ใครต้องการถามเป็นการส่วนตัว ไปถามที่อื่น กลัวคนอื่นว่าให้มาที่นี่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nilakarn, 20 เมษายน 2013.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ครับคุณ ืnilakarn พอเข้าใจที่อธิบายครับ..และก็เป็นกำลังใจให้สำหรับ
    การถ่ายทอดและแนะนำได้ตรงจุดและถูกทางสำหรับผู้ปฏิบัติที่สงสัยให้ได้ตรง
    ประเด็นที่สุด ณ จุดนี้ด้วยครับ..

    ถ้าความคิดพื้นฐานแบบนี้แสดงว่าคงเดาคนไว้ไม่ผิด.ข้อดีคุณคือมีความตั้งใจ
    ที่จะถ่ายทอดและมีความเพียรในการถ่ายทอด ณ จุดนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ.
    ตรงนี้ขอชมนะครับ..

    .ต่อไปขออนุญาติแสดงความคิดเห็นร่วมเป็นประเด็นๆไปนะครับเพื่อจะช่วย
    เสริมเรื่องที่คุณกำลังทำและเพื่อความเข้าใจอะไรบางอย่างเพื่อช่วยตัดความ
    สงสัยในใจบางอย่างลงได้..

    ประเด็นแรกเรื่อง อดีตชาติของตัวเอง..ความจริงถ้ารู้แล้วสามารถน้อมได้
    ถึงสาเหตุว่าเพราะอะไรทำไมชาตินั้นชาตินี้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้วถึง
    ต้องยังได้กลับมาเกิดอีก.หรือเราทำบุญทำกรรมอะไรต้องได้ไปเกิดเป็นนั้น
    เป็นนี้..ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ.
    .
    ถ้าอยากทราบแบบทางลัด.ตามลายเซนต์ไป.
    และขอให้เจอ คนตัวหนังสือสีเขียว.
    ในห้อง Chatไม่กี่นาทีก็ทราบได้..

    แต่ถ้าจะให้แนะนำ.ฝึกเองดีกว่าเองดีกว่าครับ.เทคนิค
    วิธีการก็ไม่เกินความสามารถเท่าไร.ย้อนไปดูเล่นๆซัก ๕ - ๖ ชาติก็เบื่อ
    แล้วครับ..และปกติถ้าคนที่ทำได้แล้วถ้าไม่มีหน้าที่หรือต้องสร้างบารมีโดย
    ใช้เรื่องนี้ประกอบ.ก็มักไม่ค่อยฝึกกันและไม่ค่อยสนใจเรื่องทำนองนี้และ
    ปกติก็ไม่ค่อยยุ่งเรื่องทำนองนี้เท่าไร.ยกเว้นท่านที่ผมบอก..


    ประเด็นที่ ๒ เรื่องการอธิษฐานฌาน ที่เข้าใจหรือที่เรียกกันว่าคือการคลุม
    จิต.จะใช้ในกรณี.ที่เรามีจิตใจเมตตา.และบริสุทธิ์ใจเป็นทุน ในการที่จะให้
    คำแนะนำใครก็ตาม.ถึงจะขอร้องครูบาร์อาจารย์ทางภพถูมิ.เพื่อให้ท่าน
    สงเคราะห์หรือเปิดแนวทางการสอนให้ออกมาให้เหมาะสมและครอบคลุมกับ

    ระดับภูมิธรรมของเรา ณ ปัจจุบันมากที่สุด.ณ จุดนี้ถ้าคุณจะชัวจริงๆ.ต้อง
    ให้เห็นท่านด้วยตาเปล่าให้ได้ก่อนนะครับ.อย่างน้อยก็ต้องเห็นเป็นขอบๆ
    ที่บอกได้ว่าเป็นท่านนั้นๆจะได้ทราบว่าท่านใดเมตตาอยู่

    คนที่ผมแนะนำเห็นใสกิ๊กนะครับ..ถึงจะไม่สุ่มเสี่ยงกับการเผลอไปใช้ความคิด
    ที่เกิดจากจิตตัวเองที่ยังไม่เป็นกลางแล้วเผลอไปคิดว่าเป็นสติปัญญา.
    แล้วนำไปแนะนำบุคคลอื่นๆ..หรือสุ่มเสี่ยงกับการโดนจิตซ้อนกลหลอกเราได้
    เพราะพวกนี้จะเก่งในการเอากิเลสมาหลอกเรา..

    .
    ประเด็นสุดท้าย..เรื่อง พรหมวิหาร ๔ เป็นพื้นฐานเริ่มต้นที่สำคัญมากอยู่แล้วคับ
    ไม่ว่า ครูบาร์อาจารย์ท่านใดก็ตาม.ที่เล็งเห็นว่าต่อไปในอนาคตคุณ จะสามารถใช้ความสามารถถึงขั้นที่เป็นรูปธรรมได้.
    ก็ต้องแนะนำคุณให้ฝึกเรื่องนี้ก่อนแน่นอนครับ.
    และคนที่มีปลายทางนำไปใช้งานเป็นรูปธรรมไม่มีใครไม่มี
    หรือไม่ผ่านเรื่องนี้มาก่อนครับ


    ในเรื่องความเมตา.ไม่ใช่ว่ากับคนหรือสัตว์เท่านั้นนะครับ.แม้กระทั่งในส่วนภพภูมิต่างๆ.
    ไม่ว่าระดับไหนตรงนี้ก็ต้องมีเมตตาเป็นทุนด้วยครับ
    เพราะต่อไปจะต้องไม่เป็นศัตรูกับใครเลยทั้ง ๓ ภพนะครับแต่ไม่ใช่ว่าจะไว้ได้ทุกคน.

