไม่สามารถจำมาเล่าได้
    เสียดายที่ความจำเรื่องธรรมสั้นมาก เรื่องอื่นๆจำได้หมด โดยเฉพาะเรื่องอกุศล ใคร
    เขาพูดให้เจ็บใจ ดูถูกดูหมิ่น ผ่านไปหลายปีแล้ว ก็ยังจำได้ทั้งกิริยาท่าทางและคำพูด
    แต่เรื่องสำคัญอย่างธรรม จำไม่ค่อยได้ ส่องให้เห็นว่า จริงๆแล้วไม่คิดว่าธรรมสำคัญ จึง
    ไม่ให้ความสำคัญเหมือนอย่างที่หวังจะให้เป็น ถึงต้องเกิดแล้วเกิดอีก ทุกข์แล้วทุกข์
    อีก อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

    เมื่อถึงเวลาอันสมควร ท่านอาจารย์ก็เดินข้ามถนน นำไปที่พระเจดีย์พระศรีมหาโพธิ์
    เพื่อเวียนเทียน วันพรุ่งนี้จะมีพิธีถือศีล ๕ ของชาวเกาหลี ( Ceremony of Observing
    5 Precepts by Korea ) มีธงติดทั่วไปหมด ผู้คนก็เนืองแน่นทั่วบริเวณทางเข้าพระ-
    ศรีมหาโพธิ์ เมื่อเดินเข้าไปได้ยินเสียงสวดมนต์ภาษาบาลีสำเนียงไทย สำเนียงศรี-
    ลังกา สำเนียงจีน ผิดคาดอีกเช่นเคย เพราะคราวก่อนเงียบสงบประทับใจมาก ก็เวลา
    ผ่านไปตั้งปีกว่า จะให้เหมือนเดิมได้อย่างไร แม้แต่ขณะเดียวที่ผ่านไปก็ไม่เหมือนกับ
    ขณะต่อไปแล้ว แต่ละขณะจะไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฎ์ แล้วจะให้เหมือนเดิมได้
    อย่างไร จำไม่ได้อีกแล้วหรือ ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ยังจำไม่ได้อยู่นั่นเอง ก็เพราะยังไม่
    ประจักษ์นั่นเอง เป็นเพียงสัญญาความจำ ยังไม่ใช่ปัญญา ความเข้าใจลักษณะของ
    สภาพธรรมที่ปรากฏ จึงสมหวังผิดหวังเพราะตั้งความหวังอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
    [​IMG]
    เราดีใจมากที่ได้ต่อเทียนจากท่านอาจารย์(อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์) นึกอธิษฐานในใจว่า ขอให้มีความเข้าใจ

    ธรรมอย่างที่ท่านอาจารย์เข้าใจด้วยเถิด ( ขออีกแล้ว ) เมื่อเริ่มต้นเดินเวียนเทียน มีชาว
    ศรีลังกาเดินสวนทางออกมาเป็นแถวทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผู้ชายที่เดินนำหน้า เอามือมาจับ
    ประทีปโคมไฟที่เรานำมาจากเมืองไทย พร้อมกับพูดคำอะไรที่ฟังไม่ทัน คิดในใจว่า นี่
    จะดึงไปจากมือเลยหรือ ตกใจจนยืนนิ่ง ที่คิดว่าจะดึงมือกลับมา ก็ไม่ได้ทำ ซึ่งก็โชคดี
    มากที่ไม่ทำกิริยาอย่างนั้น เพราะผู้หญิงคนถัดมาก็เอามือมาจับ แล้วพูดว่า “สาธุการ”
    อ้อ นึกออกแล้ว ที่ศรีลังกา เมื่อเขาจะอนุโมทนา ก็พูดว่า “สาธุการ สาธุการ” ดูซิ
    ประสบการณ์ชีวิตที่ต่างกัน ทำให้ความคิดนึกต่างกัน เราคิดว่า เขาเห็นโคมไฟสวย จะ
    มาแย่งเอาจากมือ แต่เขาคิดว่า อนุโมทนาที่นำโคมสวยมาเวียนเทียนบูชาพระรัตนตรัย
    ดูซิ ความคิดของเรากับของเขาสวนทางกันเหมือนกิริยาที่เดินเข้า และเดินออกจาก
    พระมหาเจดีย์เลย กว่าความคิดจะตรงกันก็ใช้เวลาอยู่หลายวินาทีเหมือนกัน เมื่อความ
    คิดตรงกัน ทั้งเราทั้งเขาก็เกิดกุศลจิตร่วมกัน หยุดยืนให้เขาสาธุการจนครบทุกคน
    เป็นภาพที่สวยงามมาก คนต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา แต่มีศรัทธาในพระศาสดาองค์เดียว
    กัน ต่างถ่ายทอดกุศลจิตที่ได้แสดงความเคารพนอบน้อมต่อพระพระอรหันตสัมมา-
    สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยกัน

    เวียนเทียนเสร็จ ต่างก็กลับโรงแรม ไม่ได้สนทนาธรรม ซึ่งดูแล้ว ผู้คนคับคั่งอย่าง
    นี้ คงจะไม่มีที่ว่างพอที่จะนั่งสนทนาธรรม หลายคนหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง เพราะ
    ต้องหอบประทีปโคมไฟกลับ และหลายคนวิ่งกลับไปเอาเสื้อหนาวมาเตรียมไว้ เนื่อง
    จากผู้มีประสบการณ์จากปีที่แล้วบอกว่า พอพระอาทิตย์ตก อากาศก็จะหนาวมาก แต่ที่
    ไหนได้ เดินหน้ามันเยิ้ม เพราะใส่เสื้อมากเกินไป ผิดคาดไหมละคะ
    เราดีใจมากที่ได้ต่อเทียนจากท่านอาจารย์ นึกอธิษฐานในใจว่า ขอให้มีความเข้าใจ

    ธรรมอย่างที่ท่านอาจารย์เข้าใจด้วยเถิด ( ขออีกแล้ว ) เมื่อเริ่มต้นเดินเวียนเทียน มีชาว
    ศรีลังกาเดินสวนทางออกมาเป็นแถวทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผู้ชายที่เดินนำหน้า เอามือมาจับ
    ประทีปโคมไฟที่เรานำมาจากเมืองไทย พร้อมกับพูดคำอะไรที่ฟังไม่ทัน คิดในใจว่า นี่
    จะดึงไปจากมือเลยหรือ ตกใจจนยืนนิ่ง ที่คิดว่าจะดึงมือกลับมา ก็ไม่ได้ทำ ซึ่งก็โชคดี
    มากที่ไม่ทำกิริยาอย่างนั้น เพราะผู้หญิงคนถัดมาก็เอามือมาจับ แล้วพูดว่า “สาธุการ”
    อ้อ นึกออกแล้ว ที่ศรีลังกา เมื่อเขาจะอนุโมทนา ก็พูดว่า “สาธุการ สาธุการ” ดูซิ
    ประสบการณ์ชีวิตที่ต่างกัน ทำให้ความคิดนึกต่างกัน เราคิดว่า เขาเห็นโคมไฟสวย จะ
    มาแย่งเอาจากมือ แต่เขาคิดว่า อนุโมทนาที่นำโคมสวยมาเวียนเทียนบูชาพระรัตนตรัย
    ดูซิ ความคิดของเรากับของเขาสวนทางกันเหมือนกิริยาที่เดินเข้า และเดินออกจาก
    พระมหาเจดีย์เลย กว่าความคิดจะตรงกันก็ใช้เวลาอยู่หลายวินาทีเหมือนกัน เมื่อความ
    คิดตรงกัน ทั้งเราทั้งเขาก็เกิดกุศลจิตร่วมกัน หยุดยืนให้เขาสาธุการจนครบทุกคน
    เป็นภาพที่สวยงามมาก คนต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา แต่มีศรัทธาในพระศาสดาองค์เดียว
    กัน ต่างถ่ายทอดกุศลจิตที่ได้แสดงความเคารพนอบน้อมต่อพระพระอรหันตสัมมา-
    สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยกัน

    เวียนเทียนเสร็จ ต่างก็กลับโรงแรม ไม่ได้สนทนาธรรม ซึ่งดูแล้ว ผู้คนคับคั่งอย่าง
    นี้ คงจะไม่มีที่ว่างพอที่จะนั่งสนทนาธรรม หลายคนหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง เพราะ
    ต้องหอบประทีปโคมไฟกลับ และหลายคนวิ่งกลับไปเอาเสื้อหนาวมาเตรียมไว้ เนื่อง
    จากผู้มีประสบการณ์จากปีที่แล้วบอกว่า พอพระอาทิตย์ตก อากาศก็จะหนาวมาก แต่ที่
    ไหนได้ เดินหน้ามันเยิ้ม เพราะใส่เสื้อมากเกินไป ผิดคาดไหมละคะ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2011
  18. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    tanaphomcinta
    บัวใต้น้ำ
    05 ก.ย. 2008, 8:01 pm

