แมวเหมียวมงคลฟีล์ม ภูมิใจเสนอ!"เทพผู้พิทักษ์ทั้งสี่"น.64

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย Norlnorrakuln, 10 ธันวาคม 2012.

?
  1. เห็นดีด้วยและขอเป็นกำลังใจต่อไป

    0 vote(s)
    0.0%
  2. ไม่เห็นด้วยนิทานไร้สาระ งมงาย ฯลฯ

    0 vote(s)
    0.0%
  1. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    เอาเก้าอี้พลาสติกแบบนั่งซักผ้าก่อนมั้ยพี่ คิคิ ^^
     
  2. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ขาดส้มตำปูปลาร้านะคะรุทา
    มิกกี้กินด้วยกันบ่?
     
  3. คะรุทา

    คะรุทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,243
    ค่าพลัง:
    +3,477
    วุ้ยยย เกิดเป้น สส.เลย..
    อาการไหลของน้ำลาย สอ สอ..เอิ๊ก เอิ๊ก...ต้องบึงกาฬ อร่อยโครตๆๆขนาดสั่งใส่ถุงข้ามไปกินฝั่งลาวด้วย คิก คิก:cool:
     
  4. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    มาคอนเฟิร์มด้วยคนค่ะ ว่าส้มตำที่บึงกาฬโคตรอร่อยเลย (ขนาดห่อข้ามไปกินฝั่งลาวด้วยเนี่ย ไม่ธรรมดานะเออ คิคิ)
     
  5. คะรุทา

    คะรุทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,243
    ค่าพลัง:
    +3,477
    เหอ เหอ เสียดายได้กินไป 1 ถุง อีกถุงของมิกกี้ อยู่ในตู้เย็น ห้อง 210 :':)'(
     
  6. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    แหม มาเยือนถึงถิ่นเค้า ไม่ได้ต้อนรับเลย
    ครั้งหน้า ๆ เนอะ เดี๋ยวพาไปกินส้มตำอร่อย ๆ ริมโขงพร้อมปลาเผาสูตรเด็ดสะเด่า
    และก็แหนมเนือง อู๊ยยย พูดมาเจ้าถิ่นยังน้ำยายไหลเยยยย
     
  7. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,814
    ค่าพลัง:
    +15,099
    "ตัวตายตัวแทน"คำนี้ผู้เขียนได้ยินมานานแล้ว เป็นเรื่องราวทำนองว่า มีผู้มาบอกทางนิมิตรให้ไปขุดเอาทรัพย์สมบัติตามสถานที่ต่างๆ
    โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องไปเพียงลำพัง ในเวลาตามกำหนดเท่านั้น! แต่แล้วผู้ไปกลับเกรงกลัวความตาย ผิว่า จะกลายเป็นผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์แทน
    จึงไปกันหลายคน ปรากฎว่าเจอไหโบราณตรงตามตำแหน่งในนิมิตรบอกทุกประการ เพียงแต่ภายในไหนั้น มันเป็นไหเปล่า!!

    ขึ้นชื่อว่าความโลภเมื่อครอบงำจิตของผู้ใดแล้ว รังแต่จะทำให้ผู้นั้นจมดิ่งลงสู่ห้วงมหรรนพ ยากนักจะเข้าถึงฝั่งนฤพานได้
    "ทอง ทองคำ!เรารวยแล้ว เรารวยแล้ว!"..."พี่ พี่ พี่พุธเป็นอะไร?"อาภรณ์เขย่าร่างของสามีให้ตื่นขึ้น
    พุธลืมตาสะดุ้ง พลุดลุกขึ้นนั่งทอดสายตามองไปโดยรอบ "ฝัน นี่เราฝันไปหรือ"พุธอุทานมองหน้าอาภรณ์ด้วยใจลุ้นระทึก
    "เหมือนจริงมากเลยอาภรณ์ พี่ฝันไปว่ามีพญางูใหญ่นำไหโบราณมาให้ ภายในบรรจุสร้อยทองคำหลายเส้น!...
    พญางูยังบอกกับพี่อีกว่า จะมาเอาไปเมื่อไหร่ก็ได้เขายกให้"

    "จริงหรือพี่แล้วเทพยาดานั้น เขามีข้อแม้อะไรหรือเปล่า?"อาภรณ์ถามสามีด้วยคิดว่าอยู่ดีๆพญางูใหญ่
    จะมาบอกให้ไปขุดเอาทรัพย์สมบัติที่ตนห่วงแหน คงต้องมีสาเหตุมากกว่านั้น
    "หรือ พี่บนบานศาลกล่าวอะไรเขาไว้ ฉันเห็นหมู่นี้พี่จุดธูปไหว้เทพยาดาทุกวัน?"อาภรณ์ถามสามีเป็นชุด
    พุธอ้ำอึ้งไม่กล้าบอกความจริง ตอบอย่างเลี่ยงๆว่า
    "เขาให้เราอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้จะได้ไปเกิด อะไรทำนองนั้น...นี่เธออย่าซักพี่มากนักเลย ไว้ได้มาจริงๆก่อนค่อยว่ากันอีกที"...

    (อ่านวันละนิดจิตแจ่มใส เอาไว้วันไหนบิ๊วอารมณ์ดีๆ แล้วค่อยมาต่อยาวๆ ครับ):cool:
     
  8. dryad23

    dryad23 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +122
    รออ่านต่อนะค๊า :cool:
     
  9. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    เหมียวน้อยขอเรื่องเล่ายาวๆ ได้มั้ยอ่ะ...แค่นี้ยังไม่ถึงครึ่งกระเพาะเลยอ่ะ :cool:
     
  10. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,814
    ค่าพลัง:
    +15,099
    ฉ่ายรอบสองอีกสักหนึ่งเรื่องแล้วกัน :cool:

    แมวเหมียวมงคลฟีล์ม ภูมิใจเสนอ

    "เปิดตำนานเมืองเร้นลับ ฉัพพังคศิรินาครธม"

    เมืองเก่า๒.jpg

    ท่ามกลางมณีไพรสณฑ์อันร่มรื่นแห่งหนึ่ง ใกล้เชิงเขากัลปนาทจอมคีรียังมีนครเร้นลับของเหล่าพญานาคราช
    ตระกูลสีรุ้ง(ฉัพพยาปุตตะ)ถือปฎิสนธิแบบโอปปาติกะ(เกิดแล้วโตทันที)เป็นพญานาคราชที่อาศัยอยู่บนบก
    กาลครั้งนั้นนครฉัพพังคศิริเป็นแดนต้องห้ามเป็นมิติลึกลับ ยากที่มนุษย์ธรรมดาจะเข้าถึงได้ มหาชนมักกล่าวเรียกขานกันว่า
    เป็นนครของเหล่าเทพเจ้าผู้เฝ้าดูแลขุมทรัพย์ นักแสวงโชคผู้เรืองเวทและผู้มีวิทยาอาคมกล้าทั้งหลายต่างพยายามหาทาง
    เข้าสู่นครแห่งนี้ เพื่อหวังครอบครองขุมทรัพย์อันวิจิตรโอฬารนั้น แม้เพียงสักชิ้นหนึ่งก็ยังดี...แต่น่าเสียดายไม่มีใครได้กลับออกมาอีกเลย!

    เมืองเก่า๘.jpg

    ฟ้าหลังฝนยามใดมักสังเกตุเห็นสายรุ้งทอดตัวยาวปรากฎบนท้องฟ้า ที่ปลายสายรุ้งนั้นคือที่ตั้งของนครเร้นลับ เป็นที่ฝังขุมทรัพย์!
    อำไพมณีโชติ เป็นสมบัติอันล้ำค่า มีค่าควรเมือง มีลักษณะเป็นเสาแท่งแก้วผลึก7สีเรืองแสงสว่างในตนเอง
    เปรียบประดุจเสาหลักเมืองของนครแห่งนี้ เป็นต้นกำเนิดสายแร่รัตนชาติต่างๆ...ลึกลงไปใต้ฐานของแท่งเสาแก้วผลึกนั้น
    โดยรอบรัศมี๑โยชน์ เต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทองแก้วรัตนชาติต่างๆมากมายมหาศาล นัยว่าเป็นขุมทรัพย์ใหญ่ของพระเจ้ามหาจักพรรดิ
    เมื่อสิ้นสุดช่วงยุคหนึ่งๆ แท่งแก้วอำไพมณีโชติจะดึงดูดเพชรนิลจินดาทั้งหลายที่มีอยู่ในพื้นพิภพให้มารวมตัวกัน เพื่อรอการสืบทอด
    นครฉัพพังคศิริแห่งนี้ จึงเป็นดั่งท้องพระคลังหลวง ที่มีเหล่าพญานาคราชตระกูลสีรุ้งเป็นเทพเจ้าผู้เฝ้าดูแล(ปู่โสม)

    พญานาค๒.jpg

    ยามใดที่พระพิรุณโปรยปราย ต้องกระทบเสาผลึกแท่งแก้วอำไพมณีโชติ จะบังเกิดแสงสว่างโพยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทอดตัวไปตามทิศต่างๆตามวาระ
    บังเกิดเป็นเส้นมีสีต่างๆ 7สี หรือที่เรารู้จักกันดีว่า รุ้งกินน้ำ!...หากว่ากันตามหลักการณ์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องปกติของแสงอาทิตย์
    ทำปฎิกริยากับละอองน้ำในมุมที่เหมาะสม จึงบังเกิดเป็นสี่ต่างๆกัน...แต่ที่ผู้เขียนจะนำเสนอนั้นเป็นเรื่องราวนอกเหนือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
    ที่จะนำท่านผู้อ่านเข้ามาร่วมไขปริศนาอันลึกลับของเหล่าพญานาคราชผู้เฝ้าดูแลขุมทรัพย์ ซึ่งยังไม่เคยมีใครเปิดเผยมาก่อน แน่นอนสำหรับบางท่าน
    "มันเป็นเพียงนิทานเรื่องหนึ่ง!"