    .และจะเป็นการช่วยสะสมบารมีเราเล็กๆ
    น้อยๆไปเรื่อยๆ.จะมีพันธ์มิตรทางภพภูมิเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย.และต่อมาภพภูมิ
    ส่วนนี้ก็จะเป็นกำลังหนุนส่วนหนึ่งในการใช้ความสามารถบางอย่างให้เป็นรูปธรรมได้
    ในอนาคตเนื่องจากท่านๆเหล่านั้นจะมาเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างบารมีกับเรา
    ทุกๆครั้งที่คุณได้ช่วยเหลือคนอื่นๆและการใช้ประโยชน์ในทางธรรม
    จุดนี้คุณอาจคาดไม่ถึง
    นอกจากการฝึกฝนสร้างกำลังจิตให้ถึงในระดับที่สามารถพอใช้งานได้
    .ถึงจุดนี้คุณถึงจะพอใช้งานในทางภพภูมิได้..และต่อมาจากเรื่องพรหมวิหราร ๔ คุณจะโดนทดสอบเรื่อง
    การใช้ฤิทธิ์ในทางภพภูมิก่อนเพื่อทดสอบเรื่อง
    ปฏิฆะ.ถ้าอยูในเกณฑ์ที่ยอมรับได้.แม้จะยังไม่ผ่านเรื่อง ความกลัวตายเหมือน
    พระอริยะที่เราเคยได้ยินเรื่องราวมา.ก็พอจะเรียกขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการ
    ใช้งานได้ตามความเหมาะสม.

    .แต่ในส่วนของการนำไปใช้งานต้องขึ้นอยู่กับปลายทางในการนำไปใช้งานของคุณอีกนะครับ
    ..คุณถึงจะทราบ วิธีการรวม การหนุนและส่งกำลังสำหรับการไปใช้งาน
    เคยเห็นภาพพระบางท่านตอนที่ปลุกเสกวัตถุมงคงไหมคับ
    ที่มีแสงพุงไปที่วัตถุที่ท่านปลุกเสกนั้นหละครับ..

    .ซึ่งตอนนั้นก็จะเป็นภพภูมิอีกท่านหนึ่งนะครับที่
    จะเมตตาเรื่องนี้..ความจริงเรื่องภพภูมิเป็นอะไรที่คุณคลาดและคลาดไม่ถึงมากกว่านะครับว่าแท้จริงแล้วเป็นท่านใดที่..
    ท่านจะเมตตาดึงให้ใครเข้ามาอยู่ในเส้นทางที่จะ
    ใช้เป็นรูปธรรมและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อบุคคลหรือช่วยเหลือคนอื่นๆ
    ได้ในอนาคตว่าท่านผู้นี้เป็นใคร.นอกจากความสามารถพิเศษทางจิตต่างๆที่เป็น
    นามธรรมของผู้ปฏิบัติดีท่านต่างๆและมีความสม่ำเสมอ
    และถ้ารู้จักน้อมความสามารถทางจิตที่เป็นนามธรรมไปใช้ในทางที่ถูกนะครับ.


    ถ้าถึงวาระและเวลาแม้คุณจะไม่อยากฝึกท่านก็จะตามด้วยตัวเองครับ..
    คนอยากฝึกอยากทำได้.ฝึกแทบตายเผลอๆชาตินี้ยังทำไม่ได้.
    ถ้าทำได้ก็เป็นประเภทอภิญญาในบ้านตัวเอง.และจะมีอัตตาบวก
    กับมานะมาก.บางคนยังทำไม่ได้ถึงขั้นที่ใช้งานได้
    ก็ยังติดเรื่องอัตตาและมานะเลยครับ.เผลอๆถ้ามาเจอคุณเค้าจะถล่ม
    คุณซะเละแถมข่มคุณด้วยอัตตาเค้าล้วนๆนั่นหละครับ..


    คือเรื่องพวกนี้ต้องมีองค์ประกอบหลายๆอย่างให้ครบ.นอกจากการสะสมบารมี
    มาเรื่อยๆ.จะต้องมีเมตตาเป็นทุน.ฝึกเพื่อคืนของเก่า และที่สำคัญ
    เพื่อประโยชน์ใช้การใช้งานต่างๆในทางธรรมเป็นฐาน.และตัดเรื่องปฏิฆะให้ได้
    (สำคัญมากนะครับ.เพราะคุณจะโดนแซะบ่อยๆ.)
    มากๆถึงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้..
    เอาไว้คุณผ่านไปทีละขั้นๆแล้วจะทราบได้ตัวเอง.
    ถึงตอนนั้นจะถึงบางอ้อเองครับ.
    อีกอย่างให้เลี่ยงการเอ่ยชื่อครูบาร์อาจารย์ท่านโดยตรงด้วยครับ.
    ให้เลี่ยงไปใช้คำว่าครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิจะเหมาะสม.
    จะปลอดภัยต่อทั้งตัวคุณและผู้ที่เข้ามาอ่านแล้วเกิดเค้าคิดปรามาส
    จะได้ไม่การสร้างกรรมให้ต่อตัวเองและผู้อื่นโดยที่เราไม่ได้เจตนาได้ครับ..
    ตรงนี้ฝากไว้อีกจุดนะครับ เพราะเราไม่สามารถรักษาความดีได้ตลอดเหมือนๆ
    ครูบาร์อาจารย์นะครับ
    จุดนี้เผื่อคุณคาดไม่ถึง ครั้งนี้ยาวหน่อยแต่คิดว่าคงพอครอบคลุมความเข้าใจ ขอบคุณมากครับ.;).
    .​
     
  2. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    สาธุครับ

    ดีมากเลยครับ ที่มีคนคอยแนะนำ คอยเป็นกระจกให้ผม
    ที่ผมขาดก็คือกระจกนี้ละครับ และผมก็จะได้รู้ด้วยว่ายังบกพร่องตรงไหน


    อาจารย์ที่สอนคอยแนะนำเรื่องภพภูมิ ตั้งแต่เริ่มฝึกใหม่ ผมก็เลยไม่คิดอยากดูภพภูมิครับ กลัวจะเป็นการทำให้การปฎิบัติ ไม่ก้าวหน้า แม้ต่อมาจะอยากดูก็ไม่เคยเห็นครับ

    ส่วนการถอดกายทิพย์ กับ เห็นวิญญาณ ยังไม่เคยเห็นในสมาธิ หรือว่าทำได้แล้วแต่ไม่เข้าใจก็ไม่รู้ แต่ตอนนอน กลับเห็น สัมผัสวิญญาณ

