ใครต้องการถามเป็นการส่วนตัว ไปถามที่อื่น กลัวคนอื่นว่าให้มาที่นี่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nilakarn, 20 เมษายน 2013.

  1. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ผมขอตอบบ้างหน่อยนะคับ ผมคิดว่าที่ปฏิบัติแบบแรก(1)ไม่ได้ผลนั้น มาจากการที่เปนไซนัส คือมีปัญหาเวลาหายใจ หายใจโล่งรูหนึ่ง อีกรูหายใจไม่ถนัด ทำให้หายใจไม่เปนธรรมชาติ การภาวนาแบบพุทโธอาศัยการหายใจที่โล่ง สบายๆ เป็นพื้น เพราะคำภาวนากับหายใจมันเกี่ยวโยงกัน ดังนั้นพอหายใจไม่สะดวก บวกกับความกังวลในโรคที่เปนนี้(ปวดตรงเพดาน จมูกและหน้าผาก) ทำให้ทำสมาธิมาหลายเดือนไม่ได้ผลครับ จริงๆจะให้ไม่ฉับฉ่ายเลย ก้ควรฝึกแบบที่1 ให้เปนก่อน ก้คือหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย ไม่ช้าไม่เร็ว เหมือนเรานั่งหายใจแบบตอนไม่ทำสมาธิ เอาแบบนี้เปนเกณฑ์
    แต่ถ้าคุณจะฝืนก้ทำได้ แต่ต้องกำหนดตรงจุดปวดแบบสายพองหนอยุบหนอ เปนไซนัส มันจะปวดตรงช่องจมูกด้านใน กับเพดานปาก หรือปวดถึงหน้าผาก
    ให้กำหนดปวดหนอๆ ตรงจุดที่ปวดหนักสุด เด่นสุด กำหนัดสัก10 20 30 ครั้งแต่ถ้ามันทุเลา เบาลงและ ก้ให้กลับมากำหนดพุทโธ ดูลมหายใจเข้าออกเหมือนเดิม จิตก้ถึงจะเริ่มเปนสมาธิขึ้นได้เอง
    ต้องเข้าใจด้วยนะครับว่า จิตเปนสมาธิได้ไม่ได้ผลนั้น ขึ้นกับ
    1. ข่มนิวรณ์ได้
    2.ใจจดจ่ออย่แค่อารมณ์เดียว (ตั้งใจทำเปนทุน)
    3. กายตั้งในความปกติ ไม่เปนโรค หรือพักผ่อนมาปกติ ไม่นอนน้อยไป
    4. ละความกังวล ฟุ้งซ่าน ตัดปลิโพธิออกไปได้ จริงๆก้รวมในข้อ1
    ถ้ามี 3 ใน4 ข้อนี้ รับรองว่าปฏิบัติได้ผลแน่นอน

    สอง 2 วิธีทำสมาธิที่เหลือ ในวิธีที่2 ผมคิดว่าไม่เหมาะสม อย่าเพิ่งไปทำเลยครับ ทำให้เหนื่อย เสียแรงฟรีเปล่าๆ คือเหนื่อยกายแล้ว จะเอาอารมณ์ไหนมาให้ใจเปนสมาธิ ใจมันก้นิ่งไม่พอนะสิ รอบหายใจคนเรามันต้องได้จังหวะเหมือนคาบลมมันสม่ำเสมอ มันถึงจะนิ่งเข้าไปข้างใน
    วิธีที่3 ไม่ได้ห้าม อยากทำก้ทำ เพียงแต่ว่า จะเกรงว่าทำแล้วท้อ จนจะไม่อยากทำสักวิธีเลย เพราะพอเหนมีนิมิตรก้เกิดกำลังใจอยากทำต่อ แต่พอไม่ได้เหนเหมือนเดิมอีก ก้อยากจะเลิกแล้วท้อ แต่ถ้าชอบวิธีนี้ จะฝึกก้ฝึกต่อได้
    แต่ผมคิดว่าเน้นแบบแรก จะดีที่สุด
     
  2. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014





    การนึกว่าตัวเองเป็นโครงกระดูก
    นิ่งๆ อยู่อย่างนั้น
    ไม่มีอารมณ์อื่นมาเจือปน
    อันนี้ยังเป็นสมถะครับ
    ยังไม่ล่วงไปวิปัสสนา


    ให้พิจารณาจนกระดูกใสเป็นแก้ว
    อันนี้จะตรงถูกหลักสมถะ
    ย่อ ขยาย ให้เล็กให้ใหญ่
    เมื่อทำได้ชำนาญ
    สามารถรักษาโรคกระดูก
    ในร่างกายเราได้
    เกิดอภิญญาต่างๆ ได้
    แต่ยังไม่บรรลุธรรม


    หากเพิ่มวิปัสสนาลงไป
    คือพิจารณาไตรลักษณ์
    ควบคู่กับร่างกายไปด้วย
    จะเป็นวิปัสสนาควบสมถะทันที
    เช่น พิจารณาว่า กายของเรานี้เป็นเพียงแค่กระดูกเท่านั้น
    เมื่อเรากำหนดว่า กระดูก ก็ให้เราพิจารณาควบไปด้วยทันที
    จะเข้าญานหรือไม่เข้า
    แล้วทำ ก็มีค่าเท่ากัน
    นี้คือหลักของมหาสติสี่
    คือ หลักการพิจารณากายในกาย