    รุ้งกินน้ำ๑.jpg

    สุริยะเทพสาดแสงแดด...แผดเผา
    ปฐพีใหญ่รวมธาตุไว้...สั่งสม
    พิรุณหลั่งนทีธาร...สายชล
    ลมหนุนวนสถิตย์พัด...ขับกงกรรม

    เสาแท่งแก้วผลึกอำไพมณีโชติ เป็นของวิเศษประจำเมืองฉัพพังคศิริ เป็นวัตถุธาตุกายสิทธิ์เกิดจากการร่วมประชุมธาตุอันประณีต เดิมทีใช้เป็นนิมิตหมาย
    บอกรสแห่งแผ่นดิน...ตำนานกล่าวว่าเมื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายเข้ามาอาศัยอุบัติขึ้นบนโลกตามกฎแห่งกรรม มีการใช้สมมุติไม่ตรงกัน เหล่าเทพเจ้าทั้งหลาย
    และผู้เป็นใหญ่ในภพของตน จึงได้มาประชุมเพื่อหาข้อสรุปในการอยู่ร่วมกันบนโลกนี้ ครั้งนั้นมีการประกาศว่าผู้ใดมีความสามารถจำแนกรสแห่งแผ่นดินได้
    ผู้นั้นแลได้ชื่อว่า เป็นผู้รู้แจ้งโลก,เป็นผู้คุ้มครองโลก,เป็นผู้รู้ยิ่ง,เป็นผู้รู้จริง,เป็นผู้สร้างโลก ฯลฯ พวกเราทั้งหลายจักสำคัญในท่านผู้นั้นว่าเป็นเทพเจ้า
    ผู้ยิ่งใหญ่กว่าสรรพสัตว์ทั้งปวง...ลำดับนั้นเทพผู้อุบัติในน้ำเสนอขึ้นว่า"รสจืด"แห่งน้ำเป็นเลิศกว่ารสใดๆ,เทพผู้อุบัติในมหาสมุทรกล่าวว่า"รสเค็ม"
    มีปริมาณมากกว่ารสใดๆ,เทพผู้รักษาต้นไม้กล่าวว่า"รสฝาด"เป็นเบื้องต้นแห่งผลไม้ "รสเปรี้ยว"เป็นความเจริญใจในท่ามกลาง
    "รสหวานมัน"เป็นที่สุดแห่งความพึงพอใจ,เทพผู้รักษาโรคกล่าวว่า"รสฝาด""รสเผ็ดร้อน""รสขม"ใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้

    กาลครั้งนั้นเทพพรหมผู้มีอายุยืนนานเห็นการอุบัติใหม่ของโลก ระลึกได้ถึงโลกใบเก่าที่เพิ่งแตกดับไปเมื่อคราวครั้งก่อน จึงเข้ามาสู่ที่ประชุมแล้วแสดง
    รสแห่งสรรพสิ่งที่มีอยู่ในโลกใหม่ว่า...ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย ในบรรดารสชาติภายนอกนั้น มี ๗ อย่างให้ถือเป็นรสใหญ่
    คือ จืด,เค็ม,เปรี้ยว,หวามมัน,ฝาด,เผ็ด,ขม ส่วนรสอื่นนอกเหนือไปจากนี้ให้ถือว่า เป็นการผสมรสทั้ง ๗ ในปริมาณที่ต่างกัน...
    ใช่แต่เพียงเท่านั้น รสชาติยังเป็นตัวบ่งบอกถึงอารมณ์ภายในจิตใจด้วย เหตุที่วัตถุธาตุภายนอกมีสีสันต่างๆกัน นั่นแสดงให้เห็นว่าจิตใจของสรรพชีวิตที่มีอยู่ในโลก
    ต่างมีระดับจิตวิญญาณและความสามารถแตกต่างกันไปตามวิบากกรรม

    คราวครั้งนั้นในที่ประชุมได้กล่าวสาธุการให้แก่เทพพรหมผู้มีอายุ แล้วพร้อมใจกันเรียกขานท่านว่า "มหาพรหม"หรือ"พระพรหม"ผู้สร้างโลก...
    และเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการประชุมของเหล่าเทพเจ้า จึงได้แสดงนิมิตแท่งเสาแก้วผลึกอำไพมณีโชติ7สี ให้ปรากฎขึ้นเพื่อเราจะได้บูชาคุณในท่านมหาพรหม
    ผู้สร้างโลก ผู้อนุเคราะห์โลก ผู้แสดงสมมุติบัญญัติแก่โลก...จำเดิมแต่การณ์นั้นมา สถานที่แห่งนั้นได้ใช้เป็นที่ประชุมของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    โดยทั่วไป เมื่อดวงจิตของเหล่าสรรพสัตว์น้อมมาเพื่อการบูชา กระแสจิตของแต่ละดวงก็จะพุ่งมากระทบกับแท่งเสาแก้วผลึกฯ เกิดเป็นรัตนธาตุมีสีสันสดใส
    งดงามแตกต่างกันออกไป ไหลลงสู่พื้นปฐพี ณ สถานที่แห่งนั้น เป็นปริมณฑลสิ้นรัศมีโดยรอบ ๑ โยชน์...เมื่อกระแสจิตได้มาฝากไว้แล้ว
    ย่อมรับรู้ถึงมหาพรหมผู้สร้างโลก โดยเชื่อกันว่าพระพรหมจะประทานพรให้เกิดศิริมงคลสำเร็จประโยชน์สุขในโลกนี้
    ดังนั้นเราจึงเห็นการบูชาด้วยผ้าแพรเจ็ดสีบ้าง ดอกไม้เจ็ดสีบ้าง ผลไม้เจ็ดอย่างบ้าง ฯลฯ เพื่อขอบารมีให้ท่านคุ้มครองตามกำลังวันทั้งเจ็ด
    (ปล.การบูชามหาพรหม เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ชาวพุทธที่ดีจึงควรพิจารณาด้วยเหตุผลทางปัญญา)

    กาลเวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ สรรพสัตว์โดยมากมีกิเลสหนา เข้าครอบงำจิต หลงความสวยงามทางวัตถุ จึงพากันมาขุดค้นหาเพชรนิลจินดา แก้วแหวนเงินทอง
    ทำสถานที่ประชุมนั้นให้เศร้าหมอง...ผู้ที่เคยบูชามหาพรหมด้วยรส ๗ อย่างในการณ์ก่อนเมื่อจุติแล้วใจยังอาลัยในภพเดิมของตน จึงได้อุบัติขึ้น
    เป็นพญานาคราชสีรุ้ง นามว่า "พญาฉัพพังคศิรินาคราช"มีลำตัวยาว ๑ โยชน์ พอดีกับรัศมีอาณาเขตโดยรอบที่ประชุมนั้น
    มีกาย7สี ดุจเดียวกับสีของแท่งเสาแก้วผลึกอำไพมณีโชติ เธอเนรมิตรเมืองด้วยฤทธิธานุภาพอันเกิดจากวิบากกรรมเก่าของตน...ชอบแปลงกายเป็นมนุษย์
    ในวันปกติ แต่พอฝนตกยามใดจะกลับกลายร่างอยู่ในอัตภาพเดิมทันที!มีเรื่องราวความรักของพระธิดามณีมนต์ทราศิริ กับกษัตริย์ในเมืองมนุษย์
    ซึ่งนางมักจะหายตัวไปอย่างลึกลับในช่วงฝนตก!เพราะต้นกำเนิดทางวงศ์ตระกูล มีวิบากให้อยู่ภายในอาณาเขตของตนเพื่อทำหน้าที่เฝ้าขุมทรัพย์
    เราจึงมักไม่คอยได้ยินเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดจากพญานาคราชตระกูลสีรุ้งเท่าใดนัก เรื่องราวความรักของพระธิดามณีมนต์ทราศิริจะเป็นเช่นไร?

    พระพิรุณ๓.jpg

    วสันตฤดูเยือนย่างยามเย็นย่ำ
    สายฝนพรำกระหน่ำสาดกระเซนไหล
    ผ่านรัติกาลเนิ่นนานแสนยาวไกล
    หวังเพียงใครคนหนึ่งเฝ้าดูแล

    พระธิดามณีมนต์ทราศิริ คงเป็นเหมือนหญิงสาวโดยทั่วไปที่เอาแต่ใจตนชอบเที่ยวเล่นสนุกสนานไปวันๆ...หลังฝนตกขาดสายยามนั้น เป็นโอกาสดีที่พระธิดา
    จะเสด็จออกไปภายนอกเมือง หลังจากที่กลายร่างเป็นพญานาคเพื่อรับพลังงานจากท้าวพิรุณเทพแล้ว นางยังมีอีกหน้าที่หนึ่งที่ได้รับมอบหมายจากเสด็จพ่อ
    คือการนำเอาแร่รัตนชาติ(พลอย,ทัพทิม,มรกต ฯลฯ)ไปปลูกฝังไว้ตามจุดต่างๆ ที่เป็นสถานที่อันเหมาะสมเพื่อเป็นเชื้อให้เกิดมงคลนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่สถานที่แห่งนั้น
    มันเป็นหนึ่งในงานสร้างบารมี เพื่อทำให้โลกเกิดความสมดุลย์...แก้วผลึกอำไพมณีโชติ เป็นเสมือนรากเหง้าของรัตนชาติทั้งหลายในพื้นพิภพนี้
    ทุกครั้งที่พิรุณเทพรวบรวมเอาพลังปราณชีวิตจากต้นไม้ สรรพสัตว์ หลอมรวมเข้าด้วยกัน ก่อตัวขึ้นเป็นก้อนเมฆใหญ่ แล้วส่งคืนให้โลกนั้น...คราใดที่กระแสฝนตกต้องกระทบ
    แก้วผลึกอำไพมณีโชติ ของวิเศษชนิดนี้จะเรืองแสงสว่างไสวเปล่งรัศมียาวไกลมี ๗ สี (นัยว่าเป็นเครื่องแปลงสะสาร จากน้ำฝน เฉพาะที่เป็นความสุข ความยินดีร่าเริงใจ ของมวลหมู่สรรพสัตว์...
    สมัยใดมวลหมู่สรรพสัตว์มีความสุข มีความยินดี มีอารมณ์ไม่ขุนมั่ว กระแสนี้จะถูกรวบรวมมากับสายฝน เมื่อตกกระทบแก้วผลึกอำไพมณีโชติแล้ว จะทำให้เกิดเป็น รัตนชาติหลากหลายชนิด
    หรืออีกนัยหนึ่งว่าของล้ำค่าจำพวกอัญมณีเป็นตัวแทนของความยินดี ก็ว่าได้ สีของอัญมณีนอกจากจะให้ความสวยงามแล้ว ยังเป็นเครื่องประดับที่มีพลังลึกลับสามารถ ปรับอารมณ์ธาตุของตนได้อีกด้วย)