    และก็ที่สำคัญถ้ามีคนเก่ง มาช่วยกันเขียนกระทู้ก็จะดีครับ จะได้เติมเต็มให้สิ่งที่ยังไม่มีครับ และผู้ที่ฝึกใหม่ จะได้มีคนคอยให้คำปรึกษา เขียนคนเดียว ก็เบื่อคนเดียวครับ เขียนกระทู้ไปก็ท่อง เมตตานะเมตตา ตามที่ครูอาจารย์บอกไว้
    มนุษย์ขี้เหม็นนี่ สอนช่างยากเย็นซะเหลือเกิน ส่วนคนที่ว่าง่ายก็ขออนุโมทนาบุญครับ


    ต่อไปให้ฝึกน้อมดูอดีตชาติ ใช่ไหมครับ ที่ผมเคยไปฝึกที่บ้านสายลม ตกลงแล้วผมทำได้ หรือไม่ได้ บอกทางเมล ก็ได้ครับ

    :cool:
     
  3. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    วันนี้อารมณ์เริ่มแจ่มใสครับ เพราะพึ่งตื่นนอนมา เลยมาตอบการบ้านที่ให้ไว้ซะหน่อย

    สมมุติว่ามี นกตัวหนึ่งที่กำลังจะหิวตาย กำลังต่อสู้กับ แม่งู ที่กำลังกกไข่อยู่ สองตัวกำลังต่อสู้กันจนใกล้จะหมดแรงทั้งคู่ งูก็กำลังจะตายเพราะโดนจิก
    แต่ยังเอาตัวเองรัดนกซะแน่น นกก็กำลังจะขาดใจตายเพราะความหิว ถ้าหากว่า ไม่ได้กินเนื้อในทันที มันก็ต้องตายอย่างแน่นอน


    วิชชา คือ สิ่งที่เรารู้แล้ว และต้องใช้ถูกทาง ใช้ให้เป็นด้วย
    อวิชชา คือ สิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว แต่ดันใช้ไม่เป็น หรือ ใช้ไปไม่ถูกทาง หรือ แม้กระทั่งสิ่งที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น แต่ดันอยากใช้


    สิ่งที่เป็นอวิชชา หรือ ความไม่รู้ ก็คือ เมื่อเราไม่รู้ว่า ทั้งนก และ แม่งู เคยได้ทำกรรมอะไรต่อกันไว้ ในอดีตชาติ เรากลับไปยุ่งเกี่ยวกับกรรมของคนอื่น โดยการช่วยเหลือ เจ้านกน้อย ให้มันได้กินอาหาร หรือ ช่วยเหลือแม่งูกับลูก ให้พันภัย
    สิ่งที่เราทำไป ที่เราคิดว่าเป็นเมตตาจิต หรือ เป็นบุญกุศล หรือ อุปนิสัยที่ชอบช่วยเหลือของเรา มันดันเป็นอวิชชา เป็นตัวกั้นมรรคผลนิพพานของเรา เมื่อเราไปยุ่งกับกรรมของคนอื่น กรรมของคนที่เราไปยุ่งก็จะวิ่งใส่เราแทน คราวนี้ละครับ ยิ่งกว่าลิงพันหลักซะอีก พันกันไปก็พันกันมา ยุ่งวุ่นวายหนักเข้าไปอีก ยิ่งแก้ยังพันอิรุงตุงนัง วุ่นวายไปหมด


    ส่วนสิ่งที่เป็น วิชชา หรือ การรู้จักใช้ คือ รู้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ให้ถูกด้วย
    การรู้อย่างเดียว แต่ยังไม่นำมาใช้ให้เป็น ก็ยังเป็นความมืดบอดอยู่ครับ ถ้าจะให้สว่าง ต้องให้รู็ ให้เป็น ให้ถูก นั่นก็คือ รู้แล้ว ต้องใช้ให้เป็น และให้ถูกหลักตามทำนองครองธรรมด้วย
    เปรียบเสมือน เรารู้ว่า นกและแม่งู มีกรรมเก่ามาในอดีต แต่เรากลับนั่งบื้อ ไม่ทำอะไร หรือคิดอะไรไม่ออก มันมึนไปหมด แล้วก็เดินจากไป อันนี้เป็นอวิชชาคือ รู้อยู่ แต่ทำอะไรไม่ได้ ใช้งานไม่เป็น และไม่ถูกหลักแห่งเมตตา
    อีกอันหนึ่ง เรารู้ว่า นกและแม่งู มีกรรมเก่ามาในอดีต อาจจะรู้ด้วยการใช้อภิญญาช่วยตรวจดู หรือ รู้เพราะได้เรียนมาก็ใช้ได้เช่นกัน แต่เราก็ไม่เอาจิตของเรา เข้าไปวุ่นวายกับกรรมนั้น แม้ว่าอยากจะช่วยเหลือเท่าใดก็ตาม เมื่อเราช่วยเหลือไม่ได้ แต่ยังไม่อีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ คือ การแผ่เมตตาจิตนั่นเอง แผ่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทันที เช่น ในเมื่อเจ้าตายแล้วเราก็ขออธิษฐานให้เจ้าเกิดในทันที ในภพภูมเทวดา หรือ ภพภูมิมนุษย์ เพื่อให้เจ้าได้มีโอกาสสั่งสมบุญกุศลได้อีก หากว่าวิญญาณนั้นไม่ได้รับรู้ ถึงคำอธิษฐานนี้ ก็ขอให้เจ้าที่เจ้าทาง พระแม่ธรณี ท่านพระยายมราช จงนำคำอธิษฐานนี้ไปบอกเขา แล้วให้เขาอนุโมทนาสาธุด้วยเถิด เมื่อเข้าได้อนุโมทนาบุญแล้ว ก็ขอให้ท่านที่ไปบอกกล่าวกับเขา ได้อนุโมทนาในส่วนที่เป็นบุญครั้งนี้ด้วย

