แสงสว่าง ไม่ใช่ จิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 16 มิถุนายน 2018.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
    พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

    ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี​



    อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เวลาฟังธรรมะ ธรรมะชี้ให้ถึงทางโลกและทางธรรม ทางโลกคือให้เราอยู่กับโลกด้วยความร่มเย็นเป็นสุข เราเกิดมาเป็นอริยทรัพย์ เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก ทีนี้การเกิดเป็นมนุษย์มีกายกับใจๆ ร่างกายนี้ต้องหาอยู่หากินหาเลี้ยงมัน แต่จิตใจนี้ต้องการธรรมะเป็นที่พึ่งอาศัย ให้ธรรมะจรรโลงหัวใจ

    เวลาทางโลกเขาถ้าหาอยู่หากิน แรงงานทาสๆ เวลาแรงงานทาสเขาโดนบังคับขู่เข็ญนะ แต่เราดูสิ คนที่มีความขยันหมั่นเพียร คนที่เขามีสติปัญญาของเขา เขาทำงานมากกว่าแรงงานทาสอีก ทำงานด้วยความพอใจของเขา ด้วยความขยัน ด้วยความหมั่นเพียร ด้วยความวิริยะ ความอุตสาหะของเขา

    แต่เวลาแรงงานทาสๆ เขาโดนบังคับขู่เข็ญนะ เขาโดนบังคับขู่เข็ญ เขาทำของเขา เขาทำด้วยความทุกข์ระทมในใจของเขา แล้วถ้าเกิดแรงงานทาสเขาโดนบังคับ เขามีแต่ความทุกข์เลย แต่คนถ้ามีสติปัญญา เขาขยันหมั่นเพียรของเขา ความขยันหมั่นเพียรนั้นเขาพอใจ เขาอบอุ่นของเขา เขาทำเพื่อประโยชน์กับเขาไง นั่นพูดถึงทางโลก เราเห็นแล้วมันสลดสังเวชนะ แต่เรามาคิดถึงในหัวใจเราสิ เราเป็นทาสกิเลส

    เวลามันเป็นทาสกิเลส กิเลสมันปิดบังหัวใจ เรามองไม่เห็นเลยล่ะ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ้นจากกิเลสๆ พ้นจากกิเลสเป็นพระอรหันต์ นี่พ้นจากกิเลส มีความสุข มีวิมุตติสุข สุขในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เวลามันพ้นกิเลสๆ

    เราก็มาคิดของเรา เวลาคนเราทำความผิดโดนจองจำ พอโดนจองจำก็เห็นติดคุก เวลาพ้นจากโทษก็พ้นออกมาจากโทษ เขาพ้นจากคุก เขามีเครื่องจองจำไง แต่หัวใจของเราอะไรมันจองจำ มันจองจำในใจนะ ใจเรามันบีบคั้นอยู่ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

    ดูทางโลกเขา ทางโลกเขาถ้าเขามีสติมีปัญญาของเขา เขามีความเพียรของเขา เขามีความวิริยะ ความอุตสาหะของเขา เขาทำคุณงามความดีของเขา เวลาคนที่เป็นแรงงานทาสเขาโดนบังคับขู่เข็ญของเขา ไอ้นี่ก็เหมือนกัน แต่เราไม่รู้ไม่เห็นในหัวใจของเราไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันต้องการของมัน แต่เวลามันต้องการของมัน มันพยายามแสวงหาของมัน นี่เวลาเป็นทาสของกิเลสไง เวลากิเลสมันปิดหูปิดตา มันกระเสือกกระสนของมันไปด้วยความทุกข์ความยากไง แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราต้องอดนอนผ่อนอาหาร เราต้องเร่งความเพียรของเรา เราต้องมีความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา มันยิ่งกว่าแรงงานทาสนะ

    เวลาหลวงตาท่านพูดถึงความเพียรของท่าน ท่านระลึกถึงเวลาท่านเคยปฏิบัติมา ท่านย้อนไปถึงการกระทำของท่าน ท่านบอกว่ามันทำมาได้อย่างไร มันทำมาได้อย่างไร เพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบีบคั้นหัวใจไง เราพยายามต่อสู้กับมันไง ถ้าเราพยายามต่อสู้กับมัน ต่อสู้กับมันด้วยความเพียรชอบไง ด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ

    หัวใจดวงหนึ่งมันโดนบีบคั้น โดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันอยู่ หัวใจดวงหนึ่งมีความคิดความจะหลุดพ้น หัวใจดวงหนึ่งต้องสร้างศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาในหัวใจดวงนั้นเอง หัวใจดวงนั้นต้องมีความเข้มข้น หัวใจดวงนั้นต้องมีการกระทำ หัวใจดวงนั้นต้องพยายามฝืนทนมันออกไปให้ได้ ถ้าฝืนทนออกไปให้ได้ มันทำของมันอย่างไรล่ะ

    เวลาเราทำของเรา เราทำด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เราก็ว่าเราเข้มข้น เราก็ทำของเรา แต่มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นความเห็นผิด ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพิจารณาของท่านไป เวลาท่านเป็นอนาคามีนะ เวลาท่านมองไปมันทะลุภูเขาเลากาไปหมดเลย มันไม่มีอะไรสามารถจะปิดบังสายตาที่มีคุณธรรมในหัวใจนี้ได้เลย ท่านบอกท่านมหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์มาก จิตมันทำไมมหัศจรรย์ได้ขนาดนี้ เพราะเราเป็นคนรู้คนเห็น

    จิตของเราเวลาเราภาวนาไปนะ เวลามันไปเห็นนิมิต มันมีความสงสัยขึ้นมา จะไปถาม “นี่อะไร นี่อะไร”

    แต่เวลาคนที่มีสติปัญญาของเขา เขากระทำของเขา เขาพิจารณาของเขา มันชำระล้างด้วยมรรคญาณ มันชำระล้างด้วยมรรคด้วยผล ด้วยสัจจะความจริง มันกังวานกลางหัวใจ แล้วมันพิจารณาของมันไป มองไปทะลุภูเขาเลากาไปหมดเลย ไม่มีอะไรจะบังสายตานี้ได้เลย ทำไมจิตมันมหัศจรรย์ขนาดนี้ ทำไมจิตมหัศจรรย์ขนาดนี้

    ท่านบอกด้วยอำนาจวาสนาของท่านนะ ธรรมะเตือนทันทีเลย แสงสว่าง แสงที่มันทะลุปรุโปร่งทั้งหมดทั้ง ๓ โลกธาตุนี้มันเกิดมาจากจุดและต่อม มันเกิดมาจากจิตนี้ มันรู้ขึ้นมาจากจิตนี้ จิตนี้เป็นผู้รู้ จิตนี้เป็นผู้ทำลายผู้ชำระล้างขึ้นมา มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ของมัน มันเกิดจากจุดและต่อม แล้วจุดและต่อมมันคืออะไร

    จุดและต่อมคือภวาสวะ จุดและต่อมคือจิตเดิมแท้ เพราะมันต้องมีที่เกิดไง เวลามันมีที่เกิดนะ ดูสิ ความคิดเกิดจากไหน? ความคิดเกิดจากจิต ไม่ใช่จิต ความคิดเกิดจากจิต แต่ไม่ใช่จิต ความคิดเกิดจากความรู้สึกเรา อารมณ์ความรู้สึกเกิดจากจิต เกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ แต่ไม่ใช่ภวาสวะ ไม่ใช่ภพ เพราะมันเกิดจากที่นั่น มันส่งออกไป แล้วมันส่งออกไปแล้วมันก็ย่อยสลายไป มันก็ส่งออกไปอีก มันก็ส่งออก นี่ความคิดเร็วกว่าแสง คิดได้ทุกอย่าง ความคิดเกิดจากจิต แต่ไม่ใช่จิต