    ดังนั้นผู้มาจากกำเนิดพญานาคราชตระกูลสีรุ้ง จึงมักจะมีบุคลิกดี มีอารมณ์ดี มีความสุขในชีวิตประจำวันอยู่โดยมาก...
    ครั้งนั้น พระธิดามณีมนต์ทราศิริ เห็นนิมิตสายรุ้งอันเกิดจากแท่งแก้วผลึกฯ ทอดตัวไปสู่ทิศหนึ่ง ซึ่งเป็นมหานครใหญ่ตกลงกลางสระโบกขรณีนั้น
    ให้นึกกระยิ่มใจว่าคราวนี้เราจะได้ชมมหานครของชนผู้เจริญแล้วหนอ!เพราะรัตนชาติในคราครั้งนี้ มีน้ำงามยิ่งนัก แถมยังมีปริมาณมากอีกด้วย ผิดจากครั้งก่อนที่นิมิตสายรุ้งมีประกายสีเขียวโดยมาก
    ไปตกในหุบเขาซึ่งมีเทพผู้เฝ้าดูแล มารอรับ"มรกต"ไว้เป็นมงคลสถานที่แห่งนั้น

    "วิเชียรชัยมังคละ"เป็นเจ้าชายเมืองกุสุมานคร ครั้งนั้นเธอเรียนสำเร็จมนต์นารายณ์แจงแวง(จำแรง)สามารถแปลงกายเป็นอะไรก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง
    รุ่งอรุณยามเช้าหลังฝนตกใหม่ๆเธอมักจะเห็นสายรุ้ง พุ่งมาตกลงบริเวณสระโบขรณีในพระราชอุทยานนั้น เกิดสงสัยได้ยินคำบอกเล่ามาว่า
    มีเทพธิดาจากแดนไกลมากับสายรุ้ง เพื่อเพิ่มทรัพย์ในดินสินทร์ในน้ำ ยังความอุดมสมบูรณ์ให้แก่สถานที่...ณ เบื้องปลายของสายรุ้งอีกฟากหนึ่งเป็นที่ฝังขุมทรัพย์ใหญ่
    ก็เรายังมิได้เห็นแจ้งประจักษ์ใจ จะเชื่อก็หาควรไม่ เมื่อดำริดังนั้นแล้ว วันหนึ่งเป็นโอกาสอันดีมีไม่บ่อยนัก เธอร่ายมนต์ที่ได้ร่ำเรียนมากลายร่างเป็น "ลูกแก้วรุ้งมณี"ลอยตัวอยู่กลางสระโบกขรณีนั้น
    พระธิดามณีมนต์ทราศิริ มีพระศิริโฉมงดงาม ปานเทพธิดาจากสรวงสวรรค์(ก็นางเป็นพญานาคตระกูลสีรุ้ง อันมีนครฉัพพังคศิริเป็นภพย่อย ของสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง)

    ซู่ๆๆ...เสียงน้ำแตกกระจาย รัตนชาติหลากหลายชนิด กำลังไหลลงสู่ก้นสระโบกขรณีนั้น!...นางชำระกายในสระโบกขรณีแล้ว เด็ดประทุมชาติมาถือไว้ ทอดสายตามองดูรอบอุทยาน
    เดินเล่นสักพักหนึ่ง...นิมิตสายรุ้งกำลังจะจางหายไป คงได้เวลาที่ต้องกลับแล้ว นางพญางูจำแลงดุจเทพอัปสรสวรรค์ในขณะนั้น
    ทำให้วิเชียรชัยมังคละเกิดปฎิพัทธ์ทันทีเมื่อได้พบเห็น...พระธิดามณีมนต์ทราศิริ กำลังจะเข้าไปสู่มิติของตนในสายรุ้งนั้น พลันได้แลเห็นลูกแก้วรุ้งมณีเปล่งแสงสว่างไสว เกิดฉงนใจเอื้อมมือไปขว้าหยิบขึ้นมาดู
    ทันใดนั้นเอง!ลูกแก้วจำแลง ก็กลับคืนสู่ร่างเดิม...เจ้าชายโอบกอดนางไว้ ด้วยความเสน่ห์หา...พระธิดามณีมนต์ทราศิริ ตกใจ!!

    พระพิรุณโปรยปรายมาอีกครา พญาฉัพพังคศิริ มิได้เห็นพระธิดาออกมาทำหน้าที่เหมือนเช่นเคย...จึงออกตามหา ทั่วทั้งเมืองก็ไม่พบ ให้นึกเป็นห่วงกังวลจึงส่งทหารออกตามหา จากนิมิตสายรุ้งที่พระธิดาเคยเสด็จไป
    ...ทางฝ่ายพระธิดามณีมนต์ทราศิริ หลังตกเป็นของเจ้าชายวิเชียรชัยมังคละแล้ว ก็ตามเสด็จเข้าสู่พระนครแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสีจัดงานอภิเสกสมรสอย่างสมพระเกียรติ ปัญหามีอยู่ว่าเจ้าชายไม่ชอบสัตว์เลื้อยคลาน เพราะ
    เคยมีอดีตฝังใจถูกงูกัดเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ เกรงว่าเจ้าชายจะนึกรังเกียจพระธิดาจึงยังมิทรงเล่ากำเนิดของตนในเมืองฉัพพังคศิริให้ฟัง ได้แต่บอกเจ้าชายว่าตนเป็นเพียงบาทบริจาคของท้าวพิรุณเทพมีหน้าที่นำรัตนชาติต่างๆ
    มาส่งมอบให้พระแม่ธรณีตามสถานที่ต่างๆ...เมื่อคราวฝนตกยามใด เธอจำต้องออกไปทำหน้าที่นั้น เพราะเกรงจะถูกอาญาจากสวรรค์
    แต่ความลับย่อมไม่มีในโลก เมื่อพระธิดาเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา แล้วทหารเอกของเสด็จพ่อซึ่งแอบมีใจให้กับพระธิดามณีมนต์ทราศิริมาโดยตลอด...ตามนิมิตรสายรุ้งมาพบเข้า
    เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร!

    เสียงฟ้าร้องในช่วงรัติกาลคืนหนึ่ง เป็นเวลาปีเศษแล้วที่พระธิดามณีมนต์ทราศิริมิได้กลับคืนสู่ นครฉัพพังคศิริ
    "ลูกจ๊าอย่าดิ้นแรงนักสิแม่เจ็บท้องเหลือเกิน"เสียงพระนางครวญถึงลูกน้อยที่ดิ้นอยู่ในท้องตามจังหวะแรงสั่นสะเทือนของสายฟ้า พระสวามียังคงบรรทมหลับ
    เพราะความเหน็ดเหนื่อย หลังจากกระทำราชกิจต่างๆตลอดทั้งวัน พระองค์ยังคงเอาใจใส่ดูแลให้ความรักต่อพระธิดาจำแลงเป็นอย่างดี ยิ่งทรงทราบว่าตั้งครรภ์
    แทบจะไม่ให้นางคราดสายตาเลยทีเดียว...หลังจากเจ้าชายวิเชียรชัยมังคละ เรียนศิลปะวิทยาจนสำเร็จ เสด็จพ่อเธอก็ทรงสละราชบัลลังก์ยกราชสมบัติทั้งหมดให้ปกครอง
    ช่วงนี้คงเป็นงานบริหารบ้านเมืองอันแสนจะเหน็ดเหนื่อย...พระนางรู้สึกสังหรณ์ใจ นึกถึงถิ่นฐานบ้านเมืองเดิมที่ตนจากมา...กลิ่นไอสายลมลอยมากระทบสัมผัสบางเบา
    ฝนใหญ่กำลังจะล่วงหลนจากฟากฟ้า พญานาคราชในนครแห่งนี้ทุกตนต่างรู้กันดี ถึงสัมผัสพิเศษว่ายามใดพระพิรุณจะหลังทักษิโณทกจากนภากาศ
    กลางดึกคืนนั้นพระนางจึงเสด็จออกเดินทางมุ่งตรงไปยังราชอุทยาน ใกล้สระโบกขรณีนั้นได้ถูกจัดเป็นเรือนรับรองเฉพาะของพระธิดา...แต่นางหารู้ไม่ว่าพระสวามี
    ยังมิได้หลับสนิท!เพราะเสียงฟ้าร้องคืนนั้นคำรามดูน่าสะพึงกลัว ให้นึกหวั่นในหทัยยิ่งนัก จึงเสด็จออกติดตามไปด้วยความห่วงหาเป็นกังวล...
    สายฝนใหญ่กระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย พระราชาแอบซุ่มอยู่ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ทนเปียกปอนข่มใจไว้มิให้พระนางผิดสังเกตุ...ทันใดนั้นเอง!
    พระราชาก็ต้องทรงตกพระทัยเมื่อสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า เป็นพญางูใหญ่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางสระโบกขรณีนั้น...สายฟ้าแล็บเป็นระยะๆ พระองค์ทรงกำลังจะตัดสินใจ
    ตรงเข้าไปเรือนรับรองนั้น เพื่อคอยปกป้องพระชายาเกรงจะได้รับภัยจากพญางูใหญ่ แต่เคยได้ให้สัญญากันว่ามิให้อยู่ใกล้พระนางในวันฝนตก!...เมื่อสถานการณ์บังคับ
    จึงจำต้องปรากฎพระองค์ ถึอพระแสงขันธ์เดินรี่ออกจากต้นไม้ไปสู่เรือนรับรองริมสระโบกขรณีในบัดดล...แต่เมื่อพระองค์เสด็จไปถึงกลับพบแต่ความว่างเปล่า
    "ไม่จริงๆ..พระน้องนาง พระน้องนางมณีมนต์ทราศิริ!"เสียงพระราชาทรงเรียกตะโกนก้อง แหวกสายฝนรอบอุทยานนั้น...

