แชร์ผลการปฏิบัติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฐสิษฐ์929, 13 มิถุนายน 2014.

  1. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในธรรมของทุกท่านด้วยครับ

    ขออนุญาตร่วมสนุกบ้าง ตามคำถามของคุณ nop นะครับ

    ความคิดที่เป็นขันธ์นั้น ไม่ว่าจะคิดในทางธรรมหรือทางโลกก็แล้วแต่มันจะเป็นการเอาสิ่งที่ตัวเองเคยรู้มา ไม่ว่าจะจากการอ่านหรือการฟังหรือการดูก็แล้วแต่ จะยกเรื่องสิ่งที่กำลังคิดอยู่มาประมวลผลวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบ หรือง่ายๆว่า การเอาข้อมูลมากมายมาวิเคราะห์เพื่อให้ได้เพียงคำตอบเดียวประมาณนั้น

    แต่การรู้ที่เกิดจากจิตนั้น จะเป็นเหมือนระเบิดปรมณู คือรู้ในสิ่งที่ทำอยู่หรือเพ่งอยู่เพียงสิ่งนั้นสิ่งเดียวหรือเรื่องนั้นๆ แล้วจะเกิดการรู้ออกไปโดยรอบ รู้ในสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน รู้และเข้าใจอย่างมากมาย และจะเกิดสภาวะเหมือนมีการเอาสิ่งที่เคยรู้มาก่อนมาประมวลผลรวมกันกับสิ่งที่เกิดการรู้ขึ้นมาใหม่ ถ้าเอามาเขียนอธิบายโดยภาษา 10 หน้ากระดาษก็ไม่หมด และบางอย่างเราไม่อาจหาภาษามาอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจอย่างที่เราเข้าใจได้

    การรู้กับการเห็นต่างกัน การเห็นคือ การเกิดสภาวะขึ้นเราสัมผัสได้ แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมายังไงดับไปเพราะอะไร แต่การรู้คือ เราได้สัมผัสและรู้ว่ามันเกิดขึ้นมาได้ยังไงและดับไปได้อย่างไร การเห็นนำไปสู่การรู้ได้ โดยมีการเห็นอยู่เนืองๆจนเริ่มเข้าใจโดยละเอียด

    จิตสงบข้าพเจ้าขออธิบายโดยเปรียบกับจิตตั้งมั่น
    จิตสงบ คือจิตที่ไม่ข้องเกี่ยวกับขันธ์ห้า ไม่เกิดกิเลส อยู่โดยเป็นเอกเทศ จิตจะสงบระงับได้ต้องให้กายสงบก่อน แล้วจิตจะเริ่มทิ้งจากขันธ์ห้าจิตจึงสงบได้
    จิตตั้งมั่น คือจิตที่ยังมีขันธ์ห้าไปมาหาสู่อยู่ แต่จิตยังคงไม่กระเพื่อมไหว ไปตามกระแสของสภาวะต่างๆที่กระทบ จิตจะตั้งมั่นได้ต้องมีสติและฐานที่มั่นคงเสียก่อน

    จริงๆแล้ว สติสำคัญกับทุกกระบวนการ

    ถ้าท่านเป็นผู้ทำสมาธิแบบลืมตาจะสังเกตได้ว่า เมื่อมีจิตที่ตั้งมั่นได้บ้างแล้วสติเริ่มดีแล้ว เมื่อตาไปเห็นรูปก็จะรู้ว่าจิตย้ายฐานไปที่รูป และเกิดกระบวนการทางขันธ์ห้าที่มีรูปเป็นเหตุ จนเกิดภพขึ้นมาเพราะรูป