    การนึกบ่อยๆ ว่า
    ตัวเรามีหนอนยั๊วเยี๊ย บนร่างกาย
    หากนึกอย่างเดียว ยังจัดเป็นสมถะ
    หากพิจารณาควบคู่กับ ความตาย
    อันนี้ ถูกหลักตามหลัก วิปัสสนา
    เช่น นึกว่า หนอนๆๆๆๆ
    ให้พิจารณาควบ มรนัสสติ
    คือ เราต้องตายๆๆๆๆๆ
    พอภาพหนอนเกิดขึ้น
    ก็ให้นึกว่า เราต้องตายๆๆๆๆๆๆ ทันที

    การนึกว่า ตัวเราเป็นซากศพ
    หากนึกอยู่อย่างเดียว
    จนเกิดอารมณ์นิ่ง สุขๆ เกิดขึ้น
    หรือ นึกจนกระทั่งศพลุกขึ้นเดินได้
    หรือ เกิดเหตุการณ์แปลกๆ กับศพ
    อันนี้เป็นแค่เพียงสมถะ มิใช่ปัสสนา


    ต้องพิจารณาควบเข้าไป
    เช่น นึกว่า ศพๆๆๆๆ
    หรือ ซากศพ
    ต้องพิจารณาควบว่า
    ตัวเราก็เป็นศพ
    หรือ เราต้องตายเป็นศพ


    ทั้งหมดที่กล่าวมา
    ยังรวมอยู่ในข้อ กายในกาย อยู่


    ส่วนการพิจารณา
    แบบที่คุณทำอยู่นั้น
    คือ การพิจารณาว่า
    เกิดมาแล้วก็ต้องดับไปๆๆๆๆๆๆ
    อันนี้ถูกต้องตามหลักไตรลักษณ์
    ข้อที่ว่า ไม่เที่ยงนั่นเอง
    แต่คุณต้องทำบ่อยๆ
    ทำจนชิน แทนการทำสมาธิไปเลย
    หากทำได้ทั้งวัน คุณบรรลุอรหันต์
    หากนึกได้ค่อนวัน คุณบรรลุอนาคา
    หากทำได้ครึ่งวัน คุณบรรลุสกิทาคา
    หากทำได้ 6 ชม ต่อวัน คุณบรรลุโสดาบันแน่ๆ


    สรุปก็คือ ที่คุณทำมาถูกต้องแล้ว
    แต่ให้ขัดเกาแนวทางอีกนิดหน่อย ก็ใช้ได้
    หากคุณนึกแล้ว พิจารณาควบลงไป
    อันนี้จะถูกตามหลักวิปัสสนา
    คือ กายในกาย หรือ กายไม่เที่ยง ทันที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 มกราคม 2015
  3. boradcard186

    boradcard186 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +760
    ขอรบกวนถามนิดนะครับ
    คือว่า เวลาผมนั่งสมาธิแล้ว จะมีอาการขนลุก ครับ บางครั้งก็ร่างกายโยกไปมา ครับ
    ทุกครั้งที่นั่งสมาธิก็จะเป็นแบบนี้ครับ ผมควรทำอะไรต่อดีครับ จึงจะทำให้การนั่งสมาธิก้าวหน้ามากกว่านี้ครับ ขอบคุณมากครับ
     
  4. ยิ้มแมว

    ยิ้มแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +118
    สวัสดีค่ะท่าน nilakarn
    ยิ้มแมวมีคำถามคะ ไม่กล้าถามใคร เนื่องจากกลัวคนว่า
    ก็เลยได้แต่เก็บไว้ในใจ...ลึกๆ
    คือยิ้มแมว อยากได้ตาทิพย์ อยากสัมผัสกับต่างมิติ อยากเห็นอดีตชาติ อนาคตของตัวเอง
    และยิ้มแมวรู้สึกว่า ชอบการปฏิบัติแบบกำหนดรู้ลมหายใจ
    ถ้าฝึกปฏิบัติแต่การกำหนดรู้ลมหายใจ ยิ้มแมวจะสามารถเห็นในสิ่งที่อยากเห็น รู้ในสิ่งที่อยากรู้ ได้รึเปล่าคะ?
     
  5. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014






    ข้อแรก ต้องถามว่า นั่งมานานเท่าไหร่แล้ว
    ข้อสอง ขั้นก้าวหน้า มีสองแบบคือ
    ก้าวหน้าทางสมถะคือสมาธิ
    และก้าวหน้าทางวิปัสสนา คือ การรู้แจ้ง


    คุณต้องเลือกว่า อยากได้แบบไหน
    เอาอย่างเดียวก่อน


    ส่วนอาการขนลุกขนพอง
    และร่างกายโยกไปมานั้น
    เพราะว่าคุณได้ฝึกเลย
    ขั้นที่หนี่ง กับขั้นที่สองแล้ว
    มันเป็นอาการของขั้นที่สาม
    และต่อไปก็คือขั้นที่สี่นั่นเอง


    รวมแล้วมีทั้งหมดสี่ขั้น
    การจะผ่านขั้นที่สามไปให้ได้
    อาจจะมีหลายวิธี


    ลองดูนะครับ
    ให้เพ่ง หนอ กับอาการที่เกิดนั้น
    เช่น โยกหนอๆๆๆๆๆๆๆๆ หรือ
    ขนลุกหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    สักพักเมื่ออาการหายไป
    ก็หยุดกำหนด หนอ
    ถ้าอาการเกิดขึ้นอีก
    ก็ให้เอาหนอมาจับเหมือนเดิม


    วิธีต่อมา
    หากโยกอีก ให้คุณโยกช่วย
    คือใส่อาการโยกเข้าไปในร่างกาย
    ให้มันโยกจนเต็มที่
    เดี๋ยวมันก็หมดแรง
    เราก็ทำสมาธิต่อ
    พอมันโยกอีก
    เราก็โยกใส่มันอีก


