ใครว่า..บาปล้างไม่ได้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย montasavi, 27 มีนาคม 2008.

  1. montasavi

    montasavi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +147
    ชาวพุทธหลายคนมีความเชื่อฝังใจว่า การล้างบาปไม่มีในพุทธศาสนาอย่างแน่นอน บุญและบาปนำมาลบล้างกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด โดยยึดแนวคิดว่า การล้างบาปก็คือการสารภาพความผิด แล้วบาปทั้งหมดก็จะหลุดหายไปอย่างที่ทำกันในศาสนาคริสต์ แต่โดยความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้าหาได้ทรงปฏิเสธการล้างบาปไม่ แต่พระองค์กลับทรงย้ำสอนถึงวิธีการล้างบาปที่ถูกต้อง มิใช่เพียงแค่ปากพูด หรืออาบน้ำ[1] นั่นคือทรงตรัสรับรองว่า บาป สามารถล้างได้โดยการชำระล้างที่กิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดบาปนั้น ๆ อีกทีหนึ่ง..ด้วยมัคคญาณ[2] ซึ่งเป็นการล้างบาปที่แท้จริง ในเรื่องนี้ปรากฏข้อความในพระคัมภีร์มากมาย

    พระสุตตัตนตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต ทุติยโสเจยยสูตร ปรากฏข้อความว่า ภิกษุทั้งหลาย ความสะอาด ๓ ประการนี้แล<O:p></O:p>
    ผู้มีกายสะอาด มีวาจาสะอาด<O:p></O:p>
    มีใจสะอาด ไม่มีอาสวะ<O:p></O:p>
    เป็นผู้สะอาด ถึงพร้อมด้วยความสะอาด<O:p></O:p>
    บัณฑิตทั้งหลายเรียกว่าเป็นผู้ล้างบาปได้แล้ว[3]<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต โธวนสูตร[4] ปรากฏข้อความว่า ผู้มีสัมมาทิฏฐิ ย่อมล้างมิจฉาทิฏฐิได้ ล้างบาปอกุศลธรรมเป็นอันมากที่ เกิดขึ้นเพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัยได้ และกุศลธรรมเป็นอันมากย่อมถึง ความเจริญเต็มที่เพราะสัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัย<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต สภิยสูตร[5] ปรากฏข้อความว่า บุคคลผู้ชำระล้างบาปได้ทั้งหมด ทั้งภายในและภายนอก ในโลกทั้งปวง๒ ไม่กลับมาสู่กัป ในเทวดาและมนุษย์ผู้ยังท่องเที่ยวอยู่ในกัป๓ บัณฑิตเรียกผู้นั้นว่า ผู้ล้างบาปได้แล้ว<O:p></O:p>
    โลกทั้งปวง ในที่นี้หมายถึงอายตนะทั้งหมด[6]<O:p></O:p>
    กัป ในที่นี้หมายถึงตัณหาและทิฏฐิ[7]<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา วักกลิเถรคาถา[8] ปรากฏข้อความว่า เราได้เสวยบาปกรรมที่เราทำไว้ในชาติอื่น ๆ แต่ปางก่อน บัดนี้ เราจะลอยบาปนั้นเสียตรงนี้ เราได้มีความเห็นอย่างนี้มาแต่เดิม เรานั้นครั้นฟังพระวาจาสุภาษิต อันเป็นบทที่ประกอบด้วยเหตุผลแล้ว ก็ได้พิจารณาเห็นเนื้อความตามความเป็นจริง ได้อย่างถ่องแท้ โดยแยบคาย ล้างบาปได้หมดแล้ว เป็นผู้ไม่มีมลทิน หมดจดสะอาด บริสุทธิ์ เป็นทายาทของพระพุทธเจ้า เป็นบุตรพุทธโอรส เราก้าวลงสู่กระแสน้ำคือมรรคอันมีองค์ ๘ ลอยบาปได้หมดแล้ว จึงบรรลุวิชชา ๓ ได้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย เถรีคาถา ปุณณาเถรีคาถา[9] ปรากฏข้องความว่า พราหมณ์กล่าวด้วยภาษิตเหล่านี้ว่า ฉันขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ ผู้คงที่ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก ขอสมาทานศีล ข้อนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ฉัน เมื่อก่อน ฉันเป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระพรหม วันนี้ ฉันเป็นพราหมณ์จริง ฉันได้วิชชา ๓ มีความสวัสดี จบเวท และเป็นผู้ล้างบาปได้แล้ว<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย มหานิทเทส คุหัฏฐกสุตตนิทเทส[10] ปรากฎข้อความว่า บัณฑิตทั้งหลาย เรียกบุคคลผู้เป็นมุนีทางกายเป็นมุนีทางวาจา เป็นมุนีทางใจ ผู้ไม่มีอาสวะว่า เป็นมุนีผู้สมบูรณ์ด้วยโมเนยยธรรม ล้างบาป[11]ได้แล้ว<O:p></O:p>



