ใต้ร่ม ... พระบารมี

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย rungdao, 19 ธันวาคม 2013.

  1. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731


    ก่อนไปหาครูบาและแม่ชีค่ะ น้องวิว หลังจากแยกย้ายกันพี่ก็สงเคราะห์ญาติต่อ แต่ก็ยังมีแว่บไปแถวๆเชียงใหม่อีกหลายที่เลยจ๊ะ :cool::cool::cool:
     
  2. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    หลังจากใส่บาตรที่ วัดภูย่าอู่ กันแล้วพวกเราก็พากันมาที่นี่ วัดป่าบ้านค้อ (หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ)


    - ร่วมบุญบูรณะ พระมหาธาตุเจดีย์
    - หยอดตู้
    - ช่วยผสมปูนในการก่อสร้าง






    [​IMG]




    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]






    [​IMG]


    [​IMG]




    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]
     
  3. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ต่อจากนั้นเราก็พากันมาที่นี่ ดินแดนที่ดิฉันเคยได้ยินเรื่องเล่าต่างๆ ว่ากันว่าเป็นดินแดนที่ติดต่อกับพยานาค และในรถก็มีพี่ๆที่บอกว่าเป็นลูกหลานท่านเดินทางมาด้วย และพี่ๆนี้เองที่ต้องการมาที่นี่ " คำโฉนด"


    ป่าคำชะโนด คนในพื้นที่เชื่อว่าเป็นดินแดนของพญานาค

    <DD>ที่แห่งนี้คือป่าศักดิ์สิทธิ์ คือป่าลี้ลับ คือป่าอาถรรพ์ คือป่าพญานาค และก็คือป่าที่มีตำนาน ถูกต้องแล้ว (ครับ) ... ที่นี่คือ ป่าคำชะโนด

    <DD>บนพื้นที่ราว 20 ไร่ ณ ต.วังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี คือที่ตั้งของผืนป่าแห่งนี้ ทางเดินเล็กๆ ซึ่งลาดด้วยคอนกรีต นำสื่อมวลชน ผู้กำกับ และทีมนักแสดงจาก “ผีจ้างหนัง” เข้าสู่ดินแดนที่เคยตกเป็นข่าวครึกโครมตามสื่อแขนงต่างๆ จนสร้างความสะพรึงกลัวแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    มีอะไรหลายอย่างพิสูจน์ไม่ได้ที่ป่าคำชะโนด

    <DD>ป่าคำชะโนดกลายเป็นสถานที่เลื่องชื่อชั่วข้ามคืน ก็เพราะเรื่องเล่า “ผีจ้างหนัง” (คนอีสานเรียก ผีบังบด หรือเมืองลับแล ไม่สามารถมองเห็นได้ทั่วไป นอกเสียจากว่าจะมีอะไรดลใจให้เห็น) อันสุดแสนมหัศจรรย์พันลึกที่เกิดขึ้น เมื่อบริษัทหนังเร่ชื่อก้องแห่งภาคอีสาน ถูกว่าจ้างจากใครคนหนึ่งให้ไปฉายหนังกลางแปลงในหมู่บ้านวังทอง ด้วยจำนวนเงิน 4,000 บาท แต่มีข้อแม้คือ ต้องฉายจบแค่ตี 4 ของวันใหม่ และให้ออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง โดยห้ามหันหลังกลับมามอง

    <DD>“หนังจะเริ่มฉายตั้งแต่หัวค่ำแล้วละ แต่ตอนนั้นไม่มีผู้คนมาดูเลย พอ 3 ทุ่ม ก็มีคนมาดูจำนวนเยอะมาก แต่ที่แปลกก็คือ ผู้หญิงจะนุ่งขาวห่มขาวนั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำนั่งอีกข้าง และทั้งหมดก็นั่งกันสงบเรียบร้อยเหมือนไม่มีการเคลื่อนไหวตัวเลย ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงเอะอะเหมือนหนังกลางแปลงทั่วไป ฉายหนังบู๊ก็เฉย ฉายหนังตลกก็เงียบ แต่ที่น่าแปลกคือ ในงานไม่มีร้านขายของกินของใช้ แม้แต่ร้านขายบุหรี่ก็ไม่มี”

    <DD>ถ้อยคำบางส่วนที่ ธงชัย แสงชัย เจ้าของบริษัทหนังเร่ดังกล่าว ถ่ายทอดไว้ในปี 2532 จากประสบการณ์ตรงของลูกน้องที่โดนผีจ้างหนังไปฉาย