    จาก...เวปลานธรรมจักร
    [​IMG]
    เรื่องมีอยู่ว่าตั้งแต่ปี 2517-2519 ตัวเองเป็นคนชอบหากบโดยการเอาคันเบ็ดที่ยาวๆ เข้าเรียกว่าอย่างไรไม่รู้ อ่อนภาษาเด้อ เที่ยวไปตามทุ่งนาบ้านนอก ตามทุ่งนาที่มีแหล่งน้ำน้อยบ้างใหญ่บ้าง พอเห็นกบกระโดดลงน้ำก็จะคอยดูสักนิดหน่อย พอกบโผ่หัวขึ้นมาก็จะโยนเยื่อที่ติดอยู่กับเบ็ดไปหามัน พอมันกินเยื่อก็จะกระตุกคันเบ็ดเอากบมาจับหักขามัน พอหักขามันๆ ก็เอาขาหน้ามันเช็ดน้ำตามัน เราก็อดสงสารมันไม่ได้ ตอนหลังก็ไม่หักขามัน แต่ถ้าตัวไหนใหญ่หน่อยก็เอาเบ็ดเกี่ยวท้องมันเอาพุงมันมาทำเหยื่อต่อไปจะได้ไม่ต้องหาเหยื่อบ่อยๆ เพราะมันเหนียวและทน เอ ไม่เห็นเกี่ยวข้องอะไรเลย เกี่ยวสิ ทุกวันนี้ได้รับผลแห่งการกระทำนั้นโดยที่เป็นโรคกระเพาะอาหารมา 20 สิบกว่าปีแล้วรักษาไม่หาย มีอยู่ตอนปี 2526

    ได้รับการจ้างสร้างบ้านให้เขาหลังหนึ่งเพราะเราเป็นช่าง ขึ้นไปตัดไม้จันทันที่มันไม่เท่ากันให้เท่ากัน ตอนที่จะไปตัดนั้นมีสติจำความได้อยู่ แต่ตอนที่ไปตัดจริงๆ ไม่รู้เลยว่าไปตัดตอนไหนและตกลงมาตอนไหน รู้สึกตัวขึ้นมาที่โรงพยาบาลก็ตอนบ่าย 4 โมงเย็น ตอนตกนั้น 2 โมงเช้า พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็คิดถึงเรื่องที่ตนเคยกระตุก กบที่ติดเบ็ดให้ขึ้นสูงๆ และปากมันขาดออกจากเบ็ดแล้วก็ไปตกข้างหลัง จะตกลงโดนน้ำก็ตาย จะตกลงตรงไหนก็ตายทั้งนั้น เราทำเล่นด้วยความสนุก เพราะได้กบมากแล้วไม่มีที่ใส่ จะกลับบ้านแล้วก็ทำเล่นด้วยความสนุก พอรู้ตัวตื่นขึ้นมาก็นึกได้เลยว่า กบมาทวงหนี้แล้ว เพราะเราเคยทำให้เขาขาหัก เราก็ตกลงมาซี่โคลงหัก 3 ซี่

    ลำบากอยู่เป็นเดือน ทำไมเรื่องอื่นไม่นึกถึงไปนึกถึงเรื่องกบ จึงว่ากบมาตามเอาที่เราได้ทำไว้กับเขา แม้ทุกวันนี้จะบวชมาแล้ว 25 พรรษาก็ยังรับผลของกรรมที่ทำไว้อยู่ทุกวันนี้ เป็นโรคกระเพาะไม่หาย วันไหนสวดมนต์แผ่เมตตาให้เขา ตื่นเช้ามาก็จะไม่อึดอัดในท้อง ถ้าวันไหนลืมแผ่เมตตาให้เขาก็จะทรมารมากทุกวันนี้ แต่ก็ต้องทนรับกรรมที่เราก่อขึ้นเอง จึงอยากจะบอกท่านใดที่ยังไม่ได้ทำกรรม ก็อย่าได้ทำเลยจงเว้นให้มากเท่าที่จะเว้นได้เพราะตัวเองโดนมาแล้วจึงมาบอกต่อ ใครไม่โดนกับตัวเองคงไม่เข้าใจหรอก แต่เรานี้เข้าใจเป็นอย่างมากเลย กมฺมุนา วตฺตติโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมจริงๆๆ นะ

    [​IMG]
     
  19. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,359
    ค่าพลัง:
    +6,493
    หากระทู้นี้ตั้งนาน อยู่นี่เอง พลาดไปได้ไง กระทู้ดีๆแบบนี้ ขออนุโมทนา สาธุกับท่านจขกท.ด้วย
    (อยากรู้จักตัวจริงซ่ะแล้วสิ ท่าทางจะไม่ธรรมดา)
     
  20. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +5,066
    ขอบคุณค่ะ คุณPUNMALAI ที่เข้ามาอ่าน
    Mantalayคนชั่วๆ กลัวตกนรกค่ะ
    ขอหนีนรกก่อนอันดับแรกค่ะ
    และขอขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ
    [​IMG]
    [​IMG]


    <<<<แจกเส้นคั่นสวยๆ ,ภาพเคลื่อนไหว,รูปน่ารักๆ มากมายจริงๆ ขอบอก >>>> - แจกรูปอื่นๆแต่ง hi5 - แจกรูป<!-- google_ad_section_end -->
    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...