ใครต้องการถามเป็นการส่วนตัว ไปถามที่อื่น กลัวคนอื่นว่าให้มาที่นี่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nilakarn, 20 เมษายน 2013.

  1. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Tamjugg
    มีฤทธิ์นั้นแค่เริ่มต้นคับ ที่วัดนั้นหลายท่านเข้าสู่ขั้นละฤทธิ์แล้วคับ มีฤทธิ์ละฤทธิ์ ไม่งั้นก้าวสู่ขั้นสูงสุดไม่ได้ อีกประการคือธรรมมะไม่ใช่ของเร่ขายตามตลาด ผมจะแนะนำสำหรับคนที่ตั้งใจปฏิบัติแต่ไม่มีครูอาจารย์รู้จิงแนะนำเท่านั้น PMมาได้คับไม่เก็บค่าใช้จ่าย ถ้าใครได้ญานแล้วอย่าไปใช้ในทางที่ผิดนะคับจะเป็นวิบากกรรมหนักอีก
    อันนี้ถุกต้องแล้ว ฤทธิ์นั้นเค้าเอาไว้สร้างบารมีให้เต็ม คือการช่วยเหลือผู้อื่นในด้าน
    ต่างๆ มิใช่เอาไว้ช่วยตัวเองครับ ช่วยโดยมิให้เค้ารู้ เช่น เห็นในนิมิตว่า บุคคลนี้
    เห็นผิดเป็นชอบ แต่ก็ยังสั่งสอนได้ แต่จะใช้วิธีไหนสั่งสอนเขา เช่นการทรมาน ให้เค้าเจ็บปวดร่างกายจนต้องมาทำบุญที่วัด หรือใช้วิธีทำให้เค้าคิดถึง อยากมาหา มากราบไหว้ แต่ฤทธิ์ก็เป็นโทษครับ คือ คนที่ติดแล้วก็จะต้องเล่นฤทธิ์บ่อยๆ เพราะมันเหมือนกับยาเสพติด ซ้ำการให้ฤทบธิ์ช่วยคนๆนึง กลับไปสร้างความเดือดร้อนให้กันคนหมู๋มาก กรรมเวรจริงๆ ถ้าไม่มีสายสัมพันธ์กันในอดีต หรือ ปัจจุบัน จะไม่ค่อยช่วยใครหรอกครับ
    พระป่า เมื่อฝึกฌานสี่ จนคล่องดีแล้ว ได้ฤทธิ์มั่ง ไม่ได้ฤทธิ์ และก็
    ไม่ต้องฝึกให้เกิดวสี หรือความชำนาญ เพราะจะใช้เวลานานเกินไป ก็จะเน้นมา
    ฝึกการละ หรือการปล่อยวางนั่นเอง พระมีฤทธิ์ก็จะฝึกการไม่ใช้ฤทธิ์ พระไม่มี
    ฤทธิ์เน้นควบคุมจิต ไม่ให้มีสิ่งใดมารบกวนได้ ไม่คิดถึงใคร ไม่คิดถึงสิ่งใด
    สิ่งต่างๆที่มารบกวน ล้วนเป็นอุปาทาน คือ เรานึกคิดไปเอง ถึงมันส่งผลดีหรือ
    ร้ายกับเรา มันก็ไม่ส่งผลให้เราใปนิพพานได้ สิ่งที่ทำให้เราไปนิพพานคือการ
    ควบคุมจิตเป็นอันดับแรก

    ขออนุโมทนาสาธุ หากมีใครมาอ่านเจอกระทู้นี้
     
  2. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นายกสิณ
    ในส่วนตัวผมสาเหตุน่าจะมาจาก
    1.ฝึกไม่ถูกวิธี
    2.ไม่มีครูที่จะชี้แนะหรือเก่งด้านนี้จริงๆ
    ...เพราะโดยส่วนมากเท่าที่เห็นมีแต่พวกหลอกลวง หรือหลงตัวเองคิดว่าตนเองเก่ง ฝึกมาดีแล้ว แต่ไม่เคยสงสัยเลยหรือ ว่าทำไมใช้ฤทธิ์หรือบุญ-บารมีไม่ได้ ไม่ใช่ว่าทำไมฝึกแล้วต้องเกิดฤทธิ์ อยากจะบอกว่าถ้าฝึกหรือมาถูกทางแล้วละก็ฤทธิ์ย่อมเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ (ฤทธิ์เป็นของแถม) กสิณทุกชนิดต้องรู้จักการกำหนด ถ้าไม่รู้จักการกำหนดย่อมใช้พลังกสิณไม่ได้ และเมื่อกำหนดแล้วจะต้องเกิดตามที่เรากำหนด ถึงจะเรียกว่ารู้จักการกำหนดที่ถูกต้อง...
    และสุดท้ายผมต้องการให้ทุกท่านที่ฝึกกสิณอยู่นี้ ช่วยชี้แจ้งสาเหตุที่ฝึกกสิณแล้ว ทำไมไม่เกิดฤทธิ์ให้ด้วยครับ ขอบคุณ
    ต้องถามก่อนว่า คุณเป็นคนแบบไหน เชื่องช้า หรือ ว่องไว
    หาเชื่องช้าต้องกำหนดลมหายใจ ถ้าว่องไวต้องกสิณ
    กำหนดลมหายใจ เน้นจิดไม่ส่ายออกนอกร่างกาย
    แต่กสิณ เน้นพุ่งจิตออกด้านนอกกาย
     
