ไตรภูมิ-พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ตุปั๊ดตุเป๋, 20 มีนาคม 2019.

  1. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ไตรภูมิ
    โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
    คัดตอนจากไฟล์อริยบุตรหนังสือธรรมะ

    สารบัญ
    ๑.กรรมที่นำไปสู่นรก
    ๒.ทาง ๔ แพร่งสู่โลกันตนรก และสำนักพระยายม
    ๓.การพิจารณาโทษของพระยายม
    ๔.นรกขุมใหญ่ ขุมที่ ๑-๕
    ๕.นรกขุมใหญ่ ขุมที่ ๖–๘
    ๖.กรรมที่นำสู่อเวจีมหานรก
    ๗.นรกบริวาร”อุสสุทนรก” ขุมที่ ๑–๔
    ๘.ยมโลกียนรก ขุมที่ ๑-๒
    ๙.ยมโลกียนรก ขุมที่ ๓–๕
    ๑๐.ยมโลกียนรก ขุมที่ ๖-๑๐
    ๑๑.ดินแดนของเปรต ๑๒ จำพวก
    ๑๒.เปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร
    ๑๓.อสุรกาย พวกที่ ๑-๒ และ สัมภเวสี
    ๑๔.สัตว์เดียรัจฉาน

    ๑๕.มนุษย์ กับคน
    ๑๖.เมืองมนุษย์
    ๑๗.อทิสมานกาย
    ๑๘.ภุมเทวดา
    ๑๙.ชั้นต่างๆ ของเทวดา
    ๒๐.พระจุฬามณีเจดีย์สถาน
    ๒๑.สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    ๒๒.สวรรค์ ๔ ชั้น
    ๒๓.พรหมชั้นที่ ๑-๑๖
    ๒๔.พรหมชั้นที่ ๑๒-๑๖
    ๒๕.อรูปพรหม
    ๒๖.พระนิพพาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2019
  2. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑.กรรมที่นำไปสู่นรก

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้อาตมามีโอกาสพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทตามปกติ

    สำหรับต่อไปนี้จะเห็นว่าเป็นการสิ้นปีสำหรับพุทธศักราช คือว่าพุทธศักราชนี้เขาเริ่มเลิกกันกลางเดือนหก เปลี่ยนเป็นระบบใหม่ เรียกว่าขึ้นปีใหม่สำหรับพุทธศาสนา แต่ทว่า พ.ศ. ที่เขาใช้กันนั้นจะเปลี่ยนเดือนมกราคมหรือว่าเมษายนก็ตาม เป็นเรื่องของบ้านเมือง

    แต่ว่าสำหรับเรื่องของพระพุทธศาสนานั้นก็มาเปลี่ยนกันกลางเดือนหก เพราะเป็นเขต เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน ฉะนั้น เมื่อศักราชเปลี่ยนไปใหม่ถึงปีใหม่ก็ชื่อว่า เป็นการขึ้นถึงปีใหม่ของพระพุทธศาสนา ฉะนั้น บรรดาเรื่องราวของหลวงพ่อปาน ที่อาตมาได้พูดมากับพุทธบริษัทในตอนต้นๆ หรือตอนก่อนมาแล้ว ก็เป็นอันว่าระงับไป

    ความจริงเรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้นยังไม่จบ ถ้าจะพูดกันให้จบอีกสามปีก็ไม่จบ คราวนี้ถ้าหากบรรดาท่านพุทธบริษัทอยากจะทราบว่าไปขมวดจบกันตอนไหน อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทถ้าอยากจะทราบ โปรดหาหนังสือประวัติของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยามาอ่าน ซึ่งอาตมาได้เล่าจากการบันทึกและที่บันทึกตุนเข้าไว้ จัดพิมพ์ขึ้น โดยคุณอรอนงค์ คุณเกษม เป็นเจ้ามือใหญ่ แล้วก็สิบตำรวจพัว ชระเอม จังหวัดสิงห์บุรี ตำบลบางพุทรา อยู่ใกล้ตลาดสิงห์บุรีเป็นผู้ให้ทุนเริ่มต้น แล้วก็คุณสุวัฒน์อีกคนหนึ่ง ลืมนามสกุล ให้ทุนเริ่มต้น ทั้งสองท่านนี้ให้ทุนท่านละ ๔,๐๐๐ บาท หนังสือนี้พิมพ์ ๓,๐๐๐ เล่ม รวมเงินแล้ว ๖๐,๐๐๐ บาท

    ฉะนั้น หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทอยากจะทราบความเป็นมาของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขอให้ติดต่อที่สิบตำรวจพัว ชระเอม ตำบลบางพุทรา จังหวัดสิงห์บุรีอยู่ใกล้ๆกับจังหวัด อาตมาเองก็ไม่รู้จักบ้านเหมือนกัน ที่บ้านท่านมี แล้วก็ที่อาตมาก็มีอยู่บ้าง แล้วก็ที่คุณสุวัฒน์ เวลานี้ทราบว่าไปเป็นป่าไม้อยู่จังหวัดเชียงใหม่ รายนี้ก็มีอยู่ ๒๕๐ เล่ม ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพผู้ออกเงิน เป็นอันว่าเรื่องราวของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังต่อจากนี้ไป ก็มาเริ่มเรื่องกันใหม่ เริ่มอะไรดี ยังนึกไม่ออก

    เอายังงี้ก็แล้วกันนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย คือว่าเราพูดกันถึงเหตุมานานแล้ว การที่นำเอาเรื่องราวของหลวงพ่อปานและคณะศิษยานุศิษย์ก็ดี หรือว่าพระรุ่นท่าน พระเพื่อนท่านก็ตาม เอามาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง

    อันนี้เป็นเหตุ เหตุที่บอกก็บอกว่าถ้าใครทำความดีแบบนั้น ใครทำความชั่วแบบนั้น จะไปสู่อบายภูมิหรือว่าไปสู่สวรรค์ ไปสู่พรหมไปสู่พระนิพพาน นี่เรียกว่าเราเล่าต้นทาง แล้วก็พาดพิงไปถึงปลายทางว่า ถ้าทำแบบนี้ละก็ ท่านจะต้องไปนรกหรือว่าไปสวรรค์ ไปพรหมโลกหรือไปนิพพาน ตอนต้นเรากล่าวกันอย่างนั้น คราวนี้ มาว่ากันถึงผล

    ต่อจากนี้ไปจะขอให้เรื่องที่พูดนี้ เรียกกันว่าเรื่อง "ไตรภูมิ"

    ไตรภูมิ แปลว่า ภูมิสาม ภูมิก็แปลว่าแผ่นดินหรือสถานที่อยู่ เป็นสถานที่ที่อยู่กัน เราเรียกกันว่าภูมิ สำหรับภูมิในที่นี้ จะกล่าวถึงอบายภูมิ แล้วก็สวรรค์ พรหมโลก ดีไม่ดีก็จะย่องพูดถึงเรื่องนิพพานสักนิดหนึ่ง เพราะกันตัวอาตมาเองเป็นมิจฉาทิฐิ สำหรับคนอื่นไม่เกี่ยว

    อาตมาน่ะเป็นห่วงตัวเอง ห่วงความเป็นมิจฉาทิฐิของตัวเอง ที่เทศน์ว่าพระนิพพานสูญมานาน ใครเขาจะถามถึงพระนิพพานก็บอกเลย บอกว่าพระนิพพานนี่มีสภาพสูญ มีอุปมาดุจหนึ่งว่าควันไฟที่ลอยไปในอากาศ จะมีที่เกาะที่พักมันก็ไม่มีฉันใด

    แม้พระที่เข้าสู่พระนิพพานก็เหมือนกัน มีสภาพเหมือนควันไฟ นี่ไปค้านกับคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้า เพราะว่าไปค้นในพระไตรปิฎก ไปพบเอาตอนที่พระพุทธเจ้าทรมานท้าวผกาพรหม ที่ท้าวผกาพรหมท่านบอกว่าพรหมทั้งนั้นแหละเป็นความสุขสูงสุด และพรหมไม่เป็นอนัตตา พรหมเป็นอัตตาไม่มีการสลายตัว

    ทั้งนี้ก็เพราะว่าอาศัยพวกระฆังเล็กๆทั้งหลายสนับสนุนยุยงส่งเสริม เห็นว่าท่านผกาพรหมเป็นพรหมที่มีวาสนาบารมีมากก็เลยยุท่านส่งเดชเข้าให้ ท่านผกาพรหมก็เมามัน ไอ้เสียงคนนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท กรอกหูนานๆมันอดจะเขวไม่ได้หรอกเป็นเรื่องธรรมดา

    ทีนี้ในเมื่อท่านผกาพรหมท่านเมาเข้าแล้วท่านก็เลยคิดว่าในเมื่อพรหมเป็นอมตะ เป็นแดนไม่ตาย เป็นแดนที่มีความสุขมากที่สุด เวลานี้พระสมณโคดมออกจากตระกูลศากยราชมาบวชแล้ว ก็ประกาศว่าสิ่งที่สูงสุดยิ่งกว่านั้นมีอยู่ คือพระนิพพาน

    ยิ่งกว่าพรหม สูงกว่าพรหม มีพระนิพพานเป็นที่ไป แล้วก็เป็นแดนสูงสุด มันจะจริงหรือไม่จริงเราไม่เชื่อ เมื่อพระพุทธเจ้าทราบวาระน้ำจิตของท่านผกาพรหม ก็เสด็จไปสู่พรหมท้าทายกันด้วยเรื่องฤทธิ์ต่างๆเพื่อเป็นการทรมาน

    ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็บอกว่า หากว่าท่านเก่งจริงละก้อ เล่นซ่อนหากับเรา พระพุทธเจ้าให้ท้าวผกาพรหมซ่อนก่อน จะซ่อนที่ไหนก็ตามพระพุทธเจ้าก็มองเห็น ในที่สุดหมดท่า ก็ให้พระพุทธเจ้าซ่อนบ้าง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ซ่อน ท่านประทับนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วก็ทำให้ท้าวผกาพรหมไม่เห็น พระองค์ก็ทรงแสดงเสียงให้ปรากฏ ท้าวผกาพรหมก็มองไม่เห็นว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ตรงไหน

    เป็นอันว่าท้าวผกาพรหมยอมแพ้พระพุทธเจ้า ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ผกาพรหมเธอเป็นมิจฉาทิฐิเพราะคำป้อยอของคนอื่น บรรดามารทั้งหลาย คำว่ามารในที่นี้ไม่ได้แปลว่ายักษ์ มารแปลว่า ผู้ฆ่า คือความเห็นที่ไม่ถูกทางของบุคคลผู้ยุยงส่งเสริม พยายามเกลี้ยกล่อมชักจูงเธอให้เห็นผิด

    เธอเกิดเป็นพรหมมาหลายรอบหลายจังหวะ เกิดเป็นพรหมชั้นสูงแล้วมาเกิดเป็นพรหมชั้นต่ำ แล้วก็ต่ำลงมา อาศัยที่เธอบำเพ็ญบารมีมามาก ไปเป็นพรหมเสียหลายร้อยกัปหลายพันกัป จึงลืมสภาวะเดิม ลืมเรื่องของการจุติ การเกิดการตายในแดนที่ไม่ใช่พระนิพพาน ต่อจากนี้ไป เธอจงเป็นผู้เห็นถูก

    ในที่สุดท้าวผกาพรหมก็ยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า ดินแดนที่มีสุขยิ่งกว่านี้มีอยู่นั่นคือพระนิพพาน

    เห็นไหมเล่า บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าทรงยืนยันพระนิพพานว่าเป็นดินแดนพิเศษ เป็นทิพย์พิเศษ สูงยิ่งกว่าพรหม คราวนี้เรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา เรื่องพระนิพพานนี่ ถ้าเรายังไม่เห็น เราก็อย่าพึ่งรับรองกันนักว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง

    ถ้าใครเขาถามขึ้นก็บอกว่าพูดตามตำราไว้ก่อน ต่อมาเมื่อเราเข้าถึงทิพจักขุญาณแล้ว ก็สามารถเจริญวิปัสสนาญาณถึงระดับพอที่จะเห็นพระนิพพานได้ ตอนนั้นเราค่อยพูดกันเรื่องพระนิพพาน

    จะพูดกันได้ตอนไหน ก็ตอนที่ท่านทั้งหลายเจริญสมถะพอสมควรจนได้ทิพจักขุญาณแล้ว แล้วก็เจริญวิปัสสนาญาณให้เข้าถึงโคตรภูญาณ

    โคตรภูรู้จักไหม? ถ้าไม่รู้จักก็จะบอกว่า อยู่ระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ ส่วนหนึ่งของใจยังเป็นโลกียชน อีกส่วนหนึ่งของใจจะเป็นโลกุตตรชน จะเป็นพระโสดาบัน (อาการจะเป็นยังไง ไม่ใช่มานั่งสอนพระกรรมฐาน, ไม่บอก) ตอนนั้นแหละท่านทั้งหลายจะอาศัยทิพจักขุญาณเห็นพระนิพพานได้แบบสบายๆ

    ตอนนั้นแหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เราพูดกันถึงเรื่องพระนิพพาน เวลานี้ท่านเห็นเปรตบ้างไหม เปรตมีสภาพหยาบที่สุด ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถเห็นเปรตก็อย่าเพิ่งพูดเรื่องของพระนิพพาน ถ้าพูดแล้วมันผิด

    ทีนี้เรื่องของพระกรรมฐานนี่นะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท มีหลวงพี่องค์หนึ่งท่านสอนมาทางอากาศว่าอย่าเที่ยวนำพูดเพ้อเจ้อไปนะ เรื่องกรรมฐานนี่ ต้องพูดเฉพาะในเวลาที่สมควร ถ้ายังไม่ถึงเวลาสมควรมาพูดละดีไม่ดีเป็นอวดอุตตริมนุสสธรรม ตีความหมายเป็นอย่างงั้นนะ

    อาตมาฟังแล้วก็สงสัย ไม่รู้ว่าพระอะไรได้ยินแต่เสียง ก็อยากจะถามท่านเสียตอนนี้เลยว่าไอ้ "เวลาสมควร" น่ะ มันตรงไหนเวลาเท่าไหร่ เมื่อไรจึงจะสมควร เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาสเขาเจริญพระกรรมฐานกัน มีหลายท่านได้ทิพจักขุญาณ ไปนั่งอายเขามานี่หลายคนแล้วนะ จะบอกให้

    ผู้หญิงบางทีเรียนนอกเรียนนามาตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ ๗ ขวบ กว่าจะเข้ามานับถือพระพุทธศาสนาก็ ๓๐ ปีเศษ เขาได้ทิพจักขุญาณ เขาสามารถใช้กำลังจิตรักษาโรคก็ได้ นี่อำนาจพระกรรมฐานเข้าไปถึงฆราวาสแล้วหลวงพี่

    แล้วถ้าหลวงพี่ยังจะมานั่งคอยเวลา "สมควร" น่ะ นี่ถามจริงๆเถอะพ่อคุณ บวชเข้ามาเวลานี้น่ะปฎิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าการบวชจะต้องถือกฎ ๓ อย่างเป็นสำคัญ
    หนึ่ง อธิศีลสิกขา รักษาศีลยิ่งกว่าฆราวาส
    สอง อธิจิตสิกขา ทำจิตให้มั่นคงในสมาธิที่เรียกกันว่าได้ญาณ
    สาม อธิปัญญาสิกขา ทำจิตใจของเราให้ผ่องใสจากกิเลส

    ทำหรือเปล่า อันนี้ต้องทำตั้งแต่วันบวชนะ เข้าใจว่าไม่รู้เรื่องหรอกหลวงพี่องค์นั้นน่ะ นี่คงจะบวชเข้ามาแล้วก็ทำตัวเป็นฆราวาสเอาเด่น แล้วเวลาพูดก็เห็นอ้างพระอาจารย์อะไรต่อพระอาจารย์อะไร พระอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้นยังเมาอยู่ในลาภยศ สรรเสริญ สุข ตามธรรมดาน่ะ

    พระที่บวชเข้ามาน่ะ เขาเกาะพระพุทธเจ้ากันนะ เขาไม่ได้เกาะพระที่มีกิเลส ก็หลวงพี่ไปเกาะพระที่มีกิเลสเป็นสรณะแล้วกิเลสมันจะหมดหัวได้ยังไง แสดงว่ากิเลสยังเต็มหัวอยู่ เรื่องของพระกรรมฐานเป็นเรื่องธรรมดาที่พุทธบริษัทควรรู้

    ถ้าเราไม่พูดเมื่อไรเขาจะรู้ จะมานั่งหลอกลวงเขากินอยู่หรือว่าเราบวชเข้ามาแล้วน่ะดียังงั้นดียังงี้ ควรแก่การไหว้ สักการะของบรรดาพุทธบริษัท แต่ความจริงแล้วจะพูดเรื่องกรรมฐานก็บอกไม่สมควร นี่มันดีหรือหลวงพี่?

    จำไว้นะ จำไว้ให้ดีว่า เราบวชเข้ามาแล้วจงเอาสวรรค์ เอาพรหมโลก เอาพระนิพพานเป็นปัจจัยของเรา เอาสิ่งทั้งสามประการเป็นที่พึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่เราจะบวช เวลานี้นักปรูดทั้งหลาย (ไม่ใช่นักปราชญ์) ตัดความสำคัญออก

    เมื่อก่อนนี้เวลาเขาจะบวชบอกกับอุปัชฌาย์ว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน แต่เวลานี้นักปรูดทั้งหลายตัดทิ้งไป ใช้อะไรเสียก็ไม่ทราบ

    ไปขึ้นเอสาหัง ก็ปรารภพระนิพพานในเบื้องต้นเหมือนกัน ในเมื่อเราบวชเข้ามาปรารภพระนิพพาน แล้วเวลาเราบวชเข้าแล้วจริงๆ เราจะมาปรารภลาภยศสรรเสริญสุขเพื่อประโยชน์อะไร เป็นอันว่าหลวงพี่เข้าใจผิดเสียแล้วนะ หลวงพี่นะ ดีไม่ดีผมจะบอกว่าหลวงพี่นั้นแหละเวลานี้กำลังใจยังทรามกว่าฆราวาสที่เป็นผู้หญิงหลายคนที่เขาปฎิบัตตนได้ดีกว่าหลวงพี่นะ เพราะเห็นว่าควรแล้ว

    เวลานี้กรรมฐานตั้งสำนักกันอย่างกับดอกเห็ดมีทั่วประเทศ มีกระทั่งนอกประเทศ ถ้าเวลานี้ยังไม่สมควรพูดเรื่องกรรมฐาน เวลาไหนมันจะควร หรือว่าจะรอให้กิเลสมันเลยหัวไปสักหน่อยแล้วจึงจะควร อันนี้เราฟังกันไว้แล้วก็คิดด้วยนะ ถ้าหลวงพี่องค์นั้นรับฟังละก้อ เอาไปคิดด้วย แล้วก็จงรู้ตัวเสียด้วยว่าเราทำเราพูดน่ะมันไม่ควร

    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อาตมาเป็นคนปากเสียเป็นปกติ แต่เสียแบบนี้เสียในฐานะเพื่อจะตักเตือนเพื่อนพระด้วยกัน ให้บวชให้เป็นพระ ไม่ใช่บวชเข้ามาแล้ว แล้วก็จะเอาปฏิปทาอย่างอื่นมาใช้ ประเดี๋ยวจะพูดให้ฟัง เรื่องทะเลาะกับพระขอยกไป ต่อจากนี้ไปก็มาเริ่มเรื่องกันใหม่ เลิกทะเลาะกันแล้วนะ หลวงพี่องค์นั้นก็เหมือนกัน ทีหลังถ้าจะทะเลาะกับผมละก็ ฟังเรื่องต่อไปว่าท่านชอบอะไร

    วันนี้ เรามาเริ่มเรื่องไตรภูมิกัน แล้วเราจะไปไหนกันก่อนล่ะ มีอบายภูมิสี่ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน นี่จัดเป็นภูมิที่หนึ่ง ภูมิที่สองก็ได้แก่สวรรค์ชั้นกามาวจรสวรรค์ ภูมิที่สามก็ได้แก่พรหม พระนิพพานยังไม่เกี่ยว สามภูมินี่เราจะไปไหนกันก่อน ขอชวนบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพไปเที่ยวนรกกันก่อนดีกว่า

    ต่อจากนี้ไป เราไปทัศนาจรนรกกัน แน่ะ พูดทันสมัยเสียด้วย ไอ้ทัศนาจรนี่น่ะมันเป็นศัพท์ภาษาบาลีแกมไทย ทัศนะ จระ จระเป็นภาษาบาลี ไทยล่อจรเข้าไป ก็เรียกว่าเที่ยวไปดูนรก ทัศนาจรแปลว่าเที่ยวดู ดูอะไร ดูนรก ตานี้เราจะไปนรก เราก็มาคิดดูว่าเราจะไปอยู่เลย หรือว่าเราจะไปเที่ยว

    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทมีความสมัครใจจะอยู่นรกขุมไหน ตามอาตมาไปแล้วก็สมัครใจอยู่ได้เลย อาตมาจะบอกปฏิปทาให้ว่าเขาบำเพ็ญบารมีอะไร จึงอยู่ขุมนรกนั้นได้ แต่ใครไม่อยากอยู่ก็ไปเที่ยวเฉยๆก็แล้วกัน เวลากลับก็กลับด้วยกัน

    ทีนี้เวลานำเที่ยวเวลานี้ใช้ยานอะไรเป็นพิเศษ? ไม่ยากใช้ยานหนังสือเรียกว่าใช้ยานหนังสือเอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก นี่คนชั้นดีเขาต้องทำยังงี้นะ นี่ไม่มีใครเขายกก็ยกมันเองละ ไปมัวคอยชาวบ้านยกย่องสรรเสริญ เมื่อไรเขาจะยก

    ก็เอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก แล้วก็เอาเรื่องที่พระคณาจารย์ทั้งหลายที่ทรงฌานทรงญาณพิเศษ อย่างพระโมคคัลลาน์ไปพบเห็นมา เอามาพูดต่อ รวมกันเข้าไป ญาติโยมทั้งหลายจะได้ทราบว่าตอนนี้ ที่นี้ นรกชั้นนี้ สวรรค์ชั้นนี้ วิมานแบบนั้น เขาบำเพ็ญบารมีอะไรเข้าไว้ จึงจะได้อยู่อย่างนั้น นี่เป็นอันว่าเข้าใจ

    ทีนี้ ต่อจากนี้ไป ก่อนที่จะเดินทางไปนรก เราก็มาหาทุนกันก่อน ไปไหนไม่มีทุนนั้นไม่ได้ ทุนในที่นี้ไม่ใช่เงินไม่ใช่ทอง แต่ว่าเป็นทุนการบำเพ็ญบารมี เรามาพูดกันเสียก่อนว่าบารมีที่จะทำให้คนลงนรกน่ะ มันมียังไง เขาจึงได้ลงกันได้ นรกน่ะแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือนรกขุมใหญ่ กันยมโลกียนรก แล้วก็เฉพาะนรกขุมใหญ่แต่ละขุมก็มีนรกบริวารด้านละ ๔ ขุม ๔ ด้าน เป็นอันว่านรกขุมใหญ่ ๑ ขุมมีนรกบริวาร ๑๖ ขุม

    แต่ว่าสัตว์นรกที่จะผ่านนรกบริวารก็ผ่านแต่เพียง ๔ ขุม เพราะออกด้านใดด้านหนึ่งก็ผ่านสี่ขุม นรกขุมใหญ่นี่เราเรียกกันว่า "นรกแป๊ะเจี๊ยะ" หมายความว่าลงโทษไม่จำกัดโทษ ไม่ใช่แยกประเภท สำหรับยมโลกียนรกนั้นแยกประเภท

    คือหมายความว่าถ้าคนใดทำกรรมชั่วไปลงนรกขุมใหญ่ก่อน ลงขุมนี้เวลาจะออกจากขุมนี้ผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม ถ้ากรรมชั่วอย่างหนักยังไม่หมดก็ไปลงขุมโน้นต่อไป ออกจากขุมนั้นก็ผ่านนรกบริวารอีก ๔ ขุม นรกขุมใหญ่นี้ เรียกกันว่านรกแป๊ะเจี๊ยะ ไม่จำกัดโทษ ตรงกันข้ามกับยมโลกียนรก เขาแยกโทษเข้าไว้

    ทีนี้มาว่ากันไป นรกขุมใหญ่มีโทษอะไร นี่ศึกษาบารมีการลงนรกเสียก่อน คนที่จะลงนรกต้องสร้างบารมี ต้องบำเพ็ญบารมี ถ้าบารมีไม่ถึงเขาก็ขับไปสวรรค์บ้าง ขับไปพรหมโลกบ้าง ขับมาเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์เดียรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เห็นอสุรกายบ้าง เขาไม่ยอมให้ลง แต่ถ้าหากว่ามีบารมีสมควร เขาก็ยินดีรับเอาไว้ในนรกนี่เฉพาะนรกขุมใหญ่นะ

    บรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพที่กำลังรับฟังและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท จะพูดให้ฟังว่านรกขุมใหญ่มีอะไรบ้างที่เราจะได้ไปน่ะ ต้องสร้างบารมีอะไร บารมีที่จะลงนรกขุมใหญ่นั้นท่านกล่าวว่า ต้องสร้างบารมี ๑๐ อย่างครบถ้วน สุดแล้วแต่หนักเบา ถ้าสร้างเบาหน่อยก็ลงนรกขุมที่ ๑ หนักลงไปอีกนิดก็ลงนรกขุมที่ ๒ หนักลงไปอีกหน่อยก็ลงนรกขุมที่ ๓ หนักไปตามลำดับ

    ถ้าหนักเต็มที่ลงนรกขุมที่ ๘ เรียกว่า "อเวจีมหานรก" แล้วก็มีนรกพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหนักล้นเกินไปละก้อลงโลกันตนรกแล้วจึงจะถอยมาสู่อเวจีมหานรก บารมีที่เขาปฏิบัติ ๑๐ อย่างก็คือ กรรมบถ ๑๐ ใครไม่เคารพกรรมบถ ๑๐ ต้องลงนรกขุมใหญ่ ๑๐ หรือเรียกว่าใครไม่เคารพในกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ มีโอกาสได้อยู่นรกขุมใหญ่สบายๆมีวาสนาบารมีมาก กรรมบถทั้ง ๑๐ ประการมีควรเว้นมีอะไร คือ

    ๑. เราต้องไม่ฆ่าสัตว์ ถ้าเราฆ่าสัตว์ก็เรียกว่าเราไม่เคารพในกรรมบถข้อนี้
    ๒. การลักทรัพย์
    ๓. การประพฤติผิดในกาม ทั้งเมียเขา ทั้งลูกเขา ทั้งผัวเขา ทั้งลูกจ้างของเขา ขี้ข้าเขา ทาสเขา ทั้งนั้น จิปาถะ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตถือว่าเป็นการไม่เคารพกรรมบถ ๑๐
    ๔. ไม่พูดโกหกมดเท็จ
    ๕. ไม่ส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาแตกร้าวกัน
    ๖. ไม่พูดคำหยาบ
    ๗. ไม่พูดจาเพ้อเจ้อ เลอะเทอะหาประโยชน์มิได้
    ๘. เพ่งเล็งอยากจะลักทรัพย์ ขโมยทรัพย์ ปล้นทรัพย์ แย่งทรัพย์ คดโกงทรัพย์ของบุคคลอื่น
    ๙. จองล้างจองผลาญ ที่เรียกกันว่าความพยาบาท
    ๑๐. มีความเห็นไม่ตรงกับพระพุทธเจ้า ไอ้ส่วนที่เลวคิดว่าดี ส่วนที่ดีคิดว่าเลว ที่พระพุทธเจ้าตักเตือนแล้วไม่เอา

    นี่การบำเพ็ญบารมีเพื่อจะอยู่นรกขุมใหญ่ บำเพ็ญกันให้ครบ ๑๐ อย่างดีไหม บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เอ๊ะ ๑๐ อย่างนี่ไม่มีน้ำเมาไว้ด้วยนะ น่ากลัวนรกขุมใหญ่นี่เขาไม่รับคนชอบดื่มเหล้า คนชอบดื่มเหล้านี่ควรจะดีใจอย่าลืมนะบรรดาท่านผู้ฟัง และญาติโยมพุทธบริษัทที่กำลังรับฟัง และพระคุณเจ้าที่เคารพ อยากจะไปนรกท่องให้ดีนะ เฉพาะนรกขุมใหญ่

    ๑. พยายามฆ่าสัตว์เข้า
    ๒. ลักทรัพย์ ขโมยทรัพย์ ปล้นทรัพย์ แย่งชิงทรัพย์ คดโกงทรัพย์ใครเขามาทำบุญสุนทานกันเข้ากระเป๋าไว้บ้าง
    ๓. ไอ้เรื่องกาเมสุมิจฉาจาร เหมาะเมื่อไรว่าเมื่อนั้น ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องเลือกจะเป็นลูกใคร เมียใคร ขี้ข้าใคร คนรับใช้ใคร ลูกจ้างใคร ไม่เกี่ยว มีโอกาสจัดการเรื่อยไปแล้วผัวใครด้วยนะ
    ๔. เรื่องความจริงไม่ต้องพูดกัน โกหกมันดะ
    ๕. ยุยงส่งเสริมให้แตกร้าวกันเสีย มันสนุกดี มันทะเลาะกันได้ มันตีกันได้ มันฆ่ากันได้ เราสบายใจ
    ๖. เรื่องวาจาสุภาพอย่าไปพูดมัน พูดหยาบๆคายๆมึงมาพาโวย ด่าพ่อล่อแม่ใครก็ได้ตามอัธยาศัย
    ๗. เรื่องที่เป็นเรื่องอย่าพูด พูดมันแต่เรื่องที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน
    ๘. ทรัพย์สินของใครมีอยู่ ถ้าชอบใจ ตั้งใจเลยว่าเราจะขโมยของเขา
    ๙. จองล้างจองผลาญ จ้องประหัตประหารมันเรื่อยไปไม่ว่าใคร
    ๑๐. คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีความหมาย เราไม่เชื่อ มาพูดอะไรกัน เรื่องสวรรค์เรื่องนรก เรื่องอะไรต่ออะไรไม่เห็นมีความหมาย เราไม่เชื่อ

    เอาละ บำเพ็ญบารมี ๑๐ อย่าง อย่างนี้พอ พอที่จะลงนรกขุมใหญ่ได้แบบสบายๆพระยายมไม่รังเกียจ

    ตานี้ มานรกขุมเล็กอีก ๑๐ ขุม เรียกกันว่ายมโลกียนรก ทำรับเฉพาะ เรียกว่ารับเฉพาะ ไม่ใช่นรกแป๊ะเจี๊ยะ ทำอย่างนี้อยู่ขุม ๑ ได้ ทำอย่างนี้อยู่ขุม ๒ ได้ เขาเรียกกันว่าอะไร จะพูดบารมีให้ฟัง เวลามันใกล้จะหมด

    ถ้าอยากจะอยู่นรกขุมที่ ๑ ฆ่าสัตว์ให้หนัก
    อยากจะอยู่นรกขุมที่ ๒ เจ้าชู้ให้หนัก
    อยากจะอยู่นรกขุมที่ ๓ ลักขโมยให้หนัก คดโกงเขาให้หนัก
    ขุมที่ ๔ ดื่มน้ำเมาให้หนัก
    ขุมที่ ๕ โกงเงินทำบุญให้หนัก ทายกกับพระนี่ ระวังนะ ระวัง
    ถ้าชอบใจอยู่ขุมที่ ๕ สำหรับยมโลกียนรก โกงให้หนัก
    ๖ เป็นข้าราชการ โกงให้หนัก
    ๗ เรื่องซื่อตรงไม่มีสำหรับเขา
    ๘ เรื่องเมตตาปรานีไม่มีสำหรับเขา
    ๙ ด่าดะไม่เลือกว่าใคร
    ๑๐ ซ้อมคู่ครองให้หนัก

    นี่เป็นบารมีสำหรับยมโลกียนรกส่วนใหญ่ คนฆ่าสัตว์แล้วก็เลยลงนรกขุมใหญ่มาก่อน พ้นจากนรกขุมใหญ่แล้วเข้านรกบริวาร ๔ ขุม แล้วจึงมาเข้าขุมที่ ๑ นี่เขามาคิดบัญชีกันต่างหากเฉพาะอย่าง สำหรับนรกขุมใหญ่น่ะ เป็นนรกแป๊ะเจี๊ยะไม่ยอมคิดบัญชีให้ เรียกว่าอะไรๆก็ไปรวมอยู่ก่อน เสร็จจากนรกขุมใหญ่ก็มาไล่เบี้ยกันทีหลังว่าแกมีโทษอะไรบ้าง ฉันจะจัดการกับแกตามโทษนั้น

    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน นี่พูดไปพูดมา พูดมาพูดไป ก็เห็นว่าจะหมดเวลา ๓๐ นาทีเสียแล้วกระมัง เพราะดูเวลามันก็หมดแล้วนี่ เมื่อหมดแล้วสำหรับพุธนี้ก็ยังไม่ได้อะไร เพียงแต่ได้อารัมภบท มาบำเพ็ญบารมีลงนรกกัน เมื่อรู้บารมีแล้วก็ตั้งใจไว้จะไปนรกขุมไหน

    เอาละ สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาแล้ว อาตมาก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดีนะ นรกขุมใหญ่เขาไม่รับแล้วมันดีไม่พอ
     
  3. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒.ทาง ๔ แพร่งสู่โลกันตนรก และสำนักพระยายม

    ท่านสาธุชนทั้งหลายและพระคุณเจ้าที่เคารพ เมื่อวันพุธก่อนได้บอกบารมีให้แก่พระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทว่า การที่จะบำเพ็ญบารมีไปนรกเขาบำเพ็ญกันยังไง หวังว่าพระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทก็คงยังจะจำได้ แล้วก็คงตั้งใจบำเพ็ญบารมีกันครบถ้วนแล้ว

    เข้าใจว่าอย่างนั้นนะ เข้าใจว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทบำเพ็ญบารมีกันครบถ้วนแล้ว ถ้าอยากจะอยู่นรกเลยนะ ถ้าหากว่าบรรดาท่านทั้งหลายไม่มีความประสงค์จะอยู่นรก ไม่ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างนั้น ทำตามแบบฉบับที่พระพุทธเจ้าสอนคือทรงอธิศีลสิกขา รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทรงอธิจิตสิกขา

    พยายามเจริญสมถกรรมฐานให้มีจิตเป็นฌาน และทรงอธิปัญญาสิกขา พยายามเจริญวิปัสสนาให้จิตหมดจากกิเลสอย่างนี้ไม่ต้องอยู่ในนรก แต่เที่ยวนรกได้สบาย เป็นอันว่าพระคุณเจ้าที่เคารพและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่รักก็คงจะบำเพ็ญบารมีกันอย่างใดอย่างหนึ่งครบถ้วนแล้ว

    วันนี้เตรียมตัวเดินทางต่อไป แต่ว่าจะเดินทางถึงไหนก็สุดแล้วแต่เวลา แต่ว่าสถานี ๐๔ ตาคลี มีนาวาอากาศตรี มนูญ ชมภูทีป เป็นหัวหน้าหน่วยสื่อสาร แล้วก็มีพันจ่าอากาศเอก กฤษณ์ บำรุงพงศ์ เป็นหัวหน้าสถานี อนุญาตอาตมาภาพใช้สถานีท่องเที่ยวได้วันพุธละ ๓๐ นาที

    ความจริงเที่ยวจริงๆ ไม่ถึง ๓๐ นาที เพราะอะไร เพราะมัวเกะกะตามทาง อันนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทคงจะสงสัยว่าทำไมถึงเกะกะ นี่ก็ตอบไม่ยาก ท่านทราบภาษิตโบราณดีอยู่แล้วว่าหัวล้านนอกครู อาตมาก็มีสภาพเผ่าพันธุ์หัวล้านเหมือนกันก็เลยนอกครู ถ้าจะไม่นอกครูประเดี๋ยวเขาจะหาว่าเป็นคนหัวล้านไม่ปฏิบัติตามครู ครูหัวล้านก็เลยต้องเกะกะ เมื่อเกะกะก็เลยไปช้า ความจริงการไปช้าดีกว่าการไปเร็ว เพราะการไปเร็วไม่เห็นข้างทาง ประเดี๋ยวบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะหาว่า หมอนี่พาเที่ยวดูไม่ครบ

    เอาละ ต่อจากนี้ไปขอออกเดินทางกัน การเดินทางไปเมืองนรกไปยากเหมือนกัน หมายความว่าถ้าคนที่ได้ฌานก็ต้องทรงฌานสมาบัติถึงฌาน ๔ แล้วก็ทรงมโนมยิทธิ นี่พูดกันถึงว่าไม่ได้อภิญญา ๖ นะ ถ้าหากว่าท่านได้อภิญญา ๖ แล้วไม่ยาก

    สำหรับพวกที่ได้วิชชาสามแก่ขึ้นไปนิดหนึ่ง วิชชาสามอย่างแก่ได้มโนมยิทธิด้วย เรียกว่ามีอภิญญาติดหางเข้ามาหน่อยก็เข้ามโนมยิทธิถอดร่างกายใน ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ากายซ้อนกาย หรือกายในกายที่เคยพูดมาแล้วในมหาสติปัฏฐานสูตร ถอดร่างอันนั้นแหละออกจากกายเนื้อแล้วก็ออกเดิน เดินไปทางไหน

    บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพตามกระผมมา ความจริงเวลานี้ผมไม่ได้เดินไป ไม่เอากายในไป ไม่ได้เอากายนอกไป เอาปากไป ไปได้ยังไง? ไปตามตำรา เขาเรียกว่าไปตามพระไตรปิฎก หรือว่าไปตามแบบท่านอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ท่านพูดไว้ ไปตามนี้ไม่ยากจน จะหาหนังสืออ่านบ้างก็ได้ หาพบก็พบ ไม่พบก็แล้วไป ถ้าไม่พบก็จะเล่าไห้ฟัง ฟังต่อไป

    เมื่อตั้งท่ากันเรียบร้อยแล้วเตรียมรถเตรียมราเสร็จแล้วก็ออกเดินทางออกจากโลกนี้มุ่งหน้าออกทางทิศตะวันออก คอยฟังให้ดีนะ มุ่งหน้าออกทางทิศตะวันออก มีทางถนนใหญ่ขาวโพลน แลดูสะอาดจะว่าเหมือนสีขาวทาก็ไม่ใช่ ใสกว่า เรียบร้อยกว่า ดีกว่าถนนชั้น ๑ ในเมืองมนุษย์ เป็นทางใหญ่เดินไปสักครู่หนึ่ง ความจริงพวกที่เขาได้ฌานเขาเดินไม่นานหรอกเพียงแต่หายใจเข้าไม่ทันหายใจออกก็ถึง

    นี่เรามาค่อยๆ ย่องกันไปนี้ เราไปกันช้าๆ ประเดี๋ยวจะไม่เห็นอะไร เดินไปสักครู่หนึ่งจะถึงทาง ๔ แพร่ง มองไปข้างหน้าเห็นทางใหญ่ขาวลาดลงแล้วมองไปทางซ้ายเห็นเป็นเนินขึ้นน้อยๆ เป็นเนินขึ้น ทางขาวใหญ่เหมือนกัน มองไปทางขวาเป็นทางชันขาวใหญ่เหมือนกัน แล้วมองมาทางหลังก็เป็นทางเดินที่เราไป

    ที่ตรงนั้นมีเทวดาอยู่ ๑ องค์ยืนยามอยู่ พระที่ท่านนิพพานท่านชอบเรียกว่า “เทวดาอิน” ที่เรียกว่าเทวดาอินนี่น่ะไม่ใช่ว่าคนนั้นเป็นพระอินทร์ ไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงสมัยที่ท่านเป็นมนุษย์ท่านเป็นพระชื่อว่าหลวงตาอิน เมื่อสมัยเป็นพระท่านได้ฌานสมาบัติแต่ว่าเวลาตายลืมเข้าฌาน เรียกกันว่าตายนอกฌาน ไม่ใช่นอกชานกุฏินะ เรียกว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตายก็แล้วกัน ประเดี๋ยวจะเฝือ

    เมื่อเวลาจะตายไม่ได้เข้าฌาน ตายก็ไม่ได้ไปเป็นพรหม ตายนอกฌานแบบนี้เขาก็จับไปเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช มีหน้าที่ยืนยามอยู่ทาง ๔ แพร่ง อันนี้พระที่ได้ฌานสมาบัติท่านหนึ่ง ชื่อว่าอาจารย์ฉัตร องค์นี้เก่งมากเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานวัดบางนมโคเหมือนกัน แต่เป็นรุ่นพี่

    ท่านบอกว่าเวลาจะไปละก็ไปพบกับเทวดาองค์นี้ แกจะถามว่าไปเลยหรือว่ากลับ คำว่าไปเลยก็หมายความถึงว่าตายไปแล้ว ถ้าหากบอกว่ากลับก็หมายความถึงว่าพระที่ได้ฌานหรือท่านที่ได้ฌานไปแล้วต้องกลับก็รายงานบอกว่ากลับ จะไปทางไหน เขาถาม จะไปนรก หรือว่าจะไปสวรรค์ หรือจะไปพรหมโลก ก็บอกเขา เขาจำเอาไว้ เวลาใกล้สว่างถ้ายังไม่กลับเขาจะไปตามบอกว่าเวลานี้ใกล้สว่างแล้วครับ นิมนต์กลับได้ นี่หน้าที่ของเทวดาอินเป็นอย่างนี้

    ตานี้เทวดาอินแกยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าพวกเราผ่านไป ถ้าไปแบบช้าๆ นะ แกก็จะถาม ถ้าไปเร็วปรื๊ดปร๊าดแกก็จะถามไม่ทัน แกบอกว่าพวกนี้เสียมรรยาท มรรยาทเลวไม่เคารพต่อพระภูมิเจ้าที่เทวดายาม ก็ว่ายังงั้น แกว่าพวกมนุษย์นี่น่ะ โดยมากมรรยาทไม่ค่อยดี แม้จะเป็นพระเป็นเจ้าก็ตาม บางทีไม่มีมรรยาท

    ผ่านมาตรงนี้น่าจะคุยกันก่อน แต่ไม่ใคร่จะมีใครคุยหรอก ปรื๊ดปร๊าดๆ แล้วก็ไปเลย นี่พูดไปยังงั้นเองนะ รู้จักแกบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบล่ะ ก็ว่ามันส่งไปยังงั้นแหละ เป็นธรรมดา นี่จำได้แล้วใช่ไหมว่าเทวดาองค์ที่ยืนข้างหน้านั่น ทางสี่แพร่ง

    ถ้าไม่เห็นก็นึกเอาเองก็แล้วกัน นึกว่าเห็น เป็นเทวดาที่มีเครื่องทรงสีแดง ผ้าที่นุ่งก็มีพื้นสีแดง เสื้อที่ใส่ก็มีพื้นสีแดง บนหัวบางทีก็โพกผ้าสีแดง บางทีก็สวมมงกุฎ ผ้าที่นุ่ง เสื้อที่ใส่ ประดับไปด้วยเพชรนิลจินดา ขาวแพรวพราวไปหมด รูปร่างสง่าผ่าเผยสวยสดงดงามบอกไม่ถูก คนที่ว่าสวยนี่มนุษย์ทาบไม่ติด เทวดาไม่มีแก่มีแต่หนุ่ม ยืนยิ้มด้วยความใจดี

    ถ้าเวลาเห็นพระผ่านไปมักจะยกมือไหว้แสดงความเคารพ ถ้าเป็นฆราวาสก็จะกล่าววาจาเป็นสัมโมทนียกถา คือวาจาที่ไพเราะ น่าฟัง นี่เป็นจริยาของเทวดาอิน หรือเทวดาหลวงตาอิน หลวงตาอินนี่แกเป็นเทวดาแล้วแกชื่อว่ายังไง เป็นเรื่องของแก ไม่มีใครเคยถาม ถ้าถามแกก็บอกว่าสมัยก่อนแกเป็นพระชื่อว่าหลวงตาอิน แกบอกเท่านั้น

    นี่เป็นอันว่ารู้แล้วนะ ว่าทางสี่แพร่ง เราหันหน้าไปทางทิศตะวันออก หันไปทางซ้ายเป็นทางขึ้นจุฬามณีเจดีย์สถาน เป็นทางใหญ่ขาวโพลน หันไปมองดูทางขวาเป็นทางชันไปพรหมโลก มองลงไปข้างหน้าเป็นทางใหญ่ลาดลงนิดๆ ค่อยๆ ลาดลงเป็นทางลงนรก

    ทีนี้ วันนี้เราจะไปทัศนาจรเมืองนรกกัน เริ่มต้นนะ เริ่มต้นไปเมืองนรก ต่อจากนี้ไปก็พากันลาเทวดาอินเสียก่อน ลาแล้วหรือยัง? ลาหรือไม่ลาก็ช่าง เดินทางต่อไป คราวนี้เราค่อยๆ เดินกันมาถึงที่สุดของโลก เรียกว่า อันตะหรือโลกันตะ มองไปทางซ้ายมือนั่นเป็นแดนของสวรรค์ ที่เรายืนอยู่นี้เป็นแดนของมนุษย์ มองไปข้างหน้าเป็นแดนของเมืองนรก

    ระหว่างนั้น มองไปทางซ้ายมือจะเห็นภูเขาลูกใหญ่ ใหญ่มหาศาลประมาณมิได้ ภายในภูเขาเป็นถ้ำใหญ่มาก ในนั้นมีความเย็นบอกไม่ถูก ทรมานสัตว์ด้วยอำนาจของความเย็น แล้วก็ภายในถ้ำมีน้ำแปลก เป็นน้ำกรด มีน้ำกรดที่มีความแรงมากเย็นเฉียบเหมือนกัน

    สัตว์ที่อยู่ในนั้นมีแต่ความมืด หาแสงสว่างไม่ได้ ไต่อยู่ในข้างๆถ้ำ หินก็คมเป็นกรดบาดตัวจนเลือดโชกโชน สัตว์ในนั้นไม่มีแสงสว่างจะมองกัน ต่างคนต่างก็คิดว่าอยู่คนเดียว เวลาไต่ไปพบเข้าก็คิดว่าเป็นอาหารกัดกินกัน ปล้ำกันไปปล้ำกันมาในที่สุดก็หล่นลงไปในน้ำ น้ำกรดก็ทำลายเนื้อหนังหมด เหลือแต่กระดูก แสบก็แสบ เจ็บก็เจ็บ หนาวก็หนาวเย็นเฉียบ

    ในที่สุดเมื่อเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกก็ประกอบกันเป็นร่างขึ้นมาใหม่ทันที ต้องทุกข์ทรมานอย่างนี้ ไต่ขึ้นมาใหม่ แล้วมาเกาะอยู่ข้างเขาหรือเรียกว่าข้างถ้ำจัดว่าเป็นกำแพงถ้ำก็ได้ นรกอันนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เรียกกันว่าโลกันตนรกไม่ทราบว่าบาปอะไร ในตำราท่านไม่ได้เขียนไว้ ท่านบอกว่าเป็นบาปพิเศษ

    พ้นจากที่นี้แล้วจึงไปอเวจีมหานรก ไปขึ้นต้นจากอเวจีมาก่อน แสดงว่าหนักกว่าอเวจี โลกันตนรกนี้ไม่มีอายุ เรียกว่าหาอายุไม่ได้ ทรมานไปจนกว่าจะถึงที่สุด เมื่อถึงที่สุดของกรรมแล้วจึงจะไปอเวจี จัดว่าเป็นนรกสำคัญที่สุดนะ นรก ๘ ขุม แต่ทว่าถือว่าเป็นนรกขึ้นต้น คือมันแย่เหมือนกัน

    เอ้า เดินทางกันต่อไป คราวนี้ออกจากโลกมนุษย์แล้ว บรรดาท่านผู้ฟังโปรดทราบนรกที่เขาบอกว่าเจาะในดินลงไปกี่แสนๆ โยชน์น่ะ ไม่จริง เป็นเรื่องปรัมปราของคนที่ไม่เคยเห็น อาตมาเองก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นนรกนา ว่ากันไปตามที่เห็น อย่างพระพุทธเจ้าท่านว่า ก็เรียกว่า โลกนรกไม่ใช่อยู่ใต้ดิน ไม่ใช่ว่าคุดอยู่ใต้ดิน คนจะลงนรกต้องดำดินไปลงละก็ไม่มีใครลงหรอก พูดเพ้อกันส่งเดชไป

    เคยฟังพระเทศน์เหมือนกัน เทศน์ไม่ถูก หลวงพี่ถ้าเทศน์แบบนี้ละก็เทศน์ไม่ถูกนะจะบอกให้ นรกไม่ใช่อยู่ใต้ดินนา มันมีโลกอีกโลกหนึ่งต่างหาก เรียกว่ามีภูมิอีกภูมิหนึ่ง คือว่ามีแดนต่างหากกว้างใหญ่ไพศาลมาก แล้วก็มีคนถามว่าเวลาคนตายไปแล้ว พวกเทวดาหรือพวกสัตว์นรกนี่น่ะ แยกกันหรือเปล่า พวกเจ๊ก พวกฝรั่ง พวกมอญ พวกลาว พวกแขก มีนรกพิเศษหรือเปล่า

    ก็ขอตอบว่าไม่มีนรกพิเศษ พระพุทธเจ้าไม่เคยบอก เป็นนรกอันเดียวกัน เรามาแยกชาติ แยกประเทศกันเฉพาะในเมืองมนุษย์ ยามที่รับผลของความชั่วหรือความดีไม่มีการแยกกันรวมกันหมด ไม่มีแขก ไม่มีฝรั่ง ไม่มีลาว ไม่มีมอญ เป็นสัตว์นรกธรรมดาๆ เหมือนกัน เป็นเทวดาเป็นพรหมประเภทเดียวกัน ภาษาที่พูดที่ใช้ก็เหมือนกัน รวมความว่าไม่ได้แยกประเภทเข้าไว้ เอาละ จำไว้เท่านี้

    ตานี้ เดินออกจากดินแดนของมนุษย์สุดทางขาว เราก็มองไปข้างหน้า ถ้าหากว่าเราจะเลี้ยวซ้ายสักนิด จะเข้าสู่แดนเปรต ๑๑ จำพวก คือว่าเปรตที่มีกรรมหนัก เลี้ยวซ้ายนิดหนึ่ง เฉียงๆ ไปหน่อยทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ถ้าเดินตรงเลยไม่เลี้ยวเราก็ไปสู่ยมโลกียนรก เป็น ๑๐ ขุมตามที่กล่าวไว้

    คราวนี้เราเลี้ยวเฉียงๆ ไปทางขวาหน่อยเรียกว่าทางตะวันออกเฉียงใต้ อันนี้เป็นดินแดนของพระยายม จำให้ดีนะ อันนี้เป็นดินแดนของพระยายม พระยายมตั้งสำนักงานอยู่ทางนั้น สำหรับวันนี้ จะพาพระคุณเจ้าท่านและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทแวะที่สำนักของพระยายมเสียก่อน ถ้าเราไม่แวะที่ตรงนั้นและก็เขาจะหาว่าพวกเราไม่มีมรรยาท เพราะว่าเป็นดินแดนของผู้ครองเมืองนรก

    คือว่าพระยายมนี่นะครองเมืองนรก ความจริงเขาเข้าใจกันว่าอย่างนั้น ที่แท้จริงแล้วพระยายมไม่ได้ครองเมืองเป็นแต่เพียงว่าไปนั่งเป็นผู้พิพากษาคอยตัดสิน พากันเดินไปก็ย่องๆ ไปให้ดีนะ ข้างๆ ทางน่ะมีของดีอยู่ มองไปทางซ้ายนิดซิ

    เวลานี้เรามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เดินเลาะและมีทางขาวเส้นเล็ก ไม่ใหญ่เท่าทางเดิม ตรงดิ่งไปเหลียวดูทางซ้ายนิดซิ เราจะเห็นต้นไม้ยืนเป็นตับ ที่ตรงนั้นเขาเรียกกันว่าอะไร ต้นไม้ต้นนี้แหละเขาเรียกว่าต้นงิ้ว หรือสิมพลีนรก สิมพลีนะ เป็นนรกต้นงิ้ว

    สำหรับต้นงิ้วนี่เขาบอกว่าขึ้นตามสภาพกฎของกรรม ถ้ามีสัตว์นรกมากต้นงิ้วก็มาก มีสัตว์นรกน้อยต้นงิ้วก็น้อย ที่ใครบอกว่าต้นงิ้วไม่มี เขาเอาไปทำฟืนหมดแล้วนะ ระวังเขาจะคูณด้วยสอง เขาว่ายังงั้น

    เอาละเดินไป อย่าพึ่งแวะเลย นรกขุมนี้ค่อยแวะกันทีหลัง คงได้เที่ยวกันแน่เดินไปก็มีอะไรผ่านตาอีกแยะ ยังไม่พูด เพราะจะมีเรื่องพูดตอนหลัง เราจะชมกันมาตามลำดับ

    พอเข้าไปถึงตรงนั้นจะพบบริเวณกว้าง เป็นผืนแผ่นดินที่ราบเรียบ มองไปข้างหน้าบริเวณกว้างนั้น มองดูให้ดีๆ นะ บรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเห็นไหม ข้างหน้าที่มองไป ก่อนที่จะถึงอาคาร ๓ หลัง

    มีคนยืนกันอยู่สะพรั่งนับหมื่นหรือนับแสนก็ได้ แต่ว่าไม่เคยนับ ถ้าถามว่าเท่าไรแน่ก็ตอบไม่ถูก เยอะเหลือเกิน คนธรรมดาๆ หน้าตาซีดเซียว แสดงถึงความเป็นทุกข์ยืนอยู่สะพรั่งคล้ายกับกองทัพใหญ่ แต่ในจำนวนนั้นก็มีคนรูปร่างใหญ่ๆ สูงกว่าคนพวกนั้น พวกที่ยืนอยู่ก่อนอย่างสูงสุดก็เลยเอวนิดหนึ่ง คนตัวใหญ่ๆ ถือหอก ถือง้าว ถืออาวุธเดินอยู่เกลื่อนกลาดเยอะแยะ ควบคุมคนพวกนั้น

    พวกที่ถือสรรพาวุธพวกนี้ เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชคือเป็นผู้ควบคุมกรรม ตอนนี้ยังไม่ถึงแดนนรก อย่าลืมว่าแดนที่พระยายมอยู่นั้นไม่ใช่แดนนรกจริงๆ คือว่าอยู่ใกล้กับแดนนรก เป็นเขตของเทวดา เรียกว่าเป็นเขตของชั้นจาตุมหาราช ทีนี้มองไปอีกทีหนึ่งอยู่ในกลุ่มคนทั่วไป เห็นอาคารใหญ่สามหลัง หลังกลางใหญ่มาก

    ในที่นั้นเป็นบัลลังก์คือเป็นสถานที่ชำระความ ที่ตัดสินของพระยายม แล้วก็มองเลยนั่นออกไป ออกไปทางด้านทิศตะวันออกก็ดี ตะวันออกเฉียงเหนือก็ดี จะเห็นทะเลเพลิง มีเปลวไฟ มีกระแสไฟพวยพุ่งขึ้นจับท้องฟ้า กว้างใหญ่ไพศาลมาก หาที่สุดมิได้นั่นคือแดนนรกขุมใหญ่

    นรกแต่ละขุมเราจะไม่พูดกันถึงไฟก็จงรู้ว่ามีไฟเป็นปกติ นรกขุมใหญ่ที่ไม่มีไฟไม่มี นี่เป็นตัวยืนนะ หรือเรียกว่าเป็นไก่รองบ่อน นรกแต่ละขุมน่ะมีไฟเป็นไก่รองบ่อน พอเข้าไปแล้วก็ถูกไฟไหม้ ไฟนี้มีความร้อนแรงมาก แรงกว่าไฟในเมืองมนุษย์หลายแสนเท่า เรียกว่าไฟนี้แรงกว่าในเมืองมนุษย์หลายแสน นับเป็นแสนๆ เท่า มีความร้อนมาก

    เห็นแล้วหรือยัง นี่เราพากันทัศนาจรนะ เที่ยวดูกัน เห็นแล้วละก็ย่องๆ เข้าไปดูซิว่าเวลานี้พระยายมท่านทำอะไร แล้วท่านทั้งหลายจะได้รู้จริยาของพระยายม ว่าความจริงพระยายมราชที่เรากล่าวว่าท่านดุร้ายนัก จับคนลงนรก จริงหรือไม่จริงเวลานี้ยังไม่พูด ไปดูกันก่อน เอ้า ค่อยๆ เดินมา ตามอาตมามา

    มีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ไปทางด้านทิศใต้ เดินตามขอบเฉียดชายเขา เขายาวเหยียดไม่รู้ว่ายาวถึงไหน เดินมานอกบริเวณแล้วเข้าไปในลาน ประเดี๋ยวเขาจะรู้ว่าคนนี้กินเหล้า คนนี้ฆ่าสัตว์ คนนี้ลักทรัพย์ คนนี้ประพฤติผิดในกาม คนนี้เคยโกหกมดเท็จในเขารู้ ดีไม่ดีเขาจะจับให้อยู่เสียเลยนะ ระวังเถอะ

    อ้าวเวลาที่มาเที่ยวเมืองนรกนี่ โยมจ่าพัว ชระเอมมาด้วยหรือเปล่า ถ้ามาละก็มองดูให้ดีนะ เจ้าของตำรา มองดูให้ดี เดินหลีกเขา ประเดี๋ยวเขาจะจำเรื่องเก่าๆ ได้ เขาจะเอาไว้เสียเลยจะลำบาก เอ้า มาด้วยกัน เดินหลีกเขามาแล้ว เป็นเวลาพอสมควร

    ตรงนี้เป็นที่ว่างมีกลุ่มคนมาก ทางตรงด้านขวามือเป็นเขา ด้านซ้ายมือเป็นที่โล่ง มีทางใหญ่มีอาคาร ๓ หลัง เอ้า ทุกคนซ้ายหัน หันหน้าไปทางซ้ายมือ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วก็เดินตามทาง ตามอาตมามา พอเดินเข้ามาแล้วนะค่อยๆ ย่องนะ อย่าเดินดังนักประเดี๋ยวผีจะตกใจ

    เดินเข้ามาๆ นี่ใกล้จะถึงแล้ว อาคาร ๒ หลังทางซ้าย ทางขวาเป็นอาคารขนาดย่อม เป็นที่พักของพระยายมหลังหนึ่ง ทางด้านซ้ายมือมีความสวยสดงดงามมาก แพรวพราววิจิตรตระการตา เป็นวิมานทองคำ มีเครื่องเพชรประดับแพรวพราวแล้วมีดงหญ้าเป็นที่ราบรื่น แล้วมีต้นไม้ดอก มีดงหญ้าเป็นแก้วประกายแพรวพราวสวยงามจริงๆ

    ดูคนในขอบเขตของวิมานของพระยายม ไม่เห็นแต่งตัวเป็นสัตว์นรก แต่งตัวเป็นเทวดาเป็นพรหมกันทั้งนั้น ผู้หญิงก็สวย ผู้ชายก็สวย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มองไปด้านทางขวามือก็เป็นวิมานสวย ลดหย่อนลงไปหน่อยหนึ่งเป็นที่อยู่ของ เรียกว่าเจ้านายชั้นผู้ใหญ่รองพระยายมลงไป ที่เราเรียกว่านายบัญชีนี่เขาก็มีวิมานสวยเหมือนกัน

    ตรงไปข้างหน้าที่เราเดินมานี้ เป็นสำนักของพระยายม เป็นอาคารที่มีความสวยสดงดงามมากใหญ่ตระการตา แต่ทว่าคนที่มีบาป ลงมามองไม่เห็นความสวยสดงดงาม เพราะกรรมชั่วมันปิดตา คนดีเท่านั้น คนที่มีบุญเท่านั้นที่จะมองเห็นสวย

    เอาละ เดินเข้าไปอีกนิดใกล้จะถึงแล้วมีบันไดข้างหน้าระวังให้ดี ขึ้นให้ดีประเดี๋ยวจะหล่นบันไดพลัดตกหกคะเมนไปนายนิริยบาลจะเชิญลงนรกไปเสียเลย ลำบาก พวกเราทุกคนที่มานี่น่ะมีทุนอยู่แล้วนะบารมีสำหรับที่จะลงนรกมีอยู่ด้วยกันทุกคน ระวังๆ ตัวไว้ จะเผลอ ขึ้นบันไดมาแล้วเป็นชานใหญ่ มองเข้าไปมีม่าน ข้างนอกเป็นม่านสีดำ ผ่านม่านสีดำเข้าไป มีเจ้าหน้าที่รูดม่านให้ เขายืนอยู่ทางด้านซ้ายมือ

    แล้วก็ขวามือ ๒ คน ผ่านม่านสีดำเข้าไป คราวนี้พบม่านสีแดงแล้วมีประกายเป็นทองและเงินแน่ะ เส้นด้ายเป็นทองและเงินแต่พื้นแดง พอเจ้าหน้าที่สองคนทางซ้ายและขวารูดม่านให้ ผ่านม่านเข้าไปอีก อันนี้เป็นม่านทองคำล้วนๆ เข้าไปม่านที่ ๓ แล้ว ผ่านม่านเข้าไปอีก อันนี้เป็นม่านแก้วมณี

    ผ่านเข้าไปอีกอีคราวนี้ไม่มีม่านแล้ว ตรงนี้ไม่มีม่าน เป็นเก้าอี้แก้วมณีแพรวพราวไปหมด ตั้งเข้าไว้ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ เห็นไหม นี่เป็นที่สำหรับนั่งคุยกัน นั่งชมพระยายมตัดสินความ แต่พวกสัตว์นรกหรือคนที่เชิญมายืนเกลื่อนๆ น่ะ เขาเข้าไปอีกทางหนึ่งเป็นทางต่ำราบ ไม่ผ่านม่านสีสวยๆ ไม่ผ่านพื้น มีแต่ม่านสีดำ เวลาเข้าไปก็มีคนคุมเข้าไป

    ประเดี๋ยวก่อนพวกเราทุกคนตามอาตมามา ไปนั่งเก้าอี้กัน ไม่ต้องเกรงใจ ในนั้นมีเทวดาสำหรับรับแขกอยู่ห้องหนึ่ง (ความจริงหลายห้อง) แต่งตัวสวยมาก มีเครื่องประดับมีพื้นสีทอง และมีเครื่องประดับเป็นสีขาว ยิ้มแย้มแจ่มใส ยกมือไหว้พระและคนทุกคน ถือว่าคนที่จะไปนั่นมีความดี

    เอ ที่เล่าให้ฟังนี้ไปจริงๆ หรือเปล่า? เปล่าหรอกนะไม่ได้ไปเอง ดูหนังสือมาเล่าให้ฟัง แล้วก็เอามาจากไหนเล่า มีเทวดา เทวดาน่ะ ก็บอกว่าอ่านหนังสือซิ หนังสือเขาเขียนไว้ยังงั้นนี่ ถ้าถามว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็บอกแล้วบอกว่าเวลาฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อแล้วก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ ไม่ว่าอะไรก็ตาม เมื่อฟังแล้วเชื่อเลยก็ไม่ดี เราไม่ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา หรือว่ายังไม่เห็น ยังไม่ถึง เราปฏิเสธเลยมันก็ไม่ดีเหมือนกัน เป็นอันว่าไม่ดีทั้งสองอย่าง

    ในตอนนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายรับฟังไว้ก่อน แล้วก็อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งปฏิเสธ เป็นอันว่าวันนี้เรามาเห็นเทวดาสวยกัน วันนี้เราได้นั่งเก้าอี้แก้วมณี หันหลังไปทางด้านทิศตะวันออก หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันตก มองไปอีกทีทางขวามือ โต๊ะกลางคือ พระยายมราช โต๊ะด้านหน้าของเรา พระยายมนี่หันหน้าไปทางทิศไต้ ซ้ายมือของพระยายมราชเป็นนายบัญชีใหญ่ โต๊ะขวามือของพระยายมราชเป็นหัวหน้าเทวดาที่มารับคน

    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธศาสนิกชน จะมองดูอะไรต่อไป จะฟังพระยายมท่านพูดอะไรก็ฟังไม่ได้เสียแล้ว เดี๋ยวพันจ่าอากาศเอกกฤษณ์ บำรุงพงศ์ แกจะนั่งค้อนเอา เพราะเขาว่าแกเป็นหัวหน้าสถานี

    เวลานี้ก็หมดเวลาเสียแล้วนี่ ไว้วันพุธหน้าฟังกันใหม่ สำหรับวันนี้ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .
     