    อันนี้เรียก รู้ คือ เรารู้มียังมีกฎแห่งกรรมอยู่
    ใช้ให้เป็นคือ เราใช้อภิญญาตรวจดู ว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีอยู่จริง กรรมของเราเองก็มีอยู่จริง
    การให้ถูกตามหลักแห่งเมตตา ก็คือ เรายังน้อมจิตคิดช่วยเหลือเค้าอยู่
    แต่เราก็ต้องวางเฉยตามหลักอุเบกขา
    แถมเรายังกรุณาแผ่ส่วนบุญให้เขา แล้วยังช่วยอธิษฐานจิตให้เค้าได้ไปเกิดอีกด้วย
    อีกทั้งยังได้ แสดงมุทิตาจิต ต่อผู้ที่ช่วยเหลือเรา คือ เจ้าที่เจ้าทาง พระแม่ธรณี และท่านพระยายม นั่นเอง


    ส่วนกรรมของคนอื่น ที่หันมาเล่นงานเรา ทำให้เราแทบไม่มีเวลาปฎิบัติอีกต่อไป ไม่ก้าวหน้าทางธรรมซักที เพราะมัวแต่เล่นสนุกอยู่กับกรรมของคนอื่น
    เฉพาะ กรรมของเราเองก็แทบแย่แล้ว โดยเฉพาะของผม แทบทำใจกันไม่ทัน จนต้องอธิษฐาน ขอให้มาถี่ๆ บ่อยๆ แต่ให้มาน้อยๆ นานๆ คือค่อยๆมา แต่อย่าหยุด เพราะเมื่อไหร่ที่กรรมเบา เราก็หลงไปอีก กลับคิดไปเองว่า กรรมของเราคงจะหมดซะแล้ว มันปล่อยให้เราหลงดีใจ จนไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ แล้วกรรมใหญ่ๆ ก็มา ตูมเดียว ร้องไห้กระจองอแง จนกระเจิดกระเจิงไปเลย
    ที่นี้เอาใหม่ กำหนดใหม่ ในเมื่อเราห้ามกรรมไม่ได้ บังคับมันก็ไม่ได้ งั้นขอร้องเลยละกัน คือเล่นกับกรรมเค้าหน่อย ปล่อยให้เค้าเล่นเราฝ่ายเดียวไม่สนุกแน่ อธิษฐานขอซะเลย ขอให้กรรมมาเบาๆบาง มาบ่อยๆ แต่อย่าได้หยุด เราจะได้เตรียมตัวเตรียมใจได้ทัน ให้อธิษฐานตลอดเวลาเลยยิ่งดี


    พระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ว่า
    ขนาดตัวเจ้าเอง ยังจะจมน้ำตาย ด้วยความที่เจ้าว่ายน้ำไม่เป็น ยังจะเอามือไปฉุดดึงลูกเมีย พ่อแม่พี่น้องของเจ้า นี่เจ้ายังจะช่วยเหลือเขาอีกหรือ แล้วทำไมเจ้าไม่เรียนว่ายน้ำ ให้เป็นก่อน แล้วเจ้าก็สอนให้เค้าว่ายน้ำเอง จะได้ไม่ต้องกอดคอกันตาย เจ้าโง่แล้วยังจะช่วยเหลือคนอื่นอีก คิดดูมันน่าสมเพชไหม

    ถ้าถอดความแล้ว ก็จะได้ประมาณว่า
    ขนาดตัวเจ้าเอง คือ ขนาดตัวเจ้าที่ผ่านการฝึกมาเยอะ ทั้ง สมถะและวิปัสสนา แต่ยังไม่บรรลุมรรผล
    ยังจะจมน้ำตาย คือ ยังต้องผ่านการเวียนว่ายตายเกิดอยู่
    ด้วยความที่ เจ้าเองว่ายน้ำไม่เป็นคือ ยังไม่บรรลุมรรคผล ถึงขั้นโสดาบัน ยังมีโอกาสกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
    ยังจะเอามือไปฉุดดึง ลูก เมีย พ่อแม่พี่น้อง ของเจ้า คือ ยังคิดจะช่วยเหลือ ลูก เมีย พ่อแม่พี่น้อง ครูบาอาจารย์ ลูกศิษย์ลูกหา เพื่อนพ้อง และผู้ที่เคยมีบุญคุณกับเรา ให้เค้าพ้นทุกข์ ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือเค้า
    นี่เจ้ายังจะช่วยเหลือเขาอีกหรือ คือ ตอนนี้เจ้ายังไม่บรรลุ มรรคผล นิพพาน เลย แต่ดันเอาเวลาของการฝึกจิต ไปคิดช่วยเหลือผู้อื่น ให้คิดแต่เพียงว่า หากเค้าคิดอยากให้เราช่วยเหลือ พระก็จะดลใจให้เค้ามาหาเราเอง แล้วเราค่อยช่วยเขา นอกนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกรรม ที่เค้าได้สร้างมา ดลบันดาลให้เค้าเป็นไปอย่างนั้น ให้คิดเสมอว่า แม้แต่พระอรหันต์ยังต้องมีกรรมเก่า ตามมาชำระให้หมดสิ้น แม้แต่กรรมของพระพุทธเจ้า กับพระเทวทัต ก็เป็นกรรมที่พระพุทธองค์ ได้ทำต่อพระเทวทัตก่อนในอดีตชาติ พอท่านบรรลุอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังโดนกรรมเก่าตามมาเล่นงาน หากเป็นปุถุชนคนธรรมดา ที่บรรลุอรหันต์ ก็จะต้องบวชภายใน 7 วัน มิฉะนั้น จะต้องตายหรือนิพพานแน่นอน

    แล้วทำไมเจ้าไม่เรียนว่ายน้ำให้เป็นก่อน ก็คือ ทำไมเราถึงไม่เรียน ให้หลุดพ้น จากการเวียนว่ายตามเกิด ซะก่อน หรือ เหตุไฉน ไม่ปล่อยวางเรื่องราวทางโลกไว้ก่อน แล้วเรารีบมาปฎิบัติเพื่อตนเองพ้นวัฎฎสงสารเสียก่อน

