แยกจิตและเวทนา : หลวงปู่ชา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 1 สิงหาคม 2019.

  1. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    C3F8CC26-9056-45E6-9460-D297559A2684.jpeg


    "..เมื่อแยก จิต และ เวทนา ออกได้ก็มีความฉลาดในจิต


    เรื่อง เวทนา นี้


    เราจะหนีมันไปไหนไม่ได้ เราต้องรู้มัน เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา สุขก็สักแต่ว่าสุข ทุกข์ก็สักแต่ว่าทุกข์ มันเป็นของสักว่าเท่านั้นแหละ แล้วเราจะไปยึดมั่นถือมั่นมันทำไม


    ถ้าจิตเราฉลาดแล้วเพียงคิดเท่านี้ มันก็แยกเวทนาออกไปจากจิตได้


    เวทนานี้สักว่าเวทนา มันก็เห็นสักว่าเท่านั้น ทุกข์มันก็สักว่าทุกข์ สุขมันก็สักว่าสุข มันก็แยกกันเท่านั้นแหละ


    แล้วมันมีอยู่ไหม?...มีแต่มันมีอยู่นอกใจ


    มันมีด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้ไปทำความสำคัญมั่นหมายกับมัน มีแล้วมันก็คล้ายๆกับว่ามันไม่มี เท่านั้นเองแหละ..."


    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    ที่มา เหนือเวทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2019
  2. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    40B27631-43AE-4691-9760-7C2F4B5A43A5.jpeg


    อยู่กับงูเห่า...หลวงปู่ชาสุภัทโท


    "..จงเป็น ผู้ปฏิบัติ ให้ธรรมะทั้งหลายมารวมอยู่ที่ใจ มองลงไปที่ใจ ให้เห็นสติ ให้เห็นสัมปชัญญะ ให้มีปัญญา เมื่อมีทั้งสามอย่างนี้แล้วมันจะมีการปล่อยวาง รู้จักเกิดแล้วมันก็ดับ ดับแล้วมันก็เกิด เกิดแล้วมันก็ดับ


    ที่เรียกว่า "เกิดๆดับๆ" นี้คืออะไร ?


    คือ อารมณ์ ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป ดับแล้วมันก็เกิดขึ้นมา ในทางธรรมะเรียกว่าการเกิดดับ มันก็มีเท่านี้ ทุกข์มันเกิดขึ้นแล้วทุกข์มันก็ดับไป ทุกข์ดับไปแล้วทุกข์ก็เกิดขึ้นมา นอกเหนือจากนี้ไปก็ไม่มีอะไร มีแต่ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ก็ดับไป มีเท่านี้


    เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตของเราก็จะเห็นแต่การเกิด-ดับอยู่เสมอ เมื่อเห็นการเกิด-ดับอยู่เสมอทุกวันทุกเวลา ตลอดทั้งกลางวัน ตลอดทั้งกลางคืน ตลอดทั้งการยืนเดินนั่งนอน ก็จะเห็นได้ว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ มีแต่เกิด-ดับอยู่เท่านี้เอง แล้วทุกอย่างมันก็จบอยู่ตรงนี้



    เมื่อเห็น อารมณ์เกิด-ดับอย่างนี้อยู่เสมอไป แล้วจิตใจก็จะเกิดความเบื่อหน่าย


    เพราะเมื่อคิดไปแล้วก็ไม่มีอะไรมากมาย มันมีแต่การเกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ดับ มันมีอยู่เท่านี้ ฉะนั้นเมื่อคิดแล้วก็ไม่รู้จะไปเอาอะไรกับมัน


    พอคิดได้เช่นนี้ จิตก็จะปล่อยวาง ปล่อยวางอยู่กับธรรมชาติ มันเกิดเราก็รู้ มันดับเราก็รู้ มันสุขเราก็รู้ มันทุกข์เราก็รู้ รู้แล้วไม่ใช่ว่าเราจะไปเป็นเจ้าของสุขนะ หรือเมื่อทุกข์ขึ้นมาเราก็ไม่เป็นเจ้าของทุกข์เหมือนกัน เมื่อไม่เป็นเจ้าของสุขไม่เป็นเจ้าของทุกข์มันก็มีแต่การเกิด-ดับอยู่เท่านั้น ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติของมันอย่างนั้นแหละ เพราะมันไม่มีอะไร


    อารมณ์ ทั้งหลายที่ว่ามานี้ เหมือนกันกับงูเห่าที่มีพิษร้าย ถ้าไม่มีอะไรมาขวางมันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติของมัน แม้พิษของมันจะมีอยู่มันก็ไม่แสดงออกไม่ได้ทำอันตรายเรา เพราะเราไม่ได้เข้าไปใกล้มัน งูเห่าก็เป็นไปตามเรื่องของงูเห่า มันก็อยู่อย่างนั้น


    ดังนี้ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้วก็จะปล่อยหมด สิ่งที่ดีก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ไม่ชอบก็ปล่อยมันไป เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่าตัวที่มีพิษร้ายนั้นปล่อยให้มันเลื้อยของมันไป มันก็เลื้อยไปทั้งพิษที่มีอยู่ในตัวมันนั่นเอง


