ในหลวงทรงมีพระราชปุจฉากับพระสุปฏิปัณโณ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ญัติสมมุติ, 14 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. ญัติสมมุติ

    ญัติสมมุติ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +59
    บทความน่าอ่าน เชิญทัศนาตามนี้
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วย

    <TABLE height=36 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="80%"><BIG><BIG>--จอมคนของแผ่นดินทรงมีพระราชปุจฉา-- "ปุถุชนคนธรรมดาบางคน ที่มีลักษณะเหมือนพระอรหันต์บางอย่าง นั้นในโลกนี้มีบ้างไหม? </BIG></BIG></TD><TD vAlign=top noWrap align=right width="20%">[​IMG] [​IMG] <!--InformVote=0--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[0], 0);</SCRIPT>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <!--VoteBody--><!--MsgIDBody=0-->คัดจากหนังสือชีวประวัติ พระวิสุทธญาณเถร
    (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย)
    วัดเขาสุกิม ตำบลเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี

    ***หนังสือประวัติฯ เล่มนี้จัดพิมพ์ขึ้นเฉพาะที่จะมอบสมณาคุณแก่ผู้มีจิตศรัทธา บริจาคทำบุญสร้างเจดีย์กับทางวัด หรือทำบุญร่วมตั้งกองทุนเผยแพร่ธรรม จึงจะมอบให้เพื่อเป็นธรรมบรรณาการ***

    พระองค์ฯ ทรงมีพระราชปุจฉา กับ หลวงปู่ฯ ในวันที่เสด็จไปประกอบพิธีเททองหล่อพระประธาน พระอัครสาวกทั้งสอง และพระอานนท์
    ณ. อุโบสถ วัดเขาสุกิม เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๐
    (หน้า ๑๒๔ - ๑๓๐)

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปุจฉาว่า..
    พระคุณเจ้าโยมขอถามปัญหาธรรมบางประการ ?

    หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย วิสัชนาว่า ขอถวายพระพร พระมหาบพิตรราชสมภารเจ้า สิ่งใดที่ไม่เหลือสติ ปัญญาของอาตมาภาพแล้ว ขอพระองค์ทรงพระราชปุจฉาได้ ขอถวายพระพร

    ในหลวง: ผู้คนเขามาวัดทำไมกัน ?

    หลวงปู่ฯ : ผู้มาวัด มาด้วยเหตุต่างๆกัน บางคนเป็นคนดีอยู่แล้ว มาวัดด้วยการ

    มุ่งทำความดีให้มากขึ้นด้วยการมาถือศีลภาวนา บางคนมาด้วยความอยากรู้

    อยากเห็นว่าทางวัดเขาทำอะไรกันบ้าง บางคนก็มาด้วยความตั้งใจจริงๆ ที่จะ

    มาช่วยงานวัด เพราะเห็นว่าอยู่บ้านไม่มีธุระที่จะทำ บางคนก็มาด้วยเหตุที่เห็น

    ว่าอยู่บ้านมีแต่ปัญหา ล้วนแต่น่าเบื่อหน่าย สู้มาวัดหาความสงบดีกว่า อย่างนี้

    ก็มี เรียกว่ามาวัดทำให้สบายใจ ขอถวายพระพร

    ในหลวง: ที่พระคุณเจ้าว่าชาวบ้านเขาเบื่อหน่ายนั้น เขาเบื่ออะไรกัน ?...

    หลวงปู่ฯ: การเบื่อหน่ายของชาวบ้านมีด้วยกันสองอย่าง บางคนเบื่อหน่ายต่อ

    การงานที่ต้องทำอย่างจำเจ ก็หาเวลามาวัดเพื่อพักผ่อนเป็นการเบื่ออย่างไม่

    จริงจัง บางคนมีความเบื่อจริงๆ โดยเห็นว่าการเป็นอยู่ทางโลกนั้น ถึงจะมั่งมี

    สามารถหาความสุขได้ทุกอย่างก็จริง ล้วนแต่เป็นความสุขชั่วคราว ไม่เป็น

    ความสุขที่แท้จริงเหมือนอย่างความสุขทางธรรม บางคนเห็นไปว่าเกิดมาแล้ว

    ก็หนีความตายไม่พ้น ก่อนจะตายก็ควรจะได้ทำอะไรๆ ให้เป็นเหตุให้ตายดี มี

    ความสุข.ฃอย่างนี้ก็มี. ขอถวายพระพร


    ในหลวง: การที่พระคุณเจ้าสอนคนให้นึกถึงความตายนั้นถ้าหากสอนไม่

    ดีแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้คนเกิดความเกียจคร้านในการแสวงหาเลี้ยงชีพ ทำให้

    เป็นคนจนเป็นภาระของสังคมก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น ต้องระวังในการสอน

    อย่าให้เกิดผลร้าย ?...


    หลวงปู่ฯ: โดยปกติ พระจะสอนให้เห็นโทษของความมัวเมา ซึ่งเป็นต้นเหตุให้

    เกิดความเห็นผิดเป็นชอบ มักจะสอนให้คิด ให้รู้เห็น ในทางถูกก่อนเช่น


    ก.อย่ามัวเมาในวัย ว่ายังเป็นหนุ่ม เป็นสาวอยู่


    ข.อย่ามัวเมาในความไม่มีโรคมาเบียดเบียน


    ค.อย่ามัวเมาในชีวิตว่าเวลาของเรายังมีอยู่ ด้วยเหตุดังถวายพระพรมาแล้ว

    ทางพระจึงสอนให้ทุกคนนึกถึงความตายได้ ถ้าไม่สอนให้เขาเข้าใจในทาง

    ถูกก่อนแล้ว กลับจะเป็นผลร้ายดังพระราชปุจฉาโดยแท้ การเจริญมรณสติ

    นั้น ชั้นต้นเพื่อให้รู้ว่าทุกคนหนีความตายไม่พ้น ไม่ว่าจะเป็นคนมี คนจน มี

    ความตายเหมือนกัน เท่ากันทั้งนั้น สำหรับผู้ทำการภาวนา การเจริญกรรมฐาน

    เพื่อให้นิวรณ์สงบ ก็จำเป็นต้องพิจารณากำหนดเป็นอย่างๆไป ความตาย คือ

    นายเพชฌฆาต ความตาย คือ ต้องพลัดพรากจากสมบัติทุกอย่าง เขาตาย-

    เราก็ต้องตายเหมือนเขา ชีวิตเป็นของที่กำหนดเอาเองไม่ได้หรือจะกำหนด

    เอาว่าอายุเท่านั้นเท่านี้จะตาย ก็กำหนดไม่ได้ ทั้งนี้ เมื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า

    ชีวิตเป็นของน้อย จะตายเมื่อไร ไม่มีใครู้ได้ ขอถวายพระพร.

    ในหลวง : โยมขอถามพระคุณเจ้าอีกสักข้อว่า.
    "ปุถุชนคนธรรมดาบางคน ที่มีลักษณะเหมือนพระอรหันต์บางอย่าง นั้น

    ในโลกนี้จะมีบ้างไหม?.. โยมอยากเทียบเพื่อวิเคราะห์ถึงคุณสมบัติของ

    พระอรหันต์ที่แท้จริง?

    หลวงปู่ฯ: ตามที่มหาบพิตรอยากทราบว่าปุถุชนคนธรรมดาที่ลักษณะ

    คล้ายพระอรหันต์บางอย่าง ในโลกนี้มีแน่นอน แต่ในด้านคุณธรรมนั้นจะ

    ไม่เหมือนกัน ปุถุชนคนธรรมดายังละสังโยชน์ไม่ได้ สังโยชน์คือเครื่อง

    ผูกมัดใจสัตว์พระอริยบุคคลชั้นต้น คือ พระโสดาบันบุคคล ชั้นกลางคือ

    พระสกทาคามีบุคคล และพระอนาคามีบุคคล ชั้นสูงคือ พระอรหันต

    บุคคล พระอริยบุคคลระดับพระโสดาบันบุคคลอย่างน้อยก็ต้องละ

    สังโยชน์ ๓ ได้คือ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส นั่นเอง ขอ

    ถวายพระพร..

    ในหลวง : ในด้านคุณธรรมนั้นทราบแล้วย่อมแตกต่างไม่เหมือนกันแน่

    ขอทราบลักษณะอาการบางอย่างที่ว่าเหมือนกันนั้นจะมีบ้างไหม?

    หลวงปู่ฯ : พอมีอยู่บ้าง ขอถวายพระพร..

    ในหลวง : ที่พระคุณเจ้าว่าพอมีนั้นปุถุชนคนนั้นคือใคร ลักษณะที่เหมือน

    นั้นเหมือนอย่างไร ?

    หลวงปู่ฯ : ปุูถุชนคนนั้นคือ นักโทษที่รอการประหารชีวิต ลักษณะที่เหมือนนั้นคือ จะนึกถึงความตายตลอดเวลา ขอถวายพระพร

    ในหลวง : มีตัวอย่างบ้างไหม
    หลวงปู่ฯ : ขอถวายพระพร อาตมาภาพขอยกตัวอย่างเช่น นาย ก. ถูกพิพากษาความว่า อีก ๗ วันข้างหน้านี้ นาย ก.จะถูกประหารชีวิต ขณะนั้นนาย ก. ย่อมมีความรู้สึกบางอย่างเหมือนพระอริยบุคคล คือ รู้สึกตัวเองจะต้องตายแน่ ภายใน ๗

    วัน ขอถวายพระพร..

    ในหลวง : เหมือนอย่างไร ขอพระคุณเจ้าอธิบายด้วย

    หลวงปู่ฯ : ของถวายพระพร คืออย่างนี้ นายก. เมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องตายภายในอีก

    ๗ วันข้างหน้า นาย ก. จะมีความตายขึ้นสมอง คือ จะนึกถึงความตายอยู่ตลอด

    เวลา จะทำอะไรก็สักแต่ว่าทำไปอย่างนั้น เดี๋ยวก็จะต้องตายแล้วอย่างนี้ เป็นต้น

    ใครจะเอาวัตถุสิ่งของ เงินทองหรือของมีค่าใดๆมาให้ก็แล้วแต่ นาย ก.จะมีความ

    รู้สึกว่าเราจะต้องตายจากในอีก ๗ วัน คำว่า "ตาย" จะมาตัดบทภายในดวงจิตของ

    นาย ก.ทันที กิเลสตัวนี้จะไม่มี ความยินดีในข้าวของเงินทองสิ่งต่างๆที่ คนนำมาให้

    นั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร อีก ๗ วันก็จะตายอยู่แล้ว พระอริย

    เจ้าท่านก็นึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา ใครจะเอาปัจจัยสี่อย่างดีแค่ไหนมาถวาย

    ท่านก็สักแต่ว่าเป็นของน้้นของนี้ ไม่ใยดี ปล่อยวาง เดี๋ยวก็จะต้องตายจากวัตถุ

    เหล่านี้ไปแล้ว ขอถวายพระพร

    อีกตัวอย่างหนึ่ง อาตมาภาพในเวลานี้เช่นกัน อาตมาภาพเคยสลบไปถึงสิบห้า

    ชั่วโมง พอฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็ยังนึกถึงอยู่เสมอว่าเทพเจ้าชาวโลกทิพย์ที่เขาอนุญาต

    ให้อาตมาภาพกลับมายังโลกมนุษย์ได้เพียงชั่วคราวนั้น เมื่อไร เวลาไหนเขาจะมา

    เอาอาตมาภาพกลับไปอีกเขาไม่ได้บอกอาตมาภาพเลยว่า อีก ๗ วัน หรือ ๗ เดือน

    หรือ ๗ ปี ท่านจะต้องตาย ไม่บอกเลย นักโทษเสียยังดีกว่าเพราะรู้แน่ๆ ว่าจะต้อง

    ตายภายในวันนั้น วันนี้ เขารู้ว่าชีวิตของเขาเหลือน้อยแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้แค่ ๗ วัน

    เท่านั้น จะทำอะไรให้รีบทำเสีย! ส่วนของอาตมาภาพนี้ไม่มีกำหนดอะไรเลย แต่

    อาตมาภาพก็ไม่ประมาท พยายามนึกถึงความตายอยู่เสมอ รีบทำความดีตลอด

    เวลา กลัวว่าตายจะมาถึงเดี๋ยวนี้ นับตั้งแต่อาตมาภาพฟื้นขึ้นมาแล้ว ใครจะเอาอะไร

    มาถวาย ไม่ว่าจะประณีตสักแค่ไหน ไม่ว่าปัจจัยสี่ชนิดใดก็แล้วแต่อาตมาภาพรับ

    แล้วก็ทำให้นึกถึงว่า "เราจะต้องตายจากปัจจัยสี่เหล่านี้" นักโทษที่ถูกตัดสิน

    ประหารชีวิตก็เช่นกัน มหาบพิตร ลองให้ใครไปถามดูก็ได้ว่า "คุณกินอาหารมื้อนี้

    อร่อยไหม? เขาจะตอบทันทีว่า" ...อร่อย แต่ไม่ใยดีเลย เพราะพรุ่งนี้ก็จะต้องตาย

    แล้ว ! ..พระอริยบุคคลก็เช่นกัน จะนำของบริโภคชั้นดีขนาดไหนมาให้ ท่านก็สัก

    แต่ว่า เดี๋ยวก็จะตองตายจาก.คำว่า..ตาย..ตาย..จะมีอยู่ทุกลมหายใจเข้า- ออกของ

    พระอริยบุคคล.ง ท่านจะไม่มีความใยดีต่อสมบัติของชาวโลกที่สมมุติกันว่า สิ่งนั้น

    ดี สิ่งนี้ดี ทั้งสิ้น ! ท่านมีแต่ สักว่าสิ่งนั้น สักว่าสิ่งนี้ แล้วก็จะต้องตายจาก...

    ยังมีชาดกอยู่เรื่องหนึ่ง ขอเล่าถวายมหาบพิตร เพื่อเปรียบเทียบว่าลักษณะของปุถุชนกับ พระอริยบุคคลที่มีอะไรเหมือนกัน..

    สมัยพุทธกาลนั้น ยังมีพระราชาเมืองหนึ่ง องค์พี่เป็นพระราชา องค์น้องเป็นมหาอุปราช วันหนึ่งพระราชาเสด็จประพาสนอกเมือง มหาอุปราชผู้น้องอยู่ในพระนคร นึกขึ้นมาว่าเสด็จพี่ของเราเป็นพระราชามีความสุขอย่างไรหนอ? กว่าเราจะได้เป็นพระราชาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร? ..อยากลองสวมชุดของพระราชาดูสักหน่อยว่าจะมีความสุขขนาดไหน? ว่าแล้วก็แอบเข้าไปในห้องทรงของเสด็จพี่ ถือวิสาสะเอาชุดกษัตริย์ของเสด็จพี่มาลองสวมดู เอาพระขันธ์มากำไว้ในมือ แต่งองค์เสร็จแล้วก็ลองออกมาประทับบนพระแท่นที่ว่าราชการของกษัตริย์ เหล่าเสนาอำมาตย์มาพบเข้าก็พากันจับกุมส่งพระราชา ตั้งข้อหาอุปราชก่อการกบฎแอบเอาเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์มาใส่ พระราชาเสด็จกลับจากประพาสนอกเมืองจึงสอบถามอุปราชผู้น้อง..อุปราชผู้น้องรับสารภาพว่า มิได้คิดคดกบฎต่อเสด็จพี่แต่อย่างไร เพียงแค่อยากลองทรงเครื่องของกษัตริย์ดูแค่นั้นว่า มีความสุขอย่างไร? ...แต่กฏมณเฑียรบาล ถือว่ามีความผิดต้องโทษถึงประหารชีวิตทันที..แต่ด้วยมีความสงสารน้องชายจึงยืดเวลาให้น้องอยู่ต่อไปอีก ๗ วัน ก่อนการประหารชีวิต ก็ต้องการให้น้องได้มีความสุขจึงสละราชสมบัติให้น้องได้สำเร็จราชการแทน ๗ วัน น้องจะทำอะไร ต้องการอะไร อย่างพระราชาให้ทำได้ทั้งหมดเพื่อความสุขของน้องก่อนตาย วันเวลาผ่านไป แต่ละวันพระราชาตัวจริงก็ถามน้องชายอยู่ทุกวันว่า น้องเป็นอย่างไรบ้าง ที่เป็นพระราชาอยู่นี้มีความสุขบ้างไหม เสวยอย่างพระราชา บรรทมอย่างพระราชา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นพระราชาทุกอย่างมีความสุขบ้างไหม?..น้องชายตอบทันทีว่า "หาความสุขมิได้เลย เพราะวันหนึ่งๆ ก็นึกเพียงว่าเหลือเวลาอีก ๓ วันก็จะตาย เหลือเวลาอีก ๒ วัน เหลือเวลาเพียงพรุ่งนี้ก็ต้องตาย นึกแต่เพียงว่าความตายใกล้เข้ามาทุกขณะ ใกล้เข้ามาทุกวัน จนเหลือเพียงพระอาทิตย์ขึ้น พรุ่งนี้ก็จะต้องตายแล้ว..เครื่องทรงและสิ่งทั้งหลายที่เสด็จพี่ประทานมาให้นั้นก็เพียงสักแต่ทรง เท่านั้นไม่ได้คิดเลยว่านี่คือเครื่องทรงของพระราชา.. สักแต่ว่าปกปิดอวัยวะไม่ให้ละอายเท่านั้น.. พระกระยาหารรสเลิศของเมืองนี้ที่เสด็จพี่ประทานให้เสวยแต่ละวัน ก็เพียงแค่กินรอวันตายเท่านั้น ไม่ได้ยินดีว่าอันนี้รสเลิศอร่อย ไม่มีโปรดอะไรเลย เพราะพรุ่งนี้ก็จะต้องตายอยู่แล้ว.งจะนึกอยู่อย่างเดียว ตาย..ตาย..ตาย ตลอดเวลา

    มหาบพิตร พระอริยบุคคลก็เช่นกันย่อมมีลักษณะที่เหมือนกับปุถุชนก็คืออย่างนี้

    คือจะมีมรณาสุสสติขึ้นสมองทุกขณะจิต สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเคยตรัสถาม

    พระอานนท์ ว่า "อานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่หน" พระอานนท์กราบทูลว่า "

    ๑๐๐ หน พระเจ้าข้า" พระพุทธองค์ทรงเตือนว่า "เธอทำไมประมาทนักเล่า !

    อานนท์" "เราตถาคต ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก" มหาบพิตร

    ลักษณะปุถุชน คนสามัญธรรมดา ส่วนที่เหมือนพระอริยบุคคลนั้นก็คือ นักโทษที่รู้

    ว่าจะต้องถูกประหารชีวิตในวันนั้นๆ คนๆ นั้นเมื่อรู้ว่าจะต้องตายในวันนั้นๆ จะต้อง

    พลัดพรากจากพ่อ แม่ ลูก เมีย อันเป็นที่รักของตน ย่อมไม่มีความยินดีในเครื่องนุ่ง

    ห่มดีๆ อาหารดีๆ แม้แต่แก้วแหวนเงินทอง ใครจะเอาอะไรมาสวมใส่ให้แม้แต่

    เครื่องทรงของพระราชาก็ตาม เขาจะไม่มีความยินดีในสิ่งนั้นๆ เลย เพราะรู้ตัวอยู่

    แล้วว่า จะต้องตาย.ความตายจะขึ้นสมอง หรือมีมรณสติทุกลมหายใจเข้า - ออก

    นั่นเอง..

    ปุูุุถุชนกับพระอริยบุคคลย่อมไม่เหมือนกันเพราะพระอริยบุคคลท่านมีมหาสติอยู่

    ตลอดเวลา มีอาการสำรวมอินทรีย์อยู่ตลอดเลา ส่วนปุถุชนคนธรรมดาเป็นผู้ขาด

    สติ ขาดการสำรวมอินทรีย์ จึงทำให้ลักษณะของปุถุชนกับพระอริยบุคคลแตกต่าง

    ไม่เหมือนกัน แต่บางอย่างที่คล้ายกันนั้นก็คือพระอริยบุคคลท่านจะมีมรณสติอยู่

    ทุกลมหายใจเข้า-ออก.ปุถุชนทั่วไปที่จะนึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลานั้นน้อยนัก

    ตลอดทั้งปีบางคนถามได้เลยว่า เคยนึกถึงความตายบ้างไหม ไม่มีใครนึกถึงเลยจึง

    ถือว่าประมาท แต่ยังมีปุถุชนอีกประเภทหนึ่ง "..ได้แก่นักโทษประหารชีวิตที่รู้ว่า

    ตนเองจะต้องตายในวันนั้นๆ นั่นเองถึงแม้ว่าจะนึกถึงความตายไม่ได้ทุกลมหายใจ

    เข้า-ออก แต่ก็บ่อยครั้งมากกว่าคนธรรมดา นักโทษนั้นเขาจะนึกถึงความตายอยู่

    บ่อยๆ ว่า..ตาย..ๆ..ๆ..เราจะต้องตาย เราจะต้องพลัดพรากจากบุตรภรรยา ทรัพย์

    สมบัติพัสถาน เราจะต้องตายในอีกเท่านั้นวัน เท่านี้วัน คำว่าตายจะมีอยู่เกือบทุก

    ลมหายใจทีเดียว"..นี่แหละที่บพิตรอยากทราบว่าปุถุชนมีส่วนที่เหมือนกับพระ

    อริยบุคคลนั้นมีส่วนไหนบ้าง อาตมาภาพเห็นว่าระดับจิตของบุคคลทั้งสองย่อมแตก

    ต่างในด้านคุณธรรม สูงต่ำต่างกันในด้านคุณธรรม จึงเหมือนกันไม่ได้เลย แต่

    ลักษณะบางอย่างที่เหมือนกันนั้นก็คือการคิดถึงหรือนึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา

    ปุถุชนคนธรรมดาที่จะนึกถึงความตายได้ขนาดนั้นก็เห็นมีแต่นักโทษที่ถูกตัดสิน

    ประหารชีวิตเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองจะต้องตายภายในวันนัั้นๆ ก็จะคิดถึงหรือนึกถึงความ

    ตายของตัวเองอยู่เสมอๆ ลักษณะตรงนี้จึงเรียกว่า คล้ายกันกับพระอริยบุคคล

    เพราะว่าพระอริยบุคคลท่านจะมีมรณสติอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก" ขอถวาย

    พระพร
    -----------------------------------------------------------------------------------

    ขอนอบน้อม องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า

    ญัติสมมุติ <!--MsgEdited=0-->

    [SIZE=-1]แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 53 17:23:33[/SIZE] <!--MsgFile=0--><TABLE cellSpacing=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom width="10%">จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=0-->ญัติสมมุติ [​IMG] </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width="10%">เขียนเมื่อ</TD><TD vAlign=bottom>: <!--MsgTime=0-->13 ก.พ. 53 13:45:58 <!--MsgIP=0-->[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>


    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8877649/Y8877649.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กุมภาพันธ์ 2010
  2. fullmoonsun

    fullmoonsun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +2,321

แชร์หน้านี้

Loading...