เรื่องเด่น เอกะ จักขุ นาฬิเกลา..ของขลังแห่งธรรมชาติ “กะลาตาเดียว”นิยมมาแต่โบราณ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 14 กันยายน 2018.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    เอกะ จักขุ นาฬิเกลา..ของขลังแห่งธรรมชาติ “กะลาตาเดียว”นิยมมาแต่โบราณ

    1111Recovered.jpg

    กะลาตาเดียวอัศจรรย์ของขลังจากธรรมชาติ หนึ่งในของทนสิทธิ์ แม้ไม่ผ่านพิธีปลุกเสก ก็ขลังได้ในตัวเอง เป็นที่ชื่นชอบแสวงหากันมากมาย

    “เจ้าบ่าวเจ้าสาวมีความเชื่อสืบทอดต่อกันมาว่า หากนำกะลาตาเดียวทั้งลูกที่เป็นตัวผู้ตัวเมียคู่กัน มาเก็บไว้ตั้งแต่วันแต่งงาน จะทำให้ทั้งบ่าวสาวครองคู่อยู่กันอย่างมีความสุข ไม่หย่าร้างแยกจากกัน ชีวิตครอบครัวอุดมสมบูรณ์พูนสุขไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง”

    โดยปรกติทั่วไปแล้ว กะลามะพร้าวเกือบ จากทุกสายพันธุ์ ที่ก้นกะลาจะมี “ตา” ปรากฏอยู่ ๓ ตาแทบทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมา แต่หากกะลามะพร้าวลูกไหนมีตาเดียวปรากฏขึ้น ตามความเชื่อแล้ว ถือว่าไม่ใช่ความผิดปกติ หากแต่เป็นความแปลกประหลาด ลามเลยไปถึงความอัศจรรย์ ที่หาได้ยากยิ่งด้วย เพราะนานๆ จะเจอกันเสียลูกหนึ่ง คนในสมัยโบราณนับถือกะลาตาเดียวว่าเป็น สิ่งที่มีความพิเศษแฝงเร้นอยู่ในตัวของมันเอง ซึ่งต่างจากเครื่องรางของขลังชนิดอื่นๆ

    35841_0-300x294.jpg

    มีตำนานเรื่องเล่า และหลักฐานปรากฏเกี่ยวกับกะลาตาเดียวมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า มีชาวบ้านบางคนนำกะลาตาเดียวมาทำเป็นเครื่องรางของขลัง โดยนำกะลามะพร้าวที่มีตาเดียวมาเจาะรู ร้อยเชือก หรือสายสิญจน์คล้องคอ หรือคาดที่เอวติดตัวไว้ใช้สำหรับเดินทาง เพราะเชื่อว่าสามารถป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ได้ บางคนก็เชื่อว่า หากใช้กะลาตาเดียวตักข้าวสารเวลาหุงข้าวอยู่เป็นประจำ บ้านนั้น และคนในครอบครัว จะเกิดความอุดมสมบูรณ์ มีข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ไม่อดไม่อยากไปจนตลอดชีวิต

    ส่วนข้าราชการในสมัยกรุงศรีอยุธยา นิยมนำบางส่วนของกะลาตาเดียวมาแขวนคอติดตัวตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เพราะเชื่อว่าอานุภาพของกะลาตาเดียว จะสร้างความความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่ราชการ และการงานเพิ่มมากขึ้น ได้เลื่อนยศฐาบรรดาศักดิ์ ได้เป็นเจ้าขุนมูลนาย เป็นใหญ่เป็นโตกว่าคนอื่นๆ

    แต่สำหรับเหล่าทหารกล้าที่ต้องออกไปรบทัพจับศึกอยู่เป็นประจำ เกือบทุกคนจะนำกะลาตาเดียวซึ่งตัดแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆไปให้อาจารย์ที่ตนเคารพนับถือ ลงคาถาอาคมกำกับไว้ที่กะลาตาเดียวอีกคำรบหนึ่ง เพราะเชื่อว่า จะทำให้อยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดจากคมหอกคมดาบของศัตรูได้ กะลาตาเดียวในความรู้สึกของพวกเขา จึงไม่ต่างจากพระเครื่อง ยันต์ หรือตะกรุด ฯลฯ แต่อย่างใด ส่วนกะลาตาเดียวที่ทั้งลูกมีลักษณะงดงาม กลม มนได้สัดส่วน คล้ายดวงอาทิตย์ ชาวบ้านมักจะนำไปไว้บนหิ้งที่บ้าน เพื่ออธิษฐานจิตขอพรในสิ่งต่างๆ ให้กับครอบครัว