    พระนางมณีมนต์ทราศิริในขณะนั้น ได้ยินเสียงพระสวามีเรียกขานแล้ว ก็รู้ว่าท้าวเธอคงเป็นห่วงเราทั้งสองแม่ลูกที่หายไปในยามราตรี จึงเสด็จตามมา ให้รู้สึกนึกสงสารเป็นกำลัง
    จึงพาขนดลำตัวอันยาวใหญ่เทียมเสาหลักเมือง ว่ายแหวกคุ้งน้ำในสระโบกขรณีนั้นพุ่งตรงมาที่เรือนรับรองทันที...
    พระราชากำลังจะตัดสินพระทัยอะไรบางอย่างเพื่อจัดการกับพญางูตนนั้น!เพียงแต่รอจังหวะให้ฟ้าเริ่มสางพอได้เห็นชัดถนัดตา อีกทั้งเคล็ดวิชามนต์นารายณ์แจงแวงที่ได้รำเรียนมา
    ต้องรอรับพลังจากองค์สุริยะเทพเสียก่อนถึงจะใช้ได้ผล ในสถานการณ์ขณะนั้นพระองค์มิอาจคิดเป็นอื่นได้อีกแล้ว นอกจากสำคัญว่าพระชายาคงถูกงูใหญ่กลืนกินเข้าไป
    นี้ก็คงยังไม่อิ่ม จึงได้พุ่งทยานตัววกกลับมาเพื่อกินเราอีกเป็นแน่แท้!...พระราชาจึงรวบรวมสติมั่น กำพระแสงขันธ์ในท่ากระชับ เตรียมเงื้อฟัน
    นางพญางูใหญ่พุ่งมาถึงด้วยความเร็ว!แต่บังเอิญเพลานั้นได้เกิดสายฟ้าแล็บ จึงได้แลเห็นว่าพระราชากำลังเงื้อพระแสงขันธ์เพื่อฟันร่างตน...เพียงเสี้ยววินาที นั้นเอง
    ฉับบบบบ เสียงคมมีดพระแสงขันธ์ดังแหวกอากาศ เฉียดร่างพญางูนั้นเพียงปลายเล็บ...แต่นั้นก็ทำให้นางต้องได้รับบาดเจ็บหลั่งพระโลหิตที่ปลายพระสอ!
    เพราะรัศมีจากพระแสงขันธ์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระราชาเป็นอาวุธที่มีอานุภาพสูง...นางม้วนตัวกลับไปตั้งหลักกลางสระน้ำ ร้องรำพันโหยไห้ ตัดพ้อต่อว่าพระราชา
    เหตุไฉนพระลูกเจ้า จึงได้ทำกับตนได้ถึงเพียงนี้ แค่พระองค์ทรงรังเกียจเราที่มีกำเนิดเป็นงูใหญ่ ก็มิน่าจะฆ่าฟันกัน!ทั้งที่มีลูกด้วยกันแต่กลับมาหักหาญน้ำใจกันได้ถึงเพียงนี้
    (นัยว่าต่างคนต่างเกิดความเข้าใจผิด คิดเห็นไปคนละอย่าง ฝ่ายพระนางคิดว่าพระราชาคงล่วงรู้ความลับหมดทุกอย่างแล้ว...แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่)
    นางร้องรำพันจนสุดเสียงเป็นภาษามนุษย์...แต่อนิจจา เสียงนั้นไม่อาจสื่อความหมายให้พระราชาเข้าพระทัยได้ เพราะสายฝนที่ตกหนักปนกับเสียงฟ้าคำราม

    ต่างคนต่างจองมองดูกันอยู่นานช่วงรัศมีสามวานั้นเอง...จนฟ้าเริ่มสางแล้ว ฝนที่ตกมาโดยตลอดทั้งคืนจึงเริ่มซาเม็ดลง กลายเป็นละอองน้ำบางเบา
    บรรยากาศช่างเหมือนกับตอนที่พบรักพระธิดาใหม่ๆ เพียงแต่ว่าเพลานี้นางนั้นคงสิ้นแล้ว พระราชาตรึกในห่วงมโนนึก!ยิ่งแลเห็นท้องของพญางูสีรุ้งตนนั้นมีขนาดใหญ่
    ผิดปกติ ก็ให้คิดปักใจเป็นแม้นมั่น(โถ โง่จริงๆ ทำเค้าท้องแล้วคิดได้เพียงแค่อย่างเดียว)ฝ่ายพระธิดาเสียพระทัย รำพันจนน้ำพระเนตไหลหลั่งจนหมดสิ้นแล้ว
    ก็ไม่อยากจะพูดอะไรต่อไปอีก(น๊าน เอาเข้าไป แล้วจะรู้เรื่องกันมั้ยเนี่ย)...เมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวสูงขึ้น จึงบังเกิดเป็นสายรุ้งพุ่งตรงมายังสระโบกขรณีนั้น ทันทีที่รุ้งงามปรากฎ!
    ทหารเอกฝ่ายท้าวพญาฉัพพังคศิริ ก็โจนทยานแหวกทะลุมิติสายรุ้งพร้อมบริวารจำนวนหนึ่ง ออกมาปรากฎอยู่เกือบเต็มสระโบกขรณีนั้นในอัตภาพเดิม!...
    พระราชายืนตะลึงงันกับเหตุการณ์ที่ปรากฎขึ้น...พระธิดามณีมนต์ทราศิริ!!เสียงทหารเอกนามว่า"ปรเมทร์"
    ขานเรียกพระธิดาด้วยเสียงอันดังพร้อมเลื้อยเข้าไปใกล้ในระยะประชั้นชิด เห็นพระธิดาทรงได้รับบาดเจ็บ และเห็นพระราชาวิเชียรชัยมังคละยืนถือพระแสงขันธ์อยู่ในมือ
    ก็ให้เกิดโทสะขึ้นในบัดดล...กำลังจะบังหวนควันเข้าใส่ แต่พระธิดาทรงยับยั้งไว้...ฝ่ายพระราชาเรียนสำเร็จวิชาไตรเพทแล้วย่อมรู้ภาษาสรรพสัตว์ จึงกำหนดจิตฟังดู
    จึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วพญางูใหญ่สีรุ้งตนนั้น คือพระมเหสีมณีมนต์ทราศิรินั้นเอง(โถ เค้าเพิ่งจะเริ่มฉลาด)....
    เมื่อพระราชาล่วงรู้ถึงความจริงแล้ว เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร?

    เมื่อนิมิตสายรุ้งเริ่มจางหายไป คงเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว!
    "ลาก่อนเพค่ะเสด็จพี่ หม่อฉันขอไปตามวิถีทางเดิมของตน"พระธิดามณีมนต์ทราศิริ เอ่ยคำร่ำลาสุดท้ายด้วยน้ำตานองหน้าในอัตภาพของนางพญางูใหญ่นั้นเอง
    ก่อนจะหายลับกลับเข้าไปในมิติสายรุ้ง พร้อมทหารเอกและเหล่าบริวาร!ในห่วงมโนนึกของพระราชาวิเชียรชัยมังคละขณะนั้น เต็มไปด้วยความสับสน ระคนไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
    เมื่อระลึกได้ถึงการกระทำของตนเอง ก็ให้ยิ่งรู้สึกสำนึกผิด...แน่นอนความรู้สึกนี้ มันมีพลังมากกว่าความโกรธแค้นในองค์พระธิดาฯ
    ที่ไม่ทรงเปิดเผยความจริงให้รับรู้ถึงชาติกำเนิดเดิมของตน...อย่ากระนั้นเลย!จำเราจะต้องละทิฎฐิมานะในตนให้หมดสิ้นไป มิฉะนั้นเราคงต้องพลาดจากนางอันเป็นที่รักสิ้นกาลนาน!
    คำโบราณกล่าวว่า "เกลียดอย่างไรมักจะได้อย่างนั้น"ระหว่างความเป็นพระราชาอยู่ในเมืองใหญ่ กับความรักที่มีต่อพระนาง มันคงถึงคราที่จะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว!
    เร็วเท่าความคิดแทบไม่น่าเชื่อ ทันใดนั้นเอง วิเชียรชัยมังคละ....

    "คาบพระขันธ์แสงชัยด้วยพระโอษฐ์"
    "พัดโบกมนต์นารายณ์ดลแปลงโฉม"
    "อธิษฐานบ่นวิชาครู พร่ำ นพพระกร"
    "พระวรกายคลอน ขยายใหญ่ยาว เท่าลำตาล"
    พระขันธ์แสงชัยกลายเป็นพระเขี้ยวแก้ว ส่วนพระวรกายนั้นแปลงให้เป็นดังเช่น พญางูใหญ่สีรุ้งดุจเดียวกับพระธิดามณีมนต์ทราศิริแล้ว...ออกเลื้อยกระโจนแหวกว่ายคุ้งน้ำ
    ตามหายเข้าไปในมิติสายรุ้งนั้น โผล่ทะลุถึงใจกลางมหานครใหญ่ในบัดดล!!