  4. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓.การพิจารณาโทษของพระยายม

    การพิจารณาโทษของพระยายม ท่านสาธุชนทั้งหลายและพระคุณเจ้าที่เคารพ เมื่อวันพุธก่อนกระผมได้นำท่านพุทธศาสนิกชน และบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพไปนั่งพักอยู่ที่สำนักของพระยายมแล้วก็กำลังนั่งที่เก้าอี้แก้วมณี

    อันนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าอาจจะสงสัยว่าสำนักของพระยายมสำนักนี้ ถ้าเราอ่านตามหนังสือไตรภูมิจะรู้สึกว่า เป็นสำนักที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ มีแต่บุคคลที่หน้ากลัว หน้าตาถมึงทึงด้วยประการทั้งปวง

    แม้แต่พระยายมเองก็เหมือนกัน นักแสดงโทรทัศน์ทำเขาให้พระยายมเสียสองเขา แสดงว่าพระยายมมีเขา และมีสภาพดุร้าย สำหรับคนของพระยายมก็เหมือนกัน ที่เรียกกันว่ายมทูต อันนี้ เขามีสัญลักษณ์มีหัวกะโหลกไขว้ และมีหัวกะโหลกเป็นสัญลักษณ์อันไม่จริง

    ความจริงคนที่เขียนอย่างนั้นเป็นการวาดภาพเอาเอง คล้ายๆ กับว่าการเขียนรูปของโจร โจรผู้ร้ายเขามักจะเขียนหน้าตาถมึงทึงน่ากลัว มีหนวดเครารุงรัง แต่โดยแท้จริงแล้ว โจรจริงๆ มีรูปร่างหน้าตาสะสวยยิ่งกว่าเราเสียอีก

    นี่แหละบรรดาท่านสาธุชน และบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพที่รับฟัง ความจริงไม่ตรงกัน คือถ้าหากมาฟังจากพระที่ท่านท่องเที่ยวในเมืองนรกได้ ท่านบอกว่าจะมีอาการเป็น ๒ อย่างด้วยกัน

    การเห็นในระยะแรกถ้ากำลังฌานของเราดี แต่ว่าวิปัสสนาญาณไม่ดีจะเห็นคนในที่นั้นหน้าตาไม่สะสวยงดงาม มีหน้าตาน่ากลัว แต่มาถึงขั้นวิปัสสนาญาณดีแล้ว เรียกว่าวิปัสสนาญาณเข้าขั้น เข้าระดับที่ไม่ถอยหลังลงมา มีอารมณ์แจ่มใสตัดอุปาทานได้เด็ดขาด อันนี้จะเห็นสำนักของพระยายมอีกสภาพหนึ่ง

    คือเป็นสภาพที่เต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม นี่ เรื่องของตาก็มีความสำคัญมาก ถ้าคุณตามัวเห็นของสวยก็มัวไปด้วยส่วนคนเห็นตาดีก็เห็นได้ตามความเป็นจริง นี่ว่ากันถึงตาเนื้อ ตาเนื้อมีสภาพฉันใด ตาใจก็เหมือนกันนะ พระคุณเจ้าที่เคารพ ตาใจนี่มีความสำคัญมาก

    โดยมากมักจะยืดตาฌานตาเนื้อหรือความรู้สึก คือมีความนึกคิดไว้ก่อนว่า สภาพของสวรรค์เป็นยังงั้น นี่ความไม่ตรงกันระหว่างตากับความเป็นจริงมันมีอยู่ แล้วอารมณ์ของจิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตของบุคคลใดมีอุปาทานอยู่อันนั้นจะเห็นของจริงไม่ได้ เอาละเรื่องนี้ขอผ่านไป เพราะเป็นหลักวิชาน่าเบื่อ

    เป็นอันว่าเวลานี้ท่านพุทธศาสนิกชน และพระคุณเจ้าที่กำลังติดตามรายการทัศนาจรนรก กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้แก้วมณี เห็นหรือไม่เห็น? เห็นหรือยัง? ถ้าไม่เห็นก็นึกเห็นเอาก็แล้วกัน เพราะความจริงไม่ได้พาไปจริงๆ เป็นการเล่าสู่กันฟัง ท่านทั้งหลายฟังไว้

    แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติถึงแล้วจะได้ไม่สงสัยว่า สภาพของสำนักของพระยายมเป็นยังไง เวลาที่เราได้ฌานโลกีย์อย่างต่ำ หรือว่าฌานโลกีย์อย่างสูงเราเห็นสภาพเป็นยังไง มัวๆ เหมือนกับบ้านธรรมดา หน้าตาในสำนักนั้นเหมือนคนธรรมดา

    ตานี้พระที่ท่านได้อภิญญาด้วยแล้วก็ได้อรหัตผล ว่ากันยังงี้ก็แล้วกัน ได้อรหัตผลด้วยแล้วก็ทรงอภิญญาด้วย บอกว่าไม่ใช่ยังงั้น ความจริงพระยายมมีความสวยสดงดงาม มีวิมานเป็นที่อยู่ บางท่านย่องเขียนเอาไว้ว่าพระยายมเป็นเวมานิกเปรต เป็นเปรตจำพวกหนึ่งที่อยู่วิมาน ว่าเข้าไปนั่น นี่ไม่ใช่พระอรหันต์ว่านะ คนกินเหล้าเขียนหนังสือให้ชาวบ้านอ่าน เขาเขียนยังงั้น เขาเลยเอาอารมณ์เหล้ามาเขียน

    เป็นอันว่าเวลานี้ท่านนั่งอยู่ในสำนักของพระยายมแล้ว มองดูไปข้างหน้า หันหน้าไปทางทิศตะวันตกนะ เรานั่งทางด้านทิศตะวันออกบริเวณอาคารหลังใหญ่ ภายในเป็นห้องโถงใหญ่ มองเห็นหรือไม่เห็น ไม่เห็นก็นึกตามไปก็แล้วกัน เป็นห้องโถงใหญ่ มีทางเข้าอีกด้านหนึ่ง

    ทางเดียวกับที่พามา แต่ว่าเป็นประตูที่ ๒ เข้ามาทางพื้นราบเรียบ แล้วในบริเวณนั้นตอนกลางๆ ตรงประตูเข้ามาพอดี มีบัลลังก์สำหรับนั่ง มีพระยายมนั่งคอยพิพากษาโทษสัตว์ คำว่าสัตว์ในที่นี้ก็หมายถึงคนที่ลงไปในนรก ที่เขามาเชิญตัวไป มีบัลลังก์ตั้งอยู่ตรงกลาง ด้านหน้าของพระยายม เบื้องขวามีเทวดาท่านหนึ่งนั่งอยู่ มีเครื่องทรงพื้นสีแดง เครื่องทรงประดับไปด้วยแก้วมณีแพรวพราวสวยงาม หน้าตาสดชื่น โต๊ะอีกโต๊ะหนึ่ง

    อยู่เบื้องซ้ายของพระยายม มีนายบัญชีใหญ่นั่งอยู่ ถือบัญชี แต่งเครื่องทรงมีพื้นเป็นสีเหลือง แล้วก็เครื่องทรง ที่เสื้อกางเกงก็ประดับไปด้วยแก้วมณี พระยายมเองก็เหมือนกัน มีเครื่องทรงเป็นพื้นสีเหลืองเป็นทองแล้วก็มีเครื่องประดับไปด้วยแก้วมณี ความจริงพระยายมก็ดี เทวดาคนที่เป็นหัวหน้าใหญ่ฝ่ายติดตามคนที่ตายก็ดี นายบัญชีก็ดี มีความสวยสดงดงาม หน้าตาอิ่มเอิบสวยงาม มีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสไม่มีใครหน้าบึ้งขึงจอ ไม่มีอาการดุร้าย ความโหดร้ายใดๆ ไม่ปรากฏเลยในริ้วรอยของหน้าท่าน

    อันนี้เรามาดูกันต่อไป ว่าพระยายมท่านจะทำยังไง โน่น บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน สำนักนี้ไม่มีเวลาว่างในการชำระความ เห็นไหม ข้างหน้านั่นใครตัวใหญ่ๆ ในมือถืออาวุธ นำคนเข้ามาประมาณสัก ๕-๖ คน ทุกคนที่เดินติดตามเข้ามาหน้าซีดเซียว คล้ายๆ กับว่าจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างหนักเพราะกฎของกรรม

    เมื่อเข้ามาถึงภายในแล้ว ทุกคนก็นั่งแสดงความเคารพแด่พระยายม พระยายมท่านก็หันไปถามนายบัญชีว่า คนนี้มีโทษอะไรบ้างในการทำความผิดในสมัยที่เป็นมนุษย์นายบัญชีก็เปิดบัญชีดู แล้วก็รายงานความผิด คือการทำชั่วในสมัยที่เป็นมนุษย์ของคนนั้น แล้วพระยายมก็ถามเขาว่าทำความชั่วอย่างนั้นจริงไหม เรื่องของเมืองผี เวลาเขาชำระคดีไม่ต้องหาพยาน ผีไม่สับปลับเหมือนคน

    คนเรานี่หน้าตาดีๆ นะ แต่ความจริง ความจริงใจนี่นะอาจจะหาไม่ได้สำหรับคนที่มีหน้าตาสวยแล้วก็มีฐานะดี แต่เมืองผีไม่เป็นยังงั้น เมืองผีไม่มีอะไรโกหกกัน เมืองผีไม่มีอะไรปกปิดกัน สิ่งใดจริงเขาก็รับว่าจริง สิ่งใดไม่จริงเขาก็รับว่าไม่จริง

    สมมุติว่าท่านพระยายมถามถึงความโหดร้ายต่างๆ ต้องรับทุกอย่าง เรื่องนั้นจริงเจ้าค่ะ เรื่องจริง จริงขอรับ รับจริงหมดทุกข้อ เรียกว่าความผิดที่ปรากฏในบัญชีนี่รับหมดทุกข้อ ไม่มีการปฏิเสธ แล้วคราวนี้พระยายมจะทำยังไง เมื่อจำเลยสารภาพโทษก็สั่งจำคุกลดกึ่งหนึ่งตามอำนาจของศาลในเมืองมนุษย์ยังงั้นรึ? ความจริงยังก่อน ท่านพุทธศาสนิกชน ท่านจะเห็นน้ำใจของพระยายมกันตอนนี้ ฟังให้ดีนะ ฟังกันไว้ แล้วก็จำกันไว้ รู้ตามความเป็นจริง

    ในเมื่อคนใดก็ตามที่เข้าไปในสำนักของพระยายม เมื่อนายบัญชีกล่าวโทษโจทย์ตามความผิดที่แล้วมา เมื่อจบลงไปแล้ว แล้วก็สัตว์นรก คือคนที่ตายไปแล้วรับไปตามความเป็นจริง ตอนนี้พระยายมยังไม่สั่งตัดสิน ยังไม่ลงโทษตามกฎของนรก

    กลับย้อนถามถึงความดีว่าท่านเคยอยู่ในเมืองมนุษย์น่ะ เคยให้ทานไหม เคยรักษาศีลไหม เคยไปฟังเทศน์ไหม เคยเจริญสมถกรรมฐานบ้างไหม ความจริงท่านถามยาว ถามทีละข้อๆ

    สมมุติว่า เคยให้ทานแก่สัตว์เดียรัจฉานบ้างไหม เคยให้ทานแก่คนยากจนเข็ญใจบ้างไหม เคยช่วยสงเคราะห์ทำกิจการงานต่างๆ กับเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงบ้างไหม เคยทำงานเป็นส่วนสาธารณประโยชน์บ้างไหม เคยช่วยเขาสร้างวัดสร้างวาอารามบ้างไหม ใครเขาไปบอกบุญเรี่ยไร เคยทำบุญมาบ้างไหม เคยรักษาศีลบ้างไหม เคยฟังเทศน์ไหม เคยเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เคยบูชาพระ เคยไหว้พระ เคยไหว้พ่อไหว้แม่ด้วยความเคารพบ้างไหม อย่างนี้เป็นต้น

    เรียกว่าความดีทุกอย่างที่จัดว่าเป็นบุญที่พระพุทธเจ้าทรงสอน พระยายมนำหัวข้อมาถามนำ ถ้าถามแล้ว คนที่ตายไปนั้นเรียกว่าสัตว์นรกเขายังไม่ตอบเขายังนิ่งอยู่ ท่านก็ปล่อยให้คิดสักประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วก็ย้อนถามขึ้นต้นใหม่

    รวมความว่าถามกัน ๓ รอบ ค่อยๆ ถามจี้จุดทีละจุด แต่ว่าท่านคนใดที่ถูกสอบสวนปรากฏไม่มีเลย นึกไม่ออก เมื่อนึกไม่ออกแล้ว ท่านก็จะบอกว่า นี่เสียใจเหลือเกินนะ ที่ความดีที่ทำไว้นึกไม่ถึง จิตของเธอเวลาจะตายเวลาจะมาที่นี่จิตน้อมไปส่วนอกุศลมาก ก็เห็นจะต้องเป็นไปตามกฎของกรรม ท่านก็ว่าอย่างนั้น

    ท่านก็บอกว่า เอ้าถ้ายังงั้น ถ้านึกถึงความดีที่ทำไม่ได้ละก้อเป็นไปตามกฎของกรรม แล้วต่อจากนั้นไปนายนิริยบาลผีรักษานรกก็นำลงนรกไป ไปที่ทะเลเพลิง ไปตามอำนาจความผิด นี่ดูจริยาของพระยายม

    แล้วบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนที่มาด้วย นั่งฟังแล้วก็นั่งดู ดูหน้าของพระยายม ดูหน้าของเทวดาฝ่ายติดตามคน คือหัวหน้าใหญ่นะ ดูหน้าของนายบัญชี ทุกคนมีแต่อารมณ์ยิ้มระรื่นชื่นใจ น่าชื่นใจ รูปร่างหน้าตาก็อิ่มเอิบสวยสดงดงาม มีผิวเนื้อละเอียดค่อนข้างเหลือง นี่เราจะเห็นถึงความดุร้ายได้ยังไง

    ตานี้ สมมุติว่าบังเอิญที่เขาถามถึงความผิด สัตว์นรกรับหมด แต่ว่าถามถึงความดี พอถามถึงความดีเข้า บังเอิญสัตว์นรกคนใดคนหนึ่งก็ตามนึกถึงความดีอย่างใดอย่างหนึ่งได้

    สมมุติว่าเขาถามว่าเคยปล่อยสัตว์ที่มันจะถึงความตายบ้างไหม ให้มันรอดจากความตาย ถ้าคนนั้นนึกขึ้นมาได้ว่าเคยปล่อยคำเดียวเท่านี้แหละ โทษกรรมใหญ่ๆ ที่เคยทำมาแล้วทั้งหมดพระยายมบอกว่างดไว้ก่อน ขอให้งดไว้ก่อน นี่ความดีของเขายังมีอยู่ ให้ไปรับผลของความดีก่อน

    เห็นไหม น้ำใจของพระยายม น้ำใจของเจ้าหน้าที่ในสำนักของพระยายม ไม่ใช่น้ำใจของสัตว์นรก เป็นน้ำใจของพรหม พระยายมก็ดี นายบัญชีก็ดี เทวดาผู้เป็นหัวหน้าติดตามคนก็ตาม มีน้ำใจเต็มไปด้วยพรหมวิหารสี่

    ฉะนั้นสำนักของพระยายมนี้จึงไม่มีใครรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว คนที่ทรงพรหมวิหารสี่ มีเมตตาเป็นปุเรจาริก คือหน้าคอยยิ้มเสมอ อารมณ์สดชื่น แล้วน้ำใจก็สดชื่น แล้วจะมีอะไรเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัวไม่มี หนังสือเขาเขียนผิดไปเองต่างหาก เขาเข้าใจพลาดไป คิดว่าสำนักของพระยายมมีแต่คนโหดร้าย

    คราวนี้จะขอนำเอาเรื่องราวของผู้ที่ตายแล้ว กลับฟื้นขึ้นมา มาเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง ท่านผู้นี้ชื่ออะไรจำไม่ได้เสียแล้ว อ่านหนังสือของท่านมาหลายปี นึกชื่อไม่ออก ท่านเขียนไว้ในหนังสือบอกว่า ท่านอุปสมบทเป็นพระอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์ ที่กรุงเทพฯ ท่านบอกชื่อเสียงเสร็จ ท่านรับรองว่าการพูดของท่านเป็นความจริง

    ในหนังสือของท่านเล่าไว้ว่า ในสมัยที่ท่านเป็นเด็กอายุ ๑๖-๑๗ ปี ท่านเป็นนักล่าสัตว์ แต่ว่าล่าสัตว์ตามท้องนานะ ไม่ใช่ล่าสัตว์ในบ้าน ชอบยิงนกกระจาบ นกกระจาบนี่ยิงมาได้เป็นกระบุงๆ (ไม่ใช่วันเดียว คิดหลายวันรวมกัน)

    แล้วก็มาคราวหนึ่ง เจ้าไก่ตัวหนึ่งมันเป็นไก่อยู่ที่บ้าน มันซนนัก ท่านก็จับมันเชือดคอจะแกง เมื่อเวลาที่เชือดคอแล้วเข้าใจว่ามันตายก็วางลงไป มันก็วิ่งหนีไปอีก ท่านก็เลยจับมันมาเชือดเป็นวาระที่ ๒ เชือดเสียขาดเลยตาย

    ต่อมาท่านเกิดปวดฟันไม่สบายตั้งใจว่าจะไปหาหมอถอนฟัน แต่ก็ยังไม่ได้ไป เวลาปวดอยู่นั้น พี่สาวเอายาอะไร กอเอี๊ยะหรืออะไรไม่ทราบ มาแปะให้บรรเทาความปวดท่านก็นอนลงไป ประเดี๋ยวความปวดฟันมันก็คลายตัว หลับไป มีความรู้สึกเคลิ้ม คล้ายๆ กับหลับ แต่ความจริงไม่ได้หลับ พอมีความรู้สึกอีกทีหนึ่ง

    ปรากฏว่าเป็นตัวที่ ๒ ขึ้นมามองเห็นตัวเดิมนอนอยู่ เห็นตัวที่ ๒ ยืนอยู่ แต่สภาพร่างกายเป็นสภาพเดิม เห็นคนนุ่งแดง ใส่แดง ใส่เสื้อแดง นุ่งกางเกงแดงมีอยู่ ๔ คน บอกว่าไปด้วยกัน ฉันมารับ นี่แสดงว่าตายแล้ว เขาว่าฉันมารับ เธอไปกับฉัน ท่านก็เดินตามไปอย่างคนว่าง่าย

    พอไปถึงสำนักของพระยายม ปรากฏว่ามีนกฝูงใหญ่บินอยู่ในที่นั้น พอเขานำเข้าไปในสำนักของพระยายม นายบัญชีก็เปิดบัญชีขึ้นมา ประกาศความชั่วของท่านทั้งหมด ที่ทำในสมัยยังมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์ ไอ้ตอนต้นๆ ท่านยอมรับทุกอย่างว่าเป็นความจริง

    แล้วตอนท้ายท่านบอกว่าไม่จริง พอบอกว่าไม่จริงเท่านั้นแหละ พระยายมก็เอะใจ ถามว่าตรวจดูซิว่าคนที่ให้ไปเอามาน่ะเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงไม่ตรงกับบัญชี เขาก็ถามชื่อท่าน ถามนามสกุลท่าน ท่านบอกชื่อและนามสกุล

    พระยายมก็บอกว่าผิดตัวแล้ว นามสกุลไม่ใช่อย่างนี้ อายุ ๑๗ ปีเหมือนกัน ชื่อเดียวกัน แต่คนละนามสกุล ท่านให้นายบัญชีตรวจตำบลบ้านกลายเป็นคนละจังหวัดไป ท่านอยู่จังหวัดเพชรบุรีนะ แต่คนที่ให้ไปเอามานั้น เป็นคนจังหวัดราชบุรี มันลงบุรีๆ เหมือนกัน

    นี่แสดงว่าผีที่มานำตัวนี่ก็ห่วยๆ เหมือนกัน ไม่แน่นัก อาจจะจับผิดตัวได้ แล้วขณะที่เข้าไปใหม่ๆ ท่านบอกว่า ไอ้นกกระจาบมันก็ไปรายงานเป็นพยาน บอกว่าไอ้เจ้านี่มันโหดร้ายเหลือเกิน มันยิงพวกข้าพเจ้าตายเป็นเบือไปหมด พระยายมก็บอกว่า ทราบแล้ว เจ้าไก่ก็เหมือนกัน มันเข้าไปรายงานว่า เจ้านี่โหดร้ายมาก มันฆ่าข้าพเจ้า ๒ ครั้ง ๒ หน พระยายมก็บอกว่าทราบแล้ว

    ในขณะที่เขารายงานอยู่ แล้วก็สอบถามกันอยู่ และเจ้าไก่กับนกกระจาบถอยออกไปแล้ว ทีนี้ เมื่อพระยายมถามว่าเจ้าทำแบบนี้ นี่ควรลงโทษอย่างหนัก แล้วความชั่วมีมาก ถึงแม้ว่าจะผิดตัวก็ตาม แต่ก็เป็นการดีแล้วที่ไม่ต้องตามบ่อยๆ ท่านว่ายังงั้น เอาเสียเลยเป็นไง ลงโทษกันตามกฎของกรรมเลยเป็นไง ท่านบอกท่านก็นิ่ง ไม่มีอะไรจะเถียงเขา

    ในที่สุดนายนิริยบาลก็ทำท่าจะรับตัวท่านจะเอาไปลงนรก นำไปลงนรก แต่ขณะที่เดินก้าวออกมานั่นเอง ปรากฏว่าได้ยินเสียงเบื้องหลัง บอกช้าก่อนๆ ความดีของเขายังมีอยู่ ยังไม่ควรจะได้รับโทษ ท่านก็เลยเหลียวหลังไปดู เห็นเต่าตัวหนึ่ง คลานตุบตับๆ ขึ้นมาทางด้านหลัง

    พระยายมก็เลยเรียกให้กลับมาใหม่ บอกว่าประเดี๋ยวก่อน มีคนเขาประกาศว่าเจ้าเคยทำความดี นี่ความจริงในตอนต้นพระยายมก็ซักถามถึงความดีแล้วตามที่บอกมา แต่ทว่าท่านบอกท่านเองก็นึกไม่ออกว่าเคยทำบุญสุนทานอะไรบ้าง มันนึกไม่ออกจริงๆ

    ตานี้เมื่อเต่าไปรายงานแบบนี้ท่านก็หันหลังมา พระยายมก็ถามเต่าว่า เขามีความดีอะไรไว้พอที่จะเป็นหลักฐาน เจ้าเต่าก็รายงานว่า คนนี้น่ะเขามีความดี ความชั่วอย่างอื่นเขามีจริงแหล่ แต่ทว่าความดีที่มีสำหรับข้าพเจ้าก็มีอยู่

    พระยายมจึงถามว่าเขาดีอะไร เจ้าเต่าก็รายงานบอกว่า เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อปีที่แล้วมีคนขี้เมามันจับข้าพเจ้าจะไปฆ่า เอาไปทำแกงทำกับแกล้มเหล้า คนนี้ได้ไปขอซื้อเข้าไว้ แล้วเอาข้าพเจ้าไปปล่อยไห้รอดจากความตาย พระยายมก็ถามว่าหลักฐานมีไหม เจ้าเต่าก็บอกว่ามีเขายังเขียนชื่อของเขาไว้ที่หน้าอกของข้าพเจ้า พระยายมก็ให้เจ้าหน้าที่พลิกอกขึ้นดู ปรากฏว่าเป็นชื่อของพี่สาว นายบัญชีก็ตรวจบัญชี พบพอดีเหมือนกัน ว่าเต่าตัวนี้รอดตายเพราะชายคนนี้เป็นเวยยาวัจจมัย ช่วยซื้อ

    แต่ความจริงพี่สาวเป็นคนซื้อ แต่ว่านายคนนี้เป็นคนนำเงินไปให้คนขี้เมา แล้วก็เป็นคนรับเต่าเอามาแล้วเขียนชื่อพี่สาวลงไป ในที่สุดก็นำเต่าไปปล่อยด้วยมือของตนเอง พระยายมก็หันมาถามท่านว่าเป็นความจริงตามนั้นไหม ท่าก็เลยรับ ตอนนี้นึกได้ว่าเป็นความจริงพระยายมก็เลยบอกว่า ความดียังมีอยู่นะ นี่บังเอิญยังไม่ถึงอายุขัย ถ้าถึงอายุขัยแล้วจะปล่อยให้ไปสวรรค์ก่อน แต่นี่ยังไม่ถึงอายุขัยจงกลับไปที่เดิมก่อน

    แล้วต่อจากนี้ไปจงอย่าทำกรรมชั่ว ท่านแนะนำมาว่าสัตว์สำคัญจงอย่าฆ่ามี ๑. ช้าง ๒. จระเข้ ๓. เต่า แล้วก็ ๔. อะไรไม่ทราบ เพราะพวกนี้มีกรรมหนัก ไอ้ที่ว่า ๔ นั่นจำไม่ได้นะ อาตมาคนพูดจำไม่ได้ แล้วท่านก็บอกว่า ถึงแม้สัตว์เล็กก็เหมือนกันไม่ควรจะฆ่า กลับไปแล้วควรจะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ แล้วก็พยายามเจริญภาวนาเข้าไว้ให้จิตน้อมเข้าไปในส่วนของกุศล เอาจิตนึกถึงส่วนกุศลไว้เป็นประจำ

    เวลาเขาจะนำมา จิตจะได้ระลึกถึงกุศลได้ จิตที่นึกถึงกุศลเป็นประจำน่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังแล้วอาจจะเข้าใจยาก เราจะไปนั่งนึกถึงสิ่งที่เราทำบุญทำทานทุกอย่างทุกประการ เราก็นึกไม่ออก บางทีเราก็นึกไม่ไหวเพราะมันมากด้วยกัน ก็นึกตามที่พระพุทธเจ้าสอนก็แล้วกัน ในอนุสสติ ๑๐ ประการ มีพุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นต้น

    คือว่านึกถึงความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วอะไรอีก ๑๐ ประการ ไปเปิดดูในคู่มือกรรมฐานหรือว่าในวิสุทธิมรรคจึงจะเข้าใจ ในหลักสูตรของนักธรรมโทก็มี เป็นอันว่าพระองค์นั้น สมัยนั้นไม่ใช่เป็นพระ พ้นจากการลงนรกไป

    เมื่อท่านทราบแล้ว เขาก็ปล่อยกลับที่เดิม กลับที่เดิมแล้วก็กลับเข้าร่างกายใหม่ ท่านบอกว่าอาการที่ปวดฟันมันก็หายไป นี่เป็นอันว่าเวลาที่เขาจะนำไปเขาทำให้ตายได้ คือเอาจิต เอาวิญญาณ ร่างภายในไปเสีย ไอ้ตัวสั่งงานที่ร่างกายไม่มี ร่างกายมันก็เหมือนท่อนไม้

    เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและพระคุณเจ้าที่เคารพ นี่เรามานั่งฟังเรื่องราวของพระยายมกัน แล้วท่านทั้งหลายคิดไหมว่าพระยายมมันเป็นพวกของสัตว์นรก เป็นยังงั้นหรือเปล่า? แต่ความจริงไม่ใช่ยังงั้นนะ พระยายมนี่เราฟังกันแล้ว แล้วดูหน้าตาท่านซิ ท่านแสดงความสดชื่นบอกไม่ถูก ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ที่เขาบอกว่าพระยายมมีเขา เห็นไหม? เห็นเขาพระยายมไหม? ไม่มี หวีผมออกแปร้ หน้าตาสะสวย

    แต่นี่ว่ากันตามจิตของพระอรหันต์นะ พระที่ท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณและพระอรหันต์ด้วย หรือว่าได้อภิญญา และเป็นพระอรหันต์ด้วย ท่านเห็นมาตามนั้น แต่บางคนที่ลงไป อาศัยที่กรรมมีมากความดียังไม่แจ่มใส อาการจิตที่เป็นทิพย์ยังน้อยเกินไป ก็จะเห็นบางคนในสำนักพระยายมนี่น่ากลัว

    พระยายมบางทีท่านนั่งอ้วนพลุ้ย แล้วนายนิริยบาลก็ดี หรือเทวดาประจำสำนักก็ดี นายบัญชีก็ดี จะรู้สึกว่าไม่สะสวย นั่นเรียกว่าตาหรือใจยังมีกิเลสอยู่มากเหมือนคนตาฝ้าตามัว มองเห็นอะไรไม่ถนัดนัก ตานี้เรามาว่ากันต่อไป

    ในเมื่อพระยายมมีหน้าที่อย่างนี้ แล้วก็อยากจะถามว่าพระยายมเป็นพวกนรก หรือเป็นพวกสวรรค์ อันนี้เราก็ดูการแต่งตัว ดูซิ สำนักของพระยายมเป็นวิมานแพรวพราวไปด้วยแก้วและทอง แม้แต่ม่านที่กั้นชั้นในก็เป็นม่านแก้วมณี ม่านที่กั้นรองลงมาก็เป็นม่านทองคำ ม่านที่สามออกมาก็เป็นม่านเส้นเงินและเส้นทอง ม่านภายนอกเป็นม่านสีแดงนี่ แล้วก็ม่านภายนอกสุดเป็นม่านสีดำ เห็นไหม ไม่เหมือนกันที่ไม่เหมือนกันอย่างนี้เพราะอะไร เพราะว่าข้างนอกก็ปล่อยให้มัวๆ ไป

    ถ้าหากว่าเราจะมองๆ ดูพวกนายนิริยบาลที่มาคอยรับคน คนที่แต่งตัวใหญ่ๆ ถืออาวุธนั่นแหละ รูปร่างหน้าตาไม่สะสวย หาความสวยไม่ได้เลย มีแต่ความน่ากลัว แกพูดก็ไม่ค่อยเป็น น่ากลัวจะไม่ได้เรียนภาษามนุษย์ เข้าไปถามอะไรแก แกยืนเฉย มองตาปริบๆ บางทีก็มองตาเป๋งแกไม่พูด ตาพวกนี้น่ากลัวจะไม่ได้หัดพูดมา พวกนี้แต่งตัวไม่สวย นุ่งผ้าหยักรั้ง เสื้อแกก็ไม่ใส่ ถืออาวุธ ผมก็หยิก หน้าตาก็ดุ น่าเกลียด น่ากลัว

    ทีนี้มาดูพวกของพระยายมบ้าง ตั้งแต่พระยายมลงมา พระยายมมีเครื่องประดับเป็นพื้นสีทอง เป็นทองคำก็แล้วกัน แล้วก็มีแก้วมณีเป็นเครื่องประดับ เต็มไปทั้งเสื้อทั้งผ้านุ่ง หน้าตาอิ่มเอิบ ยิ้มแย้มแจ่มใส สวยสดงดงาม สีเหลืองๆ เนื้อท่านน่ะ ขาวเนื้อละเอียดผิวเหลือง สวยมาก

    ทีนี้หันไปทางขวา ถ้าเราหันหน้าไปทางพระยายม จะเห็นนายบัญชีใหญ่มีพื้นสีทองเหมือนกัน เครื่องแต่งกายจะมีเครื่องประดับไปด้วยแก้วมณี หน้าตาอิ่มเอิบสวยสดงดงามเหมือนกัน มองดูไปทางซ้ายหัวหน้าเทวดาใหญ่ หัวหน้าเทวดาใหญ่มีเครื่องประดับแต่งกายเป็นพื้นสีแดง แล้วก็มีแก้วมณีเป็นเครื่องประดับ หน้าตาสวยสดงดงามยิ้มแย้มแจ่มใส

    นี่ ท่านจึงกล่าวว่าพระยายมไม่ใช่พวกนรก เป็นพวกของพรหม เรียกว่าเป็นพวกของสวรรค์ อาการที่ท่านแสดงออกมีอาการของพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน คือ มีเมตตาเขานำสัตว์นรกลงไปแล้ว แทนที่ท่านจะโหดร้าย กลับแสดงความเมตตาปรานี มีความรักมีความสงสาร เมื่อสัตว์นรกตอบรับความผิดทุกอย่างแล้ว แทนที่จะลงโทษกลับหันมาถามถึงความดีให้คิดให้ตอบ

    ถ้าตอบถึงกฎของความดีได้เพียงคำเดียว ท่านบอกว่าผลของความดียังมีอยู่ ปล่อยไปรับผลของความดีก่อน ตานี้ เมื่อสัตว์ทั้งหลายทบทวนความดีให้ฟังถึง ๓ ครั้งแล้ว สัตว์ทั้งหลายนึกไม่ออก ท่านก็ต้องปลงอุเบกขา บอกว่าเมื่อเราทบทวนถึงความดีแล้ว ท่านนึกไม่ได้ก็จำใจต้องปล่อยให้ไปตามกฎของกรรม

    นี่ละบรรดาท่านผู้รับฟัง และท่านทั้งหลายที่ติดตามการทัศนาจรลงมาเมืองนรก นี่ก็เป็นชุดที่สาม ชุดที่สามแล้ว จงจำไว้และเข้าใจด้วยว่า พระยายมไม่ใช่พวกของสัตว์นรก พระยายมเป็นชาวสวรรค์ คอยกีดกันคนไม่ให้ลงนรก เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัทที่รับฟัง

    เวลานี้ก็ครบเวลาพอดี ๓ นาที หรือจะเลยไปนิดก็ไม่ทราบ ก็ต้องขออำลาบรรดาท่านพุทธบริษัทพักผ่อน ไม่ใช่กลับ คือนอนกันอยู่เมืองนรกนี่แหละ ท่านทั้งหลายที่ติดตามก็เหมือนกัน ยังกลับไม่ได้ นอนอยู่ในเมืองนรกด้วยกันก่อน เอาละ วันนี้ก็หมดเวลาแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนที่ติดตามชมนรกทุกท่าน สวัสดี.
     
  5. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔.นรกขุมใหญ่ ขุมที่ ๑–๕

    ท่านสาธุชนทั้งหลายและพระคุณเจ้าที่เคารพ ตอนนี้เป็นตอนที่ ๔ สำหรับการนำทัศนาจรนรก ความจริงก็ไม่ได้นำไปทัศนาจรแต่นรกอย่างเดียว แม้สวรรค์ พรหมโลกและนิพพาน ก็จะนำขึ้นไปด้วย ทีนี้พาบรรดาพุทธศาสนิกชนและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ มานั่งแอ๋อยู่ที่สำนักของพระยายมถึง ๒ ชุด

    ต่อจากนี้ไป เมื่อรู้เรื่องราวของพระยายมกันแล้วว่า พระยายมไม่ใช่พวกสัตว์นรก เป็นพวกของชาวสวรรค์ที่คอยมากีดกันไม่ให้คนลงนรกด้วยความเมตตาปรานี

    ความจริงท่านทำหน้าที่โดยไม่มีเงินดาวเงินเดือนอะไรทั้งหมด แล้วปรากฏว่าท่านก็ไม่เบื่อหน่าย จริยาของพระยายมก็ดี เจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็ดี มีจริยาอย่างพรหม ฉะนั้น เราควรจะเรียกกันว่าพรหมก็ได้ หรือว่าใครจะค้านก็ตามใจ

    นี่เรามานั่งกันนานแล้วนี่ ลุกจากเก้าอี้แก้วมณีเสียทีดีไหม เดินทางกันต่อไป นี่พวกเราขออนุญาตพระยายมเสียหน่อย ประเดี๋ยวท่านจะหาว่าพวกเราไร้มรรยาท จะเข้าไปในเขตนรกต้องผ่านท่าน เมื่อเรามาลืมไหว้ท่านไป เมื่อเราจะกลับไปเราลาดีกว่า เอ้าลาท่านเสียทุกคน ลาท่านแล้วก็บอกท่านไว้ด้วยว่า เวลาตายมาแล้ว จะมาอยู่กับท่านที่นรกขุมไหนก็ตามใจ ประเดี๋ยวท่านทั้งหลายจะได้รู้ ว่านรกขุมไหนเราบำเพ็ญบารมีอะไรจึงมาอยู่กันได้

    นี่ว่ากันถึงนรกขุมใหญ่ก่อนนะ หรือว่านรกขุมเล็กขุมน้อยอะไรก็ตามเถอะ ท่านต้องการนรกขุมไหน ถ้าได้ชมแล้วชอบใจขุมไหน กลับมาบอกกับพระยายม ว่าข้าพเจ้ากลับไปนี้แล้วจะบำเพ็ญบารมีอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อจะกลับมาอยู่นรกขุมนั้น เอ้า ตั้งใจไว้ให้ดีนะให้สัญญากันท่านไว้ ว่าจะกลับมาเป็นลูกศิษย์ท่าน

    หรือจะบอกว่า ถ้าหากข้าพเจ้ากลับไปแล้ว รู้แล้วว่าโทษความชั่วเป็นอย่างไร ความจริงคนที่ตายมาแล้วไม่ใช่ว่าจะสิ้นทุกข์ คนที่ฆ่าตัวตายเพื่อหนีทุกข์ในโลกปัจจุบัน แต่ว่าเข้าใจว่าเมื่อตายไปแล้วนั้นมีความสุข ไม่มีความลำบาก นี่ไม่จริง

    ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่าตายแล้ว ถ้าทำความไม่ดีไว้ก็จะกลายเป็นโทษหนัก มีความเดือดร้อนหนัก จะไม่ยอมมาอยู่ในสถานที่นี้อีกแล้วก็จะบำเพ็ญบุญบารมีอันใดไปสวรรค์ชั้นไหน หรือไปพรหมโลกก็บอกกับท่านไว้ เรื่องจะผ่านสำนักนี้ไม่เอา บอกกับท่านยังงี้ก็ได้นะ

    ถ้ามั่นใจในความดีของตัว เอาละคุยกันต่อไป ลาแล้วหรือยัง ลาแล้วก็ค่อยๆ ลุกมา เก้าอี้ตัวนี้สวยนะ ที่นั่งกันทุกตัวน่ะ เก้าอี้ เป็นเก้าอี้เก้ามณี นี่ถ้าเราได้ไปสักตัวก็เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ขายราคาได้หลายพันล้าน แต่ว่าที่บ้านของพระยายมท่านมีเก้าอี้รองนั่ง เห็นไหมล่ะดีกว่าเราตั้งเยอะ

    คราวนี้ออกมาจากสำนักของพระยายม ผ่านม่านสำหรับกั้นเขาเปิดให้แล้ว ออกมาแล้วลงบันไดเดินมาถึงที่ว่าง หันหน้าไปทางทิศใต้ก่อน หันไปแล้วทุกคน “ซ้ายหัน” หันหน้าไปทางซ้าย มองดูอะไรข้างหน้า เห็นไหม

    ในด้านทิศตะวันออก ตรงออกไปแล้วมองออกไปทางขวา ทางด้านทิศใต้ มองไปทางซ้ายทางด้านทิศเหนือ เห็นแสงเพลิงพวยพุ่งแสงสว่างของเพลิงพวยพุ่งขึ้นจับท้องฟ้า หาที่สุดมิได้ ไกลหาประมาณมิได้เลยสุดลูกตาที่เราจะมองเห็น ก็ยังไม่สุดแสงไฟ นั่นเป็นอะไรทราบไหม บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน?

    แดนนี้แหละ ที่เราเรียกว่านรกขุมใหญ่ ๘ ขุม จำไว้ให้ดีนะ เดินไปอีกนิดเดียวเท่านั้นข้างหน้าของเราเห็นไหม นายนิริยบาลนำกลุ่มคนไปข้างหน้าประมาณ ๙ กลุ่มหรือ ๑๐ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีปริมาณเกินกว่า ๑๐ คน เดินเรียงรายกันเป็นแถวอย่างมีระเบียบ ทุกคนไม่ต้องล่าม ไม่ต้องผูก ไม่ต้องมัด ทุกๆ คนมีระเบียบ นายนิริยบาลเดินหน้า ทุกคนเขาเดินตามอย่างมีระเบียบ ไม่มีใครพูด ไม่มีใครจา มีแต่แสดงอาการซีดเซียวหวาดกลัว หวาดผวาอยู่ตลอดเวลา เพราะรู้ว่าตัวจะมีโทษ นี่แหละคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ไม่อยู่เขตของความดี มีความประมาท เป็นยังงี้

    เอาละ ดูกันต่อไป พวกเราเห็นแล้วใช่ไหม ถ้าเห็นแล้วทุกคนจะเดินตามอาตมามาตามเขาไป เดินให้ดีนะจะผิดทาง จะลื่นไหลลงนรกไป ทางในเมืองนี้ไม่มีหัวระแหงไม่มีขรุขระ เป็นทางเรียบๆ เป็นทางเลี่ยนๆ ระวังจะลื่น คนที่เดินตามน่ะหัวล้านหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ว่าคนนำน่ะหัวล้านแน่

    คนหัวล้านนี่เขาไม่ประมาทหรอก ไอ้ที่ไหนมันเรียบๆ เลี่ยนๆ เตียนๆ ละมันลื้น เหมือนกับหัวของเขา เขาไม่ประมาท ข้างหลังมีหรือเปล่า โยมจ่าพัว ชระเอม บ้านบางพุดทรา จังหวัดสิงห์บุรี ตามมาหรือเปล่า ถ้าตามมาละก้อ เราเป็นคนพวกเดียวกันนะ เราเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน มา….เดินมาใกล้ๆ นายนิริยบาลจะได้เกรงใจว่าพวกมนุษย์ขึ้นมากันตั้งเยอะแยะ ไม่กล้ารวมพวก โดยเฉพาะผู้นำปาเข้าไปตั้ง ๒ ล้านแล้ว มาไปด้วยกัน

    เดินมาครู่หนึ่ง ตอนนี้เห็นหรือไม่ มองไปด้านซ้าย ด้านที่เราเดินเป็นทางราบรื่น ลองไปดูซิ มีอะไรเป็นทะเลเพลิง เป็นบริเวณใหญ่คล้ายๆ กับบ่อ แต่บ่อนี้ไม่ใช่บ่อเล็กๆ เรามองเท่าใดก็ตาม ไม่เห็นที่สุดของขอบบ่อ คือมองด้านนี้แล้วก็ไม่เห็นด้านโน้น ไม่ใช่บ่อลึกเฉยๆ นะ บ่อเป็นบริเวณเว้าลงไป เป็นที่ลึกลงไปมีพื้นเบื้องล่าง พื้นเบื้องล่างเป็นเหล็กหนาถูกไฟเผาจนแดงโชน ขอบข้างๆ ทั้ง ๔ ขอบ

    ก็ปรากฏว่าเป็นเหล็กเหมือนกัน ถูกไฟเผาจนแดงโชนเหมือนกันหมด ในบริเวณนั้นเต็มไปด้วยไฟ หาที่ว่างจากไฟไม่ได้เลย อันนี้เราเรียกอะไร ภายในระหว่างไฟนั้น

    ปรากฏว่ามีสรรพาวุธต่างๆ มีอาวุธนะ มีหอก มีดาบ มีอะไรต่ออะไรเกะกะระรานไปหมดถูกไฟเผาจนแดงมีแต่ความคมจัด นี่เป็นยังงี้ คนเขาจึงบอกไม่ถูกในบริเวณนั้นมีอะไรบ้าง คนวิ่งเกลื่อนหมด เท้าเหยียบพื้นเหล็กงี้แดงโชน ร้อน ร่างกายมีไฟเผาอยู่ตลอดเวลาแล้วเวลาวิ่งก็กระทบ หอกบ้าง ดาบบ้าง ทวนบ้าง ค้อนบ้าง ทุบตีฟันเข้ามา ถูกหอกเสียบดิ้นเร่าๆๆ ร้องครวญคราง หลุดจากหอกไปกระทบดาบ มาจากไหนไม่ทราบฟันฉับเข้า ขาดโน้นขาดนี่ แต่แล้วก็ติด ปั๊บ พอถูกฟันขาดแล้วก็ติด ตายไม่ได้ ไม่มีอาการตายที่นี่เขาไม่ตายกัน

    ถ้าตายแล้วไม่เป็นการทรมาน แล้วในบริเวณนั้นมีนายนิริยบาลตัวใหญ่ๆ เดินได้อย่างสบาย นายนิริยบาลนี่ไฟไม่ลงโทษ เดินไปอย่างสบาย มีความเย็นสบาย คล้ายๆ เราเดินในที่โล่งๆ มีลมพัดฉิวๆ น้อยๆ เย็นสบาย เพราะว่าเขาไม่มีบาป พวกสรรพาวุธต่างๆ ก็ดี ไฟก็ดี ลงโทษแต่คนที่มีบาป

    แต่คนที่ไม่มีบาปไม่ลงโทษสำหรับท่านที่ตามอาตมามา อย่าเหยียบลงไปนะในนั้น อย่าเผลอเดินลงไป ถ้าบังเอิญท่านทั้งหลายที่ตามมาที่นี่เป็นพระอริยเจ้าไฟนรกจะดับ อย่าลงไปนะ ในที่นี้เคยเกิดเรื่องกันมาแล้ว พระมาลัยกับพระยายม ท่านมาทีไรท่านย่องลงไปในขุมนรก ไฟของเขาก็ดับสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันพักชั่วครู่ชั่วคราว อันนี้เป็นจริยาที่ไม่ดี อย่าทำ

    ในเมื่อเขามีกรรมก็ต้องได้รับโทษ เราก็ทรงอุเบกขาอย่างท่านพระยายมท่าน เรียกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม อย่าไปฝืนกฎระเบียบของเขา เอา เป็นอันว่าท่านทั้งหลายเห็นแล้วใช่ไหมว่านรกนี้เต็มไปด้วยไฟ ไฟเผาตลอดเวลา มีสรรพาวุธประหัตประหารตลอดเวลา สัตว์ทั้งหลายมีแต่ความทุกข์ทรมาน จะหาเวลาไม่รู้สึกตัวนิดหนึ่งไม่มี

    นรกขุมนี้เขาเรียกกันว่าอะไร เขาให้ชื่อว่านรกขุมที่ ๑ นะ นรกขุมใหญ่ขุมที่ ๑ เขาให้ชื่อว่า สัญชีพนรก แล้วสัตว์ที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกนี้มีอายุถึง ๕๐๐ ปี ๕๐๐ ปีของนรกขุมนี้นะ นรกขุมหนึ่งมีอายุไม่เท่ากัน ๕๐๐ ปีนรก

    ทีนี้ เรามานั่งเทียบกันดูวันเดือนปีของนรกกับมนุษย์เฉพาะนรกขุมนี้ ๕๐๐ ปี นับในมนุษย์ ๙ ล้านปีของเรานะ เป็นหนึ่งวันในนรกขุมนี้ แล้วก็เดือนหนึ่งมี ๓๐ วันเหมือนกัน แล้วปีหนึ่งมี ๑๒ เดือนเหมือนกัน คูณกันเข้าไป อย่าลืมนะว่าสัญชีพนรกนับในปีของมนุษย์นี่ ๙ ล้านปีเป็นหนึ่งวันของนรก แล้วเดือนหนึ่ง ๓๐ วัน ปีหนึ่ง ๑๒ เดือน

    สัตว์ที่ต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่ในขุมนรกนี้ ๕๐๐ ปีนรก มันนานเท่าไรก็ลองคิดดู ถ้าหากว่าสัตว์ที่ทำกรรมมาเข้านรกขุมนี้ทำบาปอะไร ก็ตอบว่า ไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ แต่ว่าอย่างเบานะ ไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ ทั้งหมดเป็นอย่างเบา ตานี้ ถ้าหนักลงไปอีกนิดล่ะ?

    ถ้าหนักลงไปอีกนิด ก็ลงนรกขุมที่ ๒
    นรกขุมที่ ๒ นี่ชื่อว่า กาฬปุตตะนรก นรกขุมนี้ว่าถึงอายุเลยดีกว่า สัตว์ที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ในนรกขุมนี้ เสวยทุกขเวทนาอยู่ถึง ๑๐๐๐ ปีนรก แล้วก็ ๑๐๐๐ ปีนรกน่ะท่านอย่าคิดว่า ๙ ล้านปีของเราเป็น ๑ วันนะ ไม่ใช่ยังงั้น นรกขุมนี้มีกรรมหนักกว่า แล้วก็อายุก็มากกว่า

    ถ้านับปีในเมืองมนุษย์ได้ ๓๖ ล้านปี เป็น ๑ วันในนรกขุมนี้ เห็นไหมล่ะไม่เท่ากันเสียแล้วซิ นรกขุมที่ ๑ ๕๐๐ ปี เทียบ ๑ วันของเขานี่ ๙ ล้านปี นรกขุมที่ ๒ นี้ชื่อกาฬปุตตะนรก ต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่ ๑๐๐๐ ปีนรก เทียบกับเมืองเราได้ ๓๖ ล้านปี เป็น ๑ วันของเขา แล้วก็ ๓๐ วัน เป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือนเป็น ๑ ปีเหมือนกัน

    แล้วนรกขุมนี้เขาลงโทษกันด้วยอะไร นี่กรรมบถ ๑๐ นา ไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ แต่ว่าหนักกว่านั้นไปนิดหนึ่ง ไม่เคารพมากไปหน่อยหนึ่ง คือว่านรกขุมนี้เขา….อ๋อ บริเวณหรือเกือบจะลืมเสียแล้ว ใครสะกิดข้างหลัง ใครมาสะกิดข้างหลังถามว่าบริเวณน่ะ มีอะไรบ้าง ลืมบอกไป

    บริเวณของนรกขุมนี้ก็เหมือนกัน มีกำแพงทั้ง ๔ เป็นเหล็ก แล้วก็มีพื้นเป็นเหล็กถูกไฟเผาจนแดงโชน โน่น เห็นไหม ภายในบริเวณของขุมนรก นายนิริยบาลตัวใหญ่ๆ จับสัตว์นรกนอนลงไป แล้วก็ไปเอาเส้นบรรทัดมาตีบรรทัด คนหนึ่งจับทางด้านหัวเชือกหนึ่ง อีกคนหนึ่งจับทางอีกหัวหนึ่ง ขึงตามยาวของตัวสัตว์ ขึงตามขวางของตัวสัตว์บ้าง อีกคนหนึ่งดึงสายบรรทัดลงมาตีเป๊ะลงไป

    สายบรรทัดนั่นเป็นของอะไร? เป็นสายเหล็กที่ถูกเผาไฟจนโชน แล้วพื้นที่นอนก็เป็นแผ่นเหล็กที่ถูกไฟเผาจนแดงโชน แล้วไฟก็เผาตลอดเวลา เมื่อตีเส้นลงไปแล้วเขาก็นำเลื่อยมาเลื่อยตามรอยเส้นนั้น ตามยาวก็ดี ตามขวางก็ดี

    บางทีคนหาเลื่อยไม่ทันก็เอาขวานบ้าง เอามีดโต้บ้างมาสับตามรอยนั้น สัตว์ในขุมนี้ต้องเสวยทุกขเวทนาอย่างนี้ถึง ๑๐๐๐ ปีนรก หนักลงไปนิดหนึ่ง ไม่เห็นยากเลย นี่คนที่ไม่รู้จักความดีนะ เป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์นี่ดีแล้ว เลือกทางไปสวรรค์ก็ได้ พรหมโลกก็ได้ เลือกทางไปนิพพานก็ได้ แต่ว่าไม่มีใครต้องการ

    ส่วนใหญ่ต้องการมาลงนรก จำไว้ก็แล้วกัน เออนี่ ท่านที่ติดตามมานี่ ๒ ขุมนี่ชอบใจขุมไหน? ชอบใจขุมไหน? หรือว่าไม่ชอบเลย? ไม่ชอบเลยก็ตามใจ ถ้าชอบใจขุมไหนละก้อ จำเอาไว้นะกลับขึ้นไปละก้อกลับไปบ้าน ไปจำภาพของนรกขุมนั้นไว้ แล้วก็จำปฏิปทาที่เขาปฏิบัติ

    ว่าเขาบำเพ็ญบารมีคือไม่ยอมเคารพในกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ ขนาดเบา ขนาดหนักไปนิด ขนาดหนักไปหน่อย จนกระทั่งถึงขนาดหนักที่สุด ได้มีโอกาสมาลงนรกขุมใหญ่ ความจริงก็สบายดี ตานี้ว่ามา ๒ ขุมแล้วก็ลืมไป

    เมื่อเราออกจากนรกขุมที่ ๑ นะ มันก็ต้องผ่านนรกขุมบริวาร ถึงจะมาลงขุมที่ ๒ ได้ แต่ว่านรกบริวารจะเอาไว้รวมสรุปพูดตอนหลัง ตอนนี้มาดูนรกขุมที่ ๓

    นรกขุมที่ ๓ นี่เป็นยังไง อ๋อ เขาเรียกว่า สังฆาฏนรก แถมเขาเขียนป้ายไว้ เห็นไหม เห็นป้ายไหมป้ายใหญ่เบ้อเร่อเชียว ว่าขุมนี้ชื่อว่าสังฆาฏนรก มีอายุ ๒๐๐๐ ปีนรก มีอายุไม่เท่ากันนะ อายุละคูณด้วย ๒ เสมอไป

    คราวนี้ที่ร้ายที่สุดคือนับปีเมืองมนุษย์ไม่เท่ากันอีก เทียบปีในมนุษย์ได้ ๑๔๕ ล้านปี เท่ากับ ๑ วันของเขา แย่ไหม

    จำไว้นา สังฆาฏนรก มีอายุอยู่ในนรกได้ ๒๐๐๐ ปี ๒๐๐๐ ปีนรก แล้วก็เทียบเมืองมนุษย์ได้ ๑๔๕ ล้านปีเป็น ๑ วันของเขา

    ทีนี้การลงโทษ การลงโทษนี้ไม่เหมือนกันแฮะ มองดูไปในขุมนรกขุมนี้ซิ นอกจากมีกำแพงเหล็กไฟเผาจนแดงโชน มีพื้นเหล็กไฟเผาจนแดงโชนแล้ว ก็มีภูเขากลิ้งมาในทิศทั้ง ๔ นั่นเป็นภูเขาเหล็ก คือว่า เหล็กก้อนใหญ่คล้ายๆ ภูเขานั่นเอง มีไฟเผาจนแดงโชนเป็นเหล็กแดงกลิ้งไปกลิ้งมา กลิ้งเข้าหากัน บดบรรดาสัตว์ทั้งหลายให้แหลกเหลวไป

    เมื่อเขาเหล็กเลยไปแล้ว สัตว์ทั้งหลายก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ คือร่างกายเต็มตามเดิม แล้วก็วิ่งหนีภูเขานั้นต่างๆ วิ่งไป วิ่งไปไปเจอนายนิริยบาลเข้าพ่อก็ล่อด้วยค้อนใหญ่บ้าง ล่อด้วยหอกบ้าง แทงเสียบ้าง ตีเสียบ้าง สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ก็วิ่งหนีนายนิริยบาล ไอ้ที่วิ่งหนีน่ะวิ่งไปไหน? วิ่งไปบนพื้นเหล็กแดง แล้วไฟก็เผาอยู่ตลอดเวลา แย่ไหม? แย่จริงๆ นะ

    พื้นก็เป็นเหล็กแดงไฟก็เผาอยู่ตลอดเวลา วิ่งไปวิ่งมาไปเจอะเอาเขากลิ้งมาจากทิศโน้นอีกหนีไม่พ้น ภูเขาทับลงไปบี้แบน ไม่ตาย ตายไม่ได้เพราะเขาต้องการทรมานนี่ เขาต้องการทรมานจะตายได้อย่างไร ไม่ตายหรอก

    เอาละนรกขุมนี้ ท่านทั้งหลายที่ติดตามมาใครอยากจะลงบ้าง ดีเหมือนกัน สบายดีนะ มีภูเขาบดเล่นวิ่งบนพื้นเหล็กแดง วิ่งในกองไฟถูกนายนิริยบาลทุบตีเอา หรือว่าเสียบแทงเอาบ้าง โทษอะไร? ไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ หนักลงมาคือใจทรามลงไปอีกนิดหนึ่งจากขุมที่ ๓


    ตานี้ มานรกขุมที่ ๔ มาดูกันให้ดี นรกขุมนี้ท่านเรียกว่า โรรุวนรก นี่ว่านรกกันเสียให้เสร็จนะ เดี๋ยวจะไม่จบ นรกขุม ๔ เรียกว่าโรรุวนรก อายุของสัตว์นรกขุมนี้มีอายุเท่าไรล่ะ?

