... แล้วเราจะเล่าให้ฟัง ...

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สายฝนฉ่ำเย็น, 1 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    โห...กลับมาดูกระทู้ .... แรงกว่ากระทู้ดูดวงอีกนะเนี่ย...หุหุหุ
    เดี๋ยวเอาลูกนอนก่อนนะคะ แล้วจะมาเล่าต่อ .....
     
  2. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    อุ๊ยส์...แล้วกระทู้ของดิฉันจะมีสาระไหมคะเนี่ย...ไม่แน่ใจว่าตั้งถูกห้องหรือเปล่า ถ้าไม่ถูกอย่างไร รบกวนท่านผู้ดูแล ย้ายให้ด้วยนะคะ ... ไม่อยากให้เกิดกรรมทั้งกับดิฉันและคนอื่นค่ะ ... ถ้ายังไงก็ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกันด้วยนะคะ ... บอกตรงๆ สิ่งที่ดิฉันเจอมา ทำให้กลัวกรรมแบบขึ้นสมองเลย ..... ยังไงเพื่อนๆ โพสท์ได้นะคะ ว่ามีสาระหรือเปล่า ถ้าไม่มี ดิฉันจะได้ลบไป นะคะ จะได้ไม่กระทบใคร ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2011
  3. rossalen

    rossalen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +323
    อ่านแล้วงงค่ะ ตอนแรกบอกว่าแม่เสีย อยู่กะ พ่อ ปู่ ย่า ตา ยาย แล้วไหงแต่งงานเอาแม่มาอยู่ด้วยคะ หรือว่าเป็นแม่สามี หรือดิฉันอ่านแล้วสับสนเอง
     
  4. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    พ่อแม่ดิฉันแยกทางกันตอน 8-9 ขวบค่ะ ดิฉันไม่ได้บอกว่าแม่เสียค่ะ บอกว่าแม่จากไป เพราะแม่ตัดสินใจออกจากบ้านค่ะ ทิ้งดิฉันและพี่ชายให้อยู่กับพ่อ และครอบครัวของแม่ค่ะ .... ยัง งง อยู่ หรือเปล่าคะ
     
  5. tony2002

    tony2002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2006
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +178
    เล่าเรื่องได้ดี สนุก น่าติดตาม อย่าเข้าใจง่าย ใช้ภาษาไม่ยาก :cool:

    เรื่องที่คุณเล่าไม่ไร้สาระหรอกครับ
    อ่านแล้วจับประเด่นดีๆ จะเห็นธรรมชาติดิบๆของคนเดินดินอย่างเราๆท่านๆ ได้ว่าเป็นอย่างไง อย่างเรื่องที่เล่ามีทั้งความเห็นแก่ตัว ความถือตนต้องการเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ความรัก ความอาทร และเมตตา ความเบื่อหน่าย ครบทุกรสเลย (||)
    อ่านแล้วได้ข้อคิดคติเตือนใจดีครับ เล่าต่อน่ะครับ จะคอยติดตามผลงาน
     
  6. rossalen

    rossalen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +323
    อ้อ! ดิฉันตีความผิดเองจริงๆด้วยแหละ ขอโทษนะคะ จะติดตามตอนต่อไปนะคะ :z2
     
  7. panaone99

    panaone99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +292
    รออ่านอยู่นะตัวเอง หนุกหนานมาก
     
  8. manganiss

    manganiss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +636
    แวะมาลงชื่อฮะ กะลังสนุก..
     
  9. rainstorm

    rainstorm สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +16
    ชีวิตจริงยิ่งกว่าหนังนิยาย

    กำลังติดตามอ่านอยู่ครับ
     
  10. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    จะตามอ่านค่ะ..ทุกชีวิตก็มีสาระอยู่ทั้งนั้นค่ะเหมือนหนังสือเล่มหนึ่งล่ะ..ที่แต่ละเรื่องไม่ซ้ำกัน
    คนอื่นๆจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตที่หาไม่ได้ที่ไหน อนุโมทนานะคะ หลายสิ่งที่เข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะหอมหวานเผ็ดร้อน ร้ายแรงแค่ไหน แต่สิ่งเหล่านี้ก็สอนให้เรา เข้าใจในชีวิต ตราบใดสังขารยังตั้งอยู่ การเรียนรู้ก็ไม่สิ้นสุดเนอะ คุณสายฝนฉ่ำเย็น
     
  11. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #4 สิ่งที่มองไม่เห็น ..... ตอนสอง

    ในขณะที่คุยกัน น้องแสดงอาการเข้าใจในความรู้สึกของฉัน และเล่าเรื่องราวในครอบครัวกับทุกข์ที่เขาเจอให้ฉันฟัง .... ฉันก็พรั่งพรู ทุกข์ของฉัน ให้น้องฟัง แบบหมดเปลือกเช่นเดียวกัน ... น้องเล่าเรื่องการปฏิบัติธรรม ที่ทำให้เธอสงบลงได้ยังไง น้องเล่าเรื่องแม่ชีใหญ่ (แม่ชีทศพร) ว่าท่านเห็นทุกอย่าง และน้องสัมผัสได้อย่างไร จากนั้น น้องก็เล่าถึงเพื่อนที่มากับน้อง ว่าทุกข์ของเขาเป็นอย่างไร ....

    ปรากฏว่า .... ทุกข์ของเพื่อนเขา ที่อยู่ในกลุ่ม และอยู่ด้วยในขณะที่น้องเขาเล่านั้น ... มากมายเหลือเกิน ช่างใหญ่หลวงอะไรขนาดนี้ เขาเหลือเพียงชีวิตเดียว ในขณะที่เขาก็มีลูกที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจเช่นเดียวกัน แต่เขาแทบจะไม่ได้แม้กระทั่งกอดลูกของตนเองเลย ... ฉันหันมามองตัวเองทันที ... ความทุกข์ของฉัน ขณะนี้ (ในตอนนั้น) จากอึ่งอ่างตัวใหญ่ ที่ดูเหมือนจะคับวัดในช่วงเย็นที่เข้ามา มันหดลง จนเหลือเพียงแค่ขี้เล็บเท่านั้น ... นี่กระมัง ที่พระท่านบอกว่า จงอย่าเห็นว่าทุกข์ของตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ หารู้ไม่ว่ายังมีคนอื่นที่ทุกข์กว่าอีกหลายเท่า (ฉันคิดในใจ) ฉันทุกข์ก็จริง แต่ฉันยังมีคนที่รักและห่วงอยู่กันพร้อมหน้า ในขณะที่เขา ไม่มีแม้กระทั่งที่จะซุกหัวนอน ไม่เหลือใครเลย แม้กระทั่งลูกที่เป็นดวงใจ เขาถูกพรากทุกๆ อย่างในเวลาเพียงไม่นาน ... ฉันนี่โง่บัดซบเลย เขายังสู้ชีวิตเลย แล้วฉันละ ยังมีอะไรอีกตั้งหลายอย่าง แต่กลับ...ท้อ และ เดียวดาย ด้วย “ใจ” เพียงคำเดียวเท่านั้น “ใจ” ที่มันเก็บทุกอย่าง เก็บทุกข์ เก็บสุข เก็บหัวเราะ เก็บคราบน้ำตา ฉันเหมือนจะมีสติกลับมา แต่...แล้วฉันก็กลับมาทุกข์อีก...เพราะ “สติ” ยังไม่มี และ ไม่เคยได้รับการฝึกฝน หรือ เรียนรู้ “ความเป็นจริง” หรือ “สัจจธรรม” เลย....