    แล้วเจ้าก็สอนให้เค้าว่ายน้ำเอง คือ เมื่อเจ้าบรรลุมรรผลขั้นต้นแล้ว ผ่านพระโสดาบันได้แล้ว เจ้าก็จงรีบกลับมาสอนให้เค้าพ้นทุกข์ แบบเดียวกับที่ท่านทำได้
    จะได้ไม่ต้องกอดคอกันตาย คือ เมื่อเรายังไม่บรรลุมรรผลนิพพาน เราจะสามมารถสอน ให้คนอื่นบรรลุธรรม ชั้นสูงกว่าเราได้ยังไง เค้าจะบรรลุมรรผลนิพพานได้อย่างไร เราก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เค้าก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเหมือนกันเราอีกเช่นกัน มิหนำซ้ำ เมื่อเค้าไปเกิดไหม่ เค้าก็ไม่รู้จักกับเราแล้ว เค้าก็จะไปเกิดเป็นลูกเมียของคนอื่น เมื่อเราตามไปพบไปเจอ เราก็ไปตู่ว่า เค้าเคยเป็นลูกเมียของเรา อันนี้ยิ่งสร้างกรรมหนักขึ้น เพราะการที่เรารู้ด้วยอภิญญา แล้วมาพูดเพื่อประโยชน์ตนเอง เป็นกรรมหนักเกินไป หากพูดเพื่อการปฎิบัติไม่ผิดแต่อย่างใด กลับเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
    เจ้าโง่แล้วยังจะช่วยเหลือคนอื่นอีก คือ เจ้าหลงทาง เพราะตามืดบอด มัวแต่คิดช่วยเหลือผู้อื่น จนลืมคิดไปว่า ทางที่ถูกต้องก็คือ ต้องช่วยตนเองให้ได้ก่อน ก่อนจะไปช่วยผู้อื่น
    คิดดูมันน่าสมเพชไหม คือ แม้กระทั่งตนเอง ยังพอใจอยู่กับการได้ญาณสี่ หรือ อภิญญาต่างๆ ไม่รู้จักละวาง สิ่งที่ได้เหล่านั้น แล้วมาเร่งวิเคราะห์หาสาเหตุแห่งการเกิดดับ ของ ราคะ โทสะ โมหะ หรือ โลภโกรธหลง ที่มันเกิดขี้นในจิตใจเรา ทุกขณะจิต เกิดดับๆๆ อยู่ตลอดเวลา หากมันเกิดขึ้นปุ๊บ เรารู้ปั๊บ แล้วกำหนดวางมันลงได้ อันนี้เรียก วิปัสสนา เป็นของแท้ที่พาไปถึงนิพพานได้
    สิ่งอื่นล้วนพาไปไม่ได้ มัวแต่ยึดติด ช่างไม่สมเพชตัวเองเลย


    แถมท้ายก่อนจาก การภาวนาอย่างคร่าวๆ ของวิปัสสนา

    เมื่อมีรักเกิดขึ้น เราก็จงภาวนาว่า รักหนอๆๆๆๆๆๆ ความรักคือ ความหลงหนอ เมื่อเจ้าเกิดขึ้นมาในจิตใจของเรา ทำให้เราคิดหนอ ทำให้เราน่ามืดตามัวหนอ ใครห้ามเราก็ไม่ฟังหนอ แม้แต่พ่อแม่ของเราที่เป็นอรหันต์ของเรา เรายังทะเลาะกับท่านได้ ช่างเป็นไปได้หนอเรา เพราะคนอื่นเราถึงกับทิ้งพ่อแม่ของเรา นี่มันกรรมหนักจริงหนอ นี่แสดงว่าความรัก ความหลงนี้ มันหลอกลวงเรา ให้ทำผิดกับพระอรหันต์ในบ้านของเราหนอ อันนี้ช่างไม่ถูกทำนองคลองธรรมไปหน่อยแล้ว มันหลอกเราได้ถึงขนาดนี้หนอ แต่เอาเถอะในเมื่อเราผิดพลาดไปแล้ว เราก็จะกลับตัวใหม่ ตั้งต้นใหม่เป็นลูกที่ดีต่อพ่อแม่ อีกทั้งเราจะเลี้ยงดูครอบครัว และพ่อแม่ของเราให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้เราต้องเลี้ยงดูลูกๆ ของเราให้มีการศึกษาสูงๆเสียก่อน เงินทองของเราที่มีนี้เราขอเก็บเอาไว้ให้ลูกของเราดีกว่า ส่วนพ่อแม่ยังไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ ก็ให้รอไปก่อนได้ แถมเรายังต้องสร้างบ้านอีกหลัง ให้ใหญ่โตสมฐานะของเราอีก ลูกๆของเรา เรารักที่สุด เรากลัวเค้าลำบาก เราไม่อยากให้เค้าทำงานหนักตอนเด็ก เหมือนกับเราที่ต้องทนลำบากตั้งแต่เด็ก เราจะให้เค้าเรียนอย่างเดียว อืมช่างน่าแปลก เมื่อเรารักลูกของเรา กลับลืมพ่อแม่ของเราเอง ทั้งๆที่เราควรจะคิดถึงพ่อแม่ของเราก่อน แล้วค่อยตามมาด้วยการคิดถึงลูกของเรา ความรักความหลงนี่ มันเล่นงานเราหนักหนอ ทำให้เราผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันหลอกลวงเราจริงๆหนอ เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วต่อไปเราจะไม่ให้มันหลอกเราอีก เราจ้องระวังโมหะไว้ให้ดี เราจะต้องโลภโกรธหลง ที่เกิดขึ้นในใจเรา เอาไว้ให้ดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2013
  4. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ bird2531
    ตอนนี้นั่งสมาธิเราจะสามารถกลืนน้ำลายได้ไหมครับเวลาผมนะนั่งสมาธิบางทีเหมือนน้ำลายมันออกมาจากปากจนเผลอกลืนน้ำลายไปหลายครั้งมันจะมีผลกับการปฎิบัติอย่างไรบ้างครับ


    อาการอย่างนี้ เป็นอาการของการตั้งใจนั่งเกินไป ร่างกายไม่ผ่อนคลาย ที่สำคัญ คอตั้งตรงเกินไป ซึ่งก็คืออาการของคนนั่ง แหงนหน้า จนเกินไป
    วิธีแก้ก็คือ ให้ก้มหน้าลงหน่อย นิดเดียว อย่าให้มากเกินไปจนคอตึง

