แสงสีต่างๆ ขณะนั่งสมาธิ บ่งบอกอะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย odanhi, 7 กรกฎาคม 2012.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    คุณว่า เจ๋ง กรรมฐานอะไร ให้คุณเลือก
    และให้หา คนที่คิดว่า จะช่วยคุณได้มาได้
    อีก ๑๐ คนครับ


    คุณนพ ไม่เข้าใจกรรมฐานจริงๆ กรรมฐานอะไรของท่านนพนะ ต้องให้มจด.หาคนมาช่วยตั้ง ๑๐ คน ทำยังกะจะให้ช่วยกันหามเสา อิอิ

    กรรมฐานอารัยคุณนพหือ อิอิ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ๕๕๕ แถไปเรื่อยหละ ที่ตอนโม้ ตอนว่า
    ตอนพูดทำลายชื่อเสียง ดิสเครดิส ตอแหล
    เนี่ยปากเก่งจังเนาะ
    คือเอาความสามารถ ที่ กระบือดิน หรือ มาจากดิน
    คิดว่าตัวเก่งที่สุดในโลกนั่นหละครับ
    จะมาจากกรรมฐานอะไร หรือฝึกได้เองจากไหน ก็เอามาเลย
    ได้ทุกกรรมฐานบนโลกนี้. ถามจริงๆไม่เข้าใจ
    คำว่ากรรมฐานหรือไง ๕๕๕๕


    เอาวิชาเสกหนังควายเข้าท้อง
    ที่ คุณ กระบือดิน ชอบเอามาขู่ก็ได้ครับ พร้อมเสมอครับ
    อยากเจอมานานแล้ว พวกเดรัชฉานวิชาอย่างนี้...
    บอกตามตรงว่า ส่วนตัวชอบและอยากเจอแบบนี้มากๆครับ
    และเอาพวกทำแบบนี้มาช่วยเยอะๆเลยนะครับ
    พร้อมเสมอ บอกเค้าว่าด้วยว่า ผมแค่คนเดียว...หึหึ

    เอาแบบที่ คุณโม้นั่นหละครับ..
    ก็เขียนภาษาไทย ทำไม กระบือแท้ อ่านไม่เข้าใจหรือ
    คือ ที่ต่อให้ เพราะว่า กลัวคนที่รู้จัก ที่เคยเจอข้าพเจ้า
    และรู้ว่าข้าพเจ้าทำอะไรได้. เด่วเค้าจะหาว่าผมไป
    รังแกกระบือน้อยอย่างคุณ พูดแค่นี้เข้าใจหรือยัง
    เลยต่อ ให้ กระบือดิน อย่างคุณ หาคนมาช่วย
    อีก ๑๐ คนว่า แต่อย่างคุณ มีคนคบหรือเปล่า ๕๕๕๕
    ปล.ที่ต่อนะ คือรู้ว่า คุณมีความสามารถแค่ไหนไง
    กระบือแท้ๆ เบอร์โทรให้แล้วไง
    อย่าเก่ง แต่เกรียนคีย์บอร์ด เก่งในโซเซียลแต่ปาก
    เหมือนเด็กขนเพชรพึ่งขึ้นเลยน้อง...
     
  3. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494

    คุณนพอุตส่าห์พิมพ์มาเยอะแยะ คือ มีแต่น้ำ เนื้อไม่มี

    เอางี้นะ ตามที่คุณนพคิด กรรมฐาน หมายถึงอะไร
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ประเด็นหลัก คือกล้ารับคำท้า ไหม ไม่คุยเรื่องอื่นๆ
    ที่ให้เบอร์โทรเพราะ ไม่อยากเป็นเสนียดนิ้ว
    ในการพิมพ์โต้ตอบ กับ กระบือดิน อย่างคุณ เข้าใจเนาะ
    คำว่า กรรมฐาน กระบือดิน ถนัด ก๊อบปี๊แปะ ไม่น่า
    มาแสดงความโง่แล้วมาแกล้งถามนะครับ..
    สมัยนี้ อยากรู้อะไร ด้านตำรา พิมพ์ใน Google ได้หมดแระ
    ไม่ต้องมาเอาพื้นๆ เอาระดับ แสดง พิสูจน์
    ความสามารถกันไปเลย เข้าใจนะ..

    คือ ถ้า กระบือดิน ไม่มีความสามารถอะไร
    ก็อย่ามาปากเก่ง อย่ามาปากดี อย่ามาว่าคนอื่นๆ
    ถ้า กระบือดินเก่ง เชิญไป แนะนำในเวบที่ตัวเองดูแลนะ
    ไม่ต้องก๊อบ ข้อความ อะไรมาลงในเวบนี้
    และ ถ้าเก่งจริงอย่างที่คุญ ก็รับคำท้าด้วยนะครับ
    ต่อ ๑๐ คนข้าพเจ้าคนเดียวนะคับ
    ถ้าไม่กล้า ก็บอกไม่กล้า
    เพราะ เสียเวลาในการคุย
    กับ กระบือดิน อย่างคุณมามากแล้วครับ...
    ปล.เข้าใจเนาะ การใช้ปาก พิมพ์ในคอม
    ใครมันจะพิมพ์อะไรก็ได้
    ถึงท้าให้มาเจอกันไง เข้าใจตรงกันนะ
     
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    เราพูดกันเรืองอภิญญา กรรมฐานนะ แล้วทำไมไม่ตอบล่ะ หือ เอาตามความเข้าใจคุณนพน่า
     
  6. pitra

    pitra สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2017
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +31
    1-3 ปรากฏให้เห็นแล้ว
     
  7. Pattarawat1546

    Pattarawat1546 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +4
    สมาขิกใหม่ครับ

    สอบถามท่านพี่ nopphakan

    เคยทำครั้งแรกหายใจเข้าออกพุทธโธ
    ไม่กี่วินาที
    หูดับเหมือนอยู่อีกโลก ไม่รู้สึกมีกายไม่ได้ยินลืมโลกไปเลย
    คำบริกรรมกับลมหายตอนนั้นไม่มีให้รู้สึก
    เห็นเป็นฉากหลัง(ที่เห็นทั้งหมด)เป็นสีฟ้าน้ำเงิน
    คือไม่ใช่ฟ้าอ่อนและน้ำเงินเข้ม
    แล้วมีเส้นประสีเหลืองหมุนวนไปทางขวา(รูปวงกลม)
    แล้วนึกได้พ่อเคยบอกเห็นไรไม่ให้สงสัยให้ดู ไปก็ดูต่อ แล้วรูปวงกลมกลายเป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วกลายเป็นเหมือนรูปทรงพระพุทธรูปมียอดเกตุแหลมและมีฐานนั่งดูได้สักพัก
    แล้วหลังจากนั้นมืดไม่มีอะไร เพราะ
    รู้สึกโดนเขย่า
    รู้ว่าที่แขน แล้วได้ยินเสียงเพื่อนเรียก เลยลืมตา