    ๔๐๐๐ ปีนรก ๔๐๐๐ ปีนรกนะ ไม่ใช่ ๔๐๐๐ ปีในเมืองมนุษย์ ทีนี้มาดูวันเปรียบเทียบ ได้ ๒๓๔ ล้านปีเมืองมนุษย์เป็น ๑ วันของเขา แล้วก็อยากจะรู้ว่านรกนี้เป็นกี่ล้านปีของมนุษย์ก็คูณกันเอาเองก็แล้วกันนะ

    เพราะบอกไว้แล้วนี่ ว่าเดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือนเหมือนกัน การลงโทษในนรกขุมนี้ นรกขุมนี้ตามบาลีท่านเรียกว่า ปทุมนรก ปทุมดอกบัว ปทุมนรกนี้มี ๒ ขุมด้วยกัน คือขุมที่ ๔ กับขุมที่ ๕

    ถ้าถามว่าโทษอะไรก็ตอบได้ว่าอย่างเดียวกัน ว่าไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ มากยิ่งขึ้น ทีนี้ในบริเวณนี้ก็มีกำแพงเหล็ก ๔ ด้านเหมือนกัน มีพื้นเป็นเหล็ก แล้วตรงกลางไฟยิ่งร้อนขุมมากขึ้นเท่าใดไฟยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น ไฟนี้ไม่มีเปลว หาเปลวไม่ได้ ตานี้

    บริเวณกลางของนรกขุมนี้มีดอกบัวขึ้นสะพรั่ง ท่านจึงเรียกว่าปทุมนรก แต่ดอกบัวนี้อย่าเข้าใจว่าแบบเดียวกับดอกบัวที่เราบูชานะ ไม่ใช่ยังงั้น ไม่ใช่ดอกบัวที่เราบูชาพระ เป็นดอกบัวเหล็ก ดอกบัวเหล็กก็ใหญ่มาก กลีบก็เป็นเหล็ก มีไฟเผาจนแดงโชน

    การลงโทษในนรกขุมนี้นายนิริยบาลไม่ต้องมีเพราะไม่ต้องการไล่ตีสัตว์นรก สัตว์นรกทุกคนที่เข้าไปนรกขุมนี้แล้ว เขาก็บังคับให้ขึ้นไปนั่งบนดอกบัว จำให้ดีนะ ทีนี้เมื่อขึ้นไฟบนดอกบัวแล้วกลีบบัวก็บานขึ้น บานก็เป็นเหล็กแดงมีกระแสไฟพวยพุ่งออกมาจากกลีบ คราวนี้ดอกบัวก็ถูกไปเผาจนแดง ไฟกรดก็ยังเผาอยู่ตลอดเวลา พลุ่งอยู่ตลอดเวลา

    เขาบังคับ คือกฎของกรรมบังคับให้สัตว์ค่อยๆ ก้มหัวลง ขึ้นไปยืนบนดอกบัวแล้วนา เอาขาแหย่ลงไปในระหว่างกลีบ กรรมมันบังคับให้ตัวค่อยๆ ก้มลงๆๆ ในที่สุดก็จุ่มลงไปในโคนของกลีบดอกบัว มือทั้งสองข้างก็ยันลงไปในโคนของกลีบดอกบัว เมื่อพร้อมแล้วกลีบดอกบัวก็งับเข้ามาเป็นกลีบเหล็ก ร้อนก็ร้อน คมก็คม หัวจรดลงไปถึงแค่คาง มือจมลงไปถึงแค่ข้อมือ เท้าทั้งสองจมลงไปถึงแค่ข้อเท้า เจ็บก็เจ็บร้อนก็ร้อน ถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ดอกบัวเหล็กก็รัดเข้าไว้ ความทุกข์ทรมานก็คงอยู่อย่างนั้นนานหนักหนาจนกว่าจะสิ้นอายุ ๔๐๐๐ ปีนรก

    เสียงร้องระงมไปหมด แต่ร้องไม่ค่อยดังนัก เพราะไอ้ปากมันไปจมอยู่ในดอกบัว เสียงมันเลยขาด ท่านจึงให้นามว่าโรรุวนรก นรกขุมนี้ เท่าที่ได้ฟังมาพอใจไหม? พอใจก็เชิญนะลงมาได้ ถามว่าบำเพ็ญบารมีอะไรจึงจะลงนรกขุมที่ ๔ ได้ ก็บอกว่าไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ หนักขึ้น ทำใจให้ทรามมากขึ้น ไม่เคารพในพระพุทธเจ้าให้มากขึ้น ใช้ได้แล้ว

    คราวนี้เรามาดูนรกขุมที่ ๕ ต่อไป นรกขุมที่ ๕ ที่มีนามว่า มหาโรรุวนรก มหาแปลว่าใหญ่ โรรุวนรกแปลว่านรกใหญ่ นรกดอกบัวใหญ่ หรือนรกร้องใหญ่ นรกร้องใหญ่นี่มันแย่นะ โรรุวเขาแปลว่าร้อง แต่มีดอกบัวเรียกว่าปทุมนรก แต่ว่าชื่อของนรกเขาแปลว่าร้องเสียงดัง

    ก่อนจะถึงวิธีการร้อง ก็มาพูดถึงอายุก่อน อายุนรก สัตว์ขุมนี้ ๘๐๐๐ ปีนรก เทียบกับเมืองมนุษย์ได้ ๙๒๑๖ ล้านปีเป็น ๑ วัน แล้วก็คูณเอาเองนะ บอกไว้แล้วนี่ อย่าลืมว่ามหาโรรุวนรกมีอายุ ๘๐๐๐ ปีนรก แล้วก็เทียบกับเมืองมนุษย์ได้ ๙๒๑๖ ล้านปีเป็น ๑ วัน

    ทีนี้การลงโทษ นรกขุมนี้มีดอกบัวเหมือนกัน มีกำแพง ๔ ด้านเหมือนกัน แล้วก็มีดอกบัวตั้งสะพรั่งเหมือนกันเป็นดอกบัวที่น่าหวาด ไม่น่าชม แต่ว่าใกล้ๆ ดอกบัวมีแหลนหลาวปักเอาปลายขึ้น มีไฟลุกโชนเหมือนกัน เรื่องนรกไม่มีไฟไม่มี

    ทีนี้สัตว์ทั้งหลายที่ชอบลงนรกขุมนี้เขาทำยังไง? บังคับให้ขึ้นไปอยู่บนดอกบัว ดอกบัวนี้งับไม่กางงับไม่แน่นสนิทเหมือนดอกบัวขุมก่อน ขุมก่อนงับแน่นสนิทหนีไม่ได้ ดอกบัวขุมนี้มีกลีบคมเป็นกรด คมมากเหลือเกิน ร้อนมากกว่า สัตว์ขึ้นไปบนนั้นแล้วถูกความร้อนเผาเพราะอำนาจของความร้อนเต้นเร่าๆๆๆ เต้นเพราะความร้อน เต้นไปเต้นมากลีบดอกบัวมันก็บาดเข้าไปอีก

    ไอ้ไฟก็เผาเนื้อแซ่บเข้าไปในที่สุดถูกไฟเผาหนักเข้า เต้นหนักเข้า เนื้อหนังก็หล่นลงมา หมากิน นายนิริยบาลเลี้ยงหมาเหมือนกัน เหมือนอาตมา อาตมาก็เลี้ยงหมา แต่หมาเขามาปล่อย แต่นั่นมันเป็นหมานรก พ่นหล่นลงมาแล้วก็ปรากฏว่ามาเสียบบนแหลนบนหลาว เสียบแหลนหลาวเข้าไฟก็เผาเนื้อหล่นลงมาหมากิน แทะเหลือแต่กระดูกไม่ตายหรอก

    พอเหลือแต่กระดูกมันเจ็บแสบเหลือเกิน ร่างกายจับเข้าเป็นกายใหม่ พอเป็นกายเต็มแล้ว นายนิริยบาลก็เอาหอกเที่ยวไล่แทง บังคับให้ขึ้นไปอยู่บนดอกบัวอีกตามเดิม ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ถึง ๘๐๐๐ ปีนรกสบายๆ โทษอะไร ก็ไม่ต้องบอกกันมาก กรรมบถ ๑๐ ยังไงล่ะ ไม่เคารพ

    เอาละ บรรดาพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ วันนี้เห็นจะผ่านกลุ่มนรกไม่ได้นานเสียแล้ว เพราะเวลามันหมด เหลือเวลานาที ๒ นาทีเท่านั้น เป็นอันว่าวันนี้พักตรงแค่นี้ก่อนนะ แล้วก็ยังไม่กลับ นอนพักมันอยู่ตรงนี้แหละ นอนพักมันอยู่ตรงขอบนรกขุมที่ ๕ นี่ก่อน ยังไม่ต้องกลับ พวกเราไม่หิวไม่โหยอะไรนี่ แล้วก็นอนดูให้สบายถึงการลงโทษ มองดูให้สบายถึงจริยาของพระยายม อ้อ ของนายนิริยบาล ไม่ใช่พระยายม

    แล้วก็ดูการทุกข์ทรมาน จะได้จำเอาไว้ เวลาที่พักผ่อน ถ้ารู้สึกว่าร่างกายสบายก็เดินไปดูนรกตั้งแต่ขุม ๕ ถึงขุม ๑ จำปฏิปทาไว้ ถ้าอยากจะมาขุมไหนกลับไปบ้านตั้งใจบำเพ็ญบารมีแบบนั้น เขาอนุญาตให้มา ทางนรกไม่ปิดบัง

    เอาละทุกท่านเวลานี้ เวลาก็หมดเสียแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน และพระคุณเจ้าที่รับฟังทุกท่านสวัสดี.
     
  6. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕.นรกขุมใหญ่ ขุมที่ ๖–๘

    ท่านสาธุชนทั้งหลายและพระคุณเจ้าที่เคารพ สำหรับวันพุธนี้ ก็มาพบกับบรรดาพระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทตามปกติ เมื่อวันพุธก่อนได้พาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทไปชมนรกได้ ๕ ขุม แล้วพอถึงขุมที่ ๕ แล้วก็หมดเวลา เลยพาท่านนอนพักเสียที่ปากนรกที่ ๕ เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่ท่านกับอาตมาได้พากันทัศนาจรนรก

    สำหรับวันนี้ ขอพาท่านไปเที่ยวนรกขุมที่ ๖ บางทีจะถึงขุมที่ ๘ เพราะว่าเรื่องนรกนี้จะพยายามพูดให้เร็ว

    นรกขุมที่ ๖ ชื่อว่า ตาปะมหานรก คำว่า ตาปะ นี่แปลว่าร้อนมีอาการเผาผลาญ มีความร้อนมาก แล้วก็ลงว่ามหานรกก็แปลว่านรกใหญ่ นรกขุมยิ่งมากเข้าไปลึกเข้าไปเท่าไร นรกก็ใหญ่มากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนที่เกิดมาแล้วในโลกนิยมลงนรกกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนรกขุมใดเป็นนรกที่มีความร้อนแรงมาก

    นรกขุมนี้ บรรดาประชาชนทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนิยมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเวจีมหานรกอันนี้ยิ่งนิยมกันมาก เพราะปรากฏว่าเป็นนรกใหญ่ มีความร้อนแรงจัดลงโทษหนัก แต่ว่าบรรดาสัตว์นรกก็มีมากที่สุดกว่าบรรดาขุมทั้งหลาย อันนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายจะได้รับฟังต่อไป สำหรับวันนี้เราออกเดินทางจากนรกขุมที่ ๕ มาเสียก่อน บรรดาพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าทั้งหลายตามกระผมมา

    เราเดินมุ่งไปข้างหน้า ต่ำลงไป คือว่าทางมันลาดต่ำลงไป ทางเดินมุ่งไปทางทิศตะวันออก อันนี้เรายังจะไม่พูดกันถึงนรกบริวาร ผ่านนรกขุมใหญ่ไปก่อน ประเดี๋ยวจะกลับกัน ฟังไม่ถนัด เดินไปถึงนรกขุมใหญ่ขุมที่ ๖ แสงเพลิงสว่างไสวมาก เป็นแสงไฟละเอียด มองดูสัตว์ได้ยินเสียงร้องระงมไปหมด มีอาการดิ้นทุรนทุราย อาการเป็นยังไงเดี๋ยวค่อยคุยกัน

    ตานี้ เราถามเจ้าหน้าที่เขาดูว่านรกขุมนี้น่ะมีอายุเท่าไหร่ ลองถามดูก็ได้บรรดาท่านทั้งหลายที่ติดตามมา คนหน้าตาใหญ่ๆ รูปร่างล่ำสันกำยำ นุ่งผ้าหยักรั้ง ถืออาวุธยืนอยู่ข้างหน้าเป็นนายนรกขุมนี้ เรียกว่าเป็นหัวหน้าหมวดนายนิริยบาล

    คนสำหรับลงโทษสัตว์ หรือจะเรียกกันตามภาษาเมืองมนุษย์เรียกว่าพัศดีก็ได้ ถามท่านพัศดีนรกดู ว่านรกนี้มีอยู่เท่าไหร่ ฟังดูแล้ว ฟังดูเขาบอกมาแล้ว บรรดาพุทธบริษัทได้ยินหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ยิน อาตมาได้ยิน ใครเป็นคนบอก ก็ขอตอบว่าหนังสือธรรมเป็นคนบอก

    ท่านบอกว่านรกขุมนี้ สัตว์มีอายุ ๑ หมื่น ๖ พันปีนรก แล้วก็เทียบกับอายุของมนุษย์ได้ ๑๘๔,๒๑๒ ล้านปีในเมืองมนุษย์ จึงได้วันหนึ่งในนรก จำได้หรือยัง

    อายุของสัตว์นรกขุมนี้ ๑๖,๐๐๐ ปีนรก แต่ว่ามาเทียบกับเมืองมนุษย์ เมืองมนุษย์นี่ ๑๘๔,๒๑๒ ล้านปี ได้ ๑ วันของเขา แล้วก็คูณกันเอาเอง ก็แล้วกันว่ามันเท่าไรกันแน่ นี่เป็นอายุของขุมนรกนี้ ตานี้นรกขุมนี้มีการลงโทษยังไง

    บรรดาท่านพุทธบริษัทมองดูในขุมนรก สัตว์มีอาการดิ้นทุรนทุรายมากกว่านรกขุมอื่นๆ ที่ผ่านมา กระแสไฟฟ้าก็มีความร้อนสูง มีกำแพงกั้นสี่ด้านเป็นกำแพงเหล็กแดงฉาน แล้วก็เบื้องล่างก็เป็นพื้นเหล็ก นายนิริยบาลเดินแบบสบายๆ ในบริเวณของนรกมีอะไรก็ดูกันก่อน ดูให้ทั่ว เกลื่อนกล่นไปหมดนี่

    อ๋อ ในบริเวณนั้นเห็นไหม บรรดาท่านพุทธบริษัท มีแหลนหลาวเต็มไปหมด มันแหลมแล้วก็คมแล้วก็แดง มีเปลวไฟออกมาจากแหลนหลาวทั้งหลายเหล่านั้น มันเที่ยวไล่เสียบไล่แทงบรรดาสัตว์ทั้งหลาย

    สิ่งเหล่านี้ ความจริงไม่มีชีวิต มันเสียบแทงสัตว์ทั้งหลายแล้วก็ตั้งขึ้นไว้ ไฟหรือก็ไหม้ เนื้อหนังหล่นลงมาไหม้ เรียกว่าถูกไฟไหม้เนื้อหนังก็ทนไม่ไหว เนื้อก็ค่อยๆ หล่น ขยายตัวลงมา ผลที่สุดบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายก็ทนอยู่บนแหลนไม่ไหว หล่นลงมาข้างล่างถูกพื้นเหล็กแดงเป็นเพลิงข้างล่างร้อนจัด ไฟก็เผาเจ้าสุนัขตัวใหญ่ๆ พากันวิ่งมากัดกิน กัดกินเนื้อ มันทั้งเจ็บทั้งแสบทั้งร้อน พอเข้าไปถึงกระดูกมันก็แทะกระดูกอีก สัตว์ทั้งหลายเหลือแต่กระดูก

    บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและบรรดาพระคุณเจ้าที่ติดตามมาคงจะคิดว่าตาย ธรรมดาคนและสัตว์ในเมืองมนุษย์ ถ้ามันเหลือแต่กระดูกแล้วชีวิตมันก็ไม่เหลือ แต่ทว่าในเมืองนรกนี้หาความตายไม่ได้ เพราะว่าเขาเอามาเพื่อทรมาน ถ้าตายเสียแล้วก็ไม่มีการทรมานกัน

    ทีนี้เพื่อการทรมาน แม้เหลือแต่กระดูกก็ยังมีความรู้สึกสมบูรณ์บริบูรณ์ เรียกว่าไม่ยอมตายกัน ตานี้เมื่อเหลือแต่กระดูกแล้ว สัตว์ทั้งหลายก็ถอยหลังออกมา สุนัขที่กัดกินน่ะก็ถอยหลังออกมา เห็นไหมเป็นเหล่าๆ เป็นหมู่ๆ พอถอยหลังออกมาแล้วก็ปรากฏว่าสัตว์นรกทั้งหมดมีเนื้อหนังครบถ้วนบริบูรณ์ตามเดิม ถูกไฟไหม้เนื้อแดงฉาน บรรดานายนิริยบาลก็เข้าไปใกล้ เอาหอกเที่ยวไล่ทิ่มไล่แทง บังคับไห้ขึ้นปลายแหลนปลายหลาวใหม่

    ในเมื่อสัตว์ตัวไหนไม่ขึ้นไปเขาก็เอาปลายหอกเสียบ ให้ขึ้นบนแหลนบนหลาว ไอ้แหลนหลาวนั่นก็คมมากแล้วก็มีความร้อนจากเพลิง เป็นเหล็กแดง ไฟก็พุ่งจากข้างนอก จากข้างนอกพุ่งเข้าไปเผาสัตว์ทั้งหลายก็พากันร้องและดิ้นเร่าๆ ไปตามๆ กัน

    ดูเถอะบรรดาพุทธบริษัทหรือพระคุณเจ้าที่เคารพ น่าอยู่ไหมนี่นรกขุมนี้ ถ้าไม่น่าอยู่ก็อย่าพยายามอยู่เลยนะ ถ้าหากจะถามว่านรกขุมนี้มีโทษอะไร ท่านกล่าวไว้อย่างเดียวว่าไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ หนักมากเหลือเกิน

    นี่เป็นนรกขุมที่ ๖ ชมกันพอหวานหูหวานตานะ พอชื่นตาชื่นใจ บรรดาท่านสาธุชนทั้งหลายที่ติดตามอาตมามาพอเข้าใจไหม นรกขุมนี้ถ้ามีความรักในนรกขุมนี้ละก้อตั้งใจไว้ว่า เรากลับไปสู่สถานที่เดิม ต่อแต่นี้ไปเราจะกลับมานรกขุมที่ ๖ เมื่อเวลาตายแล้วเราก็พยายามทำทุกอย่าง ละเมิดกรรมบถ ๑๐ ประการให้ครบถ้วน ท่านทั้งหลายก็จะมีโอกาสได้มานรกขุมนี้ได้อย่างสบายๆ

    นี่ถ้าท่านชอบใจนะ เอานะ ชมนรกขุมนี้สมควรแก่เวลา เพราะว่าเวลาของสถานีวิทยุ ๐๔ ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ให้เวลาเราจำกัดเข้าไว้ ถ้าหากว่าจะให้เวลามากกว่านี้ก็คงจะเที่ยวไม่ไหว เพราะว่าร่างกายอาตมาผู้พาเที่ยวไม่ดีเดินไปก็ต้องพักไปด้วย ร่างกายมันไม่ดี มันใกล้จะลงนรกเต็มที่อยู่แล้ว

    เอา ต่อจากนี้ไป เราไปเที่ยวนรกขุมที่ ๗ กัน ลาลุงแกเสียก็ได้ คนที่รูปร่างใหญ่ๆ หน้าตาถมึงทึงถือหอกอยู่ข้างหน้า ที่อาตมาให้สมญาว่าเป็นพัศดีนรก ลาแกเสียซี แต่ระวังให้ดีนะ ไปพูดกับแก แกพูดไม่เป็น พวกนี้พูดภาษามนุษย์ไม่เป็น แกไม่ยอมพูดกับเราสักอย่าง อะไรแกก็ไม่ตอบ ไปถามแกเข้าแกก็นั่งมองตาเฉย แล้วก็ยืนมองตาเฉย แล้วก็ยืนมองตาเฉย จะว่าก็ไม่ว่า จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จะบึ้งก็ไม่บึ้ง ทำเฉยๆ เหมือนตุ๊กตา

    มีหน้าที่อย่างเดียว คอยบัญชานายนิริยบาลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติตามหน้าที่ อันนี้เขาเคร่งครัดจริงๆ เอ้า เดินกันต่อไป มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก เดินมาสักครู่หนึ่งเราก็เห็นแล้วนะ เห็นแล้วว่าด้านตรงนี้มาหยุดอยู่ตรงนี้ก่อน

    นี่มาเจอะท่านพัศดีเข้าอีกคน ท่านพัศดีคนนี้ร่างกายล่ำสันอ้วนไม่ค่อยสูงนัก แต่หน้าตาแบบเดียวกัน ผิวดำ นุ่งผ้าหยักรั้ง มือถือค้อนขนาดใหญ่ ยืนเฉยคอยบัญชาการ เรียกว่าคอยบัญชาการนายนิริยบาลที่ลงโทษสัตว์ คือผู้คุมของสัตว์นรกที่คุมอยู่ในขุม

    สำหรับท่านพัศดีน่ะยืนอยู่ปากขุม อยู่ด้านบน นรกขุมนี้เราเรียกกันว่านรกขุมที่ ๗ นรกขุมที่ ๗ นี่เขาชื่อว่า มหาตาปะนรก มหาตาปะนรกนะเรียกว่านรกมีความร้อนหนักกว่านรกขุมก่อน

    คราวนี้นรกขุมนี้มีกำแพงทุกด้าน เดี๋ยวก่อน อายุของสัตว์นรกขุมนี้เขาไม่ได้กำหนดเวลาไว้ ท่านบอกว่ามีอายุครึ่งกัป ไอ้เรื่องกับนี่ แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ไม่เคยกำหนดว่ากี่ปีกันแน่ ว่าเวลากี่ปีกี่เดือนกี่วัน ถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์ได้เท่าไร ท่านบอกว่าเทียบไม่ได้

    เป็นแต่เพียงอุปมาไว้ ๑ กัป อันนี้ครึ่งกัปนะ นรกขุมนี้ คราวนี้ท่านอุปมา ๑ กัปว่ามีอายุเท่านี้เป็นแต่เพียงการประมาณ ว่ามีภูเขาลูกหนึ่ง สูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ เป็นภูเขาหินล้วน เป็นภูเขาหินแข็งล้วน

    ถ้าถึงเวลา ๑๐๐ ปีมีเทวดาองค์หนึ่งเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาปัดเขานั้นครั้งหนึ่ง ปัดลงไปทีหนึ่งแล้วก็กลับ ๑๐๐ ปีของมนุษย์ก็มาปัดอีกทีหนึ่ง จนกระทั่งภูเขานี้เหี้ยนเตียนลงไป หาหินไม่ได้เลยเหลือแต่ดิน นั่นเป็นอายุประมาณ ๑ กัป

    หรือท่านเปรียบเทียบไว้คล้ายๆ กับว่ามีถังเหล็กสี่เหลี่ยมสูงโยชน์หนึ่ง กว้างโยชน์หนึ่ง ยาวโยชน์หนึ่ง มีเมล็ดพันธุ์ผักกาด เม็ดเล็กๆ ไอ้เม็ดผักกาดนี่มันเล็กมาก ใส่ไว้จนเต็มพอดีถึงเวลา ๑๐๐ ปี มีเทวดามาหยิบ มีคนมาหยิบเม็ดผักกาดออกไป ๑ เม็ด ๑๐๐ ปีหยิบออกไป ๑ เม็ด จนกระทั่งเม็ดพันธุ์ผักกาดหมดจากถังนั้น ก็มีประมาณเท่ากับอายุ ๑ กัป

    ท่านใช้คำว่าประมาณไม่แน่นอนนัก กัปหนึ่งอาจจะสูงกว่านั้นก็ได้ ต่ำกว่านั้นไม่มี แต่ว่านรกขุมนี้มีอายุครึ่งกัปก็พอทน เป็นอันว่านรกขุมนี้มีโทษนับไม่ได้ มีเวลาไม่นับ ท่านบอกว่ามีกำแพงกั้นทุกด้านมีไฟพุ่งเข้ามาทุกด้าน อันนี้ก็เหมือนกัน เหมือนกับนรกขุมอื่น

    แต่ทว่าไฟนี่ไม่มีเปลวจริงๆ คล้ายๆ กับแสงสว่างธรรมดา แต่มีความร้อนแรงมาก แล้วก็มีภูเขาเหล็ก ในนรกนี่แปลกมีภูเขาเหล็ก ตั้งอยู่ในระหว่างในขุมนรกเยอะแยะไปหมด เห็นไหมท่านบรรดาท่านพุทธบริษัท? ไฟก็แรง ความร้อนก็มาก ไฟก็พุ่งมาทุกทิศ จากข้างล่างถึงข้างบน จากข้างบนลงข้างล่าง จากทิศเหนือทิศใต้ ทิศซ้ายทิศขวา พุ่งเข้ามารวมกันในจุดกลาง เหล็กหรือก็แดงฉาน สัตว์นรกเนื้อและกระดูกแดงเหมือนเหล็กถูกเผาสุก ภูเขาที่ขึ้นอยู่กลางขุมนรกก็มีไฟพวยพุ่งออกแล้วก็ไฟพวยพุ่งเข้า เผาแดงเป็นเหล็กสุก

    คราวนี้ เมื่อมีเขาแล้ว นายนิริยบาลก็บังคับให้บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายขึ้นไปบนยอดเขา ความจริงในบริเวณของนรกก็ร้อนพออยู่แล้ว ไฟพุ่งเข้ามาแบบนั้น มันไม่ใช่ไฟอย่างของเรา ไม่มีเปลว ร้อนมาก ละเอียดมาก-กระแสไฟ

    ถ้าจะสังเกตไฟร้อนมากร้อนน้อยก็ลองเอาเตาสูบมาลองดู ไฟที่เราจุดรอบเผาหัวจะมีเปลวมีความร้อนน้อย แต่เวลาหัวร้อนแล้วก็สูบน้ำมันขึ้นมา ขั้นแรกก็จะมีเปลวไฟจะค่อยๆ แรงขึ้นๆๆ ในที่สุดไฟแรงที่สุดจะหาเปลวได้ไม่ แต่ไฟขนาดนั้น ชื่อว่าร้อนที่สุดสำหรับเมืองมนุษย์ ยังไม่เท่า ๑ ในหลายสิบล้านความร้อนของในเมืองนรกไฟในเมืองนรก

    เฉพาะอย่างยิ่งขุมนี้แล้ว ก็มีความร้อนสูงกว่าไฟที่เราคิดว่าร้อนที่สุดหลายสิบล้านทีเดียว ตานี้ เมื่อมีภูเขา นายนิริยบาลบังคับให้สัตว์ขึ้นเขา ถ้าไม่ขึ้นก็เอาหอกเสียบ หอกแทง เอาค้อนทุบ ไล่ตีพวกสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นมันก็ร้อนมันก็เจ็บอยู่แล้วพอไฟพุ่งเข้ามามันก็ร้อน พื้นก็ร้อน ถูกเขาบังคับแบบนั้นมันก็ต้องไป ต้องวิ่งขึ้นไป ไม่ใช่บังคับด้วยการขู่เข็ญ บังคับด้วยการทิ่มแทงด้วยหอก และทุบด้วยค้อน

    มันเพิ่มความเจ็บเข้ามาอีกก็เลยถือว่ามันร้อน แต่ไม่เจ็บดีกว่าทั้งร้อนทั้งเจ็บ ก็พากันวิ่งขึ้นไปบนยอดเขาพอวิ่งขึ้นไป เขามันเป็นเขาไฟ เป็นไฟทั้งลูก ร้อนแรงแล้วก็เป็นเหล็ก แล้วไฟข้างนอกก็พุ่งเข้ามา ในที่สุดก็วิ่งเข้าไปใกล้จะถึงยอดเขา ความร้อนมันก็เผาผลาญทนไม่ไหวหล่นลงมา พอหล่นลงมาก็มาเสียบกับแหลนหลาว ที่มารออยู่ข้างๆ ปักเรียงรายอยู่รอบเขา

    สัตว์ก็ดิ้นเร่าๆ มีความร้อน มีความเจ็บ ทุกข์ทรมานมากที่สุดเมื่อโดนเสียบแบบนั้น ถูกไฟเผาหนักเข้า ในที่สุดก็หล่นลงมาจากแหลนหลาว ร่างกายก็เต็มบริบูรณ์ ถูกไฟเผาตามเดิม นายนิริยบาลก็เข้าไปเอาค้อนทุบบ้าง เอาหอกเสียบแทงบ้าง บังคับให้ขึ้นเขาต่อไปว่ากันอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะครบครึ่งกัป

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท พอใจไหม พอใจในการทรมานนรกขุมนี้ไหม ถ้าพอใจละก้อ บอกกับนายนิริยบาลผู้ใหญ่ว่า เมื่อเวลาข้าพเจ้าตายละก็บอกพระยายมด้วย ข้าพเจ้าพอใจนรกขุมนี้ เพราะมีอายุยืนยาวดี มีอายุถึงครึ่งกัป หรือบรรดาพระคุณเจ้าที่รักพอใจหรือยัง

    ถ้ามีความพอใจก็สมัครใจไว้ พระลงนรกง่ายกว่าชาวบ้านมาก ชาวบ้านก็ลงนรกไม่ยาก แต่ลงนรกขุมลึกๆ อันนี้พระลงง่ายกว่า เอาละ เวลามันจำกัดนี่ ก็ชมกันแค่นี้ก็แล้วกัน พวกเราพากันเดินต่อไป ไปดูนรกขุมพิเศษที่หลวงพี่ท่านอยู่

    บรรดาพระคุณเจ้าจำหลวงพี่ได้ไหม หลวงพี่ของพวกเราก็คือท่านเทวทัต ท่านอยู่ขุมนี้ นรกขุมที่ ๘ เดินไปอีกสักนิดนะ ออกไปทางทิศตะวันออกอีกสักหน่อย มีความลึกลงไปสักนิดหนึ่ง โน่น ข้างหน้า ที่เป็นนรกมีแสงสว่างมาก บริเวณกว้างกว่านรกทั้งหมด ไปดูกันให้ดีนะ มองเห็นไหม?

    เห็นหรือไม่เห็น มันจะเห็นได้ยังไง ก็คนพูดๆ พูดให้ฟังแล้วก็ไปถามคนฟังว่าเห็นไหม ใครเขาจะเอาหูไปเห็นภาพได้ พระองค์นี้แปลก พูดอยู่แท้ๆ ดันถามชาวบ้านว่าเห็นไหม มันแปลกไหม บรรดาท่านพุทธบริษัท แปลกหรือไม่แปลกก็ตามใจ

    ที่ถามว่าเห็นน่ะ หมายความว่าเห็นนรกไหม ถ้าไม่เห็นนรกก็เคยเห็นหนังสือที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัส บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายท่านบันทึกไว้ เคยเห็นหรือเปล่า? ถ้ายังไม่เคยเห็นก็แล้วไป เคยเห็นก็แล้วไป ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

    เรามาว่ากันถึงการเที่ยวอเวจีมหานรก เดินไปข้างหน้าอีกหน่อย ทางสู่อเวจีไม่ไกลนัก แต่หากจะวัดในเมืองมนุษย์แล้วมันก็หลายแสนโยชน์ นรกแต่ละขุมที่ห่างกัน แต่ในที่นั่นดูเหมือนว่าอาการมันใกล้มาก นรกขุมที่ ๘ มีนามว่า “อเวจีมหานรก”

    นรกขุมนี้ มีอายุครบกัปพอดี จำได้หรือยัง พูดมาตั้งแต่ขุมที่ ๗ ว่า ๑ กัปท่านเปรียบเทียบไว้อย่างใด แล้วก็วันเดือนปีนั่น นับกันไม่ได้ เอาข้อเปรียบเทียบ

    การลงโทษของนรกขุมนี้มีเป็นพิเศษ นรกตั้งแต่ขุมที่ ๑ ถึงขุมที่ ๗ หรือว่านรกขุมอื่น บรรดาสัตว์ทั้งหลายมีการเคลื่อนไหวได้ แต่ว่าอเวจีมหานรกนี่ ไม่มีการเคลื่อนไหว เขาลงโทษกันยังไง มองไปดูข้างหน้า

    หลวงพี่เทวทัตกำลังยืนกางแขนกางขาอยู่นั่น เป็นบุคคลตัวอย่าง ดูร่างกายของท่านไม่มีการไหวติง ไม่ใช่ตาย ไม่ตาย แต่มีการเคลื่อนไหวไม่ได้ กระดูกของท่านแดงฉาน เหมือนกับเหล็กที่ถูกไฟเผาไหม้จนสุก เรียกว่าเหล็กแดง แดงช้าดทีเดียว

    นี่เป็นสภาวะของสัตว์นรกที่อยู่ในมหานรกทั้งหมด แล้วบรรดาท่านพุทธบริษัทมองสังเกตลงไปให้ดี ดูว่านรกภูมินี้มีบริเวณกว้างใหญ่มากแล้วก็สัตว์นรกมีมากกว่าทุกขุม ถ้าจะโดยประมาณแล้วก็ถือว่าเอานรกทั้ง ๒ ขุมที่มีสัตว์นรกอยู่มารวมกัน แล้วจะมานับปริมาณดูแล้ว ดูเหมือนว่าอเวจีมหานรกนี่จะมีสัตว์นรกมากกว่านรก ๗ ขุมรวมกัน ที่เป็นยังงี้เพราะอะไร?

    เพราะว่าคนที่เกิดมาในโลกนี้ไม่เคารพในกรรมบถ ๑๐ น่ะ มากที่สุด คนที่เคารพมั่งไม่เคารพมั่งนี่มีประมาณน้อยกว่า เอ๊ะ ทั้งนี้เพราะอะไร บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เอาไว้รับฟังกัน ถ้าอาตมาไม่ลืมพูด ทิ้งกันไว้แบบนี้สักหน่อยนะ ว่าถ้าอาตมาไม่ลืมพูดละก้อ อาตมาจะมาคุยให้ฟังว่า ทำไมนรกขุมนี้คนจึงมาก

    เอา ต่อจากนี้ว่ากันไปว่าการลงโทษสัตว์ มองดูท่านพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง คนอื่นก็มีสภาพเหมือนกัน ขืนอธิบายทุกคนแล้วจะซ้ำกันไป คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าของเรา การลงมาคราวนี้ ตั้งใจพบกับท่านเทวทัตมากที่สุด มากกว่าคนอื่น เพราะว่าท่านเป็นอัจฉริยมนุษย์

    สามารถคิดขบถต่อพระพุทธเจ้า สามารถคิดฆ่าพระพุทธเจ้าก็ได้ สามารถทำสังฆเภท คือทำสงฆ์ให้แตกกัน แล้วก็จ้างคนฆ่าพระพุทธเจ้าไม่พอ ยังคิดฆ่าคนทั้งหลายเหล่านั้นอีก

    นี่บุญบารมีของท่านเทวทัตท่านมากเกินพอดี จึงต้องลงมานรกขุมนี้ ด้านหน้าที่มองเห็นไปยืนกันอยู่ใกล้ๆ ท่านพระเทวทัตยืนกางแขนแล้วก็กางขา นรกขุมนี้มีกำแพงพิเศษทั้งข้างล่างข้างบน และทั้ง ๔ ด้านปิดหนา

    เวลาลงท่านที่ได้ฌานมาต้องลงทางปล่อง มีปล่องเป็นที่ลง แล้วมีกำแพงปิด แต่เราเดินกันมานี่ไม่ต้องใช้ปล่องเพราะเราเดินกันด้วยปาก ไม่ต้องลงปล่องลงเปลิ่งละ เอาละ เดินกันด้วยปากนี่แหละ เราจะไปไหนก็ได้ ไปกันเป็นกลุ่ม จะขออนุญาตใครหรือไม่ขอเราก็ไปได้

    ท่านพระเทวทัตยืนแล้วมีกำแพงทั้ง ๖ ด้าน ด้านข้าง ๔ ด้าน ข้างบนและข้างล่าง ไฟพุ่งมาทั้ง ๖ ทิศ ตานี้ดูหอก เบื้องบน ด้ามหอกผังอยู่กำแพงด้านบน ปลายหอกเสียบตั้งแต่หัวเทวทัตทะลุตูดและลงไปปักอยู่กับกำแพงด้านล่าง ด้านหน้า ด้านติดอยู่กับกำแพงด้านหน้า ตรงกลางหอกติดอยู่ที่อกเทวทัต ด้านปลาย เอาหอกไปปักอยู่กำแพงด้านหลัง ด้านข้างก็เหมือนกัน ทั้งมือ ทั้งเท้า ทั้งตัว ถูกเสียบด้วยหอกหลายสิบเล่ม

    นี่ตามพระบาลีในพระธรรมบทเคยแปลว่าเรื่องนรกเป็นอจลัง ว่าสัตว์ที่ลงนรกนี่เป็น อจลัง คำว่า อจลัง นี่ แปลว่าไม่หวั่นไหวก็มีความสงสัยว่าสัตว์ที่ถูกทุกข์ทรมานมากที่สุด มีความร้อนแรงมากที่สุด ทำไมไม่หวั่นไหวไม่ดิ้น มาเจอเข้าจริงๆ แล้วมันดิ้นไม่ไหว ความจริงไม่ใช่ไม่อยากดิ้น ท่านอยากจะดิ้นกันเหมือนกันแต่ว่าดิ้นไม่ไหว เพราะถูกหอกมันตรึงเข้าไปหมด แล้วไฟก็พุ่งเข้ามาทั้ง ๖ ด้าน

    อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ ก็ลองคิดดูว่าความร้อนแรงมันจะมีสักเพียงไหน การทุกข์ทรมานมันจะมีมากเท่าไหร่ เพราะว่าถ้าเราร้อนเราเจ็บเราปวดเราร้องครางได้บ้าง ดิ้นได้บ้าง บางทีมันก็บรรเทาอาการเครียด แต่นี่ไม่อย่างนั้น

    หอกก็เสียบ หอกก็เป็นเหล็ก แล้วก็เป็นไฟ แล้วแถมไฟก็พุ่งมาทั้ง ๖ ด้าน กระดูกแดงฉานเหมือนเหล็กสุก แล้วทำยังไง? ทำยังไงล่ะจะดิ้นได้? เป็นไม่มีทางจะดิ้น ในเมื่อมันไม่มีทางจะดิ้นก็ไม่ดิ้น ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น สิ้นเวลา ๑ กัป นี่ถ้าหากว่าทำบารมีสำหรับลงนรกขุมนี้พอดิบพอดีนะ

    ถ้าทำบุญเลยพอดีละก้อไม่ใช่กัปเดียว เรียกว่าต้องอยู่ในนรกขุมนี้เป็นกัปๆ นับเป็นกัปๆ อย่างกับเทวดา เทวดาที่เขาทำบุญเลยพอดีนี่ เขาเกิดเป็นเทวดาตั้ง ๖๐ กัปบ้าง ๓๐ กัปบ้าง ๑๐๐ กัปบ้าง ตานี้อายุของเทวดาไม่ถึง อายุของเทวดาได้ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์บ้าง ๒,๐๐๐ ปีทิพย์บ้าง มันไม่ถึงกัปก็ตายจากเทวดาปุ๊บแล้วก็เกิดเป็นเทวดาปั๊บ เสวยสุขต่อไปในความเป็นเทวดา

    ตานี้ ในเมืองนรกนี่ก็เหมือนกัน ถ้าหากบำเพ็ญบารมีเกินพอดีสำหรับอเวจีมหานรก ก็มีอายุ ๑ กัป พอครบ ๑ กัปแทนที่จะกลับไปได้ก็เกิดใหม่ในนรกเสวยทุกขเวทนาต่อไป

    เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย นี่เรามาถึงนรกขุมที่ ๘ กันแล้ว แล้วก็ยังมีนรกบริวารที่จะต้องคุยกันแต่ละขุม แต่วันนี้จะคุยกันไม่ได้เสียแล้วนี่ พักกันสักประเดี๋ยวหนึ่งกระมัง?

    เอาละ พักกันสัก ๗ วัน นอนพักอยู่ข้างนรกขุมที่ ๘ คืออเวจีมหานรก นั่งพิจารณาดูสัตว์นรกเสวยทุกขเวทนา จนกว่าจะถึงพุธหน้า ถึงค่อยไปชมกันใหม่ สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาแล้วนี่ บรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่รัก เมื่อหมดเวลาก็ต้องขอพักกันที

    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนและพระคุณเจ้าที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี.
     
  7. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖.กรรมที่นำสู่อเวจีมหานรก

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ครบ ๗ วันแล้ว มาลุกขึ้นจากนรกขุมที่ ๘ สักหน่อยดีไหม? ท่านนั่งบ้างนอนบ้างในนรกขุมที่ ๘ คือไม่ใช่อยู่ในนรก แต่ว่าอยู่ที่บริเวณของนรกด้านนอก ไม่ต้องถูกทุกข์ทรมานมา ๒ วัน นั่งชมนรกขุมที่ ๘ ครบ ๗ วัน จะเดินทางไปนรกขุมที่ ๗ ขุมที่ ๖ บ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบเพราะว่าต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไม่ได้สนใจซึ่งกันและกัน

    ก่อนที่จะจากนรกขุมที่ ๘ ไปชมนรกบริวาร อันนี้ก็มาพูดถึงปฏิปทาบารมีที่ท่านไปนรกขุมที่ ๘ สักหน่อยดีไหม? ทั้งนี้ก็เพราะว่านรกขุมที่ ๑ ถึงขุมที่ ๒ ถ้าเราจะคุยกันว่าเพราะอะไรจึงมานรกขุมนั้นได้

    ก็โปรดทราบว่านรกขุมนั้นที่เขาจะอยู่กันได้ก็มีบารมีไม่ถึงท่านที่มาอยู่ในนรกขุมที่ ๘ มีบารมีต่ำกว่า แต่ทว่าถ้าเรารู้ถึงปฏิปทาของคนที่มานรกขุมที่ ๘ แล้ว ก็พอจะหยั่งลงได้ ว่าปฏิปทาของใครขนาดไหนจึงลงนรกขุมที่ ๑ ขุมที่ ๒ ขุมที่ ๓ ถึงขุมที่ ๗ เรียกว่ามีเจตนาไม่เท่ากับ

    ท่านที่ลงนรกขุมที่ ๘ นรกขุมที่ ๘ นี่มีอาการลง ๒ อย่าง ๒ ประเภทด้วยกัน คือบางท่านที่มีบารมีมาก ลงมาตั้งแต่ยังไม่ตาย พอทำกรรมนั้นเสร็จพอสมควรแก่กาลสมัย แผ่นดินทนไม่ได้แยกออก ไม่ใช่ธรณีสูบ ท่านเรียกว่ามีความหนักมาก แผ่นดินทนไม่ไหว แยกออกไปเป็นช่องให้เลยลงนรกไป

    แล้วก็สำหรับบางท่านที่มีบารมีน้อยไปหน่อย ก็ต้องรอถึงเวลาตายจึงจะลงนรก สำหรับวันนี้ วันพุธนี้ เราพูดกันถึงเฉพาะท่านที่มีบารมีลงอเวจีมหานรก แต่ทว่าคงนำมาไม่ได้ทุกคน เอามาเฉพาะบางท่าน พอสมควรแก่เวลา มีบุคคลที่ยืนอยู่ข้างหน้า ที่พวกเราสนใจมากที่สุด นั่นก็คือพระเทวทัต

    ความจริงพระเทวทัตนี่ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เป็นพี่ของพระนางพิมพา ซึ่งเคยเป็นชายาของพระสิทธัตถราชกุมารที่มาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็เป็นลูกของลุงพระพุทธเจ้าเอง ความจริงก็เป็นญาติสนิทกัน

    ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เขาพากันออกบวช ท่านพระเทวทัตก็ออกบวชด้วย เมื่อบวชแล้วก็ได้ฌานโลกีย์ ได้อภิญญาสามารถเหาะเหินเดินอากาศ เนรมิตอะไรต่ออะไรได้

    ต่อมาก็มีความกำเริบใจ เพราะอกุศลกรรมเข้าสนับสนุน ท่านเทวทัตนี่เคยจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้ามาหลายแสนกัปเพราะต้นเดิมทีเดียวเป็นคนไม่ดี เป็นพ่อค้า พระพุทธเจ้าก็เป็นพ่อค้า

    ทีนี้เทวทัตเป็นพ่อค้าทุจริต พระพุทธเจ้าเป็นพ่อค้าสุจริต วันหนึ่งมีหญิงแก่คนหนึ่งเคยเป็นคนอยู่ในตระกูลมหาเศรษฐีเก่า รับช่วงทอดกันมา มาถึงระยะนั้นก็กลายเป็นคนจน เรียกว่าหลายชั่วคนมาแล้ว มีถาดทองคำอยู่ลูกหนึ่งในตระกูลเศรษฐีนั้นเหลืออยู่ ต่อมาพระเทวทัตไปขอซื้อ แกเอามาขายให้เพราะแกเป็นคนจน ไอ้คนจนจะมีถาดทองคำไว้ก็ไม่มีประโยชน์

    เมื่อพระเทวทัตดูแล้วก็ทราบว่าเป็นทองเนื้อดี แต่เห็นว่าเป็นคนจนก็เลยบอกว่า ทองนี้ไม่ใช่ทองจริงๆ เป็นทองปลอม ก็ตีราคาในฐานะทองปลอมให้ แกก็ไม่ขายเพราะแกทราบดีว่าอันนี้เป็นทองดี คือทองเนื้อบริสุทธิ์ พระเทวทัตก็คิดว่าถ้าไม่ซื้อแล้วพ่อค้าคนอื่นก็ไม่ซื้อ ไม่ช้ายายคนนี้ก็ต้องจำใจขายให้กับแก

    ต่อมาพระพุทธเจ้าของเราเป็นพ่อค้าไปพบเข้าเห็นว่าเป็นทองดีจริงๆ ทองเนื้อบริสุทธิ์ ก็ให้ราคาเท่าทองคำธรรมดา แกก็ยอมขาย ท่านพระเทวทัต เมื่อทราบเข้ายังงั้นก็เจ็บใจ จองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้า หยิบทรายมา ๑ กำมือแล้วก็หว่านลงไปประกาศว่า เราจะขอจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเมล็ดทราย ๑ กำมือนี้ หมายความว่า ๑ ชาติ เท่ากับทราย ๑ เม็ด จนกว่าจะหมดเมล็ดทราย

    นี่ความจริงพระเทวทัตเป็นคนเลวมาตั้งแต่ต้น ต่อมาเมื่อสมเด็จพระทศพลเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ไปเกิดทุกๆ ชาติ เทวทัตก็จองล้างจองผลาญตลอดเวลา

    ต่อมาชาติสุดท้ายปลายมือสมัยเป็นพระเวสสันดร เทวทัตก็มาเป็นชูชก มาชาติสุดท้ายนี้เทวทัตมาเป็นลูกของลุง มาเป็นพี่เมียเสียอีก พอบวชเข้ามาแล้วได้ฌานสมาบัติ พระเทวทัตก็กำเริบ จองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้า ไปคบกับพระเจ้าอชาตศัตรูกบฏต่อบิดา ตัวเองก็กบฏต่อพระพุทธเจ้า

    ตามที่กล่าวมาแล้วในตำนาน เรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านรับฟังกันมาแล้ว จะไม่พูดมาก ในเมื่อพระเทวทัตเลวจัดขนาดนี้ ความดีในการที่จะลงนรกมากเกินไป ในที่สุดแผ่นดินทนไม่ไหว ทนความหนักของความดีไม่ได้

    ก็จึงแยกปล่อยให้พระเทวทัตไปยืนกางแขนกางขาเอาหอกเสียบอยู่ในอเวจีมหานรก ตามที่บรรดาท่านพุทธบริษัทเห็นอยู่ในปัจจุบัน เรียกว่าบุญมากเกินไปต้องลงในสมัยมีชีวิต รองลงมาอีกท่านหนึ่งก็คือ พ่อของพระเทวทัต มีนามว่า สุปปพุทธะ เป็นพระราชา

    เมื่อทราบว่าเทวทัตลูกชายลงอเวจีมหานรกไปแล้ว ก็เจ็บใจพระพุทธเจ้า บอกกับบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารว่า สิทธัตถะลูกเขยของเราทำให้ลูกสาวของเราเป็นหม้าย แล้วยังทำให้พี่ชายของเมียลงอเวจี วันนี้ เราจะแกล้งลูกเขยของเรา

    คือว่าเวลานั้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วิหารที่ไม่ใกล้นัก ตอนเช้าเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะออกบิณฑบาต ท่านสุปปพุทธะเป็นทั้งลุง เป็นทั้งพ่อตา ก็พาอำมาตย์ข้าราชบริพารมากมาย ไปนั่งกินเหล้าขวางทางเสีย

    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงตรงนั้น เขาไม่หลีกทางให้ พระองค์ก็ทรงกลับ ถ้าจะถามว่าพระองค์ทรงทราบไหมว่า สุปปพุทธะจะขวางทางโคจร คือขวางทางบิณฑบาต อันนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่าทราบ แต่ว่าทางบิณฑบาตมันมีทางเดียวก็ต้องไป

    ไปแล้วเขาไม่หลีกท่านก็กลับ ยอมอดวันนั้น เรียกว่ายอมอดข้าว แล้วเมืองนั้นถ้าพระราชาเกเรเสียแล้วก็ไม่มีใครจะดีได้ เพราะไม่มีใครสามารถจะละเมิดอำนาจของพระราชา

    เมื่อกลับมาแล้วท่าน สุปปพุทธะก็สั่งคนมาสอดแนมคอยฟังข่าวว่า ต่อแต่นี้ เราจะจับผิดพระพุทธเจ้า พระสิทธัตถราชกุมารลูกเขยของเรา เธอจงไปนั่งฟังข่าว ว่าการที่เรานั่งขวางทางไม่ให้เธอบิณฑบาต ให้อดข้าวเสีย ๑ วัน เธอพยากรณ์ว่ายังไง

    คนทั้งหลายเหล่านั้ก็พากันปลอมเป็นพุทธศาสนิกชนไปนั่งฟังเทศน์องค์สมเด็จพระทศพลเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา เมื่อเวลาคนมาครบ พระอานนท์ก็ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สุปปพุทธะขวางทางโคจรของพระองค์ มีความประสงค์จะให้อดข้าว ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะทราบว่าโทษของสุปปพุทธะเป็นประการใดพระพุทธเจ้าข้า

    องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ หลังจากนี้ไปวันที่ ๗ คือนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สุปปพุทธะจะลงอเวจีติดตามเทวทัตไป เมื่อคนสอดแนมได้ทราบข่าวยังงั้นแล้วก็กราบทูลให้พระเจ้าสุปปพุทธะทรงทราบ

    เมื่อพระเจ้า สุปปพุทธะทรงทราบก็บอกว่าต่อแต่นี้ไป เราจะจับผิดลูกเขยเรา แล้วก็ขึ้นไปบนปราสาทชั้นที่ ๗ แต่ละชั้นตอนประตู เอานักมวยปล้ำที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงที่สุดยืนอยู่ประตูละ ๒ คน ๗ ชั้นเป็น ๑๔ คน สั่งกับนายประตูทั้ง ๑๔ คนนั้นว่า

    ในระหว่าง ๗ วันนี้ ถ้าฉันจะลงมาละก้อ พวกเธออย่ายอมให้ลงนะ จับเอาไว้ ปล้ำเอาไว้ ไม่มีใครทำโทษ ได้ประกาศกับอำมาตย์ข้าราชบริพารและพระบรมวงศานุวงศ์ว่า ทุกคนถ้าหากว่าทั้งหมดนี้เขาจับฉันไว้ละก้อ ใครอย่าไปลงโทษเขานะ จะหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพน่ะไม่ได้ เพราะฉันสั่งเจ็ดวันฉันจะไม่ลง ฉันจะจับผิดพระสมณโคดม

    เป็นอันว่าตกลงกันแล้ว ๖ วันน่ะเขาอยู่ได้ พอครบวันที่ ๗ เป็นวันที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสไว้ว่าวันนี้สุปปพุทธะจะต้องถูกธรณีสูบ คือว่าลงอเวจี ไอ้ธรณีสูบนี่มันเป็นศัพท์ชาวบ้านนะ อาตมาก็เผลอไป เรียกยังงี้ไม่ถูก พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดยังงั้น เพราะว่าสุปปพุทธะจะถูกบาปบังคับให้ลงอเวจีมหานรกภายในระยะ ๗ วัน คือวันนี้

    พอครบถ้วนวันนี้แล้ว วันนั้นปรากฏว่า ม้าแก้ว คือม้าตัวสำคัญสำหรับออกศึกของพระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นม้าต้นที่ทรงโปรดมาก กระทืบโรงบ้าง ร้องเสียงดังบ้าง พระเจ้าสุปปพุทธะเกิดเป็นห่วงม้าขึ้นมา วิ่งจากปราสาทชั้นที่ ๗ ลงมาถึงปราสาทชั้นที่ ๑ แล้วนักมวยปล้ำทั้งหมดที่สั่งไว้ไม่มีใครจับ นี่เป็นกฎของกรรม

    ทุกคนยืนดูเฉยๆ พอลงมาถึงปราสาทชั้นที่ ๑ ก็วิ่งมาถึงพื้นแผ่นดิน หวังว่าจะไปดูม้าว่ามันร้องเพราะอะไร แล้วก็กระทืบโรงเพราะอะไร เพียงเท้าของท่านเหยียบพื้นแผ่นดินเท่านั้น ความหนักของบาปแผ่นดินทนไม่ไหว เป็นเหตุให้ท่านสุปปพุทธะลงอเวจีมหานรกทั้งๆ ที่ยังไม่ตายอีกคนหนึ่ง

    นี่เป็นคนที่มีบุญใหญ่จำไว้นะ ทั้งสองคนนี้เป็นคนที่เรียกว่ากลั่นแกล้งพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ตานี้ มาดูอีกคนหนึ่ง นันทมานพ นันทมานพนี่ไม่ได้แกล้งพระพุทธเจ้า แต่ว่าแกล้งสาวกของพระพุทธเจ้าองค์สำคัญ คือท่านอุบลวรรณาเถรี

    ท่านอุบลวรรณาเถรีนี่เป็นพระอรหันต์ขั้นปฎิสัมภิทาญาณ แล้วบวชตั้งแต่อายุ ๑๖ มีความสวยงามมาก ความสวยของท่านสมัยที่เป็นฆราวาส ตามพระบาลีกล่าวว่า ได้มีคนส่งจดหมายหรือส่งทูตมาขอคือมหาเศรษฐีก็ดี อำมาตย์ผู้ใหญ่ก็ดี พระราชาก็ดี ไอ้ที่จะไม่ส่งทูตมาติดต่อสู่ขอท่านอุบลวรรณาเถรีไปเป็นภรรยาไม่มี ทุกคนมีความต้องการ ท่านบิดาก็เรียกลูกสาวมาถามว่าจะตกลงกับใคร ลูกสาวบอกไม่ต้องการใครทั้งนั้นแหละ ต้องการบวชอย่างเดียว