    คงเอาพอสังเขป ผมพอจะรู้เห็นถูกต้องบ้างไหมครับ โปรดแนะนำด้วยครับ

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2014
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ใช่ครับ ประมาณ คุณ Supop อธิบายมานั่นถือว่าใช่เลยครับ
    ทั้งเรื่องเกี่ยวกับกิริยาความคิดที่เป็นขันธ์ ตรงนี้ผมเรียกความคิดที่เกิดจากจิต.
    ถ้าขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมที่เป็นฝ่ายอารมย์จะเป็นอีกแบบครับ..
    มีลักษณะเด่นพิเศษที่แตกต่างความคิดที่เป็นขันธ์อย่างคุณ Supop
    เข้าใจคือ มันจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แทรกแซงไม่ได้
    ขึ้นมาอย่างไรก็อย่างนั้นครับ..
    และเรื่องของคุณ Supop เรื่องการรู้จากจิตส่วนตัวผมเรียกว่าปิ้งแว๊ปแล้วครับ..
    คือมันเลยเรื่องปัญญาทางธรรมของเรา
    ไปสู่การเชื่อมต่อองค์ความรู้พิเศษต่างๆจากภายนอกได้
    อย่างที่ว่าครับเชื่อมจากไหนได้จากไหนคงไม่ต้องบอก
    แค่วิหรือเสี้ยววินาที การอธิบายอาจต้องใช้การเขียนหลาย
    หน้ากระดาษนั่นหละครับ..
    จิตสงบที่คุณว่าต้องทิ้งความคิดที่เป็นขันธ์ใช่ครับแต่ขอเพิ่มตรงนี้คือ
    ถ้าสามารถวางขันธ์ ๕ ส่วน
    นามธรรมที่เป็นฝ่ายอารมย์ร่วมด้วยได้ จิตก็จะสงบและเข้าสู่
    เข้าสภาวะเป็นกลางเพื่อการเดินปัญญาต่อไปได้ครับ...

    ส่วนจิตตั้งมั่นอย่างที่คุณ Supop บอกกิริยาอย่างนี้ หมายถึงกิริยาทางจิต
    ที่มันมีปัญญาทางธรรมค่อนข้างมากพอสมควรแล้วครับ.บวกกับการสะสมกำลัง
    สมาธิพอสมควรในระดับที่ดีถึงจะเกิดกิริยาจิตตั้งมั่นแบบคุณ Supop กล่าวไว้ได้ครับ
    ก็จะเกิดกิริยาความเข้าใจอย่างที่ได้อธิบายต่อไปอย่างที่คุณ Supop กล่าวไว้ได้
    นั้นหละครับ...แบบทั่วๆไปที่ผมกล่าวก็ประมาณนี้..ส่วนตัวถ้าจะจิตตั้งมั่นยังต้อง
    อาศัยระยะเวลาอยู่บ้างครับ..เพราะว่าเรื่องเข้าใจในส่วนนามธรรมและปัญญาทางธรรม
    ส่วนตัวทางครูบาร์อาจารย์ท่านบอกว่ายังอยู่ในระดับที่หยาบอยู่.เป็นที่มาของ
    การใช้ระยะเวลาในการวางความคิดที่เป็นขันธ์แบบคุณ Supop เข้าใจ
    หรือ การวางขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมครับ พอสังเขปก็ประมาณนี้เช่นกันครับ

    ปล.ถือว่าเป็นการแชร์นะครับ
     
  3. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ข้าพเจ้าขอขอบคุณและอนุโมทนากับคุณ bop ด้วยครับ

    ผมอาจจะตอบคลาดเคลื่อนไปบ้างไม่ละเอียดบ้าง และตกคำถามไปบ้าง โปรดอภัยด้วยครับ

    เรื่องความคิดจากจิตนี่เท่าที่ข้าพเจ้าพอรู้ ฐานการเกิดของมันจะอยู่ที่จุดที่เราวางจิตไว้ ส่วนความคิดของขันธ์นั้นมีอยู่ที่เดียวคือสมอง สังเกตได้ว่าเมื่อเราบริกรรมคำภาวนาอยู่นั้น คำภาวนานั้นจะอยู่ตรงฐานของจิตที่เราวางไว้อยู่ แต่เมื่อหลุดไปความคิดอื่นที่นอกเรื่อง เราจะรู้ได้ชัดว่าจิตเรามันวิ่งไปวนอยู่แถวสมอง ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพอจะอธิบายได้ว่าฐานความคิดของขันธ์อยู่ไหน ฐานความคิดของจิตอยู่ตรงไหน และพอจะแยกแยะได้ว่า ความคิดนี้มันเกิดมาจากไหน