    <HR align=left width="33%" SIZE=1>[1] ดูรายละเอียด ที่มาได้ที่ ม.มู.๑๒/๗๙/๖๘<O:p></O:p>
    พราหมณ์กล่าวว่า ท่านรู้อยู่ว่า ฉันกำลังทำกุศลกรรมอันจะปิดกั้นบาปกรรม ที่ตัวได้ก่อไว้ ยังจะสอบถามอีก ผู้ใดไม่ว่าแก่หรือหนุ่มก่อบาปกรรมไว้ แม้ผู้นั้นย่อมพ้นจากบาปกรรมได้อย่างสิ้นเชิงก็เพราะการอาบน้ำ<O:p></O:p>
    พระปุณณาเถรีกล่าวภาษิตเหล่านี้ว่า ใครหนอช่างไม่รู้ มาบอกความนี้แก่ท่านซึ่งไม่รู้ว่า คนจะพ้นจากบาปกรรมได้ก็เพราะการอาบน้ำ พวกกบ เต่า งู จระเข้ และสัตว์เหล่าอื่น ที่เที่ยวหากินอยู่ในน้ำทั้งหมดก็คงพากันไปสวรรค์แน่แท้ คนฆ่าแกะ คนฆ่าสุกร ชาวประมง พรานเนื้อ โจร เพชฌฆาต และคนที่ก่อบาปกรรมอื่น ๆ แม้เหล่านั้น ก็จะพึงพ้นจากบาปกรรมได้เพราะการอาบน้ำ อ้างอิง...พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย เถรีคาถา ปุณณาเถรีคาถา (ไทย)๒๖/๒๔๐/๕๙๔<O:p></O:p>

    [2] (ขุ.ม.อ. ๑๔/๑๗๓)<O:p></O:p>

    [3] องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๑๒๒/๓๖๘

    [4]องฺ.ทสก.(ไทย)๒๔/๑๐๗/๒๕๐<O:p></O:p>

    [5] ขุ.สุตฺต(ไทย) ๒๕/๕๒๕/๖๒๒<O:p></O:p>

    [6] (ขุ.สุ.อ. ๒/๕๒๗/๒๕๓)<O:p></O:p>

    [7] (ขุ.สุ.อ. ๒/๕๒๗/๒๕๓<O:p></O:p>

    [8] ขุ.เถร(ไทย) ๒๖/๓๔๘/๓๙๘<O:p></O:p>

    [9] ขุ.เถรี (ไทย) ๒๖/๒๕๑/๕๙๕<O:p></O:p>

    [10] ขุ.มหา(ไทย)๒๙/๑๔/๗๐ , ขุ.อิติ. ๒๕/๖๗/๒๘๒, ขุ.จู. ๓๐/๒๑/๗๗ <O:p></O:p>

    [11] ล้างบาป หมายถึงล้างบาปด้วยมัคคญาณ (ขุ.ม.อ. ๑๔/๑๗๓)<O:p></O:p>
     
  2. โพธิ์แก้ว

    โพธิ์แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ล้างบาปด้วยการไม่มีอาสวะในใจ....นิพพานนั่นเอง...
     
  3. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,604
    ขออนุโมทนาสำหรับบทความดีๆครับ

    สรุป คือ "ล้างบาป" ได้เมื่อเข้า "นิพพาน" ครับ

    ถ้ายังไม่เข้าก็คงล้างไม่ได้ครับ "กฎแห่งกรรม" ยังทำงานอยู่
     
  4. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    อนุโมทนาสาธุ

    คิดดี-ทำดี-เป็นมหากุศลและอย่าเพิ่มบาปค่ะ
     
  5. LimitedZaa

    LimitedZaa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +40
    บาปล้างไม่ได้ แต่หนีได้

    ต้องพูดอย่างนี้ครับ
     
  6. ngern42

    ngern42 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +588
    ตามความเห็นส่วนตัวครับ คิดว่าน่าจะเป็นการล้างกาย วาจา ใจ เพื่อไม่ให้บาปเกิดขึ้นใหม่มากกว่า
    จึงเรียกว่า ล้างบาปแล้วครับ
     
