ในเว็บนี้มีใครปรารถนาพุทธภูมิบ้าง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย thanan, 23 ตุลาคม 2004.

  1. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    954
    ค่าพลัง:
    +2,392
    สาธุ เป็นข้อเตือนใจได้ดีทีเดียว.....
     
  2. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    954
    ค่าพลัง:
    +2,392

    ถ้าเป็นพุทธภูมิจริงๆ จะไม่ค่อยรู้สึกว่าเหนื่อย เพราะไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง


    แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อคนอื่น เพื่อส่วนรวม

    มีเบื่อๆอยากๆ แต่สุดท้ายกิเลสฝ่ายดีจะคอยมาเตือนเสมอ

    เอ๊ะ แล้วเรารู้ได้ไง 5555
     
  3. patวิมุตติ

    patวิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +204
    ขออนโมทนากับผู้ปราถนาพุทธภุมิทุกท่านครับ ผมเองก็จะเพียรสะสมบารมีไปเลื่อยๆทุกภพทุกชาติเพื่อพระโพธิญาณ เพื่อพระนิพพาน
     
  4. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335
    เอาแบบว่าบำเพ็ญไปเรื่อยๆไม่รีบ ไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้า ไม่อยากนิพพาน แบบนั้นจะได้มั้ยครับ เป็นแบบพระมหาโพธิสัตว์กษิติครรภ์ แบบนั้นถือว่ายากไปรึเปล่าครับ บำเพ็ญจนทลายวัฏสงสารได้
     
  5. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335
    แต่มีพระที่บำเพ็ญบางท่านบอกว่าให้บำเพ็ญแบบวันต่อวัน คือ บำเพ็ญอยู่กับปัจจุบันทำไปเรื่อยๆ เรียงๆ ทำไปไม่ต้องคิดถึงอดีต และไม่ต้องคิดว่ามันจะนานไปถึงเมื่อไหร่ไม่ต้องคิดเรื่องอนาคต ทำไปแบบนี้เรื่อยๆก็จะไม่รู้สึกเหนื่อย แบบนี้ผมว่าทุกคนน่าจะทำได้นะครับ น่าจะทำให้กำลังใจเพิ่มขึ้นได้บ้าง ขอสนับสนุนให้ทุกคนทำได้นะครับ เพราะผมก็จะหาทางของผมเช่นกัน อนุโมทนาทุกท่านครับ
     
  6. mngo

    mngo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +1,335


    ซึ้งในคุณพระโพธิสัตว์จริงๆครับ ยอมทุกข์ยอมบาปเพื่อมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจะสุขสบาย อนุโมทนาบุญอันยิ่งใหญ่กับหลวงพี่ด้วยครับ สาธุๆๆ
     
  7. Heartsutra

    Heartsutra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +98
    ย้ำ!! อ่านดีๆนะครับ ใจเย็นๆตอนอ่าน

    อ่านดีๆนะครับคุณพี่ พระองค์จะลงมาบำเพ็ญบารมีในภพมนุษย์อีก๑ชาติ คือเมื่ออายุขัยมนุษย์ลดลงเหลือ๑๐ปีแล้วเพิ่มขึ้นเป็นแสนปี พระชาตินี้พระองค์ยังไม่ได้ตรัสรู้ (อ่านดีๆนะครับ)... แล้วชาติที่พระองค์จะลงมาตรัสรู้คือ จากอายุขัยแสนปีเพิ่มเป็นหนึ่งอสงไขยปี แล้วลดลงไปเรื่อยๆเหลือแปดหมื่นปี พระองค์จะลงมาตรัสรู้ (เข้าใจยังครับ) คำนวณดูสิว่านานมากๆขนาดไหน นี่คือ ๑ พุทธันดร

    อ้างอิงจากพระมาัลัยคำหลวง... ไม่รู้กี่ล้านล้านปี คำนวณให้ด้วยครับ แค่เลขศูนย์ต่อท้ายในจำนวนอสงไขย ก็ขี้เกียจคำนวณแล้วครับ...


    ขอให้คุณ AVATAAR คำนวณให้ด้วย...อิอิ ว่ากี่ล้านล้าน...ปี

    ขอบคุณล่วงหน้าครับผม...

     
  8. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603



    ผมคำนวณไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ เท่าที่พอจะมีปัญญาคำนวณได้ตามหลัการที่มีอยู่ในปัจจุบันขอรับ ทั้งตามหลักของคณิตศาสตร์และหลักของอสงไขย

    คำตอบเป็นแบบตัวเลขและคำพูดน่ะขอรับ

    ตอนนี้ผมเพียงอยากจะขอชมบารมีของเหล่าพุทธภูมิที่ล้นกันมากและบารมีเต็มกันเยอะเหลือเกินในเว็บแห่งนี้ ว่าจะมีทัศนในการเรื่องนี้ประการใดบ้าง

    ทิ้งเอาไว้รอความเห็นของพวกท่านก่อน...ผมให้สัจจะไว้ว่าผมคำนวณเสร็จเรียบร้อยแล้วจริงๆและผมจะเฉลย เมื่อผมเห็นควรว่าถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว

    แต่จะไปตอบในกระทู้ที่ผมตั้งคำถามเอาไว้นะขอรับ... (smile)
     
  9. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603




    เอ่อ แต่คำตอบคงมากกว่า 2 ล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้าน....ปี...แน่นอนขอรับ
     
  10. กิดากร

    กิดากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    257
    ค่าพลัง:
    +1,039
    ไอ่ 1 พุทธันดร ที่ว่านี้ ผมเคยได้ยินว่า พระเทวทัตจะพ้นจากนรกก็ต่อเมื่อครบ 1 พุทธันดรที่ว่านี้ใช่ไหมครับ โอ้วว น่าสงสารแกเนาะ เคยได้จากหลวงพ่อฤาษีหรือไงไม่แน่ใจ ว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า พระเทวทัตจะสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์ หรือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่าได้ยินมาจากไหน ถ้า 1 พุทธันดรมันนานขนาดนั้น เดาเอาว่ากว่าจะถึงวันนั้น โลกคงใกล้จะแตกดับเต็มที มนุษย์คงจะอพยพไปอยู่ดาวดวงอื่นกันหลายดวง เดาเอาอีกว่า นับจากนั้นไปในดาวแต่ละดวงคงจะมีพระพุทธเจ้าเป็นของตัวเอง โหป่านนั้นคงจะมีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์เลยนะนั้น ผมคิดเอาขำ ๆ ว่า พวกมนุษย์ต่างดาวที่รูปร่างคล้ายมนุษย์นั้น บางทีอาจเป็นบรรพบุรุษของพวกเราในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน แล้วอพยพหนีภัยตอนสิ้นกัปป์ยุคทำลายล้าง พอยุคเกิดใหม่พรหมลงมาเกิดก็ยุคพวกเรา แล้วพวกนั้นไปอยู่ดาวดวงอื่น.

    คิดเล่น ๆ นะครับ เอิก ๆ อาจจะจริงก็ได้ใครจะไปรู้ 55
     
  11. AVATAAR

    AVATAAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +603




    พระเทวทัต จะพ้นจากนรกก็ต่อเมื่อครบ 1 พุทธันดร ต่อจากนั้นก็จะบำเพ็ญบารมีอีกต่อไปในวัฏฏสงสาร เมื่อบารมีเต็มแล้ว จะลงมาอุบัติเป็น พระปัจเจกพระพุทธเจ้า

    เรื่องพระพุทธเจ้าในโลกอื่น ถ้าได้ฟังเรื่องเล่า ตอนที่พระโมคคัลลานะ (พระอรหันต์ที่มีอภิญญาในทางอิทธิฤทธิ์มากที่สุดในครั้งพุทธกาล)อยากไปดูที่อื่นบ้างนอกจากโลกเรานี้ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต แต่เตือนว่าให้เอาเมล็ดข้าวเปลือกใส่ย่ามไปให้เต็ม เมื่อผ่านไปแต่ละกาแลคซี่ให้เอาเมล็ดข้าววางไว้ 1 เมล็ด กันหลงทาง....!

    แต่ในที่สุดพระโมคคัลลานะก็หลงทางกลับโลกไม่ได้ พระพุทธเจ้าโคดมต้องเสด็จไปตามกลับมา...

