ให้สงบอยู่กับพุทโธ - หลวงตามหาบัว 26 มีนาคม 2552

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 27 มีนาคม 2009.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ให้สงบอยู่กับพุทโธ


    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    วันที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒

    โป่งกระทิงแถวนั้นสงัดดีนะ จังหวัดราชบุรี วันนั้นท่องเที่ยวดูในป่าที่มีวัดป่าๆ ไปรอบหมดเลยนะ ต้องสละวันเวลาจริงๆ ได้ยินเขาว่ามีวัดป่าอยู่หลายแห่งในภูเขาไปทางโป่งกระทิง วันนั้นต้องสละเวล่ำเวลาไปจริงๆ ทางโป่งกระทิงราชบุรีนะ (หลวงตาไปดูแล้วไม่เห็นมีทางจงกรม) นั่นแล้วมันเป็นอย่างนั้นละ
    <O:p
    พระพุทธเจ้าท่านก่อนจะนำมาสอนโลก ท่านทรงบำเพ็ญพระองค์สลบสามหน ฟังซิน่ะ ก่อนจะได้มาสอนโลก เป็นศาสดาสอนโลก เป็นพุทธศาสนาตั้งขึ้นมาไม่มีศาสนาใดเสมอ เอาสลบไสล ครั้งพุทธกาลท่านเอาจริงเอาจังมากนะ นั่นละคนไม่ทำอะไรๆ ไม่สนใจ แม้แต่พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ไม่จบ แล้วตำหนิศาสนาไม่มีมรรคมีผล ไอ้ตัวเป็นโมฆะตั้งแต่วันเกิดมันไม่รู้ ไม่ดูตัวเองนะ
    <O:p
    พระพุทธเจ้าสลบสามหน พระสาวกบางองค์จักษุแตก พระจักขุบาล นั่นละคือกล้าหาญชาญชัย บางองค์ฝ่าเท้าแตก พระโสณะประกอบความเพียร อันนี้ต้องได้เดินเสียก่อนมันถึงจะยอมรับกันนะ ได้ฟังแต่เสียงอย่างนี้ไม่เชื่อนะคนเรา เมื่อเข้าไปถึงตัวจริงเหมือนกันแล้วยอมรับกันทันทีๆ เลย เช่นอย่างพระโสณะท่านประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตก ท่านว่าอย่างนั้นนะ เราก็เห็นในตำราก็สักแต่ว่าฟัง จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แบบขอนซุงนั่นแหละ เรามันแบบขอนซุง บทเวลามันก้าวเข้าไปหาจุดเดียวกันไม่ต้องบอก เชื่อทันทีเลย
    <O:p
    อย่างที่เดินจงกรมฝ่าเท่าแตก เราไม่แตกแต่จับได้เงื่อนสำคัญๆ ยอมรับว่าฝ่าเท้าแตกจริงๆ นี่ความเพียรประเภทไม่มีวันมีคืน คือเวลาประกอบความเพียรเบื้องต้น ฝึกหัดก.ไก่ ก.กาทั้งอยากเที่ยวอยากเล่นอะไรๆก.ไก่ ก.กา ก็ไมจบ เวลาค่อยรู้เรื่องรู้ราวทีนี้ก็หมุนเข้า อรรถธรรมก็เหมือนกัน เวลาไปทำความพากความเพียรทีแรกยังไม่รู้เรื่องรู้ราวมันก็ทั้งขี้เกียจขี้คร้าน

    ทุกอย่างอยู่นั้นหมดนั่นแหละ แต่เวลาทำลงไป ทำลงไป ค่อยปรากฏขึ้นมา สิ่งที่เราทำค่อยปรากฏขึ้นมา ปรากฏขึ้นมาแล้วมีแก่ใจ จิตใจดื่มด่ำๆ เรื่อยนะ
    <O:p
    บทเวลามันจะเอาจริงเอาจังมันเริ่มตั้งแต่สมาธิ จึงว่าเราติดสมาธิอยู่ถึง ๕ ปี มันติดจริงๆนะ ความคิดนี้เป็นความรำคาญ ความคิดปรุงยิบแย็บรำคาญ ถึงสมาธิขั้นเต็มที่แล้วความคิดความปรุงเป็นเรื่องรำคาญทั้งนั้น อยู่แน่ว นั่งอยู่เท่าไรก็ได้ มันติดอันนั้นละ ติดความสุข เอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อันเดียว อันนี้ติด เพราะยังไม่มีธรรมะที่สูงกว่านี้ เหล่านี้ได้ผ่านมาหมดแล้วนะ สิ่งที่เล่าเหล่านี้ได้ผ่านมา ทีแรกก็ผ่านตำราก่อน จากตำราก็ศึกษากับครูบาอาจารย์ที่เป็นครูเป็นอาจารย์ตายใจได้ เช่น หลวงปู่มั่นเป็นต้น เรียกว่าสัมผัสสัมพันธ์เข้าไปมันก็แน่นหนาเข้าไปเรื่อยๆ จิตใจสงบร่มเย็น
    <O:p
    สงบเสียจนติดสมาธิ ความคิดปรุงรำคาญ แต่ก่อนไม่ได้คิดไม่ได้ บ้าคิด ทีนี้เวลามันติดสมาธิแล้วแน่วอย่างนี้ บ้าติดสมาธิ มันไม่พอดีนะ มันผ่านไปแล้วถึงรู้ย้อนหลังๆ ทีนี้พ่อแม่ครูอาจารย์นั่นละท่านถาม ท่านถามท่านมีความหมาย เราก็ตอบแบบหมูขึ้นเขียง เข้าสมาธิ อยู่สมาธิแล้วเหมือนหมูขึ้นเขียงไม่อยากลง อยู่อย่างนั้น ปัญญามีไม่ออก ไม่ใช้ ท่านก็ขนาบเอาเลย สมาธินี่ก็ว่าได้มาหลายปีแล้ว นั่นบทเวลาท่านจะเอา พอท่านถามเป็นอย่างไรใจท่านมหาสงบดีเหรอ สงบดี บอกอย่างนั้น เรื่องสงบ สงบดีจริงๆ จนถึงขนาดติดสมาธิอยู่ถึง ๕ ปี มันสงบขนาดนั้น
    <O:p
    บทเวลาท่านจะเอา ท่านจะนอนตายอยู่ในสมาธินั่นเหรอ สุขในสมาธิเหมือนกับเนื้อติดฟัง เป็นอย่างไรเนื้อติดฟันมันอร่อยอะไรไหม นั่นบทเวลาท่านจะเอา ปัญญามีทำไมไม่เอามาใช้ ขนของออกมาพะเนินเทินทึกอยู่นี้ละ อันนั้นเป็นนั้น อันนี้เป็นนี้ เป็นอาหารวางเอาไว้อย่างนั้นไม่กินมันก็เน่าเฟะ ท่านว่าอย่างนั้น อันนี้สมาธิอิ่มแล้วการที่จะก้าวเดินเพื่อเสริมทางปัญญาเอามาใช้ซิ เขากินอาหารเขายังหยิบนั้นหยิบนี้ เราทำอะไรหยอกๆ
    <O:p
    ท่านถามเมื่อไรก็บอกว่าสงบดีๆ มันสงบจริงๆ นี่ ท่านถามท่านมีความหมายนะ เพราะท่านเป็นอาจารย์ เป็นครูเอก เราเป็นหมู ท่านว่าสงบก็สงบดีอยู่ สงบดีอยู่ หลายครั้งหลายหนเข้าไปๆ ท่านคงรำคาญ มันจะนอนตายอยู่ในสมาธิเหรอ เหมือนหมูขึ้นเขียง ถ้าว่าความสุขในสมาธิเหมือนเนื้อติดฟัน เนื้อติดฟันมันสุขไหม เอาละนะทีนี้ มันตื่นตัวน่ะล่ะ เพราะสมาธิมันพอตัว แน่นปึ๋งตลอดเวลาเลย ความคิดยิบแย็บๆ มันกวนใจนะถ้าลงเข้าถึงขั้นสมาธิจริงๆ แล้วนี้ความคิดยิบๆแย็บๆ ไม่อยากคิด อยู่แน่ว ถือว่าสบาย นั่นละติดสมาธิ
    <O:p
    ท่านมาขนาบออก นั่นแหละสมาธิเหมือนหมูขึ้นเขียง ปัญญามีทำไมไม่ใช้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มีปัญญานะ ไม่มีแต่สมาธินะ มีปัญญา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านดำเนินมาท่านยังแสดงว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ท่านไล่มาหมด นี่ไม่เห็นมีอะไร ถ้าว่าสมาธิก็สมาธิอยู่อย่างนั้นละ กินแล้วกินเล่ากินของเก่า อาหารแปลกๆต่างๆ ที่ดีกว่านี้มีไม่กิน กินแต่ของเก่าๆ อันบูดๆ เสียๆ ท่านก็ว่า ไล่เข้าไปๆ ดุใหญ่ละดุเรานะ นั่นละบทเวลาท่านจะเอานะ
    <O:p
    ท่านถามแล้วถามเล่า ถามท่านมีความหมายเต็มหัวใจ ในฐานะที่ท่านเป็นครูเป็นอาจารย์เรา เรามันแบบหมูๆ ว่าจิตสงบดีอยู่เหรอ สงบดีๆ บทเวลาท่านเอา ท่านจะนอนตายนั่นหรือ ขึ้นเลย เอาขนาดนี้นะ นั่นละธรรมะที่เด็ดใครจะว่าหยาบไม่ได้นะ ธรรมะที่เด็ดใส่กิเลสตัวมันหยาบๆ ตัวเด็ดๆ ใส่เปรี้ยง ท่านจะนอนตายอยู่ในสมาธินั่นเหรอ สมาธิเท่ากับหมูขึ้นเขียง ขึ้นแล้วไม่ยอมลง จนหอมกระเทียมเขาหั่นอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกวาดลงใส่กัน นั่นละสมาธิหมูขึ้นเขียง เป็นอาหารเขาพอดี ท่านว่าอย่างนั้นละ
    <O:p
    แต่เราไปด้วยความตั้งใจ ท่านว่าอะไรมันสะดุดกึ๊ก จับปุ๊บนะ ไม่ได้เหลาะๆแหละๆ นะ ท่านว่าอะไรจับปุ๊บๆ เลย เอามาพิจารณา จากนั้นออกทางปัญญา เพราะสมาธิมันแน่นหนามั่นคงพอ เป็นแต่เพียงว่ามันติดอยู่ในสมาธิ ไม่สนใจทางปัญญา เมื่อท่านนำปัญญาออกมาแจงมันก็ดีดตามปัญญา ถ้ามันเลยเถิดท่านก็เอาอีกแหละ เช่นอย่างสมาธิเหมือนหมูขึ้นเขียง ไม่อยากคิดอยากอ่าน สงบแน่ว เอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อันเดียว นี่เรียกว่าสมาธิมันติดแล้ว
    <O:p
    จากนั้นท่านก็เอาแล้วทีนี้ ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ สมาธิมันเหมือนหมูขึ้นเขียง ท่านว่า ปัญญาที่จะก้าวเดินมีอยู่กับทุกคนถ้านำมาใช้ ถ้าไม่นำมาใช้มันก็ตายอยู่กับสมาธิ ท่านว่า เพราะธรรมเหล่านี้มีอยู่ด้วยกัน นอกจากไม่ค้นไม่คว้าหาก็ไม่เจอ หาสมาธิยังได้สมาธิ หาปัญญาทำไมจะไม่ได้ ออกจากหัวใจอันเดียวกัน ธรรมกับใจอยู่ด้วยกัน นั่นท่านว่า ต่อจากนั้นก็ออกทางด้านปัญญา บทเวลามันออกมันก็ออกจริงๆ น่ะล่ะ เพราะทำอะไรทำด้วยความจงใจจริงๆ
    <O:p
    มันออกทางด้านปัญญา กลางคืนจะไม่หลับนอน กลางวันก็ไม่หลับ มันหมุนของมันเป็นอัตโนมัติ หมุนติ้วๆๆ มันจะตายจริงๆ ก็ไปหาท่าน ท่านก็ใส่เปรี้ยงเอาอีกแหละ ตอนท่านใส่นี้มันก็ยุบลงนิดหนึ่ง แต่ที่มันจะหมุนมันมีกำลังมากกว่า หมุนเรื่องสติปัญญาแก้กิเลส แต่แก้แต่อย่างเดียว ทำงานอย่างเดียว ไม่กินไม่หลับไม่นอนมันก็ไปไม่ได้คนเรา มันต้องมีการอยู่กินหลับนอนทำการทำงานผสมกันไป ทีนี้เวลาทำงานหนักๆ ก็พักเสียก่อน นอนหลับ รับประทานอาหาร พัก ได้กำลังแล้วออกทำงานอีก ท่านอธิบายให้ฟังหมด ทางนี้ค่อยจับเข้าไป จับเข้าไปเรื่อยๆ
    <O:p
    เวลามันออกทางด้านปัญญามันไม่เข้าสมาธินะ ใครอย่าไปเข้าใจว่าปัญญาตีกว้างไปหมดเลยไม่ได้ สมาธิครอบไปหมดเรื่องความสงบ อย่างนี้มันก็ไม่ถูก ระยะนี้ควรใช้ทางปัญญา ระยะนี้ทำงาน ระยะนี้รับประทานอาหาร ระยะนั้นพักผ่อนนอนหลับ นั่นมันถึงถูก งานการจะมีมากขนาดไหนกำลังเราต้องดู ถ้ากำลังจะไม่พอพักเสียก่อน พอพักได้กำลังวังชาแล้วออกทำงานอีก
    <O:p
    ทางด้านสมาธิ-ด้านปัญญา..เวลาออกทางปัญญานี้มันออกจริงๆ มันหมุนกลางคืน กลางวันยังจะไม่หลับเลย กิเลสกับสติปัญญามันตามต้อนกัน ให้มันเห็นในใจมันถึงชัดเจน การทำพระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกอย่างแล้วจึงมาสอนโลก เราจะนอนหลับหูหลับตาอยู่กับการที่ท่านสอนโลกมันเข้ากันได้ไหมละ เข้ากันไมได้ ท่านสอนสอนด้วยความฉลาดแหลมคม เราฟังด้วยความโง่มันก็ไม่ได้เรื่องนี่ก็ซัดกันไปซัดกันมามันก็ได้ ท่านเป็นผู้เปิดทาง ทางนี้คอยจับๆ
     
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    มันออกทางด้านปัญญามันออกจริงๆนะ ไม่ได้หลับได้นอน ความคิดอ่านไตร่ตรองตามต้อนกิเลสนอนก็ไม่หลับ นั่งสมาธิก็ยิ่งเสริมหนักเข้าอีก กลางคืนนอนไม่หลับตลอดรุ่ง คือจิตทำงาน มันพุ่งๆๆ บทเวลาสติปัญญาเป็นอัตโนมัติแล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้องมาระงับด้วยพุทโธ มันก็เป็นอุบายของเจ้าของนั่นละ ถ้าจะให้มันระงับเฉยๆ ให้มันหยุดเฉยๆ มันไม่หยุด มันจะต้องหมุนติ้วๆ ๆ เอาพุทโธมาให้เป็นที่ยับยั้งทอดสมอไว้ มันยุ่งไปไหนไม่เอา ยุ่งก็ยุ่งอรรถยุ่งธรรมคือแก้กิเลส ทำแต่งานมันไม่พักไม่ได้ มันตายนะ

    ทีนี้เข้ามาทางพุทโธ เพราะนิสัยเราชอบพุทโธ ทีนี้ไม่เอา มันจะหมุนติ้วๆ เพราะมันคล่องตัว เรื่องสติปัญญามันคล่องตัว มันไม่อยากหยุด มันเพลินในการแก้กิเลส ทีนี้มันจะตาย เอาย้อนเข้ามา ทีนี้ให้พักจิต พักไม่ได้ มันหมุนของมันอยู่ตลอด ทำอย่างไรพักไม่ได้ เอาทีนี้หักเข้ามา ย่นเข้ามา เอาพุทโธ มันไปไหนไม่ให้ไป งานใดแขนงใดไม่ให้ไป ให้อยู่กับพุทโธกึ๊กตรงนั้นเลย เอาพุทโธถี่ยิบไม่ให้มันคิดออก เรื่องราวอะไรไม่ให้คิดด้านปัญญาไม่ให้ใช้ จะใช้เพื่อความสงบกับพักจิต เอาพุทโธๆเข้าไป ไม่ให้มันออกไปไหน มีพุทโธ จิตสงบแน่ว พอสงบลงไปเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม มันมีกำลังวังชากระปรี้กระเปร่า ทีนี้พอมีกำลังแล้วออกแล้วดีดผึงเลยนะ
    <O:p</O:p
    เมื่อมันจะตายจริงๆ ย้อนเข้ามาหาพุทโธ ให้อยู่กับอันเดียว พออยู่กับอันเดียวแล้วมันก็สงบแน่ว รู้สึกว่ามีกำลังวังชานะ จากนั้นจะหลับก็หลับได้ เวลามันหมุนจริงๆ จะไม่หลับนะ พอเรารู้จักวิธีปฏิบัติแล้วมันจะตายจริงๆ ก็หักเข้ามาหาพุทโธ เอาพุทโธผูกเอาไว้ไม่ให้มันออก หักมาไว้กับพุทโธแล้วจิตสงบเย็นสบาย พอมีกำลังแล้วทีนี้เปิดออกมันก็พุ่งๆเลยปัญญาพุ่งๆๆเลย นี่ละเรื่องการภาวนาให้มันเป็นไม่ต้องถามใคร มันรู้เองนะ พระพุทธเจ้าทรงทำมาแล้ว สวากขาตธรรมตรัสไว้เรียบร้อยไม่ผิดไม่พลาด เรามันนักผิดพลาด ทีนี้เราค่อยเดินตามไปมันก็ค่อยได้อุบายสติปัญญาไปเรื่อยๆละ
    <O:p</O:p
    เวลามันจะตายจริงๆหักเข้ามาหาพุทโธเสีย แต่ก่อนไม่รู้พุทโธเป็นอย่างไร เพราะมันเพลินกับการพิจารณาแก้ไขถอดถอนกิเลส เลยกลายป็นเรื่องหลงสังขารไป มันใช้ไม่รู้จักประมาณ พอได้หลักได้เกณฑ์แล้วทีนี้ถ้ามันหมุนติ้วมากๆ หักเข้ามาหาพุทโธ ไม่ให้คิดกับเรื่องอะไร ให้อยู่กับพุทโธๆ คำเดียว จิตก็ค่ยอสงบลงๆ แน่วนะ จิตพออยู่กับพุทโธแล้วกลายเป็นจิตสงบ เป็นสมาธิประเภทหนึ่ง สมาธินี้หนุนปัญญา พอได้กำลังแล้วออกทางด้านปัญญามันก็พุ่งๆ เลย

    <O:p</O:pนั่นละการภาวนาเป็นอย่างนั้น ถ้ามันเป็นแล้วไม่ต้องถามใครมันรู้เอง เอากันเสียจนกระทั่งกิเลสม้วนเสื่อ ฟาดขนาดนั้นละ กิเลสม้วนเสื่อไม่มีอะไรกวนเลย มีกิเลสเท่านั้นเป็นตัวกวนใจที่สุด ยุแหย่นั้นก่อกวนเรื่องนั้นเรื่องนี้มีแต่กิเลส พอฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรกวน แสนสบาย นั่นละพระอรหันต์ท่านถึงไม่มีทุกข์ทางใจ หมด เพราะกิเลสตัวยุแหย่ก่อนกวนมันกวนตลอดเวลา พอตัวนี้ม้วนเสื่อลงไปแล้วไม่มีอะไรกวนท่านอยากนั่งสมาธิภาวนาระงับธาตุระงับขันธ์ ท่านก็ทำของท่านด้วยความสะดวกราบรื่นดีงาม
    <O:p</O:p
    นี่ละการฝึกหัดสมาธิฝึกถึงขั้นปัญญาเป็นขั้นๆ ๆ ไป เวลาเข้าถึงด้านปัญญาแล้วมันเป็นน้ำไหลรินนะ เป็นอัตโนมัติหมุน ไหล เป็นอัตโนมัติ เราฉันจังหันอยู่นี้มันไม่ได้อยู่กับอาหารนะ มันอยู่กับธรรมที่เจ้าของพิจารณา มันจะซัดกันอยู่นั่น เหมือนว่านักมวยต่อยกันอยู่นั่นละ ไม่หยุดไม่ถอยละ ต้องได้ใช้ปัญญาแนบกันไปเรื่อย หักวิธีไหน แก้วิธีไหน ที่ว่าหักเข้ามาหาพุทโธ..เวลามันเพลินทางด้านปัญญามากๆ ไม่มีอะไรจะหักห้ามมันได้ ต้องเอาพุทโธให้อยู่จุดเดียว ไม่ให้มันออกมา พออยู่จุดเดียวแล้วโล่งขึ้น สงบแน่ว ทีนี้เราจะพักนอนก็ได้ เรียกว่าพักใจให้นอนก็ได้ พอรู้จักวิธีแล้วเวลามันหมุนเข้ามากๆ หักเข้ามาหาพุทโธ คือมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หัวอกนี้มันเมื่อยล้าจริงๆ อ่อนไปหมด เพราะสติปัญญาทำงานไม่ขาด
    <O:p</O:p
    ทีนี้เวลามันเป็นอย่างนั้นแล้วให้หักเข้ามา ตั้งก.ไก่ ก.กา ใหม่ นั่นละบำรุงจิตที่ไม่มีกำลัง ที่มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพราะการพิจารณามันเหนื่อยมาก หักอันนั้นเข้ามาอยู่กับพุทโธเรียกว่าพักจิต อยู่นั้นก็สบาย นั่นละการภาวนา เหล่านี้เราไม่เคยได้พูดให้ใครฟัง ทั้งที่เป็นมาในหัวใจจนอกจะแตกบางทีนะ เป็นอย่างนั้นละ บอกกันทุกแง่ทุกมุมไม่ได้ มันต้องเป็นอุบายวิธีการของแต่ละคนๆ ที่จะนำมาใช้ สติปัญญาให้ไปด้วยกัน
    <O:p</O:p
    บทเวลามันจะไปแล้วจะไม่อยู่ทั้งนั้นนะ จิตนี้ถึงขั้นมันจะไปล่ะ จะเป็นจะตายก็จะไปท่าเดียว ไม่รู้จักเป็นจักตาย จะไปท่าเดียว เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ความขยันหมั่นเพียร ความเด็ดเดี่ยวอาจหาญเป็นเข็มทิศทางเดินเพื่อพระนิพพานอย่างเดียวพุ่งๆ ๆ นั่นเวลามันเป็น ใครเป็นเขาก็รู้ นี่ก็ไม่เคยเป็นแต่ก่อน แต่เวลามันเป็นก็พูดได้ อย่างนี้ละจะว่าอย่างไร ฟาดไม่หยุดไม่ถอยเอากิเลสม้วนเสื่อไม่มีอะไรกวนใจ
    <O:p</O:p
    ฟังเสียท่านทั้งหลายอยากฟัง จวนจะตายแล้วนะนี่น่ะ คำพูดเช่นนี้เราไม่เคยมาพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า พูดไปหาอะไร เขาว่านกก็นกกับเขา ว่ากา กากับเขา ว่าอย่างอื่นมันไม่รู้ก็ต้องว่านกว่ากาไปตามเขา แต่เวลารู้แล้วของตัวเองก็เป็นของตัวเอง เอาจริงๆนะเรื่องภาวนา แล้วมาดีอันหนึ่งคือนิสัยมันจริงจังมาก ถ้าลงได้ปักลงตรงไหนแล้วขาดสะบั้นไปเลย ให้ถอยไม่มีถอยจนกว่าจะเห็นผล จะปล่อยวางกันเมื่อไร ปล่อยวางพราะเหตุผลกลไกอะไร ถ้ามันได้เหตุผลเสียก่อนมันถึงจะปล่อย ถ้าไม่ได้เหตุผลไม่ปล่อย ซัดกันอยู่นั่นละ
    <O:p</O:p
    ปี ๙๒ หรือ ๙๓ น้า ที่ว่าฟ้าดินถล่ม (๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓) นั่นละเวลาตัดสินวัฏจักรวัฏจิตออกจากกัน วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เปิดเสียให้รู้เรื่องรู้ราวนะ ตายแล้วจะไม่มีใครมาพูดนะ หลวงตาองค์เดียวละพูดว้อๆ พูดด้วยความอาจหาญเสียด้วยนะ แล้วยิ่งมีคนมาพูดเรื่องจิตตภาวนาละเอียดลออเท่าไรแล้วทางนี้ขยับใส่กันปั๊บๆ ๆนะ มันดูดดื่มกัน มันดูดดื่ม
    <O:p</O:p
    วัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่ม นั่นละตัดสินขาดสะบั้น เหมือนว่าโลกธาตุนี่หวั่นไปหมดเลย มันรุนแรง คือกิเลสมันมัดใจมาตั้งกัปไหนกัลป์ใด เป็นวัฏจักรวัฏจิตหมุนกันไปเกิดภพนั้นภพนี้ไม่ซ้ำกัน เกิดสูงเกิดต่ำเกิดอะไรๆ แล้วแต่กรรมของเจ้าของทำ กรรมนั้นละมันจะถอยมาหาเจ้าของ กรรมดีหนุนขึ้น กรรมชั่วกดลง ใครอย่าประมาททำกรรมชั่วนะว่าโลกอยากทำแต่ความชั่วนะ ความดีไม่อยากทำ นั่นละมันพาให้จมๆ พอมันถึงขั้นที่มันจะหมุนในทางดีแล้วทีนี้ชั่วไม่เอา หมุนตลอด สลัดปัดทิ้งๆ ปุ๊บๆๆ เลย
    <O:p</O:p
    นี่ก็เหมือนกันเอาจนขาดสะบั้น ฟ้าดินถล่มแล้วหมด ไม่มีอะไรมากวนใจ กิเลสเท่านั้นกวน มีกิเลสเท่านั้นละกวน พอกิเลสม้วนเสื่อออกไปแล้วไม่มีอะไรกวน พระอรหันต์ไม่มีทุกข์ หมด ว่างไปหมดเลย ที่มันไม่ว่างตรงไหนๆ มีแต่กิเลสเสียบแทงหัวใจ ท่านทั้งหลายจะฟังก็ฟังเสีย ธรรมพระพุทธเจ้า สฺวากฺขาโตภควตาธมฺโม หรือสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว มันไม่ชอบแต่พวกเรา จึงระเกะระกะไม่เป็นท่าเป็นทาง ให้ฟังเทศน์ฟังธรรมก็ไปง่วงหลับง่วงนอนนะ ลากไปแล้วมันก็ไม่อยากไป ลากไปครั้นไปแล้ว โอ้ย นอนยังไม่อิ่มนอนอีกหน่อย มันเป็นอย่างนั้น
    <O:p</O:p
    เวลามันได้ท่ามาแล้วทีนี้มันไม่นอนนะ ต้องบังคับเอา อย่างที่ว่านั่นละเอาพุทโธบังคับ ให้สงบอยู่กับพุทโธ ไม่ให้คิดออกทางด้านปัญญา มันหมุนติ้วๆ ครอบโลกธาตุสติปัญญา หักเข้ามาให้อยู่กับพุทโธๆ คำเดียว พักจิต สงบแน่ว เอาล่ะแค่นี้เป็นพักๆๆ เราจะหมุนทีเดียวว่าให้มันได้ไม่ได้นะตายก่อน ต้องมีการพักการทำงาน นี่ได้ทำมาแล้วนี่ ๙ ปี พรรษา ๗ ออก ออกปฏิบัติ เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี พอหยุดเรียนแล้ว..เพราะเรามีคำสัตย์คำจริง พอถึงนั้นแล้วหยุดกึ๊กเลยนะ ไม่มีเงื่อนต่อ เราเรียนจบได้มหาเท่านั้นละเราจะออก นักธรรมตรี โท เอก ไม่ต้องว่า นักธรรมโทมันก็ได้มาของมันเรื่อยๆ จนถึงขั้นนักธรรมเอกได้ปีเดียวกัน เวลาเดียวกัน