    น้องถามฉันว่า “พี่มาที่นี่ ตั้งใจจะมาพบแม่ชีใหญ่หรือเปล่า”
    ฉันตอบด้วยเสียงหนักแน่น “เปล่า! พี่ไม่ได้มาที่นี่เพราะใคร พี่มาเพราะไม่อยากอยู่บ้าน แต่พี่ไม่รู้จะไปไหน อยากนั่งมองพระ (พระพุทธรูป)”
    น้อง : แล้วพี่รู้จักแม่ชีใหญ่ไหม ?
    ฉัน : ก็พอรู้จักอยู่บ้าง เคยเห็นท่านในทีวี รายการช่วงดึก
    น้อง : แล้วพี่เชื่อในสิ่งที่แม่ชีใหญ่เป็นหรือเปล่า?
    ฉัน : ไม่รู้สิ ! งานที่พี่ทำ ก็พอจะทำให้รู้ ในเรื่องของรายการโทรทัศน์ บางอย่างก็เป็นสคริปต์ พี่เลยไม่ค่อยจะเชื่ออะไรเท่าไหร่ อีกอย่างพี่ก็เป็นคนค่อนข้างจะเชื่อตนเองมากกว่า อะไรที่ไม่ได้เจอกับตัวเอง ก็จะ 50/50 ไว้ก่อน ฟังได้ไม่ขัดแย้ง แต่จะให้เชื่อทั้งหมด พี่ยังไม่เชื่อ จนกว่าจะเจอด้วยตัวเอง
    น้อง : งั้นเอาอย่างนี้ คืนนี้ ก่อนนอนพี่อธิษฐานขอให้แม่ชีใหญ่ท่านช่วยนะ
    ฉัน : "_" !!! จะช่วยยังไง ตั้งแต่พี่มา ยังไม่มีแม้แต่เงาของแม่ชีเลย แล้วจะช่วยพี่ได้ยังไง
    น้อง : แม่ชีใหญ่ท่านไม่อยู่ ตอนนี้ ท่านเดินทางระหว่างเขาใหญ่ และ ที่นี่ เพราะต้องไปดูแลที่เขาใหญ่ด้วย
    ฉัน : อ้าว!! แล้วจะช่วยพี่ได้ยังไง ? ไม่เข้าใจ
    น้อง : เอาเถอะ!! พี่เชื่อหนูเถอะ นะ อธิษฐานจิต แล้วพี่จะรู้ว่า แม่ชีใหญ่จะช่วยพี่ได้ยังไง
    ฉัน : เอ้า!!! ลองดู ก็ลองดู

    จากนั้นเราทั้งหมดก็แยกย้ายกันไป เวลาช่วงนั้น น่าจะประมาณ 5 ทุ่มได้ ฉันก็ยังคงเศร้าหมอง และจิตตกตลอดเวลา คืนนั้น ฉันลองทำตามที่น้องบอก แต่ฉันไม่เพียงแค่อธิษฐานก่อนนอนเท่านั้น ฉันนอนและนึกในใจอยู่ตลอดเวลาว่า “แม่จ๋า ถ้าหนูพอจะมีบุญอยู่บ้าง ขอให้แม่ได้ยินเสียงหนู ขอให้แม่ช่วยหนูด้วยเถอะ” ฉันท่องประโยคนี้อยู่ในใจ นับจำนวนไม่ได้ว่าท่องไปมากแค่ไหน ท่องอยู่แบบนั้น จนหลับไป ตื่นเช้ามาทำวัตรเช้า หลวงตานำสมาทานศีล บวชเนกขัมมะ จนได้เข้ากรรมฐาน ตั้งแต่เช้า จนเย็น ฉันก็ยังไม่เห็นแม่ชีทศพรอยู่ดี ฉันก็นึกในใจ “โธ่เอ๋ย เรามันก็บ้าตามเขาเน๊าะ จะคุยกับใคร ก็บอกว่า มารอแม่ชีใหญ่ คนนั้นก็ทุกข์ คนนี้ก็ทุกข์ แล้วขี้เล็บอย่างฉัน จะได้เจอท่านเหรอเนี่ย ..... เท่านั้นแหละ .... ฉันทิ้งความคิดในเรื่องการรอคอย ในเรื่องคำอธิษฐานของเมื่อคืนไปในทันที ... จนรุ่งเช้าของวันอาทิตย์ เมื่อทำวัตรเช้าเสร็จ ก็สมาทานศีล 5 กลับบ้านกัน ก่อนจะกลับ น้องที่เป็นกัลยาณมิตรของฉัน บอกว่า พี่อย่าเพิ่งกลับนะ อยู่ร่วมถวายมหาสังฆทานกันก่อน ไม่แน่นะ แม่อาจจะมาวันนี้ก็ได้ เพราะส่วนใหญ่ แม่ชีใหญ่จะนำถวายสังฆทาน ฉันคิดในใจว่า “ไม่เอาแล้ว ฉันไม่หวังเรื่องนั้นแล้ว แต่จะให้ฉันถวายสังฆทาน ฉันก็ ok และอยู่ด้วย” ในขณะที่นั่งรอหลวงพ่อ คนที่เขามาบวชกันก็ทักทาย สวัสดีกัน พูดคุยสนทนากัน น้องก็แนะนำผู้หญิงคนหนึ่ง ลักษณะเธอดูสุขุม เยือกเย็น หน้าตาผ่องใส น้องเรียกว่าพี่ พี่คนนี้ก็แนะนำน้องว่า เธอได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับกรรมของหลวงพ่อจรัลมา เธอบอกว่าดีนะ ให้ไปหาอ่านนะ ฉันจำคำนี้ขึ้นใจ พอทำทุกอย่างในวัดเสร็จ ฉันก็เรียก taxi กลับไปที่ office เพื่อไปเอารถ และกลับบ้าน ตอนนั้น เงินในกระเป๋าฉัน เหลืออยู่ประมาณ 80 กว่าบาท ซึ่งพอแค่ค่ารถที่จะกลับ office เท่านั้น เพราะฉันทำบุญ บริจาคเงินในวัดไปจนเหลือเพียงเท่านั้น ในวัดจะมีหนังสือและ cd ทุกรูปแบบ หนังสือตั้งแต่เล่มแรกจนเล่มล่าสุด cd ก็มีทุกแบบ ทุกตอน เยอะมาก แต่ฉันไม่แม้แต่จะซื้ออะไรของแม่ชีกลับบ้านเลย อีกอย่างหนังสือบางเล่ม ฉันเคยซื้ออ่านมาบ้างแล้ว จึงไม่ได้อยู่ในความสนใจ ..... ในขณะที่นั่งอยู่บนรถ คำพูดของพี่คนนั้นก็แว่วมาเรื่อง หนังสือกรรมของหลวงพ่อจรัล ฉันจึงบอกกับพี่คนขับว่า ช่วยเลี้ยวไปที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ ให้ฉันหน่อย เงิน 80 บาทจะพอไหม พี่เขาก็ใจดีนะ เขาบอกว่า ไม่เป็นไรครับ ถ้าเกิน 80 ผมไม่เอาครับ ผมเก็บแค่ 80 บาทพอ ... ฉันขอบคุณพี่เค๊า