    แต่ก็มีบางอาจารย์ท่านเล่าว่า คนที่รู้สึกว่า ตัวเราไม่ถึงขั้นปิติกับเขาซักที อาการกลืนน้ำลาย คือนิสัยในขั้นปิตินั่นเอง แต่เราไม่รู้สึกเลย คิดว่ามันเกิดกันทุกคน แต่ไม่ใช่ครับ อาการอย่างนี้เกิดเป็นบางคนเท่านั้น ผมก็เป็นบ่อยๆ จนบางทีเสียใจ นึกว่าสมาธิหลุดไปแล้ว แต่ก็ยังอยู่เท่าเดิม และถ้าหากว่าเกิดขึ้นอีกก็กลืนน้ำลายไปเลยครับ ไม่ต้องอมไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2013
  5. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Sir-Pai
    ความรู้สึกของผู้ได้ฌาณ 4 เป็นเช่นไรหรอครับ
    คืออยากประเมินตัวเองว่าได้รึยัง และเพื่อศึกษาไว้ด้วยครับ

    ขอบคุณและอนุโมทนาสำหรับธรรมทานนะครับ


    ครั้งแรกๆ ขาหายไป รู้สึกเหมือนว่าไม่มีขา เหมือนเราไม่ได้นั่งอยู่ แต่ตัวเราลอยอยู่ไม่สัมผัสพื้นเลย เหมือน ผีกระสือมีแต่หัว หุหุ ลอยอยู่

    ต่อๆมา เมื่อชำนาญแล้ว อวัยวะต่างๆ จะหายไปเรื่อย ทีละอย่างสองอย่าง
    ตั้งแต่ ก้นเริ่มไม่รู้สึกว่า มีอยู่
    ต่อมาก็พุงหรือท้องหายไป
    ต่อมาก็หน้าอกรู้สึกโล่งๆ
    ต่อมา เหลือแต่หัว
    ต่อมา หัวหายไป เหลือแต่หน้าอยู่
    ต่อมา หน้าก็ไม่มี เหลือแต่ความรู้สึก หรือที่เรียกว่าจิต นั้นเอง

    จิตดวงนี้ละที่เราต้องอบรมเค้าให้เยอะ เพราะเค้าจะพาเราไปที่นั่นที่นี่ได้

    วิธีทำให้เกิดวสี หรือ ชำนาญก็คือ พอนึกปู๊บ ก็เหลือแต่ความรู้สึกอย่างเดียว อวัยวะต่างๆ ก็หายไปหมด ไม่รู้สึกถึงอีก

    วิธีไปก็ให้ตั้งจิตอธิษฐานเอาเด้อ พี่น้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2013
  6. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Nattawee95
    คือตอนนั่งสมาธิผมจะเอา หูฟังเสียบหูไว้
    แล้วเปิดเสียงที่หลวงพ่อท่านเทศน์ไปด้วย
    แล้วอยู่ๆ เสียงหลวงพ่อก็หายไปเลยครับ
    ลมหายใจก็ไม่รู้
    รู้สึกตัวอีกที(เหมือนตื่น) ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่ออีก
    แล้วพอกำหนดลมหายใจไปอีกสัก 2 -3 ครั้ง
    เสียงหลวงพ่อก็หายไปอีก
    อย่างนี้เรียกหลับใช่ไหมครับ


    การทำสมาธิ จิตจะตื่นตลอดเวลา แต่ความรู้สึกมันกลับหายไป แทน
    กรณี ที่นั่งหลับ จะเหมือนกับการเข้านิโรธ ครับ มันคล้ายๆกัน แต่นั่งหลับร่างกายจะสัปหงกครับ ถ้าร่างกายตั้งตรง แล้วจิดดับ อันนี้เป็นนิโรธครับ
    จะไม่เหมือนการเข้าญาณสี่ ถ้าสติหรือจิตหายไปขณะที่เข้าญาณสี่ อันนี้เรียกว่า
    เผลอเข้านิโรธโดยไม่รู้ตัวครับ อันนึ้ก็ไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ นะครับ เพราะเป็นของพระอนาคา แต่ผู้คนส่วนใหญ่ อย่างมากก็แค่นั่งหลับ แต่ถ้าหากว่าใครที่บรรลุแล้วเผลอเข้าไป แล้วรีบร้อนออกมา เช่น เผลอลึมตาเลย ไม่ออกตาม สี่ สาม สอง หนึ่ง ร่างกายและวิญญาณจะบอบช้ำครับ ออกอาการเบลอๆๆ ไปพักใหญ่ เจ็บปวดร่างกายเหมือนคนจะเป็นไข้ คั่นเนื้อคั่นตัว ให้ฝึกสมานกายทิพย์ตามแบบสมเด็จโตครับ จึงจะหาย

    มักมีผู้ปฎิบัติส่วนมากที่นั่งสมาธิจนหลับไป ตื่นขึ้นมาอาการก็จะเป็นอย่างนี้ละครับ เพราะออกจากสมาธิไม่เป็น
    ยกเว้น ผู้ที่สามารถนำสมาธิไปใช้ในชีวิตประจำวันตลอด พวกนี้จะจิตเข้มแข็ง ไม่ค่อยเป็นอะไรง่ายๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2013
  7. _nnn_123

    _nnn_123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +567
    ผู้ที่สามารถนำสมาธิไปใช้ในชีวิตประจำวันตลอด รบกวนถาม ว่าการนำสมาธิมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ตลอดที่ว่านี้คือการทรง ณาญ ใช่ใมคะ อืม...ส่วนใหญ่ที่ว่าอยู่ที่ ณาญ 2 ใช่ใมคะ แล้วสมมุติว่า ถ้ามากกว่านั้นเป็นไปได้ใมคะ แล้วเป็นไปได้ใมว่าคนที่เป็นฆราวาส ที่มีชีวิตปกติอยู่แบบนั้น แล้วอยากทราบอีกอย่างคะ ว่ากำลังจิต กำลังสมาธิเป็นแบบคลื่นไฟฟ้าใช่หรือไม่คะ แล้วถ้าสัมผัสหรือรับรู้ได้ สามารถนำมาใช้ประโยชน์อะไรได้แล้วเรียนรู้เอามาดัดแปลงใช้ยังไง รบกวนคะ
     