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ


    แก้ไขเพิ่มเติม
    เวลามองที่โล่งๆ เห็นจุดขาวๆ ลอยเต็มไปหมดเลย มันคืออะไรครับ

    ปล.จริงๆ มีหลายเรื่องมากแต่ถามแค่นี้ก่อน ขอบคุณมากๆ ครับ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    การทำงานของจิตคนเราปกติเนาะ...มันจะ
    ทำงานได้เมื่อ ๑.มีแสงนำ(จะเป็นเป็นเส้นสาย เช่นพวกคลื่นอากาศที่แตกต่างๆจากอากาศทั่วไป วงกลมเริ่มจากเข็มหมุด
    และมาหัวไม้ขีด) หรือ ๒.มีสีนำ (เห็นเป็นสีทุกสี)
    หรือ ทั้ง ๑ และ ๒ ก็จะเห็นได้ทั้งเป็นคลื่น เป็นวงกลมและมีสี
    พอนึกภาพออกไหม ยกตัวอย่าง เทวดา ขอบๆที่รวมเป็นตัว
    คือเส้นสาย สีแต่เห็นว่าใส่ชุดนั้นชุดนี้คือสี
    พอนึกภาพทั่วไปออกนะ

    ที่นี้การจะไปเข้าใจสิ่งที่เราเห็นได้ ประเด็นไม่ใช่ว่า
    เราเห็นอะไร และสิ่งที่เห็นคืออะไร ประเด็นมันคือ
    วัตถุประสงค์ในสิ่งที่เราเห็น คือ ทำไมเราถึงเห็นอย่างนั้น
    ซึ่งตรงนี้ จะสามารถเข้าใจได้เองอัตโนมัติ
    จากกำลังสติทางธรรมของเราเอง (คล้ายตัวความคิด
    ในโหมดนามธรรม) อืมที่พ่อเคยแนะดีแล้ว...
    คือถ้า เราไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ในครั้งแรกที่เห็นแล้ว
    ให้เราลืมไปเลย ให้นึกว่า ไม่มีสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับเรา
    แล้วมาฝึกเจริญสติให้ต่อเนื่องต่อไป อนาคตข้างหน้า
    เราจะสามารถมองเห็น รู้และเข้าใจสิ่งที่ผ่านมาได้ทั้งหมดเอง
    นึกภาพออกไหม เหมือนเรากำลังเดินขึ้นบันไดไปลานบ้าน
    ข้างบน พอเราถึงข้างบนแล้ว เราจะสามารถมองเห็นบันได
    ทุกขั้นที่ผ่านมาได้เอง เพราะบันไดทุกขั้นมันก็อยู่ในราว
    บันไดเดียวกันนั่นเอง....แต่ส่วนมากที่พลาดกันคือ
    มักจะหยุดอยู่ระหว่างทาง แล้วพยายามไปคาดเดาว่า
    บันไดขั้นต่อไปหรือแม้กระทั่งลานบ้านข้างบนเป็นอย่างไร
    นี่เล่าให้ฟังเฉยๆนะ เพื่อให้เห็นภาพในมุมกว้างขึ้น.....


    เส้นสีเหลืองๆทองๆเป็นพลังงานภายนอกอย่างหนึ่ง
    บอกได้อย่างหนึ่งว่า ต่อไปจิตดวงนี้จะเข้าถึงในเรื่อง
    พลังงานภายนอกต่างๆได้นั่นเอง ทำให้สามารถเล่น
    กับพลังงานต่างๆได้ ไม่ว่าร้อน เย็น รวมถึงธาตุต่างๆ
    ที่รวมเป็นกาย ซึ่งส่งผลให้เกิดความสามารถอย่างหนึ่ง
    ก็คือสามารถรักษาโรคได้นั้นเอง (ที่เล่ามาเป็นเรื่องปกตินะ)

    ที่นี้ในสิ่งที่เห็นมันบอกอะไรเราเอาวัตถุประสงค์ก่อนนะ
    มันบอกว่า เมื่อจิตนี้เป็น
    อย่างนี้แล้ว(หมายถึงเป็นตามที่เคยสะสมมาในอดีต)
    ให้เรามาฝึกเพื่อให้จิตมีภูมิต้านทาน ฝึกให้จิตมีกำลัง
    ให้มากขึ้น ฝึกจิตคือเป็นวงกลม จากวงกลมเป็นสามเหลี่ยม
    ซึ่งสามเหลี่ยมนี่หละที่จะบอกว่า ฝึกจิตจนให้เกิดภูมิต้านทาน
    ฝึกให้เกิดกำลังจิต และกลายเป็นคล้ายๆพระพุทธรูป
    ที่ปกติอยู่บนฐานคล้ายดอกบัว บอกว่า ให้ประกอบไปด้วยเมตตา
    (ซึ่งเมตตาตรงนี้ให้เริ่มด้วยวาจาที่ดีก่อน ปล.เฉพาะดวงจิตนี้นะ)
    เป็นฐาน(ฟ้องจากฐานคล้ายดอกบัว) ให้มีปฏิธานตั้งต้นดังนี้
    แล้วต่อไปก็จะมีครูบาร์อาจารย์เข้ามาแนะเองไม่ว่าทางใด
    ทางหนึ่งและจะได้อยู่ภายใต้ปลายทางที่ถูกในระหว่างที่
    กำลังเดินทางสู่จุดหมายปลายทาง

    ลำดับต่อมา ในเรื่องของสมาธิ เนื่องจากตอนนั้น
    เรามีกำลังไม่พอ ในการรักษาระยะห่างในการมอง
    จึงถูกดูดเข้าไปในนิมิตที่เห็น ผลก็เลยออกมาอย่าง
    ที่เห็นนั่นหละ (เรื่องปกตินะเป็นได้ทุกคน)

    และถ้ามองไปในอากาศ ขอให้เป็นวงกลม หรือเป็น
    คลื่นอากาศ ไม่ใช่เหมือนวุ่น เป็นผลของกิริยาของ
    จิตที่ทำงานได้อย่างนี้ปกติ เพียงแต่เราจะรักษาการ
    เห็นให้นานไม่ได้ เรื่องปกติ เชื่อว่าเป็นดวงจิต
    ที่มักจะซ่อนตัวอยู่ตามธรรมชาติรอบตัวเราอยู่แล้ว
    เป็นปกตินั่นเอง ซึ่งถ้าจิตทำงานได้แล้ว
    มันจะเห็นได้ ตั้งแต่กำลังสมาธิระดับ ขนิกะ อุปจารฯ
    ปฐมฌาน ต่างกันตรงที่ ขนิกะมองปุ๊บหายปั๊บ
    อุปจารฯมองแล้วใหญ่กว่าหน่อยอยู่นานกว่านิดหนึ่ง
    ปฐมฌานเห็นได้นานกว่าปกติ (พอเข้าใจเนาะ)
    ถ้าคนไม่เข้าใจ ก็จะบอกว่า
    เป็นเรื่องปกติทางสายตา

    ถ้าจะให้แนะนำนะ ของเดิมมันมี มันเหมือนพร้อมจะขึ้นมาแล้ว
    แต่ระบบหายใจ ระบบที่จะรับรู้เล่นกับพลังงานภายนอกมันยัง
    เสถียร มันเหมือนท่อที่ขาดเป็นสามท่อน แทนที่มันจะเป็น
    ท่อเส้นเดียว....ให้ไปแก้ด้วย

    การปรับระบบหายใจให้ละเอียด ด้วยการหายใจเข้าและออก
    ทำความรู้สึกรับรู้ที่ปลายจมูก แต่ให้ดันลมเข้าให้ลึกจนท้องพอง
    หายในออกให้ท้องยุบ. แต่ห้ามตามลมหายใจนะครับ...
    ถ้านั่งสมาธิให้ทำตาปกติโน้มลงมาข้างล่าง
    เหมือนตาพระพุทธรูป ทำจนกระทั่งระบบหายใจแบบนี้
    เป็นระบบหายใจปกติในชีวิตประจำวันของเราเอง
    ให้เวลาหน่อยอย่างน้อยก็ ๒ เดือนนะ....