    <DD>18 ปีล่วงผ่าน ดูเหมือนเรื่องเล่านี้ยังคงเป็นที่โจษขานสืบมา โดยเฉพาะในหมู่ชาว ต.วังทอง ผู้เชื่อมั่นและศรัทธาต่อผืนป่า เหตุการณ์ “ผีจ้างหนัง” จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดว่ามีอยู่จริง แม้อาจไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะสามารถพิสูจน์ได้
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ที่นี่เคยเกิดเหตุการณ์ผีจ้างหนัง

    <DD>ทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆ กับป่าคำชะโนด เล่าด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ตัวเขาคุ้นเคยกับป่าแห่งนี้ดี และเชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัทหนังเร่ เพราะอาจเป็นวันเฉลิมฉลองของเจ้าที่พอดีจึงเจอเข้าโดยบังเอิญ

    <DD>“ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆ ไม่เคยเจออะไรผิดปกตินะ เพราะส่วนที่เป็นป่าใครก็ไม่กล้ารุกล้ำ แค่เดินเข้าไปนิดเดียวเจอน้ำแล้ว ถ้าไม่ใช่อำนาจของท่านทำขึ้น คนฉายหนังก็คงไม่สามารถไปตั้งจอหนังได้หรอก”

    <DD>ป่าคำชะโนดเป็นชื่อที่ตั้งตามลักษณะภูมิประเทศ เนื่องจากบริเวณนั้นมีต้นชะโนด (อยู่ในตระกูลเดียวกับปาล์ม คล้ายๆ ต้นตาล ต้นหมาก หรือไม่ก็ต้นมะพร้าว แต่สูงกว่า) ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทิวชะโนดสูงเด่นเป็นสง่า

    <DD>ปี 2520 เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านได้ทำการสำรวจจำนวนต้นชะโนดในป่าแห่งนี้ มีอยู่ราว 2,000 กว่าต้น จนมาถึงปี 2544 ชาวบ้านสำรวจอีกครั้งพบว่าต้นชะโนดลดลงเหลือเพียง 1,865 ต้น ถึงกระนั้นที่นี่ยังคงความเย็นชื้นและให้บรรยากาศวังเวงเหมือนเดิม
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ต้นชะโนด มีที่เดียวคือที่นี่

    <DD>แต่ที่น่าแปลกใจคือ หากพ้นจากดงชะโนดแห่งนี้ไป ห่างกันแค่ไม่ถึง 300 เมตร ก็ไม่มีต้นชะโนดปรากฏให้เห็นแม้แต่ต้นเดียว นี่เองจึงทำให้ผืนดินราว 20 ไร่ ถูกตั้งฉายาให้เป็นป่าแห่งชะโนดขนานแท้

    <DD>“เคยมีคนคิดเอาต้นชะโนดไปปลูกที่อื่นนะ แต่ไม่นานก็ต้องเอากลับมาคืนที่เดิม เพราะชีวิตการงานไม่ก้าวหน้า ชีวิตครอบครัวมีแต่ความเดือดร้อน ขนาดว่าแค่เอาเมล็ด หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นใบแห้งๆ ออกจากป่า สุดท้ายต้องเอามาคืนกันหมด”

    <DD>ทองอินทร์ ย้อนถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในป่าคำชะโนดให้ฟัง กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องเล่าของป่าแห่งนี้ คนภายนอกฟังดูอาจคิดว่าเป็นเรื่องอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อหลอกให้คนกลัวกันเล่นๆ สำหรับชาวบ้านที่อยู่มานานนมกลับเชื่อสนิทใจ ไม่ใช่นิทานปรัมปรา หรือนิยายประโลมโลก แต่นั่นคือแรงศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อป่าอันลี้ลับและเต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมาย
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ป่าคำชะโนด

    <DD>เช่นที่เรากำลังจะเล่าให้ฟังจากนี้อีก ซึ่งเชื่อมโยงและเกี่ยวพันถึงพญานาค เดิมทีคนท้องถิ่นจะเรียกที่นี่ว่า “วังนาคินทร์คำชะโนด” ที่มาก็คือมีบ่อน้ำอยู่กลางดงชะโนด เป็นบ่อน้ำขนาดเล็กๆ แต่กลับมีน้ำซึมออกมาตามธรรมชาติตลอดเวลา ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าบ่อน้ำประทานมาให้โดยพญานาคที่อาศัยอยู่ในบริเวณผืนป่า