    เมื่อถึงห้างดัง ฉันวิ่งขึ้นไปที่ ร้านหนังสือทันที ไปถึง ฉันก็เดินไปหาหนังสือหลวงพ่อจรัล ฉันได้หนังสือมาหลายเล่ม พอได้สมใจแล้ว ฉันก็มายื่นที่เคาน์เตอร์ เพื่อจะจ่ายเงิน (โดยบัตรเครดิต) สายตาฉันก็หันไปเจอ cd เรื่องกรรมของหลวงพ่อจรัลเช่นเดียวกัน ฉันก็เปลี่ยนจากหนังสือเป็น cd ทันที แล้วสายตาฉัน....ก็แว๊บไปเห็น cd ของแม่ชีใหญ่ หน้าปกสีส้ม มีแผ่นเดียว รุ่นเดียว มีแค่อันนี้อันเดียวจริงๆ ... ฉันหยิบดู แล้วก็วางไว้ ... แต่มีอะไรก็ไม่รู้ ทำให้ฉันเข้าไปในร้านอีก เดินหาหนังสือให้ลูก แล้วก็มาจ่ายเงินที่เดิม แล้วหันไปที่เดิม ทำไมฉันต้องมอง cd สีส้มนี้ด้วยนะ ฉันคิดในใจ จ่ายเงินเสร็จ ฉันคิดในใจว่า “ประสาทหรือเปล่า ทำไมถึงอยากเข้าไปอีก” ค่ะ ฉันเดินเข้าไปอีกครั้ง และวนเข้าไปหาหนังสืออีก และกลับมาจ่ายเงินอีก แล้วก็หันไปที่เดิมอีก คราวนี้ ฉันตัดสินใจหยิบ cd แผ่นนี้ เพราะความรู้สึกอึดอัดเต็มอก ถ้าไม่หยิบ และคิดว่า ถ้าไม่หยิบ ฉันคงจะต้องซื้อหนังสือหมดร้านแน่ๆ ..... เมื่อได้ cd มาก็กลับไปเอารถ และกลับบ้าน......

    เมื่อถึงบ้าน....นรกก็ยังคงเป็นนรกอยู่ ... ฉันเดินคอตกเข้าบ้าน ... แม่เห็นฉันก็เล่าเรื่องวีรกรรมที่เกิดขึ้นในขณะที่ฉันไม่อยู่ว่ามีอะไรบ้าง ฉันน้ำตาตกใน ไม่อยากรับรู้อะไรเลย เดินเข้าบ้านโดยไม่มีเสียงพูดอะไรอีกเลย เหมือนคนที่พร้อมจะลาตายแล้วในตอนนั้น ฉันหอมลูกไปพร้อมๆ กับน้ำตา ฉันทำกรรมอะไรหนอ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ (ฉันคิดในใจ) ... เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันไม่ลืมที่จะหยิบ cd สีส้มของแม่ชีไป office ด้วย เพราะเข้าใจว่าเป็น audio จึงเปิดช่วงพักกลางวัน เปล่า!!! พอเปิดขึ้นมา กลายเป็น clip video แม่บรรยายเรื่องกรรม แบบเห็นของจริง เห็นตัวอย่างจริง และกรรมของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีลักษณะเดียวกับกรรมที่ฉันเผชิญอยู่ เป็นเรื่องถัดมาของ cd แผ่นนั้น ฉันน้ำตาร่วงทันที โทรกลับบ้านบอกแม่ว่า วันนี้จะมีอะไรไปให้ดู พอมาถึงบ้าน ฉันเรียกทุกคนมานั่งด้วยกัน และเปิด cd แผ่นนี้ให้ดู ..... ทั้งน้ำตาของฉัน ในขณะที่ดู ฉันไม่พูดอะไร ได้แต่ร้องไห้ โดยไม่มีเสียงเลย

