พระขรรค์ท้าวเวสสุวรรณ รุ่นเจริญลาภปราบไพรี- มูลนิธิเทียนฟ้า 2497 - วัตถุมงคล หลวงปู่พิศดู-ครูบากฤษดา

สวัสดียามเที่ยงครับป๋า

 

ed019764570th จรเข้บัว

 

ed019766235th จระเข้บัว
ed019766244th หาดใหญ่

 

สำหรับท่านที่กำลังตามหาของที่หลวงปู่เสก เหรียญพระปัจเจกพุทธเจ้า ของดีราคาเบาๆ หลวงปู่พิศดู-ครูบากฤษดา อธิษฐานจิต บูชา1,350บาท(ส่งฟรี) สภาพเดิมๆด้านหลังรอยจารของครูบากฤษดาครับ

เหรียญพระปัจเจกพุทธเจ้า
สร้างเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ 2553 แต่ออกให้ทำบุญบูชาครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ 2554 งานฉลองพระอุโบสถ วัดสันพระเจ้าแดง โดยเจ้าภาพใหญ่ที่ถวายปัจจัยในการสร้างเหรียญชุดนี้ คือ คุณอาเล็ก ซึ่งเป็นคณะศิษย์สำนักมังกรฟ้าที่ประเทศฮ่องกง ด้านหน้าเหรียญถูกออกแบบเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า มีเส้นรัศมีโดยรอบ ซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้าในเหรียญนี้ ได้ถอดแบบมาจากพระพุทธรูปเก่าแก่ประจำวัด ซึ่งมีอายุหลายร้อยปีหรืออาจถึงพันปี และด้านหลังเหรียญบรรจุยันต์เกราะเพชร ซึ่งมีอานุภาพมากด้วยพุทธคุณ ค้ำจุนดวง เสริมบารมี เสริมการงาน การเงิน มียันต์เกราะเพชรหนุนดวงจะมิตกอับ อีกทั้งยังป้องกันภัยรอบด้านอีกด้วย
จำนวนการจัดสร้าง มีรายละเอียด ดังนี้
1. เหรียญตะกั่วลองพิมพ์ จำนวน 50 เหรียญ
2. เหรียญเงิน จำนวน 108 เหรียญ
3. เหรียญนวะ จำนวน 500 เหรียญ
4. เหรียญทองแดง ประมาณ 3,300 เหรียญ ( สั่งปั้ม 3,000 เหรียญ แต่โรงงานปั้มเกินมา 300 เหรียญ)
เหรียญพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ ผ่านการปลุกเสกดังนี้
1. หลวงปู่พิศดู ธัมมจารี วัดเทพธารทอง
2. หลวงปู่ปลอด วัดโพธินิมิตร
3. หลวงพ่อบุญยัง วัดห้วยน้ำอุ่น
4. ครูบากฤษดา สุเมโธ วัดสันพระเจ้าแดง
เหรียญชุดนี้ยังได้เข้าพิธีต่างๆของทางวัดสันพระเจ้าแดงมาโดยตลอดก่อนออกให้บูชา ครูบากฤษดาท่านว่า "เหรียญนี้มีพุทธคุณในทางโชคลาภ เมตตามหานิยม และยังช่วยป้องกันภัยต่าง ๆ อีกด้วย"



ผิวเดิมๆเงาวิ้งเลยครับ

 

ส่งกำลังใจให้เพื่อนๆทุกคน ขอให้หลวงปู่ได้โปรดช่วยคุ้มครองดูแล ลูกศิษย์ทุกๆท่าน สาธุ

 

