เรื่องเด่น แสงแห่งปัญญา มีอานุภาพยิ่งใหญ่

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 23 มกราคม 2006.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    [​IMG]

    ความคิดย่อมพ่ายแพ้แก่อำนาจของปัญญา
    ปัญญาควบคุมความคิดได้ ความคิดย่อมพ่ายแพ้แก่อำนาจของปัญญา ดังนั้นผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมความคิดมิให้ก่อให้เกิดความทุกข์ได้ นั่นคือผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามรถพาใจหลีกพ้นความเศร้าหมองของกิเลสได้ ผู้ไม่มีปัญญาหาทำได้ไม่


    ความทุกข์ทั้งหลายหลีกไกลด้วยปัญญา
    ปัญญามีอำนาจเหนือความคิด ก็คือปัญญาที่มีอำนาจเหนือกิเลสนั่นเอง เพราะเมื่อปัญญาควบคุมความคิดได้ ความคิดก็จะไม่ปรุงแต่งไปกวนกิเลสที่มีอยู่เต็มโลก ให้โลดแล่นเข้าประชิดติดใจ จึงเป็นการควบคุมกิเลสได้พร้อมกับควบคุมความคิด

    ความเกิดเป็นทุกข์ เพราะความเกิดนำมาซึ่งความเกิด ความแก่ ความตาย ความพรัดพรากจากของรักของชอบใจและความไม่ประจวบด้วยสิ่งที่ปรารถนาทั้งปวง

    ความทุกข์เหล่านี้หนีไม่พ้น เพราะเป็นผลตามมาของ ความเกิดอย่างแน่นอน ความทุกข์ทางกาย หนีพ้นได้ด้วยการไม่เกิดเท่านั้น ส่วนความทุกข์ทางใจ หนีได้ด้วยความคิด


    อนุภาพแห่งแสงปัญญา
    สติต้องรู้ก่อนว่า กิเลสคือโลภะ หรือราคะ โทสะ โมหะ ตัวใดกำลังเข้ามาประชิดติดใจ เมื่อมีสติรู้ก็ให้ใช้ “ปัญญาวุธ” คือใช้ปัญญาเป็นอาวุธ ด้วยความคิดง่ายๆ ว่า กิเลสเป็นความเศร้าหมอง

    กิเลสไม่ว่าความโลภ ความโกรธ ความหลง นำความมืดมัวเศร้าหมองให้เกิดแก่จิตใจ ยังให้เป็นทุกข์เป็นร้อนไปร้อยแปดประการ

    เมื่อปรารถนาความไม่ทุกข์ ต้องไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ต้องไม่โกรธ ต้องไม่หลง ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเสมอด้วยความไม่สบายใจ ไม่มีอะไรเลยที่มีค่าเสมอกับจิตใจ

    สมบัติทั้งปวงที่เกิดแต่ความโลภ ก็มีค่าไม่คุ้มกับความเสียหายที่เกิดแก่จิตใจ จึงควรรักษาใจไม่ให้เสียหาย ไม่ให้เศร้าหมอง ด้วยความบดบังของกิเลส

    ความคิดอันประกอบด้วยปัญญา
    ความคิดอันประกอบด้วยปัญญา สามารถหยุดยั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง มิให้เคลื่อนตัวห้อมล้อมจิตใจได้จริง เช่นเมื่อเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ว่าไม่ได้รับความความรักความสนใจจากคนนั้นคนนี้ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจะสิ้นสุดลงได้ ถ้าจะคิดได้ด้วยปัญญา


    ความไกลกิเลสได้ พาให้ไกลทุกข์ได้
    ชีวิตนี้ของทุกคนน้อยนัก น้อยจริงๆ และวาระสุดท้ายจะมาถึงวินาทีใดวินาทีหนึ่งหารู้ไม่ จึงไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง คิดให้ไกลกิเลสให้ได้จริงๆ เถิด เพราะความไกลกิเลสเท่านั้นที่จะพาให้ไกลทุกข์ได้

