ใจ เป็นมหาเหตุ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อโศ, 13 เมษายน 2012.

  1. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ตรงสีแดงนี่ ผมเคยคิดและเขียนบ่อยๆ จนเดี๋ยวนี้ มันไม่เที่ยงเสียแล้ว
    แม้สติ สัมปชัญญะ บริบูรณ์ ก็ไม่เที่ยงเสียแล้วๆ:'(
     
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เมื่อไม่กลับมาเกิดแล้วจะสร้างมฑิตานั้นก็หาไม่ได้ เพราะไม่มีตัวตน

    ไม่มีร่างกาย และ จิตใจ แล้ว ไม่มีอะไรเลย

    เพราะเป็น"ความว่างเปล่าจากการปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง"ครับ

    หากยังมีมุฑิตาอยู่ บ่งบอกว่ายังมีร่างกาย และ จิตใจอยู่ครับ

    การมีร่างกาย และ จิตใจ จึงจะสามารถรักษาพรมวิหาร 4 ได้ครับ

    สาธุครับ
     
  3. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ทีนี้เห็นคุณพูดถึงเรื่อง แยก กาย ใจ จิต สามารถแยกออกได้เด็ดขาดไหมครับ
    แบบว่า ขาดจากกันตลอดเวลา ไม่มีเชื้อ ไม่มีใยเหลืออยู่ให้รับรู้แล้วครับ
    พอดี ผมแค่เคยคิดว่าเคยแยกได้ตอนนั่งสมาธิครับ (เน้นเคยคิดครับ)
     
  4. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ไม่เที่ยงอย่างไรครับ ต้องอธิบายเหตุ และ ผล ด้วยครับ

    สาธุครับ
     
  5. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ผมไม่เข้าใจ ตรงที่ไม่กลับมาเกิดอีก หมายถึงปัจจุบันขณะ ไม่มีการเกิดอุปาทานแล้ว ไม่มีอวิชชาแล้ว หมดจดหมดสิ้นกิเลสแล้วครับ

    หรือว่าพอตายไปแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีกครับ
     
  6. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากเข้าถึงฌาณ จะแยก กาย และ จิต ครับ แต่ จิต ไม่ได้แยกกับ ใจ ครับ

    เพราะยังมีความรู้สึกทางจิตอยู่ครับ และ จิตยังมีการรับรู้อยู่ครับ

    นี่คือ เหตุที่ผมกล่าวว่า จิต ไม่ได้แยกจาก ใจ ครับ

    ยังสามารถปรุงแต่งได้ เพราะจิตใจยังอยู่ในกาย เพียงแต่ไม่รับรู้ทางกายเท่านั้นครับ

    ตราบใดเมื่อเห็นจิตอย่างชัดเจน จึงจะเห็นใจ และ เห็นการทำงานของจิตครับ

    สาธุครับ
     
  7. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ไม่เที่ยงคือว่า พอผมเห็นว่านี่นะ ผมมีสติ สัมปชัญญะ บริบูรณ์แล้วนะ
    เห็นๆไป มันก็มีตก คือลืมบ้าง หลงบ้าง ที่คิดมันเลยไม่เที่ยง คือไม่อยู่นิ่งๆครับ
    ทีนี้คำถามจะมีมาอีกว่า จแล้วรู้ได้อย่างไรว่าตนมีสติ สัมปชัญญะ บริบูรณ์แล้ว
    ก็ตอบว่า คิดเอาครับ รู้เอาครับ เห็นเอาครับ จากมีเป็นไม่มี จากไม่มีเป็นมี
    จริงๆ ก็เห็นว่ามันไม่อยู่นิ่งสักอย่างหนึ่ง
    แม้แต่ความคิด เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ครับ
     
  8. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ต้องอยู่จนร่างกายดับสลายครับ หรือ ที่เรียกว่าตายครับ จึงจะไม่กลับมาเกิดครับ

    ส่วนอวิชชานั้น หาได้มีแก่ผู้ที่แยก กาย ใจ จิต ออกจากกันอย่างสิ้นเชิงแล้วครับ

    หากยังไม่สามารถแยกได้อย่างสิ้นเชิง ก็ยังมีอวิชชาอยู่ครับ

    การละสักกายะทิฎฐิ เป็นการแยกกายออกจากจิตครับ จนถึงละ โทสะ ราคะ

    จึงจะแยกกายอย่างสิ้นเชิง ต่อมาจึงแยก ใจ ออกจาก จิต เป็นการตัดครับ

    ตัดขาดอย่างสิ้นเชิง ในส่วนนี้การรับรู้จะดับลงหากแยก ใจ ออกจาก จิต ได้ครับ

    สาธุครับ
     
  9. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คำว่า บริบูรณ์ นั้น หมายถึงไม่มีตกหล่นครับ ไม่มีการเผลอลืม