    สิ่งที่สว่างไสว มองไปเห็นทะลุปรุโปร่งไปหมดเลย เกิดจากจุดและต่อม เกิดจากจิต แต่ไม่ใช่จิต นี่ไง ถ้าพออย่างนั้นท่านถึงจะค้นคว้าของท่าน ท่านถึงกลับมาค้นหาของท่าน ท่านบอกถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ ท่านจะไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นต้องชี้จุดเข้าไป ทวนกระแสกลับไปภวาสวะ กลับไปที่ภพ ท่านจะทำลายทันทีเลย แต่หลวงปู่มั่นท่านก็นิพพานไปแล้ว ท่านต้องกระเสือกกระสนหา นี่ธรรมะเตือนๆ

    ฟังธรรมๆ ธรรมเวลามันเตือนขึ้นมา สิ่งที่มันจะเป็นอิสรภาพ ความที่เป็นอิสรภาพ พอเป็นพระอนาคามี อยู่ในเรือนว่าง เรือนนี้ว่างหมดเลย แต่เรายืนขวางอยู่ไง มันสว่างไสว มันผ่องใส มันทะลุปรุโปร่งไปหมดเลย แต่มันยังมีจิตอยู่ มีพญามารอยู่ ถ้ามีพญามารอยู่แล้วพญามารมันคืออะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่ใครชี้ ไม่มีใครปฏิบัติ มันจะค้นหาของมันได้อย่างไร นี่ไง ถ้ามันเป็นแรงงานทาสๆ เขาโดนบังคับขู่เข็ญของมันไป

    ไอ้นี่ก็เหมือนกัน แรงงานของเรา เราทำของเรา แต่ถ้ามันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำ ครอบงำตั้งแต่ต้น โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล

    อนาคามิมรรค อนาคามิมรรคทำลายแล้วเป็นอนาคามิผล พออนาคามิผลมันก็ว่างหมด พอว่างหมดขึ้นมาแล้ว ถ้ายกขึ้น มันยกขึ้นอย่างไร ถ้ามันจะเป็นอิสรภาพ มันจะพ้นจากความเป็นทาส มันพ้นจากการครอบงำ ถ้าความครอบงำ ถ้าย้อนกลับมาเห็นจุดและต่อม ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาถึงจิตเดิมแท้ ถ้าจิตเดิมแท้เป็นอย่างไร

    เพราะเรามีความคิดใช่ไหม มีจิต มีความรู้สึกมันถึงคิดได้ ถ้ามันมีจิตอยู่ มันก็มีความสว่างไสว มันก็มีความผ่องใส มันกระทบได้ แล้วถ้าตัวมันเองมันเป็นหนึ่งเดียวในตัวมันเองที่มันไม่มีอะไรไปกระทบ ในตัวมันเองจับตัวมันเอง มันทำอย่างไร

    ถ้ามันทำของมัน คนจะพ้นจากความเป็นทาสๆ มันต้องพ้นจากความเป็นทาสจากภายในหัวใจ ถ้ามันพ้นจากความเป็นทาส มันย้อนกลับมา ถ้าย้อนกลับมา ย้อนกลับมาที่ภวาสวะ ย้อนกลับมาที่ภพ พอทำลายภพ ทำลายภพ มันทำลายภพที่นี่ ภพชาติจะเกิดจากไหน ถ้ามันมีภพที่นี่ มันมีตัวตนที่นี่ ภพชาติมันมีไหม เพราะพระอนาคามียังเกิดบนพรหม มันยังมีอยู่ มันต้องเคลื่อนไหวของมันไปถ้ามันยังมี

    ถ้ามันไม่มีล่ะ ถ้ามันไม่มี ทำให้มันไม่มีทำอย่างไรถึงทำให้มันไม่มี นี่ไง ถ้ามันไม่มี ทำลายมาแล้วทำโดยอรหัตตมรรค ถ้าอรหัตตมรรค พอเป็นเป็นอรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ มรรค ๔ ผล ๔ คือกิริยา คือการกระทำ คือการกระทบ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ มันพ้นออกไป ออกไประหว่างอรหัตตมรรค อรหัตตผล มันพ้นออกไป พ้นออกไปอย่างไร

