โอวาทธรรม (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 12 พฤศจิกายน 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    โอวาทธรรม

    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต

    วัดบรรพคีรี (ภูจ้อก้อ) ต.หนองสูง อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร

    เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๓๒

    (จากหนังสือ ส.ค.ส. ๒๕๓๓ "โอวาทธรรมอันประเสริฐ")



    เรื่องเจ็บ เรื่องตาย มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ในวัฏฏสงสารเป็นอยู่ อย่างนั้น พระนิพพานไม่ได้สมมติปีเดือน ผู้สมมติปีเดือนก็ในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก สัตว์โลกผู้ท่องเที่ยวในวัฏฏสงสาร ต้องสมมติ วัน เดือน ปีเกิด ส่วนพระนิพพานไม่ได้สมมติอะไร ไม่ได้มายุ่งอะไรกับใครเลย สรรพโลกทั้งปวงมันยัดเยียดอยู่ด้วยรูปขันธ์ นามขันธ์ ขันไปหาแก่ ขันไปหาเจ็บ ขันไปหาตาย ไม่มีข้างหน้าข้างหลัง ขันไปหาโลภ ขันไปหาโกรธ ขันไปหาหลง เครื่องดองสันดาน มีความโง่ อวิชชาก็เรียก โมหะก็เรียก ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้จัก ความดับทุกข์ ไม่รู้จักทางดำเนินให้ถึงการดับทุกข์ ไม่รู้จักอดีตะ ไม่รู้จักอดีต ไม่รู้จักอนาคต ไม่รู้จักปัจจุบัน

    ถ้าจะพูดตามบัญญัติของพระพุทธศาสนาแล้วยืดยาวมาก ทำไมถึงยาวนัก ก็เทศน์อยู่ถึง ๔๕ พรรษา เทศน์ข้อ ก. ข้อ ข. ข้อ ค. ข้อ ง. โยม ก. โยม ข. โยม ค. โยม ง. เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ยมยักษ์ ท่านก็รวบรวมไว้ ครบแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ย่นลงมาหา ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ย่น ลงมาเป็นขันธ์ห้า ธรรมขันธ์ห้า ย่นลงมาในเอกนิบาต ๔ คือ มโนปุพฺพงฺ คมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโน มยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ ย่นลงมาเป็น เอกนิบาต ธรรมอันเดียว บทเดียว

    มูลเดิม ก็คือจิตใจที่สร้างบุญสร้างบาป เป็นมูลเดิมพาให้เกิดในวัฏฏสงสาร มูลเดิมในทางพระนิพพาน เป็นมูลเดิม ที่ไม่เกิดแก่เจ็บตาย มูลเดิมในสังสารวัฏ วัดเหวี่ยงไปตามโลภ โกรธ หลง ไปตาม และผลของกรรมของสัตว์ทั้งหลาย กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์ ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมในทางฝ่ายดี พระบรมศาสดาบัญญัติ เพียงพระอนาคามีเท่านั้น เรียกว่า กุศลกรรม กรรมฝ่ายชั่ว พระบรมศาสดา ทรงบัญญัติ ปราชิกสี่ อนันตริยกรรมห้า หรืออภิฐานโทษอย่างหนักหก

    โทษอย่างหนักหกคืออะไร? เพิ่มขึ้นอีกข้อหนึ่ง อนันตริยกรรมห้า มาตุฆาต- ฆ่ามารดา ปิตุฆาต-ฆ่าบิดา อรหันตฆาต-ฆ่าพระอรหันต์ โลหิตุปบาท-ทำร้าย พระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต สังฆเภท-ยังสงฆ์ให้แตกจากกัน อัญญสัตถุเทศ- ถือศาสดาอื่น จัดเป็นอนันตริยกรรมหก ผู้ที่ถือศาสดาอื่นก็ไม่สามารถ ถึงสุปฏิปันโนได้ จะภาวนาดีสักเพียงไหนก็ตาม เพราะไม่จัดเข้าในสุปฏิปันโน พรหมจรรย์เบื้องต้นของพระพุทธศาสนาจัดสุปฏิปันโน เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น จัดพระอรหันต์เป็นท้ายของพรหมจรรย์ เป็นที่จบของพรหมจรรย์

    ที่นี้พระพุทธศาสนาทำไมถึงเทศน์ เบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องท้าย เบื้องต้นในพระพุทธศาสนาคืออะไร? ก็คือ สุปฏิปันโน เบื้องกลางคือ อุชุ ญายะ เบื้องท้ายคือ สามีจิ เบื้องต้น คือ ศีล เบื้องกลาง คือ สมาธิ เบื้องท้าย คือ ปัญญา ก็คือความหมายอันเดียวกัน พระพุทธศาสนาเป็น ศาสนาโลกุตตระ ไม่ใช่โลกีย์ แต่ศาสนาอื่นๆ มารับเอาคำสอนของ พระศาสดาไป ก็มาลักเอาเมื่อวานนี้คล้ายกันกับกามาลักเอาขนหรือ หางของนกยูง ที่ร่วงหล่นอยู่ตามป่า มาแทรกแซงขนของตน ด้วยอยากให้วิเศษวิโส แต่ที่แท้ตัวของมันก็ยังร้องกาๆๆๆ บอกชื่อมันอยู่

    ผู้จะขบแตกพระพุทธศาสนา ต้องเป็นผู้มีศีลห้าบริบูรณ์จึงจะ ขบแตกเน้อ เว้นอบายมุขเสีย ถ้าอบายมุขยังไม่เว้น ก็ยังขบพระพุทธ ศาสนาไม่แตก ยังลังเลสงสัยอยู่นั่นเอง เพียงแต่ยังเลื่อมใสศรัทธาอยู่ แต่ว่ายังขบไม่แตก ยังคงสงสัยอยู่ ความสงสัยจะสิ้นลงได้เมื่อเห็นโทษ ในอบายมุข ถ้ายังไม่เห็นโทษในอบายมุขความสงสัยก็ยังไม่สิ้น อบายมุข ทุกประเภทเป็นเหตุให้ปวงมนุษย์ชาวโลกสงสัยในพระพุทธศาสนา ผู้ไม่ สงสัยในพระพุทธศาสนานั้น อบายมุขไม่เสียดายอยากจะล่วงละเมิดเลย เพราะถือว่าไม่มีศาลอุทธรณ์ เป็นทางฉิบหายโต้งๆ

    มุขะ แปลว่า ฉิบหาย อยู่ซึ่งหน้าซึ่งปาก เหมือนอย่างพระศาสดา ต่อให้พระบรมศาสดากี่ล้านๆ องค์มาเล่นอบายมุขด้วยกัน ก็ต้องฉิบหายหมด ไม่มีจีวรจะนุ่งจะห่มล่ะ ต้องฉิบหายด้วยกันหมด เหตุฉะนั้นพระบรมศาสดาจึงเคารพธรรม พระธรรม มีอยู่ก่อนพระศาสดาแล้ว พระบรมศาสดาจึงมาเรียน จึงมารู้ธรรม จึง ทรงพระนามว่า ภควา เป็นผู้จำแนกธรรม ธรรมคำสั่งสอนของ พระพุทธศาสนาเป็นโลกุตตรธรรมทั้งนั้น ไม่ใช่โลกีย์

    ทำไมจึงมีโลกีย์มาปนเป ก็เพราะเหตุว่า เอาศาสดาอื่นมาปนเป กับคำสอนของพระพุทธศาสนาคลุกเคล้ากัน...เอาผ้าพ่อตากับผ้าลูกเขย เอาเตียงพ่อตากับเตียงลูกเขยมานั่งร่วมกัน พ่อตากับลูกเขยนั่งร่วมเตียง เดียวกัน เอาพระหัวดื้อแข่งดีมานะถือตัว อติมานะ-ดูหมิ่นท่าน แล้วก็ เหยียบย่ำพระพุทธศาสนาลงให้ต่ำกว่าศาสนาของตนเอง คล้ายๆกับ บ้วนน้ำลายขึ้นฟ้า บ้วนเท่าไรก็ตกใส่หน้าของตนเอง...หรือขว้างปา ใส่ต้นเสา นักมวยเอกหลบไม่ทัน...สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรจะ พิจารณาทั้งนั้น