  3. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นายกสิณ
    ในส่วนตัวผมสาเหตุน่าจะมาจาก
    1.ฝึกไม่ถูกวิธี
    2.ไม่มีครูที่จะชี้แนะหรือเก่งด้านนี้จริงๆ
    ...เพราะโดยส่วนมากเท่าที่เห็นมีแต่พวกหลอกลวง หรือหลงตัวเองคิดว่าตนเองเก่ง ฝึกมาดีแล้ว แต่ไม่เคยสงสัยเลยหรือ ว่าทำไมใช้ฤทธิ์หรือบุญ-บารมีไม่ได้ ไม่ใช่ว่าทำไมฝึกแล้วต้องเกิดฤทธิ์ อยากจะบอกว่าถ้าฝึกหรือมาถูกทางแล้วละก็ฤทธิ์ย่อมเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ (ฤทธิ์เป็นของแถม) กสิณทุกชนิดต้องรู้จักการกำหนด ถ้าไม่รู้จักการกำหนดย่อมใช้พลังกสิณไม่ได้ และเมื่อกำหนดแล้วจะต้องเกิดตามที่เรากำหนด ถึงจะเรียกว่ารู้จักการกำหนดที่ถูกต้อง...
    และสุดท้ายผมต้องการให้ทุกท่านที่ฝึกกสิณอยู่นี้ ช่วยชี้แจ้งสาเหตุที่ฝึกกสิณแล้ว ทำไมไม่เกิดฤทธิ์ให้ด้วยครับ ขอบคุณ
    ฤทธิ์เกิดขึ้นเองก็จริงครับ แต่ต้องมีครูบาอาจารย์บอกถึง วิธีใข้
    ถ้าไม่งั้น ฝึกแทบตายก็ใช้ไม่เป็นครับ
     
  4. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ jadeprawit
    ไม่ได้ใช้คำบริกรรมครับ ผมสังเกตุจากเมื่ออ่านหรือดูทีวีนานๆสักพัก จะมีเสียงวื้งในหูอยู่บ่อยๆ
    จนมาจับอาการตัวเองดูว่าจากเสียงวิ้งๆ ผมมารู้สึกถึงชีพจรเต้นเมื่อแขนสัมผัสกับหัวครับ ผมเลยเอามือที่หนุนหัวออก ทดลองเอานิ้วก้อยซ้ายแตะกับขวากำหนดความรู้สึกดู จะรู้สึกได้ว่าปลายนิ้วที่สัมผัสกันเต้นเป็นชีพจรครับ ผมจะค่อยๆเปลี่ยนมานิ้วนางจนถึงนิ้วโป้งก็สัมผัสได้ ตอนนี้ฝึกทุกวันครับ เพราะยังมีบางครั้งที่สัมผัสไม่ได้ ผมไปค้นเจอบางคนบอกว่าสามารถกำหนดดูชีพจรได้ทุกส่วนของร่างกาย

    การฝึกแบบนี้จะก้าวหน้าในทางธรรมมั้ยครับ ผมรู้สึกว่ายิ่งฝึกผมรู้สึกว่าตัวจะเบาๆเหมือนน้ำหนักตัวน้อยลง ความรู้สึกมันเฉยๆเมยๆอย่างไรไม่รู้ครับ ตอนนี้เสียงวิ้งในหูจะมีเพิ่มมากขึ้น
    เมื่อคืนผมนั่งสมาธิเกือบครึ่งชั่วโมง ขนหัวลุกด้านขวา แล้วซักพักมาลุกที่ขาขวาแต่ผมไม่ได้กลัวอะไรนะครับ ปรกติสภาวธรรมของผมจะเป็นตัวกระตุกเล็กน้อย เหมือนสะดุ้งเล็กๆแต่เมื่อคืนแปลกครับมีขนลุกเพิ่มขึ้น เมื่อวันที่4 เมษาที่ผ่านมาผมไปเชงเม้ง(ฮวงซุ้ยบรรพบุรุษอยู่ในวัดครับ) ผมปลีกตัวออกมานั่งสมาธิข้างๆเมรุเผาศพเพราะว่าสงบดี ผมนั่งสมาธิอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษและวิญญาณที่ตกหล่นบริเวณนั้น และยืนสมาธิด้วยก็ไม่มีอะไร พอกลับถึงบ้านทำโน่นทำนี่นิดหน่อยผมมานั่งหน้าคอม อยู่ๆก็ขนหัวลุกด้านขวา ผมก็งงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ จนเมื่อคืนขนหัวลุกอีก ผมสังเกตุว่าเป็นด้านขวาครับ

    ปล ผมเปิดพัดลมจ่อตัวตลอดเวลา เพราะอากาศร้อนมากบางทีผมก็จับความรู้สึกที่ลมพัดโดนตัว เวลานั่งสมาธิผมก็จะจับที่ลมกระทบตัว ดูทีวีก็ทำอยู่บ่อยๆครับ จับลมที่ปลายจมูกผมก็เคยลองแต่รู้สึกว่าผมทำไม่ได้นานจิตจะส่งออกได้ง่ายครับ


    ผมอยากเจริญในธรรม ผมควรทำอย่างไรต่อไปครับ

    ขอบคุณครับ คุณมหาพรหมราชา
    วิธีนี้ ผมเคยฝึกมาแล้วครับ มันคือเสียงของชีพจรของเราเอง ถ้าคุณฝึกมาจนชำนาญแล้ว ก็สามารถใช้ฝึกได้ครับ
    แต่ถ้าเป็นมือใหม่ ไม่แนะนำให้ทำแบบนี้ครับ เพราะถ้าวันไหนคุณจับชีพจรไม่เจอ คุณจะไม่สามารถทำสมาธิได้เลย
    แนะนำให้ฝึกตามวิธีมาตรฐานครับ เป็นวิธีที่ตรงที่สุด เร็วที่สุด คือ กำหนดลมหายใจ เข้าออก เน้นอย่าให้จิดแส่ส่ายออกจากร่าง เมื่อมันคิดออกไปนอกร่างกาย ให้ดึงกลับมาไว้ที่จมูกเหมือนเดิม
     