    ส่วนเรื่องกริยาของอารมณ์ข้าพเจ้ายังไม่ได้ตอบครับ และอาจจะไม่ทราบโดยละเอียด แต่ข้าพเจ้าพอจะทราบว่า อารมณ์จิตที่ไม่ดีนั้น จะหนักๆ อื้อๆอึง ไม่โล่งไม่โปร่ง มีความผยองแบบไม่ดี แต่อารมณ์ที่ดีนั้น จะโล่ง เบา สว่าง สงบ และเมื่อมีสติทันรู้ว่าจิตเข้าไปครองภพของอารมณ์นั้นๆแล้ว จะใช้วิธีค่อยๆถอยออกมาที่ฐานก็ได้ หรือประครองจิตไว้ในอารมณ์นั้นๆ แต่ค่อยๆดูค่อยๆรู้อย่างช้าๆ แล้วอารมณ์นั้นๆจะหายไปกับตาอย่างเข้าใจครับ

    ส่วนเรื่องการปฏิบัตินั้นถ้าเรายังต้องทำเพื่อระงับเพื่อให้จิตคงความสงบคงความตั้งมั่นคงความเป็นกลางอยู่ นั่นแสดงว่าเรายังทำอยู่ เมื่อไหร่ที่มันวางเอง ตั้งมั่นอยู่เอง สงบอยู่เอง รู้ได้โดยรอบเอง โดยไร้ความตั้งใจที่จะทำการใดๆ อีกต่อไป เมื่อนั้นคงจะจบกิจของเราเป็นแน่แท้....

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  4. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +1,844
    แชร์ขั้นตอนการปฏิบัติเพ่งฌาน

    อาจจะมีบางท่านที่สนใจจะปฏิบัติ ผมจึงขอแนะการเพ่งฌานโดยสมบูรณ์ ตามหลักหลวงปู่สาวกโลกอุดร
    ให้พิจารณาอาการ 32 เป็นปกติวิสัย พิจารณาโดยระลึกรู้แต่ละอย่างและถามมันด้วยว่ามันเป็นอะไร หลวงปู่แสดงว่าคนเรานั้นจะยึดติดที่รูปร่างกายทั้งของเราและของคนอื่น การพิจารณาอาการ 32 นี้ จะยังผลให้เราเบื่อหน่ายในร่างกายของเรา และของคนอื่น อาการ 32 นี้เป็นประโยชน์เมื่อจิตตกจากอารมณ์เพ่งก็จะมาค้างที่ตรงนี้ ไม่ทำให้เราตกลงไปเป็นทาสของกิเลสอีก
    การเพ่งที่จุดมโนทวารจะให้อะไรกับผู้เพ่ง เพ่งที่อื่นได้หรือไม่ ตรงนี้เป็นความลึกลับอย่างหนึ่งที่หลวงปู่ค้นหาจนพบว่า ที่จุดมโนทวารนี้เป็นทางเข้าออกของความคิด กิเลสก็อยู่ในความคิด มันผ่านเข้าออก ณ ที่ตรงนี้ สติก็อยู่ในความคิด การเอาสติมาเพ่งจี้ตรงนี้ เมื่อสติแก่กล้าเกิดได้เร็วเท่าๆกับกิเลส สติกับกิเลสจะทำลายกันเอง การทำลายก็ต้องที่จุดนี้ ที่อื่นนั้นก็ไม่ทันกิเลส เพราะกิเลสเกิดตรงนี้ หลวงปู่ให้ทัศนะในการปฏิบัติว่า เรื่องกิเลสไม่ต้องสนในเลยก็ได้ เอาว่าทำอย่างไรให้ความคิดดับ เมื่อความคิดมันยังไม่ดับก็เพ่งกันเรื่อยไป เอากันแค่นี้ ฟังดูเรียบง่ายได้ใจความ
    การนั่งใช้ท่านั่งปรางค์พระพุทธองค์เสวยวิมุติสุข เป็นท่าสมาธิโดยมือทั้งสองข้างไปวางจับที่หัวเข่า และควรมีพนักพิงหลัง ทำไมต้องนั่งท่านี้ ทำไมต้องมีที่พิงหลัง ทุกอย่างมีเหตุผลทั้งสิ้น เมื่อเพ่งไปได้ระดับหนึ่ง เมื่อสติเริ่มมีกำลัง สติเมื่อพุ่งใส่ที่จุด มันมีแรงส่งให้ร่างกายล้มไปด้านหลัง ถ้าไม่เอามือจับที่หัวเข่าก็จะล้มไปด้านหลัง พนักพิงก็ช่วยดันร่างกายไว้ด้วย ในสมัยก่อนท่านจะนั่งที่โคนไม้เอาต้นไม้เป็นพนักพิง
    การเพ่งเมื่อปฏิบัติไปจะสอนเราเองไปด้วย ว่าเราจะมุ่งมั่นเพียงพอหรือไม่ การเพ่งที่จุดนี้เพียงจุดเดียวฟังดูเหมือนง่าย แต่ในทางปฏิบัตินั้นยากมาก เพราะจะมีตัวหลอกมากมาย ทำให้เราหลุดได้ตลอดเวลา ใหม่ๆบางคนเอาเล็บจิกตำแหน่ง เพื่อง่ายต่อการเพ่ง เมื่อเพ่งได้ที่แล้วจะเกิดเวทนาต่อเนื่องที่จุด หรือรอบๆจุด ทำให้เพ่งสะดวกขึ้น
    ในชีวิตประจำวันหากมีอารมณ์ที่ร้ายหรือดีเข้ามันเด่นชัดให้เพ่งสู้อารมณ์นั้นทันที เช่นว่าถูกเขาด่าเราก็ไม่พอใจ ทางแก้คือเพ่งสู้อารมณ์นั้น
    การเพ่งให้เป็นลักษณะเพ่งพุ่งจากด้านนอกเข้าหาด้านใน การเพ่งสามารภทำได้ตลอดเวลาทุกอริยาบท หลักในการเพ่งก็คือเพื่อดับความคิดนอกนี้ก็ไม่มีอะไรให้หวังอีก ดีหรือชั่วก็ก้าวข้ามไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเจออะไรเรามีทางแก้ให้กับทุกคนแล้วก็คือเพ่งสู้กัน ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นอีก
    จุดมโนทวารอยู่ระหว่างลูกตาทั้งสองข้าง ตรงบริเวณดั้งจมูกหัก
    เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2014
  5. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ก็ดีแล้วล่ะ ส่งเสริมอานาปา โดยสะสมสุตตะ ต่อไปนะ
     