    ฝ่ายพระธิดาและเหล่าทหาร เมื่อผ่านมาถึงใจกลางมหานครแล้วพร้อมใจกันทำความเคารพเสาแท่งแก้วผลึกอำไพมณีโชติตามทำเนียม เมื่อพงกศรีษะเงยหงอนขึ้นในครั้งที่สาม
    ร่างอันใหญ่ยาวนั้นก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นมนุษย์!...ท่ามกลางมหานครเร้นลับฉัพพังคศิริ แห่งนี้เอง พระราชาจำแลง คือมนุษย์ผู้มาเยือนใหม่
    ถึงแม้ว่าสรีระร่างกายภายนอกจะดูคล้ายคลึงกับพญานาคราชหมดทุกส่วน แต่กลิ่นไอของมนุษย์นั้นไม่อาจ บิดเบือนความจริงได้...เมื่อพระองค์ท่านตามมาติดๆ
    ถึงแม้ว่าจะกระทำตามทำเนียมแล้วก็ตาม ...เมื่ออัตภาพของความเป็นมนุษย์ปรากฎ!
    "เสด็จพี่!"พระธิดามณีมนต์ทราศิริกล่าวด้วยน้ำเสียงอันฉงนสนเท่ห์ใจยิ่ง กำลังจะโผลเข้าสวมกอดพระวรกาย แต่มืออันแข็งแกร่งของทหารเอกฉุดรั้งไว้!
    "ปรเมทร์"นี้..ปล่อยมือฉันนะ พระธิดาฯ สบัดมือเพื่อให้หลุดออกจากการจับกุม แต่หาเป็นผลไม่
    ฝ่ายพระราชาเห็นดังนั้นกำลังจะเดินเข้าไปช่วย แต่เหล่าทหารนับสิบถือศราตราวุธโอบล้อมพระองค์ไว้
    "ท่านเก่งมาก สามารถมาถึงที่แห่งนี้ได้"ปรเมทร์กล่าวขึ้นด้วยเสียงห้าว
    "ดีแหละเราจะไปเฝ้าท้าวฉัพพัคคศิริด้วยกัน"

    กล่าวถึงท้าวพญาฉัพพังคศิริเมื่อทราบเรื่องราวต่างๆจากพระธิดามณีมนต์ทราศิริแล้ว ก็ทรงกริ้วหนัก!เห็นว่าเป็นความผิดของพระราชาหนุ่มที่พระองค์ท่านได้ใช้กำลัง
    กระทำการล่วงเกินพระธิดาฯให้ต้องได้รับความลำบาก และความอับอาย เพราะปรากฎว่าท้องของพระธิดาในอัตภาพความเป็นมนุษย์นั้น มิได้ผิดแผกแตกต่างไปจาก
    หญิงมนุษย์ธรรมดาผู้มีครรภ์แก่เลย!นี้ถ้าหากว่าพระราชามีกำเนิดชาติเป็นโอปปาติกะด้วยกันทั้งคู่แล้ว เมื่อถึงครามีทายาทท้องก็จะไม่ป่อง!คงมีแค่เพียงอาการเจ็บท้องแล้ว
    ทายาทก็จะอุบัติขึ้นโตทันทีในอ้อมกอดของพระธิดานั้น ในอิริยาบทใด อิริยาบทหนึ่งเป็นแน่แท้...แต่นี้ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่!
    ถึงแม้ว่าพระราชาวิเชียรชัยมังคละจะทรงจัดงานอภิเสกสมรส ให้อย่างสมพระเกียรติก็ตาม...แต่เราก็ยังคงถือว่าเป็นความผิดอยู่ดีเพราะมิได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก่อน

    กฎของเมืองมีอยู่ว่าชาวพระนครฉัพพังคศิริตนใดก็ตามเมื่อมีความพอใจ สมัครรักใคร่ในอันที่จะอยู่ร่วมกับมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายก็ดี ให้ถือว่าขาดจากการเป็น
    พลเมืองของพระนครแห่งนี้ จะต้องถูกขับไล่และเนรเทศให้ออกไปพ่นจากพระนครทันที !
    (นัยว่าเพราะกลิ่นไอของมนุษย์เต็มไปด้วยความโลภ จะนำภัยพิบัติมาสู่พระนครที่เต็มไปด้วยรัตนแก้วอันวิจิตร...ด้วยเหตุนี้เองฉัพพังคศิริจึงเป็นนครเร้นลับ สำหรับมนุษย์สืบต่อมา)
    ซึ่งตอนนี้พระธิดาแห่งเราได้ถูกกลิ่นไอของความเป็นมนุษย์ ครอบงำโดยสิ้นเชิงแล้ว...ท้าวพญาฉัพพัคคศิริ มองดูพระอุทร ของพระธิดาแล้ว ให้นึกทอดถอนใจเป็นกำลัง

    หลังจากลำดับเหตุการณ์อยู่พักใหญ่ ท้าวพญาฉัพพัคคศิริจึงตัดสินใจพูดออกมาในที่ประชุม ให้ทราบโดยทั่วกันว่า "นี้เพราะพระธิดามิได้ทรงสมัครใจแต่แรกเริ่ม
    เป็นเพราะพระราชาหนุ่มใช้กำลังเข้าล่วงเกิน จึงถือว่ายังพอแก้ไขได้"(ท้าวพญาฉัพพังคศิริคิดเข้าข้างลูกสาวในที่สุด)...แล้วกล่าวต่อไปอีกว่า
    "ในเมื่อท่านมีความสามารถเสด็จมาเยือนถึงนครแห่งนี้ได้ นับว่าเป็นผู้มีความกล้าหาญเด็จเดี่ยวเป็นอย่างมากทีเดียว...ดังนั้นหากว่าท่านสามารถเอาชนะ ปรเมทร์
    ทหารเอกในนครแห่งนี้ได้ด้วยชั้นเชิงดาบ!...ของให้พระองค์ทรงนำพระธิดาแห่งเรากลับไปยังเมืองมนุษย์ได้โดยสวัสดิภาพเถิด!...แต่หากพระองค์ พลาด...
    ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็อย่าหวังว่าจะได้กลับออกไป!...เราจะยกพระธิดา ให้แก่ผู้ชนะการประลองในครั้งนี้!!
    (นัยว่าท้าวพญาฉัพพังคศิริ ล่วงรู้ว่าปรเมทร์มีใจให้แก่พระธิดามณีมนต์ทราศิริ อยู่แต่เดิม คงไม่นึกรังเกียจพระธิดาฯผู้มีมลทินเป็นแน่แท้...ซึ่งก็จริงตามนั้น)

    ฝ่ายพระราชาวิเชียรชัยมังคละ เมื่อตัดสินพระทัยตามมาแล้วก็ไม่หวังอะไรมากไปกว่า ขอให้ได้อยู่เคียงข้างกับพระธิดามณีมนต์ทราศิริ ตลอดไป!...
    ถึงแม้ว่าจะเหลือแต่เพียงร่างที่ไร้"วิญญาณ"ก็ตาม!!
    อ้า !อานุภาพแห่งความรัก มันช่างมีอำนาจเหนือความตายหรืออย่างไร?...หรือนี้อาจเป็นเพราะว่า มนต์แห่งมณีนางนั้น ได้เข้าไปรึงรัดมัดทั้งสี่ห้องของหัวใจพระราชาไว้
    มิอาจยอมให้พรากจากกันไปได้ ด้วยบุพเพสันนิวาส แต่ครั้งปางบรรพ์ ก็คงจะปานกัน!

    กล่าวถึงเมืองกุสุมานครในขณะนั้น วันเวลาได้ล่วงเลยมาได้สัปดาห์กว่าแล้ว ชาวพระนครและเหล่าข้าราชบริพารได้ออกติดตามหาทั้งสองพระองค์ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ
    แต่ก็ยังไร้วี่แวว กรอปกับในวันที่หายตัวไปนั้นฝนได้ตกลงมาอย่างหนักจึงทำให้การแกะรอยเป็นไปด้วยความยากลำบาก..."ชาวเมืองจะขาดกษัตริย์มิได้"นี้ถ้า
    หากว่าพระราชาวิเชียรชัยมัคละทรงถึงแก่สวรรคตสิ้นแล้ว ณ สถานที่แห่งใดซักแห่งหนึ่ง พวกเขาคงต้องประชุมกันเพื่อคัดเลือกหาพระราชาองค์ใหม่เป็นแน่แท้!
    เมื่อเหล่าอำมาตย์พาทหารติดตามมาถึงสระโบกขรณี ก็ให้นึกแปลกใจ!ถึงรอยดินที่อยู่ริมสระน้ำ มีลักษณะเหมือนรอยงู แต่เหตุไฉนมันถึงได้มีขนาดใหญ่โตนัก!
    พวกเขาพากันวิภาควิจารณ์ไปต่างๆ...

    นักรบ๑.jpg นักรบ๒.jpg

    "พระน้องนางหากแม้นว่าพี่เกิดพลาดพลั้งขึ้นมา ก็อย่าได้เศ้าโศกเสียใจไปเลยนะน้องเจ้า จงเลี้ยงดูลูกของเราไว้ให้ดี!"พระราชาวิเชียรชัยมังคละตรัสแก่พระธิดาฯเป็นครั้งสุดท้าย
    เมื่อมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกัน!...พระธิดามณีมนต์ทราศิริมีน้ำพระเนตรไหลอาบหน้า กุมพระหัตถ์ทั้งสองไว้ที่พระอุทร รำพันปลอบบุตรน้อย ด้วยใจหวาดหวั่นปริวิตก!