    ในสมัยสุโขทัย มีหลักฐานปรากฏว่า มีชาวบ้านนำกะลาตาเดียวมาทำเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ เพื่อไว้สำหรับติดตัว เพราะถือกันว่าเป็นเครื่องรางของขลังชั้นดีชนิดหนึ่ง ที่สามารถป้องกันคุณไสยต่างๆ และภูตผีปีศาจทั้งหลายทั้งมวลได้ และยังทำให้ผู้ที่ครอบครองไว้มีโชคมีลาภอีกด้วย

    เอกอุอีกอย่างหนึ่งของการพัฒนากะลาตาเดียวมาเป็นเครื่องรางของขลังอย่างสมบูรณ์แบบ คือผู้ที่ศรัทธาส่วนใหญ่มักนิยมนำกะลาตาเดียวมาแกะเป็นรูปพระราหูห้อยคอ

    หลักฐานที่ยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีคือ บทประพันธ์เรื่อง “พระอภัยมณี” ของท่านสุนทรภู่ รัตนกวีสี่แผ่นดิน ตอนหนึ่งท่านได้กล่าวถึงของขลังรูปพระราหูเอาไว้ว่า นางละเวง มีกะลาตาเดียวแกะเป็นรูปพระราหูแขวนประจำกายอยู่ คืนหนึ่งขณะที่นางละเวงนอนหลับ มี “อ้ายย่องตอด” ผู้มีวิชาแก่กล้าทางไสยศาสตร์ ชอบจับสัตว์ และคนมาดูดเลือดเป็นอาหาร อ้ายย่องตอดได้ลอบเข้าไปในห้องนางละเวงเพื่อหวังจะทำร้ายและดูดเลือด แต่พอเข้าไปใกล้เห็นกะลาตาเดียวที่แกะเป็นรูปพระราหูที่นางละเวงห้อยคออยู่ อ้ายย่องตอดก็ไม่อาจทำร้ายนางได้จนต้องหนีไปด้วยความหวาดกลัว

    U03220576354901288443440431-300x200.jpg

    การแกะกะลาตาเดียวเป็นรูปราหูจากอดีตถึงปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบคือ แกะเป็นรูปราหูอมจันทร์ และแกะเป็นรูปราหูอมพระอาทิตย์ รวมทั้งการลงอักขระจะไม่เหมือนกัน

    ถ้าเป็นราหูอมจันทร์ จะต้องลงด้วย คาถาจันทรประภา

    ถ้าแกะเป็นราหูอมพระอาทิตย์ ต้องลงด้วย คาถาสุริยประภา

    กะลาราหูที่มาเป็นคู่มักนิยมเรียกกันว่าตัวผู้ตัวเมียนั้น อันหนึ่งจะเป็นราหูอมจันทร์ และอีกอันจะเป็นราหูอมพระอาทิตย์

    ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีความเชื่อเพิ่มขึ้นอีกว่ากะลาตาเดียวทั้งลูก เมื่อคว้านเอาเนื้อมะพร้าวออกจนหมดสิ้นแล้ว จะเหลือแต่กะลาทั้งลูกที่ไม่มีรอยแตกร้าว เป็นที่นิยมของพวกพ่อค้า แม่ค้า ชาวไร่ ชาวสวน ชาวนาเป็นอย่างมาก ในเรื่องของโชคลาภและการทำมาค้าขึ้นหรือเชื่อกันว่าเจ้านาย ผู้บังคับบัญชา จะเกื้อหนุน เมตตาเอ็นดู และจะช่วยล้างอาถรรพ์ต่างๆจากผู้ที่ปล่อยมาที่เป็นเสนียดจัญไรภายในบ้านได้เป็นอย่างดี รวมทั้งทำให้มีกินมีใช้ เงินทองทรัพย์สมบัติเพิ่มพูนมากขึ้น พ่อค้า แม่ค้า ชาวไร่ชาวสวน ที่นำข้าวของสินค้าของตนไปขายในเมืองและต่างแดน หากมีกะลาตาเดียวติดตัวไปด้วยจะทำให้ค้าขายคล่องแคล่ว ได้กำไรมากมาย

    เจ้าบ่าวเจ้าสาวในสมัยก่อน ก็มีความเชื่อและเป็นประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดต่อกันมาว่า หากนำกะลาตาเดียวทั้งลูกที่เป็นตัวผู้ ตัวเมียคู่กัน มาเก็บไว้ในบ้าน ตั้งแต่วันแต่งงาน จะทำให้ทั้งบ่าวสาว ครองคู่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่หย่าร้างแยกจากกัน จะทำให้ชีวิตครอบครัวอุดมสมบูรณ์พูนสุขไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง

    ส่วนบางครอบครัวที่แต่งงานให้ลูกหลาน และอยากให้ลูกหลานตนมีความสุขมากยิ่งขึ้น ไม่ให้แตกแยก เลิกร้าง จากกัน ก็จะแกะชื่อ-สกุล ฝ่ายชายลงในแผ่นไม้รัก แล้วใส่ในกะลาตัวเมีย ส่วนชื่อ-สกุล ฝ่ายหญิง ก็จะแกะลงในแผ่นไม้รักอีกแผ่น แล้วใส่ในกะลาตัวผู้ เก็บไว้คู่กันในบ้าน เชื่อว่าจะทำให้รักกันชั่วนิรันดร์ หรือในอีกบางความเชื่อสำหรับคู่รักที่แต่งงานกัน หากฝ่ายภรรยาไม่อยากให้สามีของตนนอกใจตัวเอง เธอก็จะแกะสลัก ชื่อ-สกุล ทั้งของ สามี และตัวเอง ลงในไม้รักคู่กัน แล้วใส่บรรจุลงในกะลาตาเดียว ก็จะทำให้สามีหลงรักตนคนเดียวไม่ปันใจไปรักหญิงอื่น ส่วนสามีก็เช่นกัน ถ้าต้องการให้ภริยาเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี ก็จะแกะสลัก ชื่อ-สกุล ภริยา และตัวเอง ลงในแผ่นไม้รักแผ่นเดียวกัน แล้วใส่ลงในกะลาตัวผู้ จะทำให้ภริยาไม่นอกใจ

    นอกจากนั้นแล้ว ยังเชื่อกันอีกว่า หากใครมี กะลาตาเดียวไว้ติดตัว ติดบ้านไว้แล้ว กะลาตาเดียวจะส่งผลแกชีวิตและครอบครัวได้อีกนานัปการ เช่น หากนำไปปลุกเสกลงคาถาอาคม กะลาตาเดียวจะยิ่งมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มมากยิ่งขึ้นตามคาถาที่ปลุกเสก ทั้งเรื่องแคล้วคลาด เมตตามหานิยม ฯลฯ

    ยังเชื่อกันว่ากะลาตาเดียวสามารถใช้ป้องกันคุณไสย ป้องกันภูตผีปีศาจเข้าร่าง กันของมีคมและอาวุธต่างๆ เข้าตัว รวมทั้งใช้ล้างอาถรรพ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในบ้าน เช่น ปลูกบ้านทับของมีอาคมร้าย เช่น ป่าช้า ซากศพ บ่อน้ำ บ้านตั้งอยู่กลางสามแพร่ง และอื่นๆ ที่ส่งผลร้ายให้แก่ผู้อาศัย กะลาตาเดียวสามารถช่วยให้สิ่งร้ายๆเหล่านั้นกลับกลายเป็นดีได้

    รวมทั้งอานุภาพของกะลาตาเดียว ยังทำให้แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุต่างๆที่จะมาถึงตัวได้อีกด้วย…หากนำกะลาตาเดียวไปทำเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือติดตัวไว้ จะทำให้สุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ และทำให้สุขภาพดีขึ้น

    3ddc1a51-d767-49bb-8f3a-cd64436ea6c3-256x300.jpg

    บุคคลใดที่รู้จักบูชากะลาตาเดียวอยู่เป็นประจำ จะทำให้เกิดโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมา

    อีกทั้งคนไทยในสมัยปู่ ย่า ตา ยายของเราก็ใช้กะลาตาเดียวมาทำเป็นเครื่องมือแพทย์แผนโบราณ ใช้ในการตัดต้อที่ดวงตาให้หายได้ อีกทั้งยังใช้เป็นยารักษาโรคอัมพาต โดยนำกะลาทั้งลูกมาผ่าแบ่งเป็นสี่ส่วน ให้นำชิ้นหนึ่งอธิษฐานจิต และขว้างไปทางทิศตะวันตก อีกสามชิ้นที่เหลือ มาต้มน้ำดื่มทุกวัน วันละ ๓มื้อ เชื่อกันว่า อาการของผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาตจะทุเลาเบาบางลง

    กะลาตาเดียว เป็นเครื่องรางของขลัง ที่คนเรามีความเชื่อมาแต่อดีตกาล ซึ่งมีคุณวิเศษหลายอย่าง อาทิ