    ท่านพ่อก็ดีใจ อนุญาตให้บวช เมื่อบวชเป็นภิกษุณีแล้วไม่ช้าก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ มีฤทธิ์มาก แต่ว่านันทมานพนี่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน มีความรักอยู่นาน ต้องการอยู่นาน ท่านอุบลวรรณาเถรีท่านไม่ต้องการด้วยก็เลยเจ๊ากันไป

    ต่อมาวันหนึ่งทราบว่าท่านอุบลวรรณาเถรีไปจำพรรษาอยู่ในป่า สมัยนั้นวัดไม่เกลื่อนกลาดเหมือนสมัยนี้ พระต้องอยู่ในป่า อยู่เขา อยู่ถ้ำกัน ทำกระท่อมเล็กๆ เข้าไว้ ตอนเช้าไปบิณฑบาต ตอนที่ท่านไม่อยู่ นันทมานพก็แอบมานอนอยู่ใต้เตียง เอาเครื่องบังมาบังเข้าไว้

    เวลาท่านอุบลวรรณาเถรีกลับมาจากบิณฑบาตมาเหนื่อย แล้วก็ผ่านแสงอาทิตย์มันร้อนกล้าหน้ามืดก็ยังไม่ฉันข้าว มานอนพักอยู่บนแคร่ คือบนที่นอนก่อน นันทมานพเห็นสบโอกาสก็เลยขึ้นไปทำมิดีมิร้ายท่านอุบลวรรณาเถรี ร่วมรักเสีย ท่านก็บอกว่านันทมานพอย่าทำอย่างนี้ ท่านจงอย่าเป็นผู้ฉิบหายเลย นันทมานพก็ไม่ฟัง ทำจนสำเร็จความใคร่

    พอสำเร็จความใคร่แล้วก็ก้าวลงจากแคร่ ท่านอยู่องค์เดียวนี่ อยู่ในป่า จะร้องแรกแหกกระเฌอให้ใครมาช่วยก็ไม่ได้แล้ว ไม่มีใคร เมื่อนันทมานพสำเร็จความใคร่ ก้าวลงจากแคร่ พอเท้าถึงดิน บุญมากเกินไป แผ่นดินทนน้ำหนักบุญไม่ไหวก็เลยดึงมาอเวจีมหานรก แผ่นดินแยกออกไป ลงอเวจีมหานรก

    สำหรับท่านอุบลวรรณาเถรีก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ หลวงตาแก่ทั้งหลายสมัยนั้นวิพากษ์วิจารณ์ว่า พระอรหันต์ไม่ใช่ไม้ผุ การสัมผัสแบบนั้นจะไม่มีความยินดีไม่ได้ เพราะเรื่องมันกระทบอยู่กับตัว พระพุทธเจ้าทราบเข้าก็เรียกมาบอกให้ทราบว่า พระอรหันต์น่ะไม่มีความรู้สึกในเพศ

    ถ้าทำอย่างนั้นก็เหมือนกับทำกับตุ๊กตา คือตุ๊กตาย่อมไม่มีความปรารถนาในการสัมผัสฉันใด พระอรหันต์ก็เหมือนกัน มีสภาพฉันนั้น เป็นอันว่าเล่ากันอย่างย่อๆ ไม่ใช่มานั่งอธิบายธรรมะ นี่คนที่ ๓ แล้วนะ ที่ทำกับพระอรหันต์

    ตานี้ คนที่ ๔ นางจิญจมาณวิกา นี่เบียดเบียนพระพุทธเจ้าเข้าเหมือนกัน คือว่าพวกปริพาชก บุคคลศาสนาอื่น เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีลาภสักการมาก ก็คิดจะกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า จ้างนาง จิญจมาณวิกา นางจิญจมาณวิกานี่ ชาติก่อนเป็นนางอมิตตดาเมียชูชก แต่ชาตินี้ไม่ได้เกิดมาเป็นเมียพระเทวทัต พลัดตระกูลกัน ไม่พบกัน นางก็เลยทำแกล้งเป็นคนท้องให้เขากลึงไม้นูนๆ คล้ายๆ กับคนมีท้อง สาม สี่เดือน แล้วก็ผูกไว้ที่เอว ผูกไว้ข้างหน้ามีอาการเหมือนท้อง

    เมื่อเวลาที่พระพุทธเจ้าเทศน์ ก็ไปร้องบอกว่าท่านสมณโคดม จะมามัวนั่งเทศน์หน้านวลอยู่ทำไม นี่เธอทำให้ฉันมีท้องมีไส้อย่างนี้ฟืนตองก็ไม่ไปตัด อย่ามามัวนั่งเทศน์โปรดพุทธบริษัทอยู่เลย ไปตัดฟืนไว้สำหรับอยู่ไฟเพื่อฉันดีกว่า เดี๋ยวลูกของเราเกิดมาแล้วมันจะลำบาก

    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อได้ทรงสดับ แทนที่พระองค์จะทรงปฏิเสธก็หยุดเทศน์ กล่าวว่า ภัคคินิ ดูก่อนน้องหญิง เรื่องที่เธอกล่าวนั้น คนอื่นเขาไม่รู้ด้วยหรอกนะมีเธอกับฉันสองคนเท่านั้นแหละจะรู้กัน

    อ้าว กลับพูดยังงี้เสียอีก ถ้าเป็นชาวบ้านสมัยนี้ก็คงจะนินทากันลั่น ว่าพระพุทธเจ้าทำให้นางจิญจมาณวิกามีท้อง แต่ความจริงไม่ได้เป็นยังงั้น ชาวบ้านสมัยนั้นเขามีเหตุผล ไม่เหมือนคนสมัยนี้ คนสมัยนี้ ที่ดีก็มีมาก มีเหตุมีผล บางคนก็ไม่ไหวเหลือเกินนี้พูดกันตรงๆ นะ อย่าว่าแต่คนเลยพระก็เหมือนกัน พระที่ไม่มีเหตุผลก็เยอะ

    แม้อาตมาเองก็เหมือนกัน เคยเป็นคนไม่มีเหตุมีผลมาเหมือนกัน แม้ประเดี๋ยวนี้ ไอ้ความเลวมันก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่จะดีกว่าชาวบ้านหรอก ฟังไปแล้วก็รู้ไว้ด้วยว่าคนพูดนี่ยังไม่ใช่คนดี ถ้ายังเห็นว่าคนอื่นเลวอยู่ ตัวเองก็ยังเลวอยู่เหมือนกัน แต่มันอดไม่ได้ มันอยากจะเลวก็ปล่อยมันไป

    ตอนนั้นก็เลยร้อนถึงพระอินทร์ พระอินทร์ก็เลยแปลงเป็นหนูเข้าไปกัดเชือกไม้หล่นลงมา บรรดาประชาชนที่ฟังเทศน์ของพระบรมศาสดาเห็นข้อเท็จจริงอย่างนั้น ก็พากันไล่ตีนางจิญจมาณวิกา เอาดินขว้างบ้าง เอาไม้ขว้างบ้าง นางจิญจมาณวิกาก็วิ่งหนีไป

    วิ่งหนีไม่ได้เท่าไร เพราะอาศัยบุญบารมีมากเกินไป มีน้ำหนักมาก แผ่นดินก็แยกลงอเวจีมหานรกไป มองไปดูข้างหน้า เห็นยืนอยู่ข้างหน้า ยิ้มเผล่ ที่ยิ้มนั่นไม่ใช่อะไรหอกมันเสียบปากเข้าไป ตรึงเข้าไว้ หุบปากไม่ลง เห็นไหม บรรดาท่านพุทธบริษัท เห็นหรือเปล่า เห็นก็เห็น ไม่เห็นก็แล้วไป พูดให้ฟัง จะเห็นได้ยังไง

    ตานี้ มาคนที่ห้า นันทยักษ์ ยักษ์คนนี้ คือเทวดานั่นเอง ยักษ์เขาแปลว่าบุคคลอันควรบูชา หรือว่า แปลว่าเทวดา แปลได้ ๒ อย่าง เหาะมากับเหมตายักษ์ ไปเฝ้าท้าวเวสสุวัณกลับมา ท่านพระสารีบุตรกำลังเข้านิโรธสมาบัติ เกิดเหาะข้ามไม่ได้ อากาศเป็นสูญญากาศ ก็มองลงมาดูข้างล่างเห็นพระสารีบุตรนั่งอยู่ ก็คิดว่าสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูแกล้งขวางทาง (นี่เขาเรียกว่าเทวดาอันธพาล) ก็เลยลงมา จะตีหัวพระสารีบุตร ท่านเหมตายักษ์เป็นพระโสดาบันห้ามไว้ ว่าอย่าทำนะ

    สาวกของพระสมณโคดมนี้มีอานุภาพมาก ถ้าท่านทำจะมีกรรมหนัก นันทยักษ์ก็ไม่ยอม เอากระบองล่อหัวพระสารีบุตรเข้าให้ แต่ว่าไม่เป็นไร การตีอย่างนั้น ถ้าจะตีภูเขาสัก ๑๐๐ ลูกก็พัง แรงมาก แต่พระเข้านิโรธสมาบัติไม่สะเทือนเลย ผมหวั่นไหวนิดหนึ่ง ตัวไม่เป็นไร

    พอตีแล้วนันทยักษ์เป็นคนมีบุญใหญ่ แผ่นดินก็เลยแยกนำลงไปอเวจีมหานรก โน่น ยืนอยู่มุมโน้น มุมทางด้านซ้ายมือ นี่เราหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มองไปทางแถบซ้ายมือใกล้จะถึงมุมสุดด้านโน้น นันทยักษ์ยืนมีหอกตรึง หวั่นไหวไม่ได้

    ตานี้ มาว่ากันถึงคนธรรมดา ทำบุญอะไรจึงจะลงอเวจีมหานรก อันนี้ลงกันเมื่อตายนะ เวลาเหลือประมาณ ๖ นาที หรือ ๗-๘ นาทีอะไรนี่ จะค่อยๆ พูดให้ฟัง ตัวอย่างคือญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี หรือ ปทุมุตตระก็ไม่ทราบ ไม่ได้ดูตำรามามันจำไม่ชัดนี่ เอาสมัยพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งก็แล้วกัน

    มีพระราชาองค์หนึ่ง มีพระราชกุมาร คือพระราชโอรส ๔ พระองค์พอใจในการถวายทาน เวลานั้นพระเจ้าพิมพิสารเป็นนายเสมียน เป็นเลขาน่ะ ท่านก็เลยสั่งให้จัดการถวายทานแก่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ท่านเลขาทำงานหนัก มันชักจะทนไม่ไหว ก็ไปเอาญาติมาหลายคนด้วยกัน มาช่วยกันทำ

    บรรดาญาติทั้งหลายเหล่านั้น ในตอนต้นก็ดี ซื่อตรงต่อการบุญการกุศลดี แต่มาตอนกลางๆ มือถึงท้ายมือไม่ค่อยดี เริ่มหยิบแล้ว ทีแรกก็เป็นทายก ต่อมาก็เลยเป็นทายัก ของอะไรดีๆ ก็ยักเอาไว้เสียบ้าง เอาไว้ให้ลูกให้เมีย เอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตนเสียบ้าง ของที่เขาถวายสงฆ์ เขาตั้งใจจะทำอาหารถวายสงฆ์ เนื้อดีๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง แกงดีๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง บางทีไม่ยักของสด

    ไอ้ของสำเร็จรูปที่เขาไม่ทันจะถวายพระก็ยักเอาไว้เสียบ้าง พูดถึงตรงนี้ก็สงสัยพวกทายก ของดีๆ เอาถวายพระพุทธรูป เอาถวายเสียมาก เวลาพระฉันอิ่มแล้วจะได้กินกัน ตกอยู่ในสภาพนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบนะ เจตนาของเขาเป็นยังไง อาตมาไม่ทราบ แล้วก็มีหลายราย ทายกชอบยกของที่เขาถวายพระเข้าบ้าน

    จำไว้ด้วยนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจำไว้ ของสมบัตินิดหนึ่งน่ะ แม้จะเป็นก้อนดินนิดหนึ่ง กระเบื้องหักๆ ก้อนหนึ่งก็ตาม อันนี้ถ้าเราถือไปเข้าบ้านด้วยอาการของขโมย-เสร็จ สะเด็ดไม่เหลือลูกหมากรากไม้ที่มีอยู่ในวัดเราจะไปขอเด็กขอพระไม่มีประโยชน์ ของสงฆ์ สงฆ์ต้องประชุมกัน เมื่อประชุมกันแล้ว ตกลงกันว่ายังไงต้องปฏิบัติไปตามนั้น ขายหรือให้ใครต้องปฏิบัติตามนั้นนะ

    อันนี้ แม้แต่ดอกไม้บูชาพระก็เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ปลูกยังมีชีวิตขอเฉพาะท่านได้ ถ้าท่านผู้ปลูกตายไปแล้วหรือสึกไปแล้ว อันนี้เป็นของสงฆ์ ต้องเป็นเรื่องของสงฆ์วินิจฉัย ไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้ให้ หรือไปขอกับเด็กวัด อันนี้มันไม่ถูกไม่ต้อง ลงอเวจี

    เป็นอันว่าญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นทายักแบบนี้ตายแล้วลงนรก สิ้นระยะ ๑ กัป พ้นจากนั้นแล้วก็มาตกยมโลกียนรก คือผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม แล้วก็มาตกยมโลกียนรกตามลำดับ มาเป็นเปรต ๑๑ จำพวก สุดท้ายก็เป็นเปรตพวกที่ ๑๒ สมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้ ถ้าถอยหลังไปแล้ว ถ้าเป็นพระปทุมุตตระ ก็เห็นจะเป็นประมาณแสนกัป ถ้าเป็นพระวิปัสสีก็เห็นจะเป็นประมาณ ๙๑ กัป อันนี้อาตมาจำไม่ได้ เรียกว่าสิ้นเวลานาน แล้วต่อมาเมื่อพระเจ้าพิมพิสารทำบุญกับพระพุทธเจ้า เปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็มาส่งเสียงให้ปรากฏ

    เมื่อองค์สมเด็จบรมสุคตพระพุทธเจ้าทรงทราบก็ทรงพยากรณ์บอกว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงอะไร เป็นเสียงญาติของพระองค์ ตายไปจากอเวจีแล้วก็มาเป็นเปรตต้องการขอส่วนบุญ พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้ให้ทาน แล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรตทั้งหลายเหล่านั้น เขาจึงได้เป็นเทวดา

    นี่แหละท่านผู้ฟังและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ เรื่องของคนที่จะลงอเวจีนี่มันของไม่ยาก ของสงฆ์นี่ระวังให้มากนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านกล่าวว่ากรรมบถ ๑๐ ความจริงกรรมบถ ๑๐ เป็นของธรรมดาๆ ที่เราชอบ เราก็ควรจะปฏิบัติตามนั้น ทุกคนแหละต้องการให้คนอื่นมีกรรมบถ ๑๐ แต่ตัวเองไม่ต้องการกรรมบถ ๑๐ เวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง จะพูดอีกสักคน

    คือว่าสุพรรณมัจฉา ปลาสีทอง สุพรรณมัจฉาปลาสีทองตัวนี้เด็กเขาได้มา เอาตาข่ายไปขึงปลามาติด แล้วพ่อแม่เห็นเข้าว่าปลามีเกล็ดเป็นทอง ไม่ควรจะเก็บไว้เอง ก็นำมาถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นเป็นของแปลกก็นำไปทูลถวายพระพุทธเจ้า ว่าปลาตัวนี้ทำบุญอะไรไว้ เกล็ดจึงเป็นสีทอง

    ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นเข้าก็บอกว่า ปลาตัวนี้สมัยก่อนเคยบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา ที่มีเกล็ดเป็นสีทองก็เพราะว่าอาศัยเคยปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรมในตอนต้นด้วยความเคารพ แต่ว่าในตอนปลายมือเป็นพระคณาจารย์ ด่าว่าพระภิกษุทั้งหลายที่มีความผิดบ้าง ไม่ผิดบ้าง โดยเจตนาร้าย

    เวลาตายไปแล้วเกิดเป็นสัตว์นรกในอเวจีมหานรก มองอยู่โน่น อยู่ทางด้านซ้ายมือเหมือนกัน ใกล้มุมสุดด้านเหนือ เป็นรูปพระยืนกางแขนกางขาอย่างพระเทวทัต แล้วก็เมื่อกรรมเบาลงมาก็เลื่อนขึ้นมาตามลำดับ จนกระทั่งเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เป็นปลาทอง มีเกล็ดเป็นทอง แต่ว่าปากเหม็นเพราะด่าพระ

    พระพุทธเจ้าจึงถามว่า กปิลมัจฉา เดิมทีเดียวเธอบวชเป็นพระใช่ไหม พอปลาอ้าปากตอบว่าใช่ กลิ่นก็เหม็นฟุ้งไปทั้งพระวิหาร ถามว่าเป็นเพราะอะไรเธอจึงตกอเวจีมหานรก เธอก็บอกว่า เพราะอาศัยที่เป็นพระปากร้าย ด่าไม่ว่าใคร ไม่มีเหตุ ไม่มีผล อิจฉาริษยาพระด้วยกัน กล่าวร้ายด้วยการนินทาได้ร้ายบ้าง

    นี่ชาวบ้านก็เหมือนกันนะที่ปากไม่ดีแบบนี้ ไปด่าพระด่าเจ้า ด่าผู้ทรงศีล ก็มีสภาพอย่างเดียวกับกปิลมัจฉา เมื่อจะถามต่อไป มันก็หมดเวลา เป็นอันว่าเมื่อพระพุทธเจ้าถามจบ ถามถึงพี่ชาย บอกว่าไปนิพพานแล้ว ถามถึงแม่กับน้องสาว บอกว่าไปอเวจีมหานรกเหมือนกัน เพราะทำกรรมอย่างเดียวกัน สำหรับพี่ชายไม่เล่นด้วย ก็เลยเป็นพระอรหันต์แล้วไปนิพพาน น้องชายไปอเวจี

    เมื่อปลาตอบเท่านี้ก็เสียใจ เอาหัวฟาดอ่างถึงแก่ความตาย กลับลงไปอเวจีมหานรกใหม่ นั่นยืนอยู่ข้างท้ายเลยท่านนันทมานพไปหน่อยหนึ่ง เห็นไหม ยืนกางแขนกางขาอยู่เหมือนกัน เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านและพระคุณเจ้าที่เคารพ เวลาหมดเสียแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนและพระคุณเจ้าที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .
     
  8. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๗.นรกบริวาร”อุสสุทนรก” ขุมที่ ๑–๔

    ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ สำหรับวันนี้มีโอกาสมาพบกับพระคุณเจ้าและพุทธบริษัทตามปกติ วันพุธที่แล้วได้พูดไปจนจบเกมถึงอเวจีมหานรกแล้วก็มาไล่เบี้ยกันถึงบุคคลที่อยู่ในมหาอเวจีนรก ทั้งนี้ก็เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทจะได้ทราบชัดว่าคนที่ตกนรก คืออเวจีมหานรก จะมีกรรมอะไรบ้าง

    ความจริงกรรมที่ทำให้ตกอเวจีมหานรกมีมากกว่านั้น ขอได้โปรดทราบว่ากรรมที่ทำให้ลงอเวจีมหานรกเป็นอกุศลกรรมอย่างหนัก ถึงแม้ว่าของจะเบา แต่ก็ตกหนักด้วยอำนาจจิต ก็ลงอเวจีได้ ตัวอย่างเช่นของสงฆ์ ของสงฆ์จะเป็นต้นหญ้าก็ดี เศษไม้ก็ตาม เศษกระเบื้องก็ตาม ถ้าอยู่ในอำนาจสงฆ์ เรานำไปแม้แต่ชิ้นเล็กๆ ท่านก็กล่าวว่าลงอเวจีมหานรก

    ทีนี้เรื่องของนรกจะมีอะไรบ้างก็ช่างเถอะ เพราะว่าภาวะใดๆ ที่จะลงนรกท่านก็กล่าวไว้แล้วในเรื่องของนรก สำหรับวันนี้จะมาพูดกันถึงนรกบริวาร ที่ว่านรกขุมใหญ่นั้นมีบริวารอยู่ด้านละ ๔ ขุม เป็นอันว่าเราจะออกเดินทางด้านทิศตะวันตก ตะวันออก ทิศใต้หรือเหนือก็ตาม ก็ต้องผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม

    สมมติว่าตกนรกขุมที่ ๑ เมื่อจบเกณฑ์ของนรกขุมที่ ๑ แล้วต้องเดินมาทางนรกขุมที่ ๒ เพราะกฎของกรรมยังไม่สิ้นแต่ก็ต้องผ่านนรกบริวาร ๔ ขุมก่อน เมื่อออกจากนรกขุมที่ ๒ จะไปเลยหรือจะลงขุมต่อไปก็ตาม ก็ต้องลงนรกอีก ๔ ขุมก่อน ที่เป็นนรกบริวาร

    นี่เรื่องของนรกแป๊ะเจี๊ยะเป็นนรกขุมใหญ่และนรกบริวารนี่ เล่นงานเรามาก ทีนี้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทที่รับฟังโปรดทราบ เรื่องของนรกก็ดีเรื่องของสวรรค์ก็ดี เป็นของจริง

    วันนี้เรามาดูนรกบริวารกันก่อนว่ามีอะไรบ้าง ตามพระบาลีท่านเรียกว่าเป็นที่รวม
    นรกบริวาร ๔ ขุมนี้ชื่อรวมเรียกว่า อุสสุทนรก จะแปลว่าอะไรไม่สำคัญ มัวแต่นั่งแปลกันอยู่ก็สิ้นเรื่อง เอาอะไรไม่ได้

    อุสสุทนรกนี่แบ่งนรกออกเป็น ๔ ขุม เรียกว่าถ้าจัดเป็นแผนก ก็เป็น ๔ แผนก อุสสุทนรกจัดเป็นกอง นี่เปรียบเทียบเป็นหน่วยราชการ กองนี้แบ่งแผนกไปเป็น ๔ แผนก
    แผนกที่ ๑ เรียกว่า คูถนรก
    แผนกที่ ๒ เรียกว่า กุกกุฬนรก
    แผนกที่ ๓ เรียกว่า อสิปัตตนรก
    แผนกที่ ๔ เรียกว่า เวตรณีนรก
    นี่รวม ๔ แผนกด้วยกัน

    สำหรับแผนกที่ ๑ คือนรกขุมแรก ที่ออกจากนรกขุมใหญ่แล้วต้องผ่าน นรกขุมนี้ชื่อว่า คูถนรก คูถะในที่นี้ก็แปลว่าคูถ ว่ากันง่ายๆ ก็คือขี้ จะเรียกว่าอุจจาระมันก็สละสลวยไป คูถะนี่แปลว่าขี้หรือของสกปรก

    ทีนี้นรกขุมนี้มีขี้มาก เหม็น ขี้นี้ร้ายแรงมากเหม็นด้วย แล้วก็ร้อนเหมือนถ่านเพลิง มีขี้สุกแดง เนื้อขี้เป็นเหล็ก เนื้อขี้นี้ไม่ใช่ขี้เหลวๆ เหมือนขี้คนขี้สุนัข นี่อย่าหาว่าพูดหยาบนะ ความจริงขี้หรืออุจจาระก็มีสภาพเหมือนกัน แต่มนุษย์ส่วนมากเรียกว่าขี้ นานๆ หลายๆ ปีจึงจะเรียกอุจจาระ ผลที่สุดก็แปลว่าขี้เหมือนกัน มันก็ไม่หยาบ เป็นชื่อจริงของมัน เป็นภาษาไทย อุจจาระน่ะเป็นภาษาแขก เรียกกันว่า ภาษาบาลี หรือภาษามคธ ไม่ใช่ภาษาของเรา

    นี่พูดให้คนไทยฟัง ไม่ได้พูดให้แขกฟัง ก็เลยใช้ภาษาไทย นรกขี้ขุมนี้นอกจากมีขี้แล้วก็มีหนอนปากเหล็ก หนอนตัวใหญ่มากปากเหล็ก เมื่อบรรดาสัตว์นรกขุมใหญ่เข้าไปถึงนรกขุมเล็กนี่แล้ว บรรดาหนอนทั้งหลายก็พากันยื้อ เพราะเวลาที่เข้าไปนรกขุมนี้เนื้อหนังบริบูรณ์ดี เรียกว่าอ้วนพีเป็นอาหารของบรรดาหนอนทั้งหลายได้

    บรรดาหนอนทั้งหลายเห็นเข้าก็พากันเข้ามากัดกิน เมื่อบรรดาหนอนกัดกินก็เกิดความเจ็บความปวด ไอ้ตัวใหญ่ก็กินข้างนอก ตัวเล็กก็เข้ารูจมูกบ้างรูหูบ้าง เที่ยวกัดกินภายใน จะกินอยู่เวลาเท่าไรท่านไม่ได้กำหนดไว้ เวลาที่หนอนทั้งหลายกัดกินเนื้อหมดไปมันก็เกิดขึ้นมาใหม่ ไอ้หนอนก็กัดกินต่อไปจนกว่าจะสิ้นกฎของกรรม ร้อนก็ร้อน เจ็บก็เจ็บ กินอะไรก็ไม่ได้ หนีก็ไม่พ้น หนอนรุ่นใหญ่ก็รัดเสียกระดิกกระเดี้ยไม่ได้

    ไอ้รอบๆ บริเวณ ขี้ก็ร้อนจัด รัดรึงตัวเข้ามา เหม็นก็เหม็น นี่เป็นนรกพิเศษ เขาเรียกกันว่านรกดอกเบี้ย นรกขุมที่ ๑ ผ่านไปนะ สำหรับนรกบริวารก็ลองนั่งนึกดูซิว่ามันดีหรือไม่ดี ทั้งร้อน ทั้งเหม็น ทั้งเจ็บ แล้วก็ไม่มีทางจะดิ้นจะรนหนีไปไหนได้ อยู่ยังงั้นตลอดกาล น่าอยู่หรือไม่น่าอยู่ก็ตามใจท่านผู้ฟัง อ้าวว่าจะเดินนำเที่ยวมาคุยกันเสียแล้ว เอ้า เดินกันต่อไป เดินไปมหานรกขุมที่ ๒ สำหรับนรกบริวาร

    นรกขุมที่ ๒ นี่ ชื่อว่า กุกกุฬนรก นรกขุมนี้แปลว่าเถ้ารึง คำว่าเถ้ารึง นี่แหมรู้สึกว่าเข้าใจยาก เอาขี้เถ้าก็แล้วกัน แต่ขี้เถ้านี่มันเหนียว มันจับกันเป็นใยเป็นสาย ไม่เหมือนขี้เถ้าหัวหงอกในเตาไฟของเรา ขี้เถ้าหัวหงอกนะ ไม่ใช่ขี้เถ้าหัวล้าน เดี๋ยวคนหัวล้านฟังอยู่แล้วก็จะเดือดร้อน ขี้เถ้าหัวหงอก ไม่ใช่ขี้เถ้าหัวล้าน เป็นอันว่าขี้เถ้าหัวหงอกของเรามันไม่จับตัว

    แต่ทว่าขี้เถ้าอันนี้มันยึดกันเป็นสาย แล้วก็เป็นเถ้าเหล็กไม่ใช่เถ้าปุยเป็นเถ้าเหล็กแดงเผา เวลาที่ออกจากนรกขุมที่ ๑ แล้วเข้าไปถึงนรกขุมที่ ๒ ก็ไม่ถูกพูดกันง่ายๆ เรียกว่าเส้นใยเหล็กดีกว่า เถ้าเส้นใยเหล็กรัดติดเจ็บ รัดเข้ามาแน่น หายใจหายคอไม่ออก แล้วก็มีความร้อนเหมือนกับมีเหล็กแดงมารัดตัวเข้าไว้

    ท่านผู้ฟังก็ลองคิดดูก็แล้วกัน คิดดูว่ามันจะเป็นการทรมานเพียงใด รัดเข้าจนเจ็บแล้วก็ยังไม่พอยังมีความร้อนเผาตลอดตัว ไม่ใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งนะ มันคลุมตัวหมด ลงไปแล้วก็จมลงไปในเถ้ารึงเลย เพียงแค่เราเอาไฟธูปมาแตะนิดเดียวเราก็ทนไม่ไหว นี่ลองเอาเหล็กเส้นเล็กๆ เผาไฟแดงโชน แล้วก็มาหุ้มตัว เอาไฟเผาไว้ตลอดเวลา ลองคิดดูว่ามันจะมีความทรมานลำบากยากแค้นเพียงใด เจ็บแสบเพียงใด ทุกขเวทนาเพียงไหน นี่สำหรับนรกขุมนี้เป็นนรกขุมที่ ๒ แล้วก็ไม่แน่เหมือนกันว่าอายุเท่าไร เพราะท่านไม่ได้บอก

    ผ่านนรกขุมที่ ๒ มาแล้วก็เข้านรกบริวารขุมที่ ๓ บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่กำลังติดตามมา กรุณามองดูข้างหน้าเหลียวไปข้างหลัง ขุมที่ ๑ เต็มไปด้วยขี้อุจจาระ ขี้นรก หนอนปากเหล็ก ขุมที่ ๒ มีขี้เถ้ารัดรึงแดงไปทั้งตัว มองดูสัตว์นรกเหมือนกับถ่านเพลิงกองไว้

    ทีนี้เราจะเดินไปข้างหน้าสักนิด ขุมที่ ๓ น่ารื่นรมย์เหลือเกิน ขุมที่ ๓ นี่ไม่น่ากลัวเลย ท่านพุทธบริษัท น่าอยู่ ท่านมองไปดูข้างหน้า ท่านจะเห็นต้นมะม่วงงาม มีสาขาเขียวพรึ่บไปทั้งต้น แล้วก็ทั้งต้นมะม่วง มีลูกยั้วเยี้ยห้อยเป็นระย้าน่ากิน มันเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์เป็นสวนมะม่วงเราดีๆ นี่เอง

    ตอนข้างล่าง เป็นที่ราบเรียบรื่นรมย์หมายความว่าสะอาดสะอ้านไม่มีผง น่านอนพัก เมื่อบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายออกมาจากนรกขุมที่ ๒ แล้วเห็นต้นมะม่วงเขียวพรึ่บ มีลูกห้อยเป็นระย้าลงมา อาศัยที่บรรดาสัตว์ทั้งหลายตกนรกมาสิ้นกาลนาน มีความหิว นี่ท่านทั้งหลายอย่าคิดนะว่าสัตว์นรกทั้งหลายไม่หิว มันหิวตลอดเวลา มีความต้องการอาหารตลอดเวลา ตั้งแต่มาตกในนรกขุมใหญ่ แต่ว่าเวลาที่จะกินมันก็ไม่มี ตานี้มาตกนรกบริวารขุมที่ ๑ ขุมที่ ๒ แล้ว

    พอขึ้นมาเห็นดงมะม่วงเข้าก็มีความดีใจ ว่าดงมะม่วงดงใหญ่นี้เป็นอาหารอันโอชะของเรา แล้วก็เป็นสถานที่รื่นรมย์ สมเจตนาที่เรามีทุกข์มาตลอดกาล วันนี้แหละเราจะได้อาหารบริโภค เราจะกินให้อิ่มหนำสำราญพอกับความต้องการที่ว่ามา

    เมื่อเห็นต้นมะม่วงเข้า ต่างคนต่างก็วิ่งเข้ามาที่โคนต้นมะม่วง หวังจะปีนป่ายไต่ขึ้นไปเก็บมะม่วงมาบริโภค แต่ว่าท่านพุทธบริษัทความปรารถนาของพวกสัตว์นรกไม่สมหวัง เมื่อบรรดาสัตว์ทั้งหลายยังไม่สิ้นกรรมวิ่งเข้าไปที่โคนต้นมะม่วง

    พอตั้งท่าตั้งทางจะปีนป่ายต้นมะม่วง บางคนก็ขึ้นไปบ้าง หวังจะได้ลูกมะม่วงกิน เจ้ามะม่วงต้นนี้ก็แผลงฤทธิ์เป็นมะม่วงยักษ์ขึ้นมาทันที ไม่ใช่มะม่วงใหญ่นะ มะม่วงยักษ์ หมายความว่าบรรดาใบก็ดีลูกก็ดีของมะม่วงกลายเป็นหอกเป็นดาบไปหมด ต้นมะม่วงก็เต็มไปด้วยขวากหนามและมีความร้อน

    สัตว์ที่ขึ้นไปทนไม่ได้ก็หล่นลงมา แล้วใบและลูกทั้งหมดก็พากันโปรยปรายหอกดาบ กลายเป็นหอกกลายเป็นดาบมาทิ่มแทงสัตว์นรกทั้งหลายที่อยู่ใต้ต้นมะม่วง ต่างคนต่างรับความเจ็บปวด มันแม่นเสียด้วยไม่ใช่ลงมาแล้วไม่ถูกใครเลยนะ หอกแต่ละเล่ม ดาบแต่ละเล่มลงมาก็ตรงสัตว์พอดี ไม่ใช่เหมือนมะม่วงธรรมดา เวลาปล่อยลูกลงมาเมื่อเรานอนอยู่โคนต้น บางทีมันจะหล่นใกล้ๆ เราที่เราต้องการ แต่มะม่วงสำหรับนรกนี่ไม่ใช่อย่างนั้น มันลงแม่น ลงมาละเป็นถูกละไม่ว่าใคร

    บรรดาสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นผิดหวัง มะม่วงต้นนี้ไม่เป็นเรื่องเสียแล้ว เราจะกินลูกแต่ลูกกับใบกลายเป็นหอกเป็นดาบมาไล่ทิ่มแทงสับฟันเอาแบบนี้ไม่ไหว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนรกขุมนี้ไม่มีนายนิริยบาลควบคุมก็เลยพากันวิ่งหนีโคนต้นมะม่วงคิดว่าจะปลอดภัย

    แต่พอหนีไปได้ไม่ไกลก็ปรากฏว่ามีกำแพงเหล็กขึ้นทั้ง ๔ ด้าน กันไม่ให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นวิ่งหนี สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อพบกำแพงเหล็กก็หันมาอีกที หวังจะหนีไปทางอื่น ก็พบสุนัขใหญ่ขนาดเท่าช้าง โตกว่าตัวมาก มาไล่กัดกินเป็นพัลวัน ไล่แทะไล่กัดไล่กินจนกระทั่งกินเนื้อหมดเหลือแต่กระดูก แล้วเนื้อก็เต็มขึ้นมาใหม่ วิ่งหนีกลับเข้าไปโคนต้นมะม่วง ใบและลูกของมะม่วงก็หล่นมาเป็นหอกเป็นดาบ หนีออกไปก็ถูกไล่กัดกิน ทรมานอย่างนี้จนหมดวาระ กี่ปีนี่ท่านไม่ได้บอกนะ แต่ว่าอย่าลืม เวลามันมากเหลือเกิน

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ชมละครฉากที่ ๓ ของนรกบริวารพอสมควรประเดี๋ยวเวลาหมด เขากำหนดเวลาให้ ๓๐ นาที แต่ก็ไม่ค่อยจะเต็มนัก เพราะขืนเต็มนักมันก็ไม่ได้จะไปค้ำหน้าค้ำหลังเขาเข้า เวลาของคนอื่นเขาจะล้ำเข้ามา

    ต่อไปมองไปดูข้างหน้า มีอะไร ออกจากนรกขุมที่ ๓ แล้วข้างหน้าของเราโน้นแหมมีแม่น้ำใส น้ำใสสะอาด น่าอาบ น่ากิน ลองโดดลงไปเล่นไหม?

    แต่อย่าลืมนะเวลานี้เรายังอยู่ในบริเวณของนรก บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพที่ติดตามมา โปรดอย่าเข้าใจผิด คิดว่าน้ำนี่เป็นน้ำเมืองมนุษย์ อย่านะ อย่า อย่าลองกับนรกถ้าขืนลองละก็เกิดเป็นพิษ พอดีกันแน่

    ออกจากนรกขุมที่ ๓ แล้วค่อยๆ ย่องไป อย่าเดินเร็วนักประเดี๋ยวจะไม่เห็นอะไร เดินเร็วนักมันไม่ดี ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม มองดูไปข้างหน้าเห็นแม่น้ำใสยาวเหยียด ใหญ่กว่าแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งเยอะแยะ ฝั่งฟากโน้น มองด้วยอำนาจของตาอันเป็นทิพย์ มองเห็นลิบๆ คล้ายๆ กับขอบของทะเล แม่น้ำนี้ก็มีความยาวไม่จำกัดตามอำนาจกฎของกรรมของสัตว์

    สัตว์มากก็ยาวมาก สัตว์นรกน้อยก็ยาวน้อย มันยืดมันหยุ่นได้ เมืองนรกไม่เหมือนมนุษย์ เมืองมนุษย์นี่มีอะไรก็เท่านั้น จะกว้างไปบ้างแคบไปบ้าง จะสั้นไปบ้าง ยาวไปบ้างกว่าปกติก็ไม่มากนัก แต่รู้สึกว่าจะไม่พอดีกับคน บ้านสร้างไว้ใหญ่ บางทีคนมาประชุมน้อย บ้านว่างไป บ้านบางหลังทำไว้เล็ก คนมามากแคบไป เมืองนรกเขาไม่ยังงั้น ถ้าคนมากบริเวณก็ใหญ่ ถ้าคนน้อยบริเวณก็เล็กตามกำลังของคน ของเขาดี เป็นอัตโนมัติ

    คราวนี้ เดินมาพบนรกบริวารขุมที่ ๔ อันนี้เรียก เวตรณีนรก แต่ความจริงไม่น่าจะเป็นนรกเลย มีน้ำใสสะอาด มองแล้วเห็นลึกลงไปจนกระทั่งเกือบถึงพื้นดินข้างล่างใสจริงๆ ถ้าจะลองเอาหินโยนลงไปเข้าใจว่าหลายวา ที่เราจะเห็นหินก้อนเล็กๆ จมลงไป แต่ว่าแม่น้ำสายนี้มันเป็นทิพย์ มองดูกันต่อไป

    โน่น เหลียวดูนรกขุมที่ ๓ มีต้นมะม่วงแพรวพราวพรึ่บพรับไปด้วยดอกและผล สัตว์ทุกคนกำลังทนทุกขเวทนาเพราะลูกมะม่วงและใบมะม่วงเป็นหอกเป็นดาบ ก็วิ่งหนีออกมา ปรากฏว่ามีสุนัขตัวใหญ่ๆ ไล่กัดกินแทะดึงกระดูก แต่ตายไม่เป็น สัตว์นรกไม่มีตาย ในที่สุดเมื่อร่างกายบริบูรณ์ใหม่หมาก็กินใหม่วิ่งหนีหมาเข้าดงมะม่วง หอกดาบจากดงมะม่วงก็หล่นลงมาทิ่มแทง พอสิ้นกรรมจากนรกขุมนั้นแล้วต่างคนต่างเดินลอยนวลออกมาจากกำแพงเหล็ก

    เมื่อออกมาจากกำแพงเหล็ก หอกดาบก็ไม่รบกวนสุนัขก็ไม่รบกวน อากาศเย็นสบาย บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายต่างก็พากันคิดว่าเวลานี้เราพ้นทุกข์แล้ว ยิ้มแย้มแจ่มใสอิสรภาพมีสำหรับเรา ทางมันมีไปเฉพาะไปหาเวตรณีนรกพอเดินมาได้ไม่เท่าไรใกล้บริเวณเวตรณีนรก นรกแม่น้ำใส บรรดาสัตว์ทั้งหลายอาศัยที่มีความร้อนเผาผลาญมานาน แล้วก็มีความกระหายน้ำมีความร้อนกลุ้มใจอยากจะอาบน้ำมานาน

    พอเห็นแม่น้ำใสมีอยู่ข้างหน้าต่างก็พากันดีใจเหมือนกับเห็นต้นมะม่วง ตั้งใจว่า แหมความเย็นไม่มีสำหรับเรา เราถูกไฟเผามาสิ้นเวลานาน ความกระหายอยากจะกินน้ำก็ปรากฏมานาน เห็นน้ำข้างหน้าเป็นแม่น้ำใสก็ชื่นใจ บอกประเดี๋ยวเถอะเราจะอาบน้ำให้สบาย เราจะกินน้ำให้สบายจะว่ายน้ำดำหัวเล่นให้สบาย สมกับที่เราถูกลงโทษมาจากกองไฟสิ้นเวลากาลนาน

    เมื่อบรรดาสัตว์ทั้งหลายดำริดังนี้แล้ว มันใกล้แม่น้ำเข้าไปก็วิ่ง ดีใจ มีความรื่นเริงบันเทิงใจวิ่งได้ วิ่งลงไปปรารถนาจะโดดลงไปในน้ำ เมื่อไปถึงแม่น้ำแล้วไม่ตั้งท่ารอละโดดตูมเลยทีเดียวดีใจ จะกินน้ำก็ได้จะอาบน้ำก็ได้ น้ำก็ใสสะอาด

    แต่พอโดดลงไปจากฝั่ง ยังก่อน ยังไม่ถึงน้ำแม่น้ำใสสะอาดนั้น เขาไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าไอ้ต้นหวายใหญ่ๆ ที่มีหนามยาวแล้วก็คมนี่ซิ ไม่รู้ว่ามันปรากฏขึ้นมายังไง มันโผล่ขึ้นมาขวางไว้ สัตว์ทั้งหลายที่โดดลงไปก็ค้างอยู่บนหวาย ไอ้หนามหวายก็ทิ่มก็แทง หวายเท่านั้นยังไม่พอ หวายกลายเป็นหวายเหล็ก และเป็นหวายที่ถูกไฟเผาจนแดงโชน

    เอาละซี คราวนี้ คมของหนามหวายมันก็ทิ่มมันก็แทงเสียจนแย่ ความร้อนก็ร้อน สัตว์ทั้งหลายก็ดิ้น อีคราวนี้สิ้นความหวังเสียแล้ว ว่าจะอาบน้ำ ดิ้นไปดิ้นมา ดิ้นมาดิ้นไป ในที่สุดก็หล่นลงไปในน้ำ น้ำที่ใสสะอาดเข้าใจว่าเยือกเย็นจัด เปล่ากลายเป็นน้ำกรด สัตว์ทั้งหลายที่หล่นลงไป น้ำกรดกัดแสบเป็นแผลไปหมดทั้งตัว แล้วก็ว่ายหนีน้ำกรด ว่ายไปว่ายมาไม่รู้จะขึ้นที่ไหน หวายมันก็กั้นเข้าไว้ ว่ายไปว่ายมาก็ปรากฏว่ามีดอกบัวโผล่ขึ้นมาในระหว่างกลางแม่น้ำดอกใหญ่ๆ

    บรรดาสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นก็ดีใจ คิดว่าดีละ เจ้าหวายจัญไร ทำอันตรายแก่เรา แล้วเจ้าน้ำนี่เล่าก็เป็นน้ำแสบ เราคิดไม่ถึงเลย เวลานี้ดอกบัวใหญ่มีอยู่สวยๆ เราจะอาศัยดอกบัวก็ปีนป่ายขึ้นไปบนดอกบัว คราวนี้ได้ดี ได้ดีเลย

    พอขึ้นไปบนดอกบัว ดอกบัวนั้นก็กลายเป็นดอกบัวเหล็ก เห็นดอกบัวธรรมดาพอขึ้นไปแล้วกลีบมันกลายเป็นเหล็ก ทั้งหมดมันกลายเป็นเหล็ก มีความคม มันก็เลยบาดตัว ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้ มันคมจัดเป็นกรดบาดเสียเนื้อหนังหลุดไปบ้าง เหวอะหวะไปหมดทั้งตัว บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายกลัวต่อความเจ็บ ทนทุกข์ทรมานไม่ไหว กระโดดจากดอกบัวหนีลงไปในน้ำ ลงไปในน้ำก็เจอะกับความแสบของน้ำเข้าอีก เพราะเป็นน้ำกรด

    คราวนี้สัตว์ทั้งหมดก็คิดว่าจะดำหนีลงไปข้างล่าง ดำลงไปหาภาคพื้นข้างล่างก็ไปพบหอกพบดาบทิ่มแทงเข้าอีกในน้ำ นี่เป็นยัง งี้ เป็นอันว่าสัตว์นรกทั้งหมด ไม่พ้นจากการทุกข์ทรมาน นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เวลาสัตว์ทั้งหลายต้องเสวยทุกขเวทนาจากนรกบริวารนี้ ไม่ทราบว่านานเท่าไหร่ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ มันกี่วันกี่เดือนกี่ปีน่ะไม่รู้

    ถ้าจะถามว่าทำไมจึงไม่รู้ก็ตอบได้ว่าที่ไม่รู้เพราะว่าท่านไม่ได้บอกไว้ ที่พาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายและพระคุณเจ้าไปเที่ยวนี่ ความจริงไม่ได้ใช้ฌานใช้ญาณใช้สมาบัติอะไรไป คนพูดไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่พาไปเที่ยวได้อย่างนี้ก็เพราะว่าอ่านตามหนังสือนะ มันถึงได้ไปได้คล่องจะนรกขุมไหนก็ได้ จะไปสวรรค์ขุมไหนก็ได้ เพราะไม่ได้ไปเอง ไปตามหนังสือ เวลาจะเข้าไปถึงไหนก็ต้องขออนุญาตใครเพราะอะไร เพราะว่าเวลาปากพูดนี่ต้องขออนุญาตใครที่ไหน ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท วันนี้ชมนรกบริวารกัน ๔ ขุมพอสบายๆ แล้วก็สำหรับนรกขุมใหญ่และนรกบริวารนี้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบ ว่าเป็นนรกที่มีโทษไปจากกรรมบถ ๑๐ ความจริงก็อยากจะอธิบายกรรมบถ ๑๐ ให้พุทธบริษัทฟังเหมือนกัน แต่เห็นว่ามันเป็นหญ้าปากคอกเกินไป ที่กล่าวว่าเป็นหญ้าปากคอกก็เพราะว่าบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายฟังเทศน์จากพระมาเป็นปกติ สมาทานศีลมาเป็นปกติเรียกว่ารู้เรื่องราวของกรรมบถ 10 กันมาเป็นปกติถ้าจะพูดมากคล้ายๆ กับเอามะพร้าวมาขายสวน มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

    แต่ว่าในตอนสุดท้ายที่จะจากนรกขุมนี้ไป มาซ้อมความเข้าใจไว้อีกสักนิด ว่ากรรมบถทั้ง ๑๐ ประการมีอะไรบ้าง ถ้าหากท่านทั้งหลายอยากมานรกขุมใหญ่ก็มาละเมิดกรรมบถ ๑๐ ประการเข้าไว้ไม่เป็นไร มีโอกาสมาได้ ถ้าไม่ต้องการจะมาก็โปรดปฏิบัติตามนี้

    ๑. งดการฆ่าสัตว์เด็ดขาด
    ๒. งดการลักทรัพย์เด็ดขาด ลักทรัพย์ คดโกง ยื้อแย่ง ปล้นสะดมจี้เหมือนกัน
    ๓. งดการละเมิดความรัก ทั้งผัว ทั้งเมีย ทั้งลูก คนใช้ คนในความปกครองของคนอื่นเด็ดขาดโดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้าขออนุญาตแล้วทำได้ ผู้ปกครองท่านอนุญาตนะ ไม่ใช่เจ้าตัวอนุญาต
    นี่เป็นกายกรรม ๓

    สำหรับวจีกรรม ๔ คือ
    ไม่โกหกใครเด็ดขาด
    ไม่ยุยงส่งเสริมส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกันเด็ดขาด แล้วก็
    ไม่พูดคำหยาบเด็ดขาด
    ไม่พูดเรื่องที่ไม่เป็นสาระเด็ดขาด นี่เป็นวจีกรรม ๔

    สำหรับมโนกรรม ๓
    อารมณ์ของจิตไม่เพ่งเล็งต้องการทรัพย์สินของบุคคลอื่นเด็ดขาด แล้วก็
    ไม่พยาบาทจองล้างจองผลาญใครเด็ดขาด แล้วก็
    มีความเห็นไม่คัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้าเด็ดขาด

    รวมความว่าท่านทั้งหลาย ถ้าทรงกรรมบถ ๑๐ ประการไว้ได้ ท่านก็ไม่ต้องลงนรกขุมใหญ่และนรกบริวาร

    ผู้ที่ออกจากนรกขุมใหญ่และนรกบริวารนี้ยังไม่พ้น ต้องไปถูกคิดดอกเบี้ยเฉพาะอย่างที่ยมโลกียนรกอีก

    เอาละสำหรับวันนี้ จะไปเที่ยวยมโลกียนรกก็ไปไม่ทัน หมดเวลา สำหรับวันพุธหน้านะ บรรดาท่านพุทธบริษัท เดินต่อไปถึงยมโลกียนรก สำหรับวันพุธนี้ พักกันอยู่แค่เวตรณีนรกนี่ก่อน

    เอาละ ต่อจากนี้ไปเวลาจะหมดแล้วนี่ บรรดาญาติโยมทั้งหลาย อาตมาก็ขอลาท่านกลับ หรือพักกันอยู่ที่นี่ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน และพระคุณเจ้าที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .
     
  9. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๘.ยมโลกียนรก ขุมที่ ๑–๒

    ท่านสาธุชนทั้งหลายและพระคุณเจ้าที่เคารพ เมื่อวันพุธก่อนได้เที่ยวมาถึงเวตรณีนรก จัดว่าเป็นนรกขุมใหญ่และนรกขุมบริวาร สำหรับนรกขุมใหญ่ก็ดี นรกบริวารทั้ง ๔ ขุมก็ดีที่จะต้องผ่านแต่ละขุมจากขุมใหญ่ เป็นนรกที่เกิดมาจากกฎของกรรมของกรรมบถ ๑๐ ประการ ว่าทำหนักหรือทำเบาด้วยกำลังของใจจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม รวมความว่าเป็นนรกขุมใหญ่

    ท่านไม่ได้แจกแจงเข้าไว้ประเภทอย่างไหนต้องตกนรกขุมไหน ในเมื่อท่านไม่ได้บอกไว้โดยเฉพาะ อาตมาก็ไม่บอกเหมือนกัน เพราะถ้าขืนบอกเดี๋ยวจะเลยกลายเป็นดีกว่าพระพุทธเจ้าไป คนที่ดีกว่าพระพุทธเจ้าน่ะก็มีพระเทวทัตเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว เราก็จะไปนรกขุมที่ ๘ ที่เรียกกันว่าอเวจีมหานรก ก็ไปพบคนดีพิเศษที่มหานรก อันนี้ก็เลยไม่อยากดีอย่างนั้น หรือว่าจะเผลอดีไปบ้างก็ไม่ทราบ เป็นเรื่องของมัน ในเมื่อเราไม่ดีก็ช่างมัน

    ตานี้เมื่อตกนรกขุมใหญ่ ๘ ขุม หรือขุมใดขุมหนึ่งและผ่านนรกบริวารแล้วอย่าคิดว่าหมดโทษกันแค่นั้น ท่านกล่าวว่าถ้ากฎของกรรมหรือเศษของกรรมยังไม่หมด จะต้องถูกลงโทษที่ยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม

    สำหรับยมโลกียนรก ๑๐ ขุมนี่เขาแยกประเภทแล้ว ใครทำความชั่วแบบไหนตกนรกขุมนั้น แต่ละขุมๆ ลงโดยเฉพาะ นรกขุมนี้รู้สึกว่าค่อยยังชั่วหน่อยเพราะหลีกได้นรกบริเวณนี้นะ แต่ว่านรกขุมใหญ่นั้นไม่มีทางหลีก ถ้าละเมิดกรรมบถ ๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นลงนรกขุมใหญ่ก่อน แล้วมาผ่านนรกบริวาร

    ผ่านนรกบริวารแล้วยังต้องมาผ่านยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม แต่ว่าสำหรับยมโลกียนรกนี่ก็บอกแล้วว่าเขาเอาเฉพาะเรื่องลงโทษเฉพาะอย่าง

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้ชมนรกขุมใหญ่กันพอสมควร แล้วก็ผ่านนรกบริวารพอสมควรแล้ว จะไปพูดมากกว่านี้มันก็พูดไม่ได้ เพราะว่าคนพูดไม่ได้เห็นเอง เรียนตามหนังสือ เรียนตามครูบาอาจารย์ท่านว่า ก็เลยว่าไปตามกัน อย่าหาว่าปรัมปราเกินไป

    ไอ้จะบอกว่าเห็นก็บอกยาก จะว่าไม่เห็นเลยก็บอกไม่ได้ เพราะที่ว่าเห็นตัวนรกมีจริงหรือว่าไม่เห็นนั้นเป็นเรื่องของปัจจัตตัง ตามที่ผู้ใหญ่ท่านพูด

    คือพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย และท่านผู้ทรงฌานสมาบัติขั้นสูงขึ้นไปก็พูดตรงกัน อย่างนี้จะว่าไม่เห็นก็ได้ แต่มีความเห็นตรงกับท่าน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นด้วยตา ก็ถือว่าเห็นเหมือนกัน เห็นตรงกัน ยอมรับนับถือเชื่อคำพูดของท่าน อันนี้กล่าวว่าเห็นก็ได้

    เอ พูดแบบนี้บางทีพระองค์นั้นท่านจะด่ามาทางอากาศอีกก็ไม่ทราบ เพราะว่าท่านเคยด่ามาทางอากาศเรื่องพูดเรื่องพระกรรมฐาน ท่านบอกว่าเรื่องของกรรมฐานนี่ไม่สมควรจะมาพูดออกอากาศ เป็นการฟุ้งเฟ้อเกินไป เขาต้องมีเวลาพูด

    ก็ไม่ทราบว่าเวลาของท่านคือเวลาไหน บางทีจะต้องพูดในเวลาเข้าส้วมกระมัง ไปพูดกันในส้วมหรือในที่ลับๆ ในถ้ำในคูหา ตานี้สถานที่อย่างนี้ก็ไม่มีนี่ ส้วมใหญ่ๆ ก็ไม่มี ถ้ำหรือคูหาก็ไม่มี สถานีวิทยุเขามีที่เฉพาะก็เลยพูดกันที่นี่ พระแบบนี้ก็เหมือนกัน เป็นการคัดค้านความดีของพระพุทธเจ้า

    ในเมื่อพระธรรมคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมา พระพุทธเจ้าเองท่านทรงเปิดเผย นั่นทรงกล่าวในที่ลี้ลับอันใด?

    ท่านกล่าวกับพระอานนท์ว่าพระธรรมคำสั่งสอนหรือพระธรรมวินัยอันใดที่เป็นเครื่องปกปิดไว้สำหรับเรา เป็นที่เร้นลับ เป็นการลับไม่มี นี่พระพุทธเจ้าเองนะพูดแบบนี้ แสดงว่าพระพุทธเจ้าพูดทุกอย่าง และต่อมาพระสาวกทั้งหลายท่านก็พูดทุกอย่าง

    ท่านไปพบอะไรมา อย่างพระโมคคัลลานะไปสวรรค์มา ไปพรหมโลกมา ไปนรกมา ไปแดนเปรตมา อสุรกายมา ท่านก็พูดทุกอย่าง ทำไมท่านพูดกันได้ เราก็เป็นพุทธสาวกเหมือนกัน ในเมื่อพ่อก็พูดได้ พี่ก็พูดได้ พ่อหมายถึงพระพุทธเจ้า พี่หมายถึงพระโมคคัลลาน์ แล้วพวกเราจะพูดบ้างไม่ได้รึ ทำไมต้องไปหาเวลาสมควร

    อย่างนี้ถ้าไม่จัดเป็นมิจฉาทิฐิจะเรียกกันว่าอะไร มีความเห็นผิดเสียแล้ว ละเมิดกรรมบถ ๑๐ ดูให้ดีนะ อาจไปก่อนญาติโยมพุทธบริษัทก็ได้ นรกขุมใหญ่น่ะ อย่างนี้โปรดทราบไว้ด้วย ถ้าได้รับฟัง ท่านที่พูดมานั่นแหละนะ ไม่รับปฏิบัติตาม เพราะอะไร?