    <DD>สำหรับบ่อน้ำในป่าคำชะโนด ว่ากันว่าเป็นบ่อน้ำที่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ชาวบ้านเชื่อกันอย่างนั้น มีหลายคนเคยลองอธิษฐานตรงหน้าบ่อน้ำก็ได้ตามประสงค์ บางคนเจ็บป่วยไปดื่มหรืออาบโรคร้ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง สร้างความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก แต่นั่นไม่ใช่ทุกคน อยู่ที่ความเชื่อมีมากน้อยแค่ไหน หลายคนไม่เชื่อแถมยังลบหลู่ ตักน้ำจากบ่อแล้วนำมาล้างเท้าแทนที่จะหายป่วยไข้กลับทุกข์ทรมานซ้ำหนักกว่าเดิม

    <DD>เช่นเดียวกับใครที่อยากจะเข้าไปสัมผัสป่าลี้ลับคำชะโนดก็ต้องสำรวมและปฏิบัติตามข้อห้ามอื่นๆ เป็นต้นว่า ห้ามใส่รองเท้าทั่วทั้งบริเวณป่า หมวก แว่นตา ร่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ห้ามเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้คือการดูถูกดูหมิ่นต่อผู้ปกปักรักษาผืนดิน
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <DD>“แต่ก่อนห้ามใส่เสื้อสีแดงด้วย ไม่ได้เลยนะ ใครใส่เข้ามานี่เป็นเรื่อง อยู่ไม่ได้นานหรอก ต้องรีบออกไป ไม่รู้เพราะอะไร เหมือนท่านไม่ชอบ แต่พอหลวงปู่ (หลวงตาคำ สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศรีสุทโธ วัดละแวกป่าคำชะโนด) ได้ทำพิธีขอยกเว้นตอนหลังก็ใส่ได้” ทองหล่อ ตลิ่งชัน กำนันตำบลวังทอง บอก

    <DD>ความเชื่อเรื่องพญานาคของคนที่นี่นั้นอาจไม่แตกต่างจากชาวหนองคายที่เชื่อว่าพญานาคมีจริง บั้งไฟพญานาคเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของเจ้าแห่งเมืองบาดาล ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ธรรมดาเหมือนเมื่อครั้งถูกนำเสนอผ่านหนัง รวมถึงสื่อทีวีบางช่องเมื่อหลายปีก่อนโน้น ชาวบ้านละแวกป่าคำชะโนดก็คล้ายกัน พวกเขาสร้างทางเดินที่เชื่อมจากโลกภายนอกกับผืนป่าอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไว้ด้วยรูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร นอนเลื้อยยาวไปจนสุดทางเดินราว 300 เมตร เพื่อสะท้อนถึงพลังอำนาจและบารมีของพญานาครา
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ป่าคำชะโนด

    <DD>กระทั่งในวันออกพรรษึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านก็มีความเชื่อว่าเป็นวันที่พญานาคจะขึ้นมาหายใจ ดวงไฟสีแดงที่ผุดกลางบ่อน้ำแล้วลอยขึ้นท้องฟ้า (คล้ายๆ กับบั้งไฟพญานาคผุดกลางลำน้ำโขงที่ จ.หนองคาย) นั่นละคือ ลมหายใจพญานาค ใครเห็นจะเป็นบุญของชีวิต

    <DD>ป่าคำชะโนดยังมีเรื่องเล่าอีกนับไม่ถ้วน ทั้งที่สร้างความรู้สึกชวนขนลุกและตื่นเต้นเสียวสันหลัง พญานาคมีจริงหรือเปล่า คงปล่อยเป็นเรื่องนานาจิตตังของแต่ละคน เพราะยากจะพิสูจน์เหลือเกิน แต่ ณ วันนี้ถือว่าเป็นโชคของชาวบ้าน ต.วังทองที่ใครๆ ต้องอิจฉา เมื่อไม่ต้องกระเสือกกระสนสร้างพื้นที่สีเขียวให้แก่ชุมชนเหมือนที่อื่นๆ บางทีเรื่องเล่าระหว่างพญานาคกับมนุษย์อาจไม่ได้เหลวไหล หรือแค่หลอกคนอีกต่อไปเสียแล้ว