    ส่วนอาการขนลุกขนพอง
    ให้ดูมันเฉยๆ
    ไม่ต้องไปทำอะไรมัน
    เดี๋ยวมันก็หยุดไปเอง



    แต่ถ้าหากว่า
    คุณรุ้สึกไม่อยากให้ตัวโยก
    หรือขนลุกขนพอง
    ก็แค่ลองเปลี่ยนอริยาบถดู
    เป็นนั่งมั่ง ยืนมั่ง
    เดินมั่ง นอนมั่ง
    เปลี่ยนสลับไปสลับมา
    อันนี้ได้ผลทีสุด
     
  6. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014



    การกำหนดลมหายใจ
    สายของหลวงปู่มั่น
    สายวัดป่าต่าง
    โดยท่องคำบริกรรมว่า
    พุทโธ
    สามารถเห็นภพภูมิต่างๆได้ครับ


    แต่จะให้เรียกอย่างนั้น
    ก็คงจะไม่ถูก
    เพราะที่ถูกก็คือ
    ทุกสาย ทุกสมถะ
    สามารถจะเห็นภพภูมิ
    เกิดอภิญญาต่างๆ
    ได้เหมือนๆกัน พอๆกัน
    เท่าๆกัน


    แต่ที่ต่างกันก็คือ
    อาจารย์ที่สอนให้ถึงขั้นนั้น
    ต่างหากที่หายาก
    เมื่ออาจารย์ไม่สามารถ
    จะฝึกถึงขั้นนั้นได้
    แล้วมาสอนคนอื่น
    ก็จะไปจับเอาคำสอนของผู้อื่นมา
    แล้วดำน้ำสอนไป
    ลูกศิษย์ที่ร่ำเรียนด้วย
    ก็ย่อมไม่ถึงซึ่งอภิญญา
    มีแต่กอดคอจมน้ำตาย
    คู่กับอาจารย์ที่สอน

    สรุปก็คือ
    คุณต้องหาสถานที่
    ที่่เค้าสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง
    หาอาจารย์ที่เค้าทำได้
    หากทำถูกทาง
    เรื่องอภิญญาก็ไม่ใช่เรื่องยาก

     
  7. boradcard186

    boradcard186 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +760
    ขอบคุณมากครับที่ช่วยแนะนำ
    ขอตอบที่อาจารย์ถามนะครับ
    1.ผมฝึกนั่งสมาธิมา 2 ปี กว่าแล้วครับ
    2.ผมอยากก้าวหน้าทางสมาธิก่อนครับ

    ขออนุญาติถามอาจารย์ต่อนะครับ จะได้นำมาปฎิบัติต่อ
    1.หากผมฝึกจนเลยขั้นที่ 3 ไปแล้ว แล้วขั้นที่ 4 ผมควรทำยังไงต่อครับ

    ขอบคุณมากครับ

    -------------------------------------------
    -----------------------------------------------------
    ข้อแรก ต้องถามว่า นั่งมานานเท่าไหร่แล้ว
    ข้อสอง ขั้นก้าวหน้า มีสองแบบคือ
    ก้าวหน้าทางสมถะคือสมาธิ
    และก้าวหน้าทางวิปัสสนา คือ การรู้แจ้ง

    คุณต้องเลือกว่า อยากได้แบบไหน
    เอาอย่างเดียวก่อน

    ส่วนอาการขนลุกขนพอง
    และร่างกายโยกไปมานั้น
    เพราะว่าคุณได้ฝึกเลย
    ขั้นที่หนี่ง กับขั้นที่สองแล้ว
    มันเป็นอาการของขั้นที่สาม
    และต่อไปก็คือขั้นที่สี่นั่นเอง

    รวมแล้วมีทั้งหมดสี่ขั้น
    การจะผ่านขั้นที่สามไปให้ได้
    อาจจะมีหลายวิธี

    ลองดูนะครับ
    ให้เพ่ง หนอ กับอาการที่เกิดนั้น
    เช่น โยกหนอๆๆๆๆๆๆๆๆ หรือ
    ขนลุกหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    สักพักเมื่ออาการหายไป
    ก็หยุดกำหนด หนอ
    ถ้าอาการเกิดขึ้นอีก
    ก็ให้เอาหนอมาจับเหมือนเดิม

    วิธีต่อมา
    หากโยกอีก ให้คุณโยกช่วย
    คือใส่อาการโยกเข้าไปในร่างกาย
    ให้มันโยกจนเต็มที่
    เดี๋ยวมันก็หมดแรง
    เราก็ทำสมาธิต่อ
    พอมันโยกอีก
    เราก็โยกใส่มันอีก


    ส่วนอาการขนลุกขนพอง
    ให้ดูมันเฉยๆ
    ไม่ต้องไปทำอะไรมัน
    เดี๋ยวมันก็หยุดไปเอง


    แต่ถ้าหากว่า
    คุณรุ้สึกไม่อยากให้ตัวโยก
    หรือขนลุกขนพอง
    ก็แค่ลองเปลี่ยนอริยาบถดู
    เป็นนั่งมั่ง ยืนมั่ง
    เดินมั่ง นอนมั่ง
    เปลี่ยนสลับไปสลับมา
    อันนี้ได้ผลทีสุด
     
  8. เบอร์นิต

    เบอร์นิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +32
    รบกวนถามหน่อยค่ะ ตอนนั่งสมาธิเสร็จแล้วทำไมรู้สึกว่าคิดอะไรไม่ออก
    บ้างทีจะอธิฐานอุทิศบุญก็คิดไม่ออกสามารถแก้ได้อย่างไรค่ะ
     