    ฉะนั้น คนที่ฉลาดแล้วเมื่อปล่อยอารมณ์ก็ปล่อยอย่างนั้น ดีก็ปล่อยมันไปแต่ปล่อยอย่างรู้เท่าทัน ชั่วก็ปล่อยมันไปปล่อยไปตามเรื่องของมันอย่างนั้นแหละ อย่าไปจับอย่าไปต้องมัน เพราะเราไม่ต้องการอะไร ชั่วก็ไม่ต้องการ ดีก็ไม่ต้องการ หนักก็ไม่ต้องการ เบาก็ไม่ต้องการ สุขก็ไม่ต้องการ ทุกข์ก็ไม่ต้องการ มันก็หมดเท่านั้นเอง ทีนี้ความสงบก็ตั้งอยู่เท่านั้นแหละ


    เมื่อความสงบตั้งอยู่ แล้วเราก็ดูความสงบนั้นแหละ เพราะมันไม่มีอะไรแล้ว


    เมื่อความสงบเกิดขึ้น ความวุ่นวายก็ดับ พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสว่า นิพพานคือความดับ ดับที่ตรงไหน ?

    ก็เหมือนไฟเรานั่นแหละ มันลุกตรงไหนมันร้อนตรงไหน? มันก็ดับที่ตรงนั้น มันร้อนที่ไหนก็ให้มันเย็นตรงนั้น ก็เหมือนกับนิพพานก็อยู่กับวัฏฏสงสาร วัฏฏสงสารก็อยู่กับนิพพาน เหมือนกันกับความร้อนกับความเย็นมันก็อยู่ที่เดียวกันนั่นเอง ความร้อนก็อยู่ที่มันเย็น ความเย็นก็อยู่ที่มันร้อน เมื่อมันร้อนขึ้นมันก็หมดเย็น เมื่อมันหมดเย็นมันก็ร้อน


    วัฏฏสงสารกับนิพพานนี้ก็เหมือนกัน ท่านให้ดับวัฏฏสงสารคือความวุ่น การดับความวุ่นวายก็คือการดับความร้อน ไฟทางนอกก็คือไฟ ธรรมดามันร้อนเมื่อมันดับแล้วมันก็เย็น แต่ความร้อนภายในคือราคะโทสะโมหะก็เป็นไฟเหมือนกัน ลองคิดดูเมื่อราคะความกำหนัดเกิดขึ้นมันร้อนไหม? โทสะเกิดขึ้นมันก็ร้อน โมหะเกิดขึ้นมันก็ร้อน มันร้อนความร้อนนี่แหละที่ท่านเรียกว่าไฟ เมื่อไฟมันเกิดขึ้นมันก็ร้อน เมื่อมันดับมันก็เย็น ความดับนี่แหละคือนิพพาน.."


    บางส่วนจากที่มา http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/Living_With_the_Cobra.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2019
  3. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    อนุโมทนาครับ ชอบฟังหลวงปู่ชามาก
     
  4. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    DB86902B-79D6-412C-A8B6-DC19ACFB8781.jpeg


    ..เรื่องจิตนี้


    การปฏิบัติเรื่องจิตนี้...ความจริงจิตนี้ไม่เป็นอะไรมันเป็นประภัสสรของมันอยู่อย่างนั้น มันสงบอยู่แล้ว ที่จิตไม่สงบทุกวันนี้เพราะจิตมันหลงอารมณ์


    ตัวจิตแท้ๆนั้นไม่มีอะไร เป็นธรรมชาติอยู่เฉยๆเท่านั้น ที่สงบไม่สงบก็เป็นเพราะอารมณ์มาหลอกลวง จิตที่ไม่ได้ฝึกก็ไม่มีความฉลาด มันก็โง่ อารมณ์ก็มาหลอกลวงไป ให้เป็นสุข เป็นทุกข์ ดีใจ เสียใจ


    จิตของคนตามธรรมชาตินั้น ไม่มีความดีใจเสียใจ ที่มีความดีใจเสียใจนั้นไม่ใช่จิต แต่เป็นอารมณ์ที่มาหลอกลวง จิตก็หลงไปตามอารมณ์โดยไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์


    เพราะยังไม่ได้ฝึก ยังไม่ฉลาด แล้วเราก็นึกว่าจิตเราเป็นทุกข์ นึกว่าจิตเราสบาย ความจริงมันหลงอารมณ์


    พูดถึงจิตของเราแล้ว มันมีความสงบอยู่เฉยๆ มีความสงบยิ่งเหมือนกับใบไม้ที่ไม่มีลมมาพัดก็อยู่เฉยๆ ถ้ามีลมมาพัดก็กวัดแกว่งเป็นเพราะลมมาพัด และก็เป็นเพราะอารมณ์มันหลงอารมณ์


    ถ้าจิตไม่หลงอารมณ์ แล้วจิตก็ไม่กวัดแกว่ง ถ้ารู้เท่าอารมณ์แล้วมันก็เฉย เรียกว่าปกติของจิตเป็นอย่างนั้น ที่เรามาปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อให้เห็นจิตเดิม เราคิดว่าจิตเป็นสุขจิตเป็นทุกข์ แต่ความจริงจิตไม่ได้สร้างสุขสร้างทุกข์ อารมณ์มาหลอกลวงต่างหาก มันจึงหลงอารมณ์


    ฉะนั้น เราจึงต้องมาฝึกจิต ให้ฉลาดขึ้น ให้รู้จักอารมณ์ ไม่ให้เป็นไปตามอารมณ์ จิตก็สงบ เรื่องแค่นี้เองที่เราต้องมาทำกรรมฐานกันยุ่งยากทุกวันนี้..



    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    บางส่วนจากที่มา เรื่องจิตนี้
     
  5. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024

แชร์หน้านี้

Loading...