    แล้วจะสามารถย้อนรู้ ทุกๆกิริยาทางนามธรรมต่างๆ
    ที่เคยผ่านมาแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่เข้าใจได้ด้วยตัวเราเอง...

    ปล.ที่เล่าให้ฟังเป็นภาพรวมแบบกว้างๆหยาบๆนะ...
     
  9. Pattarawat1546

    Pattarawat1546 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +4



    ขอพระคุณมากครับ อาการแรกที่ถามเป็นอาการตอนเด็กที่สงสัยมานาน

    เรื่องจุดแสงสีขาวเล็กๆ ส่วนใหญ่จะเห็นได้เฉพาะบริเวณที่มีแสงแดด จะเห็นชัดและนานจนกว่าจะเลิกดู

    อดีตจนปัจจุบันได้ฝึกหลายอย่างไม่ได้มีคนแนะนำ มีอาจารย์เฉพาะวิปัสสนา ดังนั้นสมาธิทางสมถะจึงมั่วมาเลย แต่ก็มีอาการที่สงสัยหลายอย่างมากๆ ที่อยากจะถาม

    งั้นผมรบกวนอีกสักนิดนะครับท่านพี่

    1. หลายๆ ครั้งจิตชอบนับเลข
    มีอยู่ครั้งตอนสิบกว่าขวบโดนพ่อด่า แต่ผมยืนนับเลขได้แค่ 9 มันตัดแว๊บ ตาปิดและไม่ได้ยินอะไรเลยแล้วมันก็ค่อยๆ ออกมาแล้วค่อยๆลืมตาพร้อมได้ยิน มันคืออการอะไรครับ

    2. เคยเล่นกสิณไฟครั้งแรกตอนนั้น(ดูภาพในคอม)
    สักพัก จิตมันเหมือนทวนเข้ามาที่หน้าผากแล้วเหมือนเป็นปล่องเป็นช่องถ้ำแคบๆ สีน้ำตาลเหมือนดิน วิ่งเร็วมากเลี้ยวไปมาขึ้นลง แล้วมาโผล่ในถ้ำมืดมากแต่พอมองเห็นว่ามีหินมีอะไร แล้วเห็นโขดหินสูงมองขึ้นไปเจอฤาษีใส่ชุดลายเสือ ผมตกใจจึงหลุดออกมาเลยหยุดไปเลย

    หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็มีเล่นอีกแต่คราวนี้มองเทียนเล็กๆ ที่ถือในมือมองสักพักเผ็นจุกน้ำเงินเล็กๆ หมุนตรงหว่างคิ้วพอเรามองเขาวิ่งหนีขึ้นด้านบนพอปล่อยก็ลงมาใหม่สักพักแล้วหายแล้วมาใหม่ แล้วเลิกทำไป

    3. มีครั้งนึงเคยบริกรรมนะมะพะธะแล้วเหมือนชอบเห็นตัวเองนั่งแล้วเหมือนว่าภาพตัดอีกทีเราโผล่ไปหน้าห้องแบบบางส่วนของหน้าห้องเป็นผลึกเงาเหลือบสีน้ำเงินม่วงชมพู(เช่นบางส่วนของโต๊ะตัวนั้น)แล้วมันก็ดีดกลับมาที่กาย

    4. นั่งบางครั้งมีแสงสีแดงๆ มาจากทางขวาเป็นกลุ่ม หมุนวนไปมา เปลี้ยนรูปล่างไปเรื่อยๆ

    5. เคยนอนกรรมฐานแล้วเห็นเป็นวงสีเหมือนพระอาทิตย์ตอนจะตกดินคือส้มๆ แสดๆ ชมพูๆ แล้วจางลงแล้วฉายหนังให้ดูเห็นคนสู้กัน

    เบื้องต้นประมาณนี้ก่อนเกรงใจท่านพี่(นี่ขนาดเกรงใจ ^ ^" ) จริงๆ ทำหลายอย่างแต่ทำได้สักพักไม่เกินสัปดาห์ก็เลิก แล้วทำเป็นพักๆ บ้าง แล้วก็หายไปนาน คือไม่จริงจัง
    เพราะด้วยความสงสัยว่าผมควรเล่นกองไหนกันแน่
    และอาการที่เจอคืออะไรบ้าง
    แต่มาเจอผู้รู้เลยอยากทราบ จะได้มีกำลังใจและมีแนวทางต่อไป

    ขอขอบพระคุณมาอีกครั้งครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 สิงหาคม 2017
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขอบพระคุณมากครับ อาการแรกที่ถามเป็นอาการตอนเด็กที่สงสัยมานาน


    เรื่องจุดแสงสีขาวเล็กๆ ส่วนใหญ่จะเห็นได้เฉพาะบริเวณที่มีแสงแดด จะเห็นชัดและนานจนกว่าจะเลิกดู

    Ans เคร แต่ถ้าเห็นเป็นสีมีประมาณ ๒๒ สีนะ


    อดีตจนปัจจุบันได้ฝึกหลายอย่างไม่ได้มีคนแนะนำ มีอาจารย์เฉพาะวิปัสสนา ดังนั้นสมาธิทางสมถะจึงมั่วมาเลย แต่ก็มีอาการที่สงสัยหลายอย่างมากๆ ที่อยากจะถาม


    งั้นผมรบกวนอีกสักนิดนะครับท่านพี่


    1. หลายๆ ครั้งจิตชอบนับเลข

    มีอยู่ครั้งตอนสิบกว่าขวบโดนพ่อด่า แต่ผมยืนนับเลขได้แค่ 9 มันตัดแว๊บ ตาปิดและไม่ได้ยินอะไรเลยแล้วมันก็ค่อยๆ ออกมาแล้วค่อยๆลืมตาพร้อมได้ยิน มันคืออการอะไรครับ

    Ans นับเลขเป็นไปตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตที่มันเคยสะสมมา แต่ตอนนั้น

    จิตมันตัดเข้าไปหลบในโหมดอรูปฌาน ซึ่งมันเป็นสมาธิอย่างหนึ่ง

    จริงๆสังเกตุระยะเวลาช่วงที่ตัดได้ท่าน มันจะไปได้ในเรื่องสติที่มากขึ้นนะ

    สภาวะอื่นๆยังถือว่าไม่มีประโยชน์....