  9. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014




    เป็นอาการของ ผู้ที่ไม่ออกจากญาน
    อย่างเป็นขั้นตอน เรียงตามลำดับ
    บางครั้ง นึกจะเข้าก็เข้าเลย
    บางครั้ง นึกจะออกก็ออกเลย
    และออกโดยไม่ได้อธิษฐานทับไปอีกที


    การทำสมาธิ หรือ
    ออกจากสมาธิ
    ต้องทำตามลำดับ คือ
    สวดมนต์ก่อน
    สวดเสร็จ อธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ระหว่างที่นั่งทำสมาธิ
    อธิษฐานเสร็จ จึงทำสมาธิ
    เมื่อเริ่มทำสมาธิ ต้องบริกรรมด้วย เช่น พุทโธ
    เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้ว ก็ละคำบริกรรม มาจับที่ลมเข้าออกแทน
    เมื่อจิตแน่วแน่ดิ่งลึก ก็ให้ละสภาวะต่างๆ ปล่อยให้นิ่งไป
    เมื่อจิตหลุดไปนอกกาย ก็ให้กำหนดที่คำบริกรรมอีก
    สุดท้ายเมื่อ อยากจะออกจากสมาธิ
    ก็ให้ทำให้ทำย้อนกลับไป
    แต่ตอนที่อธิษฐานนั้น จะต้องแผ่เมตตาไปด้วย
    และอัญเชิิญเทวดากลับพักผ่อนด้วย


    ถ้าทำอย่างที่สอนแล้วไม่หาย
    แนะนำให้เดินจงกรมเยอะๆ


    แต่ถ้าเป็นโรคป้ำๆเป๋อๆ
    หรือ โรคคนแก่
    ควรเล่นกสินครับ
    เพราะการเล่นกสิน
    จะเป็นการเพิ่มรอยยักในสมอง
    เร่งให้สมองทำงานอย่างรวดเร็ว
    เมื่อสมองได้ใช้งานบ่อยๆ
    โรคขี้หลงขี้ลืม ก็จะดีขึ้น
    แต่ไม่ใช่ว่า หายเลยนะครับ
    แค่ทุเลาลงเท่านั้นเอง
     
  10. เบอร์นิต

    เบอร์นิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +32
    ขอบคุณค่ะ
    ตอนนี้ก็เพ่งกสิณคะกสิณสีแดง
    เพ่งไม่นานก็รู้สึกง่วงแต่ไม่ได้ง่วงนอนนะค่ะ
    หนังตาหนักเหมือนไม่อยากลืมตาก็เลยเพ่ง
    ไม่ได้นานเลยไปไม่ถึงไหน แต่ก็พยายามทำทุกวันค่ะ
     
  11. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014




    ถ้าหากใช้คำว่า ละกิเลส
    ก็คงจะ ไม่มีใครละได้ซักคน
    เดี๋ยวนี้ คนไม่เข้าใจคำว่า ละกิเลส
    เพราะมันยากมาก มันดูลึกลับเกินไป

    ถ้าจะให้ถูกต้องตาม สมัย
    ตามกาลปัจจุบัน
    ควรจะใช้คำว่า ปล่อยวาง ได้
    น่าจะถูกทางทีี่สุด
    คนทั่วไปก็สามารถทำได้
    ก็แค่การวางลง แค่นั้นเอง

    กิเลส มันไม่ได้หมดไป
    จากตัวเราเลย สักนิดเดียว
    มันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา


    พอมันเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน
    เราทำใจไม่ได้
    เราก็รีบหนีเข้าสมาธิซะงั้น


    เพราะญานที่เราทำ
    มันดูเหมือนไม่มีกิเลส
    ไม่มีอะไรเลยในนั้น
    จนบางคน เข้าใจว่า
    การเข้าญาน คือ
    การบรรลุธรรม
    สามารถจะบรรลุธรรม
    ในญานขั้นสูงได้


    ซึ่งผู้เขียนก็เคยเป็นมาก่อน
    สมัยนั้น ตั้งหน้าตั้งตา
    ทำสมาธิซะเป็นส่วนใหญ่
    เพราะคิดว่า เมื่อเราบรรลุ
    ญานขั้นสูงขี้นไป
    เราจะสามารถบรรลุธรรมได้ในที่สุด
    ชนิดที่ปิ๊งขึ้นมาทันทีทันใดเลย
    ก็เพราะเราถูกสอนมาเช่นนั้น
    เราเลยทำตาม
    แบบไม่เคยสงสัย


    แต่เมื่อเรา
    มาเน้นที่วิปัสสนา
    ความคิดของเราก็เปลี่ยน

    เราก็เข้าใจว่า
    กิเลสที่ต้องละนั้น
    ไม่มีอะไร ท่ี่ต้องละเลย
    กิเลสไม่ได้หายขาดปุ๊ดไปไหน
    มันยังอยู่ที่ เกิดเท่าเดิม
    แต่เราเองตะหาก
    ที่ปล่อยวางมันได้

    เมื่อทุกข์เกิดขึ้น
    สมัยก่อน
    จะต้องกระวนกระวาย
    ไปกับมัน
    แต่เดี๊ยวนี้ เรากับรู้ว่า
    เมื่อทุกข์เกิดขึ้น
    ไม่ช้ามันก็จางไป
    หายไป เราก็อยู่เฉยๆ
    ไม้ต้องไปทำอะไรมัน
    มันก็ดับไปเองของมัน
    ไม่ใช่เรา ที่ไปดับมัน

    เพราะฉนั้น
    ผู้ที่ต้องการบรรลุธรรม
    หากไปมัวงม หาวิธีี ละกิเลสอยู่
    แสดงว่า เค้ายังหลงทางอยู่
    ผู้ทืี่ฉลาดต้อง ปล่อยวาง ให้เป็น
    เหมือนที่พระป่าว่า