    ความคิดนั้นแก้กิเลสได้ ดับกิเลสได้ คือทำที่ร้อนให้เย็นได้ ความสำคัญอยู่ที่ต้องคิดให้เป็น คิดให้ถูกเรื่อง ถูกจริตนิสัยของตน ความสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ต้องมีความจริงจังที่จะดับความร้อนในใจตน

    prac_example.jpg
    prac_example2.jpg prac_example3.jpg


    แสงส่องใจ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๗
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2017
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ...........นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา.......แสงสว่างเสมอด้วยปัญญา ไม่มี

    ......ราโค โทโส มโท โมโห ยตฺถ ปญฺญา น คาธติ........ราคะ โทสะ ความมัวเมาและโมหะ เข้าที่ไหน ปัญญาย่อมเข้าไม่ถึงที่นั้น

    ...ปญฺญาสหิโต นโร อิธ ทุกฺเข สุขานิ วินฺทติ.....คนมีปัญญา ถึงแม้ตกทุกข์ ก็ยังหาสุขพบ[/color)

    อนฺโธ ยถา โชติมธฺฏฺฐเหยฺย..........ขาดตาปัญญาเสียแล้ว ก็เหมือนคนตาบอด เหยียบลงไปได้ แม้กระทั่งไฟที่ส่องทาง

    ปโรสหสฺสมฺปิ สมาคตานํ
    กนฺเทยฺยุ เต วสฺสสตํ อปญฺญา
    เอโกว เสยฺโย ปุริโส สปญฺโญ
    โย ภาสิตสฺส วิชานาติ อตฺถํ
    ......คนโง่เขลามาประชุมกันแม้ตั้งกว่าพันคน พวกเขาไม่มีปัญญา ถึงจะพร่ำคร่ำครวญอยู่ตลอดร้อยปี ก็หามีประโยชน์ไม่ คนมีปัญญารู้ความแห่งภาษิต คนเดียวเท่านั้น ประเสริฐกว่า

    .............................

    อมฤตพจนา พุทธศาสนสุภาษิต โดยพระพรมหคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ปัญญาคืออะไรกันแน่?

    lp_apinya_light.jpg
    เมื่อข้าพเจ้าได้มาพิจารณาทบทวน ถึงปัญหาที่ข้าพเจ้าถาม และหลวงพ่อได้เมตตาอธิบายตอบมาแล้วโดยละเอียดๆในหลายๆเรื่องก็บังเกิดความฉงนสนเท่ห์ใจในคำ ๆหนึ่ง คือคำว่า “ปัญญา” เข้า อาทิเช่นหลวงพ่อพูดว่า “จิตยังไม่มีปัญญาเพียงพอ” หรืออธิบายว่า “เมื่อทรงฌานได้ก็เอากำลังของฌานไปพิจารณา วิปัสสนาได้โดยง่าย และในที่สุดปัญญาก็จะเกิด เมื่อปัญญาเกิดก็จำปัญญานั้นแหละไปห้ำหั่นกิเลาตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมได้”เป็นต้น

    ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในคำว่า “ปัญญา”ขึ้นมา ปัญญา จะเกิดขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อทรงฌานได้ แล้วเอากำลังของฌานไปพิจารณาวิปัสสนาญาณ เท่านั้นหรือ? ก็แล้วที่ข้าพเจ้าจำแม่นเรียนหนังสือเก่งล่ะ ไม่ใช่เพราะด้วยข้าพเจ้ามีปัญญาดีหรอกหรือ? หรือที่คนอื่นๆเขาได้ปริญญาโท ปริญญาเอก นั่นเล่าไม่ใช่เพราะเขามีปัญญาดีหรอกหรือ? ก็ไม่เห็นว่าจะต้องทรงฌานให้ได้ แล้วไปนั่งพิจารณาวิปัสสนาญาณสักหน่อยนี่

    เมื่อเกิดความสงสัยเช่นนี้ ในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้หาโอกาสถามหลวงพ่อว่า

    “หลวงพ่อครับ การที่ผมดูหนังสือเรียนเที่ยวเดียวแล้วจำได้โดยไม่ต้องท่อง แล้วท่องเล่าเหมือนคนอื่นเขา จะเรียกว่าผมมีปัญญาดีไหมครับ?”

