แฟนเพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง, 2 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    เร่งรัดบารมี…ไปนิพพาน โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
    ..บารมีนี่มันเร่งได้
    ถ้าเราต้องการชาตินี้จริงๆ ก่อนภาวนาทั้งหมดให้ทุกคนคิดถึง ทุกข์ เสียก่อน ให้สร้างความเข้าใจตามความเป็นจริง ว่าวันนี้ทั้งวัน..เรามีงานอะไรบ้าง งานทุกอย่าง มันเป็นสุขหรือมันเป็นทุกข์ ความทุกข์เข้ามาครอบงำเราทุกวัน มันเบียดเบียนเราทุกวัน นั่นคือ ความหิว ชิฆัจฉา ปรมา โรคาความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง ความหิวเป็นทุกข์
    การปวดอุจจาระปัสสาวะ ก็มีกับเราทุกวัน ก็เป็นทุกข์ ถ้าเรายัง เกิด อย่างนี้ มันก็ต้องทุกข์อย่างนี้ และ ความแก่ ก็ครอบงำเราทุกวัน การป่วยไข้ไม่สบาย ก็เข้ามายุ่งกับเราทุกวัน ในที่สุด ความตาย ก็เข้ามาถึง มันเป็นทุกข์อย่างหนึ่งมันค่อยๆ เห็นนะ
    แต่ว่าทั้งๆ ที่เราค่อยๆ เห็น เราก็ตัดสินใจง่ายๆ ขึ้นชื่อว่า การเกิดเป็นมนุษย์ มันทุกข์อย่างนี้ เราก็จะขอเกิดเพียงชาติสุดท้าย ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเราอีกต่อไป เราต้องการนิพพาน
    หลังจากนั้นก็ภาวนา จับลมหายใจเข้าออกภาวนาว่า พุทโธ เรื่อยไป หรือว่าท่านผู้ใดได้มโนมยิทธิก็ขึ้นไปนิพพาน แต่ว่าท่านที่ไม่ได้มโนมยิทธิจะใช้อุปสมานุสสติกรรมฐานก็ได้..ภาวนาว่า “นิพพานะ สุขัง”หมายความว่านิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ถ้าเราทำอย่างนี้ทุกวัน สักวันละ 2-3 นาที ไม่ต้องมาก
    แล้วก็เวลาจะตายจริงๆ ถ้าป่วยใกล้ตายจริงๆ อารมณ์อย่างอื่นมันจะตัดไปหมด จิตมันจะวางเฉยในทรัพย์สินทุกอย่าง ในบุคคล และมันก็จะวางเฉยในร่างกายของมันเอง..
    จากธรรมปฏิบัติเล่ม17 หน้า95-96

    12717814_1063421270345423_1455823704379031559_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    บาปล้างไม่ได้ ต้องทำบุญหนีบาป
    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุงตอบปัญหาธรรม

    ต้องทำบุญหนีบาป ไม่ใช่ล้างบาปได้ ไอ้บาปกับบุญมันคนละบัญชี วิธีหนีบาป มันก็เป็นของไม่ยาก อยากจะหนีเร็วหรือหนีช้า?

    “เอาไวๆ ดีกว่า จะได้รวยเร็วๆ หนี้สินจะได้หมด”

    เอาละ ล้านเดียว!

    “คำแนะนำหรือครับ?”

    ค่าแป๊ะเจี๊ยะ! ค่าเก๋าเจี๊ยะมากกว่านี้ (หัวเราะ) หนีบาป ถ้าอย่างย่อนะ ไม่ใช่อย่างพิสดาร หนีได้ชาติเดียวหรือหลายชาติก็ได้ แต่ทำดีข้างหน้า นั่นก็คือว่า คิดว่าบุญเราเคยทำแล้วยังไง เราเคยทำบุญอย่างไหนไว้ นึกถึงบุญนั้นทุกคืน หรือว่าถ้ามันยาก ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าทุกคืน พระพุทธรูปนะ บูชาพระไว้ทุกคืน อย่างนี้รับรองชาตินี้ไม่ลงนรก

    “ที่ไม่ลงนรกเพราะเหตุว่า…”

    นึกถึงพระพุทธเจ้า แต่ว่าชาติหน้าไม่แน่ ถ้าจะเอากันให้แน่นอนก็ปฏิบัติ ๓ อย่าง ก็คือ

    ๑.คิดว่าชีวิตนี้มันต้องตาย จำไว้นะ
    ๒.ในเมื่อตายแล้ว คติมี ๒ อย่างคือ สุคติ กับ ทุคติ เราจะไม่ยอมไปทุคติ จะไปเฉพาะสุคติ อย่างเดียว คือยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ด้วยความเต็มใจ
    ๓.มีศีล ๕ บริสุทธิ์
    ๔.แถม มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตั้งใจไว้เฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว

    เท่านี้แหละ เกิดอีกกี่ชาติก็ไม่ยอมลงนรก บาปทั้งหมดที่ทำมาแล้วไม่สามารถจะตามได้

    “แต่บาปยังอยู่?”

    ยังอยู่ แต่กลับไม่ได้ เหมือนเราขึ้นไปอยู่บนยอดเขา หมาอยู่ข้างล่างกัดไม่ได้

    “บาปนี่ล้างไม่ได้?”

    ล้างไม่ได้ บาปนี่ล้างเขาไม่ได้แน่ แต่ว่าถ้าหากว่าใครทำได้อันดับนี้นะ บัญชีเขาขีดแดงเลย ตัด!