  5. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ืnilakarn

    ตอนเพ่ง ให้กระพริบตาไปเรื่อยๆ เร็วๆ จนดูเหมือนว่าคุณลืมตา
    แต่ในความเป็นจริง คุณยังหลับตาอยู่

    ศาสนาไหนสอนท่าน ? กว่าจะบรรลุอรหันต์คงกระพริบตาจนพังก่อน ทุกข์เท่านั้นที่เกิดจริงๆ

    ท่านบอกตอบได้ทุกเรื่อง แต่ถูกรึเปล่าอีกเรื่องใช่ป่ะ เหอะๆ


    เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับ
    กสิณเนี่ย เค้าไม่ทำให้ไปนิพพานได้นะครับ
    แล้วก็ฝึกยากด้วย ยากกว่ากำหนดลมหายใจเยอะ เค้าใช้เป็นทางเลือก
    ที่สองครับ เอาไว้ใช้ตรวจสอบการปฎิบัติของเราว่า เป็นยังไง ยังคิดดีอยู่
    หรือบ้าแล้ว แล้วก็เอาไว้ใช้ฝึกธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าไม่สอนมนุษย์ แต่ถ้าหาก
    มนุษย์อยากเรียน ก็ให้เข้าฌาณ แล้วไปเรียนกับพระ ที่ท่านสอนในสวรรค์ครับ
    เพราะท่านไม่อยากให้กอดพระไตรปิฎก ไปจนตายนะครับ เหมือนพระองค์
    หนึ่งทางภาคอีสาน กอดพระไตรปิฎกไว้ จะทำอะไรก็อ้างพระไตรปิฎก ว่า
    ของตนเองถูกเพราะทำตามพระไตรปิฎก ของคนอื่นผิดเพราะไม่ถูกต้องตาม
    พระไตรปิฏก เหมือนพระไตรปิฎกว่า อันนี้มี 1 ,2,3,4 ตามลำดับ แต่การ
    ปฎิบัติจริงๆ อาจจะ มี 1 แล้ว 2 แล้ว 4 เลย หรือจะมีแค่ 1 แล้วก็ 4 เลย
    ถูกไหมครับ เส้นทางการปฎิบัติมีเป็นล้านๆสาย ทุกสายวิ่งไปหาสิ่งเดียวกัน
    แต่บางสายอาจจะช้ากว่าสายอื่น บางสายก็เป็นสายเล็กๆ ที่รับเฉพาะครั้งละคน
    บางสายใช้รถเข็นที่ใหญ่หน่อย ก็เข็นไปได้เยอะ อย่าเปรียบเทียบเลยครับ
    ว่าของใครจะดีกว่าใคร มันเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่า รู้ไปก็ไม่สามารถนำมา
    ใช้ปฎิบัติให้พ้นทุกข์ ผมไม่กลัวถูกด่าหรอกครับ ผมกลัวว่าเห็น คนที่วาสนามี
    โอกาสได้ฝึกอาจารย์ที่เก่งๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่หากว่า ความเห็นของคุณไม่
    ตรง จะเป็นการเสียโอกาสนะครับ สิ่งที่ผมเขียนเนี่ยมันนิดเดียวครับ ธรรมะที่
    ตรงนั้นยิ่งใหญ่กว่านี้ครับ แต่ถ้าหากว่าคุณปวารณาเป็นมาร เพื่อคัดกรองละก็
    ผมก็อนุโมทนาสาธุครับ
    แต่ถ้าไม่ใช่ ผมขอเปรียบเทียบอย่างนี้นะครับ เวลาคุณมองภาพวาดที่สวยงามภาพหนึ่ง ที่มีราคาเป็นล้านๆ คุณต้องออกมามองไกลๆ ถึงจะรู้ว่าสวย แต่เมื่อไรที่คุณเข้าไปมองใกล้ๆ ในระยะ หนึ่งฟุต คุณจะเห็นแต่ สีนั้น สีนี้ หาความสวยงามไม่ได้เลย
    เช่นเดียวกับพระไตรปิฎก ก็เหมือนกันครับ ถ้าคุณมองภาพรวม หรือมองมุม
    กว้างๆแล้ว คุณก็จะเห็นธรรมะที่แท้จริง แต่เมื่อไรที่คุณมองมุมแคบ หรือมองใกล้ๆแล้ว คุณก็จะเห็นแต่ตัวหนังสือ ว่าเป็นอันนี้ กไก่ อันนี้ ขไข่ หรือ อันนี้
    เป็นคำนี้คำนั้น

    ขอแนะนำให้อาจารย์ของคุณ ช่วยกรุณาตรวจสอบผมดีกว่าครับ เพราะผมเคยลองเล่นฤทธิ์ แล้วน้ำท่วมภาคใต้ ตกลงใช่ผมไหม ถ้าไม่ใช่ก็ถือว่าเป็นบุญกุศลครับ แต่ถ้าเป็นผมจริงๆ คงต้องก้มหน้ารับกรรมไป กรรมหนักด้วย
    สาธุในธรรมครับ
     