    “ไม่ใช่ปัญญาดีหรอก เขาเรียกว่า ความจำดีต่างหากเล่า” หลวงพ่อตอบเรื่อยๆ

    “แล้วคนเรียนเก่งๆ ที่เขาไปทำปริญญาโท ปริญญาเอก ได้เล่าครับจะยกย่องว่า เขามีปัญญาดีไหมครับ?” ข้าพเจ้าถามต่ออย่างไม่ลดละ

    ไม่ใช่ปัญญาดีอีกนั่นแหละ แต่เขามีความจำดีอย่างคุณนี่แหละ” หลวงพ่อตอบยิ้มๆ

    “อ้าว หลวงพ่อ ความจำดีก็ต้องมีปัญญาดีไม่ใช่เหรอครับ” ข้าพเจ้ารีบถาม

    ความจำดีก็เพราะสมองดี สมองดีก็คือเครื่องบันทึกความจำดีเหมือนเช่นเครื่องบรรทุกเสียงหรือเครื่องบันทึกความจำของคอมพิวเตอร์ดีนั่นแหละ บันทึกไว้ หากต้องการใช้เมื่อไรก็นึกย้อนเอา รีไวนด์เอาหรือกดเอา ข้อมูลต่างๆ ที่บันทึกไว้ก็จะออกมานั่นเอง เขาไม่เรียกว่าปัญญาดีนะ เขาเรียกว่าสัญญาดีต่างหากเล่าคุณ”หลวงพ่ออธิบาย

    “เอ เท่าที่ผมจำได้ผมก็ไม่เคยไปสัญญากับใครที่ไหนนะครับ” ข้าพเจ้าชักงง

    สัญญา น่ะเขาแปลว่าความจำได้ อย่างงไปเลย คุณมีความจำดีก็เพราะมีสัญญาดี คุณหรือใครก็ตามเรียนหนังสือเก่ง ก็เพราะจำคำสอนของครูบาอาจารย์และผู้รู้ได้ดีกว่าคนอื่น และเพราะความจำดีนี้เองทำให้มีโอกาสค้นคว้า อ่านตำรับตำราได้มากกว่าคนอื่นและจำได้แม่นยำกว่าคนอื่น ดังนั้นเมื่อสอบทีไรใครเขาจะไปสู้คนที่มีความจำดีได้เล่าคุณ แต่อย่า

    ลืมนะ ถ้าครูเขาสอนผิด คุณก็จะจำได้แบบผิดๆ ถ้าตำรับตำราผิด คุณก็จำผิด เหมือนเครื่องบรรทุกเสียงหรือเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นแหล่ะ หากป้อนข้อมูลผิดเข้าไปละก็เสร็จเลยมันก็ต้องบันทึกผิดจำผิด ด้วยจริงไหม? คุณเคยจำคำในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงได้ไหม?หลวงพ่ออธิบายแล้วย้อนถาม


    “ที่ว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ใช่ไหมครับหลวงพ่อ?” ข้าพเจ้าถาม


    “เออ นั่นแหละ คุณว่าเดี๋ยวนี้มันยังคงเป็นความจริงอยู่ทั้งหมดไหม?” หลวงพ่อถาม ทำให้ข้าพเจ้าต้องนิ่งคิดอยู่สักครู่ จึงตอบว่าในสมัยตอนผมเด็กๆ เป็นความจริงครับหลวงพ่อในน้ำมีทั้งกุ้ง หอย ปู ปลามากมาย และทุ่งนาในกรุงเทพฯ ทั้งแถบพระโขนง สะพานควาย บางเขน เขียวชอุ่มไปด้วยข้าวทั้งนั้น แต่ตอนนี้น่าเสียดายจริงๆ ครับผมยังแอบเปลี่ยนข้อความเสียใหม่เลยว่า “ในน้ำมีไร(ตัวไร เพราะน้ำเน่า),ในไร่มีรา(เชื้อรา),ในนามีบ้านจัดสรร”