  6. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    อานาปานสตินั้น คือการมีสติอยู่กับลมหายใจเรียนรู้ความจริงของสิ่งทั้งปวง(ปรมัตถ์สัจจะ) และเข้าถึงสภาวะสูงสุดเท่าที่สัตว์จะเข้าถึงได้ในฝ่ายสังขตะธรรม(คือฌาน) สิ่งไหนเกิดก่อนหลังก็ได้แต่ต้องร่วมกัน องค์ของฌานและปัญญาจะทำรายกิเลสลงสิ้น
     
  7. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nopphakan [​IMG]
    ๕๕๕ มา ๑๗ หน้ายังไม่เห็น ยูเรีย เลย..
    ไม่มีอะไรแนะนำหรอก แต่มีเรื่องมาถาม.ว่าเข้าใจอย่างไร
    จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้...
    ถามว่า..๑.กิริยาของความคิดที่เกิดจากจิต.
    ๒.กิริยาของขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ที่เป็นอารมย์
    ๓. กิริยาที่จิตเป็นกลาง.
    ๔.กิริยาจิตว่าง .
    ลักษณะที่เด่นๆของแต่ละกิริยาที่เรารู้สึกได้สัมผัสได้เป็นอย่างไร..
    .แค่นี้หละครับ..ไว้เจอกันหลังปกป้องโลกนะ ๕๕๕

    ๑.กิริยาของความคิดที่เกิดจากจิต.
    ล้วนเป็นความคิดที่ปรุงแต่งเป็นอุปทาน

    ๒.กิริยาของขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ที่เป็นอารมย์

    คืออาการไหวตัวเมื่อมีเหตุปัจจัยมากับทบกับขันธ์ทั้งห้าคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน แล้วเกิดความยินดียินร้าย
    ๓. กิริยาที่จิตเป็นกลาง
    จิตที่วางอุเบกขาอาการของจิตที่วางเฉย ไม่ยินดียินร้าย
    ๔.กิริยาจิตว่าง
    จิตที่ยิ้มได้เองโดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม
     
