เห็นหลายท่านสนใจกรรมฐานสายอภิญญากันเยอะจัง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย cwyp, 22 ธันวาคม 2004.

  1. cwyp

    cwyp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    272
    ค่าพลัง:
    +529
    ไม่ทราบว่าการที่ส่วนใหญ่คนในเว็บพลังจิตนั้นต้องการที่จะฝึกบ้าง หรือฝึกไปแล้วบ้างในสายที่ทำให้เกิดอภิญญา เพื่อน ๆ หวังที่จะนำไปใช้ประโยชน์อะไรมากที่สุดหรือครับ หากพูดว่าเป็นการนำไปตัดขันธ์ 5 นั้น คงไม่เรื่องง่ายแน่ เพราะตราบใดที่โภชชงค์ไม่เกิดจะไม่สามารถที่จะยังให้เกิดปัญญาจนสามารถที่จะนำไปใช้ในการประหารกิเลสเป็นสมุทเฉทประหารได้ นอกจากผู้ที่มีบุญวาสนาที่จะเข้ากระแสนิพพานโดยเร็วพลันเท่านั้น แต่ถ้าเพื่อสิ่งอื่นแล้วเพื่อน ๆ จะปฏิบัติกรรมฐานสายอภิญญาเพื่อสิ่งใดมากที่สุดครับ เป็นการแสดงความคิดเห็นเฉยนะครับ ไม่จริงจังมาก [​IMG]
     
  2. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ปฏิบัติเพื่อให้รู้รอบทั้ง3โลกธาตุ จะได้ไม่มีอะไรให้เคลือบแคลงสงสัย ทำประโยชน์ได้อีกมากมายตามแต่จะปรารถนาและเห็นสมควร ถ้ามากที่สุดคือเสกอาหารแจกคนยากไร้
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ถึง กระทู้จะเก่า แต่ก็ถือว่า ขุดมาแล้วมีประโยชน์ครับ
    ดีกว่าไปขุดกระทู้ ที่เอาหรือสร้างแต่เรื่องพิเศษต่างๆ
    ให้เกิดกับตนเอง แล้วไม่มีอะไรแนะนำไว้ ตอนท้ายๆ
    ที่เป็นประโยชน์หรือแนวทางหลักทางพุทธศาสนาเลย
    ส่วนตัวมองว่า สร้างให้คนงมงายและยึดติด
    แต่ในเรื่องพิเศษที่ไม่ใช่ตรงด้านพุทธศาสนา
    ถ้า พอฮาๆขำๆ ไม่ว่ากันครับ........

    ที่ จขกท พูดมาก็ถูกครับ เพราะท้ายแล้วจริงๆ
    มันก็เอามาหนุนเรื่องการประหารกิเลสนั่นหละครับ.....
    แต่ต้องไม่ลืม ณ ครับ ว่า โทสะ โมหะ โลภะ มันไม่ใช่กิเลส
    มันเป็นสิ่งที่อยู่ในจิต ติดกายเรามาตั้งแต่เกิดเพราะถ้า
    ไม่มี จะไม่มีกายเราๆแบบนี้เลย.....ส่วน ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    เป็นสิ่งภาพนอกที่มีอยู่แล้วปกติ.....การที่ โทสะ โมหะ โลภะ
    ส่งตัววิญญานการรับรู้ ไปดึง ไม่ว่าจะ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    เข้ามาจนกลายเป็นตัวตนอย่างไม่รู้ตัว นั้นหละครับ
    ถึงจะครบองค์ประกอบของการเป็นกิเลสได้ครับ....

    ในส่วนท่านที่ชอบด้านพิเศษต่างๆ มันเป็นความชอบส่วนบุคคล
    แต่ก็ต้องไม่ลืมนะครับ ว่าสิ่งเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ยัง
    ต้องทำให้เวียนว่ายตายเกิดได้อยู่ ต้องพึ่งระลึกไว้ดีด้วย