    “แล้วข้อความท่อนอื่นๆ ในหลักศิลาจารึกล่ะว่าอย่างไร?” หลวงพ่อถามต่อ


    “ครับ ผมพอจำได้อยู่บ้างว่า ใครใคร่ค้าช้างค้า ค้าม้าค้า ค้าวัวค้า ควายค้า อะไรทำนองนี้แหละครับ แล้วก็มีว่า ไพร่ฟ้าหน้าใส ครับ”ข้าพเจ้าตอบ


    “เอาละจำได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น แล้วคุณว่าเดี๋ยวนี้เป็นเช่นนั้นหรือไม่?” หลวงพ่อถามยิ้มๆ


    “เดี๋ยวนี้หรือครับ จะเปิดเขียงขายหมูสักเขียงยังยุ่งวุ่นวายจะหายอะไรไปขายสักหาบก็หาที่วางขายได้แล้วครับ ต้องขายเป็นที่เป็นทางถูกรีดไถทั้งตำรวจ ทั้งเจ้าหน้าที่สรรพากร ยิ่งไพร่ฟ้าในกรุงเทพฯเจอมลภาวะที่เป็นพิษและการจราจรติดขัดด้วยแล้ว หาหน้าใสไม่มี หรอกครับ ทุกวันนี้มีแต่ไพร่ฟ้าหน้าเหลืองซีดเสียส่วนใหญ่ครับ” ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง


    “แล้วสุภาษิตโบราณที่ว่า สิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยงล่ะ คุณว่าเดี๋ยวนี้เป็นจริงไหม?” หลวงพ่อถามต่อ


    “ไม่จริงแล้วครับ ผมเห็นสิบพะยาเดินตามตูดพ่อค้า นักธุรกิจออกบ่อยไป” ข้าพเจ้าตอบอย่างขัดใจ


    “เอ้อ แล้วที่ว่า ไม่มีขยะมูลฝอยหมาไม่ขี้ล่ะ?” หลวงพ่อถามอย่างสนุก


    “ก็ไม่จริงอีกแหละครับ เพราะหมาบ้านผมมันไปคุ้ยกองขยะเล่นจริงแต่มันไม่ขี้ เพราะมันกลัวขยะแขยงก้น เห็นกลับมาขี้ที่สนามหญ้าหน้าบ้านบ้าง บนถนนในบ้านบ้าง ผมต้องโกยทิ้งทุกวันเลยครับ” ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง


    “เห็นไหม แม้แต่หลักศิลาจารึกก็ดี สุภาษิตโบราณต่างๆ ก็ดีอาจถูกต้องเป็นจริงได้เฉพาะสมัยหนึ่ง ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเองหาได้เป็นความจริงตลอดกาลไม่แม้แต่วิชาคำนวณที่คุณเรียน เคยจำกันได้มิใช่หรือว่า 1+1


    เป็น 2, 0+0 เป็น 0 แล้วเดี๋ยวนี้ภาษาคอมพิวเตอร์เขาว่า 0+0 เป็น 1 แต่ 1+1 กลับเป็น 0 มิใช่หรือ?” หลวงพ่ออธิบายแล้วถามยิ้มๆ เล่นเอาข้าพเจ้าตัวแข็งด้วยเป็นความจริงตามที่หลวงพ่อพูดทุกอย่าง “ดังนั้นแม้คุณฟังมาก ดูตำรับตำรามาก เรียนมาก ค้นคว้ามาก จนมีความรู้ เพราะความจำดีมีสัญญาดี สักเพียงไรก็ตาม ความรู้ที่คุณได้มานั้น ก็หาได้เป็นความจริงตลอดกาลไม่ อาจผิดหรือถูกก็ได้ ดังนั้นจึงจะยังเรียกว่ามีปัญญาไม่ได้นะ” หลวงพ่ออธิบายต่อ