#บุญช่วยคนตาบอดที่กําลังลําบากจากโควิด19
#อยู่บ้านก็ทําบุญได้
#คนตาดีว่าลําบากแล้วคนตาบอดยิ่งลําบากกว่าเราหลายเท่านัก
#บุญและนํ้าใจของคนตาดีคือกำลังใจและแสงสว่างของคนตาบอด มีแต่แสงสว่างแห่งความเมตตาจากท่านผู้ใจบุญทั้งหลายเท่านั้นที่ข่วยให้โลกอันมืดมิดของน้องๆได้มีความหวังในชีวิตขึ้นมาบ้าง...
หลังโควิด-19 กลับมาระบาดอีกรอบ ส่งผลให้ยอดบริจาคของทางมูลนิธิฯลดลงเป็นอย่างมาก จากที่เคยมีคนและองค์กรต่างๆเดินทางมาบริจาค และมีกิจกรรมช่วยเหลือCSRต่างๆกับทางมูลนิธิ ปัจจุบันนี้ก็ต้องยกเลิกหมด แต่ยังมีค่าใช้จ่ายกับสิ่งของจำเป็นทั้งหยูกยาค่ารักษา ข้าวสาร อาหาร ครุภัณฑ์ อุปกรณ์สื่อการสอนการเรียน หนังสืออักษรเบลล์ และไม้เท้านําทางคนตาบอด ของหลายอย่างชํารุดก็ต้องจัดหาซื้อใหม่มาทดแทน และสิ่งจำเป็นอีกมากมายฯลฯ #ทางเพจบอกบุญหนุนชีวิต จึงเห็นเป็นโอกาสดีที่จะชวนทุกๆท่านได้ร่วมบุญที่มีอานิสงส์มากและพิเศษนี้โดยบริจาคเข้าบัญชีมูลนิธิได้โดยตรง
#บัญชีบริจาค ชื่อ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยฯ
ธ.กรุงไทย 022-1-33700-8
ธ.กสิกรไทย 001-2-47563-4
ธ.ไทยพานิชย์ 001-5-50577-8

 

อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ

 

ed041289587th หาดใหญ่
ed041289595th นครราชสีมา

 

หลวงปู่ท่านไม่ชอบคลุกคลี หรืออยู่กับคนหมู่มาก ท่านบอกว่า สังขารท่านจะทรุดเร็ว เนื่องจากต้องเสียกำลังของสังขาร เพื่อช่วยนั่น ช่วยนี้ ช่วยโน่น บางคนก็มาจะเอาหวยบ้าง บางคนก็เอานั่นเอานี่มาให้เสกให้เป่าให้บ้าง ฯลฯ... ลำพังจิตใจของท่านเองไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่สังขารที่ใช้งานมานานเกือบ 90 ปีมานี้ โรยราเต็มที เพราะที่ผ่านมาหลวงปู่ท่านฝึกฝนปฏิบัติธรรมมาแบบหนักหน่วงที่สุดแบบ นอนน้อย ฉันน้อย ปฏิบัติมาก ฉะนั้นภูมิจิตภูมิธรรมของท่านจึงล้ำลึก สุดยอดด้วยประการทั้งปวง
หลวงปู่ท่านเป็นพระที่รู้วาระจิตได้อย่างละเอียด.. ท่านเคยบอกว่า
" ใครจะมาจะไป ถ้าเราอยากรู้ เราก็รู้ได้หมด บางครั้งก็รู้ตั้งแต่ก่อนเขาจะออกมาจากบ้านด้วยซ้ำ.."
" ถ้าจะเข้ามาวัด ต้องวางอัตตา(ตัวตน) ยศ ตำแหน่ง ออกไปก่อน แล้วค่อยเข้ามา.."
" ถ้าโยมมาหาเรา ไม่ต้องเอาอะไรมามากหรอก แค่มาด้วยใจ ส่วนข้าวของก็เอามาตามสมควรก็พอ.."
" เราพอแล้ว เป็นพระไม่ได้ใช้อะไรมาก.. แค่โยมมาเห็น มากราบก็ได้บุญแล้ว เห็นเขาทำดีเราโมทนา ก็ได้บุญ แต่ถ้าอยากได้บุญใหญ่ก็มาภาวนา.." (Sira Pop)

 

รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับ หลวงปู่พิศดู ธัมมจารี วัดเทพธารทอง
#เคยฟังคนแก่ลูกศิษย์หลวงปู่ยุคแรกๆเล่าให้ฟังว่า..
สมัยก่อนท่านอาจารย์พิศดูนี่ท่านดุมาก (ส่วนใหญ่ลูกศิษย์รุ่นแรกๆจะเรียกหลวงปู่ว่าท่านอาจารย์) ใครมาหาท่านเจตนาไม่ดี คิดไม่ดีมักจะถูกท่านเอ็ดได้(ดุกิเลส) ด้วยเหตุที่ท่านมักจะสอบอารมณ์ของผู้ที่มาหา ทำให้คนสมัยนั้นไม่ค่อยมีใครกล้ามารบกวนท่าน ถึงแม้จะรู้กันว่าท่านเก่งมากก็ตาม นอกจากลูกศิษย์ที่รู้ใจท่านและสอบผ่านแล้วเท่านั้น มาระยะหลังๆท่านอาจารย์พิศดูท่านผ่อนผันลงไปมาก ไม่ค่อยดุเหมือนแต่ก่อน..
พระที่ปฏิบัติเคร่งครัดอย่างท่านหาได้น้อยองค์นัก ในชีวิตท่านอาจารย์มีแต่กรรมฐาน และสวดมนต์ภาวนาทั้งวัน ฉันก็น้อย นอนก็น้อย ทุกคำพูดที่ออกจากปากท่านจะมีแต่ธรรมะทั้งนั้น แทบไม่ค่อยเห็นท่านพูดเรื่องทางโลกแบบเราๆเลย ยามว่างท่านชอบให้ลูกศิษย์อ่านหนังสือธรรมะของครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ เช่นประวัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน ท่านพ่อลี ฯลฯ อีกหลายองค์ แต่ละองค์ล้วนแต่เป็นพระสุปฏิปันโนทั้งนั้น.. โดยท่านจะเป็นคนเลือกหนังสือให้อ่านเอง และให้อ่านออกเสียง ท่านบอกว่า " อ่านให้เทวดาฟัง ถ้าอ่านถูกใจเดี๋ยวเทวดาจะให้ลาภ.." นั่นคืออุบายในการให้พวกเราตั้งใจศึกษาเนื้อหาในหนังสือธรรมะ แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่อ่านๆแล้วได้ยินเสียงปริษณาพูดออกมาเป็นตัวเลข และหวยก็ออกตามนั้นจริงๆ
พระดุๆแบบท่านอาจารย์นี้แหละขลังนักเชียว อย่างเช่น เคยมีลูกศิษย์ 2-3 คน ตัดผ้าผืนสี่เหลี่ยมมาให้ท่านลงยันต์และเสกให้ ท่านบอกว่าฝากเอาไว้ก่อน ค่อยมาเอาวันหลัง วันนั้นพวกเขานอนค้างที่วัดกันด้วย พอตอนดึกๆเวลาสักประมาณตี 2 เห็นห้องอาจารย์เปิดไฟ และสวดมนต์อยู่ แต่พอสักพักมีเสียงอะไรก็ไม่รู้อยู่ในห้องท่าน เลยลองไปแอบดูกันว่าท่านทำอะไร #แค่แนบสายตาไปเท่านั้นก็ตกใจแทบคุมสติกันไม่อยู่นั่นก็คือ.. ผ้ายันต์ที่พวกเขาฝากให้ท่านลงยันต์และเสกให้นั้น บินว่อนไปทั่วทั้งห้องราวกับมีชีวิตเลย ซึ่งเป็นเพราะอำนาจพลังจิตของท่านนั่นเอง สักพักพอท่านถอนจากสมาธิแล้วผ้ายันต์ก็ร่วงลงมาเอง..
นั่นเป็นคำบอกเล่าของคุณลุงคนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ยุคแรกๆที่ผมเคยได้ยินมา
ดังที่กล่าวมานี้ผมเชื่อว่าไม่ใช่เป็นการกล่าวอ้างกันแบบลอยๆแน่ เพราะว่าแม้แต่ผมสิรภพ(ผู้เขียน)เองก็เคยได้ยินจากปากหลวงปู่ตอนท่านอารมณ์ดีๆท่านเคยพูดให้ฟังว่า..
" ถ้าจะเสกของนี่เขาต้องเสกกันให้ลอยเลย.. ทำได้ไหม..(หัวเราะ) "
การอยู่ดูแลรับใช้พ่อแม่ครูบาอาจารย์ระดับสูงแบบนี้ นอกจากเรื่องบุญกุศลที่ได้รับแล้ว จะทำให้เราได้รู้ได้เห็น และได้ประสบการณ์อะไรดีๆอีกมากมาย เรียกได้ว่าไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์.. สาธุ น้อมกราบองค์หลวงปู่ไว้เหนือเศียรเกล้า