    <O:p</O:p
    วันนี้เปิดให้ท่านทั้งหลายฟังนะผลของการปฏิบัติมาเป็นอย่างไร เวลาอยู่ในป่าในเขาใครไปรู้เมื่อไร หายใจฟอดๆ ลงมาจากภูเขาบิณฑบาตในหมู่บ้าน คือไม่ได้ฉันทุกวันนะ แล้วแต่จะอดสักกี่วัน สี่วันห้าวันหกวันเจ็ดวัน ถ้ามันนานเข้าแล้วอดนานไม่ได้ ก้าวขาไม่ออก ต้องลดลงมาสี่วันห้าวันไป ไปบิณฑบาตมาฉัน นอกนั้นอดๆ เพราะเรารู้สึกจะถูกทางด้านอดอาหารนะ ถ้าว่าผ่อนไม่อยากผ่อน ถ้ากินแล้วมันฟาดหมดหม้อเลยนะถ้าได้กิน ข้าวก็หมดหม้อ แกงก็หมดหม้อ มันหยุดไม่ได้ จะให้ผ่อนได้อย่างไร อันนี้รออยู่นี้แล้ว ซัดเลย ขี้แตกเยี่ยวราดมันก็ไม่ถอย
    <O:p</O:p
    เวลาไม่ฉันไม่ฉันเลย มันผ่อนไม่เป็นน่ะเรา ไม่สนใจจะผ่อนหัวมัน เวลานี้เป็นเวลาจะกินจะผ่อนหาอะไร ฟาดเต็มเหนี่ยวเลย ทีนี้เวลาไม่กินไม่กิน กี่วันหกวันเจ็ดวัน แต่สติดีมากนะ เราจึงหนักไปทางอดอาหาร อดอาหารนี้สตินี้ดีมาก ไม่เผลอตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอเลย พอเอาอาหารออกสติขึ้นได้ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ไม่มีเผลอเลย ฟังซิ อดไปหลายๆ วัน ทำทุกอย่างที่จะเป็นประโยชน์
    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าท่านอดพระกระยาหารท่านไม่ได้มีภาวนาแฝงนะ ท่านอดเฉยๆ เพื่อจะตรัสรู้ด้วยการอดอาหารอย่างเดียวมันก็ไม่ถูก อันนี้เราอดมันอดเพื่อหนุนการภาวนาต่างหาก เราไม่ได้อดเฉยๆเพื่อตรัสรู้ด้วยการอดอาหาร ถ้าเวลาเราฉันมากมันเหมือนรถบรรทุกของหนัก มันไม่สะดวก เลยผ่อนขึ้นผ่อนลงอยู่อย่างนั้น คือต้องใช้ปัญญาพิจารณา จนท้องเสียนะเรา คือมันไม่ค่อยฉัน ท้องเสีย เราก็ยังระลึกถึงคุณหมอเติ้งนะ
    <O:p</O:p
    มันจะไปจริงๆละ หยุดมานานแล้วนะแต่มันไม่หยุดท้อง มันเป็นโรคเรื้อรังแล้ว หมอเขาตรวจคนไหนเขาก็บอกเป็นเสียงเดียวกั เป็นอะไรเป็นถึงขั้นมะรงมะเร็ง มะเร็งลำไส้ ไปไม่รอด เขาบอก หมอทั้งหลายบอกไปไม่รอด หมอเติ้งเอาได้ หมอเติ้งคนจีน เป็นชาวจีน แกกำหนดให้เอง ฉันวันหนึ่งเท่าไร แกบอกไม่ให้เคลื่อนคลาดนะ ให้ฉันวันหนึ่งเท่าไร ฉันกี่ครั้ง แกก็บอกไว้ให้ เราก็ฉันตามนั้น หายเลยนะ นี่แปลกอยู่ โรคที่มันจะไปถ่ายเดียว หมอบอกว่าจะตายทั้งนั้น มันเป็นมะเร็งในลำไส้ อย่าไปประมาทนะ หมอจีนเอาได้ พอฉันยาหมอจีนเข้าไป ประมาทสักกี่แก้วนะ คือแกกำหนดให้เลย ฉันให้หมด เอาขนาดไหนแกบอกให้ฉันให้หมด หายเลย ยังเป็นหลวงตาบัวว้อๆ หายจากยาหมอเติ้ง ยาจีน เลยหายจริงๆ นะท้องหายหมดเลย ที่มันจะตายๆ หายขาดเลยจนกระทั่งทุกวันนี้