    พระพุทธศาสนานั้น ทำไมจึงเป็นที่สนเท่ห์กันมาก ทำไมจึงเป็นที่ทุ่มเถียงเกี่ยงงอนกันมาก ก็เพราะจิตของท่านผู้ใด อยู่ ในระดับใด ก็เอาอันนั้นมายืนยัน ส่วนพระอรหันต์ท่านพ้นไปแล้ว ท่านพูดกันไม่มีการทะเลาะ พระโสดาบันพูดกันก็ไม่มีการทะเลาะ พระสกิทาคาพูดกันก็ไม่มีการทะเลาะ พระอนาคามีพูดกันก็ไม่มีการ ทะเลาะ พวกโลกีย์ต้องทะเลาะกัน เพราะเหตุใด เพราะจิตใจหนักไป ในทางวัตถุนิยม วัตถุนิยมเป็นเจ้าหัวใจ เกรงว่าวัตถุนิยมจะเสื่อม จึงหาอุบายเลียแข้งเลียขา...(หัวเราะ)...เพราะเกรงวัตถุนิยมจะเสื่อม แย่งลาภกันเหมือนแย่งขี้กันในโลกนี้

    พระบรมศาสดาหรือพระอรหันต์ไม่ได้แย่งกัน ท่านไปพ้นแล้ว ไม่ได้เสียดายเลยแม้แต่นิดเดียว ในไตรโลกธาตุ วัตถุนิยมก็ยังว่าดีอยู่ พระบรมศาสดาไม่ปฏิเสธ เพราะอาศัยวัตถุนิยมเสียก่อนจึงจะสำเร็จ อรหันต์ อาศัยปัจจัยสี่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เภสัช และอาศัยชาติ คือ ความเกิดเสียก่อน เกิดเป็นมนุษย์ มนุสสาปฏิลาโภเสียก่อน ท่าน ก็ชมว่าดีอยู่ แต่มาอยู่ใต้อู่ของอนิจจัง เหตุฉะนั้นจึงไม่ได้นอนใจ จึงชวนให้พิจารณาอยู่เสมอๆ เมื่อพิจารณาไปๆ ก็เบื่อหน่ายคลายเมาใน วัฏฏสงสาร ไม่มาเกิดแก่เจ็บตายอีก

    วัตถุนิยมเป็นของดี ท่านชมว่าดีอยู่ถ้าได้มาในทางที่ชอบ ได้มา ในทางที่ไม่ชอบมันก็ไม่เป็นมงคล เอามาทำบุญก็ได้น้อย ไม่เหมือนได้มาในทางที่ชอบ เงินเลข เงินผา เงินเบอร์ เงินทุจริต ทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ก็ดี อสังหาริมทรัพย์ก็ดี นำมาบริจาคทานในสมณะ ในทางพระพุทธศาสนานั้น อานิสงส์ไม่มาก มีอานิสงส์นิดเดียว เพราะเป็นของไม่บริสุทธิ์ เหตุฉะนั้น ทักขิณาวิสุทธิสี่จึงมีทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ไม่ใช่ฝ่ายปฏิคาหก ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหกไม่ใช่ฝ่ายทายก ทักขิณาบางอย่างไม่ บริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย ทักขิณาทานบางอย่างบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย...กล้าดี นาไม่ดีก็พอดึงกันได้บ้าง นาไม่ดีกล้าดีก็พอดึงกันได้บ้าง นาไม่ดี กล้าก็ไม่ดีก็ไม่ดึงกัน นาก็ดีกล้าก็ดีก็ดึงกัน...

    ผู้หวังพ้นทุกข์ในวัฏฏสงสาร ปัญหาไม่มีมาก ผู้จะอวดดีอวดเด่น ในวัฏฏสงสาร ปัญหามันก็มาก สิ่งไหนมันไม่สมประสงค์ก็ยิ่งยุ่งขึ้นมาใหญ่ เพิ่มปัญหาขึ้นอีกพูนทวี เพราะในวัฎฎสงสารมันไม่สมประสงค์กับใคร นอกจากจะทำจิตทำใจ ให้คลาย ให้เบื่อ ให้หน่าย ให้หลุด ให้พ้น ไปเท่านั้น จะทำให้มันอยู่ในวงแขนนั้น มันไม่อยู่เสียแล้ว มันไม่อยู่ในวงแขนของใคร เห็นอนิจจังขณะจิตเดียว ก็เห็นโลกรอบแล้ว เพราะโลกเต็มไปด้วยอนิจัง เห็นทุกข์ขณะจิตเดียว ก็เห็นโลกรอบแล้ว เพราะโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราเขา เพียงแต่สักว่า รูปขันธ์ นามขันธ์ เกิดขึ้นแล้ว แปรปรวนดับสลาย เป็นสักแต่ว่าสังขาร เพียงแค่ขณะจิตเดียวก็เห็นโลกรอบ แล้ว ไม่ต้องสงสัยในโลกทั้งปวง ถ้าเห็นชัด ถ้าเห็นไม่ชัดก็ไม่ตัดความสงสัย ถ้าเห็นชัดก็ตัดความสงสัย

    คำสอนของพระพุทธศาสนา สอนเบื้องต้น สอนให้ทำมาหาเลี้ยง ชีวิตในทางที่ชอบ สอนเบื้องกลาง สอนให้แบ่งเวลาออกปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติจิตใจอย่าส่งเสริมกิเลสมาก สอนเบื้องปลาย สอนให้เบื่อหน่าย คลายเมาในวัฏฏสงสารหมด ให้ปลดอาวุธหมด อาวุธตัวเอง อาวุธใครก็ให้ ปลดหมด ทีนี้พวกเราอาวุธเพียงเลขๆผาๆ ก็ยังไม่ปลด มันก็หยาบเหลือเกิน อาวุธที่นับถือศาสดาอื่นก็ยังไม่ปลด

    คำว่ามาตุฆาต ปิตุฆาต อรหันตฆาต โลหิตุปบาท-ทำร้ายพระพุทธเจ้า ถึงแก่ห้อพระโลหิต สังฆเภท-ยังสงฆ์ให้แตกจากกัน เป็นบาปที่สุด ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ตั้งอยู่ในฐานปาราชิกของผู้นับถือพระศาสนาพุทธ อัญญสัตถุเทศ บัญญัติเพิ่มขึ้นอีกเป็นหก เป็นโทษฐานอย่างหนักหก คือ นับถือศาสดาอื่น

    พระโสดาบันไม่นับถือศาสดาอื่นมาปนเปกับศาสนาพุทธ ฤกษ์ดียามดี ไม่มีในท่าน จิตใจของเราทำดีเวลาไหนมันก็ดีเวลานั้น ความดีความชั่ว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฟ้ากับดิน ขึ้นอยู่กับจิตกับใจ กับความประพฤติของเรา อย่าไปโทษคนอื่น

    ถ้าหากว่าความดี ความชั่วมันขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ ปีไหนฟ้าดีฝนดี พระอรหันต์จึงจะเป็นพระอรหันต์ ปีไหนฟ้าไม่ดีฝนไม่ดี พระอรหันต์ก็ต้อง เกิดดับมาเป็นปุถุชน หรือโสดาบันก็ต้องกลับมาเป็นปุถุชน หรือคนที่เป็น เศรษฐีก็ต้องมาเป็นขอทาน เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ถือฤกษ์ดียามดี ในทาง พระพุทธศาสนา ผู้ภาวนาพุทโธบางท่านบอกว่า มันภาวนาต่ำ ถ้าจิตเราต่ำ ถ้าจิตเราสูง มันก็สูง มันขึ้นอยู่กับจิต

    พูดถึงพระอรหันต์ ท่านก็เรียนพุทโธจบแล้ว พุทโธพระโสดาบัน พุทโธพระสกิทาคามี พุทโธพระอนาคามี พุทโธพระอรหันต์ มีปัญญา แยบคายกว่ากัน มีปัญญาสัมปยุตต่างกัน พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ก็อันเดียวกัน นโมก็อันเดียวกัน นโมพระโสดาบัน นโมพระสกิทาคามี นโมพระอรหันต์ นโมพระอรหันต์ แปลว่า นอบน้อมจนไม่มีกิเลส จนไม่มาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีก นั่นคือ เรียนนโมจบพระอรหันต์ พระโสดาบัน เรียนนโมเบื้องต้น เข้าห้องพระพุทธศาสนา คำแต่ละบทแต่ละบาท ส่งต่อพระนิพพานหมด ที่มันส่งต่อไม่ถึง ก็เพราะญาณสัมปยุตมันต่างกัน

