โพธิสัตตวจรรยาวตาร

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย guawn, 8 กันยายน 2006.

  1. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>โพธิสัตตวจรรยาวตาร</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>18 กรกฎาคม 2549 10:13 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> โดย...สายัณห์ เล็กอุทัย

    - คุณธรรมมักอ่อนแอกว่า พลังอกุศลที่หนักหน่วง รุมเร้า ยกเว้นด้วยโพธิจิตที่สมบูรณ์เท่านั้นคุณธรรมจึงจะสามารถเอาชนะอกุศลได้

    -พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย ผู้ทรงบำเพ็ญสมาธินานหลายกัปได้ทรงหยั่งรู้ในคุณประโยชน์แห่งจิตนี้ด้วยเหตุนี้ สรรพสัตว์อันประมาณ มิได้จึงได้มีโอกาสบรรลุโลกุตรธรรม อันเกษมนี้

    ธรรมชาติของจิตคือ ความปรารถนาที่จะกลับเป็นธรรมชาติดั่งเดิม เมื่อจุติในมนุษย์การระลึกได้ว่า ตนก็มีโพธิจิตและเป็นหนึ่งเดียวกันก็คือความปรารถนา

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ที่จะแผ่เมตตาต่อสรรพสิ่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มหาเมตตาธรรมเป็นรากฐาน แห่งการช่วยเหลือทุกชีวิตทุกสภาวะทุกโอกาสดังนั้น โพธิจิตจึงมิใช่จิตที่ต้องเสาะหาเพิ่มเติมจากภายนอก แต่กลับเป็นการเริ่มค้นพบ รื้อฟื้นตระหนักความทรงจำที่ครั้งหนึ่งจิตนี้
    เคยเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งในจักรวาลทุกคนมีสิทธิ ทุกคนมีโอกาสที่จะค้นหาตัวเองปลดลดละกิเลส ความหมองมัว ตะกอนที่เคลือบทับถมสะสมปิดยังฝังกลบสภาพจิตนี้ มิให้ไปมีโอกาสได้ตื่นได้ฉายแสงส่องประกายรัศมีในตัวเองออกมาให้ปรากฏ วันแล้ววันเล่าเราทุกคนล้วนเสียเวลากับกิจกรรมที่นำพาแต่ความหยาบและเพิ่มความมัวหมองให้พลาดโอกาสที่จะรู้จักศักยภาพ อันแท้จริงของจิตตนหากทุกอย่างเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติกำหนดแล้ว

    ทุกคนควรจะบรรลุความรู้แจ้งแห่งโพธิจิตในตัวเองได้ภายในช่วงชีวิตนี้ ในชาตินี้อย่างที่ควรจะเป็น เมืองไทยน่าจะมีผู้รู้แจ้งแห่งโพธิจิต หกสิบสองล้านคนแต่คนส่วนใหญ่พลาดโอกาสทอง เมื่อสภาวะเอื้ออำนวยก็ไม่สามารถระลึกและสำนึกถึงโอกาสทองได้ทันและที่พลาด ก็เพราะมัวแต่รอโอกาสจากภายนอกจากแหล่งอื่น โดยไม่เฉลียวใจ

    - การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ถือเป็นบุญกุศลอันใหญ่หลวงหาค่าประเมินมิได้

    - ยิ่งหากเราเป็นคนที่ยังมีสุขภาพดีมีชีวิตอยู่ขณะนี้ยังถือว่าเป็นโอกาสทองที่หายาก

    - โอกาสที่เป็นอยู่นี้ จึงเป็นโอกาสของหนึ่งในล้านๆ

    - การได้เกิดเป็นคนสำคัญยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นเพราะว่าเรามีจิตใจ มีความรู้สึก มีไหวพริบและสติปัญญาความนึกคิด ซึ่งสัตว์ที่ด้อยกว่าเรานั้นมิอาจจะรู้ซึ้งถึงคุณค่าของจิตใจได้