    ๑. ใช้สำหรับตักข้าวสารใส่หม้อ เวลาหุงข้าวกิน หากว่านำติดตัวไปประกอบอาชีพ ธุรกิจ จะทำให้เกิดทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ หากเป็นชาวไร่ ชาวนา และพืชในไร่งอกงามดี หากเป็นข้าราชการก็จะเจริญด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์ ได้เป็นหัวหน้า เป็นนายคน เป็นใหญ่เป็นโตเร็วกว่าคนอื่นๆ

    ๒. ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง ติดประจำกายไว้กับตัว เพราะกะลาตาเดียวเป็นอาถรรพ์มีดีอยู่ในตัว หากว่ามีการนำไปปลุกเสกลงคาถาอาคมก็จะยิ่งมีอิทธิฤทธิ์มากยิ่งขึ้น

    ๓. ใช้สำหรับเป็นสิ่งป้องกันเสนียดจัญไรป้องกันคุณไสยและภูติผีปีศาจได้ ใช้แก้ผีเข้า ของมีคมเข้าตัวใช้ล้างอาถรรพ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในบ้าน เช่นปลูกบ้านทับของมีอาคมร้าย ซากศพ บ่อน้ำ บ้านตั้งอยู่กลางสามแพร่ง และอื่นๆ ที่ส่งผลร้ายให้แก่ผู้อาศัย ให้กลับกลายเป็นดีได้

    ๔. ใช้ป้องกันภัยอันตรายต่างๆได้ เช่นทำให้แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุต่างๆที่จะมาถึงตัว

    ๕. ใช้ทำเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ติดตัวเป็นประจำ จะทำให้สุขภาพแข็งแรงดี โรคภัยไข้เจ็บ จะไม่ค่อยมาเบียดเบียน ที่เจ็บป่วยอยู่ก็จะทำให้สุขภาพดีขึ้น

    ๖. นำบูชาอยู่เป็นประจำ จะทำให้เกิดโชคลาภสม่ำเสมอ ทรัพย์สินเงินทองจะหลั่งไหลมาเทมาไม่ขาดสาย

    ๗. นำพกพาไปค้าขายก็จะค้าขายดี นำติดตัวไปซื้อของก็จะได้ของมามาก ทั้งที่มีเงินนิดเดียว ถ้าขายของก็จะได้เงินเข้ามามาก แต่ของที่ขายไปดูยังไม่ยุบไปเท่าไหร่

    ๘. คนสมัยโบราณ ใช้นำเป็นเครื่องมือแพทย์โบราณใช้ในการตัดต้อที่ตาของคน ให้หายขาดได้

    ๙. ใช้เป็นยารักษาโรคอัมพาต โดยนำทั้งลูกมาผ่า แบ่งเป็นสี่ส่วน ให้นำชิ้นหนึ่งไปทางทิศตะวันตก อีกสามชิ้นส่วน มาต้มน้ำ มาต้มน้ำกินน้ำทุกวัน วันละ ๓ มื้อมื้อละ ๑แก้ว ถ้าหมดก็นำมาแบ่งเช่นเดิม แล้วต้มกินอีก ไม่นานก็จะหายจากอัมพาต

    11002587_628765810593856_7310076494200850607_n-300x169.jpg

    คาถาบูชากะลาตาเดียว

    เอกะ จักขุ นาฬิเกลา

    สุริยประภา จันทรประภา ราหูคาหา สัตตะ

    รัตนะ สัมปันโน มณีโชติ ระโสยะถา สุวัณณะ รัชชะตะ สะมิทธา อะหัง วันทามิ เม สะทา ฯ

    (เป็นมหาลาภค้าขายดีเยี่ยม เป็นมหาอุดดีนัก ช่วยสะเดาะเคราะห์ดีนักแล ฯ)