    <DD>คุณว่าไหม?!?... ป่าอันลี้ลับนี่ละที่จะเป็นคำตอบสุดท้ายในการดำรงรักษาผืนป่า แม้ว่าต้องแลกด้วยฉายาป่าอาถรรพ์ก็ตามที

    <DD>แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

    <DD>********************
    Palungdham.com : พลังธรรม -นำแสงสว่างสู่จิตใจมวลมนุษย์
    <DD> <DD> <DD> <DD>[​IMG] <DD> <DD> <DD>
    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]
    <DD> <DD> <DD>[​IMG]



    <DD>






    <DD>
    </DD>
     
  4. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    เหตุที่ต้องลงบันทึกสถานที่ คำโนดนี้ไปด้วย เพราะว่ามีเหตุบังเอิญเป็นเรื่องเล่าย่อๆ ซึ่งก็เป็นจุดต่อของการเดินทางของพวกเราค่ะ


    ดิฉันและคณะได้มีโอกาสไปพักค้างคืนที่วัดศรีบุญเรือง อาจจะเป็นเหตุบังเอิญหรือไรไม่ทราบได้ พวกเราได้เดินทางกันไปที่คำโฉด ดินแดนที่ร่ำลือว่าเป็นดินแดนแห่งพยานาค และที่นั่นเองที่แม่ชีและคณะของพวกเราได้เจอเจ้าอาวาสของวัดศรีบุญเรือง และท่านได้ชักชวนให้ไปพักที่วัดก่อนหลังจากที่ได้พูดคุยกันถึงเรื่องการเดินทางของพวกเรา
    ท่านว่าพวกเราจะไปพระธาตุพนมระยะทางหลายร้อยกิโลฯ ซึ่งตอนที่อยู่ที่คำโฉนดนั้นก็เป็นเวลาใกล้จะ ๖ โมงเย็นเข้าไปแล้ว

    หลังจากที่พวกเราตัดสินใจไปพักที่วัดและขณะเดินทางนั้น รถของทางท่านเจ้าอาวาสที่นำหน้าอยู่นั้นปรากฏว่าไฟหน้าของรถหรี่ลงเรื่อยๆจนกระทั่งดับไป รถของพวกเราจึงต้องนำหน้าและเบิกทางไปในความมืด ซึ่งระหว่างทางนั้นมีแต่ป่ายางทั้งสองข้างทาง บางช่วงไฟกิ่งก็ไม่มีนับได้ว่าอันตรายอยู่เหมือนกัน ดิฉันและคณะจึงคิดกันว่าช่างเป็นเหตุบังเอิญที่ได้ช่วยเหลือกันและกัน

    และเช้าของอีกวันรุ่งขึ้นที่เราจะพากันเดินทางต่อหลังจากพักกันที่วัดศรีบุญเรืองแห่งนี้ เช้ามาดิฉันและคณะก็ได้ยินแม่ชีพูดให้ฟังว่ามีเสียงบอกให้สวดมนต์ เสียงนั้นบอกว่า
    "อยากได้ยินเสียงแม่ชีสวดมนต์บ้าง"
    เป็นเหตุให้แม่ชีต้องลุกขึ้นมาสวดในเวลาตี ๓ ส่วนดิฉันนั้นนอนห้องเดียวกันกับแม่ชีสองคน ส่วนคนอื่นๆก็นอนห้องถัดไป ดิฉันหลังจากสวดมนต์แผ่เมตตาเสร็จก็หลับไปเพราะเหนื่อยมาก แต่หลับไม่ฝันไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยจนถึงเช้า นอนหลับสบายมาก
    พอได้ยินแม่ชีพูดดิฉันก็เฉยๆ แต่พอพวกเราไปกราบไหว้พระประธานในโบสถ์ก่อนเดินทาง ดิฉันก็ไม่รู้สึกสงสัยในคำของแม่ชีอีกต่อไป เมื่อได้เห็นพระประธานในโบสถ์และสมเด็จฯองค์ปฐมในโบสถ์ ได้แต่คิดในใจว่า .. .. มิน่าล่ะ แม่ชี ... จากนั้นพวกเราก็รวบรวมปัจจัยถวายเป็นค่าสร้างกำแพงแก้วและโบสถ์(วิหารทาน) เป็นจำนวนเงิน ๒,๕๐๐ บาท และค่าน้ำค่าไฟ (ชำระหนึ้สงฆ์) เป็นจำวนเงิน ๕๐๐ บาท