    ที่ท่าน กิดากร กล่าวมาผมว่าใกล้เคียงมากเลยขอรับ....:cool:
     
  12. นำหวาน

    นำหวาน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +11
    คำปรารถนาพุทธภูมิ
    อิมินา ปุญญะกัมเมนะ พุทโธ โหมิ อนาคเต กาเล
    คำแปล
    ข้าพเจ้าขอจงได้เป็นพระพุทธเจ้า ด้วยกรรมอันนี้ เป็นบุญนี้ จงมีในอนาคตกาลเบื้องหน้า
     
  13. gotak

    gotak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +176
    อนุโมทนาครับผม

    ผมด้วยคนครับ แต่ไม่ทราบว่าตัวเองอยากเป็นประเภทไหนครับ แต่เลื่อมใสกับความตั้งใจของเจ้าแม่กวนอิมครับ "จะขนสัตว์ให้ไปนิพพานให้หมดก่อน ค่อยถึงพระนิพพาน" ถ้ามีผู้รู้จะบอกได้ว่าผมตั้งใจประเภทไหน โปรดเมตตาชี้แนะด้วยนะครับ
     
  14. Heartsutra

    Heartsutra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +98
    แบบนี้เรียก ปรารถนาเป็นธฺยานิโพธิสัตว์นะครับ ธยานิโพธิสัตว์หรือฌานิโพธิสัตว์เนี่ยมีปณิธานเป็นใหญ่ เป็นโคตรภูบุคคลตลอดเวลา คือก่ำกึ่งระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ มีสภาวะคล้ายบรรลุแล้ว เชี่ยวชาญในสมาบัติ จะว่าเป็นโลกุตตรฌานก็อาจจะว่าได้ ซึ่งถ้าจะทำให้บรรลุจริงๆวินาทีเดียวก็ทำได้ครับ เพราะบำเพ็ญบารมีแบบล้นจนเกินล้นแล้ว เพียงแต่ยังอยู่ต่อด้วยกรุณาจิต และมหาปณิธาน ซึ่งมันเป็นไปได้ถ้าใจไหว... ระดับนี้ภัยจากชาติ ชรา มรณะ มันไม่มีความหมายอะไรแล้ว เพราะมันเป็นเพียงสิ่งลวงเท่านั้น ความฝันที่คล้ายความจริง ขันธ์๕ก็คือสภาวะที่ปราศจากขันธ์๕ ไม่เป็นอื่นจากกัน...
     
  15. gotak

    gotak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +176
    ขอบคุณครับคุณheartsutra ฟังแล้วรู้สึกยิ่งใหญ่่มากครับ แต่ผมคิดว่าผมไม่น่าจะเป็นได้ขนาดนั้น เพราะผมยังไม่ได้สมาบัติเลยครับ ยังฝึกอานาดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ว่าข้อธรรมบางข้อก็รู้ขึ้นเองโดยไม่เคยได้อ่านได้ฟังมาก่อนครับ และข้อธรรมหลายข้อเข้าใจง่ายและละเอียด แต่ก็อีกหลายข้อยังไม่เข้าใจครับ ยังไงก็ขอขอบคุณที่ยกให้ผมสูงขนาดนั้น ขอบคุณครับ คุณheartsutra
     
  16. Heartsutra

    Heartsutra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +98
    แล้วก่อนที่จะยิ่งใหญ่ มันเริ่มจากจุดไหนล่ะคุณ...

    ดีแล้วครับ มันผุดรู้ขึ้นมา มีเหตุคือปฏิบัติ มีผลคือปฏิเวธ มันเป็นของคู่กัน

    แต่กระผมขออนุญาตแนะนำบางอย่าง ให้คุณนำกับไปฝึกให้ชำนาญ...

    อันนี้เป็นพุทธพจน์นะครับ

    ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมกำหนดแสงสว่างไว้ในใจ (อาโลกสญฺญํ มนสิกโรติ) และอธิษฐานให้สว่างเหมือนกลางวัน (ทิวาสญฺญํ อธิฏฺฐาติ) เธอพยายามทำอยู่อย่างนั้น ทั้งกลางวันและกลางคืน กลางวันทำได้อย่างไร กลางคืนก็ทำได้อย่างนั้น หรือกลางคืนทำได้อย่างไร กลางวันก็ทำได้อย่างนั้น เธอมีใจสงบ ไม่มีนิวรณ์หุ้มห่อ ทำใจอันประกอบด้วยแสงสว่างให้เกิดขึ้น (สปฺปภาสํ จิตตํ ภาเวติ) ภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาอย่างนี้แลที่บุคคลเจริญทำให้มากแล้ว "ย่อมเป็นไปเพื่อการได้ญาณทัสสนะ"

