ในเมื่อไม่เคยเห็นพุทธเจ้า เรื่องเล่า 2500 กว่าปี ฟังเขาเล่ามาก็เชื่อเรียกว่างมงายไหม

คำถามนี้จะตอบว่ายังไงครับ

 

ต้องได้ทุกคน ถ้ายังไม่ได้ฌานก็ยังประหารกิเลสไม่ได้ แต่ต้องมีปัญญาร่วมด้วยจึงจะเป็นพระอริยะเจ้าได้

ฌาน เปรียบเสมือนคนที่มีกำลังใหญ่ สามารถกดกิเลสให้จมดินไว้ได้ชั่วคราว
ปัญญา เปรียบเสมือนอาวุธชั้นเลิศ สำหรับเอาไว้ฆ่ากิเลส

มีแต่ฌาน กดกิเลสได้ชั่วคราว แต่ยังฆ่าไม่ได้
มีแต่ปัญญา เหมือนคนที่ไม่มีแรง มีแต่อาวุธคมกล้า แต่ไม่มีแรงจะยกอาวุธขึ้นมาฆ่าข้าศึก ก็ไม่สามารถจะเอาชนะได้

ต้องมีทั้ง 2 อย่างจึงจะฆ่ากิเลสได้

 

ตอบแล้วนะ

 

ไม่ได้หายแว้บไปครับ แต่เร็วมากจนเหมือนหายตัวไปเท่านั้น แค่คิดก็ถึงแล้ว
คิดว่าไปดวงอาทิตย์จิตของเราก็ไปที่ดวงอาทิตย์ทันที ตัวจริงของเราไปอยู่นั่นและ

เอาง่ายๆเลย ถ้าสมมุติว่าคุณอยู่ต่างจังหวัดแต่คุณกำลังคิดถึงบ้านอยู่
ถ้าผู้ที่ได้ทิพจักขุญาณกำลังมองดูอยู่ก็จะเห็นว่าตัวคุณจริงๆนั้นตอนนี้อยู่ที่บ้านคุณแล้ว

ถ้าถอดจิตไป แค่คิดว่าจะไปไหนก็ไปได้ในทันที
ไปทั้งดวงจิตของเรานั่นแหละ ส่วนกายหยาบก็นั่งอยู่เฉยๆในบ้านตามปกติ
ถ้ายังไม่ถึงอายุขัยก็กลับมาได้ ไปได้มาได้เหมือนเดินเข้าออกบ้านตัวเองนั่นและครับ

 

แนะนำว่าให้ลองปฏิบัติเองเลยครับ
ได้รู้เองเห็นเองจะเป็นที่หายสงสัยได้มากกว่าถามคนอื่น

สำหรับเรื่องฌานนั้นสามารถทำให้เกิดได้ทุกคนอยู่แล้ว
อยู่ที่ว่าใครสร้างมามากน้อยกว่ากันเท่านั้น เลยทำให้ได้เร็วได้ช้าต่างกัน
แต่เมื่อ เกิดมาเป็นคน ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังพระธรรมคำสอนแล้ว
ก็ลองปฏิบัติตามดู แล้วจะหายสงสัย

ผลของการฝึกสมาธิเบื้องต้นก็คือ ใจสงบมากขึ้น ใจนิ่งและมั่นคงมากขึ้น
แม้ชั่วขณะก็ตาม แต่ก็ได้ชื่อว่าจิตว่างจากกิเลสชั่วคราวแล้ว
แล้วจะเป็นเชื้อให้เราสามารถเข้าสู่ธรรมชั้นสูงขึ้นไปอีกในอนาคตได้

 

มโนมยิทธิ = ถอดกายทิพย์ออกไปได้
อภิญญา 5 = เห็นก็ได้ , ถอดกายทิพย์ไปก็ได้ หรือจะเอากายหยาบไปทั้งตัวเลยก็ได้ เอาทั้งตับไตไส้พุงไปเลย อยากไปไหนไปได้หมด

 

คำกล่าวนี้เป็นความเห็นส่วนตัว หรือมีตำราอ้างอิง

 