    2. เคยเล่นกสิณไฟครั้งแรกตอนนั้น(ดูภาพในคอม)

    สักพัก จิตมันเหมือนทวนเข้ามาที่หน้าผากแล้วเหมือนเป็นปล่องเป็นช่องถ้ำแคบๆ สีน้ำตาลเหมือนดิน วิ่งเร็วมากเลี้ยวไปมาขึ้นลง แล้วมาโผล่ในถ้ำมืดมากแต่พอมองเห็นว่ามีหินมีอะไร แล้วเห็นโขดหินสูงมองขึ้นไปเจอฤาษีใส่ชุดลายเสือ ผมตกใจจึงหลุดออกมาเลยหยุดไปเลย

    Ans ตรงนี้ทางกิริยาเรียกว่า จิตถูกดูด หรือจิตตามสัมผัสภายในไม่ทัน

    หรือจิตไม่มีกำลังพอต้านสัมผัสภายใน ทั้ง ๓ อย่างนี้แล้วแต่แต่จะเรียก

    ปกติถ้าพอมีกำลังสติกำลังสมาธิสะสม ตัวสติจะคอยตามจิต

    เราจะทันตัวจิตได้เอง



    หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็มีเล่นอีกแต่คราวนี้มองเทียนเล็กๆ ที่ถือในมือมองสักพักเผ็นจุกน้ำเงินเล็กๆ หมุนตรงหว่างคิ้วพอเรามองเขาวิ่งหนีขึ้นด้านบนพอปล่อยก็ลงมาใหม่สักพักแล้วหายแล้วมาใหม่ แล้วเลิกทำไป


    Ans ตรงนี้เป็นนิมิตเริ่มต้นอย่างหนึ่งของกสิณไฟ กิริยาที่เราเหมือนมองแล้วมัน

    ขยับหนีเราได้เป็นเรื่องปกติ. และปกติถ้าจะไปต่อ เราจะตามนิมิตตัวนี้

    แบบว่า มันไปไหน เราดูมันไปเรื่อย ต้องอีกซํกพัก จิตที่มองผ่านนิมิต

    ถึงจะมีกำลังทำให้มันนิ่งๆได้ พอนิ่งได้ มันจะเริ่มมีนิมิตคล้ายๆกันมาหลอก

    ที่เล่าเป็นกิริยาที่จะเจอได้ปกติในระหว่างการฝึก......


    3. มีครั้งนึงเคยบริกรรมนะมะพะธะแล้วเหมือนชอบเห็นตัวเองนั่งแล้วเหมือนว่าภาพตัดอีกทีเราโผล่ไปหน้าห้องแบบบางส่วนของหน้าห้องเป็นผลึกเงาเหลือบสีน้ำเงินม่วงชมพู(เช่นบางส่วนของโต๊ะตัวนั้น)แล้วมันก็ดีดกลับมาที่กาย

    Ans คำภาวนานี้ ในส่วนกิริยาที่เกิดกับเราคือ เป็นการหนุนธาตุ

    ทั้ง ๔ ให้มันรวมกันและแยกกับร่างกายของเรา โดยมีจิตร่วมไ

    และออกไปได้โดยอศัยอากาศธาตุ แต่ในตอนนั้น

    ธาตุ ๔ ที่มันแยกกับกายแล้ว มันยังทิ้งกายไม่ขาด เราเลยรู้สึกว่า

    มันดีดกลับมาที่กาย(ปกติมักจะพิจารณาเพื่อทิ้งร่างกายก่อน

    หรือแบบว่า ให้จิตรู้ว่ากายไม่ใช่เราอะไรทำนองนี้ถึงจะไม่เกิดอาการดีด

    หรือฝึกเดินปัญญาจนตัดเรื่องการยึดติดร่างกายได้บ้างก็จะไม่เป็น

    ส่วนที่ รู้สึกว่าตัดไปโผล่อีกทีเลย เพราะกำลังสติตามจิตไม่ทัน(เรื่องปกติ)



    4. นั่งบางครั้งมีแสงสีแดงๆ มาจากทางขวาเป็นกลุ่ม หมุนวนไปมา เปลี้ยนรูปล่างไปเรื่อยๆ

    Ans มันเห็นสีนี้ได้ตามสภาวะจิตเรา ณ เวลานั้น

    คือช่วงนั้น กระแสตัวจิตมันเป็นลักษณะคล้ายพร้อมใช้งานด้านสัมผัส

    และลักษณะคล้ายใช้งานด้านพลังงานร่วมด้วย

    ย้ำว่า คล้ายๆ มันเลยดึงพวกจิตลักษณะนั้นเข้ามาทำให้เราเห็น

    พอนึกออกไหม



    5. เคยนอนกรรมฐานแล้วเห็นเป็นวงสีเหมือนพระอาทิตย์ตอนจะตกดินคือส้มๆ แสดๆ ชมพูๆ แล้วจางลงแล้วฉายหนังให้ดูเห็นคนสู้กัน

    Ans เข้าใจว่าจิตทำงานได้เมื่อมีแสงนำหรือเส้นสายนำเนาะ

    จิตตอนนั้นมันก็คล้ายพร้อมใช้งานทางด้านสัมผัส

    เพียงแต่ ณ เวลานั้น ตาที่สามมันทำงานได้พอดี

    ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเห็นเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต

    แต่ปกติทั่วไป มักจะเห็นอนาคตก่อน

    หรือของน้องเห็นอะไรตรงนี้ว่าเป็นอดีตหรืออนาคต ช่วยบอกด้วยนะ


    เบื้องต้นประมาณนี้ก่อนเกรงใจท่านพี่(นี่ขนาดเกรงใจ ^ ^" ) จริงๆ ทำหลายอย่างแต่ทำได้สักพักไม่เกินสัปดาห์ก็เลิก แล้วทำเป็นพักๆ บ้าง แล้วก็หายไปนาน คือไม่จริงจัง

    เพราะด้วยความสงสัยว่าผมควรเล่นกองไหนกันแน่

    และอาการที่เจอคืออะไรบ้าง

    แต่มาเจอผู้รู้เลยอยากทราบ จะได้มีกำลังใจและมีแนวทางต่อไป


    ขอขอบพระคุณมาอีกครั้งครับ



    นี่ขนาดเกรงใจ ๕๕๕

    ไม่คิดว่า จะรู้ในเรื่องพวกนี้เองบ้างหรือ

    ความจริง องค์ความรู้แบบนี้

    ถึงจุดหนึ่งมันจะรู้เหมือนๆกันนั่นหละ

    ต่างๆที่มุมและความละเอียดเฉยๆ...
    อย่าลืมตอบที่พี่ถามด้วยเน้อ
    ปล.พี่ไม่ใช่ผู้รู้จร้า ที่พูดแค่หยาบๆ
    ใครก็สามารถรู้ได้..
     
  11. Pattarawat1546

    Pattarawat1546 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +4


    เรื่องที่เล่าแล้วเห็นน่าจะเรื่องที่ผ่านมา
    ตอนแรกเห็นเป็นลานกว้างบนภูเขาและมีภูเขาด้านหลัง เขียวขจี แล้วเห็นคนจีนแต่งตัวเหมือนจอมยุทธ เสื้อสีครามกางเกงขาว มัดจุกด้วยผ้าขาว
    แล้วแล้วตัดภาพเหมือนเราเป็นคนนั้นในลักษณะกำลังแทงอีกคน แล้วภาพมาเป็นมุมกว้างแบบเห็นคนนั้นแทงหน้าอกอีกคนนึง แล้วตัดมาที่ภาพหลวงจีนใส่ชุดสีเทา(ความรู้สึกเหมือนเรา) เลยผูกเรื่องว่าเหมือนแก้แค้นเสร็จแล้วมาบวชมั๊งครับ)

    แต่ตอนเด็กๆ ไล่จนโต เคยเห็นแบบไม่ได้ทำสมาธิ เหมือนเคลิ้มๆ จะหลับแล้วเห็นภาพจากระหว่างหว่างคิ้วตรงหน้าผาก พอเวลาผ่านมา ก็เห็นภาพจริงของที่เคยเห็น