  8. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ใช่แล้วครับ ทรงญาณ จริงๆด้วย โดยปกติญาณที่ทรง ก็คือญาณสี่ครับ คือความสุขนั้นเอง วิธีทรงก็ให้นึกถึงความสุขในญาณสี่ แล้วก็ยิ้มไว้ได้ทั้งวันครับ อารมย์ไหนมากระทบก็ยิ้มไว้ครับ มีสุขก็ยิ้ม มีทุกข์ก็ยิ้ม โดนว่าก็ยิ้ม โดนชมก็ยิ้ม พอยิ้มแล้วก็ให้วางใส่อุเบกขาเลย คือไม่รู้สึกอะไรกับมันทั้งนั้น โลกธรรมแปดตัวนี้ จะทำอะไรเราไม่ได้อีกแล้ว เรารู้ทันมันแล้ว มันเฉยๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายกับมันอีก

    ส่งญาณที่สองนั้น เอาไว้ใช้ในเวลาที่เราทำงาน แล้วเราต้องการสมาธิ ก็คือกำหนดลมหายใจนั้นเอง เหมือนกับเวลาโกรธ แล้วเราหายใจลึกๆ อาการโกรธก็จะหายไป การทำงานก็เหมือนกัน เมื่อเราทำงานเราก็เอาใจไปจดจ่ออยู่กับงาน เช่น ล้างจานก็บอก ล้างจาน
    นั่งอยู่ ก็บอก นั่ง
    เดิน ก็บอก เดิน
    ขับรถ ก็บอก ขับรถ
    อย่าไปกำหนดผิด เวลาทำงานเดี๋ยวก็ผิด
    ที่สำคัญ อย่าให้ลึกไปญาณสี่ ขับเคยขับรถ แล้วภาวนาอยู่ดีๆ ดันเลยไปญาณสี่ รถก็เลยชนกันเลย ซวยจริงๆ


    มีอีกวิธีครับ เหมือนกับโยเรที่เค้ารักษาคนป่วยไข้ เค้าไม่ได้รักษาร่างกายอย่างเดียว เค้ารักษากระทั่งจิตวิญญาณของเราด้วยครับ คล้ายกับการนั่งสมาธิ พอนั่งไปนานๆ ถึงโรคภัยต่างๆ ไม่หายไป แต่ด้านจิตใจหายดีครับ โดยเฉพาะคนที่พร้อมตายแล้ว ถึงตายไปก็ไม่ตกอบายอยู่ดี

    การนั่งสมาธิแล้วต้องการรักษาผู้อื่น ต้องประกอบกันสองอย่าง คือ หนึ่ง ต้องอธิษฐานบารมีเป็น การฝึกอธิษฐานบารมีก็เช่น พระป่าอธิษฐานไม่ทานเจ็ดวัน หรือ ไม่พูดเจ็ดวัน หรือ ไม่นอนเจ็ดวัน ส่วนชาวบ้านเราก็อธิษฐานศีลแปดครับ อธิษฐานดีๆๆ ก็ได้เหมือนกัน โดยต้องอธิษฐานเจ็ดวันขึ้นไปครับ บารมีจึงจะเริ่มเกิด

    สอง ต้องรู้จักการขยับจิตของเรา ไปตามจุดต่าง เช่น มือ เท้า หัวเข่า ข้อศอก จะเป็นแบบเดียวกับการจับชีพจรของหมอ โดยเราจะรู้สึกเหมือน มีชีพจรเต้นอยู่ตรงที่เราเอาจิตไปไว้ มันเต้นตุ๊บๆๆ คล้ายกับหัวใจเต้น จะมีอาการร้อนวูบวาบ ตรงบริเวณนั้น หากอยู่ที่มือมันเหมือนเรากำลูกบอลนิ่มๆไว้

    วิธีใช้ก็คือ อธิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อน แล้วก็ให้ของที่ร้อนวูบวาบๆๆ ที่อยู่ที่มือของเรา ไหลออกไปรักษาคนอื่น สักชั่วโมง สองชั่วโมง เมื่อเสร็จแล้วก็ให้แผ่เมตตาด้วย
     
  9. _nnn_123

    _nnn_123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +567
    ขอบคุณมากคะ เอาไว้เป็นความรู้เฉยๆ แค่รู้ ก็พอแล้ว ขอบคุณอีกทีคะ
     
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ผู้ที่เข้าชำนาญในเรื่องการเข้าฌาน ทางกาย จะอยู่ท่าไหนก็เหมือนกันหมด ไม่ได้มีความยากง่ายในการเข้าสมาธิแตกต่างกันแต่อย่างใดเลย แถมสำหรับผู้ที่ชำนาญแล้ว เวลาเข้าสมาธิจะนั่งหลังตรง เพราะหากต้องการเข้าสมาธินานๆ จะมีผลเสียต่อร่างกาย น้อยกว่าการนั่งหลังงอ หากนั่งหลังงอ เวลาออกจากสมาธิมา ร่างกายมันจะปวดเมื่อยได้ง่าย
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    - ถ้าไม่รับรู้ถึงลมหายใจ คือ ไม่มีสติ
    พระพุทธองค์สอนว่าอย่างไร? หายใจเข้า ให้รู้ว่าเข้า หายใจออก ให้รู้ว่าออก หายใจยาว รู้ว่ายาว หายใจสั้น รู้ว่าสั้น
    หากเป็นผู้อยู่ในพุทธศาสนา อย่าทิ้งคำสอนของพระพุทธองค์ อย่าเห็นเป็นสิ่งที่ตนเองคิดจะทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ ตามใจตน

    -ฌาน กับ ญาณ นั้น ต่างกัน ต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างสองคำนี้เสียก่อน มิฉะนั้น สอนผู้อื่นไป จะพาผู้อื่นหลงทางไปเสียหมด