    ในเรื่องเชิงเทคนิคนั้น
    การที่บุคคลใดก็ตาม
    ที่จะสำเร็จได้ถึงขั้นที่จะใช้งานได้จริงนั้น
    คือใช้งานในชีวิตปกติประจำวัน ไม่ต้องมีลีลาประกอบ
    ไม่ต้องสร้างเรื่องประกอบอะไร ไม่ต้องหลับตา มีท่าอะไรมากและ
    ใช้ได้เหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป...
    จะมีแนวทางในการตั้งปฏิธาน ณ เบื้องต้นไว้ ๓ แนวทางหลักๆคือ
    ๑. เพื่อเรียกของเก่าในอดีตที่เคยมีให้ขึ้นมาใช้งานได้
    (ซึ่งตรงนี้ยังไม่ต้องไปสนใจว่า มีอะไร ยังไม่ใช่จุด
    ที่ควรสนใจเพราะต้องรอจนกระทั่งจิตเริ่มคลายตัว
    และใช้งานได้แบบจิตเหนือจิตก่อน คือ ไม่มีตัวจิต
    มากระทำและเป็นอัตโนมัติ ณ ตอนนี้จะรู้ได้เอง
    โดยไม่ต้องไปถามใคร)และ
    ๒.ใช้งานเพื่อประโยชน์ทางธรรม และ
    ๓.ใช้งานเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น บ้างก็เรียกว่า ประโยชน์สาธารณะครับ...... ๓ ข้อนี้เป็นปฏิทานเบื้องต้น
    หากว่า ต้องการเข้าถึงในเบื้องต้นครับ........
    ไม่งั้นโอกาสที่จะเข้าถึงระดับฝึกสำเร็จและใช้งานได้
    จะยากมากๆ และแม้พอสัมผัสได้ ก็จะหลงยึดเข้าใจว่า
    มันเป็นสิ่งวิเศษ หลงตัว หลงตน เข้าใจว่าตนไม่ใช่
    บุคคลธรรมดา ทั้งๆที่ความสามารถในการใช้งาน
    ยังไม่สามารถก่อเกิดประโยชน์สาธารณะและทางธรรมได้

    และทั่วไปอีกการที่
    บุคคลพึ่งจะมีคุณธรรมพิเศษหรือความสามารถ
    พิเศษได้ จะเป็นบุคคลที่ไม่ชื่นชมในกามรมย์ ไม่ยินดี
    ในกามคุณ ไม่ว่าจะรูปก็ดี หรือไม่ว่าจะนามก็ดี...
    ดูตัวอย่างท่านในอดีตที่ลอยไปเอา บาตรไม้จันทร์เป็น
    ตัวอย่างที่ดีสืบทอดถึงปัจจุบันได้ครับ......
    ซึ่ง วิสัยเหล่านี้ มีในผู้ใด ผู้นั้นมักจะเป็นผู้
    ที่มีคุณวิเศษในตนเองเป็นเรื่องปกติ............
    .
    ผู้ปฏิบัติคิดเองได้ ว่าตนติดในเรื่อง ลาภ ยศ สุข สรรเสริญไหม
    ถ้าติด แสดงว่าเรายังห่างไกล....
    ผู้ปฏิบัติคิดเองได้ ว่าตนเองติดในเรื่องนามธรรมไหมต่างๆไหม
    ไม่ว่า เรื่องอะไรก็ตาม ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาปกติ
    เรายังยึดมั่นถือมั่นเรื่องพวกนี้ จนดึงเข้ามาเป็นตัวตนไหม....


    สุดท้าย พอเกิดมีขึ้นแล้ว ก็ต้องมาทิ้ง ไปทางด้านปัญญาเหมือนเคยเพื่อให้จิตค่อยกลับเข้าสู่เนื้อหาเดิมแท้ของตัวจิตตามธรรมชาติของมันเอง ซึ่งต้องเน้นเรื่องด้านปัญญาเป็นหลัก
    เพิ่มการสังเกตุเข้าไปอีกในเหตุเกิดดับ เพราะอะไรเวลาไหน
    จิตมันก็ค่อยๆย้อนไปถึงเรื่องปัญญาญานได้
    เราจะเริ่มเข้าใจในเหตุการปรุงแต่งต่างๆ
    หรือที่เค้าเรียกว่า เริ่มรอบรู้ในกองสังขาร
    ซึ่งก็จะทำให้จิตเข้าสู่จุดหมายปลายทางได้ครับ
    เพียงแต่ในระดับนี้ ตัวโทสะ โมหะ โลภะในจิต
    ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีนะครับ เพียงแต่ว่า มันมี
    แต่ไม่มีเรื่องหรือเหตุอะไรที่ทำให้มันเกิดได้ครับ.......


    แต่ก็ยังมีในกลุ่มดวงจิตอีกกลุ่ม ที่มีความสามารถ
    ทางจิตดี ใช้งานมามากมาย มีความชำนาญในระดับ
    จิตเหนือจิต มีฐานกำลังสมาธิที่สูง อย่างเช่น ลพ. ลต ลป.
    มีชื่อทั้งหลายในอดีตนั้น.....ท่านยังมีความสามารถ
    ทีเหนือกว่า ในการที่จะคล่อยๆเอาผลที่เกิดจากความสามารถ
    พิเศษเหล่านี้เข้าไป เพื่อค่อยๆ ประหารหรือกำจัด ตัวโทสะ
    โมหะ โลภะในจิต ให้มันค่อยๆออกไปทีละนิดละน้อยได้อีกครับ
    จะเป็นกลุ่มดวงจิต ท่านทั้งหลายที่สามารถเข้าสภาวะนิโรธ
    สมาบัติได้นั่นเอง หรือ ที่เราเรียกว่า สภาวะดับ. ดับคือดับ
    การเกิดทั้งหมด ดังนั้น สภาวะนี้ จึงเป็นสภาวะที่จะเข้าได้
    โดยที่ต้องไม่มีตัวไปกระทำให้เข้าไปถึงครับ
    (นึกออกไหม สภาวะดับ คือดับหมด ถ้ามีตัวกระทำ
    สิ่งที่เหลือมันก็คือ ตัวที่ไปกระทำให้เข้าถึง ซึ่งมันไม่ดับจริง
    ครับ มันยังมีผลหรือผลบางอย่างได้อยู่ พอนึกภาพออกนะครับ)