    เราไม่ได้บรรลุอะไรเลย
    หรือ ละอะไรเลย
    เพราะเราปล่อยวางหมดแล้ว
     
  12. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014





    อาการ ผีอำ กับ ผีสิง
    ไม่เหมือนกันครับ

    ผมโดนผีอำตอนเป็นเณรน้อย
    ผมรู้สีกว่า มีหมาดำ กับ ผู้หญิงผมยาว
    มายืนจ้องผม อยู่ที่ปลายเท้า
    ประมาณ 15.30 น


    ผ่านไปกว่า ครึ่งชั่วโมง
    ที่ผมขยับตัวไม่ได้
    จนเพื่อนเณรด้วยกัน
    สงสัยว่าไม่ตื่นสักที
    เลยย้อยกลับมาดู
    แล้วเขย่าตัวผมอยู่อย่างนั้น
    ผมก็รู้สึกตัวตื่น
    แต่ยังขยับตัวไม่ได้เหมือนเดิม
    ทีนี้บทสวดมนต์อะไร
    ที่ผมท่องได้
    ผมใส่ทุกบทเลยครับ
    แต่ก็ไม่ยักกะเป็นผล

    สุดท้ายเมื่อไม่รุ้ว่า
    จะท่องอะไรแล้ว
    ผมก็ท่องบท นะโมตัสสะ 3 จบ
    เหลื่อเชื่อมาก คราวนี้กับออกเฉย


    ที่นี้อาการของผีอำ ต้องมี
    1.วิญญาน ที่เค้ามาอยู่ก่อนใบริเวณนั้น
    ประมาณ ร้อยก้าว
    2.่เค้ารู้ว่า คุณมีบุญอยู่ เค้าเลยมาขอ
    3.ต้องเคยเกี่ยวพันกันใน อดีตชาติ
    4.ผู้ที่ถูกอำ จะต้องมีสมาธิ หรือ
    ของเก่าติดตัวมา เยอะพอสมควร
    คือ เคยได้ญานสี่มาก่อนในอดีตชาติ
    5.ที่เค้าอำคุณ ก็เพื่อที่จะขอส่วนบุญเท่านั้น
    มิได้ประสงค์แต่อย่างใด
    6.คุณต้องทำให้เค้าบ่อยๆ ไม่ใช่ครั้งเดียวเลิก
    7.เค้าไม่ได้มาทำให้คุณ เป็นโรคภัยทั้งสิ้น
    คือ เค้าจะไม่ทำร้ายคุณนั่นเอง


    ส่วน ผีสิง นั้น
    เป็นอาการของคนที่โดนวิญญาน
    ชั่วร้ายมาสิงร่าง เพื่อที่จะทำร้ายเรา
    ต่างๆ นาๆ
    โดยที่เค้าไม่ต้องอยู่ในบริเวณนั้น
    ก็ได้ ถ้าเป็นวิญญานหิวโหย
    เค้าจะสิงทุกอย่างที่ผ่านมา
    ในบริเวณที่เค้าอยู่
    แล้วสามารถตามเราไป
    ถึงที่บ้านได้ หรือ
    ลอยไปตามลมได้
    ตัวอย่าง เช่น ลมเพลมพัด
    ปล่อยของตามลม
     
  13. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014




    อยากพ้นทุกข์ต้องทำวิปัสสนาเท่านั้น
    ทางอื่นนอกจากทางนี้ไม่มีแล้ว

    วิปัสสนาทำง่ายกว่าทำสมาธิ
    แต่ผลที่จะเกิด กลับไม่ง่ายเหมือนทำสมาธิ
    เพราะมันเป็นน่าเบื่อ สำหรับทุกคน
    ไมเหมือนทำสมาธิ ที่มันโลดโผนโจนทยานดี

    หากอยากพ้นทุกข์
    ต้องมองให้เห็นทุกข์ก่อน
    เมื่อพบทุกข์แล้ว
    ก็หัด ปล่อยวาง ใส่มันดู
    ทำบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน
    พอชินแล้ว ก็เป็นเรื่องง่าย
    ที่จะมองเห็นความไม่เที่ยง


    วิปัสสนาไม่ใช่เรื่อง ยุ่งยากซับซ้อนอะไรเลย
    เพียงแต่ว่า มันช่างน่าเบื่อ เท่านั้นเอง
    บุคคลเลยทำไม่สำเร็จสักที
    เพราะไม่มีความอดทนเพียงพอ

    พอเบื่อๆ หนักเข้า
    ก็หนีเข้าสมาธิตามเดิม
    แอบเข้าไป ทำเหมือนเต่าจำศีล
    มันก็เป็นการเริ่มนับหนึ่งใหม่อีก
    เพราะมัวสลับไปสลับมา
    วิปัสสนาจึงไม่เกิดผล
    วิปัสสนาที่ดีต้อง
    ตอกย้ำลงที่เดิมซ้ำๆ บ่อยๆ ถี่ๆ ทุกที่ทุกเวลา
    ไม่มีหยุดพัก
    หากว่าเผอลืมหยุดพัก
    กว่าจะกลับเข้ามาวิปัสสนาได้อีก
    ใช้เวลามาก บางทีก็ลืมไปเลย
     
  14. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014




    หากยังใช้ชีวิต อยู่ในโลก
    นักปฏิบัติ ต้องระวัง โลกกระทำ
    โลกกระทำ ก็คือ โลกธรรม นั่นเอง