    ถ้าจะเป็นอิสรภาพ ความเป็นอิสรภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระทำมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงอนัตตลักขณสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงอาทิตตปริยายสูตร เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์กันมาหมด นี่พ้นจากความเป็นทาสๆ นี่ไง มนุษย์ประเสริฐ ประเสริฐตรงนี้

    http://www.sa-ngob.com/content_show.php?content=4398
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    โอ้ ไม่ง่ายเลยนะครับ
    ถ้าเอาแค่ประเด็นว่า แสงสว่าง
    และความคิด ไม่ใช่จิตเนี่ยคงเป็น
    ในระดับที่พูดให้เห็นภาพทั่วไปเท่านั้น

    คือช่วงเข้าประเด็นคือเริ่ม
    พูดให้เห็นภาพมันก่อน
    และก็แนะไม่ให้ถูกครอบงำ
    และก็ย้อนกะแสกลับไปเพื่อทำลาย(มียกท่านมีชื่อ
    ในอดีตร่วมด้วย)
    วิธีทำลายก็บอกไว้แล้ว น่าจะเป็นประสบการณ์ของท่าน
    (เข้าใจอย่างนี้ครับ ซึ่งเป็นวิธการที่คงไม่ง่าย
    คงมีแต่ระดับโปรซีรย์เท่านั้นหละครับ)
    และทิ้งท้ายว่า ทำลายอย่างไร(เหมือนคล้ายถามเพื่อไว้
    เพื่ออนาคตมีใครทำได้)

    ทั่วไปมองว่า
    ๑. เห็นความคิดที่เกิดจากจิต แยกกันได้
    ถึงจะเข้าใจว่ามันคนละตัวกับจิต
    นี่ก็ต้องแยกรูปแยกนามให้ได้ก่อนเป็นพื้นฐาน
    ๒. จะไม่ติด ในแสง หรือไม่หลง ภาสวะอะไร
    ก็ต้องไม่ยึดนามธรรมและเข้าใจกระบวนการที่มันเกิดก่อน
    นี่มันเป็นวิถีระดับปัญญาญานแล้วนะครับ

    โดยมากที่หลงสภาวะ หลงตัวเอง เพราะไปยึดกริยาพวกนี้หละ
    คิดว่ามันวิเศษต่างๆนาๆ ยึดไปยึดมากลายเป็นสัญญาวิปลาสไป
    อาจเพราะไม่มีพื้นฐานการแยกรูปแยกนามมาก่อนเป็นทุน

    ๓.วิธีการที่ท่านทำลายตรงนี้ ก็รวบรัดดี
    แต่ส่วนตัวมองว่ายากนะครับ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
    อะไรเนี่ย ก่อนเทศน์ ท่านถึงเน้นว่าตั้งใจฟัง
    ส่วนตัวอ่านวิธีทำลายไม่เก็ทครับ


    ปล.ส่วนตัวมองว่า เหมือนเทศน์สอน
    คนที่ใกล้จะเป็นอรหันต์แล้วครับ
    ถึงได้มีคำถามทิ้งท้ายว่า
    ทำลายอย่างไร.

    ยากอยู่นะครับ สำหรับห้องนี้
    ยิ่งยากไปอีก ในหมู่ดวงจิตที่ยึดนามธรรม ยึดกิริยานามธรรม
    ทั้งหลายเป็นตุเป็นตะ แล้วหลงว่าตนวิเศษกว่าใคร
    ทั้งที่เป็นสภาวะนามธรรมระดับรากหญ้า

    บอกตามตรง อ่านแล้วนึกว่าท่านเทศน์
    สอนภูมิจิต ระดับอนาคามี ที่จะต้องพอมีความสามารถ
    ทางจิตภายในเป็นทุนพอตัวโน่นครับ

    แต่ถ้าท่านแวดล้อมไปด้วยบรรดา
    ลูกศิษย์ที่มีต้นทุนทางด้านสมาธิ
    และสัมผัสภายในเป็นทุน

    ก็ไม่แปลกที่จะเทศน์แบบนี้
    เข้าใจว่า ต้องมีลูกศิษย์ซักท่าน
    ที่ภูมิจิตถึงอนาคามี
    ที่ใกล้หละนั่งฟังอยู่ในบริเวนนั้นแน่นๆ

    ความเห็นส่วนตัวนะครับ^_^


     
  3. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เคยสอนไว้ครับ
    เรื่อง นิมิต อนิมิต คล้ายๆต่อจากจุดนี้ ที่ท่านนำมาโพสท์
    ก็อาจจะไปทิ้งกันตอนที่ไปถึง จุดนั้นแล้ว มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
    คงไม่ใช่ หลับตาเห็นจุด แล้วบอกว่าทิ้งได้ โดยไม่สำเร็จมรรค สำเร็จผล เลย
     
  4. เส้นทางยาวไกล

    เส้นทางยาวไกล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +206
    พยายามอ่านให้ฝังในสัญญาไว้ก่อน
    บอกตรงครับ นึกจินตมยปัญญาไม่ออกเลย
    เป็นเทคนิคระดับโลกุตรธรรมกระมัง
    ส่วนตัวเคยพบพระกรรมฐานลูกศิษย์
    พระอาจารย์สงบ ที่ป่าแถบอุทัย
    ท่านอายุราว30 แต่ไม่ธรรมดาเลย
    ท่านให้หนังสือรวมธรรมเทศนาของ
    พระอาจารย์สงบมา หลายปีแล้ว
    ยังอ่านไม่จบเลยครับ สาธุครับ
     
  5. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    ธรรมะมาจากพระพุทธองค์
    ไม่มีสายใคร สายมัน อาจารย์คนนู้นที คนนี้ที

    อริยะสาวกเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของตถาคต
    แม้ตถาคตจะบอกให้ก้าวเท้าลงไปในหุบเหว
    อริยะสาวกก็จะทำตามโดยไม่ลังเล
    เพราะเชื่อว่าในสิ่งที่ตถาคตบอก จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ

    เพิกถอนสักกายะทิฐิ วิจิกิจฉา ยึดมั่นในตัวบุคคลอื่น คำสอนอื่น
    ที่นอกเหนือจากตถาคต

    ในพระไตรเวลาที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ พระเอตัคทัคคะ ทุก ๆท่าน
    ถูกข้อซักถาม....
    ท่านก็มักจะบอกผู้ถามให้ไปถามพระพุทธเจ้าก่อน
    หรือหากถูกซักไซ้ไล่เลียงให้ท่านต้องตอบก่อน
    ท่านก็มักจะลงเอย พูดปิดท้าย....
    ด้วยการที่ให้ไปถามพระพุทธเจ้า อีกรอบหนึ่ง....
    ท่านไม่กล้ารับรองคำสอนของท่านเอง......

    เมื่อพระพุทธเจ้าได้ยินคำตอบของพระเถระผู้นั้นจากผู้ถาม
    ท่านก็รับรอง หรือ ปฏิเสธ หรือ ภาคเสธ

    อนึ่ง ตอนพระสารีบุตร ไปเรียกพระทั้ง 500 กลับจากสำนักพระเทวทัต
    พระสารีบุตร มีดำริ ที่จะให้พระทั้ง 500 สึกและบวชใหม่
    เพราะถือว่ามีมลทิน

    แต่พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วย และบอกว่าไม่จำเป็น

    นี่ขนาดพระอัครสาวก มือขวา พระพุทธเจ้า
    ยังวินิจฉัยพระวินัย คลาดเคลื่อนได้

    ดังนั้น พระสงฆ์สาวกในพระธรรมวินัยนี้
    จึงควรอ้างอิง คำสอนไปที่พระตถาคตโดยตรง

    โดยไม่มีสำนักนี้ อาจารย์นั้น อาจารย์นี้ เป็นเอก

    ให้ดูจริยาพระเถระ อริยะเจ้าในพระไตรเป็นตัวอย่าง
    ว่าท่านอิง คำสอนของใครเป็นหลัก


    คงกล่าวแต่เพียงเท่านี้....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2018
  6. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ใส่ตัวแดงไว้แล้วนี้ครับ


    "มันเกิดมาจากจิตนี้"

    "มันเกิดมาจากจิตนี้"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2018

แชร์หน้านี้

Loading...