    - ปีติ นั้น อยู่ในช่วงฌาน 1 เท่านั้น

    - ไม่ต้องเกร็ง ปล่อยร่างกายทำงานไปตามปกติ ปล่อยหายใจไปตามปกติ คลายกล้ามเนื้อที่มันเกร็งตัวออก เราฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เห็นว่า ธรรมชาติของร่างกาย และ จิตใจเป็นอย่างไร ไม่ใช่ฝึกเพื่อบังคับมัน สิ่งสำคัญ คือ มีสติรู้ไปเรื่อยๆ มันจะเกิดอะไร ก็มีสติรู้ต่อไปเฉยๆ สภาวะใดเด่นที่สุด ให้กำหนดรู้ในสภาวะที่เด่นที่สุดนั้น หากลมหายใจจับไม่ได้ ไปจับอยู่กับความเจ็บปวด ก็ให้กำหนดรู้สภาวะความเจ็บปวดนั้น หากเครียดมากเกินไป ก็ให้ผ่อนลง จิตที่เครียดขึงตึงมาก จะไม่มีทางพบเห็นอริยสัจจ์

    ธรรมะของพระพุทธองค์ เป็นทางสายกลาง ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ในขั้นต้นๆ ของการปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติหลายคนที่มีความมุมานะมาก มีกำลังของจิตมาก จะเน้นเรื่องการบังคับร่างกาย แต่นี่คือการสร้างอัตตาตัวตน เป็นการเสริมสร้างเข้าไปในจิต ว่า ร่างกายต้องเป็นเช่นที่เราสั่ง จิตต้องเป็นเช่นที่เราสั่ง มันจะไปลบล้างคำสอนไตรลักษณ์ ที่พระพุทธองค์ต้องการให้เราเห็น

    - เวลาขับรถ อย่าใช้คำภาวนาที่มันทำให้จิตคิดวอกแวก การภาวนา ขับรถ นั้น เป็นคำภาวนาที่หยาบมาก และเป็นสภาวะบัญญัติ ไม่มีส่วนไหนเลยที่เป็นปรมัตถ์ วิธีที่ถูก คือ ให้รู้ตามจริงไปเฉยๆ มันจะมีคำภาวนา หรือไม่มี ก็ไม่เป็นไร รู้กาย รู้ใจ รู้หลวมๆ สบายๆ ร่างกายจะขยับอย่างไรก็รู้ ใจจะขยับอย่างไรก็รู้ ฝึกไปเรื่อยๆ เนืองๆ จนทำได้เป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องมีการบังคับ ไม่ต้องมีคำท่องบ่นภาวนา
     
  12. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +4,062
    :cool: แม่ชีที่คุณว่ามานี่นะใช่ แม่ชีศันสนีย์ไหม..อาจารย์ ศ.ศิวรักษ์ เพิ่งด่าไปกลางหอประชุมธรรมศาสตร์ ไปหาเทปเปิดดูนะครับ ด่า พระว.วชิระ ด้วย อิอิ
    ส่วนตัวผมไม่ทราบดีรึไม่..แต่คนพูดด่านี่ ไม่ซี้ซั้วแน่นอน เพราะท่านไม่ธรรมดาครับ ต้องมีข้อมูลน่าเชือ่ลึกๆ:cool:
     
  13. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    ถ้าหายใจทางจมูกไม่ได้จะทำสมาธิยังไงคับ
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ก็ใช้อวัยวะอื่นๆ หายใจอยู่ไม่ใช่หรือครับ คิคิๆๆ
     
  15. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    ก็ใช่นะครับ แต่ว่าหายใจทางปากก็ทำสมาธิได้ด้วยเหรอ ไม่เคยอ่านที่ไหนเลยอ่ะ (จะว่าไปก้ยังไม่เคยค้น google เลย) เลยไม่แน่ใจว่ามันทำได้จริงป่าว
     
  16. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    หายใจทางไหนก็กำหนด สติ เข้าออกตามจังหวะหายใจของอวัยวะ
    นั้นๆไง ถ้าคุณหายใจทางเหงือกแบบปลาก็กำหนดพุทธไปที่เหงือก
    และโท ไปที่เหงือก เคยเห็นปลาใช่ไหม เหงือกปลายังกระเพื่อม
    ขึ้นลงแบบคนหายใจ
     
  17. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ทำสมาธินะครับ จขกท เหอๆอย่าว่าแต่หายใจทางปากเลย

    ปวดท้องขี้เต็มที่ ก็ยังเข้าฌานได้

     
  18. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    nilakarn ยังไม่เคยทำถึงขั้นหายใจทางผิวหนังใช่ไหมครับ?
    ลองฝึกไปเรื่อยๆ เก็บประสบการณ์ให้เยอะก่อนดีไหมครับ? เผื่อจะเจออะไรที่ยังไม่เคยเจอ เปิดโลกทัศน์ให้กว้างไว้ก่อน ยิ่งประสบการณ์เยอะ เวลาแนะนำผู้อื่นก็จะแนะนำได้ชัดเจนทุกมุมมองครับ
     
  19. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ครับ ถ้าอะไรที่บอกกล่าวแนะนำไปแล้วเข้าใจได้ ก็ถือเป็นบุญบารมีของผู้นั้นครับ ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ยังไม่ถึงวาระ ต้องเดินทางต่อไปครับผม
     
  20. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ทำไมเพิ่งมาตอบตอนนี้หละครับ? ทั้งๆ ที่ไปตอบกระทู้อื่นก่อนแล้วในระหว่างนี้
    แล้วทำไมไม่ไปตอบในกระทู้อื่นๆ ตามที่ผม comment ไว้บ้างหละครับ?

    เรื่องแยกรูปแยกนามนี่ มันเป็นแค่ประตูขั้นแรกเท่านั้นแหละครับ
    ในการปฏิบัติที่แท้จริง ไม่ต้องไปพยายามกำหนดไตรลักษณ์อะไรหรอกครับ ไอ้การไปนั่งคิด ไตรลักษณ์แบบนั้นแบบนี้ ไม่เที่ยงแบบนั้นแบบนี้ มันยังไม่พ้นชั้นความคิดเลยครับ และในเมื่อยังไม่พ้นเรื่องของความคิด จะเอาอะไรไปเห็น ว่าความคิดไม่ใช่เรา?
     

แชร์หน้านี้

Loading...