    นักรบ๓.jpg

    ทั้งสองต่างพุ่งเข้าใส่กันด้วยเพลงดาบอันช่ำชอง!เสียงอาวุธปะทะกันดังสนั่น เกิดประกายไฟขึ้นเป็นระยะๆ...บรรยกาศในขณะนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด!
    ท้องฟ้าโดยรอบเหนือพระนครดูมืดครึ้ม ประหนึ่งว่าพระพิรุณเทพ จงทรงมาร่วมเป็นสักขีพยานแก่เขาทั้งสอง และเตรียมหลั่งทักษิโณทกแก่ผู้วายชนม์ในครั้งนี้!!
    ดูเหมือนว่าปรเมทร์จะเป็นฝ่ายรุกไล่ พระราชาวิเชียรชัยมังคละให้เป็นฝ่ายถอยตั้งรับ...เขานั้นกระหยิ่มในฝีมือดาบของตนที่เป็นหนึ่งในนครแห่งนี้!ใจนั้นต้องการที่จะ
    ประหารปลิดชีพพระราชาด้วยเพลงดาบเดียว!แต่มิอาจกระทำได้โดยง่ายเพราะพระราชานั้นทรงสำเร็จศิลป์ศาสตร์มาหลายแขนง
    เพลงดาบของปรเมทร์จึงมิอาจต้องพระวรกายท่านได้!แต่ถ้าหากยืดเยื้อเวลาให้เนิ่นนานออกไปกว่านี้ เห็นทีว่าพระราชาจะเป็นฝ่ายปราชัย
    กำลังของมนุษย์ไหนเลยจะต้านทานกำลังของอสูรนาคราชในขณะนั้นได้...เปรี๊ยยยย!!เสียงดาบของปรเมทร์ตวัดพระขันธ์แสงชัยของพระราชา
    ให้กระเด็นลอยล่องขึ้นสู่ท้องนภากาศ ทันใดนั้นเอง!ปรเมทร์ ปรเมทร์...

    "ไม่..ไม่จริงงง!เสด็จพี่!!"เสียงพระธิดามณีมนต์ทราศิริ ร้องตระโกนเรียกพระสวามีก้องพระนคร เมื่อเห็นพระขันธ์แสงชัยลอยกระเด็นขึ้นสู่ฟ้า
    พร้อมกับกระโจนร่างของตนออกวิ่งไปสู่ลานประลองนั้น!มันเป็นจังหวะเดียวกับที่ปรเมทร์ เงื้อมดาบอันคมกริบ ฟันเข้าใส่พระราชาในลักษณะสพายแล่ง!
    โดยที่พระขันธ์แสงชัยยังมิทันตกถึงพื้น...ด้วยความรวดเร็วในชั้นเชิงดาบจากยอดฝีมือทหารเอก หวดฟันเข้าพระรากขวัญเต็มกำลังที่มีอยู่...
    ฉับบบบ!...ร่างนั้นขาดออกจากกันในทันที!..."มันเป็นภาพแรกที่ทุกคนในที่นั้นจะต้องจารึกไว้ตราบนานเท่านาน "
    โดยเฉพาะพระธิดามณีมนต์ทราศิริ!!...ละอองน้ำจากนภากาศเริ่มพร่างพรหมปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณนั้น

    พระพิรุณ๑.jpg

    แต่ทว่า!...แต่ทว่า!...
    แทบไม่น่าเชื่อสายตาของตนเอง พระราชาอีกพระองค์หนึ่งยืนปรากฎกายอยู่เบื้องหลัง ปรเมทร์...รับพระขันธ์แสงชัยไว้ด้วยพระหัตถ์ขวา
    จรดวางลงบนบ่าบริเวณคอของปรเมทร์ในท่วงท่าอันสง่างาม...สรรพสิ่งทุกอย่างเงียบกริบประดุจนครร้างไปชั่วขณะหนึ่ง
    และ"มันเป็นภาพที่สองซึ่งทุกคนในที่นั้นจะไม่มีวันลืมพระราชาหนุ่มเมืองมนุษย์ไปจากความทรงจำได้เลย ตราบนานเท่านาน"...
    ปรเมทร์ เป็นฝ่ายปราชัย!

    "ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ประสิทธ์ประสาทวิชานารายณ์พันกายนี้ ไว้ใช้ยามคับขัน!"พระราชาวิเชียรชัยมังคละระลึกถึงครูบาอาจารย์
    "ท่านเก่งมาก พระราชาหนุ่มเมืองมนุษย์ ขอให้ท่านพาธิดาแห่งเรากลับคืนสู่พระนครของท่านโดยสวัสดิภาพเถิด"ท้าวพญาฉัพพังคศิริกล่าวขึ้นในที่สุด
    ...เมื่อสายตาทุกคู่ละจากสังเวียนการประลอง มองไปยังท้าวพญาฉัพพังคศิริ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิดขึ้นอีก!
    "ปรเมทร์"ในขณะนั้นได้ถูกอสูรมารเข้าสิ่งสู่หัวใจซะแล้ว เขาไม่อาจทนความอัปยศอดสูใจ จากการพ่ายแพ้ในครั้งนี้ได้...
    จึงฉวยจังหวะที่ทุกคนเผลอพุ่งตรงเข้าจับกุมตัวพระธิดามณีมนต์ทราศิริไว้ในทันใด!!..."ฮ่า ฮ่า ฮ่า ๆ"ปรเมทร์หัวเราะเสียงดังก้องฟ้า

    ตัวประกัน.jpg

    วะ ฮ่า ฮ่า ฮ่าๆๆๆ ท่านจงกลับไปแต่เพียงผู้เดียวเถิด!!ส่วนร่างอันไร้วิญญาณนี้ ขอจงสถิตย์อยู่กับข้า ชั่วกาลนาน!!วะ ฮ่า ฮ่า ฮ่าๆๆๆ
    "ปรเมทร์อย่า!"เสียงปรามจากท้าวพญาฉัพพังคศิริ แต่หาได้เป็นผลไม่ (เขาคิดที่จะพลีชีพตายไปพร้อมกับพระธิดาฯ)...

    อกสั่นขวัญหายหทัยราช ท้าวท่าน
    ดั่งมีดหั่นเฉีอนเนื้อกรีดใจให้ แหลกเหลว
    พระน้องนางลูกรักจักม้วยปราณ ชีพสิ้น
    ทหารเอกนาคินทร์ จ้วงสบัด สลายดับ เงื้อมสับมณีมนต์!

    นาทีระทึกใจในขณะนั้น มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนจะโหดร้าย สำหรับท้าวพญาฉัพพังคศิริและพระราชาวิเชียรชัยมัคคละ
    ในตลอดระยะเวลาที่เขาทั้งสองนั้นอุบัติชาติจำความได้จนถึงขณะนี้ แทบไม่มีครั้งไหนเลย ที่เขาทั้งสองจะได้รับรสชาติของทุกข์เวทนา
    อันเกิดจากความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ได้มากมายเท่ากับในเสี้ยววินาทีนี้เลย...ท้องฟ้าโดยรอบพลันมืดครึ้มขึ้นอย่างถนัดตา เสมือนหนึ่งว่า
    ราหูกำลังจะกลืนกินทุกสรรพชีวิต ให้จมอยู่ในห่วงรัติกาลแห่งความมืด สิ้นกาลนาน
    "พระธิดามณีมนต์ทราศิริพร้อมลูกน้อยในอุทร กำลังจะถูกอสูรร้ายกระชากวิญญาณให้หลุดออกจากร่าง"ขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตาแล้ว!!

    "อย่า! ไม่! ปรเมทร์"...ท้าวพญานาคราช และพระราชาวิเชียรชัยมัคคละ ร้องตะโกนแทบจะประสานเป็นเสียงเดียวกัน

    ทันใดนั้นเอง ลูกน้อยในอุทรของพระธิดา เกิดอาการดิ้นขึ้นมาอย่างรุนแรง จนพระธิดานั้นเกรงไปทั่วสารพังกาย!...
    มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปรเมทร์ ยกแขนขัางที่ถือดาบชูขึ้นสูงจนสุดเหยียดมือ หวังตวัดกลับมาเพื่อเสียบร่างเขาทั้งสองให้ทะลุถึงกัน...
    เปรี๊ยงงงงงงงงงงงงง!!แทบไม่น่าเชื่อสายตา เสียงพระพิรุณเทพโกณจนาคว้างขวานฟ้าอสุณีบาต ผ่าลงตรงปลายดาบของ ปรเมทร์ ทันที!!

    สายฟ้า๑.jpg

    อาณุภาพของสายฟ้า สว่างเจิดจ้าไปทั่วอาณาบริเวณนั้น เพียงชั่วพริบตา!ร่างของพระธิดาทรุดตัวหลุดลงมากองอยู่กับพื้นด้านข้าง!พร้อมอัตภาพเดิม
    ของนาพญางูใหญ่ก็ปรากฎขึ้น...แต่ปรเมทร์นั้น ยังยืนถึอดาบค้างอยู่ในท่าเดิม!...พระราชาวิเชียรชัยมัคคละ ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป
    จึงเหวี่ยงพระขันธ์แสงชัยขึ้นเหนือพระอังสา จับให้อยู่ในท่าถือหอก แล้วพุ่งพระขันธ์ออกไปด้วยความรวดเร็วทันที
    พระขันธ์แสงชัยนั้นตรงเข้าเสียบอกของปรเมทร์ทะลุถึงด้านหลัง ปรเมทร์ตายทันทีในท่ายืนยกดาบค้างอยู่นั้นแล...

    "อุแว้ อุแว้ๆๆๆ "แว่วเหมือนได้ยินเสียงเด็กร้อง
    ในระยะที่พระราชายืนอยู่นั้นห่างจากปรเมทร์และพระธิดาฯเพียงสามวา แต่อาณุภาพของฟ้าผ่า มันทำให้เขาตาพล่ามั่วไปชั่วขณะหนึ่ง...
    เขาคงไม่รู้หรอกว่าพระธิดาได้ยืนคลอดบุตร ออกมาตรงกับเวลาที่ฟ้าผ่าพอดี!พระราชารีบเดินตามเสียงนั้นเข้าไป เพียงไม่กี่ก้าว
    ก็ได้พบกับภาพของนางพญางูใหญ่นอนขนดกาย รัดอุ้มเด็กน้อยไว้ อย่างทนุถนอมฯ
    น้ำพระเนตรแห่งความปราบปลื่มปีติก็พลันปรากฎขึ้น อาบพระพักต์ของพระราชาในบัดดล

    พระองค์ท่านตรงเข้าไปประครองร่างของนางพญางูที่นอนหมดสติ ให้ฟื้นกลับคืนมา บัดนี้ความรู้สึกนึกรังเกลียดในร่างอสรพิษนั้น
    มันได้ถูกขจัดให้ปลาศนาการหมดสิ้นไปแล้ว ด้วยรอยจูมพิศบางเบาจากพระโอษฐ์ของพระราชา!