    เพราะว่าแน่ใจว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าพูดได้ในที่ทุกสถาน พูดเพื่อให้คนดี ไม่ใช่พูดเพื่อให้คนเลว ในเมื่อความดีของพระพุทธศาสนามีอยู่ เราช่วยกันปกปิดความดีนั่นแหละเป็นมิจฉาทิฐิ แล้วก็มีอเวจีเป็นที่ไป

    ถ้านุ่งผ้าเหลืองห่มผ้าเหลืองด้วยแล้วไซร้ ดีใหญ่เลยเพราะทางอเวจีมหานรกเขาต้องการ เอาละคราวนี้จะเล่าให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทฟังว่า บางทีญาติโยมพุทธบริษัทฟังๆ วิทยุคืนวันพุธ อาจจะได้ยินเสียงโจมตีมาอีกครั้งก็ได้พูดให้ฟังไว้ก่อน

    อาตมานั้นไม่สะเทือนหรอก เป็นเรื่องธรรมดา นัตถิ โลเก อนินทิโต ผู้ที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก แม้แต่พระพุทธเจ้าก็โดน อาตมาไม่เดือดร้อน ที่พูดแบบนี้เป็นการยับยั้งมิจฉาทิฐิของพระองค์นั้นไว้ เกรงว่าท่านจะลงนรกนานเกินไป สงสาร ประเดี๋ยวจะไม่มีเพื่อนพระ พระประเภทนี้มีมากเสียด้วย บวชแล้วไม่เอาไหนหวังลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ได้มาแล้วก็เมากัน เมาศักดิ์ศรี เมาชื่อเสียง พอมีโอกาสออกเสียงทางวิทยุได้ก็อวดเป็นคนรู้ แต่ความรู้ก็รู้เหมือนกัน แต่ว่ารู้ทางลงนรก มันจะดีอะไร

    เอา อย่าไปคุยกับท่านเลยนะ คุยกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทดีกว่า หรือสำหรับพระคุณเจ้าที่เคารพที่กำลังนั่งรับฟังอยู่ดีกว่า นี่เวลานี้เราออกจากสถานีปลายทาง คือเวตรณีนรก ไปกันเสียทีนะโยมนะ เดินตามอาตมามา กลับไปที่เดิมก่อน

    กลับไปสู่สำนักของพระยายม เดินมาทางดีนะ หันหน้ามาทางด้านทิศตะวันตก เดินตามอาตมามา ทางขาวสะอาด ผ่านนรกแต่ละขุม นรกขุมที่ ๘ ที่ ๗ ที่ ๖ ที่ ๕ ที่ ๔ ที่ ๓ ที่ ๒ หันไปทางขวามือ

    จดจำภาพเข้าไว้ว่าบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายไม่มีความสุขแม้แต่ ๑ เสี้ยววินาที นี่ เป็นยังงี้นะ อย่ามากันเลยดีกว่านะ เวลาที่เราตายแล้ว เมื่อจิตออกจากร่างแล้วอย่ามาเลย ดูซิว่าสัตว์นรกที่เขาว่าจิตออกจากร่างแล้วมีความสุขกายแล้วพ้นทุกข์ มันพ้นที่ไหน ที่นี่ไม่มีเวลาพักผ่อน

    จิตเมื่อออกจากร่างแล้วไม่มีเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เป็นคนหมด สัตว์เดียรัจฉานทุกตัวที่เราเห็นว่าเป็นสัตว์ ความจริงก็คือจิตของคน อาศัยกรรมที่เป็นอกุศลเข้าไปสิง

    เวลาเป็นสัตว์มีความปรารถนาไม่สมหวัง ก็มีความทุกข์ ต้องการหวานได้เผ็ด ต้องการเผ็ดได้เค็ม ต้องการเย็นได้ร้อน ต้องการร้อนได้เย็น สิ่งที่เราต้องการเราไม่ได้ตามความปรารถนาเพราะบอกใครเขาไม่ได้ ภาษาของสัตว์คนไม่รู้

    ถึงแม้ว่ารู้เขาต้องนึกว่าสัตว์มีความต้องการไม่เสมอคน เวลานี้นักปราชญ์ทั้งหลายทางโลกเขาว่ากันยังงั้น สัตว์ที่มีสมองเล็ก สัตว์ที่มีสมองใหญ่ ความต้องการของสัตว์ทั้งหลายเป็นยังงั้นเป็นยังงี้ นี่เป็นการเดา

    ความจริงจิตใจของสัตว์ก็เป็นจิตใจคนนั่นเอง มีความปรารถนาเท่าคน แต่ทว่าตนเองมีโทษ ต้องถูกลงโทษให้เข้าในร่างของสัตว์ จึงรับความลำบาก

    เอาละ เรื่องนี้ผ่านไป เดินมาถึงสำนักของพระยายม เข้าไปหาท่านสักนิดดีไหม อย่าเข้าไปเลยนะ มันซ้ำกัน พูดแล้วมันซ้ำกัน ดูคนซี บรรดาคนตัวใหญ่ๆ เป็นนายนิริยบาลควบคุมบรรดาคนทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ยืนกันอยู่สะพรั่ง ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย คนมีวาสนาใหญ่ คนมีวาสนาเล็ก พระเจ้า เณร เถร ก็มีตั้งเยอะแยะ ยืนกันอยู่เป็นกลุ่มๆ ไม่มีใครพูดกัน หน้าตาซีดเซียว

    พอเดินมาถึงสำนักของพระยายมแล้ว มาตั้งต้นกลับทางเดิมกัน เวลานี้เราหันหน้าไปทางทิศตะวันตก จำให้ดีนะ มีทางเดินเฉียงๆ ไป ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นทางขาวสะอาด ทางนั้นไปสู่ดินแดนของยมโลกียนรก เดินกันต่อไป

    บรรดาท่านพุทธบริษัทตามอาตมามา เดินผ่านมาพบยมโลกียนรกหลายขุม แต่อย่าเพิ่งคุยกันเลย ไปหาขุมที่ ๑ กันก่อนดีกว่า เดินมาประเดี๋ยวเดียวมันก็ถึง เร็วกว่านี่เสียอีก พอนึกว่าจะไปไหนมันก็ถึงเลย มันรวดเร็วมากกว่ามีความเบามากกว่า

    ตานี้เดินมาถึงนรกขุมที่ ๑ ที่เรียกกันว่า โลหะกุมภี ที่นี้มีพระเจ้าอชาตศัตรูพระเจ้าแผ่นดินมคธ ที่มีความทรยศต่อพ่อ สร้างความกบฏคิดฆ่าพ่อด้วยอำนาจของพระเทวทัตยุยงส่งเสริม นี่แหละการคบมิตรไม่ดีมันยังงี้นะ การคบเพื่อนน่ะนะ ต้องดูเพื่อน

    ถ้าเพื่อนเลวจะต้องดูอย่างพระเจ้าอชาตศัตรู เจตนาเดิมของพระองค์ไม่มี แต่ว่าโดนเทวทัตยุหนักๆ เข้าก็ทนไม่ไหว ในที่สุดก็ต้องตามใจเทวทัต เพราะถือว่าเป็นอาจารย์ คิดประหัตประหารพระราชบิดา ซึ่งเป็นพระโสดาบัน แต่ในจิตใจของท่านนั้นไม่เต็มใจ ต่อมาได้ขอขมาต่อพระรัตนตรัย แล้วก็เป็นองค์อุปถัมภ์พระศาสนาตั้งแต่ปฐมสังคายนาเป็นต้นมา นี่หลังจากการฆ่าพ่อตายแล้วก็เข้าหาพระ ทำบุญเป็นการใหญ่

    ความจริงโทษอันนี้ไซร้ สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่าจะต้องตกอเวจีมหานรก แต่อาศัยที่ได้ฟังเทศน์สามัญผลสูตรทำจิตใจของพระเจ้าอชาตศัตรูเบาขึ้น รู้สึกบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์จึงขอขมาโทษต่อพระพุทธเจ้า ที่ทำลายพ่อให้ตายด้วยความไม่เต็มใจ อาศัยบุญใหญ่อันนี้แหละ จึงช่วยให้พระเจ้าอชาตศัตรูไม่ต้องลงอเวจีมหานรก มาตกอยู่แค่โลหะกุมภี

    โลหะกุมภีนี่เป็นยมโลกียนรกขุมที่ ๑ จะลืมบอกไป ยมโลกียนรกนี่ ท่านไม่ได้บอกอายุไว้ ไม่เหมือนนรกขุมใหญ่ ไม่บอกว่าตกกี่วันกี่ปีกี่เดือน แต่ก็นานเหลือเกิน

    อย่าลืมนะ พอลงไป ๑ ขุม อย่างน้อยที่สุดพระพุทธเจ้าตรัสไป ๒-๓ องค์ ยังไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย เวลามันยาวนานมาก แต่ว่าเวลาของนรกน่ะเขาไม่นาน มันเป็นบ้านของเขา รู้ไหมว่าโลหะกุมภีนี่มีโทษอะไร?

    นรกขุม ๑ มีโทษปาณาติบาต จำให้ดีนะ นรก ๑๐ ขุมนี่เขาแจกโทษเข้าไว้ เราทำปาณาติบาตไปตกนรกขุมใหญ่แล้ว ไปผ่านนรกบริวารแล้ว เศษของกรรมยังไม่หมด ต้องมาลงโลหะกุมภี

    โลหะกุมภีนี่อะไร โลหะ เราก็รู้กันแล้วนี่ เป็นของแข็งเป็นภาชนะแข็งๆ เช่นเหล็ก เช่นทองแดง ทองเหลืองอะไรยังงี้เป็นต้น เรียกว่าโลหะ ตานี้ กุมภีนี่แปลว่าหม้อ ก็แปลว่ามีหม้อโลหะใหญ่ ตามศัพท์หนังสือท่านเขียนว่ามีหม้อทองแดง มีหม้อทองแดงใหญ่มหึมา มันใหญ่มาก ใหญ่เท่าๆ กับปริมาณของสัตว์ที่จะลงนรกขุมนี้

    ถ้ามีสัตว์ที่จะลงนรกมาก หม้อก็ใหญ่มาก มีสัตว์ที่จะลงนรกน้อย หม้อก็ใหญ่ก็น้อย ดีเหมือนกัน นรกตามใจคน นรกไม่ขัดใจคน พอคนมีมากก็ขยายออกไปให้ใหญ่ คนมีน้อยก็ขยายไปให้น้อย ในหม้อทองแดงนี้ก็มีน้ำทองแดง น้ำนะแต่ก็เป็นน้ำโลหะที่ถูกเคี่ยว น้ำทองแดงนี่เคยเห็นไหม?

    เคยเห็นเวลาเขาหล่อพระพุทธรูป เขาหล่ออะไรไหม ที่เขาเอาทองเหลืองทองแดงเข้าไปเคี่ยวจะเป็นน้ำ แล้วก็เทลงไปในเบ้า สภาพของน้ำทองแดงเป็นยังงั้น แต่ว่าเป็นความร้อนแรงยิ่งกว่าน้ำทองแดง น้ำทองเหลืองที่เขาเคี่ยวหล่อหลอมอะไรต่างๆ นี่มันร้อนยิ่งกว่านั้นมาก เรียกว่ามีความร้อนจัด และมีความรัดตัวมากกว่า เพราะว่าเป็นน้ำทองแดงของนรก

    บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มีโทษปาณาติบาตเหลือเป็นเศษของกรรม เศษนะ เศษเป็นเฉพาะอย่าง เศษของกรรมยังมีอยู่มาถึงที่ตนมานี้ หนีไปไหนไม่ได้ นายนิริยบาลก็เทลงหม้อทองแดง เวลาเทเขาทำยังไง เอาหอกเสียบ แล้วก็โยนลงไปในหม้อทองแดงบ้าง เอาค้อนใหญ่ตีหัวให้คะมำลงไปบ้าง

    เมื่อสัตว์ลงไปในหม้อทองแดง หม้อทองแดงเป็นน้ำเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา ถูกความร้อนจากเหล็ก ถูกความร้อนจากไฟเผาผลาญอยู่อย่างนั้น ขึ้นมาปากหม้อแล้วก็จมลงไปก้นหม้อ จมลงไปก้นหม้อแล้วก็ไหลขึ้นมาปากหม้อ วนกันอยู่แบบนั้นไม่มีเวลาจำกัด จนกว่าจะหมดเศษกรรมเรื่องปาณาติบาต ไม่หมดเลยนะไอ้เศษเล็กๆ ยังติดอยู่ แล้วก็ใช้เวลานาน

    นรกขุมนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านและพระคุณเจ้าที่ติดตามมาอยากอยู่ที่ไหม ถ้าอยากอยู่ละก้อตั้งใจฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเข้า แล้วก็อย่าไปพูดกันนะ ว่าไอ้สัตว์ทั้งหลายเกิดมาเพื่อเป็นอาหารของคน นี่สำหรับคนเลวเท่านั้นที่เขาพูดแบบนี้ สัตว์ทุกตนรักชีวิตของตัว เวลาที่เราจะเข้าไปจับ เวลาที่เราจะฆ่าน่ะมันมีอาการดิ้นรนเพื่ออิสรภาพ ไม่ต้องการให้ใครทำร้ายมัน ไม่ต้องการให้ใครฆ่ามัน

    แต่บรรดาคนหลายท่านบอกว่าสัตว์เกิดมาเป็นอาหารคน นี่แปลกใจ รู้สึกแปลกใจมาก ว่าทำไมเขาจึงคิดได้อย่างนั้น ถ้าจะถามว่าฆ่าสัตว์ประเภทไหนจึงจะลงโลหะกุมภี ก็ตอบได้เลยว่าสัตว์ทุกประเภทถ้ามีชีวิต แต่ว่าเชื้อโรคนี่พระพุทธเจ้าไม่ได้บอก

    เคยมีพวกหมอมาถาม บอกพวกพยาธิที่อยู่ในท้องก็ดี บรรดาเชื้อโรคทั้งหลายก็ดี มีอินทรีย์เหมือนกัน คือมีร่างกายเหมือนกัน แล้วก็มีชีวิตเหมือนกันอย่างนี้ถ้าเราฆ่ามีโทษไหม อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกนี่ บอกแต่พวกเล็นพวกไรต่างๆ แต่ว่าการฆ่าต้องเต็มไปด้วยเจตนา ถ้าหากว่าเราเดินไปเหยียบตายโดยไม่เห็น ไม่มีเจตนาอย่างนี้ ท่านไม่จัดว่าเป็นกรรมประเภทลงนรก

    แต่ว่าต้องตั้งใจฆ่าแล้วมีสัตว์ให้ฆ่า เราได้ฆ่าสัตว์สมความปรารถนา ตามเจตนาที่ตั้งไว้จึงจะมีโทษ ถ้าบังเอิญเดินไปเหยียบบ้าง เวลายุงกัดเรารำคาญขึ้นมาเอามือไปลูบไปแตะ คิดว่าจะให้ยุงหนีไป บังเอิญเป็นยุงก้นปล่องมันกินเข้าไปเต็มที่แล้วมันไปไม่ไหว ตัวมันอ่อน ไปถูกเข้าตายโดยบังเอิญ ไม่มีเจตนาจะฆ่าให้ตาย ไม่มีโทษต้องลงยมโลกียนรก ลงโลหะกุมภี

    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอาศัยไม่มีเจตนาเป็นเดิมพัน เป็นอันว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นจะลงนรกได้ต้องมีเจตนาเป็นเดิมพันจำไว้เท่านี้ก็แลัวกัน ถ้าบรรดาทุกท่านต้องการมานรกขุมนี้ ก็เชิญฆ่าสัตว์ด้วยเจตนา ถ้าไม่อยากจะมาก็มีเมตตาปรานีเข้าไว้ ทรงพรหมวิหาร ๔ มีเมตตาในพรหมวิหาร ๔ หรือทรงพรหมวิหาร ๔ ทั้งหมด จะไม่ปรากฏร่างของเราในอบายภูมิแม้แต่ส่วนใดส่วนหนึ่งอันนี้จำได้แล้วนะ ดูพอสมควรหรือยัง

    เอาละ ต่อไปเดินไปขุมที่ ๒ เดินมาจากทางไหน? เดินมาจากทางเหนือ ล่องลงมาทางใต้ ยมโลกียนรกนี่เรียงรายอยู่เหนือสำนักของพระยายมขึ้นมา เมื่อเวลาที่ลงไปก็บอกแล้วนี่ ว่าลงไปพบยมโลกียนรกก่อน นี่เราขึ้นต้นด้วยทิศเหนือนะ เดินล่องใต้ ล่องใต้ลงมานิดหนึ่งเจอะนรกขุมที่ ๒ แหม นรกขุมนี้น่าชื่นใจ จะว่าเป็นบาปหรือก็เป็นบาปแบบชื่นใจ เพราะอะไร เพราะว่าคนมีความปรารถนา เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับมนุษย์

    นรกขุมที่ ๒ ของยมโลกียนรกเรียกกันว่า สิมพลีนรก นรกต้นงิ้ว จำได้ไหม ที่บรรดาพุทธบริษัทและคนหลายคนบอกว่าเวลานี้ไม่มีแล้ว ต้นงิ้วไม่มี เขาเอามาทำฟืนรถไฟกันหมด ที่ไหนได้ล่ะ ไปปรากฏอยู่เมืองนรก ต้นงิ้วถูกรบกวนจากเมืองมนุษย์บอกอยู่ไม่ไหวแล้วไอ้เมืองมนุษย์นี่ มันโกงเหลือเกิน ยืนอยู่ดีๆ มันก็มาตัดมาฟันเอาต้นไปทำฟืนเสียบ้าง ทำอะไรบ้าง ทำไม้ฟืนบ้าง ยังงี้เป็นต้น

    คราวนี้ต้นงิ้วทนไม่ไหว เลยต้องหนีไปเกิดอยู่ในเมืองนรก ไปคอยอยู่ที่นั่น เวลาเกิดก็ปรากฏว่า เป็นต้นงิ้วยักษ์เป็นต้นไม้ที่มีพิษมาก ต้นงิ้วที่นั่นไม่มีใบ มีแต่กิ่งกับหนาม ต้นงิ้วเมืองมนุษย์หนามเป็นปุ่มเล็กๆ นิดเดียวรอบต้น เรียกว่ามีทั้งต้น

    แต่ว่าหนามงิ้วเมืองนรกนี่ยาว ๑๖ องคุลี ๑๖ องคุลี นี่ไม่ใช่องคุลีมนุษย์ เป็นองคุลีนรก ยาวมาก ใหญ่มาก แล้วมีสภาพเป็นสปริง มันเกาะอยู่กับต้นธรรมดา มีความคมเป็นกรด แต่ว่าเวลาที่คนมีบาปขึ้นไป มันมีอาการพุ่งตัวแทงให้ทะลุหลังขึ้นไปได้ มันไม่นอนนิ่งๆ มันเด้งได้เหมือนสปริงที่เราทำเก้าอี้

    พอเวลานั่งก็ยุบลงไป เวลาลุกก็ฟูขึ้นมา รวมความว่ามันมีสภาพเป็นหนามที่มีชีวิตก็แล้วกัน คล้ายกับมีชีวิต แต่ความจริงมันไม่มีชีวิต แต่มันรู้ว่าคนที่มีความชั่วขึ้นไป ไปกระทบตัวมันจะพุ่งแทงทันที เลือดก็จะแดงฉานลงมา นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับลงโทษใคร

    บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่นั่งรับฟังกันมานานแล้วนี่ รู้กันมานานแล้ว เขาเรียกว่าโทษเจ้าชู้ สมัยนี้เยอะ สมัยนี้ดื่น โทษเจ้าชู้นี่ไม่รู้จักว่าผัวใคร เมียใคร ลูกใคร ข้าทาสหญิงชายของใคร เรื่องของเจ้าชู้นี่ เขาไม่ได้บังคับแต่เฉพาะว่าผัวใครเมียใครหรอก

    แม้แต่ลูกของเขานี่ ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง คือบิดามารดา แม้แต่ว่าเจ้าตัวเขาจะยินยอมก็ตามที ไม่ได้ ต้องลงโทษ ต้องถูกมาลงนรกขุมนี้ คราวนี้ข้าทาสหญิงชายของบุคคลอื่นหรือบุคคลที่อยู่ในปกครอง ถ้าไม่ได้รับอนุมัติจากผู้ปกครองแล้วไปร่วมรักกันเข้า ท่านกล่าวว่ามีโทษตกนรกขุมนี้ อันนี้ต้องจำกันไว้ให้ดี เวลานี้มีดื่น ดีไม่ดีมีเพื่อนต่างเพศเดินคุยกันไปคุยกันมา เลยรำคาญเข้าก็แวะหาที่ลับนิดหน่อย ก็ปล่อยความรักเข้าสู่กันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง อันนี้ก็ต้องถูกลงโทษในนรกขุมนี้

    นี่เวลาที่พูดมานี่น่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท พูดมาตลอดเวลานี่ไม่เคยเขียนหนังสือมาเลยนะ เวลาพูดสำบัดสำนวนมันไม่ดีก็ขออภัยด้วย บางทีลิ้นก็พันกัน บางทีก็พูดย้อนต้นย้อนปลายไปบ้าง ก็ขอโทษ เพราะไม่ได้เรียบเรียงมาเป็นตัวหนังสือ อาศัยความจำเป็นสำคัญ ได้ความจำของคนที่มีกิเลสนี้บางทีมันก็เผลอไปบ้างลืมไปบ้าง นี่เป็นเรื่องธรรมดา ขอได้โปรดทราบว่า ไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างนั้น

    ทีนี้เรามามองดู นรกขุมนี้มีใครบ้างล่ะ มีใครบ้าง มีต้นงิ้วกี่ต้น ท่านพุทธศาสนิกชนมองดู ทางโคนต้นของต้นงิ้ว มีนายนิริยบาลถือหอกใหญ่ ที่เขาเรียกว่าเท่าใบพายน่ะไม่จริงหรอก ถ้าพายก็เป็นพายนรกใบหอกมันใหญ่โตเหลือเกิน มีความคม

    แล้วก็มีสุนัข สุนัขหรือหมาของเขานี่ เขาไม่ได้มีไว้คุ้มครอง คุ้มขโมยหรอก เขามีไว้กัดสัตว์นรก แล้วบนยอดของต้นงิ้ว ก็มีแร้งมีกาตัวใหญ่ๆ ปากเป็นเหล็กคอยรออาหารอยู่ นี่ต้นงิ้วก็แลดูสะพรั่งไปหมด

    แล้วบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหมดดูไห้ดี ว่าต้นงิ้วทุกต้น ไม่ว่างคนเลย มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ไต่ไปบนต้นกันยั้วเยี้ยหมด คนที่ยังไม่ขึ้น นายนิริยบาลก็เอาหอกเสียบเข้าให้ ยันขึ้นไปบนต้นงิ้วพอถึงแล้ว ถ้าไม่ไต่ขึ้นไปก็แทงซ้ำอีก กลัวหอกก็ไต่ขึ้นไป หนามก็บาดเลือดโทรมแล้วบรรดาหนามทั้งหลายก็พุ่งหน้าพุ่งหลังพุ่งข้างพุ่งหัวพุ่งตามตัว ดูเลือดฉานไปหมด ร้องครวญครางกันเป็นตับเสียงระงมไปหมด ทุกต้นของต้นงิ้วไม่มีเวลาว่าง

    นายนิริยบาลก็พร้อมที่จะปฏิบัติงานได้ทุกต้น แต่ละต้นก็มีบุคคลหลายคน มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย มองสูงขึ้นไปหน่อยพวกที่ขึ้นไปถึงยอดถูกแร้งและกาจิกกินเนื้อบ้าง ตีด้วยปีกบ้าง ข่วนด้วยเล็บบ้าง อดรนทนไม่ไหวไต่ลงมาข้างล่าง พอใกล้ลงมานายนิริยบาลก็เอาหอกยันเข้าไว้

    ทีนี้ไอ้ต้นหนึ่งมันมีหลายคน เมื่อมีหลายคนนายนิริยบาลก็ยันทุกคนไม่ทัน บางคนลงมาข้างล่าง เจ้าสุนัขใหญ่กระโจนเข้ากัดอีก กินเนื้อแทะเนื้อถึงกระดูก เมื่อกระดูกล่อนไม่มีเนื้อแล้วก็มีเนื้อเต็มร่างขึ้นมา นายนิริยบาลก็เอาหอกยันเข้าไปใหม่ เอาไปวางไว้บนต้นงิ้ว นี่โทษอย่างนี้เป็นโทษที่มีความดีทางใจ

    เพราะบุคคลทั้งหลายต้องการรสชาติของกาเม ต้องการรสของสัมผัส ความจริงรสของการสัมผัสน่ะมันไม่อิ่ม มันสู้เรากินน้ำหวานไม่ได้ หรือกินก๋วยเตี๋ยวไม่ได้ กินต้มยำอร่อยกว่า สัมผัสเสียดสีกันไปร่างกายต่อร่าง ไม่เห็นมันมีอะไร มีแต่ความเสียวกระสันของใจ ผลที่สุดก็ไม่ได้ดีอะไรขึ้น ไม่เป็นคุณไม่เป็นประโยชน์ มีแต่โทษตกนรก

    เว้นไว้แต่บุคคลที่แต่งงานกันตามประเพณี เรียกว่าจะแต่งงานแบบไหนก็ช่าง ถ้าพ่อแม่เขาอนุมัติ อย่างนี้ใช้ได้ ถ้าผัวของเขาเมียของเขาอนุมัติก็ใช้ได้ ใช้ได้ตามใจเพราะว่า ไม่มีโทษ ได้รับอนุญาตแล้ว แต่ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากสามีหรือภริยา ผู้ชายก็เหมือนกัน ผู้ชายน่ะ อย่าคิดว่าไปยุ่งกับคนอื่นแล้วไม่มีโทษ ถ้าเมียเขาไม่อนุมัติแล้ว อย่าเชียว มาแน่ นรกต้นงิ้วนี่มาแน่ แล้วมาแล้วก็ไม่มีเวลากลับที่แน่นอน

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เราชมกันพอสมควรแก่เวลา มองดูนาฬิกาเห็นท่าจะหมดเวลาเสียแล้ว ในเมื่อหมดเวลาวันนี้ เราก็พักกันอยู่แค่สิมพลีนรกนี่ก่อน แล้วว่างๆ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทก็ลองเดินย้อนไปดูโลหะกุมภี ว่าโทษปาณาติปาตนี้มีใครลงมาใหม่บ้าง แล้วก็สิมพลีนรกนี้มีใครลงมาบ้าง สองขุมนี้รู้สึกว่ามีบริวารมาก มีพรรคพวกมาก เพราะอะไร? เพราะเป็นนรกที่บรรดาประชาชน บุคคลทั้งหลายนิยมกันมาก

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท และพระคุณเจ้าที่เคารพ มองดูเวลาเที่ยวมันก็หมดเสียแล้ว ก็ต้องพักกันก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชน และบรรดาพระคุณเจ้าที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี.
     
  10. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๙.ยมโลกียนรก ขุมที่ ๓–๕

    ท่านสาธุชนทั้งหลายและพระคุณเจ้าที่เคารพ สำหรับวันพุธนี้ มาพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าตามเคย เมื่อวันพุธก่อนได้ไปพักกันอยู่ที่สิมพลีนรกชั่วคราวระยะเวลา ๗ วัน หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพก็คงจะท่องเที่ยวย้อนไปย้อนมาระหว่างโลหะกุมภีกับสิมพลีนรก หรือว่านรกขุมใหญ่ นรกบริวารตามอัธยาศัย

    ทั้งนี้ เพื่อเป็นการดูให้ช่ำใจและพิจารณาดูว่าการตายมาแล้ว มีสภาพไม่สูญจริงตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวหรือไม่ สำหรับวันนี้ ก็ใคร่จะพาท่านพุทธศาสนิกชนและพระคุณเจ้าที่เคารพทุกท่านไปทัศนาจรขุมต่อไปสำหรับยมโลกีย์นรก ซึ่งยังมีอยู่อีก ๘ ขุม เพราะนรกที่นี้สำหรับโลกียนรกนี้มีทั้งหมดด้วยกัน ๑๐ ขุม

    ออกจากสิมพลีนรก ต้นงิ้วที่ทรงความศิวิไลซ์และบุคคลทั้งหลายที่ต้องการความสัมผัสต้องพากันมาอยู่ที่นี่ สำหรับต้นงิ้วนี้ เป็นที่รองรับคนเจ้าชู้ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่นอกใจภรรยา นอกใจสามี นอกใจบิดามารดา นอกใจผู้ปกครอง

    เรื่องราวอันนี้เป็นเรื่องราวของบุคคลที่มีความต้องการ ตามที่กล่าวมาแล้วแต่วันพุธก่อน ว่านรกขุม ๑ คือโลหะกุมภี ได้แก่การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แล้วก็สิมพลีนรก ได้แก่การเจ้าชู้ มีความปรารถนาในสัมผัสไม่มีขอบเขต เป็นที่นิยมของบุคคลสองประเภท คือนรก ๒ ขุมนี้สำหรับยมโลกียนรกรู้สึกว่ามีบุคคลมาก ตามพระบาลีท่านเรียกว่าสัตว์ ความจริงรูปร่างเป็นคน เรียกว่าสัตว์นรก เพราะนิยมกัน

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันแล้วนิยมกันมาก เพราะว่าลัทธิประเพณีฝ่ายตะวันตกเข้ามามาก เรื่องการพอใจในการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นกีฬาประเภทหนึ่งแล้วการแสวงหาความรักชนิดไม่มีขอบเขตก็เป็นกีฬาประเภทหนึ่ง ความจริงเรื่องนี้พระยายมหรือนรกไม่น่าจะขัดคอเขา แต่จะเป็นเพราะอะไรไม่ทราบจึงกลายเป็นอกุศลกรรมไปเรื่องนี้ขอยกไว้ เพราะเป็นเหตุสุดวิสัยที่ผู้พูดจะพิจารณา ขอนำบรรดาพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าเดินทางต่อไป

    นี่เราเดินทางจากด้านทิศเหนือไปด้านทิศใต้ เดินไปอีกหน่อยหนึ่งก็พบนรกขุมที่๓ มีนามว่า อสินขนรก นรกขุมนี้มีสัตว์คอยกัดกินอยู่ตลอดเวลา ตามบาลีท่านกล่าวว่ามีสุนัข มันมีสุนัขตัวใหญ่ๆ ที่คล้ายช้างคอยกัดกินอยู่ตลอดเวลา

    สำหรับโทษนรกขุมนี้ท่านกล่าวว่าเป็นโทษอทินนาทาน ความจริงโทษอทินนาทานก็ดี โทษปาณาติบาตก็ดี ก่อนที่จะมานรกขุมนี้ ต้องไปเสวยผลในนรกขุมใหญ่เสียก่อนขุมใดขุมหนึ่ง เพราะเนื่องด้วยกรรมบถ ๑๐

    สำหรับกาเมสุมิจฉาจารนี่ ก็คิดว่าเหมือนกันต้องไปลงนรกขุมใหญ่ก่อนแล้วมาผ่านยมโลกียนรก มันเนื่องด้วยกรรมบถ ๑๐ เหมือนกัน คือ กรรมบถ ๑๐ ก็มี ปาณา อทินนา กาเม ๓ อย่างนี้มีอยู่ในกายกรรม ฉะนั้นท่านที่ละเมิดกรรมประเภทนี้ต้องไปนรกขุมใหญ่ขุมใดขุมหนึ่งหรือว่าสองขุมสามขุมแล้วก็ผ่านนรกบริวาร จึงมาไล่เบี้ยเฉพาะในยมโลกียนรกนี่อีกใหม่

    สำหรับนรกขุมนี้ไม่มีเรื่องวิจิตรพิสดารอะไร คือว่าในบริเวณของนรกมีขอบเขตนั้น มีนายนิริยบาลคอยควบคุมอยู่ มีสุนัขตัวใหญ่คล้ายๆ ช้าง ถ้าจะเป็นช้างก็ช้างนรก เพราะว่าเมืองนรกหรือเมืองสวรรค์นี้ คนก็ดีสัตว์ก็ดี ความจริงสัตว์จริงๆ ในเมืองสวรรค์ไม่มี แต่ในเมืองนรกมีก็ไม่ใช่สัตว์การเมืองของนรก คือลงโทษสัตว์คือคล้ายๆ กับสัตว์ที่เขาฝึกไว้

    แต่ความจริงมันเป็นกฎของกรรม กฎของกรรมที่คนทำความไม่ดีลงไป สัตว์ประเภทนี้จึงจะเกิด มีไว้สำหรับลงโทษสัตว์นรก มีสัตว์ตัวใหญ่ๆไล่กัดกินอยู่ตลอดเวลา ครั้นเข้าใกล้นายนิริยบาลก็เอาหอกบ้าง ค้อนบ้าง เอาหอกแทงเสียบ้าง ค้อนทุบเสียบ้าง สัตว์ก็กัดกิน กัดกินเหลือแต่กระดูก พอเหลือถึงกระดูกก็เจ็บแสบนัก

    ขึ้นชื่อว่าความตายไม่มี สัตว์นรกไม่มีการตาย แม้แต่ชั่วครึ่งวินาทีก็ไม่ตาย ความไม่รู้สึกตัวนี่ไม่มีสำหรับสัตว์นรก ถ้ายิ่งถึงกระดูกสัตว์แทะกระดูกก็ยิ่งเจ็บหนัก

    พอมันของกระดูกหมดแล้วก็ปรากฏว่ามีเนี้อหนังขึ้นมาตามเดิมลุกขึ้นวิ่งหนีสัตว์ นายนิริยบาลก็ไล่ทุบไล่แทง บรรดาสัตว์ทั้งหลายก็ไล่ต้อนกัดกินอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะโทษชอบขโมยทรัพย์สินของชาวบ้าน คดโกงเขาบ้าง จี้ ปล้น เรียกว่าหาทรัพย์สินมาได้โดยไม่ชอบธรรม ที่ชาวบ้านเขาไม่ให้ อย่างกับผู้ที่เรี่ยไรมาแล้วบอกว่าจะทำบุญทำทาน

    แต่ทว่าเอาเงินจำนวนนั้นไปเป็นสมบัติส่วนตัวเสียบ้าง กีดกันไว้เป็นของส่วนตัวบ้าง ซื้อของถูกบอกว่าแพงบ้าง อย่างนี้น่าจะลงโทษในนรกขุมนี้ แต่ความจริงท่านมีของท่านอีกขุมหนึ่ง นี่พูดถึงนักโกงของชาวบ้านหรือว่าของสงฆ์ก็ตามไปตกโทษโน้น ไปอเวจีมหานรกมาก่อนแล้วก็ย่องมาพักอยู่ขุมนี้

    สำหรับเวลาในยมโลกียนรกนี่ไม่มีแน่นอน ท่านไม่ได้บอกกำหนดเวลาไว้ เอาละสำหรับนรกขุมที่ ๓ นี่ บรรดาพุทธบริษัท ก็ชมกันตามอัธยาศัย พอสมควรแก่เวลาหรือยัง ถ้าเบื่อแล้ว พอใจแล้วติดตามอาตมามา อาตมาจะพาไปอีกขุมหนึ่ง คือขุมที่ ๔

    ขุมที่ ๔ นี้ชื่อว่า ตามโพทนะนรก นรกขุมนี้มีหม้อเหล็กแดงแล้วก็เคี่ยวน้ำทองแดงไว้เต็ม คอยรอท่านเป็นเครื่องสังเวย สำหรับท่านที่ได้รับการสังเวยจึงได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อจากนิริยบาลนรกขุมนี้เพราะต้องบำเพ็ญบุญบารมีเป็นพิเศษ คือต้องมีบุญเฉพาะอย่าง

    ต้องเป็นคนที่มีบุญวาสนาบารมีในเขตนั้น นั่นก็คือท่านผู้ดื่มสุราเมรัย เรียกว่าของที่ทำให้ใจของเรานี้ฟั่นเฟือนด้วย อำนาจการเสพติด จะเป็นสุราเมรัย ที่เป็นน้ำ เป็นฝิ่น เป็นกัญชา หรือเฮโรอีน อะไรก็ตาม ที่ทำให้มีความมึนเมาสติสัมปชัญญะเคลื่อนจากเดิม

    หมายความว่าสติสัมปชัญญะที่ดีๆ อยู่นี่น่ะ มันมักจะไม่ค่อยดี ดีไม่ดีก็เห็นพ่อเป็นเพื่อนเสียบ้าง เห็นคนที่เคารพนับถือคิดว่าเป็นข้าทาสของเราเสียบ้าง ร้องเอะอะโวยวาย คนเคยอายก็อายไม่เป็น คนเคยหน้าบางก็กลายเป็นคนหน้าด้าน อย่างนี้เป็นต้น คนที่เคยกลัวผีก็กลายเป็นคนกล้าไป นี่ชาวโลกนิยมกัน ว่าสุรานี่เป็นของสำคัญ เวลาจะให้พรกันละก็ ถึงวันเกิดก็ดีถึงวันสำคัญของบุคคลหรือสถานที่ก็ตาม เวลาจะให้พรกันก็เอาสุราใส่แก้วเข้า ชูขึ้นแล้วกล่าวคำให้พร ความจริงพรนี้แปลว่า ความประเสริฐ

    แต่ว่าการเอาสุราไปให้พรนี่มันก็ประเสริฐเหมือนกัน หมายความว่า ประเสริฐยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา เวลาดื่มสุราเข้าไปแล้วความประเสริฐก็ปรากฏ คนไม่เคยกล้าก็กล้า คนหน้าบางก็เป็นคนหน้าด้าน

    ในที่สุดเวลาตายลงมาแล้วก็ประเสริฐกว่ามนุษย์ธรรมดา มาได้รับการสังเวยเลี้ยงดูปูเสื่อจากนายนิริยบาล บรรดาท่านพุทธบริษัทมองดูข้างหน้าของท่าน ที่กำลังยืนดู นรกขุมนี้มีไฟแดงฉาน มีไฟนะ เริ่มเข้าพบนรกไฟกันอีกแล้ว พื้นข้างล่างเป็นพื้นเหล็กแดง เหล็กแดงนี่ไม่ใช่ทาสีแดง ไฟเผาจนแดงโชน แล้วบริเวณนั้นก็มีหม้อทองแดง แล้วก็เคี่ยวน้ำทองแดงไว้เกลื่อนกลาดไปหมด พอดีกับปริมาณของคนที่ลงมาในขุมนรกนี้ เรียกว่าจะขาดจะเกินนั้นไม่มี

    ลงมาเท่าไรหม้อทองแดงเกิดเท่านั้น นายนิริยบาลจับสัตว์นรกทั้งหมดนอนลงบนแผ่นเหล็กที่มีไฟเผาโชน เห็นหรือยัง บังคับให้นอน ถ้าไม่นอนก็ขวานบ้าง หอกบ้าง ค้อนบ้าง ทุบลงไป แทงลงไป ฟันลงไป ต้องนอน นอนถ้าดิ้นก็มีคนจับท้ายจับหัวกันดิ้น ลองคิดดูว่าไฟก็เผา เหล็กก็แดงโชนเป็นเปลวเพลิงแล้วก็ไหม้ทั้งกายอยู่แล้ว นอนลงไปอย่างนั้นมันจะเจ็บมันจะแสบมันจะร้อนเพียงใด สัตว์นรกทุกคนดิ้นร้องกระวนกระวายมาก น่าสงสาร

    แต่เป็นการฝึกวิสัยนะบรรดาท่านพุทธบริษัท เดินมาที่นี่ต้องมีพรหมวิหาร ๔ ทรงอุเบกขาเข้าไว้ มีเมตตา มีกรุณาแล้วก็มีอุเบกขา มุทิตายังไม่ต้องใช้ คือที่จะไปพลอยดีใจกับเขาที่ได้รับทุกขเวทนาน่ะไม่เอาไม่ต้องเอา พรหมวิหาร ๓ ก็แล้วกัน เมตตา รักเขาเหมือนกับตัวเรา กรุณา สงสารเขาคิดอยากให้พ้นทุกข์ แต่ก็ต้องทรงอุเบกขา เฉยเข้าไว้ก่อน ช่วยเขายังไม่ได้ มันเป็นการสุดวิสัยที่จะช่วยเขาได้ ไม่มีอำนาจ

    เมื่อบรรดาสัตว์ทั้งหลายนอนลงไปแล้ว เขาก็เอาหม้อที่มีน้ำทองแดงเคี่ยวไว้ดีแล้ว มีกระแสเปลวเพลิงขึ้นมาพรึ่บๆๆ เต็มหม้อ เอาคีมงัดปากให้สัตว์นรกอ้าปาก อ้าปากแล้วกรอกด้วยน้ำทองแดง น้ำทองแดงเข้าปาก ปากพัง ไหลไปถึงคอ คอพัง ไหลไปถึงอก อกพัง ไหลไปถึงท้อง ท้องพังหมด ร่างกายสลายหมด

    แต่สัตว์ทั้งหลายยังไม่ตาย ร่างกายสลายตัวไปแล้ว ก็ปรากฏว่าเป็นตัวเต็มอัตราตามเดิมเป็นคนบริบูรณ์ไปด้วยอวัยวะต่าง ๆ ตามเดิม แล้วก็ถูกนายนิริยบาลกรอกอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะสิ้นเวลากฎของกรรม ถ้าจะถามว่าเวลาของกฎของกรรมเป็นกี่วัน กี่เดือน กี่ปีของเมืองนรกก็ตอบไม่ได้เพราะเขาไม่ได้บอกไว้

    เอาละสำหรับนรกขุมนี้ เหมาะสำหรับท่านที่ชอบดื่มสุราเมรัยหรือของเมาต่างๆ จะเป็นผงหรือเป็นน้ำต้มก็ตาม ที่ทำให้จิตของท่านฟั่นเฟือนละก็ใช้ได้ นี่ขุมนี้ชมพอสมควรแล้ว พูดมากก็เสียเวลามาก

    คราวนี้ต่อไปก็มาชม นรกขุมที่ ๕ สำหรับยมโลกียนรก นรกขุมนี้มีนามว่า อาโยคุฬะนรก นรกนี้มีก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาด พื้นนะเป็นเหล็กเผาจนแดงโชนเหมือนกันมีไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ในบริเวณของพื้นที่เป็นเหล็กเผาจนแดงโชน ก็มีเหล็กก้อนกลมๆ คล้ายๆ ลูกกระสุนปืนใหญ่โบราณ วางแดงอยู่หมด มีไฟเผาสุกอยู่เหมือนกัน

    นรกขุมนี้มีไว้เป็นที่ลงโทษสัตว์คือนักบุญ เขาเรียกว่ามีไว้สำหรับลงโทษนักบุญ นักบุญประเภทไหนท่านพุทธบริษัท? ประเภทที่มีการเรี่ยไรบอกบุญ เขามีไว้เฉพาะนะ เมื่อลักขโมยเขาก็มีว่าไว้เรื่องหนึ่ง นี่ว่าถึงนักบุญที่มีการเรี่ยไร มีการบอกบุญ เป็นพระเป็นเณรเป็นเถรเป็นชีเป็นฆราวาสเป็นทายกทายักอะไรก็ตาม มีการลงโทษเหมือนกัน

    เวลาบอกบุญเวลาเรี่ยไรเขามาแล้ว บอกว่านี่จะสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างถนน สร้างส้วม สร้างกุฏิ สร้างหอสวดมนต์ อะไรก็ตามเถอะ เป็นเรื่องของบุญก็แล้วกัน เมื่อบอกมาแล้ว เวลาได้มาแล้วไม่ยักเอาไปทำหมด บางทีก็กันเสียหมดเลย บางรายเรี่ยไรมาตั้ง ๑๐ ปี เวลามีคนเขามาช่วยทำกันจริงๆ จะเริ่มก่อร่างสร้างเข้าจริงๆ

    ปรากฏว่าเงินที่เรี่ยไรนั้นไม่มีเข้ามาร่วมในงานก่อสร้าง อย่างนี้ก็มี หรือว่าบางรายได้มาแล้วบาทหนึ่ง จ่ายให้กับส่วนที่เป็นการกุศลสลึงหนึ่งหรือสองสลึงก็มี หรือบางรายที่บอกบุญเรี่ยไรเขาหมด แต่ปรากฏว่าเอาไปทั้งเงินเก่าและเงินใหม่ หรือว่าบางรายบอกเรี่ยไรข้าวปลานาเกเขามาแล้ว

    เวลาได้มาแล้วเอามาวัดเหมือนกัน เอามาสร้างเหมือนกัน แต่มาแบ่งสรรปันส่วนกันก่อน ว่านี่เป็นค่าจ้างของฉันนะ นี่เป็นค่าอาหาร นี่เป็นค่าเครื่องดื่ม นี่เป็นค่าเหล้า ไม่เป็นไรพวกเรากินเหล้าเป็นธรรมะ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเรามาเรี่ยไรให้แก่วัดนี่ เราก็จะต้องกินของวัด แต่ความจริงจะกินแค่อาหารอีกทั้งบุหรี่ กาแฟตามความจำเป็น

    อันนี้ผู้พูดเองก็เห็นว่าไม่เป็นไร แต่ทว่าจะต้องตกลงกันไว้กับเจ้าอาวาสเสียก่อน หรือบรรดาคณะสงฆ์เสียก่อน แต่ว่าถ้าจำเป็นไปถึงสุราเมรัยละก็ อันนี้ไม่เป็นเรื่องแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องอภัยกันได้

    แต่ความจริงไม่ใช่อาตมาเป็นผู้ลงโทษนะ กฎของกรรมเขาลงโทษ เอาละพูดถึงกฎของกรรมพอสมควร บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่รับฟังมีความเข้าใจดีอยู่แล้วเรื่องนี้ ไม่ต้องพูดกันมาก อย่าย่องมาสอนหนังสือสังฆราชกัน นี่มันไม่ดี แล้วก็อย่าลืมนะ การพูดนี้ กระผมไม่ได้เรียบเรียงมาเป็นตัวอักษร เวลาพูดวิทยุตลอดกาลไม่เคยเขียนมา

    เรียกว่าเอาพุงมาพูดกัน เอาความจำมาพูดกัน ถ้าสำบัดสำนวนมันไม่ดีละก็ขออภัยด้วย พูดซ้ำพูดซากไปบ้างก็ขออภัย เพราะว่าไม่ใช่ไม่มีแต่ตัวหนังสืออย่างเดียว เวลาพูดร่างกายก็ไม่ดี ร่างกายเป็นโรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค ผมป่วยตลอดเวลา

    แล้วบางวันพระคุณเจ้าจะเห็นว่ามีการจามการไอ มีการกระแอมเพราะคอแห้ง ทั้งนี้ก็เพราะว่าความร้อนจากภายในมันเผาคอ เอาละเรื่องนี้จะทำให้บรรดาท่านพุทธบริษัทท่านขัดความรู้สึกในการฟัง ที่บอกไว้ก็เพื่อให้ทราบชัด เพราะว่าสำนวนแห่งการพูด บางวันก็ไม่เป็นเรื่อง บางวันก็พอฟังได้

    เอาละโทษในการที่เขาจะลงโทษสัตว์เขาทำยังไง ความจริงนรกขุมนี้นายนิริยบาล แปลว่า บุคคลผู้รักษานรก คือรักษากฎของนรกทำไปตามกฎของนรก เขาไม่มีเจตนาเรียกกลั่นแกล้ง แล้วไม่มีความโกรธความเคือง อาฆาตมาดร้ายอะไรกันมาก่อน ทำไปตามกฎของกรรม นรกขุมนี้นายนิริยบาลไม่เหนื่อย เพราะอะไร เพราะว่าสัตว์นรกทุกคนมีความต้องการเอง

    ด้วยอำนาจกฎของกรรม บังคับให้ลงมาดินแดนแห่งเพลิง พื้นก็เป็นเหล็กแดง เหล็กถูกเผาด้วยไฟจนแดงโชน แล้วมีไฟไหม้อยู่ตลอดเวลา บนพื้นเหล็กมีก้อนเหล็กที่ไฟเผาจนแดงโชนสุกแดงมีความร้อนจัดวางอยู่กลาดเกลื่อน บรรดาสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้

    เพราะสมัยที่มนุษย์มีความหิวมาก่อน หิวในลาภสักการะ คือว่าเรี่ยไรมาแล้วกันไว้เป็นสมบัติของตัวเสียทั้งหมดบ้าง บางส่วนบ้าง บางทีก็ตกลงกับคนวัดตกลงกับชาวบ้านเหมาลูกนิมิต ว่าลูกนิมิตลูกนี้นายเอาไป เอาวันละ ๓๐๐ เหลือจากนั้นเท่าไรเป็นของกู อันนี้ผิดระเบียบ

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เศษๆ เคยพบมารายการหนึ่ง เขาว่ามีอย่างนั้น ไปถามเขา เห็นเขาเรี่ยไรบอกว่าจะฝังลูกนิมิตโบสถ์ มีลูกนิมิตติดเรือไป ถามเขาว่าได้วันละเท่าไหร่ เขาบอกว่าทางวัดต้องการวันละ ๓๐๐ บาท เหลือเท่าไร คนที่มาเรี่ยไรเอาไปเป็นค่าใช้จ่าย ถ้าเหลือก็เอาเป็นสมบัติส่วนตัวไป

    นี่เพราะว่ามนุษย์พวกนี้มีความหิวมาตั้งแต่เป็นมนุษย์ จึงได้คดโกงเงินที่เขาทำบุญเข้ามา นี่สำหรับทำบุญกับพระศาสนาหรือสาธารณประโยชน์ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปลงอเวจีมหานรกก่อน ผ่านอเวจีมหานรกเพราะมีกรรมประเภทอื่นๆ มาผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม แล้วก็มาผ่านนรกที่เบากว่าอีกนิด ขุมที่ ๗ ขุมที่ ๖ ขุมที่ ๕ ตามกฎของกรรม เมื่อพ้นจากนรกขุมใหญ่และนรกบริวารแล้วก็มายมโลกียนรก มาขุมที่ ๕ นี้

    เวลาที่ปรากฏคนขึ้นบนนรกขุมนี้ ก็ปรากฏว่าเห็นก้อนทองแดง หรือเหล็กแดงที่เผาโชนมีเปลวไฟด้วยกฎของของกรรมบังคับอยู่ แทนที่เธอจะเห็นเป็นก้อนเหล็ก เธอก็กลายเป็นเห็นว่าเป็นชิ้นเนื้ออันโอชะ เกิดความหิวความกระหายอย่างหนักวิ่งเข้าไปแย่งกันนะ ไม่ใช่บังคับให้ทำ แย่งกันเพราะเห็นว่าก้อนเหล็กอันเผาจนแดงโชนเป็นก้อนเนื้ออันโอชะ เป็นเนื้ออย่างดีมีกลิ่นหอม พอวิ่งเข้าไปถึงก็เข้าไปแย่งกันเอาก้อนเหล็กแดงใส่ปาก เคี้ยวกินก้อนเหล็กแดงไม่ใช่สีแดง มันแดงเพราะความสุกของไฟ พื้นที่วิ่งลงไปก็มีไฟตลอดเวลา

    คือบริเวณที่วิ่งลงไปนั้นเดินไปอยู่นั่นน่ะ มีไฟทั้ง ๕ ทิศตลอดเวลาพุ่งเข้าหากัน พื้นข้างล่างก็เป็นแผ่นเหล็กแดงโชน ก้อนเหล็กที่กินเข้าไปก็เป็นก้อนเหล็กที่เผาแดงโชน เมื่อกินก้อนเหล็กแดงเข้าไปพอถึงปาก ปากพัง ถึงคอ คอพัง ถึงอก อกพัง ถึงท้อง ท้องพัง ล้มลงถึงแก่ความตาย แต่ความจริงไม่ตาย มีความรู้สึกแต่กระดิกกระเดี้ยไม่ไหว

    เมื่อกระดิกกระเดี้ยไม่ไหว ก็ปรากฏว่ามีการทรงกายตามเดิม เมื่อมีกายทรงการตามเดิมก็ลุกขึ้นมีความหิวจัด กฎของกรรมบังคับให้หิว เรื่องความจำว่าไอ้อาหารก้อนนี้มันเป็นก้อนเหล็กที่เผาไฟจนแดงนั้น ไม่มีความจำเลย เพราะกฎของกรรมบังคับ เกิดความหิวขึ้นมาอีก ถูกไฟเผาทั้ง ๔ ทิศ ข้างล่างก็เป็นพื้นเหล็กที่เผาจนแดงโชนร้อน แต่ความหิวบังคับ วิ่งเข้าไปหาก้อนเหล็กแดงใหม่ กินเข้าไปแบบนั้น ทำแบบนี้อยู่ตลอดเวลา

    จนกว่าจะสิ้นกฎของกรรม เป็นอันว่านรกขุมนี้นายนิริยบาลไม่เหนื่อย เพราะว่าไม่ต้องบังคับให้เขาทำ กฎของกรรมบังคับให้เขาหิว กฎของกรรมบังคับให้เขาเห็นว่า ก้อนเหล็กที่เขาเผาจนแดงโชนนั้น กลายเป็นอาหารอันโอชะ นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ ชมนรกขุมนี้แล้วนะ ให้นั่งนึกนอนนึกไว้ด้วย

    ความจริงนรกขุมนี้คนที่เป็นเหยื่อน่ะมากเหลือเกิน ส่วนใหญ่คนที่เป็นเหยื่อของนรกขุมนี้ก็คือนักบุญ ได้แก่ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกาและแถมชีและเถรด้วย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าบรรดานักบุญทั้งหลายที่กล่าวมาแล้วนี้อยู่ใกล้ชิดนรกขุมนี้เหลือเกิน และอย่าลืมว่านรกขุมนี้เป็นนรกดอกเบี้ย ไม่ใช่นรกแป๊ะเจี๊ยะ ดอกเบี้ยหรือว่าถอนทุนกัน ชำระทุนกันด้วย ชำระดอกเบี้ยด้วย คืนทุนน่ะเล็กน้อย

    บางทีเราโกงเงินวัด หรือโกงเงินสาธารณประโยชน์ ๕ สตางค์ ๑๐ สตางค์ เขาก็เอาเราไปลงอเวจีก่อน ออกจากอเวจีก็ต้องผ่านนรกบริวาร ถ้ามีกรรมอย่างอื่นติดตามอยู่อีกก็ต้องไปลงนรกขุมใหญ่อื่นต่อไป จนกว่าจะพ้นนั่นมาแล้วจึงมานรกขุมนี้

    ที่อาตมากล่าวว่า บรรดาพระสงฆ์ก็ดี ภิกษุณีก็ดี สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกาหรือไวยาวัจกรของวัด เป็นผู้ใกล้ชิดกับนรกขุมนี้มาก เพราะเคยเห็นกัน เคยเห็นอยู่เสมอๆ บางทีก็ไม่ใช่งานวัด เขาก็เอาเงินของวัดไปกินเหล้าเมาสุรา

    ความจริงเรื่องของวัดนี่ มันต้องตัดกันแล้ว น้ำดื่มน้ำเมาเรื่องของบาปกรรมอกุศลต้องไม่มี แต่ว่านี่ท่านเป็นเจ้าหน้าที่ของวัด เวลาจะมาจัดงานวัดท่านต้องกินเหล้า ดีไม่ดีก็เอาเหล้ามากินที่วัด แล้วการกินวัดก็จ่าย อันนี้มันจะถูกต้องยังไง เพราะเงินที่วัดจ่ายให้ก็เป็นเงินที่ชาวบ้านเขาทำบุญมา

    เวลาที่บอกเขาน่ะไม่ได้บอกเขาว่า จะมาซื้อเหล้าเลี้ยงทายกหรือซื้อเหล้าเลี้ยงกรรมการ เลี้ยงเหล้าคนที่มาจัดงานวัด เวลาจะมาบอกเขาว่าจะทำโน้นทำนี่ แต่ว่าท่านทายกตัวดี คณะกรรมการตัวดีท่านกินเหล้าเข้าแล้วนี่ ท่านก็สั่งเจ้าอาวาสจ่าย เจ้าอาวาสก็จ่าย

    อย่างนี้ใครจะผ่านไปอเวจีแล้วจะผ่านมานรกขุมนี้กันบ้าง? ก็ต้องขอตอบว่าทั้งทายกทั้งกรรมการทั้งเจ้าอาวาสไปด้วยกันหมดเพราะว่ามีความเห็นชอบร่วมกัน แล้วอีกประการหนึ่ง ควรมองดูให้ดี อีกทางหนึ่งของที่เขามาใส่บาตรทำบุญ เขามาใส่บาตรทำบุญแล้วกันเอาไว้ “อันนี้ของพระพุทธ” ของดีๆ ที่ท่านทายกชอบใจเอาไว้เป็นของพระพุทธ ของดีๆ ที่ท่านทายกชอบใจอันนี้เก็บไว้ถวายพระตอนเพล

    แต่ว่าพอถึงเวลาเข้าจริงๆ พระฉันแล้วที่ถวายพระพุทธก็มาเป็นของทายกหรือของกรรมการ ตอนที่ถวายพระตอนเพลนี่ก็เหมือนกัน ตอนถวายพระเพล ตอนเพลนี่ซีพอถวายเพลเข้าจริงๆ ของดีๆ ทั้งหลายเหล่านั้นก็ปรากฏว่าพระไม่ได้ฉัน ไม่ทราบว่ามันหายไปไหนหมด

    นี่มันเป็นยังงี้นะ บรรดาท่านพุทธบริษัท มันเป็นยังงี้ ถ้าอาการอย่างนี้ปรากฏละก็ทราบชัดว่าไปกินของที่เขาถวายพระ ญาติของพระเจ้าพิมพิสารไปตกอเวจีมาแล้ว และก็ต้องผ่านนรกขุมนี้ เพราะเป็นการบอกบุญเขาเหมือนกันนะ ไอ้ข้าวแกงที่เขาถวายพระ ถ้าไม่บอกเขาว่าจะทำบุญ เขาก็ไม่เอามาให้

    ท่านบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันพุธนี้หมดเวลาเสียแล้ว จะเลยไปนิดหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ถ้าเลยขออภัยเจ้าหน้าที่สถานีด้วย เมื่อหมดเวลาก็ขอท่านทั้งหลายโปรดพักอยู่นรกขุมนี้ก่อน สำหรับวันพุธหน้าค่อยเดินต่อไป

    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่รับฟัง สวัสดี. .
     
  11. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๐.ยมโลกียนรก ขุมที่ ๖–๑๐

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย สำหรับเมื่อวันพุธก่อน ได้พาพวกพุทธบริษัทมานั่งพักนอนพักนรกขุมสุดท้ายของวัน คือนรกขุมที่ ๕ ของยมโลกียนรก ซึ่งว่าด้วยการเรี่ยไร แล้วกีดกันเงินเรี่ยไรไว้เป็นสมบัติส่วนตัว เรื่องนั้นก็ว่ากันมาแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลา วันนี้ขอพาท่านพุทธบริษัททัศนาจรนรกขุมที่ ๖ ต่อไป

    สำหรับนรกขุมที่ ๖ แห่งยมโลกียนรกนี้ มีชื่อว่า ปิสสกปัพพตะนรก นรกขุมนี้มีชื่อบอกชัดว่าปัพพตะนี่แปลว่าภูเขา น่าคิด

    ในนรกขุมนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทมองดูให้ดี มองลงไปดูข้างหน้า จะเห็นว่าบริเวณทั้งหมดมีกำแพง ๔ ด้านกั้น เป็นบริเวณที่ใหญ่มาก แล้วจากกำแพง ๔ ด้านนั้น ก็มีไฟพุ่งเข้ามาหาส่วนกลาง พุ่งเข้ามาทั้ง ๔ ทิศแล้วในบริเวณกำแพงนั้น มีบรรดาสัตว์นรกกลาดเกลื่อน

    นรกขุมนี้ดูแล้วมีคนมากจริงๆ โอ้โฮ มากไม่น้อยไม่แพ้นรกขุมอื่น กลาดเกลื่อนไปหมดแล้ว นอกจากจะมีกำแพงกั้นแล้วก็มีภูเขาเหล็กใหญ่มหึมาไม่ใช่ภูเขาหิน แล้วก็ไม่ขรุขระเหมือนหินธรรมดาบนภูเขา เรียกว่าเหล็กก้อนใหญ่เหมือนภูเขาดีกว่า

    ท่านเรียกว่าปิสสกปัพพตะนรก เป็นนรกที่มีหินก้อนใหญ่คล้ายภูเขา เท่าๆ ภูเขาเป็นเหล็กก้อนใหญ่เท่าๆ ภูเขา แล้วเหล็กนี่ก็ถูกเผาจนแดงโชน มีอยู่ใน ๔ ทิศด้วยกันประสานกัน กลิ้งเข้ากลิ้งออก กลิ้งออกกลิ้งเข้าอยู่ตลอดเวลา แล้วบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันถูกบดขยี้ไปด้วยภูเขาเหล็กทั้ง ๔ ทิศ จะวิ่งหนีไปทางไหนนะไม่มีโอกาส

    แสงไฟที่พวยพุ่งเข้ามาก็มีความแรงมาก ถูกเข้าที่ไหนพังที่นั้น พอพังแล้วก็เป็นเนื้อเต็มตามเดิม เรียกว่าการหมดไปสูญไปตายไปไม่มีสำหรับสัตว์นรก เป็นแดนทรมาน เรียกว่าจะมีความสุขสักหายใจเข้าครึ่งท้องนี่ไม่มี เรียกว่าหายใจเข้าต้องไม่เต็มท้อง ไม่ต้องถึงที่สุดของลมหายใจ ดึงลมหายใจเข้าไปสักนิดหนึ่งจัดว่าเป็นความสุข

    เวลาเท่านั้นไม่มี ถูกไฟเผา ถูกภูเขาขยี้อยู่ตลอดเวลา กาลเวลาสำหรับในนรกขุมนี้ก็ไม่ทราบชัดเหมือนกันว่าเวลาเท่าไร ท่านบอกว่าจะต้องเสวยผลไปจนกว่าจะหมดกฎของกรรม ระยะของกรรมชั่วนี้เขาให้เวลาเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ นรกขุมนี้มีไว้ลงโทษใคร?