    ดิฉันและแม่ชีได้รับปากที่จะติดต่อกับทีมงานสร้างพระแจกแก่วัดที่ต้องการ( ฟรี ) รูปลักษณ์หลวงปู่ดู่ หรือพระจักพรรดิ์ แต่ทางวัดก็ต้องมีการสวดบทจักพรรดิ์ด้วย ซึ่งดิฉันได้ติดต่อขอไปทางทีมงานเรียบร้อยแล้วและได้ลำดับที่ ๔๐ กว่าๆ ดิฉันได้ชี้แจงให้ท่านเจ้าอาวาสเรียบร้อยแล้วและเป็นข่าวที่น่ายินดีมากเมื่อท่านเจ้าอาวาสได้เริ่มสวดบทจักพรรดิ์เนื่องในวาระขึ้นปีใหม่นี้ และดิฉันยังได้รับปากจะช่วยประชาสัมพันธ์งานบุญนี้ด้วย และนอกจากนี้แล้วตอนแรกพวกเราจะไปกันแค่พระธาตุพนม แต่ก็ได้ไปกราบอีกสองพระธาตุ คือพระธาตุท่าอุเทน และพระธาตุเรณู โดยการแนะนำของท่านเจ้าอาวาส


    [​IMG]



    [​IMG]




    [​IMG]



    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%81%E0%B8%B2-%E0%B8%88-%E0%B8%9A%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AC.559850/
     
  5. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    เช้าวันที่ 16/12/2558

    - ออกจากวัดศรีบุญเรืองมาพวกเราก็ได้ใส่บาตรพระ 3 รูป แล้วเดินทางกันไปที่วัดพระธาตุท่าอุเทน
    - หยอดตู้บำรุงพระธาตุ
    - ทำบุญกระเบื้องสร้างศาลาอเนกประสงค์
    - สวดมนต์ถวาย
    ที่นี่ ดิฉันได้เห็นแม่น้ำโขงเป็นครั้งแรก

    พระธาตุท่าอุเทน ตั้งอยู่ภายในวัดท่าอุเทนอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ใกล้กับที่ว่าการอำเภอท่าอุเทน องค์พระธาตุก่ออิฐถือปูนเป็นผังรูปสี่เหลี่ยมคล้ายพระธาตุพนม สร้างเป็น 3 ชั้น ชั้นแรกเป็นอุโมงค์บรรจุของมีค่าต่าง ๆ ชั้นที่ 2 สร้างครอบอุโมงค์ ชั้นที่ 3 คือเจดีย์องค์ใหญ่ สูงประมาณ 15 เมตร พระอาจารย์ศรีทัตถ์เป็นผู้สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2454 พระธาตุนี้เป็นศิลปกรรมและปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งองค์หนึ่ง บรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ ซึ่งพระอาจารย์ศรีทัตถ์ได้อัญเชิญมาจากเมืองย่างกุ้ง จะมีงานนมัสการพระธาตุในวันขึ้น 13 ค่ำ ถึงแรม 1 ค่ำ เดือน 4 ของทุกปี พระธาตุองค์นี้มีสิ่งที่ตรงกับเทพประจำวันศุกร์ และเชื่อกันว่าผู้ที่เกิดวันนี้เป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รักอิสระ รักสวยรักงาม คือพระธาตุหันไปทางทิศเหนือของพระธาตุพนม ตรงกับทิศประจำของพระศุกร์ ผู้ที่ไปนมัสการพระธาตุแห่งนี้จะได้รับอานิสงส์ให้ชีวิตมีความรุ่งโรจน์ เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ขึ้นยามรุ่งอรุณ

    https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%99




    [​IMG] [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]




    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2016
  6. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    จากนั้นก็มากันต่อที่ พระธาตุเรณู

    - หยอดตู้
    - สวดมนต์ถวาย
    - ถวายภัตตาหาร พระภิกษุ สามเณร
    - ร่วมบุญสร้างกำแพงวัด
    ประทับใจค่ะ สวยมาก พระธาตุนี้สีชมพูค่ะ