    1920061_1078869445467272_8420055106029312247_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พบพุทธศาสนาแล้วจงอย่าขี้เกียจ
    ถ้าเกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนายังบอกว่าบารมีอ่อนอีก ก็แสดงว่าขี้เกียจมากเกินไป ไม่รู้จักควบคุมกำลังใจ ปล่อยไปตามสภาวะของกิเลส มันจะมีผลอะไร ชาวบ้านเขาทำได้ เราทำไม่ได้จะมานั่งบ่นว่าทำไม่ได้ ก็เพราะว่าเรามันดีไม่พอใช้ กำลังใจเป็นสำคัญ การจดจำคำแนะนำสั่งสอน การมีวิริยะอุตสาหะ มีสติ มีปัญญาควบคุมอันนี้เป็นของสำคัญ การเจริญสมถภาวนาตอนต้นหรือตอนปลายมีสภาวะเหมือนกัน นั่นคือ
    ๑. ทรงศีลบริสุทธิ์
    ๒. ระงับนิวรณ์ ๕ ประการได้เด็ดขาดในขณะที่ทรงสมาธิ
    ๓. ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้
    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๔๑ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    12801617_1088948844459332_8508246555575067855_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  5. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ลงทุน…เพื่อพระนิพพาน โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    นิพพานเป็นของไม่ยาก ไปนิพพานนี่ไปง่าย ง่ายกว่าไปนรก หรือว่าไง ไปนรกก็ต้องลงทุนลงแรง เราจะไปฆ่าคน จะไปฆ่าสัตว์ เราจะไปฆ่าเขาก็ต้องหาอาวุธมาเพื่อทุ่นกำลังกาย ใช้กำลังคิดก่อนว่าจะวางแผนแบบไหน ทำร้ายเขาได้จะไปลักขโมยก็ต้องไปนั่งจ้องมองว่าเจ้าของมันจะเผลอหรือไม่เผลอหรือเปล่า ใช่ไหม ไอ้จะไปแย่งคนรักเขาก็ต้องระวังแข้งด้วย อีตรงนี้หนักหน่อยนะ (หัวเราะ) ไอ้จะโกหกเขาก็ต้องมองหน้าก่อนว่าจะโกหกจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไอ้จะกินเหล้าก็ต้องลงทุนไปหาสตางค์มาก่อน นี่มันหนักนะ
    จะไปนิพพานเป็นเรานอนมุ้งเราก็ไปได้ เอ้าก็นั่งพิจารณาร่างกายไม่ใช่เรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้ามันไม่เข้าใจก็โยงท้ายตอนท้ายใน มหาสติปัฎฐานสูตร ทุกข้อ พระพุทธเจ้าบอกอย่าสนใจกายภายใน ในร่างกายเราเอง อย่าสนใจในร่างกายของคนอื่น อย่าสนใจวัตถุธาตุใดๆ เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีสภาพไม่เที่ยงและเป็นอนัตตาในที่สุด ใช่ไหม พอหมดอายุขัยร่างกายมันก็พัง ร่างกายคนอื่นก็พัง วัตถุธาตุที่เราหาได้มา เราก็ไม่สามารถจะแบกไปได้ แล้วจะเอามาทำไม ไอ้เพื่อนระยำ ระยำแบบนี้ แล้วก็แล้วกันไปใช่ไหม ที่เราต้องนำมาสัมผัสต้องมี เพราะว่าเราหมดภารกิจ คือกิเลส เวลานี้เรารู้แล้วว่าสิ่งนี้มันเป็นทุกข์ เราก็ไม่ต้องการมัน จุดที่เราต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน แค่นี้ก็ไปนิพพานได้แล้ว นอนมุ้งไม่ต้องลงทุนมาก เห็นไหม เออ ไปง่ายกว่านรกตั้งเยอะ แต่ความจริงนรกไปยากๆ พูดถึงไม่อยากไป เคยไปมาหลายเที่ยวแล้ว ไอ้คนเกิดมาไม่เคยตกนรกมีที่ไหนล่ะ
    อันดับแรกก็ต้องเป็นผู้ชำนาญการในเมืองนรกก่อน จะได้รู้ว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร ต่อไปก็ย่องไปสวรรค์ ไอ้เมืองสวรรค์ก็อยู่ไม่นานมันไม่สนุกเหมือนนรก นรกลงบ่อยหน่อย ดีครื้อเครงดี ที่นั้นไม่ต้องเสียน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ต้องซื้อเวลานี้น้ำมันแพง ไม่งั้นนรกต้องเสียค่าไป เฮ้อ อ่อนใจ นึกถึงนรกแล้วมันก็แย่ นึกถึงเมืองมนุษย์มันก็ไม่ไหว ไปดูพรหมกับเทวดาก็ไม่เป็นเรื่อง หาที่ไปไม่ได้ ไปๆมาๆก็นั่งอยู่ที่นี่ก่อน (หัวเราะ) ถ้ามันยังตายเราก็อยู่นี่ ถ้าตายแล้วลงเลยใช่ไหมอารมณ์จิตของคนก็อาจจะรู้จักพระนิพพานดี ก็ต้องบำเพ็ญบารมีมา ถ้าเป็นสาวกภูมิตามอัตราก็เป็นอสงไขยกับแสนกัป อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ นับไม่ถ้วน กับแถมอีกแสนกัป ถ้าเรานับการเกิด กัปหนึ่งเราก็เกิดมานับไม่ถ้วน ไอ้นับไม่ถ้วนน่ะ ไม่ได้นับ
    อย่างกัปนี้เราเกิดมาแล้วกี่ครั้ง คนที่เกิดมาทันกัปนี้แล้วจะลงนรกก็ถือว่ามีบุญมาก ก็กัปนี้ทรงพระพุทธเจ้าได้ถึง 10 องค์ บางกัป สุญญกัป อันตรากัป อันนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า ใช่ไหม บางกัปก็มีพระพุทธเจ้าเพียง 1 องค์บ้าง อย่างกัปนี้มีพระพุทธเจ้า 10 องค์ ถ้ายังลงนรกอยู่ เราก็ต้องโมทนากับเขาด้วย แต่เราไม่ไปกับเขาหรอก เราส่งแค่ใจโมทนาอย่างเดียว เนอะขึ้นไปเดี๋ยวไม่ได้กลับ แต่ว่าเราจะไปเกณ์เอาคนทุกคนจะไปสวรรค์ จะไปพรหม จะไปนิพพาน หรือก็ไม่ได้ ถ้าหากเขาสั่งสมบารมีมายังไม่ดีพอ แล้วเมื่อกี้นี้เขายังไม่เลิก เสียงก้อกแก๊กๆ นี่ลงนรกกันเป็นแถวไม่ต้องห่วง โดยปรกติโดยมรรยาทเขาก็ไม่ทำกันแล้ว ธรรมดาไม่ต้องถึงเจริญกรรมฐาน คนที่เขายังนั่งสงบอยู่ก่อน ถ้าเสียงก๊อกแก๊ก ๆ ลืมตามาดู ไอ้พวกนี้นรกกันเป็นแถว เอ้อ ดีโมทนาด้วย พระยายม ท่านก็มาบอก อย่างนี้ ไม่พลาด
    ไอ้เรื่องอย่างนี้มันเรื่องธรรมดาก็รู้กันอยู่แล้วไม่ต้องไปสอนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่เขาสงบอยู่เฉยๆ นี่ เราไปส่งเสียงมันก็เลวเต็มทีแล้ว แล้วยิ่งเขาเจริญกรรมฐานแล้วยังไม่รู้นี่ จะไปไหนกัน ถ้าไม่ไปนรก แล้วจะไปไหน แล้วก็บาปนี่เป็นบาปที่หนักที่สุด เพราะว่าเขากำลังทำจิตเพื่อความดีเบื้องสูง ในการจะทำแบบนั้น ถ้าคนที่เขากำลังจะไปได้ จิตสมาธิเขายังไม่ดีพอ เขาได้ยินเสียงเข้าจิตก็ตก ถ้าทำเขาตกแก้ไม่ไหว ไอ้คนนั้นเขาไม่เป็นไร เขายังไม่ได้ เขาจะได้ความดี เขาก็ยังไม่ได้ ก็ทำดีไม่ได้เพราะเราทำให้เขาเสีย ถ้าเราทำให้เขาเสียด้านความดี ไอ้ความดีนี้เป็นความดีสูงสุดจริงๆ เป็นปรมัตปฏิบัติ ในด้านบารมีก็เป็นปรมัตถบารมี ถ้าหากผลที่จะพึงได้รับโทษก็คือ ปรมัตถโทษ

    สนทนาสายลม 8 รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพระราชพรหมยาน เล่ม 8 หน้า 451 – 453