จากหลวงพ่อวัดท่าซุง
โดยที่หลวงพ่อวัดท่าซุงได้รับการสอนนี้จากพระพุทธเจ้าโดยตรง
และท่านก็ปฏิบัติจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์จบกิจไปแล้ว
แม้ว่าสังขารของท่านจะไม่ได้เผา (พระพุทธเจ้าท่านบอกไม่ให้เผา เพราะถ้าเผาคนจะมาแย้งกันเอาอัฐิธาตุของท่าน แล้วจะเกิดความวุ่นวายขึ้นมาก)
แต่ด้วยอำนาจของพุทธคุณบันดาลให้สิ่งของต่างๆที่เกี่ยวกับองค์หลวงพ่อกลายเป็นพระธาตุ

และจากการที่ได้ฝึกมโนมยิทธิตามคำสอนของหลวงพ่อ
ผมก็พบว่าคำสอนของท่านนั้นเป็นของจริง และทำตามได้จริง
ถ้าทำจริง ได้แน่ ไม่เชื่อลองดู

 

ต่างจากเรานั่งคิดถึงสถานที่ที่เราเคยไปมาแล้วตรงไหนครับ

เช่น เราเคยไปเที่ยวภูเก็ตมาแล้ว อยู่บ้านว่างๆไม่ได้ทำอะไร ก็นั่งคิดนึกถึงสถานที่ที่เราเคยเดินเที่ยวชมมา เช่น เดินไปที่ปลายแหลมพรหมเทพ เป็นต้น คิดแว้บเห็นเป็นภาพเลย ทั้งๆที่กายหยาบ (ตัวเอง) นอน,นั่ง อยู่บ้านนี่แหละ

 

คุณอภิญญาทำได้แล้วใช่ไหม เล่าให้ฟังบ้างสิ ไปไหนมาบ้าง

 

พระพุทธเจ้าอยู่ไหนครับ ก็พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้สองพันกว่าปีแล้วมิใช่รึ

 

ก็นั้นแหละ ไม่ใช่ว่าต่างกันหรอก อันเดียวกันเลยแหละ
พอคิดถึงที่ใดปุ๊บ จิตเราก็ไปอยู่ในสถานที่ตามที่เราคิดแล้วปั๊บ
เพียงแต่ถ้าขาดสมาธิมันก็ไม่เห็นเท่านั้น จะไปจับต้องอะไรก็ไม่ได้
เพราะกำลังไม่พอ

ถ้าสมาธิอ่อน ก็แค่รู้สึก
สมาธิเข้มแข็งขึ้นมาอีกหน่อยสามารถบอกได้ว่าตรงไหนเป็นยังไง
เข้มแข็งขึ้นมาอีก ก็เห็นเป็นภาพเลย แต่จะเห็นเป็นมัวๆ
ถ้าฌาน 4 ก็เห็นเหมือนตาเห็นเลย หลับตาลืมตาเห็นเท่ากัน แถมถ้าได้อภิญญาก็สามารถที่จะทำอะไรก็ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะจับต้องสิ่งของ หรืออะไรก็แล้วแต่ทำได้หมด

 

ผมไม่มีอภิญญาหรอกครับ
แต่ตอนที่ฝึกนะบังเอิญวาระมาถึงมันก็เลยเห็น

 

อยู่นิพพานก็มาที่เมืองมนุษย์ได้
ท่านมาสอนหลวงพ่อที่เมืองมนุษย์เป็นเวลา 1 เดือนเต็มจนหลวงพ่อบรรลุมรรคผล และหลวงพ่อเองตอนยังทรงธาตุขันอยู่ท่านก็ไปเมืองนิพพานทุกวันเป็นปกติ

ใครก็ตามที่ได้มโนมยิทธิแล้วและทำจิตให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันได้
หรือเทียบเท่าก็สามารถเข้าเขตพระนิพพานได้แล้ว และเวลาหลวงพ่อท่านไปพระนิพพานท่านก็เข้าเฝ้าเพื่อกราบนมัสการพระพุทธเจ้าแทบทุกครั้ง

ส่วนเรื่องที่ไปนิพพานแล้วนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับการไปยังที่ต่างๆ ยิ่งสะดวกกว่าเดิมด้วยซ้ำไป

เปรียบเสมือน คนที่ออกจากคุกไปแล้ว ก็สามารถมาเยี่ยมคนในคุกได้ทุกเมื่อนั่นแหละ นิพพานไม่สูญหายไปไหน