    ผู้สร้างบารมีแก่กล้าแล้วก็ต้องทำ น้อมตนเข้าไปหาธรรม ยกธรรมขึ้น ยกเกียรติของศีล สมาธิ ขึ้นอีก ผู้ที่บารมียังอ่อนอยู่ก็ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็จำเป็น แต่ว่าธรรมตัวเดียวกัน วินัยตัวเดียวกัน ไม่ใช่คนละตัว ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ ตัวเดียวกัน วิมุตติ นิพพาน ก็ตัวเดียวกัน แต่ว่าจิตของผู้ใดอยู่ในระดับใด ก็น้อม เข้าไปหาระดับตนเอง มันเป็นอัตตาธิปไตย ไม่เป็นธรรมาธิปไตย ผู้ที่จะเป็น ธรรมาธิปไตย ก็คือ สุปฏิปันโน คือ น้อมจิตใจเข้าไปหาพระธรรม ไม่ได้น้อม พระธรรมเข้าหาใจ ไม่ได้เอาตามอัตโนมัติ เอาธรรมเป็นประมาณ เคารพธรรม ไปตามธรรม

    เป็นช่างไม้ก็ดี เป็นช่างก่อสร้างก็ดี ไม่ได้เอาตนมาเป็นประมาณ เอาดิ่งหรือระดับน้ำเป็นอาจารย์ พระโสดาบัน หรือพระสุปฏิปันโน ก็เอา คำสอนของพระบรมศาสดาเป็นระดับ เป็นศาลตัดสิน เป็นศาลไตร่สวน เป็นศาลยุติธรรม

    โลกียสมาธิ โลกุตตรสมาธิ ทำไมถึงมี ก็เอาศาสดาอื่นมาปนเป มันก็มีสิ ศาสดาพุทธ ศาสนาพุทธ ไม่ต้องเอาอันอื่นมาปนเป ก็เป็นศาสนา โลกุตตระ โลกุตตรศาสนา คือศาสนาอะไร? ก็คือ ศาสนาพุทธ สามารถ ยกมือขึ้นสองมือจนมือขาดก็ได้ ยกมือเดียวมันไม่พอใจ ยกสองมือพร้อม กระโดดอีกด้วย เต้นอีกด้วย ศาสนาพุทธ เป็นโลกุตตระ เหตุฉะนั้น ในมหาปรินิพพานสูตร จึงบอกว่าศาสนาอื่นก็มีถมเถ อย่าเอามาปนเปกับ พระพุทธศาสนาของเราเลยนะ

    ...สุภัททะ เธอสงสัย เราจะเล่าให้เธอฟัง ศาสนาอื่นไม่มีสุปฏิปันโน ไม่มีอุชุ ไม่มีญายะ ไม่มีสามีจิ หรอก ทุกๆยุค ทุกๆสมัยของพระพุทธเจ้า เราไม่พูดเข้าข้างตัว เราพูดเข้าข้างธรรมว่า ศาสนาอื่นหนักไปทางวัตถุนิยม วัตถุนิยมเราก็ชมว่าดีอยู่ แต่มันอยู่ใต้อู่ของอนิจจัง เราไม่ไว้ใจกับมัน เราไม่ไว้ใจในวัตถุนิยม ตายคาวัตถุนิยม นองเลือดนองยางกันคาวัตถุนิยม ท่านพูดอย่างนั้นพระศาสดา เราลาออกจากวัตถุนิยม ศาสนาของเรา เพราะฉะนั้นเวรภัยจึงไม่มีในพระพุทธศาสนา นี่แหละพระบรมศาสดาท่านพูดอย่างนั้น

    ทุกสิ่งทุกอย่างพระบรมศาสดาพูดไว้หมด ไม่มีอันใดจะมาเถียงกันดอก เรื่องนุ่งห่ม พระศาสดาก็สอนเรื่องนุ่งห่ม...จงตัดให้เป็นจีวรขันธ์ สีผ้ามีอยู่สี่ห้าสี สีเหลืองหม่นบ้าง สีผ้าดำคร่ำบ้าง สีโกรานบ้าง สีใบไม้แห้งบ้าง มีอยู่สี่ ห้าสี สีผ้าดำคร่ำ คือ สีของพระโมคราช เป็นสีของพระมหากัสสปะ เป็นสีของ นางกีสาโคตมี มีอยู่สาม สี่ ห้า สีที่พระบรมศาสดาทรงบัญญัติ หลวงปู่มั่น นำมาเทศน์บ่อยๆ แต่ว่าความบริสุทธิ์ มันไม่อยู่กับสีผ้า มันอยู่กับจิตใจ แต่ว่า บังคับเหมือนกันว่า ผ้า เธอทั้งหลายจงตัดให้เป็นขันธ์ อย่างต่ำก็ให้เป็นขันธ์ห้า เพราะพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ พาตัด ทรงให้เป็นขันธ์ห้า เป็นขันธ์เจ็ด เป็น ขันธ์เก้าก็ได้ ทำไมจึงบัญญัติไว้หลายอย่าง?

    เพราะบางที ก็ได้ผ้าแคบมา บางทีก็ได้ผ้ากว้างมา บางทีคนก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน บางทีบางองค์ ก็ได้เพียงขันธ์ห้าก็มี ถ้าผ้ากว้างก็ทำขันธ์ห้าก็มี ถ้าผ้าแคบก็ทำขันธ์เก้าก็มี ขันธ์เจ็ดก็มี เหตุฉะนั้นจึงบัญญัติไว้นับแต่ขันธ์ห้าขึ้นไป ทำไมจึงตัดให้เป็น อย่างนั้น ก็เพราะ หนึ่ง...เพื่อเป็นธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สอง...เพื่อกันโจร พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ทำอย่างนั้น นุ่งผ้าไปบิณฑบาต ไม่นุ่งผ้าขันธ์ ไปบิณฑบาตปรับเป็นอาบัติทุกกฎ พระบรมศาสดาบอกไว้หมด ไม่ต้องอวดดีหรอกพวกเรา ในพระไตรปิฎกประเทศไทย มีครบหมดแล้ว ไม่ต้องปีนป่ายก็ได้ ถ้าที่ไหนเราปฏิบัติไม่ได้ ก็ต้องยอมเสียดีกว่า ดีกว่า ไปเถียงพระไตรปิฎก

    วิธีตากผ้า พระบรมศาสดาก็บอก ตากผ้าแล้วมันเป็นรอยเชือก รอยสาย สะเลียง จะทำอย่างไร? พระองค์ว่า ถ้าอย่างนั้น ประมาณ ห้านาทีก็พลิกไปพลิกมาๆ นั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้น เวลาตากผ้าย้อมผ้า ไม่นั่ง เฝ้าอยู่ เป็นอาบัติทุกกฎ ทีนี้ตากแล้วมันยังเป็นรอยอยู่พระเจ้าข้า ถ้าอย่าง นั้น ก็ขึงเชือกสองสายอย่างนี้ เอามามุงเหมือนประทุนรถ แล้วพลิกไปพลิกมา มันก็ไม่เป็นรอยเท่านั้น ที่นี้ย้อมแล้ว มันแข็งจะทำอย่างไร? โอ้...มันก็ไม่ยาก เอามาตบไปตบมาๆ มันก็อ่อนเท่านั้นเอง พระบรมศาสดาบอกไว้หมด สิ่งไหน ที่พระบรมศาสดาไม่บอกไว้ไม่มี