    ประวัติการสร้างราหูอมจันทร์ ของวัดศีรษะทอง

    การสร้างราหูอมจันทร์ของวัดศีรษะทอง เริ่มสร้างตั้งแต่สมัยหลวงพ่อไตร เจ้าอาวาส องค์แรกของวัดศีรษะทอง เป็นผู้ริเริ่มสร้างราหูอมจันทร์เป็นองค์แรกโดยหลวงพ่อไตรได้นำตำรามาจากเวียงจันทร์ หลังจากนั้นเจ้าอาวาสองค์ต่อมาคือหลวงพ่อตัน ซึ่งเป็นหลานของหลวงพ่อไตร หลวงพ่อตันองค์นี้จะดังในด้านเป็นหมอยารักษาโรคต่าง ๆ ได้เก่งมาก โดยเฉพาะ “น้ำมนต์ ๗บ่อ” ของท่านมีอนุภาพยิ่งนัก ส่วนราหูก็มีสร้างแต่ก็มีสร้างไม่มากนัก เจ้าอาวาสองค์ต่อมาก็คือหลวงพ่อลี ก็สร้างราหูอมจันทร์ไว้มาก แต่จะดังสู้ “ตะกรุดไม้รวกสองห้อง” ของท่านไม่ได้ หลังจากนั้น เจ้าอาวาสองค์ต่อ ๆ มา ก็ไม่ได้สร้างราหูอมจันทร์ จนมาถึงยุคของหลวงพ่อน้อย ก็เริ่มฟื้นฟูการสร้างราหูอมจันทร์ขึ้นมาอีกครั้ง หลวงพ่อน้อยได้เรียนวิชาอาคมจากโยมบิดา และได้ศึกษาจากตำราของวัดศีรษะทองที่บันทึกไว้ เป็นอักขระขอมลาวตั้งแต่สมัยหลวงพ่อไตร หลวงพ่อน้อยได้ศึกษาค้นคว้าจนมีความชำนาญอย่างสูง จึงได้สร้างราหูอมจันทร์ได้ขลังนัก จนทำให้วัดศีรษะทองมีชื่อเสียงและเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้

    ตามตำนานการสร้างราหูอมจันทร์ของวัดศีรษะทอง จุดประสงค์คือต้องการเคล็ดของ พระราหู คือ ความเป็นอมตะของพระราหูที่ไม่รู้จักตาย แม้ต้องโดนคมจักรของพระนารายณ์ตัดขาด เหลือแค่ครึ่งตัวแต่ก็ไม่ตายเพราะแอบไปดื่มน้ำอมฤตเข้าไป ในตำรากล่าวไว้ว่าให้ใช้กะลาตาเดียวหรือกะลาไม่มีตา (กะลามหาอุตม์) มาแกะเป็นรูปราหูอมจันทร์เพราะถือว่ากะลาทั้งสองชนิดมีดีอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว และโบราณยังใช้กะลาตาเดียวทำประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น ใช้สำหรับตักข้าวสารใส่หม้อ ท่านว่า “เพิ่มพูน บริบูรณ์ พูนทรัพย์นับทวี” และสำหรับกันเสนียดจัญไร, แก้ คูณไสย, กันผี อื่น ๆ อีกมากมาย

    คาถาบูชาพระราหู

    คาถาจันทรบัพพา สำหรับภาวนาพระราหูในตอนกลางคืน

    กุสเสโตมะมะ กุสเสโตโต

    ลา ลา มะ มะ โตลาโม

    โทลาโมมะมะ โทลาโมมะมะ

    โทลาโมตัง เหกุติมะมะ เหกุติ

    คาถาสุริยบัพพา สำหรับภาวนาพระราหูในตอนกลางวัน

    ยัตถะตังมะมะ ตังถะ ยะตะ วะตัง

    มะ มะ ตัง วะติตัง

    เสกามะมะ กาเสกัง

    กาติยังมะมะ ยะติกา

    ขอบคุณที่มา ทีนิวส์ และเจ้าของภาพมา ณ ที่นี้ บทความนี้เพื่อการศึกษาอนุรักษ์เชิงประวัติศาสตร์



    -------------
    ขอบคุณที่มา
    https://www.reunglaochaosiam.com/เอกะ-จักขุ-นาฬิเกลา-ของข/
     
  2. toypo

    toypo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2011
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +131
    ผมเคยเห็นของพักพวกกระลาตาเดียว มันมีตาเดียวจริงๆนะ ทีเป็นรู1ตา และบอด1ตา ทางบ้านผมทีภาคใต้ เขาไม่เล่นกัน แต่มันนานแล้วไปบ้านมันแล้วมันเอามาให้ดูมันบอกว่า เอาไว้ตักข้าวสาร เป็นความเชื่อว่ามีข้าวกินไม่มีอด
     
  3. บ้านริมคลองตลาดพลู

    บ้านริมคลองตลาดพลู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +1,057
    44D2C479-25BA-4ADA-B81B-96C88061ED3C.jpeg 689D0F04-A6C2-4807-895B-7F6F423C4C97.jpeg EA59C559-8193-4161-B93A-BE37D1CD9A60.jpeg 80BFB10D-7603-466A-B2E4-94A9F80F2AA5.jpeg 04D98743-2D17-4CAE-8D1F-465F52CE6F9B.jpeg B4DC152E-B19C-44C3-89C9-0AE80DD73930.jpeg 54856E1E-A1E5-4295-A046-6A8260775CE9.jpeg 33B7855F-0EEA-4C19-B18D-0C3994A76E24.jpeg
     

แชร์หน้านี้

Loading...