    <O:p</O:p
    นี่ก็เพราะอดอาหาร อดอาหารเท่าไรมันยิ่งภาวนาดีๆ มันก็ไม่อยากสนใจกับอาหาร ธรรมดาอดติดกันไปกับการภาวนาอยู่อย่างนั้น มาฉันสองวันเว้นสองวันจากนั้นอดไปเลย เพราะการอดมันดีกว่าการฉัน เวลาหนักเข้าๆ มันจะตาย จึงได้ยาหมอเติ้งมากิน หมอเขาบอกลับๆ นะ เขาไม่ได้บอกเปิดเผย โรคนี้เป็นโรคมะเร็งในลำไส้เขาว่า จะตายแน่นอน เขาไม่บอกเราด้วยนะ เขารู้เฉพาะหมอ หมออะไรมาตรวจเขาก็ว่าอย่างนั้นนะ หมอเติ้งซัดอันเดียวเรียบวุธ
    <O:p</O:p
    นี่ละมีแต่การฝึกการทรมานทั้งนั้นที่ว่านี่ มาเห็นอาหงอาหารเต็มศาลามันจะท่วมหัวคน อย่าว่าหัวพระเลย กลับไปอยู่ในป่าในเขาได้ฉันอะไรบ้าง คนอยู่ในป่าในเขา มีสามหลังคาเรือน สี่หลังคาเรือน มีอยู่ทั่วๆไปนะ เรามองไปเห็นภูเขาอย่าเข้าใจไม่มีคน มี บางที่ก็มีสี่ห้าหลังคาเรือน อย่างมากแปดเก้าหลังคาเรือน เราบิณฑบาตกับเขา ได้อะไรมาก็กิน เราหาอย่างนั้นนี่ ไปตำหนิคนใดคนหนึ่งไม่ได้ เราเป็นคนหาเอง อยู่อย่างนั้นละอดอาหาร
    <O:p</O:p
    อาหารไม่ได้มี มีแต่ข้าวเปล่า ข้าวเปล่ากินมากอะไรนักหนาใช่ไหม ตัวเบาเดินจงกรม นั่งไม่ง่วง ถ้ามีกับละเอาล่ะ ถ้ามีแต่ข้าวเปล่าๆ ไม่ง่วง ตัวเบา ฉันไม่ได้มาก ทำทุกอย่าง เวลาทำความเพียรเหมือนจะไม่ได้เหลือยังชีวิตเป็นคน เพราะนิสัยอันนี้มันผาดโผน ถ้าทำอะไรเอาจริงเอาจังให้เห็นเหตุเห็นผลถึงจะปล่อย เอาอย่างนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งว่าอันนี้ผ่านหมดแล้ว กิเลสตกเวทีไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลย ทีนี้ไอ้ท้องมันเสียไม่ตกเวทีนะ ท้องเสียเสียไปเรื่อยๆๆ จึงได้ยาหมอเติ้งมาฉัน หมอเขาบอกว่าจะตายเป็นมะเร็งในลำไส้ เขาบอกลับๆ ไม่ให้เรารู้ แต่หมอเติ้งเอายาให้หายเลย ไม่อย่างนั้นตายไปนานแล้วละ
    <O:p</O:p
    เราทำอะไรนิสัยมันผาดโผนมองแล้ว เข้ากันได้กับที่ว่าตัวนี้ละ(ลูกศิษย์) อาจารย์มหาบัวเป็นอย่างไร เอาทุ่มเลย ท่านบอกทุ่มเลยนะ มีเท่าไรทุ่มหมดเลย เพราะท่านรู้นิสัยของเรา ปฏิปทาของเรามาพอแล้วท่านอาจารย์หลุยน่ะ เรื่องความเพียรท่านรู้มาพอ ไม่มีคำว่าถอย นั่นละท่านจึงบอกว่าให้ทุ่มเลย คือว่าไม่มีที่ต้องติเลยคงหมายความว่าอย่างนั้น เอาทุ่มเลย องค์นี้เป็นอย่างไรองค์นั้นเป็นอย่างไรท่านก็เล่าให้ฟังธรรมดาใช่ไหมละ พอมาถึงเราบอกว่าทุ่มเลย มีเท่าไรทุ่มเลย เอาล่ะนะสายแล้ว <O:p</O:p


    <O:p</O:p

    รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่<O:p</O:p
    www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th<O:p</O:p
    และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz<O:p</O:p
    พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=5339&CatID=2<O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...