    13001241_1098675260153357_4687216664632712820_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    วิธีสังเกตฌานตอนภาวนาหลับ
    พูดตามความเป็นจริง เราเพลีย ถ้าเราฝืนก็ฟุ้งซ่าน นั่งโงกไปโงกมาไม่เป็นผล เมื่อนอน เลือดลมเดินสะดวกก็เริ่มจับอานาปาฯ อันดับแรกจับวิปัสสนาญาณก่อน เอาวิปัสสนาอย่างอ่อนๆละนะ คือไตรลักษณญาณ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พอคิดว่าร่างกายเป็นทุกข์ ไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอน มีสภาพเป็นทุกข์ ในที่สุดก็ตาย ปัญญาเห็นพร้อม ใช้ก็ใช้ไม่นานเพราะเห็นอยู่ทุกวันใช่ไหม แล้วต่อไปนั้นก็เริ่มภาวนา
    ทีนี้ตอนภาวนา ตามหลักการปฏิบัติ ถ้าภาวนาจนถึงหลับ อย่าลืมว่า ถ้าจิตยังไม่ถึงฌานไม่หลับ จิตจะหลับได้ต่อเมื่อจิตเข้าถึงฌาน จะเป็นฌานไหนก็ตาม พอถึงฌานปั๊บมันจะตัดหลับ เราหลับกี่ชั่วโมงก็ถือว่าเราทรงฌานอยู่ ได้กำไรตรงนี้นะ
    แล้วก็เป็นที่สังเกตขั้นฌานนี่ ฌานอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด จะสังเกตว่าก่อนหลับเราเข้าฌานอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด เวลาตื่นใหม่ๆถ้าตื่นเต็มที่แล้ว บังคับให้ภาวนาต่อ อย่างนั้นแสดงว่า ก่อนที่เราจะหลับเราเข้าถึงฌานอย่างหยาบ ถ้าหากว่าเราตื่นขึ้นมาใหม่ๆนะ เราตื่นขึ้นมานั้นประเดี๋ยวหนึ่งมันภาวนาเองโดยไม่ต้องบังคับ อย่างนี้เวลาหลับเข้าถึงฌานอย่างกลาง ถ้าเวลาครึ่งหลับครึ่งตื่นมันภาวนาเลย อย่างนี้เข้าถึงฌานละเอียด เวลาหลับได้กำไรตัวนี้นะ

    ธรรมปฏิบัติ เล่ม 27 รวมคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 53-54

    13055445_1102177176469832_5384101975071690539_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  7. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พยานบุญ-พยานบาปที่สำนักท่านพระยายมราช

    “..วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2531 เวลา 10.30 น. ทำกรรมฐานเรื่อยมาแต่ตอนเช้า คิดจะไหว้พระจึงออกจากร่าง พบท่านย่า(แม่) และท่านพรรณวดี คุยกับท่านเล็กน้อย ท่านลุงพุฒิ(พระยายมราช)มา นุ่งโสร่งมีผ้าขาวม้าคาดพุง ท่านบอกว่า “เวลาพอมีไปที่สำนักงานท่านก่อนดีกว่า” จึงหันไปชวนท่านท้าวมหาราชทั้ง 4 และเทวดาบริวารของท่าน จากนั้นท่านลุงนำหน้าพวกเราเดินตาม เมื่อเข้าเขตสำนักงานพระยายมราช เห็นคนยืนเป็นกลุ่ม ๆ รูปไม่สวย ผิวดำ หน้าไม่สบาย มีด้วยกัน 11 หมู่ แต่ละหมู่มีจำนวนมากนับเป็นพัน ๆ หมู่หนึ่ง ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่รูปร่างใหญ่กว่าพวกนั้นมาก สูงกว่ามาก ยืนถืออาวุธคุมอยู่หมู่ละ 1 คน จึงเฉียดเข้าไปดูถามท่านลุงว่า “พวกนี้เป็นใคร” ท่านบอกว่า “พวกนี้รอการสอบสวน ถ้านึกถึงบุญได้ก็ไปสวรรค์ นึกถึงบุญไม่ได้ก็ไปนรก แต่ละกลุ่มมีบาปไม่เหมือนกัน มีกรรมบถ 10 เป็นหลัก” ดังนี้คือ

    1) กลุ่มนี้หนักในทางละเมิดศีลข้อที่ 1 ฆ่าสัตว์
    2) กลุ่มนี้หนักในทางลักทรัพย์
    3) กลุ่มนี้หนักในทางเจ้าชู้
    4) กลุ่มนี้หนักในทางมุสาวาท
    5) กลุ่มนี้หนักในทางดื่มสุราเมรัย
    6) กลุ่มนี้หนักในทางกล่าวคำหยาบ
    7) กลุ่มนี้หนักในทางนินทา
    8) กลุ่มนี้หนักในทางขาดสติพูด พูดไร้ประโยชน์
    9) กลุ่มนี้หนักในทางคิดอยากได้ทรัพย์คนอื่น (อยากโกง)
    10) กลุ่มนี้หนักในทางอยากทำร้ายผู้อื่น
    11) กลุ่มนี้ไม่เชื่อพระธรรมวินัย ไร้เหตุผล

    พวกนี้ทั้ง 11 กลุ่มมีหวังลงนรก ยากที่จะเป็นอิสระ เพราะพยานมาคอยพร้อมแล้ว

    พยานบาป
    ท่านลุงชวนเดินไปผ่านอาคารสอบสวนไปทางทิศตะวันออก มองเห็นไก่ เป็ด หมู วัว ควายและสัตว์ต่าง ๆ ที่มนุษย์กิน อยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ มีไก่นับเป็นแสน เป็ดนับเป็นแสนเหมือนกัน หมู วัว ควาย ก็เป็นแสนเหมือนกัน ถามว่า “มารวมกันทำไมมากมายอย่างนี้” พวกนั้นตอบว่า “มาเป็นพยานให้พระยายมราช เมื่อท่านเรียกผู้ฆ่าสัตว์มาสอบสวน พวกนี้ก็จะเข้าไปรายงานว่าคนนี้ฆ่า จับให้เชือดหรือสั่งฆ่า เป็นต้น”
    เป็นอันว่าวันนี้เป็นวันที่ 26 สิงหาคม 2531 เป็นวันไหว้สาร์ทของชาวจีนพอดี เลยทำให้คิดว่าสาร์ทจีนทั่วโลกต้องฆ่าสัตว์นับล้านตัว

    พยานบุญ
    เมื่อเดินเลยไปอีก ก็มีคน มีสัตว์อีกจำนวนมาก แต่ไม่มากเท่าพยานบาป พวกนี้มาเป็นพยานบุญที่เขาเคยช่วยเหลือไว้ เมื่อพระยายมราชถามถึงบุญที่เขาทำ ถ้าเขานึกไม่ออก พวกนี้ก็จะเข้าไปรายงานว่าเขาเคยช่วยชีวิตไว้ เมื่อท่านพระยายมราชรับฟังแล้ว ก็จะให้ไปสวรรค์ก่อน ชมมาถึงแค่นี้ใกล้เวลาจะเพลจึงกลับ

    ดังนั้นขอให้ระลึกไว้เสมอว่า จะทำดีหรือทำชั่ว มีพยานคอยเราอยู่แล้วที่สำนักท่านพระยายมราช..”

