+ ใครไม่เล่นเฟสเป็นโรคจิต ? +

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“นักจิตวิทยา-นายจ้าง” เชื่อ คนไม่เล่นเฟซบุ๊ก อาจเข้าข่าย “โรคจิต”</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=middle align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=middle align=left>7 สิงหาคม 2555 </TD><TD vAlign=middle align=left>




<TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>


<?xml:namespace prefix = fb ns = "http://ogp.me/ns/fb#" /><fb:like class=" fb_edge_widget_with_comment fb_iframe_widget" href="=http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrshort.aspx?NewsID=9550000096704" send="true" width="450" show_faces="false"></fb:like>
</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right><TBODY><TR><TD width=5></TD><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=444><TBODY><TR><TD vAlign=top width=444 align=center> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เฟซบุ๊ก กำลังกลายเป็นมาตรฐานชี้วัดสภาพจิตใจของเยาวชนคนรุ่นใหม่ไปเสียแล้ว?</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=center></TD></TR></TBODY></TABLE>เอเจนซี - ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสื่อสังคมออนไลน์อย่าง “เฟซบุ๊ก” กำลังมีอิทธิพลต่อสังคมยุคใหม่อย่างล้นเหลือ

ล่าสุดพบว่า นายจ้างและนักจิตวิทยาบางรายเชื่อว่าคนที่ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กเข้าข่ายมีพฤติกรรม “น่าสงสัย”

นิตยสารเดอร์ แท็กสปีเกล ของเยอรมนี ถึงกับเชื่อมโยงว่า เจมส์ โฮล์มส มือปืนกราดยิงโรงภาพยนตร์ในรัฐโคโลราโดของสหรัฐฯ กับ อันเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก ฆาตกรชาวนอร์เวย์ผู้สังหารหมู่เยาวชนบนเกาะอูเทอยา 69 ศพ ต่างไม่มีบัญชีเฟซบุ๊กด้วยกันทั้งคู่

และที่น่าเชื่อถือขึ้นมาอีกคือรายงานของนิตยสารฟอร์บส ซึ่งเผยว่าฝ่ายทรัพยากรบุคคลทั่วโลกเริ่มไม่ไว้ใจผู้สมัครงานหนุ่มสาวที่ไม่เล่นเฟซบุ๊ก

สิ่งที่นายจ้างทั้งหลายกังวลก็คือ การที่ผู้สมัครงานไม่ใช้เฟซบุ๊กอาจเป็นเพราะบัญชีของเขาเต็มไปด้วยเนื้อหาอันตราย จนต้องถูกลบทิ้งไปในที่สุด

ฟาร์ฮัด มันจู ผู้สื่อข่าวด้านเทคโนโลยีจากเว็บไซต์ slate.com เขียนในคอลัมน์แนะนำว่า เยาวชนคนรุ่นใหม่ไม่ควรออกเดตกับคนที่ไม่ใช้เฟซบุ๊ก

“หากคุณเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นและอยากจะนอนกับใครสักคน โดยที่คนคนนั้นไม่มีบัญชีเฟซบุ๊ก คุณอาจกำลังคบบุคคลอันตรายที่ใช้ชื่อแฝงมาก็เป็นได้”

อย่างไรก็ดี มันจูเตือนว่า ข้อสังเกตนี้ใช้ไม่ได้กับคนวัยผู้ใหญ่ที่ประกอบสัมมาชีพเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองมาก่อนที่โซเชียลมีเดียจะแพร่หลาย

เว็บไซต์ Slashdot ได้สรุปรายงานของเดอร์ แท็กสปีเกล เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ไว้ว่า “การไม่ใช้เฟซบุ๊กอาจเป็นสัญญาณแรกว่าคุณคือฆาตกรสังหารหมู่” พร้อมชี้ว่า โฮล์มส ซึ่งกราดยิงผู้ชมภาพยนตร์แบทแมนจนเสียชีวิต 12 ศพ บาดเจ็บอีก 58 คน และเบรวิก ซึ่งใช้คาร์บอมบ์และอาวุธปืนสังหารผู้คนรวม 77 ศพ ต่างก็ไม่ติดต่อกับใครผ่านเฟซบุ๊ก และมีประวัติให้ค้นเจอบนโลกออนไลน์น้อยมาก

