โลกนี้แทบไม่เหลือมีมนุษย์แล้ว มีแต่ Ultraman และ Inflaman?

คน คือ สังขารอย่างที่เราเป็นอยู่ แต่มนุษย์นั้น
จะดูแต่สังขารเปลือกนอกไม่ได้ เพราะต้องดูที่
จิตวิญญาณด้วย กล่าวคือ คนที่เป็นมนุษย์ก็คือ
คนที่มีจิตวิญญาณไม่สูงหรือต่ำไปกว่าเทวดาที่
อยู่ชั้นที่หนึ่ง (ชั้นที่มีมิติซ้อนทับกับโลกของเรา)
หาไม่แล้ว จะไม่เรียกคนๆ นั้นว่ามนุษย์ ในเรื่องนี้
ท่านพุทธทาสรู้ดี แต่ยังไม่ได้อธิบายรายละเอียด
ไว้ว่าคนอย่างไรที่ไม่ใช่มนุษย์ คือ สูงเกินกว่าที่
จะเรียกว่ามนุษย์ (Ultraman) และต่ำกว่าที่จะ
เรียกว่ามนุษย์ (Inflaman) นั้น เป็นอย่างไร...

 

Ultraman คือ คนที่มีจิตวิญญาณสูงกว่ามนุษย์


อุลตร้าแมน คือ คนที่มีสังขารเหมือนเราๆ ท่านๆ แต่มี
จิตวิญญาณข้างในสูงกว่ามนุษย์ทั่วไป จึงเรียกว่าเหนือ
มนุษย์ (Ultraman) อย่างไรหรือ เช่น มีจิตวิญญาณ
ข้างในเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นต้น เช่นนี้เรียกว่าเหนือกว่า
มนุษย์ปกติ ทำให้มีวิถีชีวิตที่ต่างไปจากมนุษย์ปกติ เช่น
ชอบช่วยเหลือคน, บ้างมีความสามารถพิเศษบางอย่าง
เช่น การมองเห็นอนาคต, เห็นอดีต, การรักษาโรคด้วย
พลังจิต ฯลฯ เป็นต้น เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีได้ เกิดได้ในโลก

 

Inflaman คือ คนที่มีจิตวิญญาณต่ำกว่ามนุษย์


อินฟล่าแมน คือ คนที่มีสังขารเหมือนเราๆ ท่านๆ แต่มี
จิตวิญญาณข้างในต่ำกว่ามนุษย์ เช่น มีจิตวิญญาณมา
จากนรกมืดเป็นเหล่าซาตาน, ปีศาจร้าย, อสูรร้าย ฯลฯ
ทำให้มีฤทธิ์เดชมากทำร้ายผู้คนได้มากมายด้วยอำนาจ
มืดนั้น แม้มีเปลือกนอกสังขารเป็นคนเหมือนกันแต่ด้วย
จิตวิญญาณเป็นจิตวิญญาณชั้นต่ำ ทำให้พฤติกรรมแตก
ต่างออกไปจากคนที่เป็นมนุษย์ปกติ สามารถทำกรรมชั่ว
ได้มากมาย หลายคนก่อกรรมชั่วและไม่ถูกตำรวจจับก็มี

 

Ultraman แบบที่พิเศษ คือ แบบที่ได้รับพลังจักรวาล


ในบรรดาอุลตร้าแมนทั้งหลายนั้นยังมีอุลตร้าแมนแบบพิเศษ
อยู่ด้วย คือ แบบที่ได้รับพลังจักรวาล ซึ่งปกติแล้ว เมื่อใดที่
คนได้เข้าสู่ความเป็นอุลตร้าแมนแล้วก็จะได้รับพลังจักรวาล
ประสานลงมาทันทีเพื่อเชื่อมต่อการทำกิจกับจักรวาล แต่เขา
เหล่านี้ ระยะแรกจะไม่รู้ตัว ไม่ทราบถึงกลไกลอันนี้ ทำให้ทำ
กิจไปตามธรรมชาติโดยไม่รู้ แต่ก็สามารถทำหน้าที่ได้ แต่ยัง
มีอุลตร้าแมนอีกพวกหนึ่งที่จะโดดเด่นด้านปัญญามากๆ ก็จะ
รู้ได้ว่าพลังจักรวาลคืออะไร มาจากแหล่งไหน ต่างกันหรือไม่
เขาเหล่านี้ จะค่อยๆ ปรับสภาพเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย ตาม
จักรวาลไม่ยึดติดโลกมาก ไม่หลงโลกมาก และได้รับกิจพิเศษ

 

Ultraman แบบชั้นสูงสุด คือ แบบที่ได้รับจิตวิญญาณจากนอกโลก


ในบรรดาอุลตร้าแมนแบบพิเศษทั้งหลายนั้น ยังมีพวกที่มีวิวัฒนาการสูงที่สุด
คือพวกที่รับ "จิตวิญญาณจากนอกโลก" หรือก็คือ "ได้ประสานร่างกับมนุษย์
ต่างดาวแล้ว" นั่นเอง โดยพวกเขาจะต้องสละจิตวิญญาณเดิมก่อนแล้วจึงรับ
"จิตวิญญาณนอกโลก" เข้ามาประสานในร่างได้ พวกนี้เป็นพวกที่พิเศษที่สุด
มีวิวัฒนาการสูงสุด และยากที่จะพัฒนาไปให้ถึงได้ พบได้น้อยมาก ทั้งยังจะมี
ความสามารถพิเศษต่างๆ เพิ่มขึ้นมากมายด้วย ชนิดที่ไม่มีในโลกมาก่อนเลย

 

Ultraman แบบชั้นสูงสุด + ปรับตัวพิเศษ คือ อะไร?


ในบรรดาอุลตร้าแมนแบบชั้นสูงสดุนั้น พบว่า เมื่อลงมาอยู่
ร่วมกับชาวโลกแล้วมีปัญหามากในเรื่อง "การปรับตัว" ก็คือ
อุลตร้าแมนชั้นสูงสุด มีความเป็นมนุษย์ต่างดาวมากเกินไป
ไม่เข้าใจสิ่งที่ชาวโลกหลงและเป็นอยู่ เก่ง, ฉลาด ฯลฯ จน
ไม่สามารถปรับตัวให้อยู่กับชาวโลกฯ แบบพื้นๆ ได้ตามปกติ
ดังนั้น จักรวาลจึงได้ให้โจทย์มาอีกคือ การสร้างอุลตร้าแมน
แบบชั้นสูงสุด + ปรับตัวพิเศษ หรือที่เรียกว่า "ใสหุ้มเกราะ"
คือ จิตวิญญาณข้างในเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่มีจิตวิญญาณ
ชั้นนอกเป็นจิตวิญญาณที่อยู่ในพื้นโลก เพื่อให้สามารถปรับ
ตัวเข้ากับชาวโลกได้ ในกลุ่มนี้มีความหลากหลายมากเพราะ
สามารถเลือกฟังก์ชั่นได้ว่าจะหุ้มเกราะแบบไหน? เช่น เกราะ
เทพ คือ ประสานร่างกับเทพ, เกราะมาร คือ ประสานกับมาร

 

มนุสโสสิ ?
อามะภันเต

คนรึเปล่า?
ใช่ครับ OK

 

ตกใจนึกว่าจะมาแฉเรื่อง มนุษย์ชาวดาว ไซย่า ขอบคุณครับที่ไม่แฉเรื่องดาวของกระผม(ออกจากห้องไปด้วยอาการเบลอๆ....)

 

Ultraman แบบ Extra คือ มีวิวัฒนาการแบบเกลียว


นอกจากนี้ ยังมีอุลตร้าแมนที่เหนือชั้นขึ้นไปอีกคือ พวกที่มี
วิวัฒนาการได้เองแบบเกลียว คือ สามารถหมุนรอบวิวัฒนา
การให้สูงขึ้นไปได้เรื่อยๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด เช่น เมื่อมีมาร
เข้ามาห่อหุ้มร่วมในสังขารแล้ว ยังสามารถทำให้มารนั้นพ้น
ไปจากภาวะเดิม เข้าสู่สภาวะเดียวกับจักรวาล เช่น พอตาย
จากภายในแล้วเกิดใหม่แบบโอปปาติกะ กลายเป็นโพธิสัตว์
จากนั้น รับจิตวิญญาณชั้นต่ำบนโลกเข้ามาห่อหุ้มใหม่ เพื่อ
ปรับตัวเข้ากับชาวโลก แล้วกลับทำให้จิตวิญญาณใหม่นั้นมี
วิวัฒนาการหลุดพ้นได้อีกไม่มีที่สิ้นสุด (ซึ่งแบบนี้หาได้ยาก
มากที่สุด) อันเนื่องมาจากพวกที่ห่อหุ้มด้วยจิตวิญญาณบน
โลกนั้น บางครั้ง ถูกจิตวิญญาณบนโลกครอบงำจนไม่อาจ
ทำกิจของจักรวาลได้ จึงมีอีกพวกหนึ่งที่หาวิธีพัฒนาเกราะ
(จิตวิญญาณ) ที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอกนั้นจนสำเร็จได้ในที่สุด

 

แล้วคุณละ เป็นแบบไหน?

 

ปัญหาของคุณก็คือ การหมุนรอบวิวัฒนาการจากภายใน
จนไม่มีพลวัตรกรรม ไม่ทันได้ทำกิจทำกรรม ร่วมกับชาว
โลก เกราะก็เปลี่ยนไปแล้ว ทำให้เกิดปัญหาด้านการปรับ
ตัวได้ (แต่ถ้าอยู่ในเพศบรรพชิตจะไม่มีปัญหานัก)


คือ "ปรับตัวได้เร็วเกินไป" จนคนรอบข้างปรับตามไม่ทัน

 

การยึดโยงกันของพลังงาน จะกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก


พลังงาน (ปราณทิพย์) ภายในร่างสังขารของมนุษย์ ไม่ได้มีอิสระตัดขาด
จากกันเป็นตัวใครตัวมันเสียทีเดียว (ไม่ใช่ภาวะปัจเจกฯ) เพราะมีกรรมพ่วง
โยงกันไว้ เช่น เมื่อพระโพธิสัตว์ใหญ่ชำระจิตวิญญาณเก่า ที่ตกค้างบนโลก
ได้ 1 ดวงจิต แล้วรับจิตวิญญาณดวงใหม่ที่ถูกกักขังอยู่ใต้พื้นโลก (แล้วถูก
ปลดปล่อยออกมา) จะส่งผลให้พลังงานเก่าใต้พื้นโลก โยงใย ตามมาด้วย
อีกมากมายเพราะท่านจะไม่ได้มาดวงเดียว แต่จะมีบริวารใต้พื้นโลกตามมา
ด้วยมากมาย ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงนี้เอง จึงทำให้โลกเกิดความแปรปรวน
ด้านดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ได้ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น หากผู้นำ ไม่อาจที่
จะถ่ายทอดวิธีที่ตนมีให้แก่ผู้ตามได้ ท้ายที่สุดแล้ว บริวารที่ตามหลังมา ก็จะ
ได้รับเภทภัยมากมายเพราะปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั่นเอง

 

ยิ่งกว่ามหากาพย์ไตรภาค เสียอีก

 

มันคงจริง ไม่งั้นโลกจะมีเรื่องแปลกๆ เหรอ

 

ผมเองก็เพิ่งได้บัตรประชาชน
(ในที่สุดก็เป็นคนไทยแล้ว)
เมื่อไม่กี่วันมานี่เอง

 

เอ็งเพิ่ง ๗ ขวบ รึ

 

เมื่อพระเจ้าจะสร้างมนุษย์แบบใหม่ พวกเราจึงกลายเป็น "ต้นแบบ"


ยุคปัจจุบัน เรากลายเป็นหนูทดลอง ตัวต้นแบบ ที่จะกลายเป็นมนุษย์ในยุค
สมัยหน้า ดังนั้น ในช่วงเวลาแห่งการทดลองนี้ โลกกลายเป็นหลอดทดลอง
ขนาดใหญ่ ที่มีพวกเราอยู่ในนั้น และมีพระเจ้าเป็นผู้ดูแลการทดลองเหล่านี้
และมีตัวเราเอง ที่แบ่งภาคไว้บนสวรรค์ เช่นพระโพธิสัตว์มัญชุศรี ก่อนที่จะ
ลงมาจุติ ท่านจะแบ่งภาคส่วนย่อย เอาบุญบารมีแต่น้อยออกมา เกิดเป็นตัว
เทพนักษัตรองค์น้อยก่อน แล้วจากเทพนักษัตรก็มาเกิดในท้องมนุษย์ ท่านก็
จะเป็น "ผู้กำกับ" บทบาทของเราให้ จากเบื้องบนจากจักรวาลนั่นเอง เพื่อที่
เราจะได้ไม่หลงทาง ไม่หลงโลก ท่านจะส่งพลังลงมาที่ตัวเรา นำทางเราให้
เดินตามรอยท่านอย่างไม่หลงจนกระทั่งจิตวิญญาณของเราพัฒนามากขึ้นถึง
จุดที่ "จิตวิญญาณแตกสลายตายใน" เพราะพ้นกรรมจากการเป็นเทพนักษัตร
ท่านก็จะ "ถอดกายทิพย์ครอบขันธ์" เรา ทำให้กายทิพย์ของเราที่สลายไปถูก
แทนที่ด้วยกายทิพย์ที่ท่านครอบขันธ์ให้ (แต่ดวงจิตก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่สลาย)
นี่คือ วิธีสร้างมนุษย์ยุคใหม่ ให้เดินตามรอยเดิมก่อนเป็นเบื้องต้น ก่อนที่จะหา
ทางเดินของตนเองต่อไป (ทดลองผิดลองถูกด้วยตนเอง แล้วหาทางเดินเอง)

 

ความนีเอ็งได้แต่ใดมา หามีความจริงไม่

ถ้าพระเจ้าสร้างมนุษย์จริง พระเจ้านี่ โคตะระ เลว เสียทีเดียว
แล ไร้ความรับผิดชอบ จึงมิต้องบูชามัน

สร้าง ตัวข้าขึ้นมาให้ข้าวนใน สังสาระวัฏ ก็มีแต่พุทธองค์ที่ชี้ทางออก

 

คนเรายุคนี้ มีสติปัญญา อย่าทำลายสติปัญญาตัวเองเลย

 

ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าหรือพระพุทธเจ้า
ก็คือ ธรรมชาติอย่างหนึ่งในจักรวาล
นี้ ที่มีกิจ มีหน้าที่ของตน ต่างกันไป


ก็เท่านั้นเอง...