โรคปากเสีย : หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 11 สิงหาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ชีวิตของคนเราพบอริยสัจอยู่ตลอดเวลา กับโรคปากเสีย


    เมื่อวันศุกร์ที่ 25 มิ.ย. 2536 เพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมของผม(คุณหมอสมศักดิ์) ท่านเล่าให้ผมฟังมีความสำคัญโดยย่อ ๆ ว่า ในวันนั้นท่านเห็นห้องข้าง ๆ ที่ท่านอาศัยอยู่ เขาเปิดไฟวัดทิ้งไว้ในห้องนอนเขาตลอดคืน พอตาเห็นรูป จิตก็ไหวเกิดอารมณ์ปฏิฆะ ห้ามมันเท่าไหรมันก็ไม่ยอมดับง่าย ๆ เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวดับอยู่อย่างนั้น หรือดับไม่จริง

    หลวงพ่อท่านก็เมตตาสอนว่า ไปเห็นคนอื่นมีจุดบกพร่อง แต่จิตตนเองมีช่องโหว่กลับไม่เห็น ไปเห็นสิ่งจุกจิกภายนอกว่าสำคัญ ลืมความสำคัญ ที่จะรักษาอารมณ์ของใจให้อยู่ในธรรม ยังติเขาอยู่มากเพียงใด เราก็ยังเลวมากเพียงนั้น ยังไม่รู้กาลสมัยเพียงใด เราก็ยังเลวมากเพียงนั้น ถ้าเห็นแล้ว รู้ตัวแล้ว ก็ต้องรีบขอขมาพระ

    ในคืนวันนั้น หลวงพ่อฤาษี ท่านก็เมตตามาสอนให้ดังนี้

    1. “ห้ามเอ็งแล้ว ระงับปากไว้ไม่อยู่หรือ (ก็รับว่า ห้ามไม่อยู่เพราะมันอดห่วงผลประโยชน์ของวัดไม่ได้)

    2. “ห่วงนะมันดีอยู่ แต่ว่าควรห่วงให้ถูกเรื่อง อย่าทำใจให้เดือดร้อนมากจนเกินไป อารมณ์จิตมันไม่เป็นสุข เสียผลประโยชน์ของการปฏิบัติธรรม มันดีอยู่หรือ” (ก็ยอบรับและขอขมาท่าน)

    3. “ทีหลังอย่าทำ เรื่องกฎระเบียบของวัด มีพระเจ้าหน้าที่ท่านคอยดูแลอยู่แล้ว พรหม- เทวดาท่านมี อย่ายุ่ง วางอารมณ์ใจให้สงบดีกว่า”

    4. “ขอให้ระวังอารมณ์จิตให้ดี ๆ จะมีเหตุการณหนุนเนื่อง เข้ามาทดสอบจิตของเอ็งบ่อย ๆ ไม่ว่าจะราคะหรือปฏิฆะ”

    5. “แพ้มันไปบ้างอย่างวันนี้ ก็พยายามหักอารมณ์ให้ลงตัวธรรมดาให้ได้ แต่พยายามอย่าให้มันแพ้บ่อยนัก ประเดี๋ยวจิตมันจะเคยชิน เพราะคบความชั่วมานาน ต้องอดทนต่อต้าน คิดถึงกฎของกรรมไว้มาก ๆ หน่อย เอ็งนี่มันขันแตกอยู่เรื่อย อย่าทิ้งลมหายใจบ่อยนักซิ

    6. “เรื่องของคุณหมอ เอ็งไม่ต้องห่วง เสียเงินเป็นแสนเป็นล้าน เพราะผลของกรรม เป็นกฎของกรรมเก่า เจ้าหนี้มันตามมาทันแล้ว ก็ชดใช้มันไปนะหมอ เป็นการพิสูจน์สัจธรรมของพระพุทธเจ้าว่าเป็นจริง มีลาภก็ต้องเสื่อมลาภเป็นธรรมดา ขอให้คิดถึงหลักความจริง ไม่ว่าคน-สัตว์-วัตถุธาตุใด ๆ ในโลกนี้ หรือทั้งโลกก็ว่าได้ มันก็เกิด มันก็มีดับไปเป็นธรรมดา มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ ยึดไม่ได้ ยึดเมื่อไหร่ ทุกข์เมื่อนั้น อันนี้เป็นอริยสัจ ซึ่งแปลว่า ของจริงที่พระอริยเจ้าท่านเคารพนับถือ เพราะเป็นกฎธรรมดา ในเมื่อหมอพบความจริงแล้ว ก็ได้พิสูจน์ของหมอเองว่า ยอบรับในกฎของธรรมดานี้หรือไม่”

    7. “จริง ๆ แล้วในชีวิตของคนเรา พบกับอริยสัจอยู่ตลอดเวลา แต่จิตมันยอบรับความจริงนั้นหรือเปล่า เห็นเกิด – เสื่อม – ดับ เห็นไตรลักษณ์ หากยอบรับนับถืออย่างจริงใจ นั่นแหละคือ เห็นทุกข์ เห็นความไม่เที่ยง เห็นอริยสัจ พระอริยเจ้าท่านเห็นธรรมดาที่ตรงนี้ จึงเท่ากับเห็นกฎของกรรม จนจิตยอบรับนับถือเป็นธรรมดา จิตจึงพ้นทุกข์ได้ เพราะไม่ต่อกรรม ไม่เกาะกรรมอีกต่อไป