    อ้า!จะมีสิ่งใดอีกหรือ ที่มีอานุภาพหน่วงเหนี่ยวรึงรัดมัดใจสรรพสัตว์ไว้ได้อย่างแน่นหนา ตลอดระยะเวลาที่ตกอยู่ในห่วงวังวนแห่งวัฎฎะนี้
    เท่ากับอานุภาพของ"ความรัก"...หลังจากประครองร่างทั้งสองแม่ลูกให้ค่อยๆลุกขึ้น เมื่อพระธิดาลืมตา พลันอัตภาพของนางพญางูใหญ่นั้น
    ก็มลายหายไป..."ลูกของเราเพค่ะเสด็จพี่แกช่วยหม่อมฉันไว้"โอ้!เราได้พระโอรสหรือนี่!ดูเจ้าช่างละม้ายคล้ายคลึงพ่อเสียจริง
    พระองค์ท่านเปล่งอุทาน พร้อมกับอุ้มพระโอรสไว้ในอ้อมกอด...เมื่อทั้งสามกำลังจะหันหลังเดินจากไป พระราชาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง
    จึงส่งพระโอรสไปให้พระธิดาอุ้มแทน...แล้วหันตัวกลับมามองจ้องหน้าปรเมทร์ กล่าวคำว่า "อโหสิกรรมให้แก่เราทั้งสามด้วยนะ ปรเมทร์"

    ปรเมทร์ ในขณะนั้นยืนถลึงตาโปนโต มีลักษณะท่าทางดุร้าย ไม่ต่างอะไรกับหุ่นนักรบโบราณยืนถือดาบ
    เมื่อพระราชาดึงพระขันธ์แสงชัยออกจากร่าง ร่างอันไร้วิญญาณของปรเมทร์นั้นหงายหลังล้มลง พลันอัตภาพเดิมก็ปรากฎ
    เป็นพญางูใหญ่สีรุ้งพรรณราย แต่หามีรัศมีสว่างสดใสไม่ คงเป็นเหมือนท่อนซุงใหญ่ที่เขาฉาบทาด้วยสี
    นอนเหยียดเกร็งตัวเข็งอยู่ ที่ลานประลองแห่งนั้นเอง

    ท้าวพญาฉัพพัคศิริตรงเข้ามาหาพระธิดา แสดงความชื่นชมยินดีแล้ว จัดเตรียมทรัพย์อันมีค่าควรเมืองหลายอย่าง เท่าที่จะสามารถนำติดตัวไปได้
    มาส่งมอบให่แก่พระธิดา แล้วกล่าวว่า "ลูกรักต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องทำหน้าที่เดิมอีกแล้ว ขอเจ้าจงไปอยู่กับพระสวามีอย่างมีความสุขเถิด
    พ่อมีของสิ่งหนึ่งจะมอบให้ เมื่อพระโอรสเติบใหญ่เขาจะเป็นผู้มีบุญญาธิการสูง สามารถเรียกฟ้าสั่งฝนได้ จงนำ "ลูกแก้วรุ้งมณี"อันนี้
    มอบให้แก่เขา เพราะเขาเป็นมนุษย์มิอาจแปลงกายเป็นนาคราชโดยปกติได้ เมื่อเขาต้องการก็จงอมลูกแก้วรุ้งมณีใส่ปากไว้
    ร่างพญานาคราชก็จะปรากฏแก่เขา สามารถใช้ฤทธิ์ทุกอย่างได้เหมือนกับพญานาคราชทุกประการ"

    "จงไปเถิดลูกได้เวลาแล้ว"เมื่อท้าวพญาฉัพพังคศิริกล่าวจบ หันหน้าไปทางเสาแท่งแก้วผลึกอำไพมณีโชติ ได้แปลกายเป็นพญางูใหญ่
    แน่นอนสำหรับพระราชาวิเชียรชัยมังคละ มันเป็นภาพของพญางูยักษ์ที่มีขนาดลำตัวใหญ่และยาวมาก อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน!
    ท้าวเธอพ่นน้ำอันเกิดจากฤทธิ์ธานุภาพไปยังแท่งแก้วผลึกนั้น พลันบังเกิดเป็นสายรุ้งทอดตัวยาวออกไปสู่เมืองกุสุมานคร
    พระธิดามณีมนต์ทราศิริ อุ้มลูกน้อยพร้อมกับจูงพระสวามีเข้าสู่ประตูมิติในนิมิตสายรุ้งนั้นแล้ว
    ได้ไปปรากฎตัว ณ สระโบกขรณีกลางอุทยานนั้นตามเดิม ฯ

    ด้วยเหตุที่พระโอรสประสูติพร้อมสายฟ้าฟาดอสุนีบาตนี้เอง จึงได้ขนานนามพระองค์ท่านว่า
    "อัสนีชัยศิริโชติ"(นัยว่าท่านเป็นบุตรท้าวพิรุณเทพ จุติลงมาสร้างบารมี)
    เป็นผู้แกล้วกล้ามีฤทธิ์อำนาจและพละกำลัง เหนือบุคคลธรรมดาทั่วไป สามารถเรียกฟ้าสั่งฝนได้
    แปลงกายเป็นพญานาคราชได้ตามต้องการ จำเดิมแต่นั้นมา

    พระโอรส.jpg

    จบบริบูรณ์.
     
  11. papah00

    papah00 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +632
    อัศจรรย์แต่งเรื่องได้....เหมือนจริง
    เขียนดั่งมนต์อ้างอิง.....เวทย์ไว้
    อ่านตามติดใจนิ่ง........วาดอยู่ เหตุการณ์
    ชมชื่นยอท่านไซ้ร์......แต่งให้ อีกนา (นะจ๊ะ)
     
  12. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    :cool::cool::cool::cool:
     
  13. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,814
    ค่าพลัง:
    +15,099
    เรื่องเก่าอีกแล้วครับท่าน :cool:

    นิมิตอัศจรรย์

    ณ ภูเขาแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้านิมิตไปว่า ภายใต้พื้นพิภพบริเวณนั้น มีพญานาคราชตนหนึ่งถูกคุมขังอยู่ มีลัษณะเหมือนห้องขังนักโทษธรรมดาทั่วไป
    ในอัตภาพเดิมของพญานาคราชท่านมีลำตัวใหญ่มาก ออกสีดำๆมีเศียรเดียว...ข้าพเจ้าเข้าไปใกล้ สัมผัสทางจิตบอกว่า ท่านเป็นตัวอันตราย!
    จึงถูกฤาษีใช้ฤทธิ์คุมขังไว้มิให้ออกมาอาลวาดฯ ซึ่งในอุโมงค์ใต้ดินแห่งนั้นมีลักษณะเป็นประตูมิติ
    (คล้ายอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน มีน้ำท่วมถึงหน้าแข้ง...สังเกตุว่ามีประตูมิติเชื่อมต่อ แยกไปได้หลากหลายเส้นทาง)

    และตรงสุดทางเดิน ตรงกลางของอุโมงค์นั้นเอง เป็นห้องขังพญานาคราชดังกล่าว...ท่านจะถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระเฉพาะช่วงที่เหล่าฤาษี(เข้าใจว่ามีหลายตน)
    ทั้งหลายกระทำพิธี...?และก็บังเอิญวันนั้น ข้าพเจ้านิมิตว่าได้ไปอยู่ใกล้กับบริเวณห้องขังแห่งนั้น รู้สึกเหมือนว่าข้าพเจ้าจะมีส่วนร่วมจับท่านพญานาคราชขังคุกด้วย
    เพราะปรากฎว่า ในมือข้าพเจ้าถืออาวุธชนิดหนึ่ง!แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น เมื่อกรงเหล็กนั้นถูกเปิดออกมาเอง!.....

    พญานาคราชตนนั้นมีฤทธิ์ธานุภาพมาก ตัวใหญ่กว่าข้าพเจ้าประมาณ ๑๐๐ เท่าเห็นจะได้...หนังและเกร็ดของท่านนั้นมีความเหนียว และแข็งแกร่งมาก
    อาวุธของข้าพเจ้า มิอาจทำให้ พญานาคราชตนนั้นระคายเคืองผิวหนังได้เลย!....เนื่องจากข้าพเจ้าเพียงคนเดียว จึงมิอาจควบคุมสถานการณ์
    กำราบให้ท่านละพยศได้ จึงอาศัยความเร็วหลบเข้าไปในประตูมิติแห่งหนึ่ง!

    เหตุที่กล่าวว่าเป็นประตูมิตินั้นก็เพราะว่า...หากเราเปิดประตูเข้าไปจะพบ เรื่องราวต่างๆในสมัยนั้นๆ!
    ข้าพเจ้าเปิดเข้าไปพบ ชนเผ่าโบราณกำลังมีงาน ประดับทัดทรงแต่งกายอาลังกาฬมองดูคล้ายๆกับประเทศอียิป!เห็นว่าคงไม่ใช่
    จึงเดินเลยไป เปิดประตูอีบานหนึ่งพบเรื่องราวของวัดเก่าแก่สมัยโบราณ ฯ ประตูอีกบานเป็นเรื่องราวของกษัตริย์ผู้มี"ช้าง"เป็นสัญลักษณ์
    ดูคล้ายวัดช้างล้อม เป็นอดีตหลังการสู้รบ กษัตริย์ผู้นี้ได้สร้างนครวัด นครทม ไว้ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน...ระหว่างทั้งสองประตูนี้ข้าพเจ้าสนใจ
    จึงเข้าไปทั้งสองมิตินั้นเอง.....

    เรื่องราวของพญานาคราชสีดำตนนั้นหายไปแล้ว เพราะท่านคงผ่านประตูมิติตามข้าพเจ้ามาไม่ได้
    ข้าพเจ้าจึงไม่สนใจ และส่งจิตไปในเรื่องเดิมอีก...หากแต่มีความสนใจในมิติที่ปรากฎขึ้นเฉพาะหน้า...

    ประตูแรกเปิดมาเจอนครวัด สมัยนั้นตรงกับ พ.ศ ใดจำมิได้แล้ว(ทั้งที่เคยถามกับพระสงฆ์รูปหนึ่งที่อยู่ในอาวาสแห่งนั้น) ท่านเล่าว่าวัดนี้ เิกิดภัยจากพวกยักษ์มาทำลายชาวเมือง จับคนกินไปมากต่อมากแล้ว...พวกท่านจึงพร้อมใจกันสวดมนต์คาถาเพื่อป้องกันวัด และบ้านเมือง

    ในเขตอาราม(เข้าใจว่าจะเป็นอุโบสถ แต่ถูกสร้างอย่างวิจิตรมาก)หากมีใครส่งสัญญาณว่า ยักษ์มาแล้ว พวกชาวบ้านเขาก็จะวิ่งมารวมตัวกันอยู่ภายในเขตวัด และภายในพระอุโบสถ ร่วมกันสวดมนต์คาถาหลายบท
    ปรากฎว่ายักษ์ร้ายก็มิอาจเข้ามา จับคนกินในเขตวัดได้ครับ

    ข้าพเจ้าเห็นยักษ์ตนนั้นเหมือนในหนังละครจักรๆวงค์ๆ ครับ รูปร่างสูงใหญ่ท่าทางดุร้ายมาก
    ข้าพเจ้าสงสารชาวนคร แต่ก็ช่วยอะไรมากมิได้(เพราะไม่มีของวิเศษแบบท่านคุรุวาโร ครับ) ก็ได้แต่ไปร่วมสวดมนต์กับชาวนคร....สังเกตุพื้นที่เดินถูกปูด้วยแ่ผ่ศิลาหินทรายแดง
    สะอาดตา มีประปราง เจดีย์ ซึ่งขณะนั้นยังมีความใหม่และสมบูรณ์มาก ครับ....

    สาเหตุเป็นเพราะกษัติรย์ในนครแห่งนั้น พลาดท่าเสียทีให้แก่ยักษ์ ในทำนองว่าเสด็จไปประพาสป่าแล้วถูกยักษ์จับได้ จึงขอชีวิตตนไว้แลกกับชาวนคร!.....

    มิติที่สองมิได้ผ่านเข้าทางประตู แต่เหมือนเป็นถ้ำเล็กๆ ข้าพเจ้าเดินเข้าไป ก็ไปทะลุถึงสถานที่แห่งหนึ่ง สังเกตุเห็นมีช้างจำนวนหลายเชือก มีผู้คนกำลังฝึกซ้อม...เด็กน้อยและชาวบ้าน
    วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน...บนถนนที่ก้าวเดินไปนั้นสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอ แบบคุ้นเคยเหมือนเราเคยอยู่มาก่อน....มองไปข้างหน้า กำลังตัดสินใจว่าเราจะไปที่ไหนดี พลันเห็นประตูทางเข้าพระนคร ข้าพเจ้าจึงเดินไปอย่างมีจุดหมาย...ชาวพระนครเมื่อแลเห็นข้าพเจ้าเดินมา ก็หลีกทางให้ บ้างก็ยกมือไหว้ บ้างก็ก้มลงกราบ...มันทำให้รู้สึกแปลกและประหลาดใจเป็นกำลัง!

    เมื่อเข้าไปบริเวณแห่งหนึ่ง เป็นห้องโถงรู้สึกคุ้นมาก (ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกับว่าเรากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง?) แต่สิ่งนั้นได้ถูกสร้างปิดบังไว้!....ในห่วงมโนนึกนั้น พลันสัญญาบางอย่างก็พลันบังเกิดขึ้นว่า...ให้เดินไปที่เจดีย์กลางน้ำ(ที่มีน้ำล้อมรอบ).......

    ทางเข้านั้นต้องข้ามลำธารไป เห็นเจดีย์สีขาวขนาดกลาง ข้างในบรรจุอะไรไว้หนอ?
    ข้าพเจ้ารีบเดินไปด้วยความอยากรู้...ทั้งที่มีพวกทหารและได้ยินเสียงทัดทาน ว่ามิอยากใ้ห้ข้าพเจ้าเข้าไป...แต่ด้วยความอยากรู้ และรู้สึกคุ้นเคยมากข้าพเจ้าจึงไม่สนใจที่จะฟังเสียงทัดทานนั้น ทันใดนั้นเอง เมื่อข้าพเจ้าไปถึง!!......
    ปรากฎว่า มันหาได้เป็นเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไม่....
    แต่มันเป็นเจดีย์อนุสรณ์สถานแห่งความรัก ของพระธิดานางหนึ่ง!
    ทันทีที่ข้าพเจ้าพบรูปวาดของพระนาง(หรือจะเป็นรูปปั้นไม่แน่ใจ เพราะตอนนั้นรู้สึกสะเทือนใจมาก จึงทำให้จิตเริ่มไม่ตั้งมั่นแล้ว)

    ทันทีที่จิตสัมผัสถึง ข้าพเจ้าเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ด้วยความอาลัยรัก....ถึงผู้ที่ประดิษฐานอยู่ภายในเจดีย์นั้น!!

    เพราะจิตในขณะนั้นทราบชัดแล้วว่า พระเจดีย์แห่งนี้ มันได้ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของข้าพเจ้าเอง!

    แล้วทุกอย่า่งมันก็เป็นได้แค่เพียงอดีตเก่าอันขมขื่น เป็นนิยายเรื่องหนึ่งซึ่งถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าตราบนานเท่านาน...

    ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยจิตโทรมนัสยิ่งนัก

    เสียใจ๔.jpg

    จบ!!


     
  14. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    ขออีก...ขออีก...:cool:
     
  15. บุษบรรณ

    บุษบรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    2,212
    ค่าพลัง:
    +8,603
    ส่งแมวเหมียวมาบรรณาการจ้า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • แมว.jpg
      แมว.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.3 KB
      เปิดดู:
      68
    • cat.jpg
      cat.jpg
      ขนาดไฟล์:
      396.1 KB
      เปิดดู:
      77
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2012
  16. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    นำของหวานมาร่วมขึ้นบ้านใหม่ ขออ่านด้วยคนค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    มาอ่านนิทานหลังอาหารค่ะท่านแมวเหมียว:cool:
     
  18. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    เมื่อไหร่แมวเหมียวจะมาเล่าต่อหนอ
     
  19. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,814
    ค่าพลัง:
    +15,099
    สองสามีภรรยายังคงดำเนินกิจวัตรประจำวันเหมือนอย่างเคย อีกเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้นหน้าที่ภารกิจในการเก็บเกี่ยวข้าวจะแล้วเสร็จ
    หากเป็นที่นาของตนคงไม่สู้ลำบากเท่าใดนัก...พุธยังคงรอโอกาสจังหวะในช่วงที่ชาวบ้านบางตาภายหลังเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จ
    เพื่อพิสูจน์นิมิตฝันอย่างใจจดใจจ่อ...

    เดิมทีพุธเป็นชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นเอง หากแต่เป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เกิดเขาจึงอาศัยเติบโตอยู่ภายในวัดระแวกนั้น หลังจากที่พบรักกับอาภรณ์
    จึงได้กราบลาท่านสมภารออกมาสร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยอาชีพหารับจ้างทั่วไปและทำนาเช่า หาเลี้ยงชีพดังกล่าว เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วที่เขาห่างวัด
    สมัยเด็กเขามักจะหนีท่านสมภารออกเที่ยวตามสถานที่ต่างๆกับหมู่เพื่อนเป็นประจำ มีหรือที่จะไม่เคยเข้าไปเที่ยวเล่นในสถานที่ต้องห้าม!

    เขายังจำภาพเหตุการณ์หนึ่งได้ดีถึงอาถรรพ์เกี่ยวกับเขาพระธาตุนาล้อม วันนั้นเขากับคณะเด็กวัยเดียวกันห้าหกคน พากันเดินลัดทุ่งนาเพื่อไปเล่นซ่อนแอบกัน
    ทั้งที่สมภารได้ย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามไปเล่น ณ สถานที่ต้องห้าม...แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ หลังจากอังคารได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ภายหลังจากที่วิ่งแอบเข้าไปหลบ
    หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง พุธกับเพื่อนออกตามหาแต่ก็ไม่พบจึงคิดว่าอังคารคงหนีกลับวัดไปแล้ว แต่เหตุการณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
    ท่านสมภารเรียกตัวเข้าไปสอบถามแล้วแจกรางวัลให้ไปคนละหลายที...ท่านทำพิธีสวดขอขมากรรมพร้อมจัดเครื่องบวงสรวงชุดหนึ่ง
    วันรุ่งขึ้นของอีกวัน ชาวบ้านถึงไปพบอังคารนอนหลับอยู่ในเถียงนาใกล้ๆกับบริเวณนั้นเอง! สอบถามดูอังคารบอกเพียงว่าอยู่ดีๆ
    เขารู้สึกง่วงนอนขึ้นมากระทันหัน จึงหาที่นอนใกล้ๆกับโคนไม้นั้น แต่ไหง๋มานอนอยู่ที่เถียงนาได้?

    (ช่วงนี้ใช้สมองมาก จิตเลยไม่นิ่งอ่ะ :'()
     
  20. bossbam10

    bossbam10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +3,601

    ไม่เป็นไร เหมียวสู้ๆ เหมียวเก่งอยู่แล้ว เป็นกำลังใจให้จ๊ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...