    ใครจะเทศน์เก่งสักเพียงไหนก็ตามเถิด พระบรมศาสดาเทศน์มาแล้ว ทั้งนั้น เล็มก้างของพระองค์ท่านทั้งนั้น ใครจะเป็นพระอรหันต์ขึ้นในวันนี้ ก็เล็มก้างของท่านทั้งนั้น เพราะพระองค์ท่านเป็นก่อนแล้ว แต่ว่าเล็มทางดี ไปอุจจาระองค์ท่านก็บอก ไปที่ไหนองค์ท่านบอกหมด บอกหมดทุกชนิด ที่ไหนองค์ท่านไม่บอกไม่มี ฆราวาสก็เหมือนกัน บอกหมด ระหว่างผัว กับเมียก็บอก สิ่งไหนที่เกี่ยวกับฆราวาสพระบรมศาสดาไม่บอกไม่มี สิ่งไหน ที่เกี่ยวกับภิกษุสามเณร พระบรมศาสดาไม่บอกไม่มี

    จึงทรงพระนามว่า โลกะวิทู-เป็นผู้รู้โลก สัตถา เทวะมะนุสสานัง-เป็นผู้สอนของเทวดา และ มนุษย์ทั้งหลาย สอนได้ทั้ง คนชั้นต่ำ ชั้นสูง ชั้นกลาง สอนได้ทั้ง สุปฏิปันโน อุชุ ญายะ สามีจิ สอนได้ทั้งโลกียะ พวกอยู่เป็นฆราวาส...พวกเธอ ไม่อยากบวช ก็อย่าบวชเน้อ ให้แยกพวกเธออยู่ฆราวาส ถ้าพวกเธอมาบวช หมด ก็ไม่มีใครใส่บาตรให้เรากิน... พระบรมศาสดาพูดอย่างนั้น... แม้พวกเธอ ไม่บวช ก็สามารถปฏิบัติได้ พวกเธอสามารถถึงพระโสดาบัน ถึงพระสกิทาคามี ถึงพระอนาคามี ถึงพระอรหันต์อยู่ ขอให้พวกเธอเว้นอบายมุขเสีย ขอให้เธอ ยินดีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น

    ในระหว่างผัวกับเมียก็บอกด้วยยกย่องนับถือว่า เป็นภรรยา ด้วยไม่ดูหมิ่น ด้วยไม่ประพฤติล่วงใจ ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้ ด้วยให้เครื่องแต่งตัว พระบรมศาสดาเป็นการบ้าน เป็นการเมือง เป็นการเทวโลก เป็นการพรหมโลก เป็นการพระอรหันต์ ครบหมดในองค์พระศาสดา ถ้าจะกล่าวตู่ว่า พระเป็น การบ้านการเมือง การเทศน์โปรดญาติโยมก็ไม่ได้เทศน์ไม่ให้กินเหล้าเมายา ก็เทศน์ไม่ได้ นี่เป็นการบ้าน นี่พระภิกษุก็ผ่านมาแล้ว อบายมุขพระภิกษุสงฆ์ ก็ผ่านมาแล้ว ไม่เป็นหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์จะไปทำ ไปสอนฆราวาสทั้งนั้น

    ลองพิจารณาให้ชัด คำสอนใดๆในไตรโลกธาตุเป็นเมืองขึ้น คำสอนของพระพุทธศาสนาทั้งหมด ไม่ต้องอวดดีก็ได้ เข็มทิศจะกี่ล้านๆ ก็เป็นเมืองขึ้นของทิศเหนือทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องอวดดีกับทิศเหนือหรอก เข็มทิศ ห้วยน้ำ หนอง คลอง บึง บางต่างๆ จะมีกี่ล้านๆ ก็ไหลลงสู่มหาสมุทร ทะเลฉันใด นี่เทียบพระพุทธศาสนาทางลึก ถ้าเทียบในทางสูงก็เทียบใส่ เข็มทิศ มีอยู่ในหนังสืออะไรนั่น อ่านดูเถอะ หนังสือเล่มเล็กๆ แต่พูด เจ็บปวดเน้อ...พูดเจ็บปวดนะเล่มเล็กๆนี่ เราไม่สงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    บางท่านไม่เข้าใจในสังฆเภท เรื่องสังฆเภท นางภิกษุณีทำ สังฆเภทไม่ได้ นางสิกขมานาก็ทำสังฆเภทไม่ได้ เป็นแต่เพียงสังฆราชี ทำให้ร้าวรานกัน มหานิกายก็ทำสังฆเภทธรรมยุติไม่ได้ อุบาสก อุบาสิกา ก็ทำสังฆเภทไม่ได้ จะทำสังฆเภทได้แต่อยู่ในเสมาอันเดียวกัน ในสมาน สังวาสอันเดียวกัน ให้แตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายละสององค์ เป็นต้นไป ไม่ยอมลงอุโบสถร่วมกัน นี่จัดเป็นสังฆเภทได้และพากเพียรทำให้สงฆ์ แตกกัน ถ้าไม่มีเจตนาเพื่อจะให้แตกกัน ก็เป็นสังฆเภทไม่ได้ คือ เพียง ทะเลาะกันเฉยๆ ไม่ได้ตั้งเจตนาว่าจะทำให้แตกกัน แต่พวกนั้นไปแตกกันเอง ก็จัดว่าทำสังฆเภทไม่ได้ การทำสังฆเภทต้องมีเจตนา มีเจตนาทำให้ แตกกัน จึงจัดเป็นสังฆเภทได้ แล้วก็เป็นภิกษุที่อยู่ในสมานสังวาสเดียวกัน ลงอุโบสถด้วยกัน คนละนิกาย ทำสังฆเภทไม่ได้ เพราะไม่ลงอุโบสถ ด้วยกัน

    พระพุทธศาสนาสอนอย่างไรบ้าง เราต้องขบให้แตก ก็เรื่องศีลห้า เท่านั้นแหละ การรบราฆ่าฟันจะมาจากประตูไหน เท่านั้นพอแล้ว ถ้าโลก ทั้งหลายเต็มไปด้วยศีลห้า ศีลห้าเป็นทรัพย์มากกว่าแผ่นดิน แผ่นฟ้า ผู้ใดมีศีลห้าบริสุทธิ์ ผู้นั้นจะขอทานเขากินก็ตาม ก็คล้ายกับว่ามีทรัพย์ เก็บไว้ครอบแผ่นดินแล้ว ทรัพย์ภายในเรียกว่า อริยทรัพย์ ผู้ใดจะมี เงินหมื่น เงินล้าน เงินเท่าไหร่ก็ตาม เมื่อศีลห้าไม่มี เมื่อหิริ ความละอาย ต่อบาปไม่มี โอตัปปะ ความกลัวบาปก็ไม่มี กิน คอรัปชั่น-รัปเชิ่นอะไรสารพัด คนนั้นแหละนายรับเหมานรก...(หัวเราะ)...นรกอยู่ที่ใจนายรับเหมานรก จะแสดงเป็นผู้วิเศษวิโสเพียงใดก็ตามเถิด การแสดงนั้นก็เป็นการโกหก พกลมตนอยู่ในตัว ทำใจตนให้เป็นหมัน ทำใจตนให้เป็นคนนอนใจเสีย อีกด้วย

    ทรัพย์ภายใน...ทรัพย์ภายในมีบริบูรณ์ ทรัพย์ภายในเป็นศีล ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นทรัพย์ภายใน เชื่อใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แผ่นดินหนาสองหมื่นสี่พันโยชน์ เขาเอาลูกระเบิดปรมาณูทำลายก็แตก แต่เชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ไม่มีใครทำลายแตกได้เลย

    "มึงกราบกูซะ มึงไหว้กูซะ" ก็กราบ ก็ไหว้ แต่ใจนึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่

    "มึงไม่ไหว้กู มึงไม่กราบกู กูจะฆ่ามึงอยู่เดี๋ยวนี้ละ" ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ต้องกราบ แต่จิตใจระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะคน ขนาดนั้นมันดักจิตดักใจเราไม่ได้หรอก มันไม่รู้จัก มันไม่เป็นเจโต ปริยญาณ รู้จักใจเราหรอกคนแบบนั้น (หัวเราะ)...

    พูดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์...พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นของไม่มีกิเลส ระลึกถึงเพียงไหนก็เป็นของขลังอยู่ คุณพุทธแท้ ธรรมแท้ สงฆ์แท้ ก็คือคุณพระนิพานนั่นเอง...พุทธ ธรรม สงฆ์ อยู่ที่ไหน ก็อยู่ในใจของมนุษย์นี่เอง อริยธัมโม ฐิโต นโร อริยธรรม คือ ธรรมอันประเสริฐ อยู่ที่นรชน ผู้ใดภาวนา พุทโธ...พุทโธ อยู่ไม่มีกลางวัน กลางคืน ผีก็ ไม่เข้าใกล้ อะไรก็ไม่เข้าใกล้ โจรก็ไม่มาหา ยักขาโตรามุกขาภาวาฯ เราทั้งหลายจงสวดพระปริตร อันนั้นเถิด โดยใจสวดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นเอง

    คนหนึ่งเขาภาวนาพุทโธ พุทโธไปจากอุดร ในสมัยที่ล่วงมากว่า ยี่สิบปีแล้ว เขาภาวนาพุทโธ พุทโธ เขาจะเยี่ยมบุตรของเขาที่วัดบรมนิวาส ในสมัยนั้นออกจากวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี พอไปถึง ลงรถที่ สถานีกรุงเทพฯ บอกว่าจะไปเยี่ยมลูก แต่พอเขาพูดภาษาอีสาน พูดภาษา ภาคกลางไม่เป็นเพราะเป็นคนโบราณ จะไปเยี่ยมลูกที่วัดบรมนิวาส จะไปย่านลูก ที่วัดบรมนิวาส ลูกเป็นมหา "เออ..มาๆๆๆจะพาไป" ขึ้นรถไป ผ่านไป จะไปลงประตูน้ำ ผ่านเลยไป ผ่านไปวัดสามง่ามอีก ผ่านไปอีก ไปพบตำรวจๆเห็นแปลกๆ ถามว่า "จะไปไหน...จะไปไหนคุณยาย" "จะไปวัดบรมนิวาส" "เอ้า...วัดบรมนิวาสอะไร มาทางนี้" "ไป...ไป...ไป..."จูงแขนไปส่งเลย ด้วยอำนาจภาวนาพุทโธ ถ้าไม่ภาวนา พุทโธ เขาก็พาไปต้มจริง...

    พุทโธไม่พามาเกิด พุทโธไม่พาแก่ พุทโธไม่พาเจ็บ พุทโธ ไม่พาตาย พุทโธเป็นศรัทธาจริต เราภาวนาพุทโธความตายก็ดี เรา ภาวนาลมหายใจเข้าออกก็ดี ดีหมด คำสอนของพระบรมศาสดาให้ เราทำไม่ดีน้อยก็ดีมาก ถ้าเราทำมากก็ต้องดีมาก เราทำน้อยก็ต้องดีน้อย พระบรมศาสดาเอาถุงเงินถุงทองให้สัตว์โลกทั้งปวงแล้ว แต่สัตว์โลก ทั้งปวงเอาไม่เป็น ก็เลยไปเอาแต่ทรัพย์โจร ทรัพย์มาร เอาทรัพย์โจร ทรัพย์มารก็คือ การเบียดเบียนกันก็มีแต่เวรสนองเวร ภัยสนองภัยกันกันอยู่ ทุกวันนี้เอง เป็นเพราะเหตุใด เพราะไม่เอาทรัพย์พระบรมศาสดานั่นเอง...

    ความเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นลาภอย่างยิ่ง จะไปนรกก็มาหามนุษย์ จะไปสวรรค์ก็มาหามนุษย์ เพราะเป็นชุมทาง จะไปเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ มาหามนุษย์ ต้องมนุษย์เสียก่อน จะไปเป็นเปรต เป็นผี อสุรกาย อะไร ก็ต้องมามนุษย์ จะไปเทวโลก พรหมโลก สวรรค์ จะเป็นสุปฏิปันโน อุชุ ญายะ สามีจิ ก็ไปจากมนุษย์...

    ...เป็นมนุษย์ สุดจะหลีก ปลีกให้พ้น ความทุกข์ยาก ความกังวล ให้พ้นได้...พระบรมศาสดาตรัสสอน คำสอนใดๆ จะเสมอเหมือนคำสอนใน พระพุทธศาสนาไม่มีสอนในระหว่างลูกกับบิดา กับพ่อกับแม่ก็สอน...ท่านเลี้ยงมา แล้วให้เลี้ยงท่านตอบ ทำกิจของท่าน ดำรงวงศ์ตระกูลประพฤติตนให้ควร ดำรงทรัพย์มรดกเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน... ...นี่พระบรม ศาสดาสอนให้ปฏิบัติต่อบิดามารดา ส่วนบิดามารดาท่านลงทุนก่อนแล้ว หนึ่งห้ามไม่ให้ทำความชั่ว สองให้ตั้งอยู่ในความดี สามให้ศึกษาศิลปวิทยา สี่หาภรรยา หรือสามีที่สมควรให้ ห้ามอบทรัพย์ให้ในสมัยที่สมควรมอบให้ ก็มอบให้

    บางท่านบอกว่า ท่านไม่มอบทรัพย์สมบัติให้ตน "...ตึกนั้น ห้องนั้น ห้องนี้ ไม่ให้สร้าง..." ก็เพราะชีวิตของตนเหลวไหล โลเล เป็นขี้โกง ยี่เก ท่านสังเกตดูเสียก่อนว่า มันจะเอาทรัพย์ไป...ท่านก็ไม่ให้ ท่านก็ต้อง คอยดูเสียก่อน ความประพฤติเราไม่ดี ท่านก็ไม่ให้ แต่ท่านที่ให้แล้ว คือ ขาสอง แขนสอง ศีรษะหนึ่ง ท่านเลี้ยงเรามา

    ...ชาติ...เป็นคนทุกข์ หาบฟืนขาย ก็ได้แบ่งออกเป็นสี่ส่วน ส่วนหนึ่ง เอาไปให้งูเห่า ส่วนหนึ่งเอาไปฝังไว้ในพระคลังมหาสมบัติ คือ เอาไป บริจาคทานในพระพุทธศาสนา ส่วนหนึ่งเอาไปใช้หนี้ คือ เอาไปให้บิดามารดา ส่วนหนึ่งเอาไปให้งูเห่า คือ เอาไปให้ภรรยา ถ้าไม่ให้มันก็เห่าฟ่อ ๆ (หัวเราะ)... เออ...พูดถูกกับกิเลสมันหัวเราะเลย ทุกข์จนสักเพียงไหน ก็ไม่ทิ้งบิดามารดา พระบรมศาสดาท่านสอนเก่ง อันไหนที่พระองค์ท่านไม่สอนไม่มี

    มีภิกษุองค์หนึ่งบวชเข้ามาแล้ว ได้ข้าวมา...ไปบิณฑบาตได้ข้าวมาเล็กน้อย ก็เอาไปให้มารดาบิดา ได้ผ้าผ่อนท่อนสไบมา ก็ไปซักให้มันเรียบ ไปให้บิดามารดา เห็นว่าเขาอยู่ทางโลก เขาเลี้ยงบิดามารดา ไม่เป็นธรรม เรามีสิทธิเหมือนกัน เพราะท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เราจะ เลี้ยงท่านตอบ พระภิกษุสงฆ์เห็นเช่นนี้ ก็ไปฟ้องพระบรมศาสดา พระ บรมศาสดาก็ตีระฆังให้สงฆ์มาประชุมกัน พระบรมศาสดาถามพระภิกษุนั้น เธอทำอย่างนั้นจริงหรือ?...

    "...จริง พระเจ้าข้า..."

    ...เธอมีความประสงค์อย่างไรจึงทำอย่างนั้น

    ...ก็บิดามารดามีพระคุณมากพระเจ้าข้า ถ้าจะพูดถึงพระคุณขององค์ท่าน น้ำตากระผมก็ไหล พูดไม่จบเรื่อง เมื่อเวลาท่านมีท้อง ท่านก็ลำบาก กินของเผ็ดของคาวเข้าไปก็ระวังยาก เกรงจะล้ม สารพัด เมื่อมีท้องได้ หกเดือน เจ็ดเดือน แปดเดือน เก้าเดือน ยิ่งระวังยาก เวลาจะคลอดยิ่ง เสี่ยงบุญ เสี่ยงกรรมจะตาย สารพัด ถ้ามีคนช่วย มีพี่เลี้ยงก็ค่อยยังชั่ว ถ้าออกมาออกจากไฟแล้ว แข็งแรงมากแล้ว มือหนึ่งก็กอดลูก มือหนึ่ง ก็โขลกพริก มือหนึ่งก็ทำอาหาร ถ้ามีผู้เอาให้ก็เป็นส่วนหนึ่ง พอลงมา เที่ยวหนทางเป็น ก็ต้องคอยดู เดี๋ยวรถจะทับ เดี๋ยวม้าจะเหยียบ อะไรต่อ อะไรสารพัด เป็นทุกข์หัวใจ ร้องไห้ กินของคาปาก ก็คายให้กิน เมื่อนึกไปคุณของท่านมีมาก กระผมพูดไม่ได้ น้ำตาไหลแล้ว...