  6. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นายกสิณ
    ถ้าฌาน 1-4 อาการของสมาธิเป็นแบบนี้ คือ นิ่ง สงบ ไม่รับรู้ถึงลมหายใจ หรือ รับรู้ลมหายใจแต่แผ่วเบา กายเบาสบายเหมือนตัวลอย ได้ยินเสียงต่างๆรอบข้างแต่ไม่ใส่ใจ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วล่ะก็ ผมว่า ฌานที่คุณๆเข้าใจกันมันโคตรง่าย และกระจอกจริงๆ แบบนี้เรีกว่า ฌานกระจอก



    555
    คุณตลกดีครับ แต่ควรพูดต่อให้จบนะครับ รอฟังตอนท้ายอยู่
    ตามพระไตรปิฎกว่าไว้ ญาณหนึ่ง คือ อาการมีอยู่ทั้งห้าอย่าง คือ
    วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา
    ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า เริ่มแรกมีเต็มห้าอย่าง แล้วค่อยหายไปทีละอย่าง ตามการเข้าญาณ จนถึงญาณสี่ อันนี้ตามตัวหนังสือครับ

    แต่เวลาที่เราปฎิบัตจริงๆ
    ให้พิจารณาแค่นี้จะง่ายกว่า ในการจดจำญาณ คือ
    ญาณขั้นที่หนึ่ง เน้น วิตก คือ คำภาวนา
    ญาณขั้นที่สอง เน้น วิจาร คือ พิจารณาลมหายใจเข้าออก แล้วละทิ้งคำภาวนา
    ญาณขั้นที่สาม เน้น ปิติ คือ อาการแปลกต่างๆ ที่เรารู้สึกได้
    ญาณขั้นที่สี่ เน้น สุข คือ ความสุขที่เกิดจากการเข้าญาณ ตัดอาการต่างๆ ได้ จิตนิ่งเป็นหนึ่งเดียว ไม่รับรู้อาการภายนอกต่างๆ อีก เหลือจิตดวงเดียว ไม่คิดออกนอกไปไหนอีก เกิดอาการ ดับ เกิดขึ้น
    ขั้นต่อไปเรียก เอกัคคตา คือ จิตตั้งมั่น สามารถเข้าญาณนานๆได้ วสี เกิดในขั้นนี้ครับ หากฝึกจนได้วสี จะเกิด ฌาณ หรือ อภิญญาต่างๆ หากตอนตายยังเข้าญาณในนั้นอยู่ จะไปเกิดเป็นพรหม และพวกพราห์ม สามารถเข้าได้ถึงขั้นนี้
    ครับ โดยอาจารย์พราห์มของพระพุทธเจ้า จนกระทั่้ง บัดนี้ ยังเป็นอรูปพรหมอยู่
    ครับ พระพุทธมิอาจสั่งสอนอรูปพรหมได้ เพราะไม่มีความรู้สึกนึกคิด ไม่เหมือนพรหม หรือเทวดาต่างๆ สามารถสอนได้


    ในทางพระเราเรียก ญาณ กับ ฌาณ แยกกันครับ
    ญาณ ใช้เรียกใช้เรียกในขณะฝึก เช่นการเข้าญาณ ไม่ใช่ เข้าฌาณ ครับ

    ส่วน ฌาณ คือ อภิญญาต่างๆ ที่เกิดหลังจากที่ท่านได้วสี หรือการ เข้าออก
    ญาณจนคล่อง ถึงตอนนี้ฌาณจะเกิดขึ้น
     
  7. โลน้อย

    โลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +695
    การที่ผู้ฝึกฤทธิ์ทั้งหลาย ฝึกกันส่วนมากจะติดกันหมด เพราะไม่ยอมเช็คดูว่าผู้ที่คุณแลกเปลี่ยนความคิดความรู้เขาอยู่ต่ำหรือสูงกว่าแต่กลับคิดว่าตัวเองเก่งก็เลยเบ่งกันใหญ่เป็นตามนี้หรือปล่าวท่าน จขกท
     
  8. โลน้อย

    โลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +695
    เหตุเพราะส่วนมากคิดว่า ไม่ใช่พระบรรลุธรรมยากแล้วก็เลยต่อว่ากัน(ปรามาส)ในเวปนี้มีเยอะมาก
     
  9. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ในกาลเวลานี้

    พวกเราทั้้งหลายได้อธิษฐาน เพื่อให้ได้เกิดก็เพื่อ มาช่วยกันทำความเห็น
    ที่ไม่ตรงต่างๆ ให้กลับมาตรง เพื่อดำรงพระพุทธศาสนา
    หากผู้สำเร็จส่วนมาก ยืนยัน ตรงกัน ผู้เห็นผิดส่วนน้อยก็จะถอยไปเอง
    ได้เวลาเปิดเผยความจริงแล้ว ไม่ต้องกลัวผู้ใดปรามาสอีก คนที่ปรามาส
    เขาก็จะแพ้ภัยตัวเอง ส่วนผู้ที่ปฎิบัติตรงๆ สามารถเห็นผลได้ แล้วไม่กล้า
    มายืนยันคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วจะอธิษฐานมาเกิดเพื่อช่วยเหลือ
    พระศาสนาทำไม อย่ากล้วว่าใครจะด่า คนที่ด่าก็ต้องรับผลกรรมของ
    เค้าไป ส่วนคนที่เผยแพร่ธรรมะ ก็จะได้รับอานิสงค์ที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้จะ
    ตายไป ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว
    อย่ากลัวว่าคนอื่นเค้าจะหาว่าเราบ้า คนที่ยอมเกิดมาในโลกนี้ มันก็บ้ากันทุกคน
    นั่นละ โลกนี้มันบ้าสิ้นดี มีแต่พวกสิ้นคิด คอยแต่จะรบราฆ่าฟันกันเอง
    ไอ้พวกบ้า ถึงไม่ใครฆ่ามันก็ต้องตายกันทุกคนนั่นละ คนที่ไม่กล้าทำความดี
    ตายไปก็ได้แต่ตกนรก
    ขอเป็นกำลังใจให้ครับ อย่าคิดโทษคนอื่น โทษตนเองที่เราไม่กล้าบอกกล่าวดีกว่า
     