    - สิ่งมหัศจรรย์ของจิตใจคนก็คือ จิตใจคนนั้นสามารถพัฒนาได้จากความรู้สึกที่หยาบต่ำชั้นด้อย พัฒนา เราสามารถฝึกปลูกฝังแนวความคิดให้คลื่นกระแสของจิตนั้นละเอียดอ่อนนิ่งและสงบราบเรียบ มีคุณภาพที่สูงขึ้นได้

    - การพัฒนาจึงเป็นทั้งสัญชาตญาณสามัญสำนึกและธรรมชาติที่แท้จริงแต่ดั้งเดิมของสภาวะจิตมนุษย์ ดังนั้น คนเราทุกคนจึงมีโอกาสและมีศักยภาพที่จะยกระดับจิตใจตนเองให้สูงขึ้นได้ หากมีความตั้งใจ และประสงค์แรงกล้า อาจกล่าวได้ว่า ทุกคนมีสิทธิพัฒนาจิตตนเอง มีคลื่นความถี่ที่ละเอียดสูงได้หรืออาจกล่าวได้ว่า ทุกคนสามารถพัฒนาจิตตนเองให้เป็นโพธิจิตได้

    - โพธิจิตคือ จิตดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่ในกำเนิด จิตแรกที่จุติเป็นจุดศูนย์กลางก่อนเนื้อหนังจะห่อหุ้มร่างกายคือ ขั้วพลังปฐมภูมิที่วงจรของพลังจักรวาลทั้งมวลโคจรมารวมตัวในปรัชญาตะวันออกแห่งเต๋าเรียก ไทเก๊ก จากไทเก๊กนี้ขั้วทวิภูมิก็พัฒนาต่อไปจนในที่สุดเกิดมาเป็นเรา

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=274 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=274>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 1. หนังสือโพธิ-สัตตวจรรยาวตารศานติเทวะ/รจนาของ รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ แปล2. บทสรaรเสริญโพธิจิต (รัตนประทีป)พระศักดิ์ชัย กิตติชโย แปล
    3. หนังสืออังกฤษฉบับวิถีแห่งโพธิสัตว์มรรคของท่านลามะทิเบต กี-ซี-คิลเซ็ง-กยัทโซ 4. หนังสืออังกฤษฉบับวิถีแห่งโพธิสัตว์มรรคของมาเรียน เอล มาติคส์ M.L.MATICS


    แนวทางการดำเนินชีวิต
    ของพระโพธิสัตต์

    โพธิจิตมิได้อยู่หรือเสาะหาจากภายนอกแต่เป็นจิตเดิมบริสุทธิ์ที่อยู่ในตัวเราภายใน ก่อนที่ทุกคนจะเกิดมีรูปร่างคลื่นจิตกระแสแรกที่โคจรเป็นรูปก้นหอยมีจุดศูนย์กลางเป็นจุดaแรกของพลังปฐมภูมิของจักรวาลที่จุติจุดแรกคือ จุดกำเนิดของโพธิจิต ปรัชญาเต๋าเรียก จุดไทเก๊ก อันเป็นจุดเดียวก่อนแยกขั้วเป็นสอง ก่อนเป็นขั้วหยิน-หยาง เมื่อพัฒนามีกายมีห่อห้มซ่อนทับ จิตนี้จึงพัฒนาอยู่ในภายนอกคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นพลังแปรรูปธรรมชาติในขั้นที่ 7 จากขั้น 1 สู่ขั้น 7 เราเป็นทารกคลอดออกมาสู่โลก กายนั้นจำเป็นต้องพัฒนาจากทารกสู่เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่และเสื่อมถดถอยชราร่วงโรยในที่สุดแต่จิตกลับต้องพัฒนาต่างจากกาย เนื่องจากเป็นเพียงคลื่นกระแสแต่อยู่ในร่างกาย จึงต้องพัฒนาจากคลื่นหยาบสู่ละเอียดที่สุด ในขณะที่ยังมีร่างกาย