    8. “เอ็งเข้าใจรึ”(ก็รับว่าเข้าใจ แต่จิตยังไม่ค่อยยอบรับนับถือกฎของกรรมอย่างจริงใจ เพราะจิตยังตกเป็นทาสของอารมณ์อยู่)
    เออ ให้เข้าใจไว้ก่อนก็แล้วกัน เห็นลายแทง เห็นเส้นทางของขุมทรัพย์ใหญ่อยู่รำไร เดินไปคลำไปก็ยังถูกทาง ดีกว่าไม่เห็น เที่ยวเดินเที่ยวคลำสะเปะสะปะไป จะหลงทางเสียเปล่า ๆ”


    9. “เอ็งอย่าท้อใจ เรื่องอุปสรรคของการปฏิบัติ มันย่อมมีเป็นธรรมดา คำว่าราบรื่นย่อมไม่มีสำหรับจิตของคนที่ยังมีอารมณ์กิเลสครอบงำอยู่ อย่างไรจิตเรามันคบตัณหามานาน โมหะ โทสะ - ราคะ มันทำให้เรามีอุปสรรคมานับชาติไม่ถ้วนหรือเอ็งจะนับการเกิดไหว” (ก็รับว่านับไม่ไหว)

    10. “ก็ไม่ต้องนับ ให้คิดว่าเกิดเท่าไหร่ ก็ตายหมดเท่านั้น จะเอาอะไรกับร่างกาย พยายามคิดถึงการเกิด การตาย ที่นับประมาณนั้นไม่ได้ ทำความเบื่อหน่ายลงไปว่า เราจะไม่เกิด ไม่ตายอีก พอกันทีสำหรับร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้ แล้วก็หันมาพยายามระงับอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิบัติธรรมลงเสีย แพ้ได้ แพ้ไป พยายามดึงอารมณ์จิตมาให้เป็นสมาธิใหม่ เราแพ้มันมาตั้งหลายแสนชาติ อสงไขยกัปแล้ว เหตุการณ์ณ์มันผ่านไป ชั่วขณะจิตหนึ่งก็เป็นอดีตไปแล้ว อย่าไปเก็บเอามาเป็นความเศร้าหมองฝังใจ ปลดทิ้งไป ตั้งหน้าสู้กับคลื่นอารมณ์ลูกใหม่อีกต่อไป

    11. “ในเมื่อชีวิตยังทรงอยู่ เราก็จะไม่ท้อถอยยืนหยัดสู้มันต่อไป ดูอดีตว่าที่แพ้นั้น แพ้เพราะอะไร นำมาเป็นบทเรียนเตือนใจว่า เราจะไม่แพ้มันอีกแบบนั้น เหมือนคนถูกตบไปทีหนึ่ง คราวหลังเห็นเขาเงื้อมือมาอีก เราไม่เข้าไปรับมัน ก็พ้นจากการถูกตบไปได้ เห็นท่าเห็นเชิงกิเลส ก็เหมือนกัน เห็นท่าเห็นเชิงรู้เท่าทัน มันก็ทำอะไรเราไม่ได้”

    12. “เรื่องวิหารหลวงพ่อใหญ่ จะทำอะไรให้ปรึกษาท่านก่อน ที่เอ็งตั้งใจจะเขียนจิตรกรรมฝาผนัง เป็นประวัติหลวงพ่อใหญ่ครึ่งหนึ่ง หลวงพ่อฤาษีครึ่งหนึ่ง ให้ทำฝาผนังให้เรียบร้อยก่อน แต่ต้องซ่อมหลังคาให้ดีก่อน เพราะถ้าฝนตก น้ำรั่วภาพจะเสียหายได้”

    13. “ส่วนเรื่องจะนำภาพสมเด็จองค์ปฐมมาขึ้นที่ฝาผนัง ให้ขออนุญาตท่านก่อน เมื่อขอ ท่าน(สมเด็จองค์ปฐม)ก็ทรงอนุญาต และตรัสว่า “ตถาคตอนุญาต เพราะจักเป็นผลงานประกาศให้ชาวโลกทราบว่า ท่านฤษีเป็นผู้ดำริหล่อองค์แทนของตถาคต เป็นองค์แรกของโลกในพุทธันดรนี้ และเป็นการยืนยันให้ชาวโลกได้ทราบว่า พระพุทธเจ้ามีมากมายอย่างหาประมาณมิได้ ในแต่ละพุทธันดร จักได้ยืนยันถึงพระธรรมที่มีเหมือนกันมาโดยตลอด มีพระอริยสงฆ์เป็นผู้ประกาศสัจธรรมสืบต่อกันมา เป็นแนวทางให้พ้นทุกข์ได้”

    14. “เจ้าอย่าลืม จารึกลงเบื้องล่างของภาพ ถึงประวัติของการที่ท่านฤาษีสร้างองค์สมเด็จพระปฐม และอย่าลืมจารึกถึงหลักธรรมคำสอน 3 ประการในโอวาทปาฏิโมกข์ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ตรัสรู้ด้วยเห็นอริยสัจใน 84,000 พระธรรมขันธ์ เหมือน ๆ กันหมดทุกพระองค์
    หลักสูตรในพุทธศาสนา สามารพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง



    พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน ผู้รวบรวม

    จากที่มา : หนังสือ “ธรรม ที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ 5 หน้า 60 – 64
     
  2. Pongroch

    Pongroch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2008
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,479
    ขออนุโมทนาด้วยค่ะ อ่านแล้วยังกับท่านเห็นเองแล้วมาว่าเราอยู่ตรงหน้าเลย กำลังมีอารมณ์เดียวกับเจ้าของกระทู้เลยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...