    โน่น ท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ คนที่เขามีอินทรธนู เขาบอกว่า เขาเป็นขุนนาง เขาเป็นข้าราชการ เป็นข้าราชบริพารของพระราชาที่ปฏิบัติตนตามกฎหมาย เขาว่ายังงั้น ถ้าตามกฎหมายจริงๆ ละก็ นรกขุมนี้เขาก็ไม่เคยมาเหมือนกัน แต่ว่าสำหรับท่านผู้นี้ปฏิบัติเลี่ยงกฎหมายไป คือเกรงว่ากฎหมายจะชอกช้ำ กฎหมายห้ามไว้อย่างนี้

    ถ้าปฏิบัติตามกฎหมายก็ต้องเรียกว่าเอากฎหมายมาใช้อยู่ตลอดเวลา ทีนี้ท่านก็เกรงใจคนร่างกฎหมาย เกรงใจคนพิมพ์กฎหมาย เกรงว่าสมุดกฎหมายนี้ช้ำมากเกินไปละก้อจะต้องซื้อใหม่โรงพิมพ์ก็ต้องจัดพิมพ์ใหม่เป็นการลำบาก ท่านก็เลยปิดกฎหมายไว้เรียบร้อยในเซฟ ใหม่เอี่ยมอยู่ตลอดเวลา เรื่องของกฎหมายบัญญัติไว้ว่าปรับเท่านี้ ลงโทษเท่านี้ ท่านไม่ทำ ไม่ทำเพราะอะไร เพราะว่าเกรงใจกฎหมาย

    อย่างสมมุติว่ามีคนเขาขโมยของใครๆ ไปกฎหมายจะต้องลงโทษปรับ หรือติดคุกติดตะราง แต่ทว่าคนนั้นเขาเอาสตางค์ไปให้ท่านข้าราชการผู้นั้น ท่านก็ตัดสินใจเสียใหม่ ปล่อยไปเพราะเมตตา เมตตาที่เอาสตางค์มาให้

    เป็นอันว่านรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับข้าราชการทุจริต จะทุจริตแบบไหนก็ตาม ตัวอย่างนรกขุมนี้ก่อนจึงจะไปที่อื่นได้ ตานี้ว่ากันว่าข้าราชการทุจริตน่ะ ละแต่นรกขุมนี้หรือ? อย่าลืมว่าเงินหลวงเหมือนกับเงินสงฆ์ เป็นเงินส่วนกลาง แล้วการทำกับประชาชนก็เป็นการทำกับคณะบุคคลส่วนใหญ่

    ถ้าฝ่ายพระก็เรียกว่าสงฆ์ เป็นคณะของสงฆ์ คำว่าสงฆ์นี่ก็แปลว่าคนหรือหมู่ก็ตาม ทำกับบุคคลที่เป็นกลุ่มก็ตาม กระทำให้ส่วนสาธารณะ ไม่ใช่สาธารณประโยชน์สาธารณโทษ ทำกิจที่เป็นโทษไปสู่กลุ่มสาธารณะรวมกันมาก มีโทษหนักเท่ากับของสงฆ์ เพราะฉะนั้น ข้าราชการประเภทนี้ ถ้าตายจากความเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าทำประเภทเดียวก็ไปลงอเวจีมหานรกก่อน แล้วก็ผ่านนรกบริวาร แล้วก็มาพักอยู่ที่นรกขุมนี้ชั่วคราวนานเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่ว่าถ้าทำโทษอย่างอื่นอีก ก็ไปนรกขุมอื่นต่อไป

    กว่าจะพ้นไปได้ก็ต้องมาใช้หนี้กฎของกรรมตามที่กล่าวไปแล้ว มีอะไรบ้างก็ช่าง ใช้มาหมดแล้วก็จะปรากฏว่าการทุจริต มาลงนรกขุมนี้ นี่เป็นยังงี้นาบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ ท่านผู้ที่วิ่งอยู่ในนรกขุมนี้ถูกภูเขาทับบดละเอียดอยู่แบบนี้ ไม่ใช่ใครเป็นนักรีดนักไถ

    เวลาที่ท่านอยู่ในเมืองมนุษย์ท่านชอบรีดเขา มาถึงเมืองนรกเขาก็เลยรีดเอาบ้าง ใครถูกเขารีดให้แบนลงไป เมื่อภูเขาเลยไปก็กลับเป็นตัวตนขึ้นมาใหม่ถูกไฟเผา แล้วก็ถูกภูเขามารีดอีก รีดอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เขาลงโทษสาสมกับคุณธรรมที่ปฏิบัติไว้ได้ดี ได้ชมนรกขุมนี้พอสมควร เวลามันจะช้าไป ลองเดินไปข้างหน้าอีกนิด วันนี้เห็นจะไม่ลงละมั่ง นรก ๑๐ ขุมเห็นจะไม่จบ เวลาคงจะไม่พอ ไปดูนรกขุมที่ ๗

    นรกขุมที่ ๗ นี่มีนามว่า ธุสะนรก ธุสะนรก เขาแปลกันว่าอะไร? ดูกันก่อนมองดูให้ดี เขาบอกชื่อว่ายังงั้น แล้วที่นี้เขามีอะไร อ๋อ มองให้ดีซิบรรดาท่านพุทธบริษัท นรกขุมนี้เป็นนรกที่มีความรื่นรมย์ดีไม่น้อยเหมือนกัน รื่นรมย์มาก คล้ายๆ กับเวตตรณีนรกเห็นไหม

    เขามีแม่น้ำ โอโฮ แม่น้ำใสจริง ๆ แม่น้ำนี้ใสมาก สะอาดมาก ใสแจ๋วเป็นแม่น้ำใหญ่น่ารื่นรมย์เหลือเกิน น่าโดดเล่น ตานี้ถ้าบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่ลงไปนรกต่างๆ มาแล้ว ถูกไฟเผาผลาญมีความร้อน นับเวลาไม่ได้ ก็รู้สึกว่าการทุรนทุรายต้องการน้ำ คือมีความกระหายน้ำ ก็ต้องการจะอาบน้ำเพื่อความเยือกเย็น

    เดินมาใกล้ถึงนรกขุมนี้ เมื่อมองเห็นน้ำใสสะอาดมีความเย็น คิดว่าเย็นดี ต่างคนต่างก็วิ่งรี่เข้าหาแม่น้ำ เพราะความหิวน้ำ เพราะความร้อนบังคับ เมื่อถึงแม่น้ำแล้วแทนที่จะดื่มกินเฉยๆ อันดับแรกก็คิดทำคราวเดียวได้ผลพร้อมกัน ใช้กระสุนนัดเดียวยิงนกให้ได้ ๒ ตัว ทำยังไง

    เห็นไหมบรรดาท่านพุทธบริษัทมองดูซิ มองดูลงไปสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นขึ้นมาจากนรกขุมที่ 6 มาแต่ไกล พอเห็นแม่น้ำเข้าวิ่งชิงกันออกมา วิ่งแร่เข้ามาหาแม่น้ำ พอมาถึงแล้วเขาทำยังไง ถึงขอบแม่น้ำ ทุกคนก็โดดลงไปพร้อมๆ กันหวังจะอาบน้ำแล้วกินน้ำด้วยพร้อมกัน เรียกว่าใช้กระสุนนัดเดียวได้นก ๒ ตัว แต่ที่ไหนได้

    พอโดดลงไปก็ปรากฏว่าน้ำในนั้นแห้งหมด ไม่เหลือ ไม่ปรากฏว่ามีซากของน้ำสักนิดเดียว กลายเป็นแกลบ น้ำเป็นแกลบหิน หรือแกลบเหล็ก แล้วแกลบนั้นก็กลายเป็นไฟกรดลุกโพลง แกลบก็แดงโชนเป็นเหล็กแดง ไฟก็เผาผลาญ ทำยังไง? วิ่งกันพลุกพล่าน

    ถ้าขึ้นมาบนขอบแม่น้ำ ก็ถูกนายนิริยบาลยันลงไปด้วยหอกบ้าง ตีลงไปด้วยค้อนบ้าง ให้ลงไปบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็มีแต่ทุกขเวทนา วิ่งไปวิ่งมา วิ่งมาวิ่งไป แกลบก็เป็นแกลบเหล็กเผาแดงโชนอย่างนี้ได้รับทุกข์ทรมานสลดใจไหม

    นรกขุมนี้ เขามีไว้สำหรับคนประเภทไหน? ท่านบอกว่ามีไว้สำหรับคนไม่ซื่อ นี่ว่ากันชัดๆ นะ เรียกว่าไม่ซื่อด้วยประการทั้งปวง

    คนไหนที่มีความไม่ซื่อ ชอบคดโกงหลอกลวงชาวบ้าน จะเป็นกรณีใดๆ ก็ตาม เมื่อลงไปสู่นรกขุมใหญ่แล้ว ก็มาผ่านนรกขุมนี้อีก ๑ ขุม เป็นอันว่ายมโลกียนรกนี่ เป็นเศษส่วนหนึ่งของนรกขุมใหญ่ หมายความว่ามาเก็บกรรมตามกฎของกรรม นรกขุมใหญ่นะ รวมกฎของกรรม

    ละเมิดกรรมบถ ๑๐ ร้ายแรงน้อยกว่าตกนรกขุมที่ ๑ ร้ายแรงมากอีกนิดก็ตกนรกขุมที่ ๒ แต่ต้องผ่านบริวารไป ร้ายแรงมากก็ลงอเวจี แต่ทว่ามายมโลกียนรกนี้ มาไล่เบี้ยกฎของกรรมเป็นอย่างๆ ใครทำแบบไหนต้องลงนรกขุมนั้นโดยเฉพาะ ไม่ใช่ลงโทษรวม

    เป็นอันว่านรกขุมใหญ่เป็นนรกแป๊ะเจี๊ยะเฉยๆ เผาผลาญเฉยๆ ลงโทษเฉยๆ ไม่ได้ให้สิทธิออกมาเลย ออกมาแล้วก็มาถูกเก็บขุมนี้อีก เป็นอันว่าทราบแล้วนะ ว่าบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มาอยู่นรกขุมนี้ทุกคนเขาเป็นคนไม่ซื่อ

    ความไม่ซื่อตรงด้วยกรณีใดๆ ก็ตาม ผ่านนรกขุมใหญ่แล้วก็มาขุมนี้ เอ้า ดูกันเท่านี้พอ วันนี้ไม่จบแน่ นรก ๑๐ ขุม จะเล่าให้จบเร็วๆ ก็ได้ แต่ทว่ามันก็ลัดเกินไป

    บรรดาท่านพุทธบริษัทหาหนังสืออ่านได้ยาก กว่าอาตมาจะนำมาเล่าได้นี่ก็ค้นหนังสือมา ๒-๓ ปี กว่าจะรวบรวมได้ครบ เอาละ อาศัยท่านเจ้าคุณศรีวิสุทธิโสภณ วัดดอน ยานนาวา ท่านรวบรวมไว้บางตอนเอามา ไปพบเข้าก็รู้สึกดีใจ

    ขอขอบคุณพระเดชพระคุณ พระศรีวิสุทธิโสภณ วัดดอน ยานนาวาไว้ในที่นี้ด้วย อุตส่าห์ค้นคว้าหนังสือประเภทนี้มาไว้ เพราะหนังสือประเภทนี้สูญหายไปจากความทรงจำของบรรดาท่านพุทธบริษัทเสียแล้ว

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระก็เหมือนกัน เลิกเทศน์กันเสียแล้ว ที่ไม่เทศน์ก็มีอยู่ ๒ อย่าง คือ คิดว่าไม่มีจริงบ้าง หรือขี้เกียจค้นบ้าง หรือค้นพบก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นของจริงเลยไม่เทศน์ ความจริงเทศน์เข้าไว้หน่อยก็ดี เพราะว่าเป็นพระพุทธโอวาทที่พระพุทธเจ้าทรงรับรอง ชมนรกขุมที่ ๗ พอสมควร ก็ย่องไปดูนรกขุมที่ ๘

    นรกขุมที่ ๘ แห่งยมโลกียนรกนี้ มีนามว่า สีตโลสิตะนรก ชื่อแปลก ในนี้เขาบอกว่ามีน้ำเย็นเฉียบ มาพบนรกน้ำเข้าอีกแล้ว นี่แปลกเหมือนกัน นรกน้ำมีติดๆ กัน ๒ ขุมนรกน้ำเย็นเฉียบนะ ทีนี้สัตว์นี่ทนทุกข์ทรมานเพราะความเย็นเป็นสำคัญ ทีนี้สัตว์ที่มาลงโทษที่นี่เขาหาว่ามีโทษอะไร?

    ดูกันไป จะถามนายนิริยบาลที่ควบคุมพวกนี้ก็พูดภาษามนุษย์ไม่เป็น แกไม่ยอมพูดกับเราหรอก บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อแกไม่ยอมพูดเราอยากรู้ เราทำยังไง? เราก็ไปถาม ถามใครล่ะ?

    ก็ถามตำรา เพราะว่าการพาชมนี่ก็ชมตามตำรา ความจริงไม่ได้เดินไปในเมืองนรกหรอก จะชวนท่านเดินไปด้วยปาก ท่านก็ตามอาตมาไปด้วยหู อาตมาชวนไปด้วยปากนะ แล้วก็เดินด้วยปาก บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ก็เดินตามอาตมามาด้วยหูเป็นอันว่าไปด้วยกันได้

    นรกขุมนี้ ท่านบอกว่าลงโทษสัตว์ที่ขาดเมตตา โอ้โฮ แย่เลยนะ บรรดามนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ ท่านเรียกว่าสัตว์ คือว่าสัตว์มนุษย์ เวลาลงไปในนรกความจริงร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ท่านเรียกว่าสัตว์ ไม่ยักเรียกว่ามนุษย์

    สัตว์ที่ขาดเมตตา คือเป็นคนที่ชอบไม่ปรานีใคร เจอะเป็ด เจอะไก่ เจอะหมู เจอะหมาก็เหวี่ยงลงไปใต้ถุนบ้าน เหวี่ยงจากที่สูงไปหาที่ต่ำ เหวี่ยงลงน้ำบ้าง เหวี่ยงลงเหวบ้าง หาความเมตตาปรานีไม่ได้ พบสัตว์ที่กินได้หรือไม่ได้ก็ทุบก็ตีก็เข่นก็ฆ่า

    แต่ว่าเฉพาะนรกขุมนี้ไม่ใช่ถึงขั้นฆ่า โยน ไร้ความเมตตา หรือว่าทรมานสัตว์เล่น ไม่ถึงกับฆ่าให้ตาย นี่ความจริงเขาควรจะไปรวมไว้ในโลหะภุมภี กุมภีโลหะกุมภีนี่เขาฆ่าสัตว์ให้ตาย แต่ว่านรกขุมนี้ ขุมที่ ๙ นี่ไม่ได้ทำสัตว์ให้ตาย แต่ไร้ความปรานี แน่ะ แปลกเหมือนกัน

    ไม่มีความปรานีสัตว์ ลงโทษสัตว์เล่นตามอัธยาศัย ตีเสียบ้าง ทุบเสียบ้าง คือขาดเหตุขาดผล อย่างคนเราเลี้ยงสุนัขเลี้ยงแมว ถ้าปฏิบัติตนไม่ดี ข่มเหงกันตะกละตะกราม ตีเพื่อความหวังดี นี่ท่านว่าไม่นำมานรกขุมนี้เพราะทำด้วยอำนาจของเมตตา หากว่าทำด้วยอำนาจการขาดเมตตาละก็เอาแน่

    แล้ววิธีลงโทษเขาทำกันอย่างไง สัตว์ทั้งหลายเห็นน้ำเย็นโดดลงไป น้ำเย็นนี่ มันไม่ใช่เย็นดีนี่มันเย็นเยือก เย็นจับใจแล้วกลายเป็นน้ำกรด กัดตัวบาดตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีความร้อน มีแต่ความแสบกับความหนาว นี่แปลก

    บรรดาสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อถูกความแสบน้ำกรดแล้วมีความหนาวเยือกเย็นเข้ามาทับท่วมหัวใจ ทนไม่ไหวตะเกียกตะกายขึ้นมา นายนิริยบาลทนไม่ไหวก็ใช้หอกบ้าง ใช้ค้อนบ้างแทงสวนลงไป ห้ามขึ้นเอาค้อนตีให้หล่นลงไป ห้ามขึ้น แม่น้ำนี้ไม่ยักเป็นแกลบไม่แห้ง มีน้ำ แต่ว่าน้ำเป็นกรด เอาละ สำหรับนรกขุมนี้ก็แค่นี้ละนะ เหลืออีก ๒ ขุมจะได้พูดให้หมด เพราะว่าอยากจะสรุปนรกเสียให้หมดในวันนี้ จะได้ไม่นานนัก แล้วต่อไปก็จะว่าถึงเรื่องเปรต

    ทีนี้ต่อไปเราก็ไปชมนรกขุมที่ ๙ นรกขุมที่ ๙ มีชื่อว่า สุนขะนรก นรกขุมนี้ไม่ใช่นรกลงโทษหมานะ สุนขะนรก อย่าเข้าใจว่าเขาจับหมามาลงโทษ ไม่ใช่ยังงั้น เป็นนรกที่หมามีอำนาจ คือหมามีอำนาจเหลือเกิน มีหมาแยะ แทนที่จะใช้คนลงโทษ เขามีหมาไว้สำหรับลงโทษคน หมานี่ตัวใหญ่ๆ มีอาชีพอะไร?

    กัดกินสัตว์นรกที่ลงมาในขุมนี้ แล้วนรกขุมนี้ ถ้าจะว่าไปก็เป็นเหล็กเผาแดง มีกำแพงทั้ง ๔ มีไฟพุ่ง มีสัตว์วิ่งอยู่ในบริเวณของไฟ แล้วก็มีสัตว์ตัวใหญ่ๆ คือสุนัข พูดให้สุภาพหน่อย ก็มีสุนัขหรือหมานั่นเอง อยู่เยอะแยะ ไล่กัดกินสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีความปรานี กินเนื้อหมดก็แทะกระดูกเหมือนนรกทุกขุม เมื่อเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกแทะจนหมดมันก็ไม่ตายเนื้อเกิดขึ้นมาใหม่ หมาก็แทะ ไฟก็เผา จะดีหรือจะชั่วยังไง น่าอยู่หรือไม่น่าอยู่ บรรดาพุทธบริษัท พระคุณเจ้าที่รับฟังก็นั่งนึกพิจารณาดูก็แล้วกัน

    สำหรับนรกขุมนี้ เขามีไว้สำหรับอะไร ลงโทษใคร ดูกันไป ดูแล้วก็จะทราบว่า เขาลงโทษคนปากร้าย ด่าไม่เลือก พ่อแม่ก็ด่า ชาวบ้านก็ด่า หรือว่าพระเณรก็ด่า นินทาว่าร้ายกล่าวโทษโจทความไม่ดีของบุคคลผู้ทำความดี ใครเขาไม่ได้เลวตามที่ตนว่า ไอ้ตนเองก็นึกว่าเขาเลวตามตน คนที่จะเห็นว่าบุคคลอื่นเลว ตนเองต้องเลวตามนั้น

    เพราะตามธรรมดาคนเรากินอาหาร ถ้าเราชอบเปรี้ยว ก็นึกว่าชาวบ้านเขาชอบเปรี้ยว ถ้าเราชอบเค็ม ก็คิดว่าชาวบ้านเขาชอบเค็ม มักจะปรุงอาหารตามอัธยาศัยของตัวนี่ฉันใด คนที่เกิดมาในโลกที่มีกิเลสก็เหมือนกัน

    ถ้าตัวมีกิเลสประเภทไหน ก็นึกว่าคนอื่นเขามีกิเลสประเภทนั้น ในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังอยู่ สมเด็จพระบรมครูทรงหมดกิเลสแล้ว พบอุปกาชีวกเข้าเขาถามว่า ท่านเป็นสาวกของใคร ท่านชอบใจธรรมของใคร

    พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เราเป็นสยัมภูคือผู้รู้เอง อุปกาชีวกเป็นคนมีกิเลสมาก ไม่ยอมเชื่อสั่นหน้า ว่ามีที่ไหน คนที่จะตรัสรู้ รู้ขึ้นมาเองโดยไม่มีครูสอนเป็นยังงั้น ก็ตัวเขาเป็นคนโง่ ก็คิดว่าพระพุทธเจ้านี่โง่เท่าเขา

    ตานี้คนปากร้ายที่มาลงนรกที่ชื่อว่าสุนัขนี่ก็เหมือนกัน ต้องมาให้หมามีอำนาจลงโทษตัว แหม คนถูกหมาลงโทษนี่ น่าอายเหลือเกิน ท่านกล่าวว่าเป็นคนปากร้ายใจเสีย เพราะว่าใจเสียว่าตัวเองน่ะไม่ดี คิดว่าคนอื่นไม่ดีเท่าตัวก็เลยเห็นบุคคลที่ทำความดีว่าไม่ดี คิดเท่านั้นยังไม่พอ ยังนินทาบ้าง ว่าร้ายบ้าง ใส่ร้ายด้วยประการทั้งปวง ด่าเสียบ้าง ไม่เลือกว่าใครจะเป็นพระเถรเณรชีบิดามารดาคนธรรมดาก็ตาม ก็ด่าว่าเสียโดยไร้เหตุผล ท่านกล่าวว่าต้องมาลงขุมนี้

    ชมนรกขุมนี้พอสมควรแก่เวลานะ ญาติโยมพุทธบริษัท เดินต่อไปกันดีกว่า วันนี้ครบ ดีใจเหลือเกิน ดีใจว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเดินชมนรกครบทั้ง ๑๐ ขุม แต่ความจริงยังไม่ครบ ๑๐ ขุม นี่มา…กี่ขุมก็ไม่ทราบ แต่มันจบลงในคืนนี้ ตั้งใจไว้แล้วคิดว่าจะไม่จบ

    นรกขุมที่ ๑๐ เรียกว่า ยันตปาสาณนรก นรกนี้มีภูเขา ๒ ลูก แน่ะ มาเจอะนรกภูเขาเข้าอีก ๒ ลูกกระทบกัน พอกระทบกันหมุนคล้ายๆ กับหีบอ้อย ไอ้เครื่องมือหีบอ้อยที่เขาบีบน้ำนะ มีสภาพคล้ายกัน นรกขุมนี้มีไฟเหมือนกัน ภูเขาก็เป็นภูเขาเหล็กไม่ใช่ภูเขาหิน ไม่ค่อยมีแง่มีช่องหรอก มันเรียบๆ บดเสียติดกัน

    นายนิริยบาลก็ไล่บรรดาสัตว์นรกให้เข้าไปในระหว่างภูเขาที่บีบเบียดกันหมุนกระทบกัน บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายฝืนใจเขาไม่ได้นะ จะไปดื้อไปด้านน่ะไม่ได้หรอก หอกที่มือค้อนใหญ่ที่มือ ทั้งแทงทั้งทุบ มีความเจ็บปวดมากก็เลยวิ่งหนีเข้าไปในซอกเขา เขาก็หมุนกระทบกันบีบเหมือนกับบีบน้ำอ้อย ก็ทำอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา แล้วแทนที่จะตายร่างกายก็คงเดิม แล้วถูกไฟเผาก็ต้องวิ่งมาเข้าทางนี้ให้ภูเขากระทบบีบ ให้ภูเขาบีบเหมือนหีบอ้อย เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา

    นรกขุมนี้เขามีโทษอะไร ดูกันไปว่ามีโทษอะไร ถามใครดีล่ะ? ถามลูกพี่นายนิริยบาลนายใหญ่ที่คุมอยู่ได้ไหม? ถามไม่ได้ พวกนี้เราไม่มีสิทธิ์จะถามแก ถามได้แต่แกไม่ตอบ

    ถ้าจะรู้กันจริงๆ ท่านที่ได้ฌานท่านบอกว่าเวลาจะไปนรกขุมไหนก็ตาม ขุมใหญ่ขุมเล็กก็ตาม อยากจะรู้เรื่องกฎของกรรม เวลาผ่านสำนักพระยายมก็ขออนุญาต ขอเจ้าหน้าที่สักคน เขาจะให้เจ้าหน้าที่ไป

    เวลาเจ้าหน้าที่ไปด้วย พอไปถึงนรกขุมนี้จะเห็นใครก็ตามที่ถูกลงโทษอยู่ ถ้าอยากจะทราบว่าเขามีโทษอะไรในสมัยที่ยังอยู่เมืองมนุษย์ ก็บอกเจ้าหน้าที่ที่เขาไปด้วยว่าอยากจะคุยกับคนนั้นคนนี้ เขาก็บอกนายนิริยบาล ว่าเอาคนนั้นมาซิ อยากจะสอบสวน นายนิริยบาลก็ไปเรียกคนนั้นมา พอเรียกมา จะขึ้นมาพ้นปากขุมนรก

    สภาพรูปร่างของแกในสมัยที่เป็นมนุษย์มีสภาวะเป็นยังไง ก็จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างนั้น เป็นตามเดิม ทีนี้แกก็มีความสุข ไฟไม่เผาแก ไม่ร้อน มีความเย็นสบาย เมื่อเราจะถามความประพฤติสมัยเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรปกปิด แกบอกทุกอย่างว่ามีโทษอย่างนั้นอย่างนี้

    เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่ตามกระผมมา เรามากันตามลำพังนะ เราไม่ได้มากับเจ้าหน้าที่ของพระยายม แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ลงมานี่ อาตมาก็พาท่านเที่ยวด้วย ท่านทั้งหลายก็ติดตามอาตมาเที่ยวด้วยหู ก็เลยไม่รู้จะถามใคร ทำยังไงจะรู้ว่าสัตว์นรกในขุมนี้เขาทำบาปอะไร มันก็ไม่ยาก

    ก็กลับไปถามท่านเจ้าคุณศรีวิสุทธิโสภณ วันดอนยานนาวา ที่ท่านเขียนไว้ ดูที่ท่านเขียนไว้ เวลาถามก็ไม่ต้องเดินไปถามท่าน เพราะว่าหนังสือเขาเขียนไว้แล้วท่านรวบรวมเข้ามา ท่านเขียนบอกว่านรกขุมนี้เขาลงโทษสำหรับคนใจร้าย ที่ขาดความปรานีต่อคู่ครอง เห็นไหม ใครล่ะ ผัวกับเมียน่ะซิ ผัวกับเมียคู่ครองไม่ใช่ใคร เป็นคนใจร้าย ด่าผัว ตีเมีย หรือว่าด่าเมียตีผัวในระหว่างสองคนน่ะแหละไม่ใช่ใคร ไม่มีใครเขามาช่วยด่า ไม่มีใครเขามาช่วยตี เป็นคนไร้ความปรานีในคู่ครองของตน

    ด่าบ้าง สาบแช่งบ้าง ทุบตีบ้าง ผัวตีเมียก็ตาม เมียตีผัวก็ตาม เมียด่าผัวก็ตาม ด่าด้วยอำนาจความโกรธไร้เหตุไร้ผล ไม่ใช่ด่าหรือว่าด้วยความปรานี ไอ้การด่าการว่ามันมี ๒ อย่าง ด่าด้วยเจตนาร้าย ว่าด้วยเจตนาร้ายก็ดี หรือ เขาเรียกว่าติเพื่อก่อ ด่าว่าด้วยความหวังดี ตักเตือนด้วยดีแล้วไม่ฟังก็ต้องด่าต้องว่า เพื่อให้กระทบใจแรง เพราะเป็นคนมีนิสัยหยาบ

    คนเราเกิดมาในโลกนี้มีนิสัย ๒ อย่าง มีนิสัยละเอียดอย่างหนึ่ง มีนิสัยหยาบอย่างหนึ่ง ถ้าคนมีนิสัยละเอียดละก็ให้เหตุผล เขาชอบรับฟัง เมื่อเข้าใจในเหตุในผลก็ปฏิบัติตามโดยง่าย แต่ว่าคนนิสัยหยาบไม่ยังงั้น ไปพูดดีพูดเพราะๆ ให้เหตุผลแก แกไม่ฟัง เข้าใจว่าเกรงกลัวอำนาจแก ในที่สุดก็ต้องด่า ต้องตีกันแกจึงจะทำ มันเป็นยังงั้น

    แต่ว่าที่เขาพูดไว้ในที่นี้ก็หมายความว่าไม่ได้ด่าไม่ตีด้วยความหวังดี ที่พูดมาแล้วน่ะพูดด้วยความหวังดี แต่สำหรับนรกขุมนี้ เขาว่าลงโทษด่าตีด้วยความหวังร้าย ขาดเหตุขาดผล ถือว่าตนมีอำนาจยิ่งกว่าผัว ตนมีอำนาจยิ่งกว่าเมีย

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ เรื่องนรกก็มาปิดฉากกันในวันนี้ สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาเสียแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .
     
  12. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๑.ดินแดนของเปรต ๑๒ จำพวก
    **เนื่องจากไฟล์ข้อมูลหายไปจึงไม่สามารถนำมาลงได้ จึงขอข้ามไปลงในหัวข้อที่ ๑๒ เปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ต้องขออภัยท่านผู้ที่ติดตามอ่านด้วยคะ**
     
  13. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๒.เปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร

    ญาติโยมพุทธบริษัท ทั้งหลาย วันพุธนี้ มีโอกาสมาพบกับ บรรดาท่านพุทธบริษัทตามปกติ แต่ทว่าสำหรับเสียง อันนี้เอาแน่ไม่ได้นะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทั้งหลายเรื่องเสียงนี่ก็ต้องขออภัย ถ้าหากมันดีบ้างไม่ดีบ้างกระแอมกระไอ ขอได้โปรดทราบ ว่าคนพูดอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า ท่าทางไม่ดี คำว่าท่าทางไม่ดีในที่นี้ ก็หมายถึงว่าร่างกายมันไม่ดีหลังจากป่วยใหญ่มาแล้ว จนกระทั่งเวลานี้ ร่างกายยังไม่ปกติ จนกระทั่งปีนี้งานก่อสร้างต่างๆ ต้องเพลามือลง เพราะว่า ถ้าขืนทำตามความประสงค์ที่ทำไป ร่างกายทนไม่ไหว การควบคุมงานเป็นไปไม่ได้ตามปกติ

    เอาละเรื่องส่วนตัวขอระงับ จะเป็นที่รำคาญของท่านพุทธบริษัท สำหรับวันนี้ก็จะพูดเรื่องเปรต จะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทไปชมเปรตสักนิด ชมกันสัก ๒๐ นาทีเศษๆ อย่าชมมากเลยนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าขืนชมกันมากก็แค่นั้นแหละ คือ เป็นเปรต แล้วอาตมาเองก็ไม่ทราบชัดนัก สภาวะของเปรตเป็นยังไง จะเล่าให้ฟังโดยละเดียดมันไม่ได้ เพราะตำราหาย ได้บอกมาตั้งแต่วันพุธก่อนแล้วนี่ว่า ตำราเปรตเรียงลำดับ ๑๒ จำพวกมันหายไป ก็เลยมาคุยกันอย่างคร่าวๆ ก็แล้วกัน

    วันนี้จะเล่าเรื่องราวของเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร รู้สึกว่ามีเรื่องราวน่าฟัง ที่ว่าน่าฟังก็เรียกว่ามีต้นเหตุ แล้วก็ไล่เบี้ยจากนรกขึ้นมาจนกระทั่งถึงเป็นเปรต สำหรับเปรตพวกอื่นก็เหมือนกัน ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทอยากจะทราบก็ถือว่ามีอาการคล้ายคลึงกัน จะเล่าให้ฟังละเอียดนักก็ไม่ได้

    ลองมองไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของยมโลกียนรก นั่นเป็นแดนของเปรต ถ้าจะดูสภาพของเปรตแล้วก็จะเห็น เห็นว่าเปรตสะพรั่งไปหมด มีดินแดนสุดลูกหูลูกตา

    แต่ทว่า จะอธิบายให้ฟังได้ยังไง ทั้งนี้เพราะว่าไม่เข้าใจเรื่องราวของเปรต เอากันยังงี้ดีกว่า มาคุยกันถึงเรื่องเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร เพราะมีลำดับดีที่พระพุทธเจ้าตรัส

    ความจริงเรื่องเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสารนี่เล่ามาหลายครั้ง แต่ไม่มีการบันทึกไว้แน่นอน วันนี้เรามาพูดกันให้ละเอียดสักหน่อยว่า

    ในสมัยหนึ่ง จำชื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้ ความจริงพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ว่า มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งมีพระนามว่าอะไรท่านบอกไว้ชัด แต่อาตมาจำไม่ได้ ขอยกไปก็แล้วกัน ขืนมานั่งพรรณนากันอยู่ก็เป็นที่น่ารำคาญ

    พระราชาพระองค์หนึ่งมีพระราชโอรส ๔ พระองค์ พระราชามีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และลูกชายก็เลื่อมใสด้วย เวลาที่พระพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระพุทธสาวกมาพักในพระราชนิเวศน์เขตพระราชฐาน พระราชโอรสทั้ง ๔ ท่านก็เลี้ยงดูพระด้วยความเลื่อมใส

    แต่ว่างานเลี้ยงพระเป็นงานใหญ่ ด้วยพระที่ติดตามพระพุทธเจ้ามีจำนวนหมื่นจำนวนแสน การเลี้ยงพระต้องมีงานหนัก ฉะนั้นพระราชโอรสทั้ง ๔ พระองค์จึงได้มอบงานเลี้ยงพระให้แก่นายเสมียน สมัยนั้นพระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินมคธในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นนี้ ก็เคยเป็นพระสหาย เป็นนายเสมียน นายเสมียนสมัยนั้น

    สมัยนี้ควรเรียกว่าเลขานุการ เป็นผู้แทนจัดงานเลี้ยง จัดเงินในคลังออกมาจับจ่ายใช้สอยเลี้ยงพระเลี้ยงคนของพระตามเท่าที่จะมี เรียกว่าเลี้ยงกัน ก็เลี้ยงอย่างดี เมื่อนายเสมียนใช้คนอื่นเขามาทำงานเขาก็ช่วยด้วยดี ทีนี้ต่อไปก็เห็นว่าถ้าเราได้ญาติของเรามาช่วยในการนี้จะดีมาก

    ความจริงนายเสมียนนั้นเป็นคนซื่อสัตย์บริสุทธิ์ ไม่คิดคดไม่คิดโกง หมายความว่า ไม่กินข้าวพระ ไม่กินสบงพระ ไม่กินจีวรพระ ไม่กินบาตรพระ ไม่กินรองเท้าของพระ แล้วก็ไม่กินกุฏิวิหารการเปรียญของพระ ไม่กินโบสถ์ของพระ ไม่เหมือนพระบางประเภท พระบางประเภทกินกัน บางวัดกินหอสวดมนต์เข้าไปตั้ง ๑๐ ปี บางวัดกินโบสถ์ กินศาลาการเปรียญ กินอะไรต่อมิอะไร

    อันนี้รู้สึกว่าขากรรไกรดีมาก ฟันดี กินอิฐ กินปูน กินทราย กินไม้ท่อน กินไม้เลื่อย กินกันได้ทุกอย่าง แต่ว่านายเสมียนคนนั้น ฟันไม่ดี ขากรรไกรไม่ดีกินไม่ไหว เลยไม่อยาก แต่ต่อมาเอาญาติเข้ามา บรรดาญาติทั้งหลายเหล่านี้ซิ เป็นคนฟันดี ขากรรไกรดี

    ในตอนต้นก็ช่วยงานด้วยดี ด้วยความซื่อสัตย์บริสุทธิ์ พอชักนานๆ เข้า ความเชื่องมันเกิด ความชินมันมี ก็คิดถึงว่าได้เรื่องบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ที่พระพุทธเจ้าเทศน์ ไม่มีความหมาย นรกอยู่ที่ไหน สวรรค์อยู่ที่ไหนฉันมองไม่เห็น คนตายแล้วก็แล้วกันไป

    แต่เวลาที่เรามีชีวิตอยู่นี้ให้มันมีความสบายก็แล้วกัน นี่ ตัวมิจฉาทิฐิแปลว่าเห็นผิด มองกันแต่ปัจจุบัน เมื่ออารมณ์ของแกเป็นยังงี้แกก็เริ่มจัดการตามระเบียบ เงินที่เขาให้มาเลี้ยงพระ ก็กันเข้ากระเป๋าเสียบ้าง ของราคา ๑ บาท ก็มาแจ้งว่าราคา ๖ สลึง หรือ ๒ บาท ของซื้อมา ๑๐ ชิ้น ก็แจ้งว่าซื้อมา ๕ ชิ้น

    เวลาเขาทำของให้พระ กลิ่นมันดี หอมดีรสอร่อย ก็กินเสียก่อนบ้าง ให้ลูกหลานกินก่อนบ้าง กีดกันเอาของพระไปไว้บ้านบ้าง เวลาพระฉันแล้วก็ดี หรือยังไม่ได้ฉันก็ดี เอาแอบใส่หม้อใส่ไห เอาข้าวใส่กระบุง ใส่หม้อใหญ่ เอาแกงใส่หม้อย่อม เอาไปกินที่บ้าน เอาไปเลี้ยงกันเป็นส่วนตัว ที่ทำมาแบบนี้ปกติไม่ต้องบรรยายมากนัก เป็นอันรู้กันว่าทุจริตก็แล้วกัน คดโกงของสงฆ์

    เมื่อบรรดาบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ตาย ตายแล้วนะ นายเสมียนไปเป็นเทวดา แล้วต่อมานายเสมียนก็มาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร นี่คนที่เอาเข้ามานะเขาไม่รู้ไม่เห็นด้วย ไม่เหมือนสมภารบางวัดกับทายก มีความเห็นร่วมกัน กีดกันเงินที่เขาเรี่ยไรมาได้ เอามาเป็นสมบัติส่วนตัว มาแบ่งกันเสียบ้าง แล้วก็เอาไปทำบ้าง บางทีก็ไม่ทำเลย มีงานบอกว่าขาดทุน ขาดทุนก็เล่นเงินกรรมการเข้าไปอีก เรียกว่าเอา ๒ ชั้น เงินที่ได้มาก็โกง เงินที่เขาสำรองทุนมาก็โกง นี่แบบเดียวกัน จะเล่าตัวอย่างให้ฟัง

    เมื่อนายเสมียนไปเป็นเทวดา บรรดาญาติทั้งหลายเหล่านั้นไปไหน? โน่น ย่องไปนรก ไปสู่อเวจีมหานรกสิ้นระยะกัปหนึ่ง นี่ลงไปจริงๆ ไม่ได้ทำท่าจะลงอย่างท่านสุปติฎฐ ทีนี้เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว ผ่านนรกบริวาร ๔ ขุมก็แล้ว เมื่อพ้นนรกบริวาร ๔ ขุมแล้ว ก็มายมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ไล่ตามลำดับ แกเอาหมด คนประเภทนี้แล้วมีจิตอย่างนี้ไม่เหลือ นรกมีกี่ขุมลงหมด พ้นจากนรก ๑๐ ขุมนั่นแล้วก็มาเป็นเป็นคนอีก ๑๒ จำพวก เป็นเปรตระดับมีบาปหนักโทษหนัก พ้นแล้วก็มีโทษเบาขึ้นมาทีละน้อยๆ

    ในที่สุดในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระนามว่าพระปทุมุตตระ อันนี้แน่หรือไม่แน่ก็ไม่ทราบ ถ้าไม่ใช่พระปทุมุตตระ ก็วิปัสสี ๒ องค์ จำไม่ได้ถนัด อันไหนที่จำได้ก็บอก ที่จำไม่ค่อยได้ก็ไม่บอก รับกันตรงๆ เพราะอาตมาเองก็ไม่ญาณพิเศษ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า หรือไม่ใช่พระสาวกองค์สำคัญ จึงจะได้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกเสมอไป บางทีแน่ใจเหมือนกันแต่ไม่กล้าพูด เกรงว่าจะผิดตำรา เพราะเวลาพูดนี่ไม่ได้เขียนหนังสือมา ไม่ได้เอาตำรามาอ่าน ดูไว้หลายปีแล้วจำได้ ก็เลยนำมาพูดเท่าที่จำได้ ถ้ามันขาดตกบกพร่องไปบ้างก็ขออภัยท่านผู้รับฟังด้วย

    ในเมื่อเป็นเปรต ๑๑ จำพวกแล้ว ก็มาเป็นเปรตจำพวกสุดท้ายเรียกว่า ปรทัตตูปชีวีเปรต เข้าใจว่าสมัยนั้นเป็นสมัยพระปทุมุตตระทศพลพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เข้าใจว่านะ ถ้าผิดไปก็ขออภัยด้วย

    บรรดาปรทัตตูปชีวีเปรตพวกนั้นความจริงเป็นเปรตมีกรรมเบาแล้ว เปรต ๑๑ จำพวกได้บอกมาแล้วว่าไม่มีโอกาสจะโมทนาส่วนกุศล หรือสัตว์นรกก็เหมือนกัน คนที่ตายแล้ว ถ้าเลยลงไปนรก หรือเป็นเปรต ๑๑ จำพวก บรรดาญาติโยมที่อยู่ในชาตินี้หรือคนที่มีความหวังดีคิดจะสงเคราะห์ทำบุญส่วนกุศลอุทิศไปให้ อันนี้ไม่มีโอกาส

    ไม่มีทางที่จะได้โมทนา โปรดจำไว้ด้วย เรียกว่าโมทนาไม่ไหว เพราะว่าไม่มีโอกาส มันทุกข์ทรมานมากเหลือเกิน ทั้งเจ็บทั้งปวดทั้งร้อน ไม่มีเวลายินดีกับอะไรทั้งหมด

    ตานี้พอมาถึงปรทัตตูปชีวีเปรต พวกนี้มีกรรมไม่มาก ไม่มีหนอนกิน ไม่มีไฟไหม้ ไม่มีหอกเสียบแทง แต่ทว่าต้องเดินหิว ไปทางไหนๆ หาอะไรกินไม่ได้ รออย่างเดียว คือใครเขาจะมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง ถ้าใครเขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ได้รับการโมทนาก็มีความสบาย

    ฉะนั้น เวลาทำบุญ หากว่าท่านทั้งหลายที่ทำบุญแล้วเปล่งวาจาเฉพาะญาติใครเขาทำบุญที่ไหนก็ตาม ต้องเป็นคนที่ทำบุญแล้วได้บุญนะ ถ้าทำบุญแล้วไม่ได้บุญ เปรตพวกนี้ก็ไม่ไปล้อมอยู่สะพรั่งรอบๆ บริเวณนั้น คอยโอกาสที่ได้รับโมทนา

    ตอนนี้ท่านพุทธบริษัทอาจจะสงสัยว่าทำบุญประเภทใดได้บุญ ทำบุญประเภทใดไม่ได้บุญ บางคนทุนเป็นหมื่นเป็นแสน ทำแล้วไม่ได้บุญ แล้วบรรดาเปรตไม่โมทนา เพราะอะไร เพราะในงานนั้นมีการล้มวัวล้มควายล้มหมูเลี้ยงเหล้า ถ้าแบบนี้ไม่มีบุญ เพราะบาปมันเข้าไปขวาง เจตนาที่เป็นกุศลมันก็ไม่มี

    ถ้าอกุศลมันเข้าไป เวลาจะทำบุญให้ได้บุญจริงๆ ต้องมีอารมณ์สงบ เว้นจากสิ่งที่เป็นบาปทั้งหมด แม้แต่ไข่ที่มีชีวิตเราก็ไม่ทุบ เว้นแต่ไข่ฟางที่ไข่แล้วไม่มีตัวผู้ทับอันนี้เขากล่าวว่าไม่เป็นตัว อาตมาก็ไม่ทราบแน่นักนะ ถ้านักวิจัยฝ่ายวิทยาศาสตร์เขารับรองก็ใช้ได้ ถ้าฟักแล้วไม่เป็นตัว ไอ้ยังงี้ไม่บาป ถ้าลงเป็นตัวละก็บาป อย่างนี้ ไม่ยอมให้มีระหว่างจะทำบุญ

    แล้วก็เวลาทำ ทำจิตใจให้สบายไม่ห่วงใยอย่างอื่น เวลาพระให้ศีลตั้งใจรับศีลด้วยความเคารพแล้วก็ประพฤติตามศีล เวลาถวายทาน ถวายทานด้วยความเคารพ เวลาพระเทศน์ตั้งใจสดับพระธรรมเทศนาด้วยความเคารพ

    ทีนี้ เมื่อเคารพจริงๆ จิตสบายอารมณ์จึงจะมีบุญ เปรตทั้งหลายจึงยอมโมทนาส่วนกุศลเพราะคนนั้นมีบุญ

    ถ้าหากพอเริ่มงานเลี้ยงเหล้า ฆ่าวัวฆ่าควายฆ่าไก่ฆ่าปลา ตอนนี้อกุศลเข้ามาทับหัวใจเสียแล้วกรรมที่เป็นกุศลเข้าไม่ได้ การทำบุญคราวนั้นทั้งคราวหาบุญไม่ได้ อย่างนี้ เปรตไม่โมทนาเคยพบ คำว่าเคยพบในที่นี้ หมายความว่าเคยพบเรื่องราวของเปรตที่รับโมทนาจากญาติไม่ได้

    ตานี้ปรทัตตูปชีวีเปรตพวกนี้ก็เหมือนกัน เมื่อท่องเที่ยวมาตั้งนาน ไม่ทราบว่าสมัยนั้นพระพุทธเจ้าทางพระนามว่าพระปทุมุตตระ ทรงอุบัติขึ้นในโลก ถ้าชื่อผิดละขออภัยนะ

    บรรดาเปรตพวกนี้ที่เข้าไปหาพระพุทธเจ้า ไปกราบทูลว่าข้าพระพุทธเจ้าข้าอดข้าวนับเวลาเป็นร้อยๆกัป หรือเป็นแสนกัปเชียวนะพ้นจากนรกมาแล้วน่ะ มันนานเหลือเกิน

    เวลานี้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นข้าวเข้า ข้าวเขากองไว้ จะกินเข้าไปมันก็เป็นแกลบแล้วก็มีไฟลุก เห็นน้ำอยากน้ำ เป็นแม่น้ำวิ่งเข้าไปจะกินน้ำเพราะกระหายน้ำ เข้าไปน้ำแห้ง น้ำเป็นแกลบ แล้วเป็นไฟลุกกินไม่ได้เป็นอันว่าไม่ได้กินมานานแล้ว จึงกราลทูลถามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า เมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะมีข้าวมีน้ำกินกับเขาสักที

    องค์สมเด็จพระชินสีห์ท่านเป็นพระพุทธเจ้า ความจริงถ้าจะช่วยบุญของท่านก็เหลือหลายเหลือโมทนาส่วนกุศล นี่องค์สมเด็จพระทศพบท่านทรงทราบไม่ใช่อย่างพวกเรา เดาดะไม่เลือกอะไรๆ ก็เรียกว่าใช้ได้มันไม่ถูก

    พระพุทธเจ้าท่านทรงทราบกฎของกรรมดีว่าเปรตพวกนี้ยังช่วยไม่ได้ ก็ต้องทรงอุเบกขาเข้า คือว่างเฉย แต่ก็มีเมตตา เมื่อเปรตทั้งหลายเหล่านั้นมาทูลถามสมเด็จพระบรมศาสดา พระองค์ก็ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่าหลังจากนี้ไป ๙๑ กัป จะมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนามพระสมณโคดม ทรงอุบัติขึ้นในโลก

    และญาติเปรตทั้งหลายเหล่านี้ที่เป็นนายเสมียนกำลังเป็นเทวดาอยู่ จะเป็นพระราชานามว่าพระเจ้าพิมพิสารในประเทศมคร แล้วก็ปรากฏว่าจะเป็นผู้อุปถัมภ์ของพระพุทธเจ้าเป็นพระสหายกันมาก่อน

    เมื่อทำบุญแล้ว พระเจ้าพิมพิสาร อุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตทั้งหลายเหล่านี้ เปรตผู้นี้ได้รับการโมทนาก็จะมีสภาพพ้นจากความเป็นเปรตจะเป็นเทวดาเพราะอำนาจกุศลที่พระเจ้าพิมพิสารให้ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบ จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสกับเปรตทั้งหลายเหล่านั้นตามที่กล่าวมาแล้ว

    เมื่อเปรตทราบจากองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่าอีก ๙๑ กัป จะได้กินข้าวกินน้ำมีความสุขก็ดีใจ มีความรู้สึกคล้ายๆ กับว่าเวลา ๙๑ กัปเป็นวันพรุ่งนี้เห็นไหมล่ะ นี่ไม่รู้ว่าอดมาเมื่อไหร่นะ แต่ถอยหลังไปลงนรกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มาเป็นเปรตอันดับ ๑ ถึง ๑๑ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และเป็นเปรตอันดับ ๑๐ ผ่านมาแล้วกี่กัปก็ไม่ทราบ

    มาพบพระพุทธเจ้าตอนนี้ เหลืออีก ๙๑ กัป จะได้กินข้าวกินน้ำ กัปหนึ่งมีระยะเท่าไรก็พูดมาแล้วในสมัยอเวจีนรก ตอนนั้นพูดมาแล้วตั้ง ๙๑ กัปลองคิดดู ว่ามันต้องทรมานสักเท่าใด แต่เขาอดกันมานานก็ดีใจว่าจะได้มีโอกาสกินข้าวกินน้ำ หลังจากนั้นมาเปรตพวกนั้นก็ท่องเที่ยวทนความลำบากมาถึง ๙๑ กัป

    มาต้นกัปนี้พระพุทธเจ้ามีนามว่า กุกุธสันโธ องค์ที่ ๒ มีนามว่าพระโกนาคม องค์ที่ ๓ มีนามว่า พระพุทธกัสสป เปรตพวกนี้ก็เข้าไปถามทุกท่าน พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ทรงพยากรณ์ว่า ว่าพระสมณโคดมอุบัติขึ้นในโลก ญาติของเธอมีนามว่าพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอมีความเลื่อมใสในสมเด็จพระจอมไตรทรงพระนามว่าพระสมณโคดมเมื่อบำเพ็ญกุศล แล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่เธอ พวกเธอได้รับโมทนาแล้วจะพ้นทุกข์ เขาก็มีความสุขใจ ว่านี่เรารอมาได้จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระปทุมุตตระถึง ๙๑ กัป

    แล้วก่อนนั้นอีก เพียงระยะกัปนี้เท่านั้นเองเรามีโอกาสจะได้รับความสุข เขาดีใจมากลิงโลดใจมาก แล้วต่อมาเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีนามว่าพระสมณโคดม คือพระพุทธเจ้าองค์นี้ทรงอุบัติขึ้นในโลก แล้วพระเจ้าพิมพิสารก็มีความเลื่อมใส นิมนต์พระพุทธเจ้ามาอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหารสร้างวัดถวายเป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา แล้วก็เลี้ยงดูพระตลอดเวลาแต่ก็ไม่เคยอุทิศกุศลไม่เคยกรวดน้ำ บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านี้ไปยืนคอย นั่งคอยนอนคอยในบริเวณเขตพระราชฐานของพระเจ้าพิมพิสารทุกวัน ไม่เห็นให้สักที

    หนักเข้าๆ มันทนอยากไม่ไหว ตั้งใจมาแล้วตั้ง ๙๑ กัป ไม่ใช่ ๙๑ ปีนะ ๙๑ กัป ทีนี้เมื่อตั้งท่าค่อยมาแบบนี้ตอนนี้ก็มาคอยอยู่ข้างๆ ไม่เห็นให้ เลยทนไม่ไหว คืนหนึ่งที่พระเจ้าพิมพิสารเข้าไปจะนอนในห้องบรรทมอันเป็นศิริ บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านี้ก็ส่งเสียงร้องให้ปรากฏ เป็นเสียงร้องว่ายังไงก็ไม่ทราบ จะบอกว่าการร้องอย่างงั้นอย่างงี้ ดีไม่ดีอาตมาก็จะเป็นเปรตปลอมไป เรียกว่าร้องไม่ถูกจักหวะเปรต ไม่ได้ยินนี่ว่าเขาร้องกันยังไง เป็นอันว่าร้องไม่เหมือนเสียงธรรมดาที่เคยได้ยินก็แล้วกัน

    พระเจ้าพิมพิสารแปลกใจ ในตอนเช้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่เช้า ไปกราบทูลให้ทรงทราบว่า เมื่อคืนไม่ทราบว่าเสียงอะไร แปลกประหลาด ข้าพระพุทธเจ้าหวาดใจ องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงแจ้งให้ทราบ มีพระพุทธฎีกาว่า มหาราชะ ขอถวายพระพรมหาบพิตรพระราชสมภาร เสียงนั้นไม่ใช่เสียงอะไร เป็นเสียงเปรตญาติของพระองค์

    แล้วก็เล่าเรื่องต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้วให้ฟังโดยละเอียด พระเจ้าพิมพิสารก็มีความสงสาร จึงนิมนต์องค์สมเด็จพระพิชิตมารพร้องไปด้วยพระสาวกทั้งหลาย ที่อยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ตอนนั้นพระยังรวมกันประมาณ ๕๐๐ รูป เข้าไปฉันในพระราชนิเวศน์ พอพระฉันเสร็จพระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำตามพิธีของพราหมณ์ติดมาถึงสมัยนี้

    แต่ว่าตามแบบฉบับของพุทธศาสนา การกรวดน้ำท่านเรียกอุทิศ คือมีเจตนาแผ่เมตตาส่งไปให้เจาะจง อุทิศนี้แปลว่าเจาะจงเฉพาะ คือเรียกว่าบุญนี้เราขอให้คนนั้น ขอให้คนนี้ ไม่ต้องใช้น้ำก็ได้ แต่เวลานั้นเป็นพิธีพราหมณ์ ยังติดอยู่มาก พระพุทธศาสนายังเกิดขึ้นใหม่ๆ พระเจ้าพิมพิสารก็นำพระเต้าทองที่มีน้ำ ราดลงไปบนมือของพระพุทธเจ้า กล่าวคำอุทิศว่า อิทังโน ญาตีนัง โหตุ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ขอผลบุญนี้ จงมีแก่ญาติของข้าพเจ้า

    เพียงเท่านี้ บรรดาเปรตทั้งหลายก็ได้รับโมทนา และอัตภาพแห่งความเป็นเปรตซีดเซียวก็หมดไป มีอาการผ่องใส มีอาการอิ่มเอิบ มีความสุข มีความสบาย มีร่างกายสวยเหมือนเทวดา ทีนี้เวลาให้น่ะเขาไม่ได้ให้วัตถุหรอกนะ จะเข้าใจว่าให้ข้าวไปกิน กรวดน้ำให้ข้าวเป็นก้อนๆ ไปกินแกงเป็นถ้วยๆ ขนมเป็นชิ้นๆ ไม่ใช่ยังงั้น เป็นอำนาจของความดี

    เมื่อได้รับโมทนาแล้ว มีความอิ่มขึ้นมา ไม่ต้องเปิบ อิ่มมีกำลังมีความสุข มีความเยือกเย็นมีความสวยสดงดงาม แต่ทว่าเปรตทั้งหลายเหล่านี้ ในชาติก่อนไม่เคยถวายไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อได้รับโมทนาแล้วร่างกายเป็นเทวดา ไม่มีผ้านุ่ง ไม่มีเสื้อใส เป็นเทวดาชีเปลือย ก็มีความลำบากใจ

    ตอนกลางคืนเข้าไปหาพระเจ้าพิมพิสาร คราวนี้ไม่ร้อง ไปยืนให้เห็นยืนสะพรั่ง ร่างกายสวยสดงดงาม แต่ว่าไม่มีผ้านุ่ง ไม่มีเสื้อ ไม่มีอะไรปิดป้องกาย ตอนนี้สงสัยว่าบรรดาพวกเปรตทั้งหลายไปยืนให้พระเจ้าพิมพิสารเห็น น่ากลัวจะหันหลังให้ ถ้าหันหน้าให้คงทุเรศใจมาก ตอนเช้า พระเจ้าพิมพิสารมาทูลถามพระผู้มีพระภาคถึงภาพนั้น พระพุทธเจ้า ก็บอกว่าไม่ใช่ใคร เปรตพวกเดิม ได้รับโมทนาแล้วมีความสุขมีกายเป็นเทวดา แต่ขาดเครื่องประดับ เพราะว่าชาติก่อนไม่เคยบำเพ็ญกุศลเรื่องผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพระพุทธศาสนา

    พระเจ้าพิมพิสารว่าทำยังไงเขาจึงจะได้ ท่านมีเมตตา พระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้พระองค์ถวายผ้าแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ท่านไม่ให้จำกัด แต่พระเจ้าพิมพิสารท่านเป็นกษัตริย์ ท่านรวย เลยถวายผ้าหมดทั้งวัด ถวายอาหารใหม่แล้วถวายผ้าหมดวัด แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ บรรดาเทวดาที่มีกำเนิดจากเปรตทั้งหลาย เมื่อได้รับโมทนา มีเครื่องประดับอันเป็นทิพย์แล้ว ก็ไปอยู่ในสถานที่อันจะพึงควรอยู่ เป็นอันว่านับแต่วันนั้นเป็นต้นมา บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่มารบกวนพระเจ้าพิมพิสารอีก

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่นำเรื่องราวนี้มาคุยให้ฟังก็เพื่อจะได้ทราบว่าการทำบาปแล้วไปลงนรก แล้วก็ผ่านนรกมาเป็นเปรตกี่จำพวก มาเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต มีความลำบากเท่าไร จะเล่าให้ละเอียดนักก็ไม่ได้เพราะตำราละเอียดไม่มี

    เอาละสำหรับวันนี้ หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทที่รับฟัง และบรรดาพระคุณเจ้าที่รับฟังคงจะเข้าใจ เข้าใจหรือไม่ก็ตามขอยุติไว้เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน และบรรดาพระคุณเจ้าผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .
     