    *คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน เรื่องที่ 76 หน้า 182 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    13010786_1102686569752226_1782037695810715363_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    วิธีกราบพระได้อานิสงส์มาก ๆ
    ผู้ถาม—กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าลูกจะขอทราบเกี่ยวกับเรื่องอานิสงส์สักเรื่องหนึ่งว่า วิธีที่จะกราบพระให้ถูกต้องตามแบบฉบับ เพื่อจะมีผลานิสงส์มาก ๆ นั้น จะต้องกราบแบบไหน ขอแบบฉบับวัดท่าซุงเป็นตัวอย่างด้วยเจ้าค่ะ?
    หลวงพ่อ—ให้กราบด้วยความเคารพอย่างเดียวพอ ให้จิตเคารพนะ ก่อนที่จะกราบพระพุทธเจ้า นึกถึง พระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธรูปก่อน กราบครั้งที่ ๒ กราบพระธรรม นึกถึงดอกมะลิแก้ว ให้ไหลจาพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้าลงหัวเรา กราบครั้งที่ ๓ นึกถึงพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที่เราเคารพ… พอ เอาใจสำคัญกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ถ้าใจไม่เคารพ ไม่มีความหมาย

    13043288_1104315576255992_4360721679436132474_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อได้เล่าเรื่อง “โลกเกิด” ให้ฟังว่า

    “ในวาระแรกได้ทูลถามถึงประวัติการตั้งโลก ท่านตรัสว่า “เป็นเรื่อง อจินไตย ไม่ควรคิด รู้แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ ไร้เหตุผลในการบรรลุ ฉันบอกได้ แต่บอกแล้วเอาอะไรเป็นส่วนที่จะบรรลุมรรคผลไม่ได้ จะรู้ไปให้หนักสมองทำไม”
    ต่อมาได้ถามถึงมนุษย์ที่เริ่มเกิดเป็นอันดับแรกว่า ใครเป็นคนบันดาลให้มนุษย์เกิด พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า
    “นี่เธอจะคลั่งพระเจ้ากับเขาแล้วซิ ใครที่ไหนจะมาสร้างถ้ามีผู้สร้างมนุษย์แล้ว เจ้าคนที่สร้างโลกสร้างมนุษย์นั้นมันเกิดมาจากอะไร จึงมาสร้างโลกสร้างมนุษย์ได้
    มนุษย์ไม่มีใครสร้าง ร่างกายของสัตว์และมนุษย์เกิดจากอณูน้อยๆ ที่รวมตัวกันเข้า
    วิญญาณนั้นเป็นธาตุอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า วิญญาณธาตุ มีการเกิดขึ้นได้และไม่มีการสลายตัว คำว่าวิญญาณในที่นี้ หมายถึง จิต เป็นธาตุเศษ ที่เกิดจากการรวมตัวของ อนูพิเศษ ที่มีความรู้ ความเคลื่อนไหวรวดเร็ว เธออย่ารู้มากกว่านี้เลย ไม่มีอะไรเป็นคุณพูดไปก็ไร้ประโยชน์”

    13043606_1108611635826386_6671653829011536409_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อเล่าเรื่องเทวดาฮินดู
    พบพระพิฆเนศ
    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกนั่งสมาธิพบท่านพิฆเนศมีหัวเป็นช้าง ตัวเป็นคน ในสมาธินั้นท่านเอามือของลูกไปแบแล้วรมอะไรไม่รู้…สีแดงแจ๊ด! บอกว่า…”เอ็งจะต้องมีฤทธิ์มีเดชต่อไปข้างหน้า” ลูกปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก ลูกสงสัยว่าในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เทวดามีหัวเป็นช้าง ลูกไม่เคยเจอเลย ไม่รู้ว่าลูกจะทำสมาธิเพี้ยนไปหรือเปล่า…หลวงพ่อช่วยชี้แจงความเพี้ยนของลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ
    หลวงพ่อ มาดีแล้ว ๆ ความจริงไม่เพี้ยน อย่างนี้เขาเรียกว่า…”โรคอุปาทาน” คือว่าตามธรรมดาที่เราเห็นน่ะ หัวเป็นช้างใช่ไหม…นั่นเป็น “ลัทธิของพราหมณ์” ในเมื่อเคยเห็นแบบนั้น ท่านมาท่านก็แสดงแบบนั้นก่อน อย่างเทวดาหรือพรหมนางฟ้าทุกคนน่ะ ความจริงท่านอาจจะตายสมัยแก่นะ คือเทวดา นางฟ้า พรหม…ไม่แก่ สาวหมด! ทีนี้เวลามาหาเราเขาแสดงภาพเดิมที่เราเห็น เขาตายเป็นคนแก่ก็ให้เห็นภาพคนแก่ ท่านพิฆเนศก็เหมือนกัน ท่านมารูปอื่นก็คงจำไม่ได้ ต้องมารูปหัวช้าง (หลังจากหลวงพ่อนำอุทิศส่วนกุศลแล้ว ก็มีเรื่องพระพิฆเนศมาเล่าให้ฟังอีก)
    หลวงพ่อ ตอนอุทิศส่วนกุศล ถามว่าท่านพิฆเนศเป็นพรหมหรือเป็นเทวดาชั้นไหน เพราะเห็นมีทั้งพรหมและเทวดาเยอะแยะ ใสมาก ท่านบอกไม่ใช่พรหม ถามว่าเป็นเทวดาชั้นปรนิมฯ ใช่ไหม…ท่านบอกไม่ใช่ เป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ สวยมาก ท่านบอกว่าคนที่ถามเมื่อกี้นี้ เคยเป็นลูกท่านมา ท่านก็หวังจะสงเคราะห็ ต้องถอยหลังไปหลายชาติหน่อยนะ คือไม่น้อยกว่าพันชาติ (หลวงพ่อยังมีเรื่องพระนารายณ์มาเล่าให้ฟังอีก)
    พระนารายณ์
    หลวงพ่อ เทวดากับสัตว์ เทวดากับมนุษย์มันต่อกันไม่ได้ เพราะมนุษย์ก็ดี สัตว์ก็ดี มันมีธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และเทวดาเขาไม่มีธาตุนี่ มีเหมือนอากาศธาตุ มันต่อกันได้ที่ไหนล่ะ ที่ว่าหัวเป็นช้าง เพราะว่าพราหมณ์แกหาเรื่องคุย อย่างพระนารายณ์นี่ก็เหมือนกัน พระนารายณ์นี่ฉันหาไม่พบ
    ผู้ถาม แล้วมีไม่จริงหรือครับ?
    หลวงพ่อ มี…สักประมาณ ๑๐ ปีมาแล้ว คืนหนึ่งมันว่าง คือไม่ได้ว่างมาก เขาเจริญกรรมฐานแบบนี้ละนะ พอเลิกแล้วประมาณ ๔ ทุ่มกว่า ๆ เวลาไปพักมันยังไม่หลับ ๖ ทุ่มหรือตี ๒ เป็นธรรมดา ถ้าถีง ๖ ทุ่มต้องอยู่ถึงตี ๒ ถ้าขืนหลับ ๖ ทุ่ม อาจจะเลยเวลา เพราะเจริญกรรมฐานตอนตี ๒ เมื่อถึงเวลาว่างก็เที่ยวไปเที่ยวมา เที่ยวมาเที่ยวไป ตามเรื่องตามราว ใช่ไหม…ก็ไปนึกถึงพระนารายณ์ได้ นึกนารายณ์อยู่ชั้นไหน แล้วเทวดาองค์ไหนเป็นนารายณ์ เข้าไปหาในกามาวจรทั้งหมด ไม่พบพระนารายณ์ ถามแต่ละชื่อไม่มีนารายณ์เลย ไอ้ความโง่ของฉันน่ะ ก็ย่องไปพรหมอีก ถามพระนารายณ์ที่พรหมไม่มี กลับมาหาโยม ถามโยม…พระนารายณ์ที่พราหมณ์ตั้งชื่อให้มีตัวจริงไหม ท่านบอกตั้งแต่ฉันเป็นเทวดาไม่เคยมีเลย โยมท่านเป็นเทวดา ๒ รอบ พระอินทร์ ๒ รอบนะ เมื่อสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่หมดอายุไปทีแล้ว ฟังเทศน์แล้วจุติเป็นพระอินทร์ใหม่ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าพระอินทร์หนุ่ม ท่านอยู่ถึง ๒ รอบยังไม่รู้จักนารายณ์ ไล่ไปไล่มา ถาม…ถ้าเขาบนพระนารายณ์ เทวดาองค์ไหนรับ ท่านบอกมีก็มเหสักขาไงล่ะ มเหสักขา แปลว่ามีฤทธิ์มาก ท่านพิฆเนศชื่อ ปิยสิกขะ เพิ่งบอกเดี๋ยวนี้ละนะ มีสิทธิ์ในความรัก แม้แต่เขาให้หัวเป็นช้างยังชอบเลย
    ผู้ถาม ยังงี้เราก็บนได้ซิ
    หลวงพ่อ ถ้าจะบนท่านนะ ตอนให้พรท่านบอกให้หมูต้มชิ้นหนึ่ง ไม่ต้องโต กับข้าวปากหม้อเท่านั้นนะ
    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญญาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 7

    13133317_1114971015190448_6639450188610106417_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  12. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พิธีต่ออายุใหญ่ตามตำรับโบราณ

    ตามวิธีโบราณาจารย์ท่านสอนไว้อย่างนี้นะว่า วิธีต่ออายุใหญ่ คือถึงปีหนึ่งถ้าเป็นวันเกิดหรือเป็นวันสำคัญของเรา วันไหนก็ได้ทำกับข้าว ทำอาหารพิเศษตามที่เราพอใจ เท่าที่ทุนจะพึงมี จัดการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็ถ้าหากว่ามีสตางค์ก็สร้างพระพุทธรูปสัก ๑ องค์ พระพุทธรูปนี่จะเป็นพระดินเหนียวก็ได้ เป็นพระปูนซีเมนต์ก็ได้ เป็นปูนปลาสเตอร์ก็ได้ หรือพระโลหะก็ได้ไม่จำกัด เพราะเป็นรูปพระแล้ว มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ต้องมีหน้าตักไม่น้อยกว่า ๔ นิ้ว ถวายไว้เป็นสมบัติของสงฆ์ หลังจากนั้นก็เอาสัตว์ที่จะพึงถูกฆ่าตาย อย่างที่เขานำเอามาขายเพื่อแกงหรือที่เขาทอดแหสุ่มปลาได้ ถ้ามีสตางค์ก็ไปซื้อเขาสักตัว ๒ ตัว ตามกำลัง แล้วปล่อยไป และก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาผู้รักษาชีวิต ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้เป็นนิจ คำว่า อุปฆาตกกรรม คือกรรมที่เข้ามาริดรอนก่อนอายุขัยก็ดี และ อกาลมรณะ การที่จะตายก่อนอายุขัยก็ดี จะไม่มีสำหรับผู้ที่ทำแบบนี้ แต่ทว่าถ้ากรรมอย่างนี้เข้ามาถึงแค่ป่วยไม่มากก็เป็นของธรรมดา

    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๑๗๘ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    13062068_1118425594844990_8348349532105237340_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    จงกล่าวโทษโจทย์ความผิดตัวเองไว้เสมอ หลวงพ่อฤาษี
    จงอย่าสนใจในจริยาของบุคคลอื่น เขาจะดีเขาจะเลวอย่างไร มันเป็นเรื่องของชาวบ้านชาวเมืองเขา อย่าใช้อารมณ์เข้าไปยุ่งไปเกี่ยว เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือ อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทย์ความผิดตัวเองไว้เสมอ นั่นก็หมายความว่า ดูความดีหรือความชั่วของตัวเอง ความดีไม่ต้องดู ดูแต่ความชั่ว ในเมื่อชั่วมันไม่มี มันก็เหลือแต่ดี ไม่เป็นไร คือระวัง อย่าให้มันชั่วซ้ายชั่วขวา ชั่วหน้าชั่วหลัง ชั่วล่างชั่วบน อย่าให้มันชั่ว แม้แต่นิดหนึ่งอย่าให้มันมี คนอื่นเขาจะกินมาก เขาจะกินน้อย จะเลวมาก จะเลวน้อย เขาจะดีมาก เขาจะดีน้อย มีสมบัติมาก มีสมบัติน้อย มีจริยาวาจาไม่ดี นั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา อย่าไปสนใจเด็ดขาด อันนี้ถ้าไปสนใจ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่าเป็น อุปกิเลส คือความชั่วที่หนึ่ง ที่เราควรเว้น
    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๒๒ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    13230056_1120211144666435_3315419108703822687_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  14. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พระสยามเทวาธิราชคือใคร
    พระสยามเทวาธิราช นี่นะ เริ่มมีเมื่อสมัยก่อน รัชกาลที่ ๔ มีนะ แต่ก่อนพระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นก็บูชาเทวาชื่อนั้นชื่อนี้ ที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นคนสำคัญ ขออย่างนั้นอย่างนี้ต่อมา สมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านเป็นนักปราชญ์ เป็นนักบาลี ก็มาตั้งชื่อใหม่ว่า พระสยามเทวาธิราช หมายถึงว่า เทวดาทั้งหมดที่รักษาประเทศสยาม ทีนี้ที่ถามว่า ให้คุณให้โทษทางไหน ให้โทษนี้ก็ไม่ทราบ ให้คุณนี่ก็ไม่รู้ แต่ท่านเป็นเทวดา
    เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เมื่อปี ๒๕๑๘ ปีนั้นพระเจ้าอยู่หัวนิมนต์เข้าไป ที่ไป พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พอเข้าไปทำบุญ วันจักรี พอเข้าไปนั่งปั๊บไม่ต้องคุยกับใครละ บรรดาพระสยามเทวาธิราชมากันเยอะแยะเลย โอ้โฮ้ไม่ใช่องค์เดียว ๒ องค์นะ ไม่ทราบว่าจะมากเท่าใดในบริเวณเต็มไปหมด ไม่ใช่เฉพาะในวังนะ เราก็ชักสงสัยว่าองค์ไหนชื่อ พระสยามเทวาธิราช พอถามว่าองค์ไหนชื่อ พระสยามเทวาธิราช ให้บอก ชี้องค์นั้นก็ไม่ใช่ ชี้องค์นี้ก็ไม่ใช่ ต่างคนต่างบอกชื่อของตัวหมด ก็เลยนึกขึ้นมาว่า เออ ยังไงเทวดานี่ เลยบอกว่า ถ้าไม่ใช่ พระสยามเทวาธราช แล้วมาทำไมล่ะ พระเจ้าอยู่หัวก็ดี พระราชินีก็ดี ท่าน
    ทำบุญเพื่อ พระสยามเทวาธิราช ท่านก็บอกว่า เขาอยากเรียกผมอย่างนั้นทำไมล่ะ ผมไม่ได้ชื่อนั้นนี่ ก็รวมความว่า พระสยามเทวาธิราช จริงก็เป็นเทวดาที่รักษาประเทศไทยทั้งหมด สมัยก่อนเรียกประเทศสยามใช่ไหมถ้าถามว่าให้คุณแบบไหน ก็ต้องถือว่า เทวดามีความดีอะไรบ้าง แต่ละคนมีความสามารถไม่เสมอกัน อันนี้ตอบไม่ได้ เกินวิสัย
    ที่มา โอวาทหลวงพ่อเล่ม3

    13265966_1122544791099737_8990681258801192969_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    การรับเงินของพระ
    เทศนาหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แก่ภิกษุสามเณร
    เรื่องวินัยสงฆ์เกี่ยวกับการรับเงินของพระ
    เมื่อ 17 ก.ย. 2518