    โลกกระทำมี 8 อย่าง

    คนธรรมดา เวลาโดนโลกธรรมเล่นงาน จะวิ่งพล่านเหมือนถูกน้ำร้อนลวก
    โดนปุ๊บดิ้นปุ๊บ มันเป็นไปเองโดยอัตโนมัต บังคับไม่ได้ เพราะจิตที่ไม่ได้ถูกฝึก
    มันเข้าใจผิด คิดว่า โลกมายาการนี้ เป็นของจริง มันเลยโต้ตอบโลกธรรมนั้น
    โดยคิดว่า ตัวมันเป็นศูนย์กลางของโลก หรือเป็น พระเอก นางเอก
    ของหนังเรื่องหนึ่ง ที่โลกแสดงหลอกให้ดู จนเราคิดว่า โลกนี้เป็นของเราคนเดียว
    ส่วนคนอื่นเป็นตัวร้าย หรือคนร้าย จิตของเราจึงต้องดิ้นพล่านไปตามมัน


    คนไม่ธรรมดา โสดาบัน
    เวลาโดนโลกธรรมแปดเล่นงาน
    เค้าจะบังคับจิตของเค้าได้
    ถึง 1 ใน 4 ส่วน หรือ 25%
    เริ่มจะเห็นบ้างรางๆ ว่า
    โลกนี้ไม่เีที่ยง
    โลกนี้ไม่จริง
    โลกนี้สมมุติ
    เค้าจะรู้สึก โลกนี้ยังมีคนอื่นอีก
    ที่ทนลำบากอยู่ในโลกสมมุตินี้
    โดยที่คนเหล่านั้น ไม่อาจรู้ได้เลยว่า
    โลกนี้มันไม่จริง
    เค้าจะรู้สึกว่า โลกนี้ยังมีคนทีี่่ลำบากกว่าเรา
    ที่เรายังต้องช่วยเหลือเค้า อยู่อีกมาก
    คนเหล่านั้นต่างหาก
    ที่เป็นพระเอก นางเอก ของเรื่องนี้
    เพราะมนุษย์ อธิษฐานว่า เมื่อเกิดมา
    ก็เพื่อช่วยคนอื่น

    ส่วนการปฏิบัติตน
    ในขณะที่เป็นคน ไม่ใช่พระ
    เราก็คิดไว้ในใจ อยู่เสมอๆ ว่า
    กายไม่ใช่พระ แต่ใจเป็นพระ

    ให้รำลึกบ่อยๆ อย่างนี้ตลอด
    เวลาจะทำเลวอะไร เราจะรู้สึกว่า
    ทำไม่ได้นะ เพราะเราเป็นพระ
    ถือศีลพระ ทำอย่างนี้จะบาปกว่าคนอื่น
    แล้วก็อดทนไว้
    ทนได้ก็ชนะไปครั้งหนึ่ง แต่อย่าพึ่งดีใจไป
    เพราะ ครั้งหน้าย่อมหนักกว่าเก่า
    ทนได้ยากกว่าเก่า

    หากทนไม่ได้ ต้องทำความเลวตามนั้น
    เราก็ไม่ต้องไปตีัโพยตีพาย
    เีสียใจเป็นวรรคเป็นเวร
    ว่า เราทำไม่สำเร็จ
    ให้ตั้งจิตใจใหม่ให้ดี
    รอคอยต่อสู้กับครั้งต่อไป

    ฝึกใหม่ๆ
    ต่อสู้ร้อยครั้ง ชนะครั้งหนึ่ง ก็ดีแล้ว

    หากเป็น โสดาบัน
    ต่อสู้ร้อยครั้ง จะชนะ 25 ครั้ง


    เป็น สกิทาคา
    ต่อสู้ร้อยครั้ง ชนะ 50 ครั้ง


    ถ้าเป็น อนาคามี
    ต่อสู้ร้อยครั้ง ย่อมชนะ 75 ครั้ง


    แต่ถ้าเป็น อรหันต์
    รบร้อยครั้ง ก็ชนะร้อยครั้ง
    ไม่มีความแพ้ เล็ดรอดออกมาเลย

    เพราะฉนั้น หากใครคิดว่าตนเองเป็น พระอรหันต์
    ไม่ต้องไปดูที่ไหนให้ยุ่งยาก
    ให้เปรียบดูเวลา ที่ โลกธรรมมากระทบจิต
    แล้วจิตของเรา ไม่หวั่นไหวตามมัน
    ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
    อันนี้เริ่มเข้าเค้า
    ถ้าน้อยกว่านั้น แสดงว่า ยังไม่ถึง

    นักปฏิบัติที่ดี
    ควรจะมีสมุดโน๊ตเล่มนึง
    เอาไว้จดเวลาที่ โลกธรรมแปดมากระทบ
    ว่า
    วันหนึ่ง มีกี่ครั้ง แล้วตัวเรา ทนไ้ด้กี่ครั้ง
    อาทิตย์นึง มีกี่ครั้ง ทนได้กี่ครั้ง
    เดื่อนหนึ่ง มีกี่ครั้ง ทนได้กี่ครั้ง
    คิดแล้ว ประมาณกี่เปอร์เซนต์
     
  15. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014






    เป็นอาการของคนที่โดนผีอำครับ

    พระบวชใหม่ กับ
    ผู้ที่ฝึกสมาธิใหม่ๆ
    เป็นกันเยอะ


    ชื่อเรียกว่า โดนผีอำ
    แต่ความจริงแล้ว
    ผีไม่ได้มาอำเรานะครับ
    เค้ามาขอส่วนบุญตะหาก
    เค้าเห็นว่าคุณมีบุญเยอะ
    และก็อยู่ใกล้ๆ กับที่เค้าอยู่
    ไม่ต้องใช้พลังงานมาก
    เค้าจึงมาหาคุณ