    การพัฒนาจิตเป็นโพธิจิต (จิตละเอียดสุด)จึงเป็นโอกาสสำคัญและจำเป็นต้องปฏิบัติขณะที่ยังมีร่างกายห่อห้มอยู่ หรืออีกนัยหนึ่งในชาตินี้ เพราะมนุษย์เท่านั้นที่มีร่างกายพร้อมอุปกรณ์ครบในการพัฒนาจิตกระแสนี้ได้เท่านั้นเมื่อพัฒนาจิตละเอียดได้แล้ว เรายังต้องพัฒนาคลื่นกระแสจิตนี้กลับจากพลังขั้น 7 คืนกลับสู่ขั้น 1 ปฐมภูมิคือจากคลื่นวิญญาณที่เคยอยู่ในกายคน (Soul) กลับคืนสู่จิตสากล (Spirit)อันเป็นจิตละเอียดที่สุดและไม่มีความถี่ความจำของเจ้าของเดิมเหลืออยู่

    ทั้งนี้ เพราะหากคลื่นจิตมิสามารถลบความจำข้อมูลช่วงเป็นมนุษย์เจ้าของเดิมออกหมด คลื่นจิตนี้ก็จะโคจรกลับมาจุติอีก เพราะเป็นธรรมชาติของพลังที่มีขั้วตรงข้ามคอยดึงดูดอยู่ บนโลกที่มีสนามแม่เหล็กห่อหุ้มอยู่ คลื่นที่ยังคงมีความจำย่อมมิสามารถพุ่งทะยานหลุดรอดสนามแม่เหล็กโลกออกสู่จักรวาลใหญ่ได้การฝึกโพธิจิต จึงเป็นกระบวนการที่สำคัญในการสลายขั้วยึดเหนี่ยวแปรคลื่นหยาบของคนให้รีบกลับสู่ละเอียด โดยการปฏิบัติกุศลจิต เมตตา กรุณา และยึดหลักการบำเพ็ญบารมี 6 คือ ทานศีล วิริยะ ขันติ สมาธิ และปัญญา

    เมื่อบรรลุแล้วยังต้องบำเพ็ญอัปปมัญญาภาวนา 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาเรียก อัปปมาณหฤทัย เพื่อบรรลุการรู้แจ้งในที่สุดขอยกคำกล่าวของท่านเว่ยหล่าง (ฮุ่ยเล้ง) แห่งนิกายเซนที่กล่าวในมหาปรัชญาปารมิตาสูตรว่า ก็เพราะปัญญานั้น ทำให้มนุษย์สามารถรู้แจ้งได้ปัญญามีอยู่ในตัวเราทุกคน แต่เพราะมีอวิชชาความมืดบอดที่ครอบงำจิตเราอยู่เราจึงมองไม่เห็นจิตเดิมที่แท้ได้ จนเราต้องเลาะแสวงหาคำชี้แนะและตักเตือนจากผู้อื่น คนที่เขาเห็นแจ้งก่อนเรา เราควรทราบไว้ว่าถ้าธรรมชาติแห่งพุทธะยังถูกปิดบังห่อห้มอยู่ไม่ถูกเปิดออกก็จะไม่มีอะไรแตกต่างระหว่างผู้เห็นแจ้งกับผู้มืดบอดโพธิจิตเดิมยังถูกซ่อนอยู่ในกายเดิมโดยเจ้าตัวไม่รู้ตัว ลำพังการพูดถึงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คนเราเห็นแจ้งในจิตเดิมแท้ได้หน้าที่ของเราคือ เริ่มต้นบำเพ็ญปลุกจิตเดิมเราให้ตื่นและรู้แจ้งเราควรเริ่มปฏิบัติตนตั้งแต่บัดนี้แล้ว

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...