    ทีนี้มาถึงสิกขาบทข้อที่ ๘. พระวินัยกล่าวว่า “อนึ่งภิกษุใดรับก็ดีให้รับก็ดีซึ่งทองเงินหรือยินดีทองเงินอันเขาเก็บไว้ให้เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์”
    “สำหรับสิกขาบทนี้ขอท่านทั้งหลายจงใคร่ครวญให้ดี ทั้งนี้ในที่บางแห่ง หรือในเขตบางเขต เขาไม่มีโยมรับเงินรับทองกัน และชาวบ้านเขาก็เห็นกันว่าพระที่ไม่รับเงินรับทอง เป็นพระที่เคร่งครัดมัธยัสถ์ ถึงกับมีการรังเกียจพระที่รับเงินรับทอง แต่ตามความเข้าใจของผมหรือว่าพระมหาเถรานุเถระฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีความเข้าใจกันดี อันนี้เพราะอะไรเพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า รับเองก็ดี ใช้ให้คนอื่นรับก็ดี หรือมีความรู้สึกอยู่ว่าเขาเก็บไว้เพื่อเรา และเราก็ถือว่าทรัพย์สินส่วนนั้นมันเป็นของเรา ท่านจะพิจารณาเห็นว่าต้องอาบัติเสมอกันคือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ทีนี้พระบางท่านเวลาเขามาถวายไม่รับ ไม่รับเอง แต่ว่าให้ลูกศิษย์รับ ให้มอบไว้กับลูกศิษย์ แต่ว่าใส่ย่ามเถอะไม่ยอมรับ มือไม่รับ อันนี้ท่านทั้งหลายที่ฟังแล้วเห็นว่ามันพ้นไหม เห็นว่ามันพ้นหรือไม่พ้น มันพ้นตรงไหนกัน รับเองก็ดี ให้คนอื่นรับก็ดี หรือว่าคนอื่นที่เขาเก็บไว้ให้เราที่เรียกว่า ไวยาวัจกร
    แต่เรามีความรู้สึกว่าทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นทรัพย์ของเราก็อาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์
    นี่ที่ผมย้ำมากๆ ก็เพราะความเข้าใจผิดของปวงชนและพระมีมาก ถ้าตนเองไม่รับเงิน แล้วต่อหน้าคนไม่รับ ลับหลังคนรับ หยิบ หรือต่อหน้าคนไม่รับ ลับหลังคนไม่รับ คนอื่นเก็บเอาไว้ให้ ก็รู้ว่านั่นเงินของเรา มีจำนวนเท่านั้นเท่านี้ จิตใจยังผูกพันอยู่ ไม่ได้พ้นโทษไปเลย ถ้ามันยังไม่พ้นโทษอยู่ นี่ตามความรู้สึกของผม หรือว่าครูบาอาจารย์หลายท่านด้วยกัน ในสมัยโบราณ ผมเรียกว่าโบราณเพราะว่าเวลากาลผ่านมาประมาณ 40 ปีเศษ ในสมัยที่ผมบวชใหม่ๆ ที่พูดนี้เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2518 ผมบวชผ่านเวลากาลผ่านมาได้ 40 ปีเศษ ถอยหลังไป 40 ปี ผมเรียกว่าโบราณ คือมันเก่าแล้ว คนสมัยนั้นหัวยังเก่าอยู่ ท่านบอกว่า การที่เราไม่รับต่อหน้าคน แต่ว่าให้คนอื่นรับ หรือว่าคนอื่นรับเงินแล้วเขาเก็บไว้เพื่อตนยินดีอยู่ แต่เราไม่ยอมรับ จิตคิดว่าเรามีความดีที่ไม่รับเงิน ท่านบอกว่าคนที่มี อารมณ์อย่างนั้นมีกิเลสหนาแน่นที่สุด เพราะว่าเป็นการหลอกลวงชาวบ้านเขา ทำตนเป็นคนดี แต่ความจริงไม่ได้ดีตามนั้นแต่จิตใจกับเลวทราม
    กับท่านผู้รับเองให้ชาวบ้านเขารู้ ไหนๆ เราจะรับแล้ว เราก็ยอมรับเสียต่อหน้าชาวบ้าน เพื่อว่าชาวบ้านเขาจะได้ทราบว่าพระองค์นี้รับเงิน ในเมื่อเขารู้ว่าแล้วเรารับเงิน เขาจะนิยมเราหรือไม่นิยม เป็นเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยว เราเปิดเผยให้เขารับรู้เลยดีกว่า ว่าเรารับเงินรับทอง ถ้าหากว่าเราไม่รับต่อหน้าชาวบ้านแต่ว่าภายหลังเราเก็บเอง หรือบุคคลอื่นเก็บ แล้วก็ทราบว่าเงินของเรา เรามีอยู่ เงินและทองของเรามีอยู่ เราถือสิทธิ์อยู่ ยินดีอยู่ ถ้าชาวบ้านเขาทราบทีหลัง เราจะเสียสองชั้น คือเสียในเรื่องหลอกลวงชาวบ้าน และก็ต้องโทษที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้
    ดังนั้นในการรับเงินและทองเอง แต่ทว่าจงอย่ายินดีในเงินและทองนั้นว่าเป็นทรัพย์สินของเราโดยเฉพาะ พึงทำใจของเราให้มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเวลานี้เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้า เงินและทองที่เขาจะถวายเรา เขาก็ถวายเราในฐานะที่เป็นพระ ดังนั้นเวลาที่เขาจะถวายเขาก็บอกว่า ใช้ตามสมควรแก่สมณบริโภค คือเราต้องคิดไว้เสมอว่าเงินทองทั้งหลายเหล่านี้เราจะใช้บำรุงตัวเราเองตามความจำเป็น ถ้าเหลือนอกจากนั้นเราจะเอาเงินจำนวนนี้
    ไปสร้างบุญสร้างกุศล ให้เป็นประโยชน์แก่บรรดาสาธารณชน เป็นส่วนสาธารณะ นี่เรียกว่า แม้จะก่อสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา หรือสร้างสิ่งตามความจำเป็นเพื่อความสะดวกของบรรดานักบวชทั้งหลายหรือว่านักบุญทั้งหลาย อย่างนี้จิตใจของเราไม่ยึดถือว่าเงินนี้มันเป็นของเราโดยเฉพาะ ถือว่าเป็นเงินของพระพุทธศาสนา เป็นเงินของพระ เขาถวายพระ ถ้าเราไม่บวชไม่มีใครเขาให้ จะไปเอาเงินจากเขา บางทีต้องมีโฉนดที่ดินไปให้เขารับรอง ดีไม่ดีเขาก็ไม่ยอมให้ นี่ทำใจของเราให้สบายแบบนี้ จงอย่าติดในลาภ อย่าติดในเงินและทอง อย่างนี้ผมถือว่า เราทนหน้าด้านแต่ว่าใจของเราไม่ด้าน ยอมรับต่อหน้าชาวบ้าน เพื่อเป็นการประกาศความจริงว่าเรามีความจำเป็นจะต้องใช้
    สิกขาบทนี้แหล่ะท่านบรรดาสหธรรมิกทั้งหลาย ตามความเข้าใจของผม ผมคิดว่าท่านสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่าต่อไปในภายภาคหน้าคนที่จะพะเน้าพะนอพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เหมือนในสมัยที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ไม่มี องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสในสมัยก่อนหน้าพระปรินิพพาน ว่า
    “อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว สิกขาบทบางสิกขาบทซึ่งไม่ใหญ่โตนัก ถ้าหากว่าไม่เหมาะกับกาลสมัย ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจะเห็นว่าไม่สมควร จะเพิกถอนเสียก็ได้”
    นี่เป็นพระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา แต่ด้วยว่าในเมื่อเป็นคำดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครที่ไหนจะยอมเพิกถอน ก็มีความเคารพในพระองค์ เราสู้เอาหน้าด้านแต่ใจสะอาดดีกว่า ดีกว่าต่อหน้าคนไม่รับ แต่ลับหลังรู้ค่าของเงิน รู้ค่าของทอง รู้จักใช้เงินและทองให้เป็นประโยชน์ส่วนตนและเป็นประโยชน์ส่วนรวม อย่างนี้เขาเรียกว่าหน้าดี แต่ใจด้าน ขอให้ท่านทั้งหลายเลือกเอาอย่างหนึ่ง จะยอมหน้าด้านแต่ว่าใจดี หรือว่าจะเอาหน้าดีแต่ใจด้านกัน ท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า ถ้าเราตายไปแล้ว ร่างกายหรือหน้าก็ดี ตัวก็ดี มันไม่ได้ไปกับเราด้วย ส่วนที่จะไปจริงๆ มันก็คือใจ แต่จะไปเสวยความสุขหรือความทุกข์มันก็อยู่ที่ใจ หน้าด้านแต่ใจดี แสดงว่าใจสะอาด หน้าดีแต่ใจด้านแสดงว่าหน้าสะอาดแต่ว่าใจเสีย ใจสกปรก ทีนี้ถ้าใจของเราสกปรกเวลาตายเราก็เอาความสกปรกไป ส่วนที่สกปรกชาวสวรรค์เขาไม่ชอบ ชาวสวรรค์เขาต้องการความสะอาด เราอยู่ไม่ได้ คนสกปรกต้องไปอยู่ในอบายภูมิทั้ง 4 คือ ในนรก หรือไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน
    นี่ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายพากันวินิจฉัยตามนี้ แล้วก็เลือกปฏิบัติเอา แต่สำหรับผมน่ะขอยอมรับว่าผมหน้าด้านแน่ ในเรื่องการรับเงินรับทอง แต่ใจของผมผมไม่ยอมด้านในเรื่องนี้ เพราะว่าผมไม่ยอมเอาเงินที่เขาเอามาถวายเป็นประโยชน์ส่วนตน ซื้อไร่ซื้อนาซื้อบ้านให้เขาเช่า อะไรพวกนี้ผมไม่มี ออกเงินให้กู้ผมไม่มี ได้มาเท่าไรเหลือกินเหลือใช้ สร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา และให้ความสะดวกกับบรรดานักบุญทั้งหลาย อย่างนี้ผมยอมหน้าเสียเพื่อรักษากำลังใจของตัวเอง ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ยกยอตัวเอง พูดตามความเป็นจริง ครูบาอาจารย์ท่านก็ปฏิบัติมาแบบนี้ เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ แล้วทำไมเราจะมาทำหน้าดีใจเสียใจเพื่อประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา “ธรรมทั้งหลาย มีใจถึงก่อนมีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ”
    ถ้าใจของเราเลวแต่ว่าหน้าดีมันจะมีประโยชน์อะไร สู้ทำหน้าของเราให้เป็นหน้าด้านแต่ใจสะอาด ดีกว่าหน้าสะอาดใจด้าน เลือกกันเอานะ ผมไม่ได้บังคับ ยังไงๆ ก็บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาเราเป็นปูชนียบุคคล อย่าหลอกลวงชาวบ้านเขาเลยบรรดาเพื่อนทั้งหลาย