    ด้วยแสงสว่างอันนี้จึงสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ตาธรรมดามองไม่เห็น เช่น อย่างพวกโอปปาติกะ(กายละเอียด) หรือสิ่งต่างๆ ในโลกของโอปปาติกะ ก็สามารถมองเห็นได้ แต่ขอบเขตของการเห็นนี้อาจจะไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิว่ามีมากน้อยแค่ไหน

    ดังเช่น ที่พระองค์ได้ตรัสกับพระอนุรุทธว่า :-

    "อนุรุทธ สมัยใดสมาธิของเราน้อย สมัยนั้นจักษุของเราก็น้อย เมื่อจักษุน้อยเราก็กำหนดเห็นแสงสว่างได้น้อย และเห็นรูปได้น้อย แต่ถ้าสมัยใด สมาธิของเรามาก สมัยนั้นจักษุของเราก็มาก เมื่อจักษุมากเราก็กำหนดเห็นแสงสว่างได้มาก และเห็นรูปได้มาก เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดคืนบ้าง ตลอดวันบ้าง ตลอดทั้งคืนทั้งวันบ้าง"


    การฝึกสมาธิโดยใช้แสงสว่างเป็นนิมิตนั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงปฏิบัติและได้บรรลุผลคือเกิดญาณทัสสนะ สามารถเห็นรูปเห็นเทวดาต่างๆ การเห็นรูปเห็นเทวดาต่างๆ ได้นั้น แสดงให้เห็นว่าการฝึกสมาธิให้เกิดแสงสว่างในใจ รูปที่เห็นมิใช่ "นิมิต" แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากญาณทัสสนะอันละเอียด และสิ่งที่เห็นเป็น "ของจริง".........


    อันนี้เป็นประโยชน์มากครับ ทำสมาธิโดยกำหนดแสงสว่าง นอกจากเป็นไปเพื่อญาณทัสสนะ ยังขับไล่ความง่วง และนิวรณธรรมอื่นๆได้อีกด้วย ทั้งยังขัดเกลาจิตใจให้สงบ ประณีต ความกลัวก็จะไม่บังเกิด จิตใจสดชื่นไม่หดหู่ เป็นผลดีทั้งในภูมิสมถะและิวิปัสสนา เพราะ"เห็นจริง"ไม่ใช่เพียงการกำหนดรู้


    ท่านสามารถเอามาประยุกต์ใช้กับอานาปานสติได้โดยง่ายๆ คือหลักอานาปานสติ คัมภีร์วิสุทธิมรรคกล่าวไว้ว่าให้จับความรู้สึกฐานใดฐานหนึ่งใน ๓ ฐานนี้
    คือปลายจมูก กลางอก กับกลางท้องเหนือสะดือนิดๆ ก็กำหนดแสงตรงนั้น แล้วแต่สะดวกและถนัด...



    กระผมขอแนะนำจุดกลางท้อง เพราะเป็นจุดสุดของลม หรือเป็นจุดลมหยุด กำหนดตรงนี้ใจเป็นสมาธิเร็ว สามารถรำงับความรู้สึกเนื่องด้วยกายได้เร็ว... เอาใจจดจ่อศูนย์กลางของแสงสว่างนั้นๆ และให้เล็กลงไปเรื่อยๆ ให้ใจมารวมหยุดเป็นจุดเดียว ละเอียดๆเรื่อยไป จนเป็นอารมณ์ฌาน จุดสำคัญคือ"รู้"และ"ละ" อารมณ์อยู่เสมอๆ ไม่ติดกับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง อะไรมันปรากฎให้ดูก็ดูไป ไม่ต้องไปบังคับ ไปฝืน ไปพยายามลบมันออก... ไม่นานคุณจะได้พบอะไรบางอย่าง "ซึ่งจะเป็นจุดทำวิญญาณกสิณ" แต่สิ่งสำคัญคืออย่าไปหลงเพลินในอารมณ์ใดๆทั้งนั้น มันเกิดอารมณ์อะไรขึ้น ก็รู้ไป ไม่้ต้องยินดียินร้าย