    แม่ดูเสร็จก็ถามฉันว่า...แล้วจะให้ทำยังไง ฉันบอกว่า ลองดูไหม หนูจะนำเงินค่าสินสอดมาให้แม่ ... แม่ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างเคร่งเรื่องพิธีกรรม ท่านจึงบอกว่า งั้นเอาเป็นว่า แม่จะจัดพานสินสอดให้ มีไม้มงคลอยู่ในพาน และให้นำเงินมาไว้ในพาน ฉันทำตามที่แม่บอก คือ นำเงินค่าสินสอด ใส่พานยกให้แม่พร้อมกับสามี ... แม่เก็บเงินนั้นไว้ และยกพานที่มีแต่ไม้มงคลคืนฉันมา ... พร้อมกับผูกข้อมือให้พรฉันและสามี เหมือนกับที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ .... ไม้มงคลในพานฉันใส่ห่อผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่และวางไว้บนพานเหมือนเดิม และยกพานนั้นวางไว้ ใกล้กับโต๊ะพระ ..... คุณเชื่อไหม ..... ทุกวันนี้ เสียงด่าทอ ทะเลาะกันระหว่าง ฉัน และ สามี และ แม่ของฉัน แทบจะไม่ได้ยินเลย เหมือนสิ่งเหล่านั้น ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ... และทุกวันนี้ สามีและแม่ของฉัน เข้ากันได้ดี เป็นห่วงอาทรซึ่งกันและกัน ช่วงไหนที่ฉันไปบวช สามีก็จะดูแลแม่ดิฉันเป็นอย่างดี ..... ความรู้สึกตรงนี้ สัมผัสได้จากอาทิตย์ต่อมา ฉันจึงกลับไปที่วัดอีกครั้ง คราวนี้ ฉันตั้งใจจะไปขอบคุณแม่ชีใหญ่ จากที่ฉันไม่เคยเชื่อ ฉันเชื่อและรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของแม่ชีใหญ่ คราวนี้ ฉันได้เห็นแม่ชีใหญ่สมใจ แต่ใครๆ ก็อยากเข้าหาท่าน ท่านเหมือนไข่ดาวเลย เป็นไข่แดงที่มีไข่ขาวห้อมล้อม จนฉันคิดว่าฉันคงไม่มีบุญได้ขอบคุณแน่เลย จะเข้าไปถึงได้ยังไง อีกอย่างก็ใกล้เที่ยงแล้ว ลูกศิษย์แม่บอกว่า ขอให้แม่ได้ฉันท์เพลก่อน เดี๋ยวเลยเที่ยงแล้วจะไม่ได้ครับ โอ๊ย...ฉันได้ยินคำนี้ น้ำตาร่วงเลย นึกในใจว่า “แม่จ๋าหนูจะขอบคุณยังไงดี หนูอยากบอกกับแม่ด้วยตัวหนูเอง” คุณเชื่อไหม...เพียงแค่คิดเสร็จ แม่ชีใหญ่ก็มายืนตรงหน้าฉัน ฉันบอกกับท่านว่า “แม่หนูขอกอดแม่ได้ไหม” ท่านพยักหน้า ฉันกอดแม่แบบเต็มรัก และกระซิบข้างหูท่านว่า “แม่ขาหนูขอบคุณนะคะ หนูขอบคุณมากๆ” แม่ชีใหญ่มองหน้าฉัน แล้วยิ้ม สายตาของท่านเหมือนรู้เรื่องของฉันแล้ว และยินดีด้วย ......

    นี่แหละหนอ....สิ่งที่มองไม่เห็น....สัมผัสด้วยใจ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  12. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุกท่านค่ะ แต่ที่ต้องเล่าประสบการณ์เหล่านี้ ดิฉันก็มีเหตุผลเช่นเดียวกันค่ะ ^_^
    มีสิ่งใดที่อยากจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ยินดีนะคะ
     
  13. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861
    ติดตามอ่านครับ ยินดีด้วยนะครับ
     
  14. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    อ่านข้อความที่ #32 แล้วซึ้งจังเลย....
     
  15. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #5 ทำเถอะ..จะได้พบสุข

    ใน cd ของแม่ชีใหญ่นั้น สอนเรื่องการทดแทนบุญคุณ ค่าน้ำนม (น้ำเลือด) ของแม่ ค่ามดลูก ที่แม่ยอมให้เราได้ฟักตัวจากตัวอ่อน จนมีแขน ขา จมูก ปาก ครบ 32 ประการ ใน clip นั้น มีผู้หญิงคนหนึ่ง เคยผ่าตัดมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะผ่าตัดหน้าอก หรือ ผ่าตัดมดลูก ล่าสุด เธอเล่าว่า มดลูกเธอมีก้อนเนื้อหนัก 5 กิโล อยู่ หมอตัดสินใจผ่ามดลูกเธอ ฉันจำไม่ได้ว่า ตัดมดลูกหรือเปล่า ... เธอถามว่า เธอทำกรรมอะไรไว้ ทำไมผ่าตัดได้ไม่หยุดหย่อน ตัดนมก็แล้ว ยังมาตัดมดลูกอีก .... แม่ถามเธอว่า วันแต่งงานเกิดอะไรขึ้นไหม ... เธอบอกว่า จำไม่ได้แล้ว ผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว แม่บอกว่า วันแต่งงานของเธอ เกิดการเถียงกันเรื่องเงินสินสอด แย่งของในขบวนขันหมากกัน เกิดการเถียงกัน และ เงินสินสอดแม่ของเธอเก็บไปไม่หมด แม่ถามเธอว่า แม่เธอคืนเงินสินสอดให้เธอเท่าไร เธอบอกว่า จำไม่ค่อยได้ น่าจะประมาณ สี่พัน เป็นขวัญถุง และแม่เก็บไว้ สองหมื่น แม่ชีบอกว่า ไม่ใช่ แม่โยมน่ะ เก็บไว้แค่ สี่พัน แล้วคืนเงินให้โยมไปสองหมื่น แม่โยมมาด้วยไหม ถ้ามาด้วยอยู่ตรงไหน “แม่จ๋า แม่คืนเงินให้เขากลับไปสองหมื่นใช่ไหม” คุณยาย “จำไม่ได้ค่ะ นานแล้ว” แม่ชีพูดต่อว่า ตั้งแต่แต่งงานกันไป โยม สามี และ แม่ของโยม ไม่ค่อยจะลงรอยกันใช่ไหม สามีก็ลบหลู่แม่ยาย ไม่ให้ความเคารพ โยมและสามีก็ทะเลาะกันบ่อย ครอบครัวไม่ค่อยมีความสุขใช่ไหม เธอบอกว่าใช่ค่ะ เป็นแบบที่แม่บอกจริง แม่ชีบอกว่า นั่นเป็นกรรมจากค่าสินสอด โยมที่นั่งอยู่ในทีนี้ จำไว้นะ ถ้าเป็นลูกชาย ทดแทนค่าน้ำเลือดน้ำนม ค่ามดลูกของแม่ด้วยการบวช นะ ถ้าเป็นผู้หญิง บวชพระไม่ได้ ให้ทดแทนค่าน้ำเลือดน้ำนม ค่ามดลูก ด้วยเงินค่าสินสอดทั้งหมดนะ ไม่อย่างนั้น โยมจะเป็นมะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งมดลูก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะน้ำนมที่โยมได้ดื่มกินเลี้ยงตัวจนโตนั่น มาจากเลือดในกายแม่ ที่กลั่นมาเป็นน้ำนมให้โยมกิน มดลูกของแม่ต้องขยายออกมากมายแค่ไหน ที่ให้โยมได้ฟักตัวเติบใหญ่ แล้วยังจะต้องเสียงชีวิตให้โยมได้ออกมาดูโลกภายนอก ด้วยความดีใจของแม่ นั่นแหละ ยังไงก็ต้องทดแทนบุญคุณตรงนี้ อีกอย่างโยมผิดศีลข้อที่ 3 ถึงแม้ไม่ได้ผิดลูกเมียใครก็จริง แต่สังขารนี้เกิดมามีพ่อแม่ นั่นคือยังมีความเป็นลูกอยู่ และที่ไม่ได้ให้ค่าสินสอด หรือ พวกที่อยู่กันก่อนแต่ง ตรงนี้คือ กรรม ทำให้แฟนของโยม หรือ สามีโยม ไม่สามารถเข้ากับครอบครัวของโยมได้ จะมีแต่การเถียง ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอด ......... จึงมีเสียงจากคนในนั้นคุยกัน แม่เลยถามว่า เอ้าในทีนี้ใครที่แม่คืนเงินสินสอดให้ ยกมือกันใหญ่เลย และมีเสียงถามว่า แล้วจะทำยังไงดีคะ แม่บอกว่า ให้เอาเงินไปคืนแม่ให้หมด ไม่ให้ติดไว้สักบาทเดียว .... แม่บอกว่า แม่ถามอย่างนี้เวลาไปบรรยายกรรมที่ไหน ว่ามีใครบ้าง มี 7 ใน 8 คน ที่แม่คืนเงินค่าสินสอดกลับมา นั่นเพราะความรักลูก ไม่อยากให้ลูกลำบาก แต่รู้ไหม ใน 7 คนนั้น แม่เห็น มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก พอถามเขาเหล่านั้น ก็มีการผ่าตัดเนื้องอกบ้างละ บางคนตัดนม บางคนตัดมดลูก .... จึงมีคนถามว่าแล้วถ้าแม่ตายไปแล้ว จะแก้ยังไง ... ใน cd แผ่นนั้น ไม่ไดบอกไว้ .... สงสัยต้องไปถามแม่ชีใหญ่ตัวตนเอง .....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  16. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #6 ขนมจ๋า..มีธรรมะเป็นของแถม....