    11822591_964098056944412_7765212337428099324_n.jpg
    การรับเงินของพระ
    เทศนาหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แก่ภิกษุสามเณร
    เรื่องวินัยสงฆ์เกี่ยวกับการรับเงินของพระ
    เมื่อ 17 ก.ย. 2518

    ทีนี้มาถึงสิกขาบทข้อที่ ๘. พระวินัยกล่าวว่า “อนึ่งภิกษุใดรับก็ดีให้รับก็ดีซึ่งทองเงินหรือยินดีทองเงินอันเขาเก็บไว้ให้เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์”
    “สำหรับสิกขาบทนี้ขอท่านทั้งหลายจงใคร่ครวญให้ดี ทั้งนี้ในที่บางแห่ง หรือในเขตบางเขต เขาไม่มีโยมรับเงินรับทองกัน และชาวบ้านเขาก็เห็นกันว่าพระที่ไม่รับเงินรับทอง เป็นพระที่เคร่งครัดมัธยัสถ์ ถึงกับมีการรังเกียจพระที่รับเงินรับทอง แต่ตามความเข้าใจของผมหรือว่าพระมหาเถรานุเถระฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีความเข้าใจกันดี อันนี้เพราะอะไรเพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า รับเองก็ดี ใช้ให้คนอื่นรับก็ดี หรือมีความรู้สึกอยู่ว่าเขาเก็บไว้เพื่อเรา และเราก็ถือว่าทรัพย์สินส่วนนั้นมันเป็นของเรา ท่านจะพิจารณาเห็นว่าต้องอาบัติเสมอกันคือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ทีนี้พระบางท่านเวลาเขามาถวายไม่รับ ไม่รับเอง แต่ว่าให้ลูกศิษย์รับ ให้มอบไว้กับลูกศิษย์ แต่ว่าใส่ย่ามเถอะไม่ยอมรับ มือไม่รับ อันนี้ท่านทั้งหลายที่ฟังแล้วเห็นว่ามันพ้นไหม เห็นว่ามันพ้นหรือไม่พ้น มันพ้นตรงไหนกัน รับเองก็ดี ให้คนอื่นรับก็ดี หรือว่าคนอื่นที่เขาเก็บไว้ให้เราที่เรียกว่า ไวยาวัจกร
    แต่เรามีความรู้สึกว่าทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นทรัพย์ของเราก็อาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์
    นี่ที่ผมย้ำมากๆ ก็เพราะความเข้าใจผิดของปวงชนและพระมีมาก ถ้าตนเองไม่รับเงิน แล้วต่อหน้าคนไม่รับ ลับหลังคนรับ หยิบ หรือต่อหน้าคนไม่รับ ลับหลังคนไม่รับ คนอื่นเก็บเอาไว้ให้ ก็รู้ว่านั่นเงินของเรา มีจำนวนเท่านั้นเท่านี้ จิตใจยังผูกพันอยู่ ไม่ได้พ้นโทษไปเลย ถ้ามันยังไม่พ้นโทษอยู่ นี่ตามความรู้สึกของผม หรือว่าครูบาอาจารย์หลายท่านด้วยกัน ในสมัยโบราณ ผมเรียกว่าโบราณเพราะว่าเวลากาลผ่านมาประมาณ 40 ปีเศษ ในสมัยที่ผมบวชใหม่ๆ ที่พูดนี้เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2518 ผมบวชผ่านเวลากาลผ่านมาได้ 40 ปีเศษ ถอยหลังไป 40 ปี ผมเรียกว่าโบราณ คือมันเก่าแล้ว คนสมัยนั้นหัวยังเก่าอยู่ ท่านบอกว่า การที่เราไม่รับต่อหน้าคน แต่ว่าให้คนอื่นรับ หรือว่าคนอื่นรับเงินแล้วเขาเก็บไว้เพื่อตนยินดีอยู่ แต่เราไม่ยอมรับ จิตคิดว่าเรามีความดีที่ไม่รับเงิน ท่านบอกว่าคนที่มี อารมณ์อย่างนั้นมีกิเลสหนาแน่นที่สุด เพราะว่าเป็นการหลอกลวงชาวบ้านเขา ทำตนเป็นคนดี แต่ความจริงไม่ได้ดีตามนั้นแต่จิตใจกับเลวทราม
    กับท่านผู้รับเองให้ชาวบ้านเขารู้ ไหนๆ เราจะรับแล้ว เราก็ยอมรับเสียต่อหน้าชาวบ้าน เพื่อว่าชาวบ้านเขาจะได้ทราบว่าพระองค์นี้รับเงิน ในเมื่อเขารู้ว่าแล้วเรารับเงิน เขาจะนิยมเราหรือไม่นิยม เป็นเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยว เราเปิดเผยให้เขารับรู้เลยดีกว่า ว่าเรารับเงินรับทอง ถ้าหากว่าเราไม่รับต่อหน้าชาวบ้านแต่ว่าภายหลังเราเก็บเอง หรือบุคคลอื่นเก็บ แล้วก็ทราบว่าเงินของเรา เรามีอยู่ เงินและทองของเรามีอยู่ เราถือสิทธิ์อยู่ ยินดีอยู่ ถ้าชาวบ้านเขาทราบทีหลัง เราจะเสียสองชั้น คือเสียในเรื่องหลอกลวงชาวบ้าน และก็ต้องโทษที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้
    ดังนั้นในการรับเงินและทองเอง แต่ทว่าจงอย่ายินดีในเงินและทองนั้นว่าเป็นทรัพย์สินของเราโดยเฉพาะ พึงทำใจของเราให้มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเวลานี้เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้า เงินและทองที่เขาจะถวายเรา เขาก็ถวายเราในฐานะที่เป็นพระ ดังนั้นเวลาที่เขาจะถวายเขาก็บอกว่า ใช้ตามสมควรแก่สมณบริโภค คือเราต้องคิดไว้เสมอว่าเงินทองทั้งหลายเหล่านี้เราจะใช้บำรุงตัวเราเองตามความจำเป็น ถ้าเหลือนอกจากนั้นเราจะเอาเงินจำนวนนี้