  10. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ขอโทดนะครับ
    ผมเข้าญาณไม่คล่อยจะคล่องหรอกครับ ทำได้แค่งูๆ ปลาๆ และไอ้ความที่ไม่รู้
    นี่ละครับ ที่ทำให้บาปหนัก คือ เมื่อทำการฝึกเอง ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็คิดที่ลองวิชาครับ ด้วยความคะนอง อาจจะเรียกเสพจนติดฌาณ จึงได้ลองที่ได้ฝึกมา
    แรกก็เรียกลม เรียกฝน ธรรมดาครับ มามั่งไม่มามั่ง เวลาที่ฝนตก หรือ
    ลมมา ก็ห้ามลมห้ามฝนซะ ก็ห้ามได้มั่งไม่ได้มั่ง ต่อมาก็อยากให้ฝนตกที่นั่น
    ที่นี่ โดยเฉพาะเวลาที่เค้าทำฝนหลวงกัน ก็ช่วยเค้าให้สำเร็จครับ
    แต่ถ้าวันไหนที่เห็นข่าว ว่าที่ไหนแห้งแล้ง ก็ต้องช่วยให้ฝนตก แต่ฝนที่ตกมัน
    กับตกมากเกิน จนน้ำท่วมครับ

    ต่อมาก็ที่ภาคใต้

    และก็ที่ภาคเหนือ โดยได้ขอให้ฝนที่เคยตกในทะเลที่ไม่เกิดประโยชน์ ให้ไปตกบนเขา เพราะว่าเขาบ้านเรา โดนทำลายไปมาก

    ผมไม่ใช่พระ ไม่ผิดศีลครับ ที่จะบอกคนทั่วไป ให้เป็นอุทาหรณ์ ว่าอย่าทำตาม
    ผมเป็นคนบ้าอยู่แล้ว ใครจะว่าบ้าอีก ก็ไม่เป็นไรครับ

    ธรรมะนี้ขอมอบใว้ให้แก่ผู้ที่มีธรรมะระดับเดียวกับผม จึงจะอ่านเข้าใจได้
    ส่วนคนไม่มีบุญ ได้แต่ปรามาสผู้อื่น จะตกนรกป่าวๆ
     
  11. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ลุงหมาน
    การเจริญวิปัสสนานั้นเราสามารถที่จะทำได้ตลอดเวลา และทุกกิริยา ไม่ว่าจะนั่ง นอน เดิน ยืน การงานที่ทำในชีวิตประจำวัน มีสติตามระลึกรู้ในกิริยาบทนั้นๆ

    สำหรับผู้ต้องการทำฌานนั้นต้องใช้สมาธิระดับอัปปนาสมาธิจึงจะเข้าถึงปฐมฌาน เป็นฌานเบื้องต้นอันมีองค์ฌานทั้ง ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เมื่อฌานสูงขึ้นไปตามลำดับ องค์ฌานก็จะถูกละไปตั้งแต่จตุตถฌานเป็นต้นไปจนเหลือเพียง อุเบกขา กับเอกัคคตา (เมื่อละ สุขเวทนา อุเบกขาเวทนาก็เกิดขึ้นมาแทน) สำหรับผลของการทำสมาธินั้นเพื่อละนิวรณ์ ๕ ก็จะได้ ฌาน อภิญญา และถ้าฌานยังไม่เสื่อมตายไปจะได้ไปเกิดยังพรหมโลกตามฌานที่ตนได้ ฌานเหล่านั้นไม่สามารถที่จะทำลายอนุสัยกิเลสโดยเป็นสมุทเฉทได้จึงยังต้องเกิดอยู่

    ขณิกสมาธินั้นจะมีขึ้นกับผู้ที่เจริญวิปัสสนา ถ้าเลยไปถึงอุปจารสมาธินั้นไม่ได้เพราะเป็นสมาธิที่เฉียดฌานเข้าไปแล้ว พร้อมที่จะยกจิตขึ้นสู่อัปปนาสมาธิเป็นการทำฌานไปแล้ว ฉะนั้นการทำวิปัสสนานั้นต้องอยู่ในชั้นขณิกสมาธิเท่านั้น ผลของการเจริญวิปัสสนา ก็เพื่อจะประหาณอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องมีอวิชชานุสัยเป็นต้น เพื่อก้าวเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน


    555 เจอระดับเดียวกันแล้ว ความเห็นก็ยังตรงกันอีก หามานาน
    ทุกอย่างที่กล่าวมาท่าน ได้กล่าวอย่างถูกต้องแล้ว หากบุคคลจะเจริญวิปัสสนา ต้องเจริญที่ วิจาร หรือการตรึกตรอง
    อยู่ประมาณ ญาณสอง จะพอดีครับ
    เปรียบเสมือน บุคคลที่หาวิธีข้ามน้ำ หากนั่งคิดธรรมดา โดยตรึกตรองสักนิด ไม่นานก็จะคิดวิธีออกประมาณ สอง สาม วีธี
    แต่ถ้าหากว่า นั่งสมาธิ แล้วตรึกตรองแต่สิ่งนั้น ไม่นานก็จะได้วิธีเป็นร้อยเป็นพันวิธี