    “ถ้ายังงั้นปัญญา คืออะไรแน่ครับ หลวงพ่อ?” ข้าพเจ้ารีบถามต่อด้วยความข้องใจ


    ปัญญา โดยความหมายทั่วๆ ไปแล้วแปลว่าความรู้ที่เกิดขึ้นจากการพินิจพิจารณา หรือจะแปลว่าความเฉลียวฉลาดก็ได้นะ มิใช่รู้อย่างเดียวต้องนำเอาความรู้ที่ได้นั้นมาพิจารณาด้วย หรือมิใช่ฉลาดอย่างเดียว ต้องมีเฉลียวใจด้วย จึงจะเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงถึงแก่นแท้ของการรู้ในแต่ละอย่างได้นั่นแหละจึงจะเรียกว่า “ปัญญา” ล่ะ


    ตัวอย่างเช่น หากคุณเห็นรถยนต์สวยคันหนึ่งแล่นผ่านมาคุณก็อาจจะบอกได้ทันทีว่าเป็นรถเบ็นซ์ รถวอลโว่ รุ่นใด กี่ซี.ซี.มีสมรรถนะอย่างไร ราคาค่างวดเท่าไร สร้างจากประเทศไหน บริษัทอะไร เพราะคุณฟังเขามาบ้าง จึงจำได้ด้วยมีสัญญาดี แต่ด้วยเพราะไม่มีปัญญาจึงทำให้จิตของคุณมีความหวั่นไหว กินไม่ได้นอนไม่หลับเนื่องจากความอยากได้ในรถคันที่คุณเห็นขึ้นมา แต่ถ้าคุณมีความเฉลียวใจ หรือได้มาพินิจพิจารณาให้รู้แจ้งแทงตลอดแล้ว คุณก็จะเกิดความรู้ใหม่ขึ้นมาว่ารถสวยรุ่นใหม่คันนี้ต่อไปอีก 2-3 ปี ข้างหน้ามันก็จะต้องกลายเป็นรุ่นเก่าไม่ทันสมัยอีกต่อไป สีที่สวยงามหากกะเทาะออกก็คงจะดูไม่ได้เบาะอ่อนนุ่มที่สวยเก๋นั้นหากลอกออกดูภายในก็คงมีสภาพเช่นเดียวกับเบาะนั่งของรถแบบอื่น และถ้าคุณจะซื้อรถคันนี้ให้ได้ ก็จะต้องเดือดร้อนในการวิ่งเต้นหาเงินหาทองมาและแม้เมื่อหาเงินได้แล้ว คุณจะรับภาระหนี้สินไหวไหม


    นอกจากนั้น เมื่อคุณได้รถมาขับขี่ก็คงจะไม่สบายใจนักด้วยเกรงจะถูกรถอื่นชนหรือเฉี่ยวเอา ยิ่งในตรอกในซอยที่เต็มไปด้วยหลุมด้วยบ่อและฝุ่นดินหนาทึบด้วยแล้ว ก็ยิ่งหนักใจใหญ่ และแม้เอารถให้เด็กล้างก็คงจะต้องไปควบคุมแจ ยิ่งต้องเอารถไปจอดในย่านชุมนุมชนหรือตรอกซอยแคบๆ หรือที่เปลี่ยวๆ ก็คงจะต้องนั่งเฝ้ารถคันใหม่ด้วยความเป็นห่วง หากได้พิจารณาโดยละเอียดเช่นนี้แล้วก็จะเห็นความทุกข์ในรูปแบบต่างๆ ที่จะเกิดตามมาจากการดิ้นรนเป็นเจ้าของรถเบ็นซ์รูปงามคันนั้น เมื่อเห็นทุกข์ ความอยากได้ใคร่ดีในรถเบ็นซ์รูปงามคันนั้นก็ย่อมหมดไป นี่แหละคือ “ปัญญา” ล่ะ”หลวงพ่ออธิบายและเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังตั้งใจฟังก็พูดต่อว่า “และถ้าจะให้ชัดก็ต้องยืนยันว่า ปัญญา ได้แก่การเจริญวิปัสสนาญาณจนรู้แจ้งเห็นจริงตามกฎธรรมดา ไม่มีอารมณ์คิดที่จะฝืนกฎธรรมดาเหล่านั้นจนในที่สุดจะได้ญาณทั้ง 8 คือ