    คุณก็แค่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไป
    เค้าก็ได้รับเหมือนกันครับ
    ไม่ต้องยุ่งยากกรวดน้ำ
    จะเสียเวลา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2015
  16. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014





    อาการ ผีอำ กับ ผีสิง
    ไม่เหมือนกันครับ

    ผมโดนผีอำตอนเป็นเณรน้อย
    ผมรู้สีกว่า มีหมาดำ กับ ผู้หญิงผมยาว
    มายืนจ้องผม อยู่ที่ปลายเท้า
    ประมาณ 15.30 น


    ผ่านไปกว่า ครึ่งชั่วโมง
    ที่ผมขยับตัวไม่ได้
    จนเพื่อนเณรด้วยกัน
    สงสัยว่าไม่ตื่นสักที
    เลยย้อยกลับมาดู
    แล้วเขย่าตัวผมอยู่อย่างนั้น
    ผมก็รู้สึกตัวตื่น
    แต่ยังขยับตัวไม่ได้เหมือนเดิม
    ทีนี้บทสวดมนต์อะไร
    ที่ผมท่องได้
    ผมใส่ทุกบทเลยครับ
    แต่ก็ไม่ยักกะเป็นผล

    สุดท้ายเมื่อไม่รุ้ว่า
    จะท่องอะไรแล้ว
    ผมก็ท่องบท นะโมตัสสะ 3 จบ
    เหลื่อเชื่อมาก คราวนี้กับออกเฉย


    ที่นี้อาการของผีอำ ต้องมี
    1.วิญญาน ที่เค้ามาอยู่ก่อนใบริเวณนั้น
    ประมาณ ร้อยก้าว
    2.่เค้ารู้ว่า คุณมีบุญอยู่ เค้าเลยมาขอ
    3.ต้องเคยเกี่ยวพันกันใน อดีตชาติ
    4.ผู้ที่ถูกอำ จะต้องมีสมาธิ หรือ
    ของเก่าติดตัวมา เยอะพอสมควร
    คือ เคยได้ญานสี่มาก่อนในอดีตชาติ
    5.ที่เค้าอำคุณ ก็เพื่อที่จะขอส่วนบุญเท่านั้น
    มิได้ประสงค์แต่อย่างใด
    6.คุณต้องทำให้เค้าบ่อยๆ ไม่ใช่ครั้งเดียวเลิก
    7.เค้าไม่ได้มาทำให้คุณ เป็นโรคภัยทั้งสิ้น
    คือ เค้าจะไม่ทำร้ายคุณนั่นเอง


    ส่วน ผีสิง นั้น
    เป็นอาการของคนที่โดนวิญญาน
    ชั่วร้ายมาสิงร่าง เพื่อที่จะทำร้ายเรา
    ต่างๆ นาๆ
    โดยที่เค้าไม่ต้องอยู่ในบริเวณนั้น
    ก็ได้ ถ้าเป็นวิญญานหิวโหย
    เค้าจะสิงทุกอย่างที่ผ่านมา
    ในบริเวณที่เค้าอยู่
    แล้วสามารถตามเราไป
    ถึงที่บ้านได้ หรือ
    ลอยไปตามลมได้
    ตัวอย่าง เช่น ลมเพลมพัด
    ปล่อยของตามลม
     
  17. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014



    ลองมองไปที่ คนดี กับคนเลว
    แล้วก็นักบวชดู
    ว่ามีสีอะไร
    แล้วลองเปรียบเทียบ
    กับ คนที่บอกว่ารู้แล้ว
    ว่ามันจริงไหม

    หากจริง ก็ใช้ได้
    หากไม่จริง แสดงว่าจิตไม่นิ่งพอ
    เวลามอง ให้เข้าญานสาม
    คือ ขั้นปิติ แล้วมองใหม่
     
  18. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014




    อันนี้จะส่งผลดีต่อตัวคุณ
    โดยคุณจะหาอาจารย์
    ที่เก่งๆ ได้ไม่อยาก
    ให้พิจารณาดูที่สีครับ
    เริ่มจากคนที่จิตใจต่ำ จะสีทึบๆ มัวๆ
    คนที่จิตสูง ธรรมะธรรมโม จะสีใสๆ สว่างๆ
    แต่พิจารณาเปรียบเทียบได้
    เฉพาะสมถะเท่านั้น

    ไปดูท่านที่ทำวิปัสสนาไม่ได้
    เพราะคนที่จิตใสปิ้ง
    ก็ไม่แน่ว่าจะบรรลุธรรม
    เพียงแต่กิเลสเบาบาง
    เพราะเข้าญานสี่ ได้บ่อยนั่นเอง
     
  19. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ขอบคุณที่แนะนำครับ ..เท่าที่เห็น คนเราดูภายนอกไม่ออกจริงๆ ครับ เช่น พระบางรูปจิตสีดำสนิททั้งดวง ตอนแรกผมไม่แน่ใจ เพราะแสดงเหมือนมีปฏิปทาเคร่งมาก แต่ในที่สุดโดนจับสึก เพราะโกงเงินกฐิน ... พระบางรูปจิตใสเป็นประกายเพชร หมายถึงท่านเป็นผู้มีอภิญญา แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นพระอริยะหรือไม่ คงเป็นตามที่คุณ Nilakarn บอกน่ะครับ ..ผมเข้าใจว่าการดูจิตคนอื่นมันไม่ใช่ทางนิพพาน ไม่หลุดพ้น แต่ผมต้องการศึกษาเพื่อนำใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ได้ไปเที่ยวดุจิตใครต่อใครทั้งวัน ดูไปทั่วหรอกครับ ..และที่ว่าผมมีอภิญญา แต่ผมแปลกใจว่า คือสิ่งที่ผมเห็นไม่ได้เกิดจากการนั่งสมาธิเป็น ชั่วโมงๆ เพียรภาวนามาเป็นหลาย ๆปี แต่กลับกัน ผมจะนั่งสมาธิไม่ได้นาน มันจะฟุ้งซ่าน ไม่สงบ หรือบางทีตั้งใจว่าจะไม่ขยับร่างกายตอนนั่งสมาธิ ไม่กี่นาที ก็แทบแย่ครับ อึดอัดมาก แทบจะทนไม่ไหว บางทีแค่ 15 นาทีก็แทบจะไม่ถึงครับ ... ผมคิดว่าในเว็บนี้คงมีผุ้ได้อภิญญาจริงอยุ่หลายท่าน คงจะขอคำแนะนำได้บ้างน่ะครับ
    ขอบคุณมากครับ