    ส่วนตอนนั่งเคยเห็นใกล่สุดคือนั่งในห้องแล้วเห็นภาพโต๊ะหินอ่อน
    พอนั่งเสร็จลงมานั่งเล่น สายตาไปเห็นมุมมองนั้นบนโต๊ะแล้วเลยเห็นชัดเจนเลยว่ามันอันนั้นนี่หน่า

    แต่เมื่อปีที่แล้วเคยไปฝึกตาทิพย์อยู่ครับ(ขออนุญาตไม่บอกสถานที่)
    คือ ท่านให้ปฏิบัติสามครั้งต่อวันโดยเดินแล้วนั่งให้อัดคำบริกรรม ก็มีอาการหัวเราะออกมาดังมากๆๆ จนคอแทบพัง แล้วคืนนั้นก็ให้ไปนั่งบนเขากับศพแล้วอัดคำบริกรรมเหมือนเดิม ตั้งแต่สองทุ่มถึงตีห้า ซึ่งตรงกับวันโกนและเป็นคืนเข้าวันพระใหญ๋คือวันมาฆบูชาพอดีเลย แปลกดีคืนนั้นทั้งคืนหยุดคำบริกรรมเมื่อไหร่รู้สึกจะมีคนเดินข้างขวาตลอด และบางทีก็เหมือนวิ่งชนกระต๊อบดังสนั่นตลอด คืนนั้นนั่งทั้งคืนขาแทบพัง (พี่ที่ไปด้วยกันอีกสองคนหนักกว่าขยับตัวเป็นโดนสะกิดหรือแค่เอนหลังก็โดนดันโดนสะกิด) แต่ระหว่างนั้นเหมือนมีแสงไฟฉายสาดไปมาผ่านตาเป็นระยะๆ พอหลังจากนั้นไปอีกท่านให้ปฏิบัติเก้าวัน แล้วคืนที่เก้าไปนั่งหน้าถ้ำ(เพราะท่านบอกเมื่อก่อนเข้าได้แต่มีเหตุการณ์ถ้ำจึงปิดเลยเข้าไม่ได้ให้นั่งหน้าถ้ำ) แต่ก่อนหน้าที่จะมาถ้ำมีพาไปรับดาว(ท่านเรียกอย่างนั้น)ไปแถวเจดีย์ร้าง แล้วนั่งบริกรรม มีอาการคอถูกกดชงและหมุนซ้ายขวาแรงมากคอแทบหลุด และก็หัวเราะ(อีกแล้ว)แต่คราวนี้หัวเราะเสียงหล่อเบาๆ สลับหมุนหัว พอไปนั่งถ้ำก็มีคำบริกรรมอีกแบบผมจำไม่ได้ แล้วก็มีอาการถูกกดคอหมุนคอทั้งคืนโดยเป็นระยะ)จนเช้า พอลงมาก็สอนตาทิพย์ คือปิดตาแล้วให้ทายสี และระหว่างฝึกเหมือนได้ยินฟ้าร้องดังมากทั้งๆ ที่ก่อนฝึกแดดเปรี้ยงจึงถามอ.ที่สอนตอนนั้นว่า(ยังปิดตาอยู่)ฝนจะตกเหรอครับ อ.เลยบอกแดดเปรี้ยงทำไมคิดว่าฝนจะตกเลยบอกได้ยินเสียง อ.ก็ไม่ได้พูดอะไร
    หลังจากนั้นกลับมาก็ไม่ได้ฝึกต่อ
    แต่พอกลับมาบางทีนึกอะไรหรือมีคนถามแบบไม่ตั้งตัวตอบได้เช่น มีคนรู้จักคุยโทรศัพท์กับพี่ที่ผมนั่งกับเขา(พี่คนนี้เขาก็มีอะไรบางอย่างมั๊ง)แล้วพี่ที่ผมอยู่ด้วยถามผมว่าพี่ที่เขาอยู่ในโทรศัพท์เจออะไรเขาบอกผมรู้ให้ถาม ผมดันตอบถูกโดยเห็นภาพแว๊บมา หลังจากนั้นก็มีเขาคุยกันดูรูปแล้วผมเหมือนอยากรู้ด้วย ภาพมาในหัวเลยถาม ช ลักษณะนี้ผมทรงนี่ใส่เสื้อลายนี้ใข่ไหม ดันถูกอีก
    แต่การเห็นจะเป็นภาพแว๊บมาไม่เหมือนด้านบน

    ผมกลัวจะติดพวกนี้เลยไม่ฝึกต่อเพราะเอาแค่รู้ว่ามีอะไรยังไง และ กลัว มานะ อัตตา(ถึงจริงๆ จะอยากมีของเล่นพวกนี้)

    สงสัยอย่างเคยอ่านหนังสือเล่มนึงไม่ขอเอ่ย อ. ท่านั้นบอกตาที่สามเป็นตามารมาแฝง จริงเท็จประการใด



    และชอบมีอาการหูดีแบบว่า เช่น อยู่บ้านชั้นล่างพี่สาวอยู่ข้างบนกำลังบนเรากับพ่อ เราเลยตะโกนไปว่าได้ยินนะโว๊ยยยยย (ซึ่งเราคิดว่าเขาอยู่บันได) ก็แปลกดีและมีอาการนี้บ่อย จนพี่สาวชอบบอกว่ามึงนี่พอด่าหรือนินทานี่ได้ยินเลยนะ และมีครั้งนึงจะไปตามเพื่อนแค่นึกถึงเหมือนได้ยินเสียงว่าอ่อไปกับผม ซึ่งผมคิดว่าเขาอยู่หน้าตึก แต่พอลงมาเจอพี่ที่สนิทกันบอกเมื่อกี๊ไปหาคนนั้นมาถามว่าไปกับใครผมพูดสวนเลยว่าอ๋อมันบอกว่าไปกับผม แล้วที่อึ้งคือเขายังไม่ได้มา เขาอยู่ห่างหลายร้อยเมตรแบบว่าพี่เขาบอกกูเพิ่งเดินแยกมันมาเมื่อกี๊

    บางครั้งก็ชอบได้ยินเสียงเหมือนคนพูดด้วยชัดมากมาแบบแว๊บๆ ประจำเลย จนคิดว่าตัวเองหลอนไปเอง
    แต่ที่ชัดสุดคือจะไปเอาแว่นที่ตัดแว่นใหม่เดินสวนฝรั่ง ผมเห็นมันมองหน้าเลยมองแล้วผมได้ยินคำว่า stupid glasses ซึ่งแว่นเก่าผมอันนั้นทรง nerd ผมเลยเห้ยๆๆ ไม่ใช่หล่ะม๊างคราวนี้คงหลอนหนัก (ในใจกลัวโดนจิตปรุงแต่งหลอกมากๆ)


    เคยมีครั้งนึงนั่งสมาธิแล้วลุกเดินไปห้องน้ำขากลับเข้าห้องกำลังเปิดประตูเข้าห้อง(ปิดไฟมืดหมด)เห็นแสงสีขาวกลมใหญ่สว่างมากออกมาจากลิ้นปี่คือมันอยู่ในตัวรัศมีโค้งออกมาแล้วพอรู้ว่าอเมซซิ่งมันก็หายไป (คืนนั้นฝึกวิปัสสนาอยู่) เพราะคอยตามดูจิตอย่างเดียว

    พวกนี้มันคืออะไรครับ
    ผมคิดไปเองไหม
    ผมไม่มีเป้าหมายและคนชี้นำเลย(อ.สายนั้นที่เล่าผมรู้สึกไม่อยากไปแล้ว)