  8. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ค้นหาความเป็นเรา

    สิ่งนี้มันเกิดเพราะพระอาจารย์ต่างๆทั้งตำราทั้งหลายจะว่ากล่าวคำว่า "เรา" หรือ "อัตตา" ผมก็สงสัยว่ามันอยู่ตรงไหนของร่างกายเรา เมื่อมันเกิดความสงสัยอย่างมาก ก็เลยมานั่งปฏิบัติค้นหาสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง
    วิธีปฏิบัติก็เอาสติไปดูตามร่างกาย แล้วก็ถามในความรู้สึกตัวของเราเอง ว่ามันใช่เราหรือไม่ใช่ ผมทำอย่างนี้อยู่นานพอสมควร วันหนึ่งก็ได้คำตอบที่น่าพอใจ
    การปฏิบัตินี้ผมทำขึ้นก่อนจะพบฌานสมาบัติ คำตอบที่ผมได้รับคือทุกส่วนของร่างกายเป็นเราทั้งหมดมากน้อยต่างกันไปตามความสำคัญ แต่ที่เป็นเรามากสำคัญที่สุดก็อยู่ตรงกลางของศีรษะนี้ละ และบังเอิญว่าจุดมโนทวารก็อยู่ตรงนั้น การเจริญสติท่านก็บอกว่าให้เอาสติมาไว้เฉพาะหน้า มันมี 2 - 3 เรื่องที่มาประจวบเหมาะกันพอดี หลวงปู่บอกให้เพ่งที่จุดมโนทวาร ผมแทบไม่ต้องคิดอะไรอีกเลย ผมปฏิบัติทันที เพราะว่ามันสอดคล้องกับการที่ผมปฏิบัติมาก่อนหน้านี้แล้ว
    คุณเคยหาเราในตัวคุณหรือยัง มันจะเหมือนหรือต่างกับเราของผมอย่างไร
    เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2014
  9. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    เราไม่มี ถ้ามีเรากิเลสหมดไปนานแล้ว
     
  10. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    ไม่มีเรา ไม่มีเขา ก็คงดี อะนะ

    มีแต่เรา ไม่มีเขา ก็ยังพอไหว

    เหลือแต่เรา นี่สิ ไปไงต่อดี
     
  11. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ห้ามลมหายใจไม่ให้เขาออกได้ป่าวล่ะ ถ้าห้ามไม่ได้จะใช้เราได้อย่างไร
     
  12. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    ถ้าจะให้เจ๋ง ต้องให้หัวใจหยุดเต้น ด้วย
     
  13. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ตายเลยดีกว่า
     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    อุปาทานสี่------กามุปาทาน สิลพตุปาทาน ฐิทธิตุปาทาน และ อัตวาทุปาทาน....ในลัทธิความเชื่ออื่นอาจจะมีสอน กามมุปาทานบ้าง สิลพตุปาทานบ้าง ฐิทธิตุปาทาน บ้าง หรือทั้งสามอุปาทานบ้างแต่มีเพียงพระพุทธศาสนาเท่านั้น ที่สอนเรื่อง อัตวาทุปาทานด้วย รวมเป็น อุปาทานสี่:cool:
     
  15. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    เลือกได้ไม๊ แบบมีไออุ่น หรือ ไม่มีไออุ่น
     
  16. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ไม่มีเรา มีแต่จิต ว่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2014
  17. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ไออุ่นมักจะมีในความรัก และความรักนั้นเป็นทุกข์
     
  18. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    อนัตตะลักขณะสูตรคร่าวๆ รูปไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา เวทนาไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา สัญญาไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา สังขารไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา วิญญาณไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา
     
  19. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +1,844
    แชร์เรื่องฤทธิของพรามณ์