 

มีเทียนอยู่ 4 เล่ม ซึ่งกำลังจะดับลง บรรยากาศในห้องเงียบจนได้ยินเสียงเทียนทั้ง 4 คุยกัน...
เทียนเล่มที่ 1 เอ่ยว่า...โลกเราเอาแต่ต่อสู้แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน มนุษย์คิดแต่จะเบียดเบียนกัน ไม่มีใครคิดจะปกป้องฉันเลย ในฐานะที่ฉันเป็นเทียนแห่งสันติภาพ ฉันคงต้องจากไปแล้ว แล้วเทียนเล่มที่ 1 ก็ดับลง
เทียนเล่มที่ 2 เอ่ยว่า...ส่วนฉันคือเทียนแห่งความเชื่อ ฉันคงหมดประโยชน์ที่จะส่องสว่างต่อไปแล้ว คนไม่มีความเชื่อใจกันเลย จากนั้นสายลมอันแผ่วเบาก็พัดเทียนเล่มที่ 2 ดับลง
เทียนเล่มที่ 3 เอ่ยว่า...ส่วนฉันคือเทียนแห่งความรัก แต่ทุกวันนี้ ผู้คนกลับเอารักออกไปจากใจ ไม่มีความรักอันบริสุทธิ์มอบให้กัน มีแต่ความเห็นแก่ตัว ไม่มีใครเข้าใจความสำคัญของฉัน ฉันไม่มีกำลังพอที่จะส่องสว่างอีกต่อไปแล้ว ลาก่อน...แล้วเทียนเล่มที่ 3 ก็ดับลงไป
...แต่ไม่ทันที่เทียนเล่มที่ 4 จะได้เอ่ย ก็มีเด็กน้อยเปิดประตูเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นเทียนทั้ง 3 เล่มดับลง เด็กน้อยก็ร้องห่มร้องไห้ เทียนเล่มที่ 4 ก็เอ่ยขึ้นว่า "อย่าได้เสียใจไปเลย ฉันคือเทียนแห่งความหวัง และฉันยังส่องสว่างอยู่ หยิบฉันแล้วจุดที่เทียนทั้ง 3 เล่มสิ"
เมื่อเด็กน้อยนำเทียนแห่งความหวัง จุดไปที่เทียนทั้ง 3 เล่ม แล้วเทียนแห่งสันติภาพ เทียนแห่งความเชื่อ และเทียนแห่งความรักก็สว่างขึ้น...
เพราะความหวังทำให้ชีวิตยังมีความหมาย เพราะความหวังทำให้คนที่ป่วยไม่สบาย พิการยังสู้เพื่อมีชีวิตต่อ เพราะความหวัง ทำให้คนที่กำลังเผชิญกับสึนามิของปัญหา มีกำลังใจยืนหยัด ยืนยง มั่งคงอยู่ได้
เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่มีใครสักคนเล่าความหวังให้เราฟัง ขอให้รู้ว่านั่นอาจจะเป็นเสมือนเทียนเล่มสุดท้าย และมันอาจเป็นความหวังที่มากไปกว่าเพื่อตัวของเขาเอง หน้าที่ของเราคือ ไม่ว่าเราจะช่วยได้หรือไม่ก็ตาม อย่าไปดับความหวัง หรือความฝันของใคร โปรดช่วยกันรักษาความหวังของทุกๆ คนที่รู้จัก
...เพราะนั่นอาจเป็นความหวังสุดท้ายของใครบางคนและอีกหลายคนที่อยู่รอบข้าง จงเป็นความหวังและกำลังใจแก่คนที่เรารัก และบุคคลรอบข้าง
Cr : Forward LINE

 