    ช่วงที่ฉันกำลังเป็นสาว ฉันมีน้องที่สนิทคนหนึ่ง บ้านของเธอกับฉันอยู่ตรงข้ามกัน เธอเข้าวัดฟังธรรมทุกครั้งที่ตรงกับวันหยุด เธอจะไปสวดมนต์ภาวนาที่วัดใกล้ๆ บ้าน บ้านของเธอหน้าตาหล่อสวยด้วยกันทุกคน พี่ชายเธอก็ชอบฟังธรรมเทศนาจาก classet tape อีกทั้ง ตอนนั้น ยายของฉันก็ชอบไปวัด ในวันพระ ยายจะไปถือศีลอุโบสถที่วัดทุกครั้ง ถ้าวันไหนตรงวันพระที่ตรงกับวันหยุดเรียนของฉัน ฉันจะมีหน้าที่หิ้วปิ่นโตตามยายไปทุกครั้ง ยายใช้ให้ไปด้วย บอกว่าที่วัดมีขนมอร่อยๆ เยอะแยะเลย แล้วมีหรือ ที่เด็กตะกละอย่างชั้นจะไม่ตามไป อีกอย่างพอไปถึง ยายจะบอกให้ฉันอยู่ต่อ อย่าเพิ่งกลับ ให้พระฉันท์เพลก่อนแล้วค่อยเอาปิ่นโตกลับ ฉันก็รอด้วยความอดทน กินข้าวเช้าแล้ว ของกินยังมีอยู่อีกเยอะแยะเลย จะเป็นไรไป ถ้าจะรอไปถึงเย็น ฉันก็ไม่ว่าอะไร 5555555++ สิ่งเหล่านี้ ซึมซับฉันไปทีละเล็กละน้อย ฉันรู้สึกดีกับสองพี่น้องที่ใฝ่ธรรม ฉันชอบฟังพระสวดมนต์ เวลาไปวัดกับยาย ฉันชอบนั่งมองยายจากข้างหลัง หลังเล็กๆ นี้ ทำไมฉันอยากกอดจัง ถ้าได้กอดตอนนี้ ฉันคงรู้สึกอบอุ่น ฉันอยากกอดหลังนี้ ไปนานๆ ไม่อยากให้หลังเล็กๆ นี้ จากฉันไปเลย ฉันได้แต่เก็บความรู้สึกไว้ เพราะฉันแสดงออกไม่เป็น ได้แต่คิด แล้วเก็บไว้ .... ความรู้สึกเหล่านี้กระมัง ที่ทำให้ฉันชอบฟังพระเทศ ชอบฟังเสียงสวดมนต์ .... แต่กิเลสของความเป็นคน ได้เขี่ยเอาความรู้สึกเหล่านี้ ไว้ในซอกลึกที่สุดของหัวใจ เมื่อไหร่ที่อยู่คนเดียว ก็จะค่อยเขี่ยออกมาทีละน้อย ให้ได้รู้สึกดีที่นึกถึง .... แต่ไม่เคยทำ .... จนกระทั่งฉันอายุ 20 กว่า คุณยายฉันท่านเสียชีวิต ช่วงเวลาสุดท้าย ฉันได้ป้อนข้าว ได้เช็ดตัว วินาทีสุดท้ายของลมหายใจ บ้านฉันทั้งบ้าน ไปนั่งรอนอนรอ เพื่อจะได้ร่ำลากัน ฉันเสียใจมาก จนเกิดอาการช็อค ตาค้าง และไม่สามารถนอนหลับได้เลย จนต้องหาหมอ น้ำหนักตอนนั้น เหลือเพียง 38 กิโลกรัม ฉันสูงประมาณ 160 กว่า ฉันผอมมาก เหมือนคนตรอมใจ ... พอยายเสีย ตาต้องอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่ ... ฉันตอนนั้นอยู่กับน้าสาว จึงตัดสินใจกลับมาอยู่กับตา แบบถาวร ... ทุกเช้าตาจะตื่นประมาณตี 4 กว่าเกือบตี 5 ทำวัตรเช้า สวดพระไตรปิฏก สวดพระชินบัญชร สวดธรรมจักร และ ใส่บาตรทุกวัน ตั้งแต่ยายเสีย ตาทำแบบนี้จนเป็นกิจวัตร .... เหมือนกับว่า สิ่งเหล่านี้ ตาทำแทนยาย และ ทำให้ยาย (คนที่ตารัก) ... นั่นคือจุดเริ่มต้นของฉัน ที่มีทั้งตัวดีและตัวร้าย กำลังจะรบกัน ... พอเริ่มทำงานฉันกลับบ้านดึกทุกวัน บางที อาทิตย์นึงกลับบ้าน 2-3 วัน เพราะ office อยู่ไกลจากบ้านมาก เมื่องานเลิกดึก ประมาณตี 3-4 ฉันก็จะไม่กลับบ้าน นอนที่ office ส่วนวันศุกร์ ก็เมาปริ้นตามผับ ตามบ้านเพื่อน ... วันไหนที่ได้กลับบ้าน ฉันจะได้ยินเสียงสวดมนต์เช้าๆ แบบนี้ทุกครั้ง จนทำให้ฉัน ได้ “พระไตรปิฏก” มาเป็นรางวัล ฉันเริ่มอยากสวดมนต์ บทแรกที่สวดคือ “พระไตรปิฏก” เพราะเสียงที่ตาสวด ช่างไพเราะเหลือเกิน นอนไป ฟังไป แต่พอกลับไป office ฉันก็เข้าไปสู่วงโคจรเดิม .... (อิอิ ก็เค้ากำลังตีกันอยู่ เน๊าะ) จนกระทั่ง ฉันย้ายมาทำงาน แถวสีลม .... ใจที่ปรารถนาการบวชก็เกิดขึ้น เพราะเพื่อนสนิทของฉันนั่นเอง ฉันเคยได้ยินคำว่า “สุขในสุข” อยากรู้ว่าเป็นยังไงหนอ จะเหมือนตอนฉันกินเหล้าหรือเปล่าหนอ ... ฉันจึงพยายามที่จะไปบวชกับเพื่อนสนิท เพราะเธอไปเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว วัดที่ฉันอยากไปครั้งแรกเลย คือ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ..... ถึงบางอ้อไหมคะ .... ฉันไม่รู้จักหลวงพ่อจรัล แต่อยากบวช เพราะคำว่า “สุขในสุข” เนี่ยแหละ แต่เชื่อไหม พอจะไปครั้งแรก ตาฉันท่านไม่สบาย ต้องพาท่านไปหาหมอ ครั้งแรกเลยพลาด ... ฉันก็ “ไม่เป็นไร เอาใหม่ เอาใหม่” คราวนี้ฉันลางานไว้เป็นอาทิตย์เลย ตั้งใจว่าจะเอาฤกษ์เอาชัยซะหน่อย เตรีมของทุกอย่างพร้อม ... แบบไม่มีขาดตกบกพร่องเลย ... แต่พอถึงวันจะไป ..... แป่ว!!!!!!!! เพื่อนฉันที่จะพาไป ดันมีปัญหาที่เกิดกระทันหัน แก้ไม่ตก เลยขอเลื่อน .... T T ฉันเลยได้แต่นอนเกาพุงอยู่บ้านไปเป็นอาทิตย์เลย ... สงสัยตัวเองว่า ชาตินี้คงไม่ได้เจอแล้วมั๊ง “สุขในสุข” ที่เขาว่ากันเนี่ย ... จนนี่แหละ ครั้งแรกที่บวช ดันเอาทุกข์ไปทิ้งวัดซะงั้น ..... เหอ เหอ เหอ จะเจอไหมเนี่ย .... สุขจ๋า ฉันพร้อมแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  17. rabbymony