    ส่วนบิดาของกระผม ก็ไปหาทางอื่นมา เกรงจะไม่คุ้มลูกคุ้มเมีย พระคุณของท่านมากมายเหมือนกัน เมื่อนึกอย่างนี้แล้ว กระผมจึง ได้ทำอย่างนั้น ถ้าหากว่ามันผิดก็จะเว้น ถ้าหากถูกจะรักษาไว้ จะไม่ให้รังเกียจ พระภิกษุสงฆ์ผู้มาฟังหรอกขอรับ...ต่างอยากจะฟังเทศน์อย่างนี้ เพราะนักปราชญ์เขาก็พูดอย่างนั้น เขาเป็นคนหวังดีนะพระองค์นั้น

    ทีนี้พระบรมศาสดา ก็ทรงสาธุการ...สาธุ...สาธุ...สาธุ...เราเกิดมาในภพใด ชาติใด เราไม่เคยทิ้งบิดามารดาเลย แม้เป็นสัตว์เดรัจฉาน เราก็ไม่ทิ้ง เมื่อชาติที่เป็นนกแขก เราไปหารวงข้าวมาให้บิดามารดาของเรากิน ข้าวที่ชาวนาทำร่วงหล่น ไม่ได้ไปลักเอา ชาติที่เป็นลิง เราก็ไปหาหัวไม้ หมากไม้ มาให้บิดามารดาของเรากินอยู่ ชาติที่เป็นโค เป็นกระบือ ไปพบหญ้าที่ไหนงามๆ เราก็กินวนกินเวียนอยู่ บิดามารดาของเรากินไปถึง เราก็หาอุบาย ให้บิดามารดาของเรากิน แล้วเราก็ไปหากินที่อื่นอีก พอเห็นงามๆ เราก็กินวนกินเวียนไว้ เราเกิดมาภพใดชาติใด ไม่เคยทิ้งบิดามารดาเลย พระคุณของบิดามารดา เปรียบเหมือนคุณของพระอรหันต์ ใครประมาทไม่ได้...ท่านพูดอย่างนั้น พระบรมศาสดา เราสาธุการ... เราสาธุการ...ภิกษุทั้งหลายก็เลยอนุโมทนา

    ...เออ...ถ้าเราไม่ฟ้อง เราก็ไม่ได้ฟังธรรมะ เราไม่ได้เสียเปรียบ พระองค์นี้หรอก เรายินดีที่สุด เราไม่ถือว่าเราแพ้ เราถูก เราชนะ เราได้ฟังเทศน์ บุญของเรามาก...พระองค์นั้นก็ไม่โกรธให้พระองค์นี้ และก็ไม่ยอมถือว่าเสียเปรียบ ถือว่าเป็นโชคดี นักปราชญ์ต่อนักปราชญ์ พูดกัน มันน่าฟังเหลือเกิน....คนหนึ่งเห็นกับตาว่า เณรองค์หนึ่ง สงเคราะห์บิดามารดา...ท่านก็ว่าให้...ขนข้าวใส่ก๊กๆๆ ไม่นาน มะเร็งแตกออก ที่ขานั่นรักษาไม่หาย ตายเลย บาปมาก ตอนนี้...มาตาปิตุอุปัฏฐาน... การอุปฐากบิดามารดา เป็นมงคลของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

    ชาติที่เรา เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ไปเทศน์เอามารดาของเราจนถึงพระโสดาบัน ส่วนบิดาของเรา เทศน์ให้ถึงพระอรหันต์นั่น พระเจ้าสุทโธทนะ... ไปเทศน์พระสุทโธทนะพระบิดาจนถึงพระอรหันต์ ไปเทศน์พระมารดาจน ถึงพระโสดาบัน พระมารดาของพระองค์ท่านยังจะได้มาเป็นมารดาของ พระศรีอารยเมตไตรยอีก เพราะปรารถนามาแต่นานแล้ว ว่าจะเป็นมารดาของพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ พระโสดาบันประเภทนี้คงจะเป็น เอกพีชี มีพืชอันเดียว จะเกิดอีกชาติเดียว คงไม่เป็นโกลังละ...


    เราไม่เชื่อพระพุทธศาสนา บุญวาสนาของเราก็ไม่มี ถ้าเราไม่เชื่อพระพุทธศาสนา ก็ให้ตีความว่า เราเป็นผู้บาปหนาสาโหด แม้พระพุทธศาสนาไม่ข่มเหงให้เชื่อก็จริง แต่ว่ามันมีเครื่องตัดสินอยู่ในตัว ถ้าเราไม่เชื่อคำสอนพุทธศาสนาก็เท่ากับว่า บารมีของเราต่ำต้อยมาก ถ้าเราเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เรียกว่า บารมีของเราสูงแล้ว ผู้มีปัญญาย่อมยินดีในสิ่งที่ควรยินดี ย่อมไม่ยินดีในสิ่งที่ไม่ควรยินดี ย่อมสรรเสริญในสิ่งที่ควรสรรเสริญ ย่อมไม่สรรเสริญในสิ่งที่ไม่ควร สรรเสริญ พูดกับพวก กับหมู่ก็พูดมาก เวลาภาวนามีแต่ตนคนเดียว ก็ไม่เอามากหรอก เอานิดเดียวเท่านั้นละ อันนี้โวหารก็ต้องหารลง โวหารก็ให้หารลงถึงใจ หารลงถึงหนึ่งโวหารกับโวหอนก็อันเดียวกัน

    คำว่าทุกข์ ย่นลงหาเอกทุกข์ในปัจจุบัน คำว่า ตาย ย่นลงหา เอกะตาย ในปัจจุบัน เอาปัจจุบันเป็นพยาน ชาติปิทุกขา คำเดียวเท่านั้น ถูกใจโลกธาตุแล้ว ถูกหมด คนหูหนวกก็ถูก คนตาบอดก็ได้ยิน คนหูหนวกก็ได้ยิน คนเตี้ยคนค่อมก็ได้ยิน พิจารณาเพื่อพ้นทุกข์ในวัฏฏสงสาร ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ... ขอให้รู้แจ้งแทงตลอดมรรคผลนิพพาน อย่าได้มาท่องเที่ยวในวัฏฏสงสารนานนัก...ชาติสุดท้ายขอให้เป็นในชาตินี้เถิด ...ต้องปรารถนาอย่างนั้น ความปรารภก็ดี ความประสงค์ก็ดี...การตั้งสัจจบารมี ก็ดี ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน คนเราทำอะไรๆก็ต้องมีความต้องการ คิดจะพูดอยู่เดี๋ยวนี้ก็มีความต้องการ ให้เข้าใจในคำพูด

    อือม์...เหนื่อยอยู่ เหนื่อยเหมือนกัน พูดตะลอน...(หัวเราะ)... ที่นี้จะปรารภอะไรก็ปรารภซะ ปรารภคนเดียวมันหนวกหู...(หัวเราะ)... ท่านผู้ใดจะปรารภอะไรก็เอาเน้อ...ปรารภคนเดียวมันหนวกหู...

    กราบเรียนถามหลวงปู่...สมัยก่อนมีพระมหานิกาย ธรรมยุติ หรือไม่ขอรับ...

    แต่ก่อน?

    ครับผม หรือในสมัยรัชกาลที่สี่นี่ใช่ไหมขอรับ...

    เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ไม่มี...แต่ก่อนไม่มีมหานิกาย ธรรมยุติ เพิ่งมามีในรัชกาลที่สี่ แต่ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีนานาสังวาส หรือไม่มีนานานิกาย หรือไม่มีเหมือนกัน เหตุที่จะเกิดนานาสังวาสหรือ นานานิกายเรื่องมันมีอยู่ เรื่องวิวาทาธิกรณ์ เมื่อวิวาทานิกรณ์เกิดขึ้น สงฆ์ไม่รีบระงับเสีย จะทำให้เกิดนานาสังวาส นานานิกาย พระบรมศาสดา เทศน์ไว้แล้ว ทุ่มเถียงกันว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้ไม่ป็นธรรมนี้คู่หนึ่ง สิ่งนี้ เป็นวินัยสิ่งนี้ไม่เป็นวินัยคู่หนึ่ง

    สิ่งนี้พระตถาคตเจ้าทรงบัญญัติไว้ สิ่งนี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ สิ่งนี้พระตถาคตเจ้าทรงประพฤติมา สิ่งนี้พระตถาคตเจ้าไม่ได้ประพฤติมา สิ่งนี้เป็นอาบัติเบา สิ่งนี้เป็นอาบัติหนัก สิ่งนี้เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ สิ่งนี้เป็นอาบัติไม่มีส่วนเหลือ เถียงกันเป็นคู่ๆ เถียงกันไป...ให้หาครบ มีเก้าคู่ มี สิบแปดอย่าง...สิ่งนี้เป็นอาบัติหยาบคาย สิ่งนี้ไม่เป็นอาบัติหยาบคาย สิ่งนี้เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ สิ่งนี้เป็นอาบัติ หาส่วนเหลือมิได้ ก็เกิดวิวาทาธิกรณ์ คู่ใดคู่หนึ่ง ทีนี้พระของใครก็ไปทางไหน ก็ไปทางนั้นละทีนี้ เป็นพระสองฝ่าย

    คราวที่สงฆ์แตกกันในเมืองโกสัมพี แตกเป็นสองทาง ทางละห้าร้อย ไม่ลงอุโบสถด้วยกัน ไม่ยอมลงอุโบสถด้วยกัน ต่อมาก็เห็นโทษกันเอง ก็เลยยอมกัน...ที่นี้แตกกันทางละห้าร้อย...พระวินัย พระธรรมกถึกไปถ่าย อุจจาระแล้วเหลือน้ำในกระบอก พระวินัยธรไปเห็น ทำอย่างนี้เป็นอาบัติ ทุกกฏ เพราะไม่ใช่ส่วนตัว เพราะไม่ใช่ห้องถ่ายส่วนตัว เป็นของสาธารณะ เถียงกันว่าไม่เป็น ลูกศิษย์ของใครของมันก็เถียงกัน

    ฝ่ายละห้าร้อย เป็นปุถุชนคนหนาทั้งนั้น ฝ่ายละห้าร้อย ลูกศิษย์ทางนี้ก็มีห้าร้อย ลูกศิษย์ ทางนี้ก็มีห้าร้อย พระบรมศาสดาให้ไประงับอธิกรณ์ ผู้ที่เกี่ยวข้อง เขาเป็น คนนักฟ้องนักหาหรือทำไมถึงไม่พิจารณา ผู้ที่เขาเป็นจำเลยเขามักล่วงละเมิด หรือทำไมไปฟ้องเขา.......เธอทั้งหลายจงระงับเสีย ก็ไม่ระงับกัน ไม่ระงับกัน พระองค์ก็เลยหนี อุบายหนีเสีย ไม่ใช่หนีไปด้วยความโง่ๆ หมายความว่า เราหนีไปแล้ว พวกนี้ก็จะยอมความกันเอง ระงับด้วยวินัย ที่เรียกว่า ไกล่เกลี่ย นั่นเอง

    ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะเป็นเพียงอาบัติทุกกฏ พระบรมศาสดาเลย ไม่ตัดสินว่าให้ทำอย่างนี้...ทางขวา...ทางซ้ายชนะ ถ้าตัดสินทางขวา ซ้ายชนะ ทางใดทางหนึ่งแล้ว อธิกรณ์จะกำเริบมาก เพราะมันเป็นอาบัติ เล็กน้อย และมีคนเท่ากัน ก้เลยคนพวกนี้จะเห็นโทษเอง เมื่อเราหนีเขาก็ ติเตียนพวกนี้ว่าพวกนี้ดื้อดึง ไม่เคารพพระศาสดา หนีไปอยู่ป่าเลไลย์ ไม่ได้หนีไปด้วยความโง่ หนีไปด้วยอนาคตังสญาณ ถ้าเราหนีไปแล้ว พวกนี้ จะยอมกันเอง จะจริง จะเป็นจริง นี่เป็นวิธีรักษาอธิกรณ์อันหนึ่ง เรียกว่า ไกล่เกลี่ย ในภาษาปัจจุบันนี่เอง พวกนั้นก็เลยเห็นว่า ที่เขาใส่บาตรแล้ว เป็นผลจากพวกเรานี่เอง

    พระบรมศาสดาหนีแล้ว พวกเรายอมกันซะ ก็เลยมายอมกันซะ ก็เลยมายอมกัน มาตั้งหน้าภาวนา ก็เลยสำเร็จพระอรหันต์ มันเป็นนานาสังวาส นานานิกายด้วยกันนี้ ทำไม พระบรมศาสดาก็ไม่ได้ บอกว่าธรรมยุติเป็นสาวกเรา มหานิกายเป็นสาวกเรา พระบรมศาสดา ไม่ได้ว่า บอกว่าสุปฏิปันโน อุชุ ญายะ สามีจิ เท่านั้น แต่เรามาใส่ชื่อ ลือนามกัน โพธิรักษ์เน้อ...เป็นสาวกของเรา สงฆ์ทั้งหลายเน้อ...เป็น สาวกของเรา พระบรมศาสดาก็ไม่ได้ยืนยัน ยืนยันแต่เพียงว่า สุปฏิปันโน อุชุ ญายะ สามีจิ เท่านั้น แต่ว่า...(หัวเราะ)...พูดมากอันตราย พูดหลาย เป็นโทษเด้อ...นี่...(หัวเราะ)...ต้องพูดไปทางอื่นซะ...คนมากระวังปาก

    ความจริงศาลตัดสินก็มีอยู่แล้ว กรรมและผลของกรรมเป็นผู้ตัดสิน อยู่ปลายทาง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันตัดสินอยู่ในตัวแล้ว ถ้าสิ่งไหนที่ถูก มันก็ไปรอด ถ้าสิ่งไหนไม่ถูก มันก็ไปไม่รอด เท่านั้นพอแล้ว สิ่งที่พระองค์ ท่านถูก ท่านก็ว่าไปรอด พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่ทำถูกก็ไปรอด เรามาปฏิบัติ พระพุทธศาสนา ถ้าเราเห็นธรรม เห็นวินัย พระบรมศาสดาชัดแล้ว เราก็รู้จัก ความหมายว่า พระพุทธศาสนานี่สั่งสอนคนให้ออกจากวัฏฏสงสาร ไม่ให้มา เกิด แก่ เจ็บ ตายอีก ก็มีความหมายเท่านั้น

    สิ่งใดที่จะเพิ่มให้ราคะ โทสะ โมหะ จัดขึ้น สิ่งนั้นไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย สิ่งนั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระบรมศาสดา สิ่งใดที่จะทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาลง สิ่งนั้นแหละเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาเท่านั้น ก็พอแล้ว เป็นเครื่องวัด โคตมีสูต มีอยู่แล้ว

    เพียงศีลห้าก็เอาเถอะ ไม่ต้องตั้งกฏหมายมากหรอก กฏหมายจะตั้ง สักกี่ล้านก็ตามเถิด ธรรมโลกบาลคุ้มครองโลกสองอย่าง ความละอายต่อบาป ความกลัวต่อบาปเท่านั้น จะคุ้มครองโลกได้ ถ้าไม่ละอายต่อบาป ไม่กลัว ต่อบาปแล้วจะตั้งธรรมวินัยสักเพียงไหนก็ไม่อยู่หรอก ถ้าไปฆ่ามันลูกหลาน มันก็มี มันก็มาฆ่าอีกเหมือนกัน เวรสนองเวร ภัยสนองภัย

    ไฉนโลกมันจึงตั้งอยู่ได้ เพราะมีคนดีอยู่ด้วย ถ้าไม่มีคนดี มีแต่คนชั่ว มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะมันมีคนดีปนอยู่มันจึงตั้งอยู่ได้ โลก ถ้ามันมีคนชั่วก็ตั้ง อยู่ไม่ได้ เท่านั้นก็พอแล้ว

    <TR><TD class=postbody valign="top">ได้เวลาทอดผ้าป่า เดี๋ยวหลวงปู่จะได้พักขอรับ...

    เออ...เป็นกังวลกับหลวงปู่คุณหมอพระ เดี๋ยวก็มา...เดี๋ยวก็มาบอก... เพราะเป็นกังวลกับหลวงปู่นั่นเอง คุณหมอพระมีอยู่องค์หนึ่ง ออกจาก โรงพยาบาลพระมงกุฏฯ มาอยู่ด้วย มารักษาพยาบาลด้วย เดี๋ยวก็ฉันยา พวกศรีนครินทร์ เขาแจก...เป็นใส้เลื่อน ไม่ได้ผ่า...สมาทานไม่ต้องผ่า ไม่ต้องตัด สมาทานมาหลายปีแล้ว โรคใส้เลื่อนก็ไม่ได้ผ่า ไม่ได้ตัด ได้ใส่เข็มขัดหัวงูไว้...

    "กรรมมันตามสนอง" ถ้าจะผ่าจะตัด ก็มีผู้จะตัดให้อยู่เหมือนกัน ถูกเขาหลอกไปโรงพยาบาลสมิติเวชคราวหนึ่งแล้ว แต่ไม่ผ่าไม่ตัด โรงพยาบาลเขาก็เลยเข็ด ทีนี้เขาก็เลยไม่เอาอีก บอกเขาว่า หลวงปู่ ไม่ผ่าไม่ตัดหรอก หลวงปู่สมาทานแล้ว เพราะว่าแก่แล้ว ถ้ายังหนุ่มอยู่ หลวงปู่ก็จะผ่า

    ทีนี้เวลาเขาหลอก เขาก็มีปัญญาเหมือนกัน เขาไม่ใช่คนโง่ๆ พวกที่ เขาหลอกไป เขาเป็นคนมีปัญญา หลวงปู่นั้นเป็นคนขี้เกรงใจมนุษย์ เขาเอา ยาอะไรมาให้ก็ฉันกั้บๆๆ...มันเกินไปก็มีนะ หลวงปู่นะ...เขาพูด พวกลูกๆ จะเอาไปเคลียร์ที่โรงพยาบาล ว่าจะขาดหรือควรเพิ่มยาอะไรจึงค่อยฉันไป

    เออ...ไปโรงพยาบาล หลวงปู่ไม่ได้ไปเด้อ...หลวงปู่สมาทานไม่ไป นอนโรงพยาบาลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่นอนค้างคืน เอ...ถ้าอย่างนั้นเราก็กลับ...เขาก็กลับไปสี่ห้าวัน ก็กลับมาอีก

    ...พวกลูกๆไปเคลียร์เขาไว้แล้ว ที่นี้จะเอาหลวงปู่ไปขึ้นเครื่องบิน ที่อุบล แล้วก็ไป ปรื๋อไปเลย เขามาในวันนั้น ก็ไป...ไปคราวนี้ เขาหา อุบายจะผ่าละคราวนี้

    เออ...ลวงหลวงปู่มา ก็บอกว่าจะมาเรื่องอื่น ไม่มาผ่าตัด ทำไม ถึงพูดอย่างนี้...ว่าให้ คุณหมอใหญ่...คุณหมอใหญ่ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี นิสัยดีกว้างขวางยิ้มแย้มแจ่มใสสุขสำราญใจ

    เออ...หลวงปู่มาแล้ว หลวงปู่มาแล้ว พวกเราจะได้ผ่าหลวงปู่ละ คราวนี้ สิบห้านาทีเท่านั้นนะ หลวงปู่นะ ไม่ควรเอาไว้

    เออขอบพระคุณอยู่ ถ้าเขาผ่าแล้ว หายแล้ว เพราะเจตนาพวกลูกๆ หลานๆดี แต่หลวงปู่ได้สมาทานไว้แล้ว ว่าจะไม่ผ่า ไม่ตัดใดๆทั้งสิ้น เสียชีพดีกว่าเสียสัตย์ เดี๋ยวเสียชีวประวัติ เสียชีพดีกว่า...บอกเขาอย่างนั้น...

    ที่ไม่ผ่าไม่ตัดนี่มันป็นอย่างไร เล่าให้ลูกหลานฟังซิ...

    หนึ่ง ตนเป็นพระวัดป่า เมื่อเจ็บป่วยมาแล้ว ก็มากีดขวางอยู่ใน โรงพยาบาลเท่านี้ มันก็ทับถมตัวเองอยู่แล้ว

    สองมานอนค้างในโรงพยาบาลลูกๆหลานๆเขาก็นอนเฝ้าด้วย นี่ก็หนักใจเราเหมือนกัน

    สามคนแก่ถึงขนาดนี้ บางทีผ่ามันก็หาย บางทีผ่ามันก็ตาย เพราะมันมีหลายบางที

    ถ้าตายในที่นี้ มันจะได้เอาศพไปที่ภาคอีสานนี่ก็ทำความลำบาก ให้ลูกหลานเหมือนกัน ถ้าเราตายในภาคอีสานในป่าของเรา เราก็ปูเตียง ไปถึงวัด ก็เผา ไม่ได้ผ่านบ้านใคร มันสะดวก นี่ข้อหนึ่ง

    ข้อหนึ่งอีกทีนี้ หลวงปู่มั่น องค์ท่านก็เป็นริดสีดวงทวารหนัก ไม่เห็น ท่านไปผ่า ไปตัดที่ไหน ก็ตายคากันไป อันนี้ก็น่าควรคิด

    อีกอันหนึ่ง พระบรมศาสดาฉันมะม่วงของนายฉันทะโกมารบุตร ก็ซัดเซพเนจรไปเมืองกุสินารา ตื่นเช้ามาท่านก็สิ้นลมปราณ ที่นางรังทั้งคู่ ก็แปลว่า เอานางรังทั้งคู่นั่นเองเป็นโรงพยาบาล อันนี้เป็นน่าควรคิด ไม่ได้ พูดให้กระทบกระเทือนโลก พูดเฉพาะส่วนตัว ส่วนท่านครูบาอาจารย์ ท่านผู้อื่น ท่านเข้ามาในกรุงเทพฯ ท่านทำประโยชน์ให้แก่กรุงเทพฯมาก สำหรับเรา ไปที่ไหนมันก็หนักที่นั่น ไม่เอา...ไม่เอา จบเรื่องกัน

    ที่นี้เขาก็มาส่งขึ้นรถ มาก็ทุกข์จริง...ทุกข์จริงๆ ขึ้นรถไฟมา มาสว่าง ที่อุบล เขาก็ตามมาอีก พวกนี้ลึกเหมือนกัน พวกนี้ไม่ใช่คนตื้นๆ หลวงปู่จะเก่ง สักเพียงไหน เขาก็ดึงไปหาอุบาย จนมุมแล้ว หลวงปู่ก็ต้องผ่า...ทีนี้หลวงปู่ ทำตามเดิม เขาก็เลยหมดปัญหาเลยทีนี้ เขาไม่ใช่คนโง่ๆ พวกนี้ เขาตามหลวงปู่ ว่าหลวงปู่จะเทศน์จริงสักเพียงไหน ความเป็นจริง เขาอยากให้หลวงปู่หายก็จริง อยู่ แต่เขาอยากจะทกสอบว่า หลวงปู่จะรักษาความสัตย์ของตนสักเพียงไหน เขาไม่ใช่คนโง่ๆ เด้อ...พวกคนที่เขาเอาไป เราจะว่าเขาเอาไปแบบโง่ๆ ไม่ได้ ก็เลยจบเรื่องอยู่ที่เขาจะเอาไปผ่าไปตัด


    ...................................................................................................................................


    คัดลอกจาก

    http://www.dharma-gateway.com/
    </TD> </TR><TR><TD> </TD></TR>
     

แชร์หน้านี้

Loading...