    1.จุตูปปาตญาณ-รู้ว่าคนและสัตว์ตายแล้วไปเกิดที่ใด อีกทั้งรู้ว่าคนและสัตว์ที่มาเกิดนั้นมาจากไหน


    2.เจโตปริยญาณ-รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์


    3.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ-ระลึกชาติในกาลก่อนได้ไม่จำกัดชาติ

    4.อตีตังสญาณ-รู้เหตุการณ์ในอดีตของคนและสัตว์สิ่งของ สถานที่ได้โดยไม่จำกัดกาลเวลา
    5.อนาคตังสญาณ-รู้เหตุการณ์ต่อไปในอนาคตของคนสัตว์ สิ่งของ สถานที่ได้โดยไม่จำกัดกาลเวลา

    6.ปัจจุปปันยังสญาณ-รู้เหตุปัจจุบันของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ได้ตามความเป็นจริง


    7.ยถากัมมุตาญาณ-รู้ผลกรรมของคนและสัตว์ได้ทั้งอดีต อนคต และปัจจุบัน


    8.ทิพยจักษุญาณ-มีความรู้ปรากฏแก่จิตเหมือนตาเห็น สามารถ เห็นผีเห็นเทวดาได้


    ญาณทั้ง 8 นี้อย่าได้หนักใจนะว่าจะทำไม่ได้ เมื่อใดที่ผู้ปฏิบัติสามารถทรงฌาน 4 ได้คล่องแคล่วแล้วถอยลงสู่อุปจารสมาธิหรือฌาน 1 ฌาน 2 เพื่อพิจารณาวิปัสสนาญาณด้วยแล้วนอกจากว่าท่านจะได้ญาณทั้ง 8 แล้วท่านยังมีปัญญาแตกฉานในการอธิบายถ้อยคำหัวข้อธรรม และสามารถแก้อรรถปัญหาต่างๆ ได้อย่างอัศจรรย์ นอกจากนั้นยังรอบรู้ และเข้าใจภาษาอย่างอัศจรรย์อีกด้วย (ไม่ว่าจะเป็นภาษาของพรหม เทพ มนุษย์ สัตว์ อสุรกาย)เป็นยังไงคุณมนูญ แบบนี้ยังจะมีนักภาษาศาสตร์คนใดในโลกสู้ท่านได้จริงไหม? นี่ซิเขาจึงเรียกว่ามีปัญญา จริงใช่ไหมล่ะ”