    ถ้าเกิดญาณจักษุแล้ว สิ่งที่เห็นจะไม่เป็นแบบมุมมองที่เรารู้จัก อันนี้จะคิดเอาไม่ได้ ต้องสังเกตผลของมันดู ถ้ามันเห็นซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง นอก กลาง ใน โดยรอบๆ พร้อมๆกันถือว่าถูกแล้ว แต่้ถ้าเห็นแบบมุมมองตาเนื้อ ถือว่ายังไม่ใช่... แต่ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ รู้และละอารมณ์ตลอดเวลา มันจะจริงมันจะลวงช่างมัน เราสงบ เรานิ่งอย่างเดียว เราเป็นเพียงผู้ดู ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไรด้วย... ฝึกบ่อยๆเป็นเนืองๆ ยืนก็กำหนด เดิน นั่ง นอน ก็กำหนดไป รู้ตัวไป พอมีเวลาเหมาะก็มาทำสมาธิจริงๆจังๆ ไม่ต้องคาดหวังอะไร เอาความสงบของใจเป็นที่ตั้ง ถ้าได้ประกอบเหตุ ย่อมเกิดผล ก็สังเกตผลนั้นเอา...


    ก่อนออกจากสมาธิก็น้อมใจพิจารณาสรรพสัตว์รวมทั้งตัวเราเองด้วย แล้วก็แผ่อารมณ์เมตตา "เราปรารถนาที่จะมีความสุขเพียงไร ผู้อื่นก็ไม่ต่างจากเรา เราปรารถนาที่จะปราศจากเวรภัยเพียงไร ผู้อื่นก็ไม่ต่างจากเราเลย ขอเธอทั้งหลายได้มีความสุข ขอเธอทั้งหลายปราศจากทุกข์ภัย ขอเธอทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีใจพยาบาท ดำรงตนอยู่ด้วยความสงบสุขเถิด..." ถ้าใจมันสงบ มากด้วยสุข และมีเวลาเหลือ ก็เข้าฌานด้วยอารมณ์เมตตาไปอีกรอบ แล้วค่อยออกจากสมาธิ


    ด้วยความปรารถนาดี... สาธุ สาธุ
     
  17. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,443
    ค่าพลัง:
    +1,770
    ผมขอรายงานตัวด้วยคน คิดว่าเว็ปนี้จะไม่มีคนที่ปารณนาพุทธภูมิเสียแล้ว
    มัวแต่ไปดูที่ วิทยาศาสตรืทางจิตไม่มีทางหลุดพ้นเลย มีแต่อุตริ อุปาทาน
    ยิ่งศึกษามากผมก็ยิ่งรู้มาก ยิ่งรู้มากยิ่งเห็นข้อเสียของความสุขมาก
    ว่าสุข ทุกข์นั้น มันไม่ใช่ของจริง สาธุ
     
  18. gotak

    gotak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +176
    ขอบคุณครับ คุณheartsutra ผมจะนำไปปฏิบัติอย่างเต็มที่ครับ ปกติก่อนปฏิบัติอานาผมจะอุทิศใหผู้ล่วงลับไปเป็นคนๆไปครับไม่ทราบเค้าจะได้อนุโมทนาหรือป่าว แล้วเมื่อเปลี่ยนมาเป็นกำหนดแสงสว่างจะอุทิศให้เค้าเหล่านั้นได้ไหมครับ
     
  19. gotak

    gotak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +176
    รบกวนถามคุณ heartsutra อีกครั้งครับ แสงสว่างนี่ให้สมมุติขึ้นเองใช่ไหมครับ ใช้ความรู้สึกสัมผัสเอาถูกต้องมั๊ยครับ เมื่อผมกำหนดแสงสว่างนี่ก็ให้ทิ้งลมหายใจเลยใช่ไหมครับ
     
  20. Heartsutra

    Heartsutra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +98
    เราจะใช้ลมหายใจควบคู่กับแสงสว่างไปนะครับ คือว่าให้ลมหายใจนั้นแทนคำบริกรรม กำหนดแสงสว่างนั้นเป็นอาโลกสัญญา เริ่มแรกเรานึกเอาก่อน อธิษฐานขอให้มันสว่างเหมือนกลางวัน แล้วก็พยายามจดจำแสงสว่างเมื่อตอนกลางวันด้วย มันจะกำหนดง่ายและชัดขึ้น... แต่บางครั้งมันก็สว่างไม่มาก แต่ถ้าวันไหนศีลดี จิตใจชื่นบาน มันก็กำหนดง่าย ไม่ต้องบังคับอะไรมาก "ปล่อยให้มันเป็นไป" แล้วมันจะสงบตามธรรมชาติของมัน ถ้าไปฝืนมัน มันจะยิ่งดิ้นยิ่งกำเริบ ในเวลานั้นไม่ต้องเอาอะไรแล้ว ไม่ปฏิเสธ ไม่อยาก ไม่ยินดียินร้ายกับอะไร รู้ทันไปใน"ขณะนั้น วินาทีนั้น กับลมหายใจและแสงสว่างที่กำหนด"

    รู้ลมหายใจเข้า-ออกชัดเจน รู้สึกไป ไม่ต้องไปบังคับอะไรมัน ไม่ต้องไปพากย์ความรู้สึก แล้วจับความรู้สึกตรงจุดที่ลมกระทบและหมุนเวียนเข้า-ออก ในช่องท้อง เหนือสะดือขึ้นมานิดๆ ทำความรู้สึกให้ชัด แต่อย่าเพ่งมาก และอย่าเผลอ เอากลางๆคือเฝ้ามองอยู่เพลินๆ เหมือนเราดูต้นไม้ ใบหญ้า ท้องฟ้่า ฯลฯ... ก็กำหนดแสงสว่างที่ตรงนั้น แรกๆก็สร้างมันขึ้นมา พอทำมากเข้า มันจะสว่างเอง สว่างยิ่งกว่ากลางวันเสียอีก แต่มันจะไม่กระด้าง มันเป็นแสงที่นุ่มนวล เย็นสบาย... พอใจมันสงบรำงับ มันจะลืมเรื่องลมหายใจไปเอง ที่ในอานาปานสติสูตรกล่าวไว้ "สำเหนียกรู้อยู่ เราจักรำงับกายสังขารทั้งปวง" ก็ตรงนี้แหละ คือละความใส่ใจในกาย รวมทั้งลมหายใจด้วย เหลือไว้แต่แสงสว่าง และความสุข จนสงบหนักเข้า ก็กลายเป็นวางใจกลางๆ จุดสำคัญคือ รู้และละอารมณ์เรื่อยๆ ไม่ต้องไปติดอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง หยุดใจอย่างเดียว นี่แหละครับ สันติภาพภายใน

    ส่วนเรื่องการอุทิศนั้น ก็อุทิศให้สรรพสัตว์เลยครับ รวมหมดทั้งล่วงลับและยังไม่ล่วงลับ เพราะผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เขาก็ไปเกิดใหม่ใน๓๑ภพภูมินี้ ไม่หนีไปไหน เว้นแต่เป็นพระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว หรือเป็นคนที่ทิฏฐิชั่วจริงๆคือไปโลกันตนรก... ส่วนเขาจะโมทนารึเปล่า มันเป็นความเฉลียวของเขาแล้ว แต่บุญที่ได้จากการทำกรรมฐานมีกำลังมาก ดังนั้นส่งถึงอยู่แล้ว จักรวาลอื่นๆยังถึงเลย ใจมันส่งไปถึงหมดแหละครับ...

    อืม อย่าลืมพิจารณาขันธ์ ๕ ด้วยนะครับ ว่ามันปรากฎความเกิด เสื่อมสลาย และแปรปรวนอย่างไร? มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกขสัจจ์ มันไม่ปรากฎความเป็นตัวตนที่ยึดถือได้ อย่างไร? แท้จริงแล้ว ขันธ์๕มันเป็นสมมุติ มันดำรงอยู่จริงอย่างสมมุติ มันตั้งอยู่เหมือนมายาภาพ มันเป็นไปอย่างเลื่อนลอย มันปราศจากการดำรงอยู่จริงๆ (คือมันไม่เป็นอมตะ) ขันธ์๕ไม่ต่างจากความว่าง ความว่างก็ไม่ต่างจากขันธ์๕ เพราะไปติดเส้นแบ่งในความมี และไม่มีของมัน จึงถูกลวงหลอกอยู่ร่ำไป (ตรงนี้สำคัญต่อโพธิสัตว์... โพธิสัตว์เกิดนิพพิทาญาณ(ความหน่ายในสังขารธรรม) แต่ไม่ด่วนตัดภพตัดชาติ ก็เพราะเหตุนี้... )
     

แชร์หน้านี้

Loading...