    การวิปัสสนาก็เช่นเดียวกัน
    ถ้าหากว่าคนทั่วๆ ไป นั่งนึกสักพักว่า ร่างกายของเรานี้ มันไม่แน่นอน มันมีแต่ทุกข์ ซ้ำพอเราตาย เรายังเอาไปไม่ได้อีก มันไม่ใช่ของเราจริงๆ แล้วเรามามัวแต่ห่วงว่าร่างกายของเราจะเป็นอย่างนั้อย่างนี้ กันอยู่ทำไม
    เมื่อเราพิจารณาอย่างนี้บ่อยๆ เราจะสามารถละต้วตนของเราได้ประมาณ หนึ่ง
    ส่วนในร้อย
    แต่ถ้าหากว่า เรานั่งสมาธิด้วย แล้วตั้งมั่นอยู่ในขั้นวิจาร หรือญาณสอง เมื่อเรา
    ยกไตรลักษณ์ขึ้นพิจารณา เราจะสามารถละตัวตนของเราได้ประมาณ เก้าสิบเก้าส่วน




    การพิจารณาไตรลักษณ์ให้ทำอย่างนี้ คือ ยกร่างกายของคนอื่นที่เราชอบ มาพิจารณา เช่น ร่ายกายของแฟนเรานี้หนอ ก็มีแต่ความไม่แน่นอน เมื่อเป็นสาวเราก็รัก เราก็หลง แต่พอแก่ไป เราก็รังเกียจ คนอื่นก็รังเกียจ แม้แต่ตัวเขาเอง
    เขาก็ยังรังเกียจตัวเอง ร่างกายนี้มันมีแต่ความทุกข์ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขา พอเค้าตายไป เค้าก็เอาไปไม่ได้ คงทิ้งไว้ให้เน่าเหม็นอยู่ในโลกนี้ แล้วเราจะไปยึดติดอะไรอีก
     
  12. natatik

    natatik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +3,607
    สวัสดีค่ะ คุณnilakarn
    ฝึกกสิณแสงสว่างมาได้เกือบอาทิตย์แล้วค่ะ ตอนนี้หลับตาแล้วก็จะเห็นภาพคล้ายจุดกลม ๆ ดวงเล็ก ๆ ขนาดเท่าหัวไม้ขีดไฟ อยู่ตรงกลาง สีขาวนวล ๆ คล้าย ๆ กับขยับนิด ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปดีกับจุดสีขาวนั่นค่ะ รบกวนช่วยแนะนำหน่อยค่ะ
    หรือจะกรุณาแนะนำผู้ที่ชำนาญด้านกสิณแสงสว่างให้ดิฉันทาง PM ก็ได้นะค่ะ
    ขอบคุณมากค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2013
  13. Tamjugg

    Tamjugg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2012
    โพสต์:
    657
    ค่าพลัง:
    +1,029
    กำหนดรู้และยกไตรลักษณ์ปลง ยังมีอะไรอีกเยอะที่คุณยังไม่รู้ .... แต่ก็ยินดีด้วยคุณมาระดับนึงแล้วคับ ลองอ่านกระทู้นี้

    http://palungjit.org/threads/เข้าฌาน-แล้วระลึกชาติ.363781/
     
  14. natatik

    natatik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +3,607
    ขอบคุณมากค่ะ
     
  15. poojaja

    poojaja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2012
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +264
    เวลานั่งสมาธิอยู่ แล้วอยู่ดี ๆ มือกระตุกนี่คืออะไรเหรอคะ
     
  16. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    หลับตาแล้วเห็นภาพ กลมๆ เล็กๆ อันนี้เรียกว่า ทำถูกต้องแล้วครับ ส่งการบ้านมาที่ผมเรื่อยๆ นะครับ ขั้นต่อไปเพ่งให้ใหญ่ประมาณ ฝ่ามือ ครับ
     
  17. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    มือกระตุก คือ อาการของ ปิติ ครับ ประมาณ ญาณที่ สาม
    ต่อไป ถ้ารู้สึกมีความสุข สบาย กับการนั่งนั้น ไม่รับรู้เรื่องภายนอกอีก
    อันนี้ ญาณที่สี่

    ฝึกต่อไปนะครับ
     
  18. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ DuchessFidgette
    ปีทีแล้วเราได้มีโอกาสไปวัดยานาวาที่เมืองไทยเพราะเรามีญาติที่ป่วยเป็นมะเร็ง เราไปเจอคุณลุงคนนึงแกฝึกกสิณจนครบทุกกองแล้วแกบอกว่าพลังบุญที่ได้ณาณ 4 ที่เกิดจากกสิณ ทำให้แกหายจากมะเร็งลำไส้...... แกจึงบอกให้เราลองฝึกดูแล้วไปสอนญาติที่เป็นมะเร็งที่ยุโรป...... เราก็เลยซื้อชุดกสิณกลับไปฝึกที่ยุโรป เรามาเรียนอยู่ที่นี้ ก็ฝึกและก็สอนญาติที่ป่วยให้ฝึกด้วย แต่เพราะไม่ค่อยมีเวลาเลยไม่ค่อยก้าวหน้า..... แต่ก็ถึงขั้นเห็นแสงสีม่วงเป็นจุดเวลาหลับตาหรืออยู่ที่มืดปรากฏว่าวันนึงแม่เราก็โทรมาหาจากเมืองไทย.... บอกว่าไปหาร่างทรงพ่อปู่อะไรสักอย่างที่คนแนะนำให้ไป..... แม่บอกว่าร่างทรงนั้นเป็นผู้หญิงแต่ทรงพ่อปู่ และบอกแม่ให้มาบอกเราว่า บอกลูกให้ลูกเลิกเพ่งกสิณซะ เพราะกสิณนั้นสำหรับเพศพรมจรรย์ หมายถึงผู้ชายเท่านั้นที่ฝึกได้ อย่างลูกเธอนะไม่ต้องฝึกกสิณมันสูงเกิน ชินนบัญชรก็ไม่ต้องสวด มันสูงเกินไป นั่งสมาธิก็สูงเกินไป ให้กินเจอาทิตย์ละ 2วันพอ และสวดเจ้าแม่กวนอิม??

    มันทำให้เรางงเป็นไก่ตาแตก ร่างทรงแต่ไม่รู้แม้กระทั้งว่าเรานั้นเป็นหญิงพรมจรรย์ แล้วมีการแบ่งแยกว่าผู้หญิงนั่งสมาธิ ฝึกกสิณไม่ได้

    คำถามก็คือสิ่งที่ร่างทรงว่านั้นถูกต้องหรือไม่ว่าผู้หญิงห้ามฝึกกสิณ?

    มนุษย์ทั้ง สี่เพศ สามารถฝึกกสิณได้ครับ คือ ชาย หญิง กะเทย ทอม แต่
    มนุษย์ชาย สามารถฝึกได้ง่ายกว่า หญิง
    หญิง ฝึกได้ง่ายกว่า กะเทย
    กะเทย ฝึกได้ง่ายกว่า ทอม

    การสวดมนต์ มันเป็นเกราะป้องกันสิ่งร้ายๆ ที่จะเข้ามาหาตัวเรา ถ้าเราไม่มี
    อาจารย์ คอยช่วยเหลือ

    การฝึกกสิน ยิ่งทำให้เกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นกสิณ
    ที่อันตราย แต่ถ้าสามารถใช้กสิณกองหนึ่งกองใดได้คล่องดีแล้ว ให้ฝึก
    ให้ถึง ญาณสี่ จะสามารถรักษาโรคได้ แต่มีวิธีฝึกอีกแบบหนึ่ง

    หากเจ้าพ่อเจ้าแม่ พูดอย่างนั้น แสดงว่า เค้าจะเอาเราไว้ใช้งานครับ
    พอเราทำงานรับใช้เขา เค้าก็ให้แก้วแหวนเงินทอง ความสมปรารถนา
    แต่พอเราไม่ทำให้เค้า เค้าจะเล่นเราเกือบตายเลย
    วิธีตัด ก็คือ การรักษาศึลห้า น้่งสมาธิ สวดมนต์ หาอาจารย์ที่เป็นพระ
    ที่ท่านสามารถคอยช่วยเหลือเราได้ แล้วก็ อูทิศบุญกุศลที่เราได้จากการ
    นั่งสมาธิ ไปให้เค้าอนุโมทนาบุญ แล้วให้เค้าอโหสิกรรม ให้ตัดเราออกซะ
     
  19. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ DuchessFidgette
    คุณลุงคนที่แนะนำเราให้ฝึกกสิณแกบอกว่าตัวแกฝึกได้ครบทุกกองแล้ว เป็นกสิณสายของพระพุทธเจ้า จะฝึกง่ายมีหลักการดีกว่ากสิณฤษีคะ อย่างถ้าได้กสิณสีแล้วกสิณธาตุดินน้ำลมไฟก็จะได้เองไม่ยาก ที่แกฝึกจะใช้บอร์ดกระดาษทรูกลมตรงกลาง อย่างถ้าจะฝึกกสิณไฟก็เอาบอร์ดนั้นไปตั้งตรงหน้าไฟแล้วเพ่งวงกลมไฟในช่อง และทำแบบเดียวกันกับกสิณอากาศก็เอาบอร์ดมีรูกลมไปตั้งส่องท้องฟ้า หรือหน้าต่าง และทำแบบเดียวกันกับกสณน้ำ อาโป และก็กสิณ ดิน ลม

    แกบอกว่ากสิณน้ำจะมีโทษ ถ้ากำหนดไว้ในสัญญา (เพ่งได้ในสมาธิโดยไม่ต้องเพ่งจากบอร์ดกสิณแล้ว) นานเกิน 1 ชั่วโมง.... จะโดนกสิณน้ำตี แกบอกทำให้ตัวกระเด็นจนอาจบาทเจ็บได้.... และก็บอกว่าคนฝึกกสิณจนได้ฌาณ 3 ขึ้นไปจะมีอายุเพิ่มขึ้น... ถ้าจะตายหรือกำลังป่วยเป็นมะเร็งอะไรอยู่ก็จะหายกันเพราะเจ้ากรรมนายเวรจะตามไม่ทัน เพราะเราจะมาอยู่ระดับพรหมแล้ว พวกบาปกรรม โรคร้ายต่างๆของเจ้ากรรมนายเวรมันจะกลัวไม่กล้า และหยุดทำร้ายเรา เพราะถ้ามันทำอะไรคนที่กำลังจะไปเกิดเป็นพรหม ตัวเจ้ากรรมนายเวรจะบาปหนัก

    แล้วลุงคนนี้แกก็ยังบอกอีกว่ากสิณเป็นการเจริญวิปัสสนาแบบเดียวที่สามารถใช้ฤทธิ์ได้ พอตายไปจะไปอยู่ชั้นพรหมไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว และเตรียมตัวติวเข้มในชั้นพรหมเพื่อรอการเข้านิพพาน และในชั้นพรหมนั้นทุกคนจะเพศเดียวกันหมดก็คือ ไม่มีเพศ เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ใครมีประสบการณ์ตรง จริงเท็จยังไง เพิ่มเติมได้นะคะ


    ขอยึนยันว่า กสิณของฤาษี ก็คือ กสิณของพระพุทธองค์ นั่นเอง เพราะ
    พระพุทธเจ้าของเรา ท่านเป็นลูกศิษย์ของฤาษีมาก่อนที่ท่านจะตรัสรุ้
    และอาจารย์ของพระองค์ เมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดเป็นอรูปพรหม ครับ

    ตัวของกสิณเอง ไม่มีโทษอะไรครับ แต่ทันทีที่ผู้ฝึก พยายามจะใช้มัน
    มันก็จะเกิดโทษทันทีครับ มันคือ ผลของการใช้อภิญญาในทางที่ผิด
    นั่นเอง

    มนุษย์ ถ้าอยากจะอายุยึน ให้ปล่อยปลาครับ ถ้าไม่มีก็ให้สัตว์อะไรก็ได้
    แต่จะได้เพียงเล็กน้อยครับ ถ้าอยากให้ได้เยอะ ต้องทำอย่างนี้ครับ
    ถ้าเราเห็นสัตว์กำลังเป็นภัยถึงชีวิต ให้เราช่วยเหลือมัน แล้วเอามาปล่อย
    ครับ อย่างนี้ได้เยอะแน่

    โรคของมนุษยนี้ มี สองลักษณะ คือ โรคเวรกรรม และ โรคปัจจุบัน
    โรคเวรกรรม รักษาด้วยการนั่งสมาธิ แล้วต้องเจริญเมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรด้วยนะครับ
    ส่วนโรคปัจจุบัน ต้องไปให้หมอรักษาครับ

    ระดับ พรหม คือ เทวดาที่ยังมีกิเลสอยู่แต่มีน้อย หรือ พระที่ตายก่อนเข้านิพพาน เมื่อตายไป ก็ไปรออยู่ที่ชั้นนี้
    ส่่วน อรูปพรหม คือ เทวดาที่มีแต่จิต ไม่เหลือร่างกาย ไม่เหลือความรับรุ้ใดๆ
    โปรดไม่ได้
     
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ tum98
    ขอบคุณมากครับ สำหรับคำแนะนำสิ่งดีๆ หลังจากนั้นผมก้นั่งสมาธิทุกคืนอาการดังกล่าวก้ไม่เป้นหายใจปกติจิตสงบ แต่แล้วเหตุการก้เกิดขึ้นอีกเมื่อคืนนี้ จุ่ๆการหายใจก็เริ่มแน่นไม่ใช่แน่นที่เดียวเลยน่ะครับ มันค่อยเป็นหายใจไม่ออกเหมือนลมหายใจจะขาด ผมก้ภาวนาต่อไปเรื่อยเอาว่ะตายเป็นตายต่อสู้กันอยู่สักพักนึง และแล้วการหายใจก็ค่อยๆกลับมาปกติ แต่รู้สึดว่ามันแผ่วเบามากเหมือนจะไม่หายใจแต่มันยังหายใจอยู่ผมเลยนั่งต่อไปสักพักก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงถอนออกจากสมาธิครับ อาการแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ผมมาถูกทางหรือยังครับ หรือยังต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขอย่างไรช่วยชี้แนะด้วยครับ



    อันนี้ยังไม่ใช่ อาการของคนที่จะขาดใจตาย หรอกครับ หุหุหุ

    มันคือ อาการของการฝึกสมาธิใหม่ๆ ผู้ฝึกใหม่จะเกิดอาการกลัวตายครับ
    กลัวหายใจไม่ออก แล้วก็ตายไปเลย อันนี้ผู้ที่ฝึกใหม่เป็นกันเกือบทุกคน
    เป็นอาการของญาณที่สอง จะขึ้นญาณสาม

    ขณะที่เราพิจารณาใคร่ครวญอยู่ที่ลมหายใจ เข้าออก เราได้ทิ้งคำภาวนาไปแล้ว อันนี้ยังอยู่ในญาณสอง

    และเมื่อเราจะเข้าสู่ญาณสาม ซึ่งมันเป็นไปเองโดยธรรมชาติ ร่างกายหยาบของเราจะเกิดอาการต่อต่าน ทำให้เราหลงนึกไปว่า ถ้าเราไม่ใคร่ครวญลมหายใจให้ดี เราจะไม่หายใจอีก หรือ เราอาจจะหายใจไม่ออก จนตายไป

    พอถึงขั้นนี้แล้ว การฝึกต่อไปคือ มอบกายถวายชีวิตนี้ แก่พระพุทธ พระธรรม
    พระสงฆ์ พระนิพพาน แล้วอธิษฐานว่า
    ตายเป็นตายละโว้ยเรา หากว่าเรานั่งสมาธิแล้วตายลง บุญกุศลจะส่งให้เราไปสู่สวรรค์อย่างแน่แท้ แต่หากว่าเราไม่ตายเวลานั่งสมาธิ เราจะไม่ต้องกลัวตายอีก ความกลัวจะมากั้นขวางความสำเร็จของเราอีกไม่ได้ เราจะไม่กลัวตายอีกแล้ว

    ตรงนี้สำคัญนะครับ เรียกว่า การตัดตัวตนของเรา

    คนที่ไม่ผ่านขั้นนี้ ฝึกยังไง ก็ไม่ก้าวหน้า ต้องตัดตัวตัดตนให้ได้ก่อน
     

แชร์หน้านี้

Loading...