    พระธาตุเรณูนครประดิษฐานอยู่วัดพระธาตุเรณู ณ บ้านเรณูนคร องค์พระธาตุจำลองมาจากองค์พระธาตุพนมองค์เดิม แต่มีขนาดเล็กกว่า สร้างเมื่อปี พ. ศ. 2461 โดยพระอุปัชฌาย์อินภูมิโย สูง 35 เมตร กว้าง 8.37 เมตร มีซุ้มประตู 4 ด้าน
    ประวัติ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2460 เป็นพระธาตุคู่เมืองของชาวเรณูนคร โดยจำลองรูปทรงมาจากพระธาตุพนมองค์เดิม คือองค์ก่อนที่จะล้มในปี พ.ศ.2518 แต่มีขนาดเล็กกว่า สูง 35 เมตร กว้างด้านละ 8.37 เมตร ภายในเจดีย์บรรจุคัมภีร์พระธรรม พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงิน เพชรนิลจินดา หน่องา และของมีค่าที่เจ้าเมืองเรณูนคร กับประชาชนนำมาบริจาค และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันต์ธาตุ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2519 มีงานเทศกาลนมัสการพระธาตุเรณูนคร เป็นประจำทุกปี ในวันขึ้น 11 - 15 ค่ำ เดือน 4 รวม 5 วัน 5 คืน
    สิ่งของบูชาพระธาตุ ข้าวตอก น้ำอบ ข้าวเหนียวปิ้ง ดอกไม้สีเหลือง ธูป 15 ดอก เทียนขาว 2 เล่ม มีจำหน่ายที่ศาลาใกล้องค์พระธาตุ และที่ศาลาแห่งนี้ยังมีห้องจำหน่ายวัตถุมงคลอีกด้วย เชื่อกันว่าผู้ที่ได้ไปนมัสการ จะได้อานิสงค์ส่งผลให้มีวรรณะงดงามผุดผ่องดังแสงจันทร์
    ภายในโบสถ์ยังประดิษฐานพระองค์แสน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองคาศิลปะแบบลาว ปางสมาธิ พระคู่บ้านของอำเภอ พระองค์แสนพระพุทธรูปที่ประชาชนเคารพนับถือ ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถวัดธาตุเรณูพระพุทธรูปหล่อด้วยทองเหลือง เนื้อทองตันทั้งองค์ หน้าตักกว้างและสูง 50 เซนติเมตร เป็นพระคู่บ้าน คู่เมือง สร้างก่อนที่จะสร้างพระธาตุเรณูในปี พ.ศ.2460 แผ่นทองที่นำมาหลอมเป็นองค์พระพุทธรูปได้มาจาก การบอกบุญขอบริจาคจากหมู่บ้านต่าง ๆ ทั่วเรณูนคร เมื่อนำมาหล่อรวมนั้น ในครั้งแรก หล่อไม่สำเร็จ ไม่ติดเบ้าพิมพ์ ต้องย้ายที่ไปหล่อใหม่จึงสำเร็จ แล้วอัญเชิญมาไว้ ณ อุโบสถหลังเก่าของวัดกลาง หรือวัดธาตุเรณู ในเวลาต่อมา เมื่อสร้างอุโบสถหลังใหม่แล้ว ก็อัญเชิญประดิษฐานอยู่ในอุโบสถหลังใหม่ของวัดเรณู อายุพระองค์แสนจึงมีอายุนานกว่า 100 ปีแล้ว
    เหตุที่เรียกว่า พระองค์แสน เพราะว่ามีน้ำหนัก 10 หมื่น มาตราชั่งของชาวบ้านกำหนดว่า 12 กิโลกรัม เป็นหนึ่งหมื่น 10 หมื่น จึงเท่ากับหนึ่งแสน เท่ากับ 120 กิโลกรัม เท่ากับน้ำหนักขององค์พระทอง
    บริเวณบ้านเรณูนครแห่งนี้แต่เดิมเป็นเรณูนคร ถิ่นที่อยู่ของชาวผู้ไทย ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นไว้เป็นอย่างดี อาทิ ธรรมเนียม การต้อนรับด้วยการบายศรีสู่ขวัญ การเลี้ยงอาหารแบบพาแลง การชวนดูดอุ การฟ้อนรำผู้ไทย นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายสินค้า พื้นเมืองและของที่ระลึกต่างๆไว้บริการนักท่องเที่ยวและประชาชนจากจังหวัดใกล้เคียงอีกมากมาย โดยเฉพาะบริเวณวัดพระธาตุเรณูนครและตลาดอำเภอเรณูนคร
    สถานที่ท่องเที่ยว : Phra That Renu


    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...