    rabbymony เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +258
    ดิฉันไม่เคยเจอแม่เลยตั้งแต่ 4 ขวบ พ่อบวชตั้งแต่ 4 ขวบเช่นกันไม่สึก ท่านบอกว่าจะบวชตลอดชีวิต แต่งงานครั้งแรกที่บ้านไม่เรียกร้องค่าสินสอดเช่นกันแต่งกับชาวต่างชาติ (ครอบครัวฝั่งพ่อเลี้งดิฉันจนโตค่ะ )มาแต่งที่ต่างประเทศด้วยมีลูก 1 คน หย่ากับสามี ได้2ปีแล้ว สามีอยู่เมืองไทยแต่งงานใหม่มีลูกใหม่ คือสามีนอกใจน่ะค่ะ เราตัดสินใจมาตายดาบหน้ากลับมาอเมริกาหวังมาทำงานหาเงิน และมาเจอกับสามีคนที่ 2 แต่งกันแบบเงียบๆ เพราะเป็นการแต่งงานครั้งที่ 2 ของทั้งคู่แค่จดทะเบียนและแลกแหวนกันแล้วก็กล่าวคำสาบานแบบฝรั่ง ก็ไม่มีสินสอดให้อยู่ดี จะแก้ยังไงดี
     
  18. แสงอุ่น

    แสงอุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    613
    ค่าพลัง:
    +1,036
    นะเอย นะเอย หรือ นะเออ นะเออ
     
  19. Assarin

    Assarin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +104
    รออ่านอยู่นะคะ ^^
     
  20. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #7 เหอ เหอ เหอ .... เขามาเก็บรอยเท้า

    ในขณะที่ใจปรารถนาได้ถูกเก็บลงซอกลึกซอกเดิมไปแล้ว ความคิดเรื่องบวชก็หายไป ฉันเริ่มหยิบหนังสือสวดมนต์ของตามาอ่านบ้าง ... "_"!!! จะอ่านออกมั๊ยเนี่ย มีแต่บาลีสันสกฤต ทั้งนั้นเลย ตัวกลมๆ ที่อยู่ข้างบน ข้างล่างเนี่ย ออกเสียงว่าอะไรล่ะ งงเป็นไก่ตาแตก แต่ก็ยังพอจำได้เลาๆ ว่าคำไหนที่จำได้บ้าง ที่นอนฟังตอนเช้าน่ะ มีคำไหนบ้าง ก็ไปเริ่มจากคำเหล่านั้น ค่อยๆ แกะ ไปทีละคำ และก็มั่วๆ ไป ฉันชอบคำสวดคำนี้จังเลย ชอบเวลาตาสวด เพราะตาสวดแล้วก็จะแปลเป็นภาษาไทยไปในตัว “กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระณา ยังกัมมัง กะริสสันติ กัลยาณังวา ปาปะกังวา ตัสสะ ทายาทา ภะวิสันติ : เรามีกรรมเป็นของๆ ตน เราเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ุและพวกพ้อง เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย จักทำกรรมอันใดไว้ จะเป็นบุญหรือเป็นบาป เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น สืบไป” ฉันยังนึกถึงคำที่บอกว่า เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ุและพวกพ้อง เป็นของตน ต้องรับผลของกรรมนั้น ไม่ออก ไม่รู้ว่า กรรมคำนี้ ลึกๆ แล้วแปลว่าอะไร เห็นแต่คนข้างบ้าน เวลาเค๊าทะเลาะกัน ชอบพูดว่า “ไม่รู้กรรมอะไรของกู” 55555+++ นั่นแหละหนอ ดอกบัวที่ยังเป็นดอกตูม จมโคลนตมอยู่ จะไปรู้ได้อย่างไร (ฉันหัวเราะตัวเอง) ....