#เรื่องกลิ่นกาย(ทิพย์) ของหลวงปู่พิศดู
ผู้ที่ได้เคยอุปัฏฐากรับใช้หลวงปู่ หรือผู้ที่มาหาท่านบ่อยๆจะรู้ว่า หลวงปู่ท่านมีกลิ่นกาย(ทิพย์)เฉพาะตัว เป็นกลิ่นที่ หอม ออกมาจากกายของท่าน ผิดไปจากกายคนธรรมดา ทั้งๆที่หลวงปู่ท่านแทบจะไม่สรงน้ำเลย โดยปกติส่วนใหญ่ท่านจะสรงเพียงปีละ 1 ครั้ง แต่บางครั้งไม่ได้สรงติดต่อกันนานถึง 5 ปีก็มี (ไม่ใช่ว่าหลวงปู่ไม่ชอบสรงน้ำ แต่ว่าท่านมีความพิเศษที่สามารถฟอกธาตุฟอกขันธ์ให้มีความสะอาดเหนือกว่าคนธรรมดาได้) ถึงท่านจะมีเหงื่อไคลออกมาตามธรรมชาติ แต่ผิวพรรณของท่านกลับดูผุดผ่อง สะอาด แถมยังมีกลิ่นหอม แม้แต่ผ้าอังสะ หรือจีวรที่ท่านใส่ซ้อนกันหลายๆชั้นใส่ติดต่อกันนานเป็นปีๆไม่เคยถอดซัก พอถึงเวลาอันสมควร (ส่วนใหญ่จะเป็นวันปีใหม่ไทย) ท่านก็ถอดเปลี่ยน อังสะนั้นก็ยังติดกลิ่นกายของท่านมาด้วย และกลิ่นนี้แหละท่านบอกว่า.. " กลิ่นศีล กลิ่นธรรม.."
แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมอันบริสุทธิ์ แห่งความเป็นพระอริยะของท่านอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมที่สุด ซึ่งอีกประการหนึ่งก็จะเห็นได้จากส่วนหนึ่งที่มาจากธาตุขันธ์ของท่าน เช่น เกศา เล็บ ฟัน โลหิต อุจจาระ ปัสสาวะ อัฐิธาตุ ฯลฯ ที่ได้แปรสภาพเป็น พระธาตุ
และกลิ่นดังกล่าวยังเป็นเสมือนตัวแทนให้ลูกศิษย์ได้รับรู้ถึงการมาโปรดของท่านในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนของทุกมุมโลก หากได้กลิ่นทิพย์นี้ก็ให้ทราบว่า หลวงปู่ท่านกำลังตามไปดูแลรักษา และท่านกำลังแสดงให้เรารับรู้ อย่างไม่มีสิ่งใดสามารถขวางกั้นได้
บางครั้ง ลูกศิษย์บางคนของหลวงปู่ ช่วยวันหยุดยาวแอบหนีเที่ยวไปถึงเมืองนอก โดยที่ไม่ได้บอกใคร พอขึ้นเครื่องบิน กลิ่นทิพย์ของท่านก็ยังตามมาอยู่บริเวณนั้นสักพักหนึ่ง เจารู้ทันทีว่าหลวงปู่คงตามมาแน่ๆ แต่เมื่อเขากลับมาหาหลวงปู่ที่วัด ท่านก็ทักทันทีเลยว่า " หนีไปเที่ยวไหนมา ฯลฯ.."
เป็นธรรมดาสำหรับพวกเรา ที่จิตยังหยาบและสายตายังมืดมัว มองเห็นกายละเอียดของท่านไม่ได้ ท่านก็จะแสดงให้เป็นกลิ่นทิพย์ดังกล่าว ให้เราได้ทราบถึงการมาของท่าน แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่ท่านไปปรากฏกายให้เห็นด้วยตาเนืัอมาแล้วก็มี..
(sira pop)

 

ed055516023th จรเข้บัว

 

ed055540314th สามพราน

 

หลวงปู่พิศดู ท่านเป็นพระที่ชอบแจกทาน ไม่ว่าใครที่ได้มากราบนมัสการหรือทำบุญกับท่าน ก็ต้องได้ของติดไม้ติดมือกลับไปแทบทุกครั้ง ท่านไม่ค่อยให้กลับบ้านมือเปล่า หลวงปู่บอกเสมอว่า..
" รับของเขาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้กลับไปด้วย ต่างคนต่างได้ต่างคนต่างรับ.."
(ข้อมูลคุณทุเรียนทอด)

 

ed055551728 รามอินทรา

 

"โยม มีของดีต้องเอามาใช้นะ"