    นอกจากนี้ ก็ยังมีกลุ่มหนึ่ง ที่ปฏิบัติพอถึงในระดับ
    ที่จิตเริ่มทำงานได้ ใช้งานได้แล้ว...แต่เนื้อหาทางจิต
    ของท่านเหล่านั้น เด่นหรือสะสมไปทางด้านปัญญา
    ท่านก็จะพลิกนำมาใช้ส่งเสริมในทางด้านปัญญา มากกว่าด้าน
    การทำให้เกิดคุณวิเศษต่างๆ
    ก็มีอีกเยอะแยะมากมาย......

    ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็แล้วแต่เนื้อหาเดิมแท้ของจิตแต่ละท่านว่าเป็น
    อย่างไร......

    แต่ถ้าท่านไม่ทิ้งมัน เมื่อเกิดมีคุณวิเศษขึ้นมาแล้ว
    หรือแม้กระทั่งสัมผัส ทางนามธรรมต่างๆ มันจะดลให้ท่าน
    ต้องทำตน ปฏิบัติตน ประพฤติตน ไปตาม
    จริต อนุสัย หรือวิบาก อย่างใดอย่างหนึ่ง
    เหมือนมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาดลให้ท่านเข้าใจว่า
    ท่านจะต้องทำอย่างโน้น อย่างนี่ อย่างนั้น
    หรือท่านจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    โดยที่ท่านคาดไม่ถึงครับ
    ประเด็นตอนสุดท้าย ต้องอย่าประมาทในเรื่องสติ
    เรื่องความเพียรในการละ เล็กๆน้อยๆ
    และต้องพึ่งระมัดระวังให้ดีที่สุดครับ....


    ปล. แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง....
     
  4. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ในความเป็นจริงเราต้องเดินไปพร้อมกันทั้งสองทางให้ได้ ทั้งทางโลกและทางธรรม ถ้าเรายังไม่ถึงพร้อม เราไม่ควรทิ้งทางไหนทั้งนั้น คนที่ทิ้งทางธรรมเพราะคิดว่าธรรมไม่ช่วยให้ดีขึ้นนั่นเพราะเขาเหล่านั้นไม่ได้ศรัทธาในความดีซึ่งเป็นสิ่งปรากฎปกติบนโลกหรือวัฏสงสารนี้ เพราะเขามองไม่เห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อชีวิต แม้จะบอกว่าตายแล้วก็ตายแล้วสิ้นสุด เพราะนั่นไม่ใช่คำตอบแท้จริง ว่าจริงๆแล้วการตายคือการสิ้นสุดจริงหรือไม่ เพราะคนตายไม่เคยกลับมาบอกเล่าให้ได้รู้ ณ วันนี้มันยังคงเป็นความลับที่มีเพียงสิ่งมีชีวิตบางชนิดในสาดลจักรวาลนี้เท่านั้นที่รู้ ในกาลเวลานี้พระศาสดาทราบและนำมากล่าวจึงเป็นเรื่องที่ใครจะระลึกและศรัทธาเชื่อในคำกล่าวนั้น จะไม่มีวันเข้าใจแน่ถ้าพึงพิจารณาละวางให้ได้ด้วยตนเอง องค์ประกอบหรือoptionพระศาสดาตรัสไว้เป็นหนทางถ้าผู้นั้นต้องการละหรือปิดเรื่องราวหรือจบภาระกิจที่กระทำมาทั้งหมด ยุคนี้ถือว่ามีวาสนาที่มีพระศาสดาปรากฎ หากเราเชื่อถือและใช้สติปัญาในการพิจารณาคำสอนอย่างแท้จริง option นั้นคงเป็นแค่เรื่องของแนวทางไม่ใช่ประเด็นหรือเนื้อแท้ของคำสอนแต่อย่างใด นั่นเพราะไม่เคยมีอะไรเที่ยงแท้และแน่นอนมาแต่กลาลไหนๆแล้วนับไม่ได้เลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...