    ลองอธิบายหน่อยครับ
    ว่าสีอะไร หมายถึงใคร
    ไล่เป็นสีๆ มาหน่อยครับ


    การดูเฉยๆ ไว้เป็นแบบอย่าง
    ก็ไม่ผิดกติกาอย่างใดครับ
    แต่ถ้าดูแล้ว ไปตำหนิ
    หรือ ดูถูกผู้ื่ือื่น
    อันนี้จะเป็นกรรมครับ

    อภิญญามันเป็นของเราอยู่แล้ว
    ในชาติก่อน พอจิตเราเป็นสมาธิหน่อยนึง
    ของเก่า มันก็กลับมาเอง
    ไม่อยากได้ แต่ก็ได้
    ที่อยากได้ กลับไม่ได้

    มีไว้หลีกเลี่ยงคนชั่วได้
    เราก็คบแต่คนที่ใจใสๆ
    อย่างน้อยคนติดญาน
    ก็กิเลสน้อยกว่า คนเลวๆ
     
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    Bpisut

    การรู้ความหมายนี้ เป็นสิ่งที่ผมคิดเองน่ะครับ ไม่ได้เกิดจากจิตรู้แบบญาณหยั่งรู้แบบนั้น คือ
    * จิตสีเหลืองอ่อน หมายถึง สภาพจิตที่สบาย ๆ กำลังดี ไม่จมแช่ในความสบายนั้น พบน้อยมากในบุคคลทั่วไป พบในพระมากกว่า
    * จิตสีเหลืองเข้มมาก จิตสบายเกินไป คล้าย ๆ จมแช่กับความสบาย เกิดความพอใจกับความสบายของจิตตน
    * จิตสีดำ มีกรรมเยอะ พบเยอะโดยทั่วทั้งฆราวาสและพระสงฆ์ แต่ตรงนี้ผมเห็นก็นิ่งเฉยครับ เป็นไปตามกรรม
    * จิตใส มีประกายเพชร เป็นผู้มีอภิญญา ทั้งแบบรู้ตัวเองว่ามี กับแบบไม่รุ้ตัวเอง แต่ถ้าให้อธิษฐานก็จะสามารถใช้งานได้ ตรงนี้แปลกคือ
    บางคนพอทำให้สัมผัสได้ แต่เขากลับปฏิเสธ ไม่ยอมรับว่าเขามีเขาทำได้
    * จิตสีขาวกระดาษ จิตเป็นบุญกุศล ชอบทำบุญ บางคนกิริยาภายนอกดูไม่ค่อยดี แต่จิตขาว
    * จิตสีขาวคล้ายเมฆหมอก ควัน เขาอาจจะรุ้สึกมึน ๆ ไม่สดใส
    * จิตใส ไม่มีประกาย ตรงนี้ผมไม่รุ้ความหมาย แต่คิดว่า เคยฝึกจิตมามากแต่ไม่มีอภิญญา แต่มักจะเป็นคนนิสัยดีซื่อบริสุทธิ์
    * จิตสีทองสว่าง ผมไม่รุ้ความหมาย แต่คนเคยบอกผมว่าคือ การประพฤติพรหมจรรย์
    * จิตใส ภายในมีเมฆหมอก อันนี้ไม่รุ้ความหมาย
    *** จิตใส เป็นลูกแก้วกลมไม่สว่าง ลอยอยู่บน Background สีดำสนิท ตรงนี้ ขอถามว่าคืออะไรครับ
    ผมก็ไม่รู้ความหมายเหมือนกัน

    ผมมีความประสงค์ที่จะแชร์ในสิ่งที่ ผมเห็นตามความเป็นจริงน่ะครับ
    เรื่องผิดถูก ต้องอาศัยท่านผู้รู้แนะนำอีกทีครับ





    คราวนี้ ให้หมั่นภาวนาว่า
    จิตเหล่านี้ ก็ไม่เที่ยงหนอ
    นับประสาอะไรกับเรา
    จิตเราก็ไม่เที่ยงหนอ
    นับประสาอะไรที่เรา
    จะไปให้ค่า

    ทำไปเรื่อยๆ
    หรือจะเป็น
    อภิญญาก็ไม่เที่ยงหนอ
    เดี๋ยวก็เห็นเป็นสีนั้นสีนี้
    นับประสาอะไรที่เรา
    จะไปให้ค่ามัน


    ให้ภาวนาบ่อยๆ แบบสบายๆ
    แทนทำสมาธิก็ได้
    สำหรับ คนที่เข้าญานได้ยาก


    ให้พิจารณาว่า
    คำบริกรรมอันไหน
    มันสะเทือนใจ ก็ใช้อันนั้น
    จะสามารถเข้าญานสี่ไ้ด้เหมือนกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...