เบรวิกใช้เพียงมายสเปซเท่านั้น ส่วนโฮล์มสเคยสมัครสมาชิก Adult Friend Finder

นักจิตวิทยา คริสโตเฟอร์ โมเอลเลอร์ ให้สัมภาษณ์แก่เดอร์ แท็กสปีเกลว่า การปฏิสัมพันธ์กับผู้คนผ่านเฟซบุ๊กชี้ให้เห็นว่าคุณมีเครือข่ายสังคมที่ดี

ขณะเดียวกัน นักจิตวิทยาอีกหลายคนก็ตั้งข้อสังเกตว่าโฮล์มส และฆาตกรสังหารหมู่คนอื่นๆ ไม่มีเพื่อนที่คบหากันอย่างจริงจังแม้แต่คนเดียว

ข้อโต้แย้งทั้งหมดนี้อาจสรุปได้ว่า การปฏิเสธเฟซบุ๊กซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนรุ่นใหม่ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณผิดปกติ, สูญเสียบทบาทหน้าที่บางอย่าง หรืออาจเข้าข่ายบุคคลอันตรายก็เป็นได้



</TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=658><TBODY><TR><TD vAlign=top width=658 align=center> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>

อันเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก หนุ่มนอร์เวย์ผู้วางระเบิดคาร์บอมบ์หน้าสำนักงานรัฐบาลในกรุงออสโล และกราดยิงเยาวชนบนเกาะอูเทอยาจนมีผู้เสียชีวิตรวม 77 ศพ (ซ้าย) และ เจมส์ โฮล์มส อดีตนักศึกษาปริญญาเอกผู้ก่อเหตุกราดยิงโรงภาพยนตร์ในเมืองออโรรา รัฐโคโลราโด ขณะกำลังฉายภาพยนตร์แบทแมน The Dark Knight Rises

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=center></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

แนวคิดแบบนี้ มันชี้วัดได้ตรงเป๊ะจริงรึ ยังงี้ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เขาไม่สนใจเทคโนโลยีพวกนี้ ก็พากันโรคจิตหมดน่ะสิ



ถ้าจะคิดสรุปเหมารวมกันไปอย่างนี้ มันเป็นการวิเคราะห์ที่ง่ายไปหน่อย

 

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>คนร้ายสิงคโปร์ ใช้แอพเฟซบุ๊ก ส่องหาเหยื่อสาว ล่อลวงข่มขืน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=middle align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=middle align=left>7 สิงหาคม 2555 </TD><TD vAlign=middle align=left>




<TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>



<?xml:namespace prefix = fb ns = "http://ogp.me/ns/fb#" /><fb:like class=" fb_edge_widget_with_comment fb_iframe_widget" href="=http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrshort.aspx?NewsID=9550000097030" show_faces="false" width="450" send="true"></fb:like>
</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=512><TBODY><TR><TD vAlign=top width=512 align=center> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=center></TD></TR></TBODY></TABLE>เอเอฟพี - หนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์เผย คนร้ายชาวสิงคโปร์รายหนึ่งใช้แอพพลิเคชันหาคู่บนเฟซบุ๊กล่อลวงเหยื่อสาวออกมาข่มขืนหลายราย คาดว่าเขาอาจต้องรับโทษจำคุกหนักที่สุดเท่าที่อัยการของประเทศนี้เคยกำหนดมา

หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวรายงานว่า อัยการเรียกร้องให้กำหนดโทษจำคุก 45 ปี ต่ออาซัวร์ อาฮาหมัด วัย 41 ปี ผู้ต้องหาซึ่งยอมสารภาพความผิดในคดีข่มขืนหญิงสาว 3 ราย และกระทำชำเราเหยื่อรายที่ 4 พร้อมข้อหาอื่นอีกร่วม 30 กระทง ในวันจันทร์ (6) ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ อาฮาหมัด อดีตผู้บริหารบริษัทโลจิสติกส์ ยังอาจได้รับโทษโบย หรือปรับ สำหรับคดีข่มขืนทั้ง 3 แจกแจงเป็นรายคดี รวมถึงคดีทำร้ายทางเพศด้วย

เขาถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หลังตำรวจพบว่าเขาถ่ายคลิปวิดีโอระหว่างก่อเหตุไว้ในโทรศัพท์มือถือของตน โดยตามข้อกล่าวหา อาฮาหมัดเคยข่มขืนหญิงสาวมาแล้ว 22 ราย อายุตั้งแต่ 18-41 ปี โดยใช้แอพพลิเคชัน สปีดเดต (SpeedDate) บนเฟซบุ๊ก ตลอดระยะเวลา 14 เดือน ที่สิ้นสุดในเดือนสิงหาคม ปี 2009

แผนการของเขาคือนัดเหยื่อสาวๆ ออกมาตามสถานบันเทิงยามราตรี ซึ่งเขาได้แอบใส่ยานอนหลับลงในเครื่องดื่มของสาวๆ ก่อนพาเข้าโรงแรม อัยการกล่าวต่อศาล

เจ้าหน้าที่สอบสวนตามรอยเหยื่อสาวได้จำนวนหนึ่ง เนื่องจากเบอร์โทรศัพท์ของพวกเธอถูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์ของผู้ต้องหา และเป็นเครื่องเดียวกับที่เขาถ่ายคลิปข่มขืนเก็บไว้ สเตรทไทมส์เสริม

อย่างไรก็ตาม หญิงสาวบางคนไม่ทราบด้วยซ้ำว่าพวกเธอถูกล่วงละเมิดทางเพศจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจติดต่อพวกเธอไป

การพิพากษาโทษอาฮาหมัดนั้นล่าช้ามานานเนื่องจากเขาปฏิเสธว่าไม่ได้วางยานอนหลับเหยื่อ โดยอ้างว่าพวกเธอดื่มแอลกอฮอลจนเมาสลบไปเอง หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวระบุ

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

ไอคนที่คิดได้แบบนี้สิโรคจิตของแท้

 

สื่อ ASTV เชื่อได้ที่ไหน

 

ไม่ได้เล่นfb แต่ไม่มีอะไรผิดปกติเลย

 

จากที่อ่านเนื้อข่าว...เราว่าคนที่ว่าคนไม่เล่น facebook เป็นโรคจิตน่ะนะน่าจะเป็นโรคจิตเองมากกว่า - -*

 

"สูญเสียบทบาทหน้าที่บางอย่าง" ผมชอบคำนี้นะ เพื่อนผมเบื่อเฟสบุ๊คบอกผมว่ามีแต่คนบ่นไร้สาระมากกว่ามีสาระ แล้วก็เลิกเล่นไปพักใหญ่ๆก่อนจะกลับมาใช้อีกครั้งเพราะน่าจะเห็นประโยชน์มากกว่าโทษ เหตุผลที่เขาบอกผมมานั้นผมเฉยๆ แต่ที่ผมคิดคือตอนที่เขาเลิกใช้เฟสบุ๊คนั้นเขา"สูญเสียบทบาทหน้าที่บางอย่าง" ผมว่าเฟสบุ๊คเนี่ยถ้าใช้มันในทางที่ดี มันจะมีประโยชน์มากแต่ถ้า คิดอะไรก็โพสโกรธเกลียดใครก็โพส โพสบ่อยจนติดนิสัย เปลี่ยนสเตตัสตามอารมณ์ อันนั้นไม่น่าจะดี

 

งี้เราก้อเป็นโรคจิตอ่ะดิ เราไม่มี fb หึหึ

 

ไม่เกี่ยวเลย อย่างนี้ พระหลายรูปก็เป็นโรคจิตนะสิ

 

เป็นไปได้หรอ ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ

 

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เด็กหญิงดัตช์ จ้างฆ่าเพื่อน 800 บาท แค้นโดนซุบซิบ บน 'เฟซบุ๊ก'</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=middle align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=middle align=left>25 สิงหาคม 2555 </TD><TD vAlign=middle align=left>



<TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><!--
<script>(function(d, s, id) { var js, fjs = d.getElementsByTagName(s)[0]; if (d.getElementById(id)) return; js = d.createElement(s); js.id = id; js.src = "//connect.facebook.net/th_TH/all.js#xfbml=1"; fjs.parentNode.insertBefore(js, fjs);}(document, 'script', 'facebook-jssdk'));</script><fb:like href="http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrshort.aspx?NewsID=9550000104543" send="true" width="450" show_faces="false"></fb:like>--></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=middle align=center></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=468><TBODY><TR><TD vAlign=top width=468 align=center> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=center></TD></TR></TBODY></TABLE>
เดลิเมล์ - เด็กชายชาวรายหนึ่งอาจติดคุกเพียงแค่ปีเดียว ในคดีสะเทือนสังคมเนเธอร์แลนด์ ฐานรับจ้างฆ่าเด็กหญิงวัย 15 ปี ด้วยเงินเพียง 16 ปอนด์ หลังเด็กหญิงรายนี้ทะเลาะกับเพื่อนสนิทเกี่ยวกับ'เฟซบุ๊ก'