    ครั้งหนึ่งในงานปฏิบัติธรรมเมื่อครั้งที่ผมมีปิติรุนแรงถึงกับร้องไห้ออกมานั้น ก็เพราะส่วนหนึ่งได้ฟังธรรมของพรามณ์ ซึ่งท่านอายุประมาณ 20 เศษๆ เมื่อแสดงธรรมแล้วและก็ปรากฏผลว่าตัวผมได้ปิติอย่างรุนแรงในตอนนั้น พระที่เป็นอาจารย์กรรมในตอนนั้นก็เกิดความไม่พอใจพรามณ์คนนั้นอย่างมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าพระด้วยกันมักจะพูดเสมอว่า "โยมเทศน์ข้ามหัวพระ" ผมมารู้อีกทีว่าทั้งพระและพรามณ์เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ส่วนพรามณ์ได้สำเร็จธรรมในขณะเป็นสามเณรที่วัดเขาสุกิม จันทบุรี พอครบบวชก็บวชพระแต่เมื่อบวชแล้วก็ป่วยแทบปางตาย พอสึกออกมาก็หาย ท่านก็บวชพรามณ์นุ่งขาวหุ่มขาวตั้งแต่นั้นมา การแสดงธรรมหลายส่วนว่ากันไปในทางฤทธาศักดาเดช หากแสดงในทางธรรมก็นุ่มนวลไพเราะน่าฟังมาก
    ท่านชอบว่ากล่าวในส่วนของฤทธิหลายประการ แต่จะไม่ขอเอ่ยถึงในส่วนนั้น จะเอาเฉพาะที่ผมเห็นก็แล้วกัน เนื่องจากผมเห็นว่าพระรูปนั้นท่านแสดงธรรมในเชิงเสียดสีพรามณ์เกือบทุกครั้งที่ท่านมีโอกาส ผมก็เลยถามพรามณ์ว่าจะมีผลในทางกรรมอย่างไร แม้นว่าเมื่อพรามณ์เมื่อได้ขึ้นแสดงก็จะแสดงในเชิงอโหสิกรรมให้ตลอดเวลาก็ตาม พรามณ์นั้นก็บอกว่ากรรมของเขาจะส่งผลให้เขาไม่สามารถแสดงธรรมได้นับจากเย็นวันนี้เป็นต้นไป
    ผมก็รอสังเกตุการแสดงธรรมของพระรูปนั้นว่าจะเป็นอย่างที่พรามณ์ว่าไว้หรือไม่ พอถึงเวลาในช่วงเย็นก็จะมีการนำทำวัดเย็น พระรูปนี้ก็จะเป็นพระนำทำวัดเย็น ทำไปได้เพียงไม่นาน ท่านก็เสียงหายนำสวดไม่ได้ พอเอาไมล์ออกให้คนอื่นนำ ท่านก็สวดได้ พอเอาไมล์มาจ่อปากก็ไม่มีเสียงอีก ดูๆก็คล้ายว่าท่านเป็นหวัดและมีอาการไอด้วยเมื่อเอาไมล์มาจะสวด ท่านสวดไม่ได้ บางครั้งพูดไม่มีเสียง บางครั้งก็ไอติดต่อกัน
    หลังจากเสร็จจากการทำวัดเย็นผมก็เห็นท่านสามารถพูดจาได้ตามปกติ ดูท่านเองก็แปลกใจในเหตุการณ์ดังกล่าวเหมือนกัน พอวันหลังก็เป็นอีก เป็นอย่างนี้จนพรามณ์ท่านได้ออกจากไป พระรูปนี้จึงสามารถพูดจากับไมล์ได้
    พรามณ์รูปนี้ถ้าว่าอายุในปัจจุบันน่าประมาณ 30 ปีกว่าๆ ครับ
    เจริญในธรรม
     
  20. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ไหนๆกระทู้นี้ก็เป็นเรื่องแชร์ผลการปฏิบัติ ข้าพเจ้าขอเข้าเรื่องกระทู้บ้าง แต่ข้าพเจ้าเคยเล่าไปแล้วในกระทู้เก่าๆ ขอรวมมาบางส่วนเอามาเล่าใหม่นะครับ และเรื่องของประสบการณ์จากการปฏิบัติในแนวนี้ข้าพเจ้ายังไม่เห็นมีใครลงไว้ ก็เลยขออนุญาตลงในแนวนี้ไว้นะครับ

    เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเริ่มพิจารณา กายครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้าเริ่มที่จะพิจารณาผิวหนังก่อน เพราะข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าอยากจะตัดกามให้ได้ และสิ่งที่ข้าพเจ้าติดที่สุดคือผิวหนัง ข้าพเจ้าจึงเริ่มพิจารณาที่ผิวหนังเป็นอันดับแรก

    ข้าพเจ้ากำหนดนิมิตเป็นผิวหนังของตัวเองขึ้นมา ในขณะที่กำลังทรงสมาธิไว้ที่ภาพนิมิตผิวหนังอยู่นั้น ทันใดนั้นภาพนิมิตนั้นก็ซูมขยายใหญ่ขึ้น ภาพผิวหนังใกล้เข้ามามากขึ้น เหมือนกำลังซูมดูด้วยกล้องจุลทัศน์ประมาณนั้น ข้าพเจ้าเห็นรูขุมขนชัดเจน เห็นถึงขี้ไคลและสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามผิวหนังและฝังอยู่ในรูขุมขน เห็นถึงขนาดเข้าใจได้ชัดว่าสิวหรือตุ่มต่างๆมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง มีความรู้สึกรังเกียจขยะแขยงผิวหนังเกิดขึ้นมา แต่ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็คิดว่า แล้วผิวหนังมันมีความสำคัญยังไงทำไมเราถึงต้องมีผิวหนัง ในขณะที่กำลังคิดนั้น ผิวหนังที่กลางหน้าอกของข้าพเจ้าก็ถูกฉีกออกไปเห็นถึงเนื้อและกล้ามเนื้อข้างใน และทันใดนั้นข้าพเจ้าก็รู้สึกแสบจิ๊ดตรงที่บริเวณผิวหนังถูกฉีกออก แล้วข้าพเจ้าก็เข้าใจว่า ผิวหนังมีความสำคัญเช่นกันสำหรับสิ่งมีชีวิต เพราะผิวหนังช่วยป้องกันอากาศและมลภาวะตลอดจนเชื้อโรคหรือสารอะไรต่างๆเข้าไปทำร้ายกับอวัยวะภายใน อาการแสบคืออาการของเนื้อที่สัมผัสกับลมเท่านั้น.

    อีกครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าเริ่มพิจารณาให้เข้าไปลึกกว่านั้น (ตอนนั้นนั่งรถเมล์ไปทำงานอยู่) ข้าพเจ้าพิจารณาไปถึงเนื้อ น้ำเลือดน้ำหนอง โดยกำหนดเป็นภาพนิมิตค่อยแหวกเข้าไปดู เมื่อดูไปได้สักพัก จู่ๆจิตข้าพเจ้าก็เกิดสะดุ้งพร้อมกับความเกลียดความกลัวในกายตนเอง และอุทานมาอย่างแรงว่า "นี่กุอยู่ในตัวอะไรวะเนี่ย" แล้วสมาธิก็หลุดในทันที ข้าพเจ้าจะกำหนดเข้าไปอีก แต่พอมองดูข้างทางแล้วเห็นว่าใกล้ถึงแล้ว จึงหยุดไว้เพียงแค่นั้น.

    เอาอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องการกินอาหารในสมาธินั้น ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าทำได้ถึงในสมาธิระดับใดได้บ้าง ข้าพเจ้ารู้แต่เพียงว่า เริ่มตั้งแต่อุปจารสมาธิก็สามารถทำได้แล้ว โดยนึกถึงนิมิตอาหารขึ้นมาแล้วกิน ทำความรู้สึกทุกอย่างให้เหมือนว่ากำลังกินอยู่ รสชาติของอาหารและกลิ่นจะหอมและละมุนกว่าของจริง และอิ่มจริง แต่ข้าพเจ้ายังไม่เคยลองกินแต่ในสมาธิเพียงอย่างเดียวโดยไม่กินอาหารจริงติดต่อกันนานๆนะครับ เลยไม่รู้ว่า ถ้ากินแต่ในสมาธิเพียงอย่างเดียวจะตายหรือไม่ อีกอย่างอาหารในสมาธิกับอาหารที่มีทางภพภูมินำมาให้ จะเป็นความรู้สึกและอารมณ์สมาธิแบบเดียวกัน.

    ถือว่าอ่านนิทานสนุกๆนะครับ

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...