    ผมเห็นว่าผมมันมั่วหลายอย่าง จริงๆ มีอีกแต่
    เกรงใจท่านพี่(อีกแล้วเหรอ ฮ่าๆๆๆๆ)
    ผมไม่รู้จะจับจะเริ่มจริงจังตัวไหนและวางเป้าหมายอย่างไร
    ด้วยเป็นคนโทสะจริต(แต่ฝึกวิปัสสนาจนมันเบาลงไปมากๆ) เป็นคนไม่ค่อยมีระเบียบแบบแผน ทำอะไรลุย แต่ชอบแป๊บๆ เบื่อไม่เอา แต่ช่วงนี้อยากจะกลับมาเอาจริง เพราะเจริญสติในชีวิตประจำวันรวดเดียวมันเริ่มเบื่อๆ

    ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาด้วยครับท่านพี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2017
  12. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    เพราะไปหลงจับเอาอาการต่างๆนาๆที่เกิดขึ้น
    ปัญหาและคำถามจึงมีขึ้น ปรากฏขึ้น อย่างมากมาย
    และดูเหมือนจะไม่จบสิ้น

    รู้ ครับ อะไรเกิดขึ้นก็แต่รู้ อย่าไปจับ อย่าไปยึด
    มันเป็นเพียงอาการแส่ส่ายของจิตเท่านั้น

    เข้าใจคำว่ารู้เฉยๆ หรือ รู้ซือๆ ของหลวงพ่อเทียน
    จะเข้าใจคำว่าปล่อยวางครับ

    อย่าไปสนใจมันมากครับ
    มันก็แค่ภพที่ปรากฏขึ้นอยู่ภายใน

    ถ้ามีสติจะรู้อยู่กับปัจจุบัน ไม่หลงภพนอก และ ภพใน ใหญ่น้อยต่างๆ
    จะก้าวหน้าได้เร็วขึ้นและความสงสัยต่างๆจะคลายไปเองครับ

    นี้แหละที่เรียกว่า อนัตตภาวะ
     
  13. Pattarawat1546

    Pattarawat1546 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +4

    ขอบคุณครับท่านพี่
    และที่สับสนคือผมจะทำกรรมฐานกองไหนดี ที่เหมาะและเห็นผลเร็ว(ธรรมดาที่คาดหวัง) เพราะมันมั่วตั้วมากเลยครับ
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขอบใจเด้อสำหรับเรื่องที่พี่ถาม.....
    จะบอกอะไรอย่างนะ ตาดีแค่ไหน หูก็ดีเท่านั้น
    เพราะความสามารถทางตากับหู มันจะมาคู่กัน
    แต่หูนั้นจะใช้งานได้ยากกว่าตา เพราะหูกว่าจะใช้
    งานได้ ต้องประมาณว่า ได้ยินเสียงนามธรรมคุยกันปกติ
    เหมือนเราได้ยินคนคุยกันทั่วไป ทางหูนะ แม้ว่าจะได้ยิน
    เสียงสัตว์เอาร่างกายถูกกันและแปลเป็นภาษาเราได้
    หรือได้ยินเสียงใกล้ไกลแค่ไหน หรือได้ยินเสียงปลีกยุง
    ดังเท่าใบพัดเครื่องบิน ก็ยังใช้งานหูไม่ได้ ถือว่าเป็นกิริยา
    ระหว่างทางเฉยๆ....

    ส่วนเสียงฝ้าฟ้าดังกึกก้องกัมปนาท บอกว่า ตอนนั้นนิสัย
    เราอย่างหนึ่งมันผ่านเกณฑ์(หมายถึงแก้ปัญหา
    นิสัยนั้นด้วยแนวทางที่ดี)ถ้านิสัยเราดีขึ้นเรื่อยๆ
    ก็จะได้ยินอีกนั่นหละ

    ส่วนการเห็นภาพ การรู้และเข้าใจ อะไรได้พวกนี้
    เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ธรรมดา......
    ส่วนตัวเรียกว่า สภาวะวิถีญาน มันเปิด เปิดในที่นี้
    ก็คือ ไม่จำเป็นว่า จะต้องเคยฝึกมา พูดๆง่ายๆ
    ไม่ฝึกก็เกิดได้ หรือฝึกก็เกิดได้นั่นหละ....

    ส่วนการที่เราไปฝึกอะไรมาก็ตาม แต่ว่าไม่สามารถ
    ควบคุมร่างกายตัวเองได้ มันฟ้องว่า ภูมิต้านทาน
    ทางจิตเรายังน้อยอยู่นั่นเอง และจิตยังไม่มีกำลังจิตพอ
    ไม่มีกำลังสติทางธรรมพอในการที่จะต้านทาน
    พลังงานภายนอกต่างๆเหล่านั้น
    ผลที่เห็นได้ง่ายก็คือ ร่างกายเราที่มันเป็นไปเองตาม
    ลักษณะของพลังงานภายนอกที่เข้ามาแหย่ ซึ่งจะ
    แตกต่างกันออกไป ส่วนตัวมองว่า ไปฝึกแบบนี้
    ไม่ว่าใคร ไม่ควรไม่ยุ่งเกี่ยว ควรฝึกเจริญสติให้เกิดมี
    จนควบคุมจิตได้ และมีกำลังสมาธิสะสมให้มากพอ
    และควรมีการสังเกตุเพิ่มเติม ว่า เหตุเกิดเพราะอะไร
    เหตุนั้นดับไปตอนไหน เหตุนั้นเกิดเวลาไหน
    เหตุนั้นดับเพราะอะไรเพิ่มเติม มันถึงจะไม่แป๊ก
    ไม่เบื่อในเรื่องการเจริญสติ และจะไปต่อทางด้านของ
    วิปัสสนาญานได้ของมันเอง เพื่อให้จิตคลายสิ่งๆต่างๆ
    ที่มายึดเกาะได้จริงๆ.....
    ปัญญาทางธรรม มันช่วยตัดนะ แต่มันไม่ได้ช่วยให้จิตคลายได้
    ถ้าจิตมันยังไม่ได้รู้เห็นตามความจริงด้วยความเป็นกลาง
    จนจิตเห็นว่าเรื่องนี้ มันส่งผลให้จิตทุกข์ได้อย่างไร...
    ดังนั้นถ้าสังเกตุได้ แม้ตัดได้ แต่ว่าผ่านไปในอนาคตเรื่อง
    เดิมๆมันก็จะขึ้นมารบกวนจิตใจเราได้อีกเหมือนเดิม

    ดวงขาวๆที่ออกตรงลิ้นปี่ มันคือจิตนั่นเอง สีขาวคือบอกสื่อ
    ไปในทางธรรม เพียงแต่ว่า ปกติแล้ว ถ้าเราเห็นอย่างนั้น
    เราจะไม่สนใจมัน และจะต้องคอยดับมัน ดับมันเรื่อยๆ
    แล้วก็จะเห็น เป็นตอนที่มันจะรวมตัวเป็นก้อนสีขาว
    ต่อมาจะเห็นเป็นเกลียวๆคล้ายก้นหอย หรือพายุ
    หลังจากนั้น ก็จะเห็นมันเริ่มผุดขึ้นมาได้
    และหลังจากนี้ ถ้าเห็นก่อนตอนมันจะผุด
    จิตกับความคิดตรงนี้ มันจะแยกขาดออกจากกันเลย
    ที่เราเรียกว่า การแยกรูปแยกนามนั่นหละ

    แล้วความเห็นชอบจะเริ่มเปิดทางให้
    เราจะสามารถมาวิปัสสนาเพื่อลดละคลาย
    กิเลสต่อได้เอง......ซึ่งมันถึงจะไม่เป็นวิปัสสนึก....
    เพราะจิตคลายจากความคิดได้แล้วนั่นเอง....



    คือ งี้นะ ถ้าเรานักไปทางวิปัสสนา สิ่งที่เราได้ก็คือ
    เราจะเห็นผู้รู้ นึกภาพตามนะ ผู้รู้คือตัวที่ส่งออกจากตัวจิตเรา
    ไปกระทบอะไรก็ตามให้เราเห็นได้ แต่มันจะเห็น จะรู้เฉพาะ
    ในสิ่งที่มันเห็น แต่มันจะยังไม่รู้อะไร(เรื่องปกติ)

    ยกตัวอย่างเทียบกิริยาของน้องนะ
    เหมือนน้องเห็น กลมๆใหญ่ๆสีขาวสว่างมากนั้นหละ
    ที่น้องเห็นได้ เพราะมันมีตัวผู้รู้ ที่ส่งออกจากจิตน้อง
    ไปกระทบสิ่งนี้ น้องเลยเห็นอย่างนั้น
    แต่น้องจะยังไม่เห็นอย่างหนึ่ง ก็คือ ตัวที่เรียกว่า ผู้ดู
    ซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติ ถ้ามาทางวิปัสสนาจะไม่เห็นกัน

    น้องนึกภาพตามนะ ผู้ดูเหมือนฝ่ามือ ตัวจิตอยู่กลางฝ่ามือ
    ส่องแสงไปกระทบอะไรก็ตาม
    ในที่นี้ ทำให้น้องเห็น ดวงกลมๆขาวๆสว่างๆ
    แต่ตอนนั้น น้องจะเข้าใจว่า
    ผู้ดูกับจิตมันคือตัวเดียวกัน(เรื่องปกตินะ)

    ถ้าพูดง่ายๆว่า กระบวณการทางด้านนามธรรมตอนนั้น
    แท้จริงแล้ว มันมีอยู่ ๓ ส่วน. คือ ๑.ผู้ดู(คล้ายฝ่ามือที่อยู่ด้านหลังจิต) ๒. จิต(ตัวกลมตอนนั้น) ๓.ผู้รู้(สิ่งที่ส่งจากจิตไปกระทบ)

    ซึ่งการจะเห็นผู้ดูได้ มาจากสมถะ มาจากการเจริญสติ
    ให้ต่อเนื่องมากๆ และรู้จักควบคุมจิตไม่ให้ไปไหน
    เรียกว่า มันจะไปไหน สติตามมันไปตลอด

    แล้วเราถึงจะเห็นตัว ผู้ดูนี่ได้ ด้วยตัวเราเองนั่นหละ...
    ถ้าเห็น ๓ ส่วนนี้ได้ เราก็จะมาเริ่มต่อในระดับปัญญาญานได้
    เด่วค่อยว่ากันอีกทีภายหลัง

    ท้ายนี้ ถ้าจะให้แนะนำ
    เราควรสร้างภูมิต้านทานทางจิตให้มากกว่านี้ก่อน
    ด้วยการสร้างสติทางธรรมให้ต่อเนื่อง
    สร้างกำลังสมาธิสะสม
    และกำลังจิตตรงนี้สำคัญมาก
    ด้วยกรรมฐานอะไรก็ได้ ที่ขึ้นด้วยภาพ
    จนถึงขั้นที่ปั่นปฏิภาคนิมิตได้ ในระดับกำลัง
    สมาธิระดับสูง(ถ้าทำได้ ลืมตาปกติจะเล่นกับพลังงานได้
    เป็นเรื่องธรรมดา)
    จะภาพพระหรือกสิณก็ได้ ถ้ากสิณ ให้ขึ้น ด้วยน้ำ ลม
    แต่ดินไม่ต้องเพราะตรงนี้เราอ่อน และไม่ต้องขึ้นด้วยไฟ
    เพราะมันจะมีปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อจิต และจำทำให้เรา
    ห้าวแป้ง ขึ้นด้วยน้ำหรือ ลม ก็ได้ พอทำได้ มันจะสามารถ
    นำไปรวมกับไฟได้ เวลาใช้งานถึงจะไม่ส่งผลต่อ
    พฤติกรรมทางจิต ในทางห้าวเป้ง......


    ระหว่างนี้ ก็ให้อ่านนัยยะตรงนี้ไว้นะ....

    '' ถ้ามันจะเกิด ถ้ามันจะรู้
    ก็ปล่อยให้มันเกิดไป ปล่อยให้มันรู้ไป
    และไม่ต้องไปอะไรๆกับมัน เกิดแล้วรู้แล้ว
    ก็แล้วไป ทิ้งๆมันไปเลย
    และถ้ามันไม่เกิด ไม่รู้ ก็ไม่ต้องไม่พยายาม
    ทำให้มันเกิดมันรู้ในตอนนั้นให้ช่างมัน''

    ก็สร้างภูมิต้านทานให้ดี
    เพื่อรองรับ สิ่งที่มันจะเกิดในอนาคต
    จริงๆแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดกับเรา
    มันก็จะกลับคือสู่ เนื้อหาเดิมแท้ของจิตเราเองนั่นหละ

    เพียงแต่ว่า หากเราไม่รู้จักแล้วๆไปกับมัน
    ไม่รู้จักทิ้งมันแล้ว สิ่งๆต่างๆเหล่านั้น
    มันจะเป็นเชื้อให้เรา ต้องไปตาม จริต อนุสัย วิบาก
    เป็นการก่อภพก่อชาติได้อย่างที่เราคาดไม่ถึงนั่นเอง
    เรียกได้ว่า มันยังมีจิตเป็นตัวนำได้อยู่ เมื่อมีจิตนำ
    มันก็ดึงสิ่งต่างๆเข้ามาได้ เมื่อไม่ทิ้ง มันก็ส่งผลต่อร่างกาย

    แล้วต่อไป สิ่งที่เกิด มันก็จะเกิดแต่พอดีๆ
    เกิดแบบธรรมชาติของมันเองได้ แบบอัตโนมัติของมันเองได้
    เกิดแล้ว ก็ปล่อยคืนกลับสู่ธรรมชาติของมันเองได้
    ถึงจะทำให้จิต คลายตัวเองได้ ของมันเองในเวลาปกติ
    มันถึงจะไม่เป็นการสร้างวิบากทางจิตที่ส่งผลต่อกาย
    เมื่อเราไม่เริ่มด้วยจิต มันก็ไม่มีอะไรมาผูก มาเชื่อม
    จนเกิดเป็นวิบากได้นั่นเอง

    แต่ต้องค่อยๆเป็นค่อยไปนะที่เล่าให้ฟังมา....

    ๕๕๕๕...พิมพ์จนเหนื่อย..
     
  15. Pattarawat1546

    Pattarawat1546 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +4

    ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาด้วยครับท่านพี่
    เรื่องวิปัสสนาเคยเห็นสภาวะครั้งแรกแล้วภาพมาเต็มเลยว่าอาการเฉยๆ แบบนี้เคยมีหลายครี้งแต่เด็ก แต่ตอนนั้นไม่รู้จัก

    ครั้งแรกหลังกระบวนการจิตอุทานว่า อ๋อเป็นงี้เองโง่ตั้งนาน

    ตอนนั้นโกรธมากแล้วลุกเดิน(แต่ดูสภาวะอยู่)
    แล้วเห็นความโกรธหายไปต่อหน้าต่อตาราวกับว่าไม่อะไรเลย แล้วกลายเป็นปีติที่สุดยอดที่เคยเจอ แล้วขาด กลายเป็น สงบนิ่งสว่างมากมาก แล้วขาด กลายเป็นความเฉยแบบเรียบๆ แล้วขาด แล้วเหมือนวูบไปแป๊บ แล้วก็กลับมาปรกติ แล้วจิตก็อุทาน เหตุการณ์นี้ ไวมากแบบไม่ทันจะก้าวขา

    และเคยมีครั้งนึงมาเข้าใจมุมทุกขัง คือ เจอปีติ กับ การหายใจ และความสุขเป็นทุกข์ คือ มันเห็นด้วยความรู้สึกว่า อาการเหล่านี้ถูกบีบอัด และค่อยๆ สลายฝ่อลงเล็กลงเรื่อยๆ จนหายไป

    และอื่นๆ

    นอกเรื่องกระทู้มากไป

    สรุปคือ ผมควรทำสมถะโดยใช้ภาพ กสิณควรเริ่มจากน้ำหรือลม (จะได้เลิกเล่นไฟช่วงนี้ดันเล่นอยู่)

    ขออนุโมทาอีกครั้งครับท่านพี่
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ของน้อง Pattarawat ไม่มีอะไรหรอก

    ควรสร้างภูมิต้านทานทางจิตเอาไว้ก่อนเป็นทุน

    พอออกนอกบ้าน จะได้ปลอดภัยทั้งกายและจิต

    และอีกอย่าง เราก็ไม่ได้หลงตัวเองอะไรอยู่แล้ว

    ของน้อง กสิณ น้ำ ไฟ ลม มันมีพอๆกันนั่นหละ

    แต่ว่าดินนี่จะอ่อนที่สุด เพียงแต่ไม่อยากให้ขึ้นด้วยไฟ

    เพราะว่า ในระดับใช้งานได้ มันค่อนข้างมีผลเสีย

    ต่อพฤติกรรมทางจิตที่จะส่งออกทางกายได้...

    จริงๆภาพพระก็ได้ แต่ให้ทิ้งแล้วไปเล่นทางอรูปฌานเอา

    ถึงจะมีประโยชน์ที่จะมาหนุนการใช้งานในอนาคตได้


    พอฝึกได้แล้วและ

    จิตมีกำลังจิตแล้ว

    ก็ให้ใช้งานได้ด้วยกำลังจิตไปซักก่อนซักพัก

    แต่ให้จำหลักๆเอาไว้ว่า ใช้แล้วก็แล้วไป

    อย่าไปคาด ไปหวัง หรือไปตามผลใดๆทั้งสิ้น

    ให้ทิ้งๆไปเลย หลังจากใช้งานแล้ว....


    บวกกับควบวิปัสสนาไปด้วย

    เด่วทุกนามธรรม ทุกกิริยาที่เราเคยเจอ เคยผ่านมา

    ในอดีตเราจะเข้าใจได้เองว่ามันคืออะไร

    และจะทำให้จิตเรามันไม่ไปยึด กับนามธรรม

    ต่างๆเหล่านี้ด้วย.....


    ถ้าสงสัยเรื่องกสิณ เข้าไปตามอ่านใน กระทู้

    กสิณอะไรฝึกง่ายสุดได้


    แต่ส่วนตัวจะแนะว่า ยังไม่ต้องอ่านและไม่ต้องคิดอะไรมาก

    ฝึกจนกระทั่ง ปั่นปฏิภาคนิมิต ในกำลังระดับสูงให้ได้ก่อน

    ในระหว่าง มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมัน

    ย้ำว่า ไม่ว่าจะเจอ จะพบ จะประสบ จะเกิดอะไรก็ตาม ให้ไม่ต้อง

    ไปสนใจ และไปสงสัยอยากรู้อะไรทุกๆกรณี มันถึงจะไปได้เร็ว

    ปล. ประมาณนี้หละ ไม่มีอะไรหรอก
     
  17. Pattarawat1546

    Pattarawat1546 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +4

    ขออนุโมทนาครับท่านพี่
     
  18. Pattarawat1546

    Pattarawat1546 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +4

    เจดีย์ทองคืออะไรครับท่านพี่
     
  19. ผมชื่อเอก

    ผมชื่อเอก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +3
    ถ้าเห็น สีม่วงไม่อมอะไรละคับ (ตอนนั่งไม่ได้นึกถึงสีม่วงเลย)
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    สีมันสามารถมีได้ ๒๒ สี
    มันขึ้นอยู่กับกับสภาวะจิตเรา ณ
    เวลานั้นๆ ที่สำคัญคือมันเปลี่ยนแปลง
    ได้เสมอ ดังนั้นจึงไม่ควรสนใจ
    เพราะมันเป็นเหตุที่ทำให้ยัง
    เวียนว่ายตายเกิดได้อยู่

    ถ้าสีออกม่วง หรือน้ำเงิน แต่ไร้รูปร่าง
    ลอยไปมา พวกนี้คือความคิดในอดีตเรา
    ถ้าสีขาว ไร้รูปร่างแต่เอาจิตไปจับ
    แล้วไหลได้ คือ ความคิดเราเอง
    ทั้งสองแบบนี้ให้เลิกสนใจไปเลย
    ถ้าคล้ายวุ้นใส ลอยไปลอยมา
    คือสายตากับระบบเลือดไปเลี้ยง
    สมองพร่องชั่วคราวให้พบหมอ


    ทั่วไปสีจะมาเป็นวงกลม เท่าหัวเข็มหมุด
    หรือหัวไม้ขีด เวลามองจะหาย
    คือดวงจิต(จริงๆไม่หายแต่พอเราไปมอง
    จิตเลยหลุดจากอารมณ์ที่เห็นได้)
    ทั่วไป สีม่วง เด่นกำลังจิต
    น้ำเงินเด่นสมาธิ
    เขียวรักษาโรค แดงฤทธิ์
    เทานิสัยไม่ดี ฟ้ามีสมบัติ
    เหลือง(ทอง)รักโรคแบบพิเศษ
    ขาวมาทางธรรม มาคือไม่ยึดติด
    ทั้งนี้ต้องดูความเข้มด้วย

    ถ้ามาดวงใหญ่จะมีแรงดึงดูดร่วมด้วย
    ถ้าสีขาว ไร้รูปร่าง มาแบบเบาๆ
    คือระดับผู้โปรด. ฯลฯ

    เยอะแยะเรื่องแบบนี้
    ไม่ควรยึดเลย อยากรู้เอง
    ให้เน้นฝึกเจริญสติให้มากๆ
    จะรู้ได้อัตโนมัติจองเราเอง
    ที่สำคัญคือจะไม่ยึด

    อย่าลืมว่า สีคือสิ่งที่จิตเรามี เราสะสม
    แค่มันคือเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้เรา
    ไม่พ้นครับ และมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอด
    และผสมๆปนๆกันได้หมด
    จึงยึดไม่ได้เลยครับ

    แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...