ด.ญ.จอยซ์ วินซี เฮา ถูกเด็กชายคนดังกล่าวที่ระบุชื่อเพียง "จินหัว เค" แทงเสียชีวิตที่บ้านของเธอในรอตเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และต่อมาก็ทราบว่าผู้ที่ส่งเด็กชายคนนี้ไปฆ่าเด็กหญิงจอยซ์ ก็คือเพื่อนหญิงและแฟนหนุ่ม

ในคดีที่กลายเป็นที่รู้จักกันในนาม"Facebook murder" ผู้ตายถูกกล่าวหาว่าซุบซิบนินทาเกี่ยวกับความคึกคะนองทางเพศของเพื่อนนาม "พอลลี วี"วัย 16 ปี บนเฟซบุ๊กและสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ

ด้วยความขุ่นเคือง พอลลี สมคบคิดกับแฟนหนุ่มนาม "เวสลีย์ ซี" วางแผนฆ่าแก้แค้นเพื่อนสนิทรายนี้ คดีอาชญากรรมที่ก่อความรู้สึกช็อกแก่ชุมชนชาวดัตช์เชื้อสายจีนและก่อคำถามจากประชาชนทั้งประเทศว่าเด็กอายุแค่นี้ทำไมถึงโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้

จินหัว ถูกนำตัวขึ้นศาลเมื่อวันอังคาร (21) และระหว่างกระบวนการพิจารณาคดีอัยการได้ร้องขอให้ลงโทษผู้ต้องหารายนี้ด้วยการจำคุกเป็นเวลา 1 ปี ด้วยเป็นเยาวชนที่กระทำผิดโดยไม่เจตนา ขณะที่ในเนเธอร์แลนด์ โทษจำคุกสูงสุดสำหรับเยาวชนอายุระหว่าง 12-16 ปี ก็แค่ 12 เดือนเท่านั้น

พอลลีและเวสลีย์ ซี ว่าจ้างวานจินหัว ก่ออาชญากรรมด้วยเงินจำนวนหนึ่งที่สื่อมวลชนระบุว่าเพียง 16 ปอนด์ (ราว 800 บาท)พร้อมสัญญาว่าจะจ่ายค่าเครื่องดื่มให้อีกเมื่อเขาลงมือสำเร็จแล้ว

จากข้อมูลของกระทรวงยุติธรรม เหล่าผู้ต้องหาใช้เวลาวางแผนฆาตกรรมนานหลายสัปดาห์ จากนั้นก็ติดต่อมือสังหารและมอบข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเป้าหมาย ในนั้นรวมถึงที่อยู่ของ จอยซ์ และช่วงเวลาที่เธอจะอยู่บ้าน

ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่ามือสังหารจะดำเนินการตามแผน พอลลีและเวสลีย์ ขู่ฆ่า จินหัว หากว่าเขาปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ

เรมโก ปิจเปอร์ส ผู้อำนวยการมูลนิธิ My Child Online ระบุว่าดูไม่สมเหตุสมผลนักหากจะตราหน้าเฟซบุ๊กว่าเป็นส่วนหนึ่งของอาชญากรรมนี้ เพราะมีข้อบ่งชี้ต่างๆนานาว่ามันมีต้นตอจากการใช้เว็บไซต์สังคมออนไลน์ในทางที่ผิด

เขากล่าวว่า "เฟซบุ๊กอาจเกี่ยวข้องในคดีนี้ แต่ข้อเท็จจริงคือมันเป็นคดีของการรังแกกันบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งมันเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ ผู้ปกครองควรตระหนักว่าวัยรุ่นยากที่จะยอมรับได้เมื่อถูกพูดในทางเสียหายต่อหน้าเพื่อนๆ นี่คือโอกาสที่ผู้ปกครองต้องเข้าไปคุยกับบุตรหลานของตนเอง"

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>