    จะเห็นจิตอยู่ตลอด มีสติอยู่ตลอด มีสัมปชัญญะอยู่ตลอด ครับ

    จึงจะเรียกว่าบริบูรณ์ครับ ไม่เช่นนั้นย่อมไม่ใช่ครับ มีตัวอย่างของพระอาจารย์มากมายครับ

    ที่สามารถเปรียบเทียบได้ครับ อย่างพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านสามารถจดจำพระลูกวัดได้ทุกรูป

    แม้แต่พระที่บวชใหม่ และ ได้พบเจอเพียงแค่ครั้งเดียว วันสึกท่านยังเรียกอย่างถูกต้อง

    ทั้งที่ไม่เคยพูดจากันเลย และ ตัวอย่างอื่นยังมีมากมายครับ

    สาธุครับ
     
  10. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    แล้วเหล่าพระอรหันต์ล่ะครับ ท่านยังไม่ตาย ท่านยังมีอวิชชาอยู่หรือเปล่าครับ
    แล้วท่านยังทรงพรหมวิหาร 4 อยู่ไหมครับ
     
  11. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ต้องกล่าวว่าท่านหมดแล้วซึ่งอวิชชาครับ แต่ท่านยังมี กาย ใจ จิตอยู่ครับ

    ถึงแม้จะแยกจากกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็สามารถเจริญพรหมวิหาร 4 ได้ครับ

    ต่อเมื่อท่าน ไม่มีร่างกาย และ จิตใจ แล้วเท่านั้นครับ ถึงจะเจริญพรหมวิหาร 4 ไม่ได้ครับ

    สาธุครับ
     
  12. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เท่าที่ผมเคยอ่านบ้างนิดๆหน่อยๆ พอทราบว่าแม้ในพระอริยเจ้าชั้นโสดาบัน ก็ยังหลง ลืมได้ครับ แต่ท่านไม่หลงในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    จากที่คุณกล่าวมา เข้าข่ายจิตเที่ยงหรือเปล่าครับ
     
  13. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    สิ่งที่ควรสนใจ และ กระทำ คือ การปฎิบัติธรรมภาวนาครับ

    อย่าได้สนใจในสิ่งที่อยู่ไกลเกินครับ เพราะจะทำให้เกิดความสงสัยครับ

    เมื่อสงสัยใคร่รู้ ก็จะเป็นเหตุให้สภาวะจิตติดข้องครับ และ จะเกิดการเบื่อหน่ายในการปฎิบัติครับ

    สาธุครับ
     
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เมื่อเห็นความจริงแท้ของโลก ย่อมที่จะรีบเร่งปฎิบัติครับ เพราะเห็นหนทางแล้ว

    การหลงลืมย่อมเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ยังมีสมาธิเพียงน้อยนิดครับ

    ถึงจะไม่หลงทางในการปฎิบัติ แต่ก็ต้องหมั่นปฎิบัติธรรมภาวนา เพื่อบำรุงจิตครับ

    เมื่อจิตเที่ยง ย่อมเห็นความไม่เที่ยงของโลก สภาวะนิ่งสงบจะทำให้เห็นครับ

    สาธุครับ
     
  15. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    การนึกคิดเอาเอง โดยที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ย่อมไม่มีผลอันใด

    การปฎิบัติจนมี สติ สัมปชัญญะ บริบูรณ์ จริงๆ จึงจะมีผลมาก

    จะกระทำสิ่งใดย่อมรู้เห็นด้วยความเป็นจริง รับรู้ได้รวดเร็ว เข้าใจได้ง่ายดาย

    เป็นการสำรวมระวัง กาย ใจ จิต อยู่เสมอ เฝ้าดูจนรู้เห็นอย่างแท้จริง

    จึงเกิดความเบื่อหน่าย คลายอยาก ลดมานะ ละทิฎฐิ ที่แท้จริง

    ความโกรธ ความโลภ ความหลง จะลดน้อยลงตามลำดับ นี่คือทางที่ควรจริญ

    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...