    น้าชายคนหนึ่ง เป็นน้าเขยที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ฉัน เขาเป็นคนชอบสวดมนต์ ไปวัด ปฏิบัติธรรม เขาจะเปิดร้านขายของชำ ขายทุกอย่าง ที่เป็นของกินของใช้ที่จำเป็น เวลาฉันไปซื้อของร้านเขา จะชอบคุยกับเขา เพราะรับได้ถึงความรู้สึกที่คนอื่นเรียกกันว่า “เมตตา” น้าชายคนนี้ ใจเย็น หน้าตาผ่องใส พูดช้า ยิ้มอยู่ตลอดเวลา ไปทีไรก็จะเห็นแก อ่านหนังสือบ้าง ฟังเพลงธรรมบ้าง ฉันก็รู้สึกดีไปด้วย ในช่วงที่ยายฉันยังมีชีวิตอยู่ น้าชายคนนี้ จะเดินมาคุยกับยายฉันเกือบทั้งวัน เดินตามบ้านเก็บขวดน้ำอัดลม เก็บขวดเบียร์ แล้วก็จะแวะเข้ามาเยี่ยมยายฉันทุกวัน ด้วยความที่เป็นญาติกัน และอีกอย่าง ช่วงกลางวัน ยายจะอยู่บ้านคนเดียว น้าชายก็เลยเดินมาดูบ่อยหน่อย จนกระทั่งยายฉันเสีย ตาก็เริ่มอยู่บ้าน น้าชายก็ทำเหมือนเดิม แวะเวียนมาคุยทั้งวัน เดินขึ้นบ้านฉันวันหนึ่งไม่รู้กี่รอบ ..... จนกระทั่ง ..... วันหนึ่งของน้ามาถึง ...... เสียงเอะอะดังลั่นซอย ..... ผู้คนวิ่งกันไปท้ายซอย .... แล้วตะโกนให้ช่วยกันหามน้าชาย ออกไปหาหมอ .... ฉันเห็นเขาหามน้าผ่านบ้านฉันไป ... ความรู้สึกตอนนั้น ... มันว่างเปล่าเหลือเกิน ... เหมือนจะไม่เห็นรอยยิ้มนี้อีกแล้ว .... พวกเรารอฟังข่าว ในอีกไม่ถึง ชั่วโมงต่อมา .... น้าชายเสียชีวิตแล้ว น้าหมดลมหายใจตั้งแต่ที่บ้านแล้ว .... ตาบอกว่า ที่เห็นสภาพน้าครั้งแรก ก็พอจะเดาได้แล้ว เพราะธาตุแตกแล้ว .... ซอยทั้งซอยเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดคุยชวนหัวเหมือก่อนหน้านี้ ... รุ่งขึ้น ทุกคนแต่งตัวไปงานศพ ... ฉันตอนนั้น งานสำคัญที่สุด ... เลยได้ไปงานศพน้า แค่วันเดียว ... แต่ตาของฉันและทุกคนในครอบครัว ไปตั้งแต่วันแรก จนวันเผา ... มีบางคืน ที่ตาไม่กลับบ้าน ... ตาบอกว่า ไปอยู่เป็นเพื่อนศพ .... ฉันก็อัปเปหิตัวเอง ลงมานอนกับญาติข้างล่าง บ้านฉันกว้างประมาณ 36 ตารางวา เป็นบ้านไม้สองชั้น ที่ก่อนหน้าฉันเกิด เป็นท้องร่องสวน เป็นพื้นที่เช่า แล้วก็มาปลูกบ้านกัน ก่อนหน้าที่ยายจะเสีย บ้านถูกกั้นเป็น 4 ส่วน 1 ส่วนด้านล่าง แบ่งให้เช่าเป็น 2 ห้อง คนที่เช่าอยู่ ก็อยู่นานกันจนเป็นญาติกันไป รักและเอื้ออาทร เหมือนพี่น้องกัน มีอะไรก็แบ่งปัน ช่วยเหลือจุนเจือกัน แต่พอยายเสียแล้ว บ้านก็ถูกแบ่งให้เช่า 3 ใน 4 ส่วน ชั้นล่างให้เช่าหมด ชั้นบนแบ่งให้เช่าครึ่งหนึ่งของบ้าน ... นี่คือที่มาว่า ทำไมฉันถึงสามารถลงมานอนกับญาติชั้นล่างได้ .... เพราะฉันบอกแล้วว่า ฉันกลัวผีมาก และไม่สามารถอยู่คนเดียวได้เลย จริงๆ กลัวมากจนผู้ใหญ่กลัวฉันจะหัวใจวายตายก่อนเวลาอันควร ...

    คืนนั้น ... ฉันนอนกับญาติอีกสองคนข้างล่าง ความที่ฉันไม่เคยมานอนกับพวกเขา ฉันก็ดันนอนไม่หลับอีก เขานอนกรนกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ... ดึกมากแล้ว เมื่อก่อนเวลาเที่ยงคืน ดูเหมือนจะดึกมากๆๆๆๆ สำหรับบ้านในสวน เพราะความที่เงียบ วังเวง และไม่มีแม้กระทั่งเสียงคนเดินเข้าซอย ..... ฉันนอนนึกถึงตา ว่าป่านนี้ตาจะนอนยังไงหนอ ไปนอนเป็นเพื่อนศพ ตาจะนอนตรงไหนหนอ .... พลัน !!!!

    ฉันก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดบ้าน ... บ้านฉันเป็นบ้านไม้ เสียงไม้ลั่น เป็นเรื่องปกติ ... ฉันลิงโลดเลย ... ดีใจ ตากลับบ้านแล้ว ฉันจะได้ขึ้นไปนอนห้องฉัน จะได้หลับๆ เสียที พอลุกขึ้น ทำท่าจะออกจากมุ้ง

    ญาติ : จะไปไหนเหรอ
    ฉัน : ตากลับมาแล้ว จะขึ้นไปหาตา
    ญาติ : รู้ได้ยังไง ว่าตากลับมาแล้ว
    ฉัน : ก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันได และก็เดินไปที่หน้าประตูข้างบน
    ญาติ : ไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวก็เช้า ค่อยไป
    ฉัน : ไม่เอา จะไปหาตา
    ญาติ : (ทำเสียงเขียวใส่ฉัน) เออน่า...บอกให้นอนก็นอนเถอะ เช้าค่อยไป เดี๋ยวไปเจออะไรมาก็ช็อคตายกันพอดี !!!!
    ฉัน : (คิดในใจ) เอาแล้ว ดันมาพูดแบบนี้ แค่จะเดินไปเปิดไฟ เปิดประตู ก็ขี้ขึ้นหัวแล้ว นอนก็นอน ... เช้าค่อยไปก็ได้ .... แล้วฉันก็คลุมโปงหลับไป

    พอเช้า ฉันรีบตื่นขึ้นมา ความรู้สึกเหมือนลูกหมาเห็นเจ้าของเลย มันดีใจ ที่จะได้เจอตา เพราะเป็นห่วง เพราะคิดถึง ว่าท่านจะอยู่ยังไง ...... แต่ ..... พอฉันขึ้นไป ..... ประตูบ้านยังใส่กุญแจอยู่เลย .... บ้านเงียบ เปิดประตูไป บ้านว่างเปล่า ... ฉันนึกในใจ “อ้าว ตาไปวัดแต่เช้าเลยเหรอ ... ทำไม ฉันไม่ได้ยินเสียงตาเลยหล่ะ แปลกจัง” พอคิดเสร็จ ฉันกำลังจะเดินมาบอก ญาติข้างล่างว่า ตาไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหน ..... และแล้ว .... ตาก็เดินเข้าบ้านมา ...

    ฉัน : ตาไปไหนมาแต่เช้า ?
    ตา : เพิ่งกลับมาจากวัด
    ฉัน : ไปทำอะไรแต่เช้าเลย
    ตา : ทำอะไร ก็คนเพิ่งกลับมา เมื่อคืนนอนที่วัด
    ฉัน : อ้าว!!! ก็เห็นตอนดึกกลับมาแล้วไม่ใช่เหรอ หนูได้ยินเสียงเดินขึ้นบ้าน
    ว่าจะขึ้นไปข้างบน น้าไม่ให้ขึ้น เลยนอนต่อ
    ตา : เปล่า!! ก็ตาเพิ่งกลับมานี่ จะมาได้ยังไงตอนกลางคืน
    ฉัน : เหวอ ..... เอาอีกแล้ว เกิดขึ้นอีกแล้ว ฉันเลยเล่าให้ตาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น

    ตาบอกว่า น้าชายมาบ้านเราเป็นประจำ เขามาเก็บรอยเท้าเขา ไม่ต้องกลัว เป็นเรื่องของวิญญาณ ...... "_" !!!! แต่ฉันเรียกว่า “ผี” นี่หน่า .... โอ๊ย ... ฉันหลอนอีกแล้ว ถามญาติว่าได้ยินอะไรแบบที่ฉันได้ยินหรือเปล่า เค๊าบอกว่าไม่ได้ยิน แต่ตกใจที่ฉันลุกขึ้นและทำท่าจะออกจากที่นอน ตอนนั้นดึกมากแล้ว เลยไม่อยากให้ออกไป ....... ฉันนึกในใจ และยกมือขึ้นพนม พูดว่า “น้า ไม่ต้องมาเก็บอีกแล้วนะ รอยเท้าน่ะ หนูกลัวหนูจะไม่ได้นอนอีกแล้ว ถ้าจะเก็บ ไปเก็บบ้านน้าเถอะ ไม่ต้องมาเก็บที่บ้านหนูอีกแล้ว นะ นะ หนู ขอร้อง”

    เหมือนน้าชายจะไม่ได้ยินเสียงขอร้องของฉัน ... เพราะวันต่อมา ป้าของฉันมาจากต่างจังหวัด เพื่อมางานศพน้าชาย ... เอาแล้วสิ ... ถ้าฉันปล่อยให้ป้านอนข้างบนคนเดียว ... ก็จะดูขี้ขลาดขั้นหนักเลย ... ฉันจึงตัดสินใจ นอนข้างบนกับป้าที่ห้องของฉัน ฉันให้ป้านอนด้านนอก ส่วนฉันนอนด้านใน ... ฉันคิดในใจว่า ยังดีนะ คืนนี้ ยังมีเพื่อนนอนด้วย ... เปล่าเลย !! พอหัวถึงหมอนปุ๊บ ป้าหลับปั๊บ เสียกรนเป็นเครื่องยืนยัน แกเหนื่อยจากการเดินทาง พอมาถึง แกก็หลับเลย "_" !!!! เอาแล้วฉัน ... คืนนี้ น้าชายจะมาเก็บรอยเท้าไหมเนี่ย ... ขอให้น้าได้ยินเสียงอธิษฐานของฉันด้วยเถิด ..... เหมือนน้าจะไม่ได้ยิน ... เอ๊ะ! หรือฉันบอกค่อยไป .... เพราะจากนั้นอีกไม่นาน ฉันก็ได้ยินเสียงเดิม เสียงคนเดินขึ้นบันไดบ้าน แล้วก็เดินไปเดินหน้า บริเวณหน้าประตูบ้าน .... ฉันได้แต่คลุมโปง เหงื่อแตกพลั่กๆๆๆ อาการปวดฉี่ ขึ้นมาทันที จนฉันต้องกลั้นไว้ เพราะทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่นึกในใจว่า ... โธ่...น้า ไม่ได้ยินก็ไม่บอก ฝากตามาบอกก็ได้ หนูจะได้ปล่อยให้ป้านอนข้างบนคนเดียว อย่างน้อยข้างล่างหนูยังได้นอนกลาง มีคนนอนขนาบข้างซ้ายข้างขวา .... กลายเป็นว่า ฉันนอนไม่หลับยันเช้า ... กว่าจะผ่านงานศพไปได้ .... ลูกตาฉัน ทั้งดำ ทั้งโบ๋ ยิ่งกว่าหนักกว่าตอนทำงานดึกๆ เสียอีก ..... หลินปิงก็หลินปิงเถอะ .. ถ้าตอนนั้นมีคนบอกว่า ฉันสวยกว่าหลินปิง ฉันเชื่อเลย .....เฮ้อ! ทำไมต้องเป็นฉันด้วยหนอ ........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...