  7. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,518
    ค่าพลัง:
    +27,187
    ก็ล้างบาปไง ไม่ใช่ล้างกรรม
    เด๋วนี้บาปกะกรรมกลายเป็นคำเดียวกันไปแล้ว
    ก็เลยพูดกันว่าล้างบาปไม่ได้ [​IMG]
     
  8. ngern42

    ngern42 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2007
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +588
    บาป เป็นเหตุที่ได้กระทำลงไป
    กรรม เป็นผลที่ต้องได้รับ
     
  9. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    บาป : โยนก้อนหินปาหัวสุนัข

    ผล : 1. สุนัขเจ๊บหัวโน
    2. สุนัขโกรธ

    บาปล้างไม่ได้หรอก เพราะจะกลับไปย้อนอดีตให้สุนัขหัวไม่โน ไม่โกรธไม่ได้ เพียงแต่อดีตมันผ่านไปแล้วเท่านั้น พระท่านก็สอนไม่ให้จิตไปหวลอยู่กับกรรมชั่วในอดีต อย่างเช่น พระองค์คุลีมาล ท่านให้ตั้งใจใหม่ ทำดียิ่ง จนกรรมชั่วตามไม่ทัน แม้กระทั่งพระอรหันต์ท่านยังต้องใช้กรรม เช่น พระโมคคัลลานะ เป็นต้น

    พระมหาโมคคัลลานะ ยังเป็นผู้มีความสามารถในการ นวกรรม คือ งานก่อสร้าง พระบรมศาสดาเคยทรงมอบหมายให้ท่านรับหน้าที่ นวกัมมาธิฏฐายี คือ ผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างวิหารบุพพาราม ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งนางวิสาขาบริจาคทรัพย์สร้างถวายอีกด้วย

    พระเถระมีความสามารถในทางอิทธิปาฏิหาริย์

    พระมหาโมคคัลลานะ เมื่อบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรากฏว่าท่านมีความสามารถโดดเด่นในทางอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเลิศ กว่าภิกษุทั้งหลาย ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ ไปยังภูมิของสัตว์นรก และไปโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ได้ ท่านได้พบเห็นสัตว์นรกในขุมต่าง ๆ ที่ได้เสวยความสุขจากการทำบุญไว้ในเมืองมนุษย์เช่นกัน ท่านได้นำข่าวสารของสัตว์นรกและของเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้น มาแจ้งแก่บรรดาญาติและชนทั้งหลายให้ทราบ ทำให้บรรดาญาติและชนเหล่านั้นพากันละเว้นกรรมชั่วลามกอันจะพาตนไปเสวยผลกรรมในนรก พากันสร้างบุญกุศล อันจะนำตนไปสู่สุคติโลกสวรรค์ และพร้อมกันนั้นก็พากันทำบุญอุทิศไปให้แก่ญาติของตน เหล่าชนบางพวกที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาก็พากันละทิ้งลัทธิศาสนาเดิมมาศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ทำให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายต้องเสื่อมจากลาภสักการะ เป็นอยู่ลำบากอดอยากขึ้นเรื่อย ๆ

    พระมหาโมคคัลลานเถระถูกโจรทุบ

    วันเวลาผ่านไปตามลำดับ เข้าสู่ปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระพักอยู่ที่กาฬศิลา ในมคธชนบทนั้น พวกเดียรถีย์ ทั้งหลาย มีความโกรธแค้นพระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นอย่างมาก เพราะความที่ท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ ไปเยี่ยมชมสวรรค์และนรกได้ แล้วนำข่าวสารมาบอกแก่ญาติมิตรของผู้ไปเกิดในสวรรค์และนรกให้ได้ทราบประชาชนทั้งหลายจึงพากันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทำให้พวกเดียรถีย์ ต้องเสื่อมคลายความเคารพนับถือจากประชาชน ลาภสักการะก็เสื่อมลง ความเป็นอยู่ก็ลำบากฝืดเคือง จึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นอันเดียว
    กันว่า “ต้องกำจัดพระมหาโมคคัลลานะ เพื่อตัดปัญหา” ตกลงกันแล้ว ก็เรี่ยไรเงินทุนจากบรรดาศิษย์ และอุปัฏฐากของตนเมื่อได้เงินมาพอแก่
    ความต้องการแล้ว ได้ติดต่อจ้างโจรให้ฆ่าพระเถระ พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ พระเถระได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และเห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย และถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งในป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป

    กราบทูลลานิพพาน

    พระมหาโมคคัลลานเถระ คิดว่า “เราควรไปกราบทูลลาพระผู้มีพระภาค ก่อนจึงปรินิพพาน” ดังนี้แล้วก็เรียบเรียงสรีรกายประสานกระดูกผูกหมั่นด้วยกำลังฌาน เหาะมาเฝ้าพระบรมศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลลาปรินิพพาน พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “โมคคัลลานะ เธอจะปรินิพพาน ที่ไหน เมื่อไร ?”
    “ข้าพระองค์ จะนิพพานที่กาฬศิลาในวันนี้ พระเจ้าข้า”
    “โมคคัลลานะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงแสดงธรรมแก่ตถาคตก่อน ด้วยว่าการได้เห็นพระเถระเช่นเธอนี้ จะไม่มีอีกแล้ว”
    พระเถระได้รับพระพุทธบัญชาเช่นนั้นจึงทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศแสดงพระธรรมเทศนาแล้วลงมาถวายอภิวาทกราบทูลลาไปยังกาฬศิลา และปรินิพพาน ณ ที่นั้น ตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ หลังจากพระสารีบุตรนิพพานได้ ๑๕ วันพระผู้มีพระภาค เสด็จไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ทรงเป็นองค์ประธานจุดเพลิงฌาปนกิจศพให้ท่าน ขณะนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงมาโดยรอบบริเวณ มหาชนพากันประชุมทำสักการะอัฐิธาตุตลอด ๗ วัน พระพุทธองค์โปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ ที่ใกล้ซุ้มประตูแห่งพระเชตะวัดมหาวิหารนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระอัครสาวกทั้งขวาและซ้ายนิพพานหมดแล้ว ก็เปรียบประหนึ่งต้นหว้าแก่ที่กิ่งใหญ่ทั้งสองหักลงแล้ว คงเหลือแต่พระอานนท์ ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากเพียงองค์เดียว เที่ยวติดตามประการหนึ่งว่าเงาตามพระองค์ ฉะนั้น
     
  10. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,151
    ค่าพลัง:
    +18,075
    พระเยซูกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ประมาณเกือบ ๒๐ ปีมาแล้วสมัยที่อาตมาไปวัดคริสต์ที่บางนกแขวก มีบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ และก็ชอบๆ กัน เพราะสมัยนั้นอาตมาเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ที่เรียนคริสต์ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียนแต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุฎีจีนเขามาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกัน เมื่อไปเยี่ยมเขาคุยไปคุยมา เขาถามว่า "ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน" อาตมาตอบว่า "รู้" เขาถามว่า "เคยคุยไหม" ก็บอกว่า "ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน" จึงถามเขาว่า "แล้วพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน" เขาตอบว่า "ไม่รู้" ถามว่า "เคยเห็นไหม" เขาตอบว่า "ไม่เคยเห็น" เขาเลยถามว่า "ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ" ตอบว่า "ไม่เคยสนใจ" แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป

    ต่อมากลับมาที่พัก ธรรมดาของพระก่อนจะนอนต้องทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่อย่างนั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่างพระจุฬามุณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น พอเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า "พระเยซูใช่ไหม" ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า "ใช่ครับ" อาตมาถามว่า "ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ บนสวรรค์เขาแต่งตัวแบบนี้เหรอ" ท่านบอกว่า "ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย" บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร" ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นหายไปกลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย ถามว่า "อยู่ที่ไหน" ตอบว่า "อยู่ชั้นดุสิต"

    พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า "คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ" ท่านถามว่า "ผิดอย่างไรครับ" บอกว่า "ล้างบาปนั่นนะ คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ" ท่านตอบว่า "ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป" คำสอนของท่านเป็นแบบนี้ มา ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย ก็เลยบาปทั้งสองคน คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลังบาปเพราะโกหก


    ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิต

    พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิตต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวกคือ


    ๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า
    ๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว
    ๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้

    สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมพระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้ มาดูอารมณ์ตอนหนึ่งของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่า "ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ" นั่นเขาเจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่องใหญ่มาก ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อยอย่าง พระนางมัลลิกาเทวีเป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  11. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,596
    ค่าพลัง:
    +6,346
    ถ้าผมเดินไปตัดแขน ตัดขาของคุณข้างหนึ่ง คุณจะให้อภัยผมได้ไหมครับ ถ้าคุณให้อภัยผมได้ นั้นหมายความว่าล้างบาปได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...