    “เพียงแค่ได้ญาณใดญาณหนึ่งใน 8 ที่หลวงพ่อว่า ก็นับว่ามีปัญญาเกินกว่าปุถุชนคนธรรมดาในโลกนี้แล้วนะครับ” ข้าพเจ้ายอมรับและสารภาพถึงความในใจที่มีอยู่แต่เดิมว่า “หลวงพ่อครับ ผมจะขอยอมรับสารภาพกับหลวงพ่อว่า แต่เดิมก่อนที่ผมจะได้พบหลวงพ่อนั้น ผมมีความหยิ่งทะนง และเชื่อมั่นในตนเองมาโดยตลอด ว่าเป็นผู้มีสติปัญญาที่อยู่ในชั้นระดับดีเยี่ยมผู้หนึ่งทีเดียว เพราะเป็นที่ยอมรับของบรรดาเพื่อนฝูงและครูบาอาจารย์ตลอดมาว่าเป็นผู้มีความจำดีมาก และเรียนหนังสือเก่ง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผมไม่ค่อยจะเลื่อมใสศรัทธา ที่จะรับฟังคำสั่งสอนของพระภิกษุสงฆ์ เพราะคิดว่าพระภิกษุสงฆ์เหล่านี้เรียนน้อยกว่าผม บางองค์จบแค่ประถม 4 ก็มี เมื่อเรียนน้อยก็ย่อมรู้น้อย สติปัญญาก็น่าจะน้อยตามไปด้วย ดังนั้นท่านจะมีปัญญามาสอนอะไรผมได้ และในบางครั้งผมยังเคยแอบนึกขำว่าคนระดับปริญญาโท ปริญญาเอกไปทนนั่งฟังพระแก่ๆ อบรมสั่งสอนกันได้อย่างไร จนกระทั่งในวันนี้เองผมจึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่ผมมีในตัวเองนั้นเป็นเป็นเพียงแค่มี “สัญญา” ดีเท่านั้นเอง ซึ่งอาจจะจำในสิ่งที่ถูกก็ได้ ผิดก็ได้ หาได้มี “ปัญญา” รู้แจ้งเห็นจริงเท่าทันในกิเลส ตัณหา อุปทาน และอกุศลกรรมไม่”


    “เออ ไม่เลวนี่เข้าใจได้รวดเร็วดี อย่าลืมนะคนที่มีความจำดี มีสัญญาดีนั้น หากเจริญวิปัสสนาญาณพิจารณาความจริงโดยสม่ำเสมอแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วกว่าคนอื่นนะ เพราะจดจำข้อมูลต่างๆ ที่จะมาพิจารณาได้มากกว่าเขา” หลวงพ่ออธิบายไห้กำลังใจแก่ข้าพเจ้า


    ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คำถามของข้าพเจ้าและคำตอบของหลวงพ่อในข้อนี้ จะทำให้ท่านผู้อ่านมีความเข้าใจคำว่า “ปัญญา” ยิ่งขึ้น โดนเฉพาะท่านผู้อ่านซึ่งเป็นคนที่มีมิจฉาทิฐิเช่นเดียวกับข้าพเจ้า


    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=15660
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2017
  4. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    ขออนุโมทนาสาธุครับ...

    :cool: ...เป็นบทสนทนาธรรมที่สุดยอด...เยี่ยมมากครับ...
    อืม...คิดว่ามีความรู้แล้ว..เก่งแล้ว..แต่แล้ว...อืม..เป็นอะไรที่น่าคิด...และน่าสนใจที่จะต้องศึกษาปฏิบัติให้มากๆ ยิ่งขึ้นแล้วละครับ...

    ขออนุโมทนาอีกครั้งครับ...สาธุ...สาธุ...สาธุ...อนุโมทามิ...[b-wai] [b-wai] [b-wai]
     
  5. จอกแหน

    จอกแหน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    275
    ค่าพลัง:
    +873
    เป็นกระทู้ที่ยอดเยี่ยมเลยครับ
     
  6. kiwibird

    kiwibird เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +288
    ขออนุโมทนา สาธุครับ
     
  7. kiwibird

    kiwibird เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +288
    ขออนุโมทนา สาธุครับ
     
  8. jiu

    jiu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +11
    อนุโมทนาครับ
     
  9. kai_toung47

    kai_toung47 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +48
    ((ปัญญาประดุจ ดังอาวุธ))

    การมีปัญญาที่ดีสามารถไตร่ตรองได้ดีก็ส่งผลดีต่อบุคคลนั้นๆได้ดี ถูกต้องแล้วครับ[b-wai] ((อนุโมทนา......สาธุ)):cool:
     
  10. vannipa

    vannipa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +222
    กราบนมัสการ....แทบพระบาทของหลวงพ่อฤาษี...อันเป็นที่รักเคารพอย่างยิ่งเจ้าค่ะ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...