  14. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๓.อสุรกาย พวกที่ ๑-๒ และ สัมภเวสี

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้มาพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องไตรภูมิตามเดิม ในตอนก่อนได้พาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทไปนอนพักอยู่ในแดนเปรตมาสิ้นเวลา ๗ วัน หวังว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย คงจะเห็นเปรตได้ชัดว่าดินแดนของเปรตเป็นดินแดนนี่น่าอยู่เพียงใด หรือว่าใครจะไม่อยากอยู่ก็เป็นเรื่องของญาติโยมพุทธบริษัท

    วันนี้ออกเดินทางต่อไป ลาเปรตเสีย บรรดาเปรตทั้งหลายถ้าหากว่าเราจะพูดกัน เรื่องพูดมีมาก แต่ทว่าเกรงบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะรำคาญ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะพูดไปพูดมามันก็เรื่องของเปรต เป็นอันว่าบรรดาเปรตทั้งหลายเป็นสภาวะที่เราไม่น่าอยู่ เราไม่น่าพิสมัย

    ทั้งนี้ ดินแดนที่เราจะเดินทางต่อไป ตอนนี้เราเดินทางกลับมาเมืองมนุษย์กันก่อนดีกว่า ออกจากดินแดนของเปรต หันหน้ามาทางทิศนะวันตก เป็นทางขาวใหญ่ เดินต่อมาเรียงแถวกันให้ดีนะ ดีไม่ดีตอนระหว่างสุดทางของนรก แล้วก็สุดทางของมนุษย์ สุดแดนของสวรรค์ ด้านขวามือนั้นมีนรกสำคัญอยู่ขุมหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าโลกันตนรก

    เดินไปอีกหน่อยสมมุติว่าเดินผ่านมา เข้าถึงจุด ๓ จุดที่เข้ามาชนกัน คือเรียกว่าแดน ๓ แดนชนกันที่สุดของนรก ที่สุดของมนุษย์ และที่สุดของสวรรค์ มองไปทางขวามือจะเห็นภูเขาลูกใหญ่ปากช่องโต ภายในมีถ้ำ ในนั้นมีความเยือกเย็นมาก ในถ้ำนั่นแหละ เราเรียกกันว่าโลกันตนรก มันไม่เป็นเรื่อง พูดมาแล้วนี่ ไม่ต้องแวะเข้าไปดู ตานี้มาเดินกันต่อไป จะเสียเวลา พอเดินมาถึงทาง ๔ แพร่ง ก็พบว่าท่านเทวดาอินยืนยิ้มอยู่ พวกเราก็ยกมือไหว้ท่านเสียหน่อยซี ท่านเป็นเทวดา ทั้งนี้เพราะอะไร?

    เพราะยังไงๆ ก็ตามเขาก็เป็นเทวดา ขึ้นชื่อว่าเทวดาย่อมมีความดี ๒ ประการ คือ มีหิริ และโอตตัปปะ หิริแปลว่าความอายบาปอายความชั่ว โอตตัปปะเกรงกลัวผลของความชั่ว นี่ใครจะถือว่าเป็นพระเป็นเจ้าเป็นนักบุญ นับถือพระพุทธศาสนา ไม่ควรจะไหว้เทวดา นั่นไม่จริง

    เทวดานี่ควรไหว้ เพราะเขามีความดี ถ้าหากว่าเขาไม่ดีละเขาก็เป็นเทวดากันไม่ได้ ไหว้เทวดาเถอะ ไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยที่สุดเทวดาก็มีความดีกว่ามนุษย์อยู่มาก ลาท่านเทวดาอินเสีย

    เดินเข้ามาดูบนดินแดนของมนุษย์ ภาพข้างหน้าเกลื่อนกล่นไปด้วยผี บรรดาผีทั้งหลายนี่เราเรียกกันว่า อสุรกายบ้าง สัมภเวสีบ้าง สภาพของอสุรกาย บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรามองดูแล้วจะมีอยู่ ๒ แบบด้วยกัน คือ

    แบบที่ ๑ พวกที่ ๑
    เป็นพวกอสุรกายที่ยังมีกรรมหนัก ร่างกายทรุดโทรมหน้าตาซีดเซียว เรียกว่าไม่มีความสง่าผ่าเผยผอมกะหร่อง ผมเผ้ารุงรังน่าเกลียด ไม่ใช่น่ากลัว เรียกว่าเป็นการน่าเกลียด น่าสะอิดสะเอียน อสุรกายพวกนี้มีความดีกว่าเปรตอยู่อย่างหนึ่ง คือหากินได้

    แต่ทว่าจะต้องหากินประเภทของที่เขาทิ้งแล้ว บูดเน่าแล้วอย่างซากศพ คนตาย สุนัขตาย ควายตาย สัตว์ตายหรือเศษอาหารที่เขาทิ้งไว้เน่าๆ พวกนี้กินได้ เวลาที่เราเห็นเขากิน ก็เหมือนกับเห็นว่าเรากินธรรมดามีการเคี้ยว มีการกลืนเหมือนกัน มีสภาพเหมือนว่ากินเนื้อสัตว์เข้าไป กินอาหารเข้าไปหมด

    แต่ทว่าน่าแปลกที่ซากยังเหลืออยู่ พวกนี้กินอะไร? กินอาหารที่เป็นนามธรรม คือว่ากินอาหารที่ไม่ใช่รูปธรรม พวกอสุรกายพวกนี้ต้องลำบากแบบนี้ แต่ว่าดีกว่าเปรต ยังกินได้ ที่เรียกว่าอสุรกายเพราะมีรูปร่างหน้าตาไม่สวย คอยหลบหน้าคนอยู่เสมอ มีความไม่กล้าเป็นปกติ ท่านจึงเรียกว่าอสุรกาย

    ตานี้ อสุรกายอีกพวกหนึ่ง มีความดีมาก ใกล้จะพ้นความเป็นอสุรกายแล้ว คือว่าโทษทัณฑ์ที่เป็นเศษกรรมในภาวะของการเป็นอสุรกายใกล้จะหมดไป ตอนนี้มีรูปร่างหน้าตาอ้วนท้วนใหญ่โต แต่ทว่าผิวดำมะเมื่อม อสุรกายพวกนี้มีกำลังมาก มักจะชอบรับสินบนจากชาวบ้าน แล้วก็ปลอมแปลงตัวเป็นเจ้าเข้าทรง

    บางทีก็ไปหลอกพระ พระที่มีความเข้าใจไม่ถึง ก็คิดว่าบรรดาอสุรกายพวกนี้แหละเป็นผู้วิเศษ ถ้าใครนิยมพระศรีอาริย์ เขาก็จะเข้าไปสอดแทรกแล้วก็บอกว่าเขาเป็นพระศรีอาริย์ หรือว่าใครนิยมจ้าวองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม เทวดาองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม

    พวกนี้นิยมเข้าไปแทรก บอกว่าเขาเป็นคนนั้น บรรดาพวกเข้าทรงทั้งหลาย ถูกพวกนี้ปลอมมาก เคยพบมาหลายราย พวกนี้มีรูปร่างหน้าตาแข็งแรงใหญ่โตทะมัดทะแมง ผู้พูดเองก็เคยถูกอสุรกายพวกนี้ปลอมเล่นงานอยู่หลายครั้ง แต่ก็จับตัวได้ ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะบุคคลที่เขาอ้างถึง รู้จักหมด เป็นอันว่าโกหกกันไม่ได้

    นี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย มองไปซี โลกนี้บรรดาอสุรกายทั้ง ๒ ประเภทและก็สัมภเวสีเกลื่อนกลาดไปหมด นี่หากว่าบรรดามนุษย์ทั้งหลายสามารถเห็นอสุรกายหรือสัมภเวสีได้ทุกคน หรือเปรตได้ทุกตน เปรตก็เหมือนกัน ลอยอยู่บนดินแดนของมนุษย์เกลื่อนไปหมด

    ถ้าเราเห็นได้เราก็เดินตรงทางไม่ได้ ต้องหลีกกันย่ำแย่เรียกว่า เดชะบุญนะที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทส่วนใหญ่ ไม่สามารถจะเห็นอสุรกายและเห็นพวกผีทั้งหลายได้ จึงไม่ต้องหลีกใคร เป็นอันว่าเรื่องราวของอสุรกายนี้เป็นเศษกรรมอันหนึ่ง แต่ว่าดีกว่าเปรตที่ว่ายังหากินได้

    แต่ผีระวังนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ระวังอสุรกายปลอมผู้ที่เข้าทรง นับถือจ้าว นับถือเทวดา ระวังให้มาก พวกนี้มีความรู้มากเหมือนกัน ถ้าใครตายแล้วไปเกิดที่ไหน เขาสามารถจะบอกได้ ใครบนบานศาลกล่าวอะไรใครไว้เขาก็รู้เหมือนกัน

    แล้วเขาก็มีอำนาจบางอย่างที่จะรักษาโรคได้ จะบันดาลอะไรได้บางอย่างตามสมควร แต่ว่ากำลังไม่เสมอเทวดา พวกนี้จะต้องสังเกตได้ว่าจะแสดงท่าทางผิดปกติจากพระหรือเทวดาธรรมดา

    นี่มีในที่แห่งหนึ่งเขานิยม เขาบอกว่าในก๊กของเขา หรือในกลุ่มของเขาเป็นศาสนาพระศรีอาริย์ แล้วก็กลุ่มนี้อยู่ในถ้ำๆ หนึ่งอาตมาเองไปพบ วันนั้นก็ไปคุยกัน คุยกันไปคุยกันมาก็ถึงเวลาถวายทาน พระองค์นั้นท่านบอกว่าท่านเองน่ะ เข้าถึงพระศรีอาริย์เป็นปกติ

    ตานี้เวลาถวายทาน ท่านก็ว่าอะไรของท่านพึมพำๆ ไปตามเรื่อง เวลาที่ลูกน้องเจริญกรรมฐานทำสมาธิ เขากล่าวคำให้ทานกันแล้วให้ลูกน้องทำสมาธิ เมื่อลูกน้องทำสมาธิก็ปรากฏว่าพระองค์นี้สวด นั่งสวดแทนที่จะสงบ เป็นแบบสวดมนต์ แล้วก็ใช้ภาษาที่มนุษย์ไม่สามารถจะรู้เรื่องได้

    อาตมากับเพื่อนคนหนึ่งไปร่วมในพิธีนั้น เห็นตัวดำมะเมื่อม ผลที่สุดก็ทราบว่าอสุรกาย ก็เลยเฉยไว้ เมื่อพระองค์นั้นสวดเสร็จแล้ว ถามว่าสวดทำไม เวลานี้ลูกน้องทำสมาธิท่านสวดทำไม

    เขาก็บอกว่า พระศรีอาริย์มายืนอยู่ข้างหลัง บอกให้สวด ก็เลยบอกว่าพระศรีอาริย์ที่ไหน ผมเห็นไอ้ดำมันยืนอยู่ข้างหลังท่านนี่ ไอ้ดำตัวนี้มันเป็นอสุรกาย มันปลอมเข้ามาในพิธี การสวด มันก็ไม่ถูกแบบแผน

    แบบแผนของพระพุทธเจ้าน่ะ เวลาที่ลูกน้องทำสมาธิต้องใช้เวลาสงบสงัด แต่ไอ้การทำแบบนี้มันไม่ถูกนี่ขอรับ พระองค์นั้นน่ากลัวจะไม่ชอบใจ เพราะว่าไปพูดไปว่าเขาต่อหน้าลูกศิษย์เขานี่ มันก็ไม่ดีเหมือนกัน แต่หากจะถามว่าพูดทำไม ก็เพราะว่าเป็นการผิดแนว

    ถ้าเราจะปล่อยกันไปพระองค์นั้นก็นุ่งเหลืองห่มเหลืองแล้วก็โกนหัวเหมือนกัน เขาจะหาว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาน่ะเลอะเทอะเหมือนกันหมด จึงบอกว่า ทางที่ดีละก็ ท่านควรจะทำใจของท่านให้ดีไปกว่านี้ ให้รู้ว่าใครมันไปใครมันมา

    เวลานี้ศาสนาของพระพุทธเจ้ามีนามว่า พระสมณโคดมน่ะยังไม่หมด ยังอยู่ในระหว่างเขตศาสนาของท่าน แล้วการที่จะมาประกาศศาสนาใหม่ บอกว่าเวลานี้เป็นยุคใหม่แล้วไม่ใช่ยุคเก่า เป็นยุคของพระศรีอาริย์ แบบนี้ ดูท่ามันจะไม่เหมาะ ถ้ากระไรก็ดี เราก็เป็นลูกพ่อเดียวกัน อย่าทำอะไรให้มันนอกรีตนอกรอยไปเลย นี่ว่ากันเท่านี้นะพูดให้ฟังว่าอสุรกายพวกนี้มันปลอมตัวได้ แต่ว่าถ้าคนไม่เข้าใจมันจริงๆ ละก็ มันเล่นงานเสียหลายรายแล้ว

    ต่อแต่นี้ไป ก็มาพูดถึงสัมภเวสี ประเดี๋ยวก่อน ญาติโยมพุทธบริษัท บางทีญาติโยมจะสงสัยว่า อสุรกายนี่ต้องลำบากอยู่สักเท่าไร ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายถามแบบนี้ อาตมาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกเวลาไว้ว่าจะเสวยผลประเภทนี้ไปสักกี่ปี กี่เดือน กี่วัน

    เป็นแต่เพียงท่านบอกว่า ถ้าพ้นจากสภาวะความเป็นอสุรกายแล้วก็ต้องเป็นสัตว์เดียรัจฉาน รู้กันไว้เท่านี้ก็แล้วกันนะ อาตมาจะบอกให้เลยไปกว่านี้ก็บอกได้ เป็นของไม่ยาก แต่ว่าบอกแล้วเวลาอาตมาตายไปแล้วไปลงนรกไม่บอกดีกว่า ถ้าตายแล้วต้องลงนรกนี่ไม่เอานา มันไม่ใช่ของดี

    เอาละ ต่อแต่นี้ไปก็เลยอสุรกายไปนิด ความจริงมันไม่ใช่เลย เรามายืนอยู่ในขอบเขตของเมืองมนุษย์นี่แหละ แต่ว่าเป็นผี คนพวกนี้มีอิสระ ไม่อยู่ในอำนาจของใครไม่ใช่เปรต ไม่ใช่อสุรกาย เป็นใคร? ที่เราเรียกกันว่า สัมภเวสี

    คือว่าคนที่ตายแล้วยังไม่ถึงอายุขัย เรียกว่ามีกรรมที่เรียกกันว่าอุปฆาตกรรม เข้ามาริดรอน ตัดรอนเสียตั้งแต่ยังไม่หมดอายุขัย ท่านพวกนี้เวลาตายแล้วทางนรกไม่ต้องการ ทางสวรรค์ไม่ต้องการ บุญที่ทำไว้ยังไม่ให้ผล หรือว่าบาปที่เขาทำยังไม่ให้ผล ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเรียกเข้าไปสอบสวนและจัดการลงโทษ

    มีสภาพเหมือนกับคนออกจากบ้านนี้แล้วเข้าบ้านโน้นไม่ได้ จะกลับเข้าบ้านนี้ก็ไม่ได้ เดินไปเดินมาไม่ใช่ว่าแบบหนุ่มเจ้าสำราญนะ เดินแบบลำบาก หาอะไรกินไม่ได้ ผีประเภทนี้เราเรียกกันว่าสัมภเวสี แปลว่าพวกแสวงหาที่เกิด

    หมายความว่าแสวงหาที่อยู่แน่นอน บรรดาคนที่ตายในสภาพนี้ ที่บรรดาหมอผีทั้งหลายชอบเรียกเอาไปเลี้ยงก็เพราะว่าเขาเป็นคนหิว เขาไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีอาหารเป็นเครื่องบริโภค ในเมื่อสภาพของเขาเป็นคนหิวแบบนี้แล้วใครชวนก็ไป

    ก็แบบเดียวกับเรา เราก็เหมือนกัน เมื่อที่อยู่ไม่มี ใครชวนไปอยู่ด้วยก็ไป ไปทำไม? ไปเพื่อประทังชีวิตให้มีความสุข พวกนี้ต้องการเครื่องเซ่นสรวงบูชา แล้วสำหรับคนที่ตายประเภทนี้ ที่หมอเขาบอกว่าสะเดาะเคราะห์ได้จะไม่ตาย

    นี่เป็นความจริงเพราะว่ากรรมที่กระทำให้พวกเขาตาย เรียกว่าอุปฆาตกรรม กรรมเข้ามาตัดรอนในระหว่างอายุขัย ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องตาย แต่ถ้าหากว่า เราทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะเป็นการชดเชยกับความชั่วที่จะเข้ามาริดรอนเสียได้ อายุเข้าก็จะยืนต่อไป ที่เรียกกันว่าการต่ออายุ

    แต่ทว่าการต่ออายุนี่ต้องระวังนะ ส่วนใหญ่ที่เคยได้ฟังมา มันเป็นการต่ออายุหมอไป หมอที่ทำพิธีน่ะ ได้รับการต่ออายุหมดเคราะห์ แต่ว่าคนที่เข้าไปสะเดาะเคราะห์กลับเพิ่มเคราะห์เข้ามาอีก ทั้งนี้เพราะอะไร?

    เพราะเชื่อหมอนี่ หมอบอกว่า ถ้าไม่ทำละก้อ ต้องตายเมื่อนั้นเมื่อนี่ ถ้าทำเสียแล้วจะมีความดี หมอก็ตั้งราคาไว้สูง จะต้องหาเงินให้หมดเป็นพันเป็นหมื่น พิธีกรรมก็มากมายถ้าทำไปแล้ว ถ้าไม่ถูกพิธีกรรม การสะเดาะเคราะห์นั้นไม่มีผล

    แต่เราต้องเสียสตางค์ เราเสียสตางค์ก็ชื่อว่าเพิ่มเคราะห์เข้ามา สำหรับหมอ หมดเคราะห์ไป เราเสียไปให้พันบาท เรื่องการสะเดาะเคราะห์ คือเป็นการต่ออายุ แบบนี้ระวัง ระวังต้องให้พอเหมาะพอดีกับกฎของกรรม ถ้าจะทำกันให้ถูกจริงๆ ละก็ ไปหาพระที่ท่านได้ทิพยจักขุญาณ หรือว่าอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ความจริงมันก็ไม่ต่างกัน ได้ทิพยจักขุญาณอย่างเดียวเท่านั้นเหละมันก็ได้ทั้งหมด

    เมื่อท่านทราบชัดว่า กรรมเดิมมีอะไรบ้างที่จะเข้าริดรอน ท่านก็จะสอบถามว่ากฎกรรมประเภทนี้ จะต้องชดใช้ด้วยอะไร เมื่อทราบชัดท่านก็จะบอกให้ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเฉพาะพระเท่านั้นที่จะรู้ ฆราวาสที่เขารู้ก็มีถมไป

    ฆราวาสสมัยนี้ มีความดีจนพระควรจะอายมีเยอะ มีไม่น้อย เป็นอันว่าถ้าใช้ถูกจังหวะ ราคาก็ไม่แพง และผลก็จะได้สมความปรารถนาที่เขาจะต้องตายไป ก่อนที่เขาจะหมดอายุขัย ก็เพราะไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้

    ตานี้ เรื่องการสะเดาะเคราะห์หรือการต่ออายุก็ต้องดูกันใหม่ ดูกันไปว่าควรไม่ควรเพียงใด คนที่ถึงอายุขัยแล้วต่อไม่ไหว เมื่อพูดมาถึงตอนนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่ติดตามมาทัศนาจรดูอสุรกายและสัมภเวสีอาจสงสัยว่าหลวงตาองค์นี้ น่ากลัวจะพูดผิดเรื่องเสียแล้ว พระพุทธเจ้า ไม่เคยต่ออายุใครนี่ แล้วก็ตาเถรหัวล้านนี่มาพูดกันยังไงกัน ทำไมมาแนะนำให้ชาวบ้านต่ออายุ

    ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทสงสัยตอนนี้ละก็ไปเปิดพระธรรมบทดู ที่บอกให้เปิดธรรมบทที่เขาลงท้ายว่าขุททกะ ขุททกนิกาย นิกายแปลว่าหมู่ ขุททกะแปลว่าเล็กๆ น้อยๆ คือเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋มเป็นวิชาเกล็ด ท่านพุทธโฆษาจารย์ท่านรวมไว้อีกจุดหนึ่งแล้วไปเปิดดูเรื่องอายุวัฒนกุมาร

    ว่าพระพุทธเจ้าเป็นหมดดูหรือเปล่า แล้วก็พระพุทธเจ้าเป็นนักต่ออายุคนหรือเปล่า นี่นักสมถวิปัสสนา นักเข้าวัดละมักจะสวดพระสวดคนที่เขาทำสมถกรรมฐาน เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าใครเขาดูด้วยอำนาจของญาณ ทำพิธีกรรมละบอกว่านอกรีตนอกรอย

    ทำไม่ถูก พระพุทธเจ้า สอนไว้ว่าการเป็นหมอดูเป็นไม่ได้ ทำพิธีกรรมแบบนี้ทำไม่ได้ คนเมื่อจะถึงคราวตายเป็นอำนาจกฎของกรรม ทำแล้วมันไม่ถูกนอกรีตนอกรอยนอกประเพณี นอกคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่แหละบรรดาญาติโยมคนรู้มากก็ยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ แต่ว่าคนพึ่งคลานได้นี่ซิ กลับไปด่าคนที่เขาวิ่งแข็งแล้วว่าทำไม่ถูก

    คนเกิดมาจะต้องคลานอย่างนี้ นี่ซิ มันเป็นแบบนี้ ลักษณะแบบนี้มันมีอยู่มาก อ่านหนังสือไม่ทันจะจบ ตานี้ถ้าไปดูเรื่องอายุวัฒนกุมาร อายุวัฒนกุมารนี่เกิดมาเป็นเด็กตัวเล็กๆ ยังไม่ ๗ ขวบ นั่งไม่ได้ จะต้องตายในระหว่างนั้น

    พ่อแม่ของอายุวัฒนกุมาร มีลูกเป็นคนแรก มีพราหมณ์อยู่คนหนึ่งเป็นเพื่อนกัน พราหมณ์คนนี้ แกได้ทิพยจักขุญาณ แกได้ญาณต่าง ๆ มีอตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ก็ว่ากันไปตามเรื่อง แต่ว่ากำลังญาณ กำลังญาณของแกยังอ่อนกว่าพระพุทธเจ้า แกรู้ตัวว่าแกสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ แกก็ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าดีกว่าแก

    สองคนตายายพ่อแม่ของเด็กอายุวัฒนกุมารคนนี้ ทราบข่าวว่าเพื่อนฤาษีคนนี้เข้ามาในเขตของเมือง ก็พากันไปหา เพราะเป็นเพื่อนกันมาก่อน เมื่อคุยกันด้วยดีพอสมควรแก่เวลา ท่านพ่อก็ส่งลูกให้แก่แม่ กราบลาเพื่อนกลับ เพื่อนก็บอกว่าท่านจงมีอายุยืนยาว

    ทีฆายุโก โหตุ นะ ภาษาบาลี นึกจะไม่พูดให้ฟัง เพราะภาษาบาลีมันขัดคอคนฟัง ทีฆายุโก โหตุ ท่านจงมีอายุยืนยาวเถิด ตานี้เมื่อท่านพ่อกราบลาแล้ว ท่านแม่ก็ส่งลูกให้ท่านพ่อ ท่านแม่กราบบ้าง ท่านพราหมณ์ก็ว่าอย่างนั้น ว่า ขอให้ท่านเป็นผู้มีอายุยืนยาว

    อีตอนหลัง ก็จับลูกของเขาให้กราบ ลุงพราหมณ์คนนี้แกนิ่งเฉย แกไม่พูดแบบนั้น ท่านพ่อท่านแม่แกก็สงสัยว่า เอ๊ะ ! นี่เรากราบเพื่อนของเรา บอกว่าจงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่ว่าเวลาที่เราให้ลูกชายของเรากราบ เอาละซีเพื่อนนิ่งเสีย สงสัย

    ถามว่าเวลาที่ผมกับเมียกราบท่าน ลาท่าน ท่านบอกว่าจงเป็นผู้มีอายุยืนยาว แต่เวลาที่ให้ลูกกราบทำไมจึงนิ่งเฉย ๆ ท่านพราหมณ์ก็บอกว่า ก็ลูกของแกอายุมันไม่ยาวนี่ จะต้องตายภายใน ๗ วัน ถ้าหากว่าฉันพูดแบบนั้นฉันก็พูดผิดน่ะซิ ไม่ได้แล้ว ฉันไม่พูด

    เขาก็เลยถามว่า ท่านรู้วิธีแก้ไหม ท่านพราหมณ์ก็เลยบอกว่าไอ้รู้ว่าจะตายน่ะรู้ แต่วิธีแก้น่ะ ไม่รู้หรอก คนที่รู้วิธีแก้มีอยู่คนเดียว คือรู้วิธีแก้ไม่ผิด คือพระสมณโคดม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าท่านต้องการจะแก้ไม่ให้ลูกของท่านตายละก็ไปหาพระสมณโคดมเถิด ท่านแก้ได้

    นี่คนโบราณที่เขาดีจริง ๆ น่ะเขาดี เขาไม่ได้ทะนงตัวนะ ว่าเขาดีแค่นี้ละก้อไม่มีคนดีกว่าเขา ไม่เหมือนบรรดาอาจารย์สมัยปัจจุบัน หวงลูกศิษย์กันนัก ลูกศิษย์ของตัวจะไปหาใครละบอกว่าอย่าเชียวนะ อย่า มาหาฉันแล้วจะไปหาคนอื่นไม่ได้นะ รดน้ำมนต์จากฉันแล้วอย่าไปให้คนอื่นรดเชียวนะ มาเป็นลูกศิษย์ฉันแล้ว อย่าไปเป็นลูกศิษย์คนอื่นเดี๋ยวจะพากันเลอะเทอะ ไม่ได้ของฉันเป็นผู้วิเศษ ดีไม่ดี เป่าขม่อมไปให้แล้วละก้อ อย่าไปให้ใครเป่าทับเชียวนะ ถ้าใครเขาเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ละก็อย่าเชียวแน่ะ เอาเข้ายังนั้น พรรคพวกเรามันเป็นยังงี้นะโยมนะ พรรคพวกเราเป็นแบบนี้อยู่เสมอ ที่ดีท่านก็มี ที่เป็นประเภทนี้ก็มีมาก

    ตานี้เมื่อพราหมณ์ ๒ ตายายพ่อแม่ของเด็กทราบว่า เด็กจะตายใน ๗ วัน ก็ตกใจ เพราะเป็นลูกคนแรก ลูกผู้ชายเสียด้วย ออกจากสำนักของพราหมณ์เพื่อนที่แนะนำก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

    พอไปถึงสำนักของพระพุทธเจ้า ก็ทำแบบนั้นแหละ เวลาลากลับพระพุทธเจ้าก็พูดเหมือนกับพราหมณ์ อีตอนลูกชายลาท่านก็เฉยเสีย พราหมณ์ก็ถาม ท่านก็บอกว่าลูกชายคนนี้จะตายภายใน ๗ วัน เขาก็ถามว่าทำยังไงจึงจะแก้ไขไม่ให้ตายได้เล่าพระพุทธเจ้าข้า

    พระพุทธเจ้าบอกว่าได้ ถ้าต้องการแบบนั้นได้ เพราะกรรมประเภทนี้เป็นอุปฆาตกรรม ไม่ใช่อายุขัย ถ้าอายุขัยตถาคตก็แก้ไม่ได้ คือเป็นกรรมที่เข้ามาแทรกระหว่างกลาง ซึ่งผลของความดีเด็กนี้ยังมีอยู่มาก ถ้าไม่ตายก่อน จะได้เป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา แล้วจะมีอายุถึง ๑๒๐ ปี

    แต่อาศัยเวลานี้ กรรมที่เป็นอกุศลเข้ามาริดรอน จึงเป็นเหตุให้เด็กคนนี้จะต้องตายใน ๗ วัน เมื่อเขาทราบชัดก็ถามสมเด็จพระทรงธรรมว่า ทำยังไงจึงจะไม่ให้เด็กตายพระพุทธเจ้าข้า ท่านก็ตรัสแนะว่าพราหมณ์กลับไปบ้านไปทำโรงพิธีเข้าแล้วก็นิมนต์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปนั่งล้อมเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน

    เมื่อทำได้อย่างนี้ละก็ลูกของท่านจะพ้นจากความตาย ไอ้เรื่องกลัวเปลืองไม่มีสำหรับคนที่ลูกจะตาย ก็เลยทำตามสั่ง ไปถึงก็ทำโรงพิธีเข้า นิมนต์พระไป พระสมัยนั้นมีมาก ไปนั่งล้อมกันไม่ต้องให้สายสิญจน์ เมื่อล้อมกันแล้วก็เจริญพระปริตร สวดบ้างไม่สวดบ้าง แต่ก็นั่งล้อมกันแบบนั้น พระมาสับเปลี่ยนกันไป ไม่ใช่ไปชุดเดียวแล้วนั่งเจ็ดวันเจ็ดคืน มันคงแย่เหมือนกัน

    พอถึงวันที่เจ็ดปรากฏว่าพระพุทธเจ้าเสด็จเอง แล้วเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมก็มา เทวดาก็มา แล้วคนที่จะเอาชีวิตของเด็กก็เป็นยักษ์ธรรมดา ๆ เป็นลูกน้องของท้าวเวสสุวัณณ์ อีตอนนี้เอง ในเมื่อเจ้านายชั้นผู้ใหญ่มา พลทหารก็ต้องไปยืนสุดกู่ องค์สมเด็จพระบรมครูก็นั่งอยู่จนครบรอบของวันที่ ๗

    คือเริ่มต้นของวันท่านก็ไปนั่งจนที่สุดของวันคืออรุณใหม่ เพราะว่ายักษ์ตนนี้ได้รับพรจากท้าวเวสสุวัณณ์ว่าจะมาเอาขีวิตของเด็กคนนี้ได้ภายใน ๗ วัน ถ้าเลย ๗ วันแล้วไม่มีโอกาส ฉะนั้น เมื่อแกมาคอยอยู่ ๖ วันแล้วพระก็นั่งล้อมรอบอยู่แบบนั้น แกก็เข้าไม่ได้ ได้แต่ตั้งท่าว่าพระเผลอเมื่อไรจะเอาเมื่อนั้น

    แต่พอวันที่ ๗ วันสุดท้ายแกตั้งใจว่า วันนี้จะต้องเอาชีวิตเด็กคนนี้ให้ได้ ให้มันตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะอะไร ? เพราะกรรมเดิมสร้างไว้มาก ที่เป็นปาณาติบาต แล้วความดีก็มีแยะ ในเมื่อเห็นท่าเอาไม่ได้แน่แล้วก็ต้องตั้งท่าให้พระเผลอ พระพุทธเจ้าเสด็จเสียเอง

    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมลงมา ตายักษ์คนนี้แกก็ถอยหลังลงไปพ้นเขตพรหม เทวดาลงมาแกมีบุญน้อยกว่าแกก็ถอยหลังออกไป ในที่สุดแกต้องไปนั่งอยู่ขอบจักรวาล เพราะพรหมและเทวดามาก มีปริมาณมากแล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงนั่งเสียหมดเวลา

    เป็นอันว่าเด็กคนนั้นไม่ต้องตายเกินเวลาเจ็ดวันยักษ์ทำอันตรายไม่ได้ นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ติดตามรับฟังและติดตามทัศนาจรในภพต่าง ๆ กลับมาภพมนุษย์ด้วยกัน ทราบไว้ว่ากรรมที่เป็นอุปฆาตกรรม คือบรรดาสัมภเวสีพวกนี้ ที่เดินอยู่ข้างหน้า เดินเกลื่อนไปเกลื่อนมา มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนธรรมดา

    เวลาที่เขาตาย เวลาที่ตายแต่งตัวแบบไหนนุ่งผ้าประเภทไหนก็แต่งตัวแบบนั้น แล้วก็สำรวยต่าง ๆ ท่าทางแข็งแรง แต่ดูเหมือนว่ามีความกังวลอยู่อย่างหนึ่ง คือมีความทุกข์ใจไม่รู้จะเกิดที่ไหน ไม่รู้จะพักผ่อนที่ไหนได้แน่นอน บรรดาสัมภเวสีพวกนี้มีความลำบาก นี่ถ้าหากว่าบรรดาเขารู้ในด้านการตัดอุปฆาตกรรมเสียได้แล้วละก็เขาจะมีความสุขมาก

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องนี้รับฟังไว้แล้วก็ควรจะฟังต่อสักนิดว่า ถ้าญาติของเราตาย ตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือไม่สิ้นอายุ ฟ้าผ่าตาย สุนัขกัดตาย มดกัดตาย ยุงกัดตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกยิงตาย รถชนตาย

    แต่ก็ไม่แน่นักนะ บรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่เผื่อเหนี่ยวไว้ก่อน สมมุติว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร เอาพระพุทธรูปมา ๑ องค์ นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน

    ทำเงียบๆ อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง อย่าทุบแม้แต่ไข่สักหนึ่งฟอง เมื่อทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด ถ้าทำอย่างนี้ละท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบเมื่อเข้าถึงอายุขัย เมื่อใดก็เป็นอันว่าพวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน

    สำหรับท่านอายุวัฒนะกุมารนั้น ปรากฏว่าเมื่อพ้นจากตอนนั้นมาแล้ว ถึงเวลาอายุ ๗ ขวบท่านก็เป็นสามเณร บวชเณร แล้วก็ได้อรหัตผลอยู่มาได้อายุ ๑๒๐ ปี ตรงตามที่องค์สมเด็จพระมหามุนีทรงตรัส

    เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท วันนี้ท่องเที่ยวชมกันเท่านี้ก็พอนะ เพราะเวลามันหมด เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ของสถานีเขาจะว่าเอา เกินเวลาเขาเสมอ เป็นอันว่าวันนี้พักอยู่แดนของอสุรกายอยู่สัก ๗ วัน พอครบ ๗ วันแล้วเดินกันใหม่นะ คราวนี้เดินเข้าไปหาดินแดนของสัตว์เดียรัจฉานและมนุษย์

    เอาละนี่มันก็หมดเวลาแล้วนี่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ก็นอนพักกันเสียก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .
     
  15. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๔.สัตว์เดียรัจฉาน

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย เรานอนพักกันในดินแดนของมนุษย์ แล้วก็อยู่ในระหว่างพวกสัมภเวสี อสุรกาย แล้วก็เปรตมาเจ็ดวัน ท่านทั้งหลายมีความสุข มีความทุกข์เป็นประการใด อันนี้ก็เป็นเรื่องของญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่มีโอกาสมาทัศนาจรและชมสภาวะของคนที่ตายไปแล้ว ทีนี้ ต่อจากนี้ไป เราก็มาพูดกันถึงเรื่องของสัตว์เดียรัจฉานบ้างยังเป็นอบายภูมิอยู่

    สัตว์เดียรัจฉานที่เราเห็นอยู่ที่นี้ทั้งหมดไม่ใช่ใคร เป็นคน ตั้งแต่สัตว์ตัวเล็กๆ ตั้งแต่เล็นไรขึ้นมาถึงช้าง

    สภาวะของสัตว์ มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนคน มีความต้องการเท่าคน แต่ว่าบรรดาคนทั้งหลายนี่แหละอุปโลกให้บรรดาสัตว์เหล่านั้น ที่ว่าสัตว์เหล่านี้มีสมองเล็กบ้าง มีสมองใหญ่บ้าง อะไรต่ออะไรตามเรื่องของท่าน สมมติว่าสัตว์มีความต้องการไม่เท่าคน เพราะอะไร บรรดาท่านพุทธบริษัท? เพราะว่าสัตว์เหล่านี้อกุศลกรรมความชั่วยังสนองอยู่ จึงได้มีความลำบาก

    แต่ความจริงถ้าจะว่ากันไปก็ยังดีกว่าเปรต อสุรกาย นี่กรรมมันเบาขึ้นมาแล้ว เมื่อสัตว์ประเภทนี้ตายไปแล้วจากคนไปเกิดในนรก เป็นเปรต อสุรกาย แล้วก็มาสัตว์เดียรัจฉานเป็นประเภทนี้ก็มี แล้วบางประเภทตายจากคนไปเป็นสัตว์เดียรัจฉานก็มี ตายจากพระไปเป็นเดียรัจฉานก็มี นี่เรื่องของเพศเรื่องของเครื่องแบบไม่แน่นัก อันนี้จะว่าถึงสัตว์ที่มาจากนรก

    สัตว์ประเภทนี้ต้องเสวยกฎของกรรม ตั้งแต่เป็นสัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ ต้องใช้หนี้ชีวิตสัตว์ หมายความว่าเราฆ่าสัตว์ประเภทใด ๑ ตัว เราก็ต้องให้หนี้ชีวิตเขา ๑ ชีวิต สมมติว่าเราฆ่าปลาสักพันตัว นี่เราก็ต้องเกิดเป็นปลาสักพันครั้งให้เขาฆ่าพันครั้ง อันนี้ถูกหรือไม่ถูกก็ไม่ทราบนะ

    บางทีท่านบอกว่าใช้หนี้ชีวิตมากกว่า ๑ ชีวิตก็มี เป็นว่าสัตว์ประเภทนี้มีความลำบาก ความต้องการเท่าคน เพราะอะไร? เพราะว่าเป็นคนนั่นเอง ความรู้สึกเป็นคน แต่ว่ามาอยู่ในร่างกายของสัตว์ เป็นเหตุให้คนด้วยกันมีความปรานีน้อย บางทีก็เห็นว่าสัตว์ประเภทนี้เป็นอาหารเอาไปยิงกินเสียบ้าง ยิงเล่นเสียบ้าง จนกระทั่งมีเรื่องราวกันต่างๆ นี่เพราะอะไร

    เพราะกรรมของสัตว์นั้น เคยฆ่าเขามาก่อน แม้จะอยู่ในป่าลึกสักเพียงใดก็ตามที มีคนเมตตาปรานีให้อภัยแก่สัตว์นี้ว่าไม่ควรฆ่า เลี้ยงไว้เพื่อเป็นสวนสัตว์ รักษาพันธุ์เข้าไว้ แต่มีคนใจร้ายเข้าไปยิง เขาว่าอย่างนั้นนะเขาบอกมีคนใจร้ายเข้าไปเข่นฆ่า แต่ว่าความรู้สึกของอาตมาไม่ใช่ยังงั้น ถือว่าคนที่เข้าไปฆ่านั้น เคยมีกรรมต่อกันมา คือสัตว์ประเภทนี้เคยฆ่าเขาถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแล้วเขาให้อภัยแล้วก็ยังต้องถูกฆ่า

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ที่ติดตามกันมาทัศนาจรดูฝูงสัตว์พึงเข้าใจ แล้วสัตว์ก็มีความลำบาก เพราะมีความต้องการอย่างคน แต่ความปรารถนาไม่สมหวัง ต้องการกินเนื้อเขาให้ผัก ต้องการกินเนื้อเขาให้น้ำ ต้องการอย่างโน้นเขาให้อย่างนี้ ต้องการความเป็นอยู่อย่างเป็นสุข เขาก็ให้อยู่อย่างเป็นทุกข์ นี่แหละการเกิดเป็นสัตว์มันก็ยังไม่ดี แต่ว่าดีกว่าเป็นเปรตกับอสุรกายมาก ยังพอหาอาหารกินเองได้ แล้วอาหารที่ได้กินก็เป็นเนื้อจริงๆ

    ทีนี้ เรามานั่งมองดูสัตว์กัน มองดูสัตว์ที่มีสภาวะไม่เสมอกัน สัตว์บางพวกมีคนเมตตาปรานีมาก สัตว์บางพวกไม่มีใครสนใจ นี่เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะสัตว์พวกนั้นแสวงหาเลี้ยงชีพเอง ดีไม่ดีเข้าไปในเขตของบ้านใครเขาก็ตีบ้างไล่ขว้างเอาบ้างอย่างไม่มีความปรานี ถ้ามองไปดูสัตว์อีกประเภทหนึ่ง

    แหมช่างดีเหลือเกิน เจ้าของกินน้ำพริกปลาร้า แต่ว่าสัตว์ประเภทนี้กินเนื้อมีคนเมตตาปรานีมาก แต่อย่าเข้าใจผิดนะว่ามันดีถึงที่สุด ยังก่อน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะความต้องการของสัตว์ประเภทนี้อาจจะต้องการอย่างอื่นบ้าง แต่ว่าเจ้าของคิดว่าสัตว์มีความต้องการอย่างนี้ นี่ก็มีความทุกข์ใจอยู่เหมือนกัน

    ถ้าจะถามว่าทำไมมันถึงจะเป็นอย่างงั้น ก็ตอบไม่ยาก ตอบว่าเพราะผลความชั่วน้อยลงไป อำนาจทานบารมีกับเมตตาบารมีของสัตว์นี้ที่เคยบำเพ็ญมาสมัยเป็นคนเริ่มให้ผล เริ่มมีความดีขึ้นแล้วจึงมีคนเมตตาปรานี แล้วก็สัตว์ประเภทนี้ ถ้าตายจากความเป็นสัตว์คราวนี้ก็ไปใหม่ จะไปเกิดเป็นคนหรือเกิดเป็นเทวดาก็ตามใจ ด้วยอำนาจผลบุญที่สร้างไว้ นี่เรียกว่าสัตว์ที่ตายเป็นลำดับ คือรับผลตั้งแต่นรกขึ้นมา

    ตานี้ มีสัตว์พิเศษอีกพวกหนึ่ง สัตว์ประเภทนี้ เวลาตายจากคนแล้วก็เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน อันนี้เพราะเราสังเกตได้ง่าย สัตว์ประเภทนี้มีการรู้ภาษาคนมาก เราพูดอะไรเธอจะรับฟังรู้เรื่อง สำคัญเราเท่านั้นเหละที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องของสัตว์

    ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นก็ขอตอบว่าเพราะใจเราอยากจะเป็นอย่างงั้น ใจมันเป็นอย่างไงล่ะ? เวลาจะตายใจมันอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉาน บางกรรมที่ทำไว้เกินกว่าความเป็นสัตว์เดียรัจฉาน มีความชั่วควรจะลงนรก แต่เวลาตาย ใจมันอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉานเสีย ก็เลยกลายเป็นสัตว์เดียรัจฉานไป ยังไม่ลงนรกก่อน

    ตานี้กรรมที่จะต้องทำให้ลงนรกมันยังติดตามอยู่ คอยให้ผลในชาติต่อๆไป ถ้ามีโอกาสเมื่อไรเป็นเล่นงานเมื่อนั้น เป็นอันว่าจะต้องตกนรกกันเมื่อนั้น นี่ เป็นอย่างนี้ ทำไมคนจึงอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉาน? ก็จะพูดให้ฟัง เอาตัวอย่างมาพูดให้ฟัง

    พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าจิตน่ะมีความสำคัญ ท่านพุทธบริษัทจิตมีความสำคัญมาก เวลาเราจะตาย ถ้าจิตมีความต้องการอะไร มันจะไปตามความต้องการ ถ้าเราทำความชั่วไว้มาก แต่ถ้าเวลาจะตายจิตมันเกิดมีความรู้สึกดีขึ้นมานึกถึงความดี เช่น นึกถึงคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา นึกถึงผลของทาน การให้ มีความเลื่อมใสในความดี อารมณ์เกิดผ่องใสขึ้นมา ตอนนี้บาปยังให้ผลไม่ได้ จิตไปตามกำลังของความดี ที่ตัวนึกถึงอยู่ก่อน

    ตานี้สมมติว่า ถ้าเราทำความดีไว้มาก เวลาจะตายจิตกับไปเกาะความชั่วเข้านิดหนึ่ง แล้วก็เกาะไม่ปล่อย เวลาตายต้องไปรับผลของความชั่วก่อน มีตัวอย่างคนที่จะเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่ว่าสร้างความชั่วไว้แยะ ควรจะลงนรก แต่ว่าไม่ลงนรกไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน

    ตัวอย่างก็มีว่าในสมัยก่อนนั้น สมัยก่อนที่พูดนี่น่ะ เวลานั้นมีคนอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่านายโกตุหริกะกับภรรยาคนหนึ่ง แล้วก็ลูกเล็กๆ ที่ยังเดินไม่ได้อีกคนหนึ่ง เขาอยู่เมืองๆหนึ่ง แต่ทว่าเมืองนั้นเกิดโรคระบาดที่เขาเรียกกันว่าห่าลงเมือง คือว่าโรคอหิวาต์หรือกาฬโรคนี่เอง หมอสมัยนั้นยังมีสมรรถภาพไม่ดีนัก เวลาเป็นกันขึ้นมาก็ตายกันเป็นตับ แล้วเขาก็มีประเพณีอยู่ว่า เวลาเกิดโรคนี้ขึ้นเมื่อใด ถ้าใครจะหนีโรคนี้ก็จะต้องพังฝาเรือนออก ลงทางบันไดไม่ได้โรคมันจะเห็น เรียกว่าพวกห่ามันเห็น มันจะตามมากิน

    สองคนตายายก็รวบรวมทรัพย์สินกับอาหารพอที่จะกินไปในตามทางเท่าที่จะพึงมีแล้วก็เดินไปในป่า ลัดเลาะตัดไปอีกเมืองหนึ่ง ในระหว่างทางก็ปรากฎว่าอาหารหมด คราวนี้ชักยุ่ง มันก็เกิดความหิว กำลังก็น้อยลงมา ไอ้ผัวก็เลยบอกเมียว่า ไอ้ลูกของเรานี่มันสร้างความลำบากต้องมานั่งผลัดกันอุ้ม ปล่อยให้มันตายเสียดีกว่าเรายังหนุ่มยังสาวอยู่ แล้วพี่จะทำให้ใหม่สักคนหรือจะเอาอีกหลายๆคนก็ได้ จะช่วยทำให้

    แต่ว่าเมียนี่ ขึ้นชื่อว่าแม่มีความรักลูกมาก เพราะว่าเลือดในอก จึงได้ห้ามปรามบอกว่า ทำอย่างนั้นไม่ได้ ฉันไม่ยอมให้ทำ จะฆ่าลูกไม่ได้ อีตาผัวก็ตั้งใจว่าเมื่อเผลอเมื่อไรจะจัดการกับลูกคนนี้ เพราะมันเป็นมารขวางคอไอ้เราหิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย อาหารก็ไม่มีกิน มันก็ต้องให้เราอุ้มอยู่ตลอดเวลา

    พอถึงเวลาใกล้ค่ำ เขาก็หานโยบายรับลูกมาจากเมียให้เมียเอาหาบไปหาบแทน แล้วตัวเขาเองก็เอาลูกมาอุ้ม ทำเป็นเดินช้าๆ เวลามันใกล้ค่ำ เวลามันมัวตาลงแล้ว เขาก็บอกกับภรรยาว่าปวดปัสสาวะ ประเดี๋ยวจะนั่งปัสสาวะ สักหน่อยหนึ่ง ให้ภรรยาล่วงหน้าไปก่อน

    ภรรยาก็เชื่อ พอเดินล่วงหน้าไปเขาก็นั่งข้างพุ่มไม้ เอาเจ้าเด็กคนนี้ซุกเข้าไปโคนต้นไม้แล้วก็เอาใบไม้ใบหญ้าคลุมเสีย ก็เด็กกำลังมันอ่อนเท่านั้น ประเดี๋ยวมันก็ตาย เขาก็แกล้งนั่งปัสสาวะเสียนาน แล้วเวลาเดินตามภรรยาไปก็เดินช้าๆ ไม่ยอมให้ทันเร็วนัก เพราะเกรงภรรยาจะถามความเป็นจริง ในเมื่อไปพบภรรยาเข้าก็ปรากฎว่ามันค่ำมากแล้ว ภรรยาก็ถามว่าลูก ไปไหน เขาเลยบอกว่าพี่เอาซุกเสียโคนต้นไม้โน่นแล้ว เมียก็บอกว่าไปตามกับคืนมาเขาก็บอกว่าจำทางไม่ได้แล้วมันมืด ป่านนี้มันก็คงจะตายแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน้องรัก เอาเถิดถ้าเจ้าต้องการลูกละก้อ? ถ้าอาหารมีกินสมบูรณ์เมื่อไร พี่จะจัดการสร้างลูกให้ใหม่ ตามความประสงค์ของเธอ

    เมียก็จนใจเพราะกลับไปเอาคืนไม่ได้ ก็เป็นอันว่าเลิกกัน เดินทางต่อไปรอนแรมไปในป่าสิ้นเวลาประมาณ ๗ วัน เพราะอดอาหาร เข้ามาถึงเมืองโกสัมพี ตอนนี้ก็เห็นบ้านท่านมหาเศรษฐีหรูหราใหญ่โตมีคนมาก ก็ปรึกษากัน ๒ คน ตายายว่าเรานี่อดอาหารเป็นคนจนจะเข้าไปหาบ้านคนจนก็คงไม่มีประโยชน์นัก ไปบ้านมหาเศรษฐีนี่แหละไปรับจ้างท่าน จะได้ยังอัตภาพให้เป็นไปพอมีชีวิตอยู่

    พอเรี่ยวแรงดีมีกำลังดีที่จะได้เร่งรัดสร้างลูกทดแทนลูกที่ตายไป เขาว่ายังงั้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่คงจะพูดแบบนั้นไอ้ที่พูดตรงนี้น่ะมันเลยตำราไปนิด เดี๋ยวจะหาว่าเอ๊ะนี่ตำราเขาไม่ได้พูดไว้นี่ เอามาพูดทำไมมันอยากพูดก็เลยพูดแบบนี้แหละเพราะคนเขาชอบยังงั้น เขาชอบสร้างลูกกัน แต่ความจริงตัวเองคนเดียวก็หนักอยู่แล้ว พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ภาราหเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระอันหนัก แต่ว่าคนเราไม่ชอบ มีขันธ์ ๕ หนักพอแล้ว มีขันธ์ ๕ เข้ามาอีก ๕ ขันธ์ รวมสามีหรือภรรยามันก็เป็น ๑๐ ขันธ์ หนักเข้าไปอีก ต้องการลูกอีกคน ห้าขันธ์ ขันธ์มันก็หนักกันใหญ่ เมื่อหนักมาก หนักเกินไป ดีไม่ดีไอ้ความหนักมันก็ถ่วงลงนรกไป อ้าว นี่มันเรื่องของชาวบ้าน พระไม่เกี่ยว ว่ากันต่อไป

    เมื่อเข้าไปถึงบ้านท่านมหาเศรษฐีกำลังกินข้างมธุปายาส แล้วมีสุนัขตัวเมียตัวหนึ่ง เป็นหมาตัวโปรดของท่านมหาเศรษฐี กำลังนอนอยู่ใกล้ๆ ท่านมหาเศรษฐี กินข้าวมธุปายาสไปพลางก็ส่งให้หมากินบ้างท่านกินบ้าง น่ากลัวจะมีจริยาคล้ายๆ กับคนพูด

    คนพูดนี่ก็เหมือนกัน ถ้าลงกินข้าวหรือกินขนมใกล้หมาใกล้แมวแล้วอดแบ่งไม่ได้ เพราะถือว่าเรามันเป็นเพื่อนกิน เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย เพื่อนมีความทุกข์ คือว่าหมากับแมวหรือสัตว์เดียรัจฉานทุกประเภทมีสภาวะเหมือนกับผู้พูด เสมอกัน ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีกว่ากัน สุนัขถ่ายอุจจาระมาเหม็น ไอ้เราขี้มาก็เหม็นเหมือนกัน มันก็เท่ากัน สุนัขแก่ได้ เราก็แก่ได้ สุนัขตายได้ เราก็ตายได้ สุนัขป่วยไข้ไม่สบายฉันใด เราก็ป่วยไข้ไม่สบายเหมือนกัน

    เพราะว่ากรงน่ะเขาไม่ได้สร้างให้สัตว์เดียรัจฉานอยู่ กฎหมายเขามีไว้เขาไม่ได้ลงโทษสัตว์เดียรัจฉาน พวกนี้ได้รับความปลอดภัย แต่คนพูดหรือคนฟังนี่แหละสำคัญ หรือท่านทั้งหลายที่ติดตามมาเที่ยวนี่ก็เหมือนกัน ระวังนะ กฎหมายเขามีไว้ลงโทษพวกท่าน

    ต่างกับสัตว์เดียรัจฉาน ไม่มีกฎหมายฉบับไหนสั่งให้สัตว์เข้าคุกเข้าตารางกี่ปีกี่วันกี่เดือน แต่ว่าคนนี่มีกฎหมายลงโทษ เป็นอันว่ากฎหมายนี่ให้สิทธิ์พิเศษแก้สัตว์เดียรัจฉาน แต่ว่าอย่าไปอยากเป็นเลย มาพูดถึงว่าคนอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ในเมื่อสองตายายเข้าไปหาท่านมหาเศรษฐีและสมัครทำงานกับท่าน เล่าความเป็นจริงว่าเดินมาในป่าอดอาหารมาหลายวันเพราะความยากจน เพราะโรคระบาดมันเกิด ท่านมหาเศรษฐีก็มีความเมตตา บอกว่าจะไปจัดข้าวมธุปายาสสำหรับที่ฉันกินนี่แหละเอามาให้กับสองตายายนี่ เขาจะได้กิน

    แม่ครัวก็จัดมาเป็น ๒ ส่วน มาส่งให้ ๒ คน ภรรยามีความรักสามีมาก หรือว่าจะมีความปรารถนาให้สามีสร้างลูกชดใช้ก็ไม่ทราบ ส่วนของตัวเลยไม่กิน ยั้งไว้ก่อน สามี แหมไอ้ตัวนี่ลำบากนะ ท่าจะรักเมียน้อย ผู้ชายนี่ถ้าจะรักผู้หญิงน้อยกว่าผู้หญิงรักผู้ชาย จะเหมือนกันทุกคนหรือไม่เหมือนก็ไม่ทราบ นี่เป็นข้อสังเกต

    เพราะว่าเจ้าผัวพอเขาส่งให้ก็หม่ำไม่รอ กินไม่รอ มีเท่าไหร่กินหมด เมียยังไม่กิน พอเห็นผัวกินหมดแล้วก็ส่งส่วนของตัวให้ บอกว่าขอให้ท่านจงบริโภคให้อิ่ม ถ้าหากว่าท่านมีชีวิตอยู่ฉันก็ชื่อว่ามีความสุข ถ้าหากว่าท่านไม่มีชีวิตอยู่ฉันจะหาความสุขไม่ได้

    อีตรงนี่สงสัยว่าทำไมความสุขของผู้หญิงจึงต้องอาศัยผู้ชาย แปลก บางทีพ่อเจ้าประคุณ กินเหล้าเมายา ก็เตะตุ๊บ เตะตั้บ ด่าเมียบ้าง ซ้อมเมียบ้าง แล้วบางทีก็ปล่อยให้เมียนั่งคอยจนดึกจนดื่นแต่ว่าทำไมหนอ สงสัยเหลือเกิน ทำไมเขากล่าวว่าท่านมีชีวิตอยู่ฉันก็ชื่อว่ามีความสุขทั้งๆ ที่ผัวก็ใจร้าย เอาลูกไปฆ่า ไปทิ้งให้ตายในป่า อีตรงนี้คนพูดไม่เข้าใจนะ ท่านที่ติดตามมาทัศนาจร ท่านเป็นผู้หญิง ผู้ชาย ท่านเข้าใจละก็ไม่ต้องบอกหรอก ไม่รับฟัง เพราะไม่อยากจะฟัง ไม่อยากจะเกิดมันอีกแล้ว เข็ดเต็มที

    เป็นอันว่าเจ้าผัวตะกละคนนี้เลยล่อเสีย ๒ ส่วน ของเมียก็กินหมด ของตัวเองก็กินหมด แต้ระหว่างที่เขานั่งอยู่เขากินอยู่ เขาเห็นแต่หมาตัวเมียของเศรษฐี นึกว่าหมาตัวนี้นี่มันดีกว่าเรานะ มันอยู่กับท่านมหาเศรษฐี ไม่ต้องทำงานทำการ กินข้าวมธุปายาส ท่านมหาเศรษฐีก็โปรดปราน แหมดีกว่าเรามาก

    เราเป็นคนเสียอีกข้าวมธุปายาสพึ่งได้กินครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่เจ้าหมาตัวนี้กินเป็นปกติ งานก็ไม่ต้องทำ จิตใจก็สนอยู่กับสุนัขตัวเมียเท่านั้น ล่อข้าวเข้าไป ๒ จานหมด ทีนี้ร่างกายมันเพลียอยู่แล้ว ในบาลีท่านบอกว่าไฟธาตุไม่สามารถจะย่อยอาหารได้หมด เพราะเพลียมาก กำลังไฟน่ากลัวจะน้อยไป อาหารไม่ย่อยแกก็ท้องอืดตายเสียเวลานั้นเอง

    เวลาที่แกจะตาย อาศัยที่ใจแกจับอยู่ที่สัตว์เดียรัจฉานตัวนั้น หมาตัวนั้น ไอ้จิตที่ออกจากร่างที่เรียกว่าอทิสมานกาย กายภายในทีมันออกจากร่างนั้น ก็ปาเข้าไปอยู่ในท้องหมานี่ เลยกลายเป็นลูกหมาไป เมื่อครบกำหนดแล้วก็ออกมาเป็นหมา ไม่ยักเป็นคน เห็นไหมล่ะ นี่ คนอยากเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ก็เป็นไม่ยาก พระพุทธเจ้า จึงกล่าวว่า กัมมัง สัตเต วิภัชชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์

    ไอ้กรรม คือการกระทำหรือความดีนี่น่ะ เป็นคนแท้ๆ แต่ไปสนใจกับหมา เวลาตายก็เลยเข้าท้องหมาไป เมื่อครบกำหนดหมาคลอด เจ้าลูกหมาตัวนี้มีความรู้ภาษาคนมาก ท่านมหาเศรษฐีก็โปรดปราน เรียกว่าชอบใจมันมาก ชอบใช้ชอบเรียก จะพูดอะไรมันรู้ภาษาคนมาก

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท คนเรานี่นะ ถ้าหากว่ามีเจตนาชั่วเสียอย่างเดียวเวลาตายแล้วมันเกิดเป็นคนใหม่ได้ยาก นี่ความจริงเจ้าโกตุหลิกะนี่เขาจะต้องตกนรกเพราะฆ่าลูก แต่ทว่าผลของกรรม คือจิตก่อนที่จะตายไปสนใจกับสุนัข ไปสนใจหมา (พูดว่าหมามานานแล้วนี่ จะมาว่าสุนัขกันยังไง)

    เมื่อตายแล้วเข้าไปอยู่ในท้องหมา ออกมาแล้วตัวก็เป็นหมา ตานี้เมื่อตัวเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ความรู้สึกก็เป็นมนุษย์ทุกอย่าง มีความต้องการอย่างมนุษย์ นี่ท่านจะเห็นความลำบากไหม มนุษย์เราต้องการกินอะไรบ้างล่ะ ต้องการเสื้อผ้านุ่งห่ม ต้องการทีนอนดีๆ ต้องการหมอนมุ้ง ต้องการอาหารรสเปรี้ยวหวานมันเค็ม แต่ทว่า มันไม่ได้สมความปรารถนา ถึงแม้ว่าจะมีความสุขเพราะเขาเลี้ยง แต่ก็สุขไม่พอ

    นี่ละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท จำให้ดีนะ แล้วก็หมาตัวนี้ เวลานั้น ท่านมหาเศรษฐีมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่องค์หนึ่ง เวลาที่ท่านนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็เอาหมาตัวนี้ไปด้วย ถ้าวันไหนท่านไม่ได้ไป ก็ใช้เจ้าหมาตัวนี้ไปแทน

    หมาตัวนี้ก็ไป ที่ตรงไหนที่ท่านมหาเศรษฐีเคยส่งเสียงดังๆ เป็นต้นไม้ที่เป็นพุ่มใหญ่ๆ ท่านเกรงว่าสัตว์ร้ายในจะสิงอยู่ ก็ตีพุ่มไม้ส่งเสียงดังให้มันตกใจ มันจะได้หนีไป เกรงว่ามันจะทำอันตรายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า เวลาที่ใช้เจ้าหมาตัวนี้เป็นอิสระ ไปตามโดยเฉพาะไปตามพระปัจเจกพุทธเจ้า

    ไปถึงพุ่มไม้นั้น มันก็เห่ากระโชก เป็นการไล่สัตว์ที่นั่น พอไปถึงหน้ากุฏิพระปัจเจกพุทธเจ้า มันก็เห่าบ้างหอนบ้าง เป็นการนิมนต์ นี่เขาใช้หมาไปนิมนต์พระกันนะ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทราบว่าเจ้าสุนัขหมาตัวนี้มานิมนต์ ท่านก็ออกจากกุฏิเดินตามมันไป มันก็เดินนำหน้า บางวันท่านก็ลองใจหมา ลองใจดูซิว่ามันจะรู้จริงหรือไม่จริง

    พอถึงทางเลี้ยวเข้าบ้านท่านไม่เลี้ยวแกล้งเดินตรงไป เจ้าหมาตัวนี้ก็เจ้าขวางหน้าเห็นท่านไม่หยุดก็เข้าดึงจีวร เอาปากคาบสบงบ้าง จีวรบ้าง ดึงให้เข้าทาง ได้เจ้าหมาตัวนี้มีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก เพราะว่าไปจากคน เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ากลับสู่ภูเขาคันธมาทน์ เวลาเข้าพรรษา ลาท่านมหาเศรษฐี ถ้าเวลาออกพรรษาแล้วจะมาใหม่ เจ้าสุนัขตัวนี้ มันมองพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหาะไปในอากาศ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าลับตามันไปแล้ว มันก็เลยขาดใจตาย

    อีตรงนี้ซิ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เขาขาดใจตายเพราะจิตใจจับอยู่ที่พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ จับอยู่ในความดี อาศัยที่มีอารมณ์ความดีมีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ากระทั่งถึงตัวตาย ผลบุญที่สนอง ผลบุญที่ทำความดี คือนึกถึงความดีของพระปัจเจกพุทธเจ้าบันดาลให้เขาไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีนามว่าโฆษกเทพบุตร

    เห็นไหมละ นี่หมาก็ไปสวรรค์ได้นะ ตายจากคนเป็นหมา ตายจากหมาเป็นเทวดา เป็นอันว่าหมาดีกว่าคน เอ๊ะแปลกนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่มันก็ไม่แปลก เพราะพระพุทธเจ้ากล่าวว่า เจตนาเป็นตัวกรรม

    เวลาที่เราจะตายอาศัยใจเท่านั้น ที่ชักชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทเจริญมหาสติปัฏฐานสูตรมาในพรรษาก่อน ก็เพื่อจะให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทำใจให้หยั่งอยู่ในกุศลจิต คือจิตจับในส่วนที่เป็นกุศลไว้โดยเฉพาะ ทำให้มีอารมณ์เคยชิน เมื่ออารมณ์มันชินดีแล้ว เวลาจะตายจริงๆ จิตก็จับอยู่เฉพาะแต่สิ่งที่เป็นกุศล หรืออารมณ์ที่เป็นกุศล

    เมื่อตายจากคนแล้ว เราจะเป็นเทวดาก็ได้ พรหมก็ได้ หรือว่าไปนิพพานก็ได้ สุดแล้วแต่กำลังของจิต หากว่าเราจะกลับมาเกิดเป็นคน ก็เป็นคนชั้นดี เป็นคนที่มีความสุข เป็นคนที่มีบุญญามาก จึงได้ชวนให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน และมหาสติปัฏฐานสูตร (ความจริงก็มีอรรถเสมอกัน)

    นี่แหละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทุกท่าน และบรรดาท่านทั้งหลายที่ติดตามการทัศนาจร เมื่อท่านเห็นสัตว์เดียรัจฉานแล้ว ขอได้โปรดให้ความเมตตาปรานี ถ้าเราจะให้ขนมสักนิด อาหารสักหน่อย เศษอาหารสักนิดก็ตาม ก็ให้ด้วยความปรานี อย่าให้ด้วยความจำใจ เพราะว่าการให้ทานแกสัตว์เดียรัจฉานย่อมมีผลประโยชน์เป็นความดีแก่ท่านพุทธบริษัทมาก เพราะว่าจะได้เป็นเกราะป้องกันนรกด่านแรกของเรา

    ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะทาน การบริจาคเป็นการกำจัดโลภะ ความโลภของจิต แล้วคนที่จะให้ทานได้ก็ต้องประกอบไปด้วยความเมตตาและกรุณา ตกอยู่ในอำนาจของพรหมวิหาร ๔ ถ้าคนใดจิตจับอยู่ในอำนาจของพรหมวิหาร ๔ วันหนึ่งสักชั่วขณะจิตเดียว พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “เรากล่าวว่าบุคคลผู้นั้นเป็นผู้ไม่ว่าจากฌาน” แล้วคนใดที่มีเมตตาจิตอยู่แล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า เขาผู้นั้นเป็นผู้มีอภัยทาน มีอานิสงค์มาก ตกนรกไม่เป็น

    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ชมวันนี้ก็ได้แค่นี้เท่านั้น เพราะอะไร เพราะเวลามันหมด นี่เราพักกันในดินแดนของสัตว์เดียรัจฉานสัก ๗ วันนะ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พอครบวันพุธหน้า เรามาคุยกันใหม่ ตานี้ จะได้เดินไปในดินแดนของมนุษย์ มีเรื่องอะไรควรจะเล่าให้ฟังในดินแดนของมนุษย์ ก็จะเล่าให้ฟังตามสมควรแก่เวลาและตามความรู้ที่จะพึงมีมา สำหรับวันนี้ต้องลาท่านก่อน

    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. . นรกก็มาปิดฉากกันในวันนี้ สำหรับวันนี้ก็หมดเวลาเสียแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .
     