ความหมายที่แท้จริงของนิพพานก็คือ นิพพานเป็นธรรมว่างจากกิเลสอย่างยิ่ง มีอิสระมากที่สุดในจักรวาล เรื่องไปไหนมาไหนนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ ไปไหนก็ได้ตามความประสงค์

 

ผมว่าเราต้องยอมรับความเชื่อพื้นฐานที่สุด เพื่อจะพิสูจน์ในเรื่องอื่น ๆ รวมทั้งการพิสูจน์ความเชื่อพื้นฐานนั้นเองด้วย (ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่สุด)

ถ้าเราเชื่อในพระไตรปิฎกว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มีปัญญากำกับศรัทธาทุกครั้ง เราก็ต้องสร้างปัญญาด้วยการปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ศรัทธานั้น

ถ้าจำไม่ผิด พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระสารีบุตรในเรื่องการไม่เชื่อนี้ด้วย พระองค์เทศน์จบถามพระสารีบุตรว่าเชื่อไหม พระสารีบุตรตอบว่าไม่เชื่อพระเจ้าข้า เราน่าจะถือพระธรรมเสนาบดีเป็นตัวอย่างอันดีนี้ด้วย

 

เห็นอะไรครับ

 

ข้อความตอนต้นกับตอนท้ายมันขัดๆมั้ย นิพพานว่างจากกิเลส คือปราศจากกิเลสนั่นแหละนิพพาน อันนี้พอฟัง (นิพพานปราศจากตัณหาเครื่องร้อยรัด) แล้วทำไมข้างต้นจึงว่า อยู่นิพพานมาเมืองมนุษย์ได้ แสดงว่านิพพานเป็นสถานที่ที่ใดที่หนึ่ง หรือเป็นเมือง เมื่องใดเมืองหนึ่งน่าซี่ แล้วพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (สมณโคดม) อยู่ที่เืมืองนิพพานนั้น

 

มีตัวอย่างหนึ่งในดู

"วันนี้ ได้เดินจงกรมเห็นเทพนิมิตเป็นพระพุทธเจ้า และสักพักเป็นในหลวง เป็นเพราะอะไรค่ะ"

เป็นไงครับ

 

ใช่ครับ ว่างจากกิเลส แต่ไม่ได้สูญหาย และเมืองพระนิพพานก็มีอยู่จริง พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า และ พระพุทธเจ้า ท่านมีวิมารอยู่บนพระนิพพาน ท่านอยู่ที่นั่นจริงครับ

พระนิพพานอยู่เลยจากพรหมชั้นที่ 16 ขึ้นไป ที่นิพพานนี้ทุกอย่างเป็นเพชรหมด ทั้งวิหาร ของทุกอย่าง และร่างกายหรือจะเรียกให้ถูกก็คือ อาทิสมานกาย ก็เป็นเพชร

(พรหมชั้นที่ 17-20 หรืออรูปพรหมนั้นอยู่ชั้นเดียวกันกับพรหมชั้น 16 แต่อยู่คนละพื้นที่)

ข้อความดังกล่าวไม่ได้ขัดกันแต่อย่างใด

 

ก็นิมิต นิมิตจะเป็นอะไรก็ได้
จะเป็น นิมิตจริง นิมิตหลอก นิมิตอดีต นิมิตอนาคต เป็นได้หมด

และในหลวงท่านปราถนาพุทธภูมิ เหลือแค่สร้างบารมีอีก 5 ชาติก็จะเต็มแล้ว
จากนั้นก็จะไปคอยที่สวรรค์ชั้นดุสิตเพื่อรอลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
พระองค์หนึ่ง การจะเห็นแบบนั้นก็ไม่แปลกอะไร

ในหลวงท่านไปพระนิพพานทุกวัน
เพราะพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มข้นแล้วจะมีอารมณ์ใจเทียบเท่าพระโสดาบันขึ้นไป
และญาณของท่านก็ละเอียดมาก จึงสามารถไปพระนิพพานได้
ท่านอาจจะแสดงให้เห็น
หรือเป็นเทพบางองค์มาทำให้ดูก็เป็นได้

ตอนนี้มีพระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้วและรอการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอยู่มากกว่า 20 องค์ เมื่อวาระมาถึงท่านก็จะลงมาตรัสรู้เพื่อรื้อขนสัตว์ให้พ้นจากวัฏทุกข์