    ไปสร้างบุญสร้างกุศล ให้เป็นประโยชน์แก่บรรดาสาธารณชน เป็นส่วนสาธารณะ นี่เรียกว่า แม้จะก่อสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา หรือสร้างสิ่งตามความจำเป็นเพื่อความสะดวกของบรรดานักบวชทั้งหลายหรือว่านักบุญทั้งหลาย อย่างนี้จิตใจของเราไม่ยึดถือว่าเงินนี้มันเป็นของเราโดยเฉพาะ ถือว่าเป็นเงินของพระพุทธศาสนา เป็นเงินของพระ เขาถวายพระ ถ้าเราไม่บวชไม่มีใครเขาให้ จะไปเอาเงินจากเขา บางทีต้องมีโฉนดที่ดินไปให้เขารับรอง ดีไม่ดีเขาก็ไม่ยอมให้ นี่ทำใจของเราให้สบายแบบนี้ จงอย่าติดในลาภ อย่าติดในเงินและทอง อย่างนี้ผมถือว่า เราทนหน้าด้านแต่ว่าใจของเราไม่ด้าน ยอมรับต่อหน้าชาวบ้าน เพื่อเป็นการประกาศความจริงว่าเรามีความจำเป็นจะต้องใช้
    สิกขาบทนี้แหล่ะท่านบรรดาสหธรรมิกทั้งหลาย ตามความเข้าใจของผม ผมคิดว่าท่านสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่าต่อไปในภายภาคหน้าคนที่จะพะเน้าพะนอพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เหมือนในสมัยที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ไม่มี องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสในสมัยก่อนหน้าพระปรินิพพาน ว่า
    “อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว สิกขาบทบางสิกขาบทซึ่งไม่ใหญ่โตนัก ถ้าหากว่าไม่เหมาะกับกาลสมัย ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจะเห็นว่าไม่สมควร จะเพิกถอนเสียก็ได้”
    นี่เป็นพระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา แต่ด้วยว่าในเมื่อเป็นคำดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครที่ไหนจะยอมเพิกถอน ก็มีความเคารพในพระองค์ เราสู้เอาหน้าด้านแต่ใจสะอาดดีกว่า ดีกว่าต่อหน้าคนไม่รับ แต่ลับหลังรู้ค่าของเงิน รู้ค่าของทอง รู้จักใช้เงินและทองให้เป็นประโยชน์ส่วนตนและเป็นประโยชน์ส่วนรวม อย่างนี้เขาเรียกว่าหน้าดี แต่ใจด้าน ขอให้ท่านทั้งหลายเลือกเอาอย่างหนึ่ง จะยอมหน้าด้านแต่ว่าใจดี หรือว่าจะเอาหน้าดีแต่ใจด้านกัน ท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า ถ้าเราตายไปแล้ว ร่างกายหรือหน้าก็ดี ตัวก็ดี มันไม่ได้ไปกับเราด้วย ส่วนที่จะไปจริงๆ มันก็คือใจ แต่จะไปเสวยความสุขหรือความทุกข์มันก็อยู่ที่ใจ หน้าด้านแต่ใจดี แสดงว่าใจสะอาด หน้าดีแต่ใจด้านแสดงว่าหน้าสะอาดแต่ว่าใจเสีย ใจสกปรก ทีนี้ถ้าใจของเราสกปรกเวลาตายเราก็เอาความสกปรกไป ส่วนที่สกปรกชาวสวรรค์เขาไม่ชอบ ชาวสวรรค์เขาต้องการความสะอาด เราอยู่ไม่ได้ คนสกปรกต้องไปอยู่ในอบายภูมิทั้ง 4 คือ ในนรก หรือไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน
    นี่ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายพากันวินิจฉัยตามนี้ แล้วก็เลือกปฏิบัติเอา แต่สำหรับผมน่ะขอยอมรับว่าผมหน้าด้านแน่ ในเรื่องการรับเงินรับทอง แต่ใจของผมผมไม่ยอมด้านในเรื่องนี้ เพราะว่าผมไม่ยอมเอาเงินที่เขาเอามาถวายเป็นประโยชน์ส่วนตน ซื้อไร่ซื้อนาซื้อบ้านให้เขาเช่า อะไรพวกนี้ผมไม่มี ออกเงินให้กู้ผมไม่มี ได้มาเท่าไรเหลือกินเหลือใช้ สร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา และให้ความสะดวกกับบรรดานักบุญทั้งหลาย อย่างนี้ผมยอมหน้าเสียเพื่อรักษากำลังใจของตัวเอง ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ยกยอตัวเอง พูดตามความเป็นจริง ครูบาอาจารย์ท่านก็ปฏิบัติมาแบบนี้ เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ แล้วทำไมเราจะมาทำหน้าดีใจเสียใจเพื่อประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา “ธรรมทั้งหลาย มีใจถึงก่อนมีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ”
    ถ้าใจของเราเลวแต่ว่าหน้าดีมันจะมีประโยชน์อะไร สู้ทำหน้าของเราให้เป็นหน้าด้านแต่ใจสะอาด ดีกว่าหน้าสะอาดใจด้าน เลือกกันเอานะ ผมไม่ได้บังคับ ยังไงๆ ก็บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาเราเป็นปูชนียบุคคล อย่าหลอกลวงชาวบ้านเขาเลยบรรดาเพื่อนทั้งหลาย

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  17. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  18. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  19. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  20. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...