  16. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๕.มนุษย์ กับคน

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ มาพบกันถึงเรื่องไตรภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านบรรดาพุทธบริษัทนอนพักอยู่ในดินแดนของอสุรกาย และสัมภเวสีสิ้นเวลาถึง ๗ วัน หวังว่า บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทุกท่านคงจะได้มีโอกาสสังสรรค์กับบรรดาสัมภเวสีและอสุรกายมาพอสมควร

    ท่านมองดูแล้วน่าอยู่ไหม? สัมภเวสีก็ดี อสุรกายก็ดี สัตว์เดียรัจฉานก็ดี พวกนี้ไม่ใช่ใคร เป็นมนุษย์ สำหรับวันนี้จะพาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทไปทัศนาจรดูมนุษย์กัน

    พวกเราก็เป็นมนุษย์ เขาก็เป็นมนุษย์ ทุกคนเราเรียกกันว่ามนุษย์ คนว่า มนุษย์แปลว่าเป็น ผู้มีใจสูง แต่ความจริงคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มีรูปร่างหน้าตาเป็นมนุษย์นี่ หามนุษย์ได้ยากเต็มที ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนไปเสียหมด

    คำว่า คนกับมนุษย์ไม่เหมือนกัน เพราะคนนี่แปลว่ายุ่ง มนุษย์แปลว่าใจสูง

    ผู้ที่มีใจสูงคือผู้ที่ทรงอยู่ในกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการ หรือว่าทรงศีล ๕ ประการ เรียกว่ารักษากรรมบถ ๑๐ หรือว่ารักษาศีล ๕ เป็นปกติ อย่างนี้เรียกว่ามนุษย์

    ใครที่ไม่มีกรรมบถ ๑๐ หรือว่าไม่มีศีล ๕ หรือว่ามีแต่มีไม่ครบ อย่างนี้ท่านเรียกว่าคน ถ้าหากว่ามีกรรมบถ ๑๐ หรือศีล ๕ ขาดทั้งหมดอย่างนี้ เรียกว่าคนเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากว่ามีกรรมบถ ๑๐ หรือ หรือศีล ๕ บางอย่างที่รักษาไว้ได้บ้าง อย่างนี้เรียกว่าคนไม่เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คือเป็นมนุษย์บ้าง เป็นคนบ้าง

    ท่านที่เป็นมนุษย์จริงๆ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและบุคคลอื่น เพราะเกรงว่าศีลจะขาด เกรงว่าสิกขาบทในกรรมบถ ๑๐ จะบกพร่อง สำหรับพวกคนนั้นเลวมาก เพราะว่าสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ

    เอาละเรื่องมนุษย์กับคนนี่ขอเว้นไปเสีย พูดไปก็รำคาญหูบรรดาท่านพุทธบริษัท วันนี้เรามานั่งดูมนุษย์กัน หรือมานั่งดูคนกัน ไม่ต้องเดิน ถ้าจะมองไปดูฝ่ายสูง จะเห็นว่ามีปราสาทราชวังมาก มีความสวยสดงดงาม มีความเป็นอยู่บริบูรณ์ สมบูรณ์ไปด้วยวัตถุที่เต็มไปด้วยโลกาวิสัย

    แล้วบางท่านหย่อนลงมาก็เป็นอำมาตย์ข้าราชบริพาร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นองคมนตรี เป็นองคมนตรี แล้วเป็นรัฐมนตรี เป็นปลัดกระทรวง เป็นอะไรต่ออะไร จนกระทั่งถึงเป็นเสมียน เป็นพ่อค้าคหบดี เศรษฐีมหาเศรษฐี คนยากจนเข็ญใจ จนกระทั่งถึงขอทาน และคนทุพพลภาพ

    ความจริงการเกิดมาเป็นคนหรือเป็นมนุษย์เหมือนกันแล้ว ทำไมจึงมีสภาวะไม่เหมือนกัน นี่ซิมันน่าสงสัย อันนี้ ก็อยากจะพูดให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังว่า ทำไมหนอ คนเราเกิดมาแล้วจึงมีสภาวะไม่เหมือนกัน

    บางคนสวย บางคนจน บางคนที่มีอำนาจวาสนาดี บางคนอำนาจวาสนาน้อย บางคนบริบูรณ์สมบูรณ์ บางคนบกพร่อง บางคนร่างกายอาการ ๓๒ ครบ บางคนขาขาดวิ่นไปไม่ครบถ้วน เป็นอะไร ทำไมถึงเป็นยังงี้

    ทีนี้ ถ้าหากเราเห็นสภาวะของคนไม่เสมอกันแบบนี้ ก็ต้องหันไปดูคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กัมมัง สัตเต วิภัชชติ แปลว่ากรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ กรรมอะไรเล่า บรรดาท่านพุทธบริษัท กำหมัดหรือว่ากำมือ จะเรียกว่ากำหมัดหรือว่ากำมือไปทุบไปต่อยใครน่ะไม่ใช่

    กรรมตัวนี้แปลว่าการกระทำ การกระทำของเราแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทด้วยกัน คือ ทำด้วยกาย ทำด้วยวาจา แล้วก็ทำด้วยใจ คือใจคิด ท่านเรียกว่ามโนกรรม ปากพูดเรียกว่าวจีกรรม กายทำเรียกว่ากายกรรม นี่ กรรมมี ๓ อย่าง จำไว้ให้ดี ว่ากรรม คือการกระทำ
    ใจทำ ก็หมายความว่าใจคิดอยากจะทำโน่น จะทำนี่ จะทำนั่น
    วจีกรรมก็หมายความว่าปากพูดอย่างนั้นปากพูดอย่างนี้
    แล้วกายทำก็เอามือเอาเท้าไปทำ นี่เรียกกันว่ากรรมเหมือนกัน

    กัมมัง สัตเต วิภัชชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ หมายความว่าคนที่เกิดมาในโลกนี้มีความดีความชั่วไม่เสมอกัน

    กรรมแบ่งเป็น ๒ อย่าง คือ กุศลกรรมอย่างหนึ่ง และ อกุศลกรรมอย่างหนึ่ง
    กุศลกรรมแปลว่า การกระทำด้วยความฉลาด ทำเพื่อแสวงหาความสุขใส่ตัว และแสวงหาความสุขให้แก่สังคมของโลก

    อกุศลกรรมได้แก่กระทำฝ่ายโง่ ทำเพื่อแสวงหาความสุขใส่ตัวและเบียดเบียนชาวบ้านเขา ตัวเองพลอยเดือดร้อนไปด้วย บางทีไปไหนคนเดียวไม่ได้ ต้องมีบริวารแวดล้อมเพราะเกรงอันตราย ตัวเองเป็นคนมีอำนาจวาสนา แต่เกรงอันตรายมาก หวาดหวั่นต่อความตายอยู่เสมอ และมีความมั่งมีศรีสุข มีทรัพย์มาก มีอำนาจวาสนดี แต่ก็ต้องเกรงกลัวต่อความตาย เกรงกลัวต่ออันตรายที่จะมาถึงตน

    ทั้งนี้ ก็เพราะว่าการกระทำแบบนั้นเป็นการกระทำเกี่ยวกับความโง่เป็นสำคัญ โง่ที่เห็นแก่ตัวเกินไป ไม่ยอมให้ความสุขแก่บุคคลอื่น แสวงหาความสุขเพื่อตัวหาความร่ำรวยเพื่อตัว หาอำนาจวาสนาเพื่อตัว ทีนี้ชาวบ้านเขาก็เกลียด เมื่อชาวบ้านเกลียดก็มีศัตรูมาก นี่เป็นฝ่ายอกุศลกรรม

    ตานี้ กรรมประเภทนี้ที่ทำให้คนร่ำรวยเขารวยมายังไง บางคนเราเห็นว่าเขามีความเลวมาก คนเกลียดทั้งเมือง แต่ว่าเขามีอำนาจวาสนาอยู่ได้ แล้วก็มีความร่ำรวยมาก อาศัยกรรมอะไรเป็นเหตุ?

    เรื่องของความร่ำรวยนี่ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้มาก กล่าวย่อๆ ก็คือมาจากทาน การให้ คนที่เคยให้ทานมาแล้วในกาลก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นสังฆทาน อันนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่าคนประเภทนั้นเขาจะเกิดไปสักกี่ชาติก็ตาม เขาจะมีแต่ความร่ำรวยตลอดกาล จะหาความยากจนเข็ญใจไม่ได้จนกว่าจะเข้านิพพาน

    นี่คนให้ทานครั้งเดียวนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังฆทานและให้ด้วยความเลื่อมใส ตัวอย่างคือนางวิสาขามหาอุบาสิกา ในสมัยชาติก่อนโน้น คือในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสีทศพล

    วิสาขามหาอุบาสิกาคนนี้เป็นคนจน ไม่ใช่คนรวย แต่ก็ไม่จนมาก พอทำมาหากินได้ สมัยนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรมีบริวารเป็นแสน แล้วก็มีเพื่อนหญิงของเธอคนหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นคนร่ำรวยมาก เลี้ยงพระพุทธเจ้า เลี้ยงสงฆ์ สร้างวิหารจัดของถวายตามที่เธอประสงค์ ถ้าพระสงฆ์มาในเขตนั้น ความบกพร่องทุกอย่างไม่ยอมให้มีเธอรวยขนาดนี้

    นางวิสาขาในสมัยนั้นก็มีความตั้งใจอยากจะรวยแบบนั้นบ้าง อยากจะเลี้ยงพระในพระพุทธศาสนาบ้าง อยากจะมีทรัพย์สินที่นับไม่ได้ หมายความว่าใช้เท่าไรก็ไม่หมดบ้าง

    วันหนึ่ง เธอจึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้า เข้าไปกราบทูลอาราธนาพระองค์พร้อมไปด้วยพระสงฆ์อีก ๔ รูป ให้ไปรับสังฆทานที่บ้าน จะถวายมากก็ถวายไม่ได้ เพราะเป็นคนจน ทรัพย์สินไม่มี องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงรับ

    เมื่อรับนิมนต์แล้วนางก็กลับบ้าน จัดภัตตาหารเสร็จตามที่จะหาได้ สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงเสด็จพร้อมไปด้วยพระอีก ๔ รูป เธอถวายสังฆทานเสร็จ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงโมทนาแล้วนางก็เข้าไปกราบแทบบาทมูล คือใกล้เท้าของพระพุทธเจ้า

    กล่าวคำตั้งมโนปณิธานปรารถนาว่า ด้วยอำนาจบุญบารมีที่หม่อมฉันได้ถวายสังฆทานครั้งนี้ ขอปัจจัยที่ทำแล้วในคราวนี้จงเป็นผลให้หม่อมฉันได้มีโอกาสเป็นคนบำรุงพระพุทธศาสนา มีพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ทุกรูปอย่างชนิดไม่มีสิ่งใดมีโอกาสที่จะบกพร่องได้เลย

    เมื่อเธอตั้งมโนปณิธานปรารถนาอย่างนี้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จึงได้ทรงตรวจดูด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ก็ทราบชัดว่าอีกไม่นาน ประมาณแสนกัปข้างหน้า จะมีองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม ทรงอุบัติขึ้นในโลก หญิงคนนี้ เมื่อตายจากชาตินี้ไปแล้วจะท่องเที่ยวอยู่บนสวรรค์

    เมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรมองค์นั้นเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลก เธอก็จะมาเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ในสมัยนั้น และจะมีโอกาสอังคาสเลี้ยงดูพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา มีทรัพย์นับไม่ได้ มีบิดามีนามว่าธนัญชัยเศรษฐี มีปู่มีนามว่าสุเมธเศรษฐี เมณฑกะเศรษฐี ไม่ใช่สุเมธนะ ชื่อว่าเมณฑกะเศรษฐี มีทรัพย์มากนับไม่ได้ เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ องค์พระพิชิตมารจึงได้ทรงพยากรณ์ตามนั้น

    แล้วมาในชาตินี้ เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงตรัสและประกาศพระศาสนาไปถึงกรุงราชคฤห์ แล้วก็เมืองเวสาลี นางวิสาขาคนนี้อายุได้ ๗ ขวบ เมื่อฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าคราวเดียวได้บรรลุโสดาปัตติผล แล้วต่อมาเธอเองก็บำรุงพระพุทธศาสนาอย่างที่คนอื่นบำรุงได้ยาก เพราะว่าตระกูลนี้มีทรัพย์นับไม่ถ้วน

    เวลาที่นางวิสาขาแต่งงานพ่อแม่ให้ของไปใช้ชั่วคราว ไม่พอขอใหม่ได้ ตัวอย่างเช่นให้เงินไป ๕๐๐ เล่มเกวียน ทองคำ ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองคำสำหรับใช้ ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะเงิน ๕๐๐ เล่มเกวียน ภาชนะทองแดง ๕๐๐ เล่มเกวียน อย่างนี้เป็นต้น นี่เขาไม่ได้ให้เป็นบาทเป็นสลึงกัน เขานับเป็นเล่มๆ เกวียนกัน แล้วบอกว่าถ้าไม่พอใช้จ่ายละก็มาเอาใหม่นะลูกละ

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท คนที่เราเห็นเขาร่ำรวยอยู่เวลานี้ ที่เขาเดินผ่านเราไปเดินผ่านเรามา นั่งรถยนต์คันสวยๆ มีบ้านสวยๆ มีทรัพย์สินมากๆ ก็เพราะอำนาจการถวายทานเป็นสำคัญ แล้วการถวายทานนี้จำเป็นจะต้องถวายด้วยจิตบริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทนัก

    การถวายสังฆทานเป็นการทำง่าย ถ้าเรามีทรัพย์น้อยก็แกงถ้วยหนึ่งมีกับถ้วยหนึ่ง มีขนมถ้วยหนึ่ง มีข้าวถ้วยหนึ่ง ไม่ต้องมาก ไปขอพระมาจากวัด บอกเจ้าอาวาส บอกว่าขอพระมารับสังฆทาน ๑ องค์ ท่านจะมาเองก็ตาม ให้พระแก่พระหนุ่มมาก็ตาม ให้เด็กมาก็ตาม ผู้ที่มารับถือว่าเป็นตัวแทนของสงฆ์ เราก็ตั้งใจถวายด้วยความเคารพ

    แล้วเวลาถวายไปแล้ว ก่อนจะหลับนึกถึงทานการให้ ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ นึกถึงทานกองนั้นไว้ อันนี้แหละจะเป็นปัจจัยให้ไปเกิดข้างหน้า มีทรัพย์สินมากอย่างกับคนร่ำรวยที่เราเห็นอยู่นี่ เห็นหรือยังบรรดาท่านพุทธบริษัท กัมมัง สัตเต วิภัชชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์

    คนที่เขารวยมาก เพราะว่าเขาให้ทานด้วยเจตนาสูงมาก อาตมาไม่พูดด้วยว่าวัตถุมากนะ ถ้าวัตถุมากด้วย เจตนาเป็นกุศลมากด้วยก็รวยใหญ่ ถ้าวัตถุมากแต่เจตนาเป็นโลกเกินไป ทำเพื่ออวดชาวบ้าน ว่าบุญเล็กฉันไม่ทำจะทำแต่บุญใหญ่ น้อยๆ ไม่ทำ ต้องทำให้มันมากเต็มที่ ให้สมกับฐานะของฉันแบบนี้ ให้สมกับศักดิ์ศรีที่มี นี่ทำบุญแบบนี้เป็นการปรารภโลกเกินไป อานิสงส์น้อยไม่ดี เรียกว่าทำบุญแล้วมีผลไม่คุ้มค่า

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะมีทรัพย์มากก็ตาม ทรัพย์น้อยก็ตาม ทำด้วยกุศลเจตนา จริงๆ ไม่ปรารภโลกเป็นสำคัญ อย่างนี้ทุกท่านไปเกิดใหม่กี่ชาติก็ตามที จะหาความยากจนไม่ได้ นี่เป็นตัวอย่าง

    ตานี้เมื่อรวยแล้วนะ มีทรัพย์สินแล้ว แล้วอยากเป็นคนสวยอีก คนที่จะเป็นคนสวยได้ มีอายุยืน โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียน คือคนที่มีเมตตา หน้ายิ้มอยู่เสมอ มีจิตคิดอยู่เสมอ ว่าคนก็ดี สัตว์ก็ดี เป็นมิตรของเรา จิตใจของเราสบาย ใจให้อภัยแก่คนผิด อย่างนี้เรียกว่าทรงศีลข้อที่ ๑ คือ ปาณาติบาต คือ ไม่ทำศีล ๕ ข้อที่ ๑ ให้ขาดด้วยอำนาจของการเจตนา

    คนประเภทนี้จะเกิดในชาติใดก็ตาม รูปร่างหน้าตาสะสวย แล้วก็มีอายุยืนนาน โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียน ซึ่งตรงกันข้ามกับคนละเมิดศีลข้อ ๑ ที่เรียกกันว่าปาณาติบาต ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คิดประทุษร้ายบุคคลอื่น คนประเภทนี้เกิดมาแล้วรูปร่างหน้าตาไม่สวย แถมมีอายุไม่ยืนนัก อายุไม่มากนัก มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอยู่เสมอเป็นปกติ อย่างกับคนพูดนี่แหละ

    ดูตัวอย่างอาตมา นี่ความจริงถ้าเทศน์เขาห้ามปรารภตัวเองนะ แต่นี่ชี้ให้ดูว่าคนพูดนี่เลวมามาก เกิดมาชาตินี้ทั้งชาติหาความสุขกายไม่ได้เลย โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอยู่ตลอดเวลา ใครจะหาเทศน์ปรารภตัวเองเป็นสำคัญก็ตามใจ เวลาพระพุทธเจ้าท่านเทศน์ ทำไมท่านปรารภตัวท่านได้ล่ะ เมื่อท่านเทศน์แล้วท่านก็บอกว่าคนนั้นเกิดมาเป็นตถาคต คนนี้เกิดมาเป็นตถาคต เป็นตัวท่านเอง ท่านคุยเรื่องความดีของตัวท่านได้ อาตมาผู้พูดก็คุยเรื่องความชั่วได้ มันจะเป็นอะไรไป ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ไม่เมื่อยปากก็ตามใจ

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย นั่งดูแล้วก็เลือกเอานะ อยากจะเป็นคนรวยก็ให้ทานด้วยเจตนาดี ถ้าเรามีโอกาสถวายสังฆทาน ถ้าหากว่าจะให้ทานเป็นส่วนสาธารณประโยชน์แก่ประชาชนก็ได้ เป็นทานเหมือนกัน เป็นความดีเหมือนกัน แต่ค่าต่างไปนิดหนึ่ง

    แต่ความจริงก็ควรจะทำทั้งสองฝ่าย อย่างถวายทานแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานี่เป็นอานิสงส์สูง อีกส่วนหนึ่งที่ไม่ควรจะทิ้ง คือสงเคราะห์คนยากจนเข็ญใจ สงเคราะห์สัตว์เดียรัจฉานที่มีความลำบาก สร้างโรงพยาบาล สร้างถนน สร้างศาลาบ่อน้ำเป็นสาธารณะ อันนี้เป็นการผดุงความสุข เป็นส่วนสาธารณประโยชน์ อันนี้ไม่ควรจะเว้นเสีย

    ไปดูต่อไปอีกนิด ดูคนบางคนที่ถูกลักถูกขโมยถูกปล้นถูกโกงอยู่ตลอดเวลา แต่บางคนเขาเกิดมาแล้วบ้านไม่เคยต้องใส่กุญแจ ไปไหนก็ได้ ของไม่เคยหาย ไม่ต้องมียามนี้มีอะไรเป็นอานิสงส์ จะพูดให้ฟัง พูดแล้วเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจ ไม่ชอบใจก็เป็นเรื่องของท่าน คนพูดมีหน้าที่พูด ไม่ได้พูดให้ใครเชื่อ แล้วก็ไม่ได้พูดบังคับให้ใครฟัง เอาละจะพูดให้ฟัง

    คนที่ต้องถูกลักถูกขโมยมาก ในชาตินี้ถูกโกงมาก จำไว้ให้ดีนะบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะเราเองผู้ถูกกระทำได้ทำไม่ดีไว้ในกาลก่อน คือไม่รักษาศีลข้อที่ ๒ ที่เรียกว่า อทินนาทาน เราชอบลักชอบขโมยเขา ชอบคดโกงชอบยื้อแย่งเขา ตานี้เราเกิดไปกี่ชาติๆ กรรมนั้นมันก็ตามสนอง เพราะเป็นเศษกรรม นี่เราพูดกันถึงแค่มนุษย์นะ เรื่องนี้ผ่านนรกมาแล้ว

    ตานี้บางคนที่ทรัพย์สินวัวควายข้าวของทั้งหลายมีอยู่ บ้านไม่ต้องใส่กุญแจ ประตูไม่ต้องปิด มีควายไม่ต้องมีใครดู มีทรัพย์สินไม่ต้องมียาม แต่ของเขาก็ไม่รูจักหาย เป็นเพราะอะไรเป็นสำคัญ เรื่องนี้องค์สมเด็จพระทรงธรรมกล่าวว่า อาศัยที่ในชาติก่อนเขาไม่เคยลักเคยขโมยใคร รักษาศีลข้อที่ ๒ อย่างเคร่งครัด

    นี่องค์สมเด็จผู้ทรงสวัสดิ์จึงกล่าวว่า เกิดมากี่ชาติก็ตาม ทรัพย์สมบัติเขามีสภาพเยือกเย็น ไม่ต้องสลายไปเพราะอำนาจโจรภัย อัคคีภัย วาตะภัย และอุทกภัย โจรภัย คือมีคนลัก คนขโมย คนยื้อแย่ง อัคคีภัยไปไหม้ วาตะภัยลมพัดให้พัง อุทกภัยน้ำท่วมให้เสียหาย ภัยประเภทนี้ไม่มีเพราะคนที่รักษาศีลข้อที่ ๒ คือไม่ลักไม่ขโมยใคร

    ทีนี้ไปนั่งดูคนอีกประเภทหนึ่ง คนบางประเภทนะ แบ่งเป็น ๒ พวกด้วยกัน พวกหนึ่งมีบริวารดีเหลือเกิน มีผัวก็ดี เมียก็ดี มีลูก มีหลาน มีเหลน ข้าทาสหญิงชาย มีญาติผู้น้อยผู้ใหญ่เป็นคนดีหมด เรียกว่าซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน คนอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่ยังงั้น มีผัว ผัวก็นอกใจ มีเมีย เมียก็นอกใจผัว มีลูกก็ว่าไม่ได้ ไม่มีใครซื่อสัตย์สุจริต คนสองประเภทนี้ มีอะไรเป็นปัจจัย

    จะขอพูดให้ฟังอย่างย่อๆ คือคนประเภทแรกที่มีผัวก็ดี เมียก็ดีซื่อสัตย์ต่อกัน มีลูกก็ว่านอนสอนง่าย ข้าทาสหญิงชายญาติพี่น้องพวกพ้องก็รู้สึกว่าสุจริต ไม่ทุจริตต่อกัน ท่านประเภทแรกนี้นั้น ท่านกล่าวว่าในชาติก่อนเป็นคนซื่อตรงต่อสามีและภรรยา ไม่นอกใจกัน มีความรักรักเดียวเป็นสำคัญไม่มีความรักเป็นรักที่สอง จำไว้ให้ดีนะ

    สำหรับคนประเภทที่ ๒ นั้น ที่เรียกว่ามีใครก็ปกครองไม่ไหว เพราะในชาติก่อน ตัวเองนั่นแหละมีความไม่ดีเข้าไว้ ไม่ซื่อครองต่อคู่ครอง ไม่ซื่อตรงต่อคนรัก มีสามีแล้วก็ย่องไปหาความสุขภายนอก มีภรรยาแล้ว ก็ย่องไปหาความสุขภายนอก ความสุขในด้านกามารมณ์ เรียกว่านอกใจผัว นอกใจเมีย นี่เกิดมาในชาตินี้ จะปกครองใครไม่ไหว ไม่ว่าใครก็เป็นคนดื้อไปหมด ไม่เหมือนกับคนที่เขาซื่อตรงต่อกัน จะว่าหรือไม่ว่า จะเตือนหรือไม่เตือนคนของเขาก็เป็นคนดีหมด อยู่ในโอวาท สิ่งใดที่เป็นเครื่องหนักใจเขาไม่ทำกัน นี่เพราะอานิสงส์ในการรักษาศีลข้อที่ ๓ ที่เรียกว่า กาเม

    ทีนี้ คนอีกประเภทหนึ่ง พูดแล้วไม่ว่าพูดอะไร ใครเชื่อทุกคน วาจาของเขาศักดิ์สิทธิ์ แต่บุคคลอีกประเภทหนึ่ง จะพูดเท่าไรก็ตาม ไม่มีใครเชื่อ ทั้งๆ ที่พูดตามความเป็นจริงก็หาคนเชื่อหาคนเคารพในวาจาได้ยาก อันนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า คนที่พูดแล้วใครชอบฟัง ชอบเคารพ ชอบเชื่อ เพราะในชาติก่อนเขาไม่เคยโกหกใคร สำหรับคนที่พูดอะไรใครไม่ยอมรับฟัง คนประเภทนี้ ในชาติก่อนชอบโกหกมดเท็จชาวบ้านไม่กล่าวตามความเป็นจริง

    ตานี้ มาคนอีกพวกหนึ่ง ชอบบ้าเป็นปกติ สติสัมปชัญญะไม่ค่อยสมบูรณ์ป้ำๆ เป๋อๆ บ้าง บางทีถึงคลั่งไม่ได้สติไปเลย บางคราวก็ขี้หลงขี้ลืม คนประเภทนี้มาจากอำนาจของการดื่มสุราเมรัย ดื่มมากก็เป็นคนมีสติน้อย ขอโทษ ถ้าดื่มพอสมควรเป็นคนมีสติน้อย ถ้าดื่มมากกลายเป็นคนบ้าไป ซึ่งตรงกันข้ามกับคนบางประเภทที่เขามีสติสัมปชัญญะดี มีความสมบูรณ์ไปด้วยสติปัญญา ความทรงจำดี คนประเภทนี้ ในชาติก่อนเขาไม่ดื่มสุราและเมรัย เกิดมาในชาตินี้จึงเป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีกำลังใจมั่นคงทรงสมาธิได้อย่างง่ายๆ

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ จำแนกคนให้ฟังว่าทำไมคนจึงมีภาวะไม่เสมอกัน ที่กล่าวนี้กล่าวตามกระแสพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทรงธรรมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวไว้

    บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ชมแล้วจำเข้าไว้ด้วยจะเอาแบบไหนก็เลือกเอาแบบหนึ่ง จะเอาแบบดีก็ได้ จะเลือกเอาแบบที่ไม่ดีก็ได้ ตามใจท่านที่ต้องการ จะให้อาตมาไปกะเกณฑ์พุทธบริษัททุกท่านว่าเอาอย่างนั้นก็ดีอย่างนี้ก็ดี อย่างนี้ไม่บอก เพราะประเดี๋ยวจะไม่ถูกใจ

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ชมกันมาชมกันไปก็หมดเวลาที่จะชมแล้ว สำหรับวันนี้ ก็ต้องลาท่านพุทธบริษัทกลับก่อน ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอย่าเพิ่งกลับบ้าน นอนอยู่กลางลานนี่แหละ

    วันพรุ่งนี้มาชมความดีของคนต่อไป เอาเวลาฟังหมดแล้วนี่ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .
     
  17. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๖.เมืองมนุษย์

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย อาตมาปล่อยให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนอนอยู่กลางลานเมืองมนุษย์มา ๗ วัน นั่งดูคนพอใจหรือยัง ความจริงท่านอยู่บ้าน ท่านก็เห็นคนอยู่แล้ว แต่ท่านอาจจะไม่ได้ถึงกฎของความเป็นจริงว่าทำไมคนถึงได้มีความสุข ทำไมคนถึงได้มีความทุกข์ อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทก็คงจะพอใจหรือว่าเข้าใจบ้าง

    เรื่องเข้าใจหรือไม่เข้าใจนี่อีกเหมือนกัน วันนี้มาดูผลของคนกัน สิ้นเวลาเพียง ๒๕ นาทีเศษๆ จะว่ากันถึง ๓๐ นาทีก็ดูเหมือนว่าจะเกินเวลาไปนิด เพราะเคยล่วงเวลาเขามาบ่อยๆ

    มานั่งดูคนกันว่าคนที่เขาสวยจริงๆ นั้นเขาทำกันยังไง คนสวยชั้นยอดนะ มีคนชอบเรียกว่าสวยชั้นยอด เรื่องความไม่สวยไม่มี นี่เอากันแค่ร่างกายนะ (อย่าล้วงเข้าไปถึงในกระเพาะตับไตไส้ปอดไม่เอากัน) ร่างที่มีรูปร่างไม่เปลี่ยนแปลง หมายความว่าถ้าคลอดบุตรคนแรกสวยขนาดไหนก็ยังเป็นสาวขนาดนั้น เราจะสวยต่อไปจนกระทั่งถึงวันตายไม่มีการแก่ ตัวอย่างก็คือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา

    นางวิสาขานี้ทำงานเป็นตัวอย่างไว้มากคือเรียกว่าเธอสวยด้วยอำนาจเบญจกัลยาณี ตามที่เขากล่าวเป็นคำพังเพยไว้อย่างนี้ ว่าหนึ่งงามผมสมพักตร์ลักขณา งามโอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา งามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด ผิวทัดกณิการ์งามราศี คลอดบุตรสักเท่าใดวัยยังดี หญิงเช่นนี้ใครได้มางามหน้าเอย นี่เจ้าคุณราชเมธี วัดประยุรวงศาวาส ท่านแต่งเป็นคำกลอนไว้

    คำว่างามผมสมพักตร์ลักขณา ก็เพราะว่าผมนี่น่ะ จะเรียบอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราต้องการให้เป็นคลื่นก็จะเป็น แล้วก็เรียบสนิท ไม่ต้องหวี ไม่ต้องแต่ง แล้วก็จะยาวไม่มาก ถ้ายาวไปถึงเอวก็จะช้อนงอนขึ้น ไม่ลากดิน แล้วผมก็ไม่เหม็นสาบเหม็นสาง ไม่ต้องสระไม่ต้องล้าง ไม่ต้องฟอก ดีไหม? เรียกว่าช่วยค่าครองชีพได้มาก

    สองโอษฐาจิ้มลิ้มดูพริ้มเพรา ริมฝีปากแดงระเรื่อ ไม่แดงมากนัก แล้วเรียบ ไม่มีริ้ว ไม่รอย ปากสวย

    ข้อสามงามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด ฟันนี่ไม่ต้องใช้แปรงสีฟัน ไม่ต้องตัดไม่ต้องแต่ง เรียบแล้วแลดูเป็นเงาเหมือนมุกน่าชมน่ารัก

    ผิวทัดกณิการ์งามราศี ขึ้นชื่อว่าผิวนี่ไม่มีไฝไม่มีฝ้า ถ้าขาวก็ขาวเนื้อละเอียดดี ถ้าดำก็ดำนวลๆ เรียกว่าพอสวยสำหรับในสมัยที่เขาต้องการ

    ข้อที่ห้าว่าคลอดบุตรสักเท่าไร วัยยังดี หมายความว่าเวลาที่คลอดบุตรคนแรกอายุเท่าไร นางวิสาขาคลอดบุตรคนแรกอายุ ๑๖ ปี แล้วนางก็เลยเป็นสาวแค่ ๑๖ อยู่แบบนั้น ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไปจนกระทั่ง ๑๒๐ ปี ระหว่างนั้นนางวิสาขามีบุตรหญิง ๑๒๐ คน แล้วก็มีบุตรหญิงของนางวิสาขาคลอดบุตรมาอีกคนละ ๒๐ คน

    ระหว่างที่บรรดาหลานๆ เป็นสาวคราว ๑๕–๑๖ นางวิสาขานั่งอยู่ในระหว่างท่ามกลางหลาน ท่านชีวกโกมารภัจ เรียกว่าเธอสาวเท่าอายุ ๑๖ ตลอดกาล นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท นางวิสาขาทำบุญอะไรไว้จึงได้สวยขนาดนี้ สาวขนาดนี้ แล้วความสาวความสวยไม่เปลี่ยนแปลง

    ท่านกล่าวถึงอานิสงส์ไว้ว่า ในชาติก่อนนางวิสาขาซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ทรุดโทรม ที่มีเนื้อแตกหนังแตก คือมีผิวแตกทองลอกไปเสียแล้ว นางวิสาขาซ่อมพระพุทธรูปด้วยกุศลเจตนาจริงๆ เกิดมาชาตินี้จึงกลายเป็นคนสวย แล้วนางวิสาขามีเครื่องประดับ ประกอบไปด้วยแก้วเพชรนิลจินดาและทองคำ เสื้อคลุมตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า มีนกยูงรำแพน มีแก้วมณีตั้ง ๒๐ ทะนาน แล้วมีแก้วประพาฬ แก้วอินทนิลอะไรต่อมิอะไรอีก เสื้อตัวนั้นไม่มีด้ายเลย ที่เขาทำเป็นด้ายก็ทำด้วยเงินหรือเป็นทองคำ

    ทั้งนี้ เพราะอาศัยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ชมกันเสียให้ดี ดูกันเสียให้ดีว่า นี่เขาทำความดีประเภทไหน ทำไมเขาถึงสวยอย่างนี้ ต้องการไหม?

    ถ้าต้องการก็ทำตามเขา ตานี้ จะพาไปดูคนอีก ๒ ประเภท ถ้าเวลาพอ หรือว่ามากกว่านั้นก็ได้ ชมกันแค่ ๒๐ นาทีเศษๆ ไม่เต็ม ๓๐ นาทีนัก ไปดูคนอีกประเภทหนึ่ง

    คนประเภทนี้ บรรลุอรหัตผลได้ง่ายดายเหลือเกิน เพียงฟังเทศน์ครั้งแรก ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล พระพุทธเจ้า เทศน์ให้ฟังสั้นๆ เรียกว่า อนุปุพพิกถา ฟังง่ายๆ สั้นๆ ให้เวลาเพียง ๑๐ นาที เขาก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล พอฟังเทศน์เดียวกันอีกครั้งหนึ่งได้เป็นอรหันต์เลย ง่ายจริงๆ เขาทำยังไง จะเล่าให้ฟัง

    ท่านผู้นี้ มีนามว่าพระยส ภาษาบาลีเรียกว่า ยะสะ อ่านเป็นภาษาไทยเรียกว่าพระยส เกิดมาในชาตินี้มีบ้าน ๓ หลัง หลังละ ๗ ชั้น เป็นลูกมหาเศรษฐีหลังหนึ่งอยู่ในฤดูร้อน อีกหลังหนึ่งสำหรับอยู่ในฤดูฝน อีกหลังหนึ่งสำหรับฤดูหนาว

    แล้วก็ในบ้านที่อยู่นั้นบริบูรณ์สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สินทุกอย่างมีหญิงสไหรับบำเรอเพื่อความสุขเยอะแยะนับไม่ถ้วน เพราะไม่ได้นับมา ความจริงถ้าจะนับก็นับถ้วนแต่มองไม่เห็น เลยไม่ได้นับ เรียกว่านับไม่ถ้วน เพราะไม่ได้นับนี่ แล้วก็ทุกวันมีสตรีขับประโคมเครื่องดนตรีตลอดเวลา นี่เรียกว่าได้ความสุขในด้านกามารมณ์ ท่านพระยสนี่มีความสุขสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ว่าอาศัยอานิสงส์เก่าเข้าบันดาลใจ

    วันหนึ่งท่านกลับเห็นบรรดาสตรีสาวสวยทั้งหลายเป็นซากศพไป จึงได้ออกจากบ้าน คิดว่าที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ เราไม่เอาแล้ว เปิดดีกว่า ออกจากบ้านสวมรองเท้าได้ก็เดินเข้าป่าไป ไปพบองค์สมเด็จพระจอมไตรเดินจงกรมดักหน้าอยู่

    เสียงแกประกาศเรื่อยไปว่า ที่นี่ขัดข้อง ที่นี่วุ่นวายองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงทรงเรียกว่า เธอจงมาที่นี่ยส เธอจงมาที่นี่ ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่ไม่วุ่นวาย ท่านเข้าไปใกล้ ถอดรองเท้าแล้วก็ถวายนมัสการ

    องค์สมเด็จพระพิชิตมาร จึงทรงเทศน์อนุปุพพิกถาง่ายๆ ๕ ข้อ พอฟังจบก็เป็นพระโสดาบัน ตอนเช้าพ่อออกไปตาม ไปพบพระพุทธเจ้าเข้า ก็ไปถามพระพุทธเจ้าว่าเห็นลูกชายเดินมาทางนี้ไหม พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า เรื่องลูกชายไม่สำคัญ ฟังเทศน์ก่อนซิ

    แหม พระพุทธเจ้า นี่ท่านเทศน์ง่ายนะ ไม่ต้องรอเครื่องกัณฑ์ ไม่เหมือนอาตมาเทศน์ อาตมาเทศน์ ญาติโยมต้องหาเครื่องกัณฑ์มาติด แต่ความจริงก็ไม่ได้ติด เขาติดเครื่องกัณฑ์หรือไม่ติดน่ะ ไม่ใช่เรื่องของพระ ไม่ใช่ไปนับเครื่องกัณฑ์ว่า บ้านนี้รวย เขาถวายเครื่องกัณฑ์มาก จะไปเทศน์ บ้านนี้จน ไม่ยอมไปเทศน์ ไม่ใช่ยังงั้น ไม่เคยคิดอย่างงั้น หรือว่าพระองค์ไหน ท่านจะคิดบ้าง ก็เป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของอาตมาจะไปคิดด้วย

    พระพุทธเจ้า เทศน์กัณฑ์เดียวกันคืออนุปุพพิกถา ท่านพ่อของพระยสก็เป็นโสดาปัตติผล พระยสนั่งอยู่ข้างหลังฟังอีกทีเดียวเป็นอรหัตผล ง่ายจัง ตานี้ เรามาดูประวัติเดิมว่าเขาทำบุญอะไรมา ถอยหลังลงไปอีกชาติหนึ่ง พระยสนี่มาจากสวรรค์ ถอยจากสวรรค์ลงไปหามนุษย์ พระยสนี่ทำบุญไม่มาก คือว่าสมัยที่เป็นมนุษย์ท่านเป็นสัปเหร่อสาธารณะ หมายความว่าใครเขาตายกัน ถ้าไม่มีสัปเหร่อ หรือไม่มีเงินจ้างสัปเหร่อก็เป็นให้

    มาวันหนึ่งท่านกับเพื่อนและบรรดามารดาบิดาทั้งหลายอยู่ที่บ้าน วันนั้นมีคนเขามาส่งข่าวบอกว่ามีหญิงมีท้อง ตั้งครรภ์นะไอ้ท้องน่ะมีด้วยกันทุกคน เขาตั้งครรภ์มีบุตรในท้องตายลอยน้ำมา มาพักอยู่ที่ตลิ่งใกล้ๆ บ้าน ขอให้พระยสกับเพื่อนของท่านพากันเป็นสัปเหร่อนำไปเผา

    ท่านทั้งหลายเหล่านี้รวมกัน ๕๕ คน เป็นสัปเหร่อสาธารณะได้ทราบข่าวก็ไม่รังเกียจ รีบไปจัดการเอาศพไปวางบนเชิงตะกอน เอาฟืนเข้ามาใส่แล้วก็เผา แต่อีตอนเผานั่นเขาจะนิมนต์พระมามาติกาบังสุกุลหรือเปล่าไม่ทราบ เกิดไม่ทัน ตอนนี้ไม่รู้

    รู้แต่ว่าท่านทำด้วยจิตเมตตาด้วยความสงเคราะห์จริงๆ ไม่หวังค่าจ้างรางวัล เวลาใส่เชิงตะกอนใส่ไฟลุกแล้วก็กลับมาบ้าน ปรากฏว่าศพไม่ไหม้ตามที่ต้องการ มีคนเขามาแจ้งบอกว่าศพนี้เผาไม่ไหม้ ท่านกับเพื่อนก็ไปใหม่ เอาไม้แหลมแทงลงไปให้น้ำในร่างกายของสตรีที่ตายนั้นตกลงมา ไอ้เยื่อมันทั้งหลายสิ่งโสโครกก็ไหลออกมา

    เกิดนิพพิทาญาณ พิจารณาเห็นว่าร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ที่เราเห็นว่าสวยสดงดงาม ความจริงภายในเต็มไปด้วยของโสโครก มีอุจจาระ มีปัสสาวะ มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ไขมันต่างๆ ที่เรารังเกียจ มันมีอยู่ในร่างกายของคน

    ทุกคนพิจารณาเห็นสภาพเป็นอย่างนั้นแล้วมานึกอยู่เสมอ เออ ร่างกายของคนมันมีอยู่แค่นี้นะ มันดีอยู่แค่หนังกำพร้าภายนอกเท่านั้น ส่วนข้างในนี่ซีดูไม่ได้เลย นี่เรามานั่งรักซากศพกันแท้ๆ เรามานั่งรักสิ่งโสโครกกันแท้ๆ ความจริงสมัยนั้นท่านก็คิดเป็นบางขณะ ไม่ใช่ละภรรยาเสียเลย ยังอยู่เป็นคู่ครองกันต่อไป

    แต่อานิสงส์ที่มีนิพพิทาญาณชั่วขณะเดียวเท่านั้นไซร้ นะ (นี่จะว่าเป็นทำนองนักเทศน์ไปเสียแล้ว) เพราะอาศัยที่ท่านมีนิพพิทาญาณชั่วขณะ มีจิตน้อมไปในกุศล มีจิตเมตตาเป็นสาธารณะ คือหมายความว่าไม่จำกัดบุคคล

    ฉะนั้นเมื่อตายจากชาตินั้นแล้ว อานิสงส์เมตตาที่เป็นสัปเหร่อสาธารณะบันดาลให้ท่านไปเกิดเป็นเทวดาพร้อมด้วยพวก คือ บิดา มารดา ภรรยา แล้วก็เพื่อนอีก ๕๕ คน ที่ร่วมมือกัน ไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก

    เมื่อเวลากาลที่พระพุทธเจ้าลงมาเกิดจากชั้นดุสิต ท่านก็มาบ้าง เมื่อมาแล้วปรากฏว่ามีทรัพย์สมบัติมากเป็นลูกมหาเศรษฐี เพราะอำนาจความดีที่มีเมตตาเป็นสาธารณประโยชน์ แล้วก็ได้มีโอกาสฟังเทศน์ครั้งเดียว เป็นพระโสดาบัน แล้วก็อีกครั้งหนึ่งเป็นอรหัตผล

    นี่แหละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน การเป็นพระอรหันต์เห็นของไม่ยาก ถ้าเราฉลาด นี่เวลานี้ ถ้าเราฉลาดเองไม่พอ พระพุทธเจ้า ก็บอกแนวของความฉลาดไว้แล้ว ถ้าเราพอใจธรรมปฏิบัติที่เป็นกุศลส่วนใดส่วนหนึ่งเข้าไว้ เรารับผลของความดีส่วนนั้นบนสวรรค์ แล้วอีกชาติเดียว เราไปพบพระพุทธเจ้าเข้า

    คืออีกไม่นานพระศรีอาริย์ก็ทรงตรัสเราฟังเทศน์แบบนั้น พระพุทธเจ้า ท่านรู้อัธยาศัยของคนว่า เรามีอัธยาศัยเป็นแบบไหนท่านก็เทศน์ตามอัธยาศัย ไม่ช้าไม่นานเท่าไหร่ก็ได้อรหัตผลไปนิพพาน นี่เรื่องของการเป็นพระอรหันต์เป็นไม่ยาก ถ้ารู้จักเหตุนะ

    ทีนี้ จะพูดให้ฟังอีกสักเรื่องหนึ่ง หรือปรากฏว่ามีค้างคาว ๕๐๐ ตัว เรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทก็ฟังมามากแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้เขาจะบันทึกไว้เป็นตัวหนังสือ จะนำไว้เป็นตัวอย่างว่าวิธีเข้านิพพานแบบลัดๆ ไม่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยกันกี่ชาติกี่กัป เพราะเราไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิเอากันแบบลัดๆ สบายๆ หากันกันแบบสบายๆ ค้างคาว ๕๐๐ ตัวนี่อยู่ในถ้ำ ในสมัยพระพุทธกัสสป เวลานั้นพระสงฆ์ทั้งหลายท่องปกรณ์ ๗ ประการ คือพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์

    เมื่อท่องแล้วก็ไปซ้อมเพื่อความคล่องแคล่วสำหรับไว้เจริญไม่ใช่ว่าสำหรับสวดผี สำหรับไว้พิจารณาและสำหรับไว้ปฏิบัติ บรรดาค้างคาวทั้งหลายเหล่านั้นเวลากลางวันนอน เอาเท้าจับหัวห้อยไม่ทราบว่าเป็นเพราะกรรมอะไร (อย่าไปถามเข้านะ ถามเข้านะ ถามแล้วก็ตอบไม่ได้)

    เมื่อฟังเสียงพระท่านสวดพระอภิธรรม เสียงท่านว่าพร้อมๆ กัน ทำเสียงให้สม่ำเสมอกันฟังแล้วก็เพลิน ไม่รู้หรอกว่าเขาสวดเพราะเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เพลินในเสียง ชอบใจในเสียง เพลินไปเพลินมาขาก็เลยหล่น หล่นจากที่เกาะ ลงมาตายพร้อมกันทั้ง ๕๐๐ ตัว อาศัยที่จิตเป็นกุศล ฟังเสียงพระอภิธรรมชอบใจ

    ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าคนที่เขาว่านั้นเป็นพระหรือเป็นใคร เสียงนั้นจะเป็นเสียงพระอภิธรรมหรืออะไรไม่รู้เรื่อง แต่ว่าพอใจในธรรม เมื่อหล่นลงมาตายทั้ง ๕๐๐ ตัว ก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลกหมดด้วยกันเป็นเทพบุตร

    สมัยที่พระพุทธเจ้าลงมาตรัส บรรดาเทวดาพวกนั้นก็จุติ คือตายจากเทวดามาเกิดในตระกูลของชาวประมง หากินด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ชาวประมงนี่ก็รู้อยู่แล้ว อาชีพของพวกเขาก็คือการหาสัตว์น้ำ เรียกว่าทำบาปกันตลอดเวลา

    ต่อมาเมื่อพบพระสารีบุตรเข้า เขาทั้ง ๕๐๐ คนมีความเลื่อมใสในพระสารีบุตร ขอบวชในสำนักของพระสารีบุตร อยู่กับพระสารีบุตรมาตลอดพรรษาไม่ได้อะไรเลย แม้แต่ฌานโลกีย์ก็ยังไม่ได้ เรียกว่าอยู่ด้วยความดี ปฏิบัติตามโอวาทด้วยดี

    วันหนึ่งองค์สมเด็จพระชินสีห์พบพระสารีบุตรที่ขอบสระโบกขรณี จึงเรียกพระสารีบุตรเข้ามาหาบอกว่า สารีบุตร ดูก่อน สารีบุตร บริวารของเธอทั้ง ๕๐๐ รูปนี่นะในชาติก่อนเขาเป็นค้างคาวเคยฟังเสียอภิธรรม พอใจในเสียงนั้นแล้วก็พากันหล่นลงมาตายพร้อมกัน แล้วไปเกิดเป็นเทวดา ฉะนั้น สารีบุตรจงเรียนอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ไปจากตถาคต เมื่อกลับไปจากบิณฑบาตแล้วฉันข้าวเสร็จ ก็เรียกพระทั้ง ๕๐๐ องค์เข้ามาประชุมกันแล้วก็เทศน์อภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ไห้ฟัง

    พอเทศน์จบ บรรดาท่านพุทธบริษัทเพราะอาศัยปัจจัยเดิมขอบเขาเคยฟังอภิธรรมมา ทั้ง ๕๐๐ รูปปรากฏว่าเป็นพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาขั้นสูงทั้งหมด

    นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องราวอย่างนี้ยังมีอีกมาก อาตมานำมาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังตามสมควรแก่เวลา เพื่อให้เป็นตัวอย่าง จะได้ทราบว่าคนที่จะเข้าถึงพระนิพพานน่ะ เข้าไม่ยาก พระนิพพานอยู่ที่ไหน สูญหรือไม่สูญอย่าเพิ่งพูดกันนะ อย่าเพิ่งเถียงกัน

    เรื่องนิพพานสูญนี่ อาตมาเรียนมาตั้งแต่สมัยเป็นนักธรรมโท เจอะตำราบอกว่านิพพานสูญ แล้วก็ไปอีกหน่อยหนึ่ง ถ้าเราไปอ่านเรื่องราวของพระนิพพานจริงๆ คิดว่า น่าจะไม่สูญ

    แต่พระนิพพานก็ดี สวรรค์ก็ดี นรกก็ดี พรหมโลกก็ดี หรือว่าเรื่องเปรตเรื่องอสุรกายทั้งหลายก็ดี ท่านพุทธบริษัท ถ้าเรายังเห็นเองไม่ได้ละก็อย่าเถียงกัน อย่าตีความหมายเอาเองมันจะผิด

    สมมติว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทอยู่บ้านของท่านแล้วท่านลองคิดดูทีซิว่า เวลานี้ที่กุฏิอาตมามีอะไรอยู่บ้าง มีคนอยู่กี่คน มีพระกี่องค์ มีเครื่องใช้ไม้สอย มีอะไรบ้าง ในเมื่อท่านทั้งหลายไม่เคยมากุฏิของอาตมาเลย แล้วท่านจะบอกถูกไหม ว่ามีอะไรอยู่บ้าง

    ในที่นี้ว่ากันแต่เมืองมนุษย์นะ แล้วก็เป็นสิ่งที่เราจะพึ่งเห็นกันได้โดยง่าย ท่านจะลองเขียนมาได้ไหมว่าอาตมามีอะไรกี่ชิ้น แล้วมีสภาวะความเป็นอยู่เป็นประการใด แล้วคนในวัดนี้ที่อาตมาปกครองมีกี่คน เป็นพระเท่าไร เป็นฆราวาสเท่าไร เป็นเด็กเท่าไร ทรัพย์สินต่างๆ ที่เป็นของส่วนตัวและเป็นของสงฆ์ที่อยู่ในปกครองมีเท่าไหร่ ท่านทั้งหลายจะบอกได้ไหม ถ้าไม่กล้าจะบอกเพราะบอกไม่ได้ เพราะไม่รู้ความเป็นจริง

    แค่เมืองมนุษย์นี่ยังบอกไม่ได้ทั้งที่เป็นสิ่งที่เราสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าละก็ เราก็อย่าเพิ่งพูดเรื่องผี เรื่องเปรต เรื่องอสุรกาย เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องพรหม เรื่องนิพพาน เพราะอะไร เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเกินวิสัยที่ตาคนจะมองเห็น

    แม้แต่เพียงกล้องจุลทรรศน์ที่ขยายออกจากภาพเดิมได้หลายๆ แสนเท่าก็ไม่สามารถจะขยายไห้เห็นผีเห็นเทวดาได้จึงเป็นการเกินวิสัยที่เราจะพึงเดา ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่สามารถจะมีทิพยจักขุญาณ ไม่มีทิพยจักขุญาณอยู่ในใจของตนแล้ว ท่านพูดเรื่องผีเท่าไรก็ตาม ผิดหมดไม่มีถูก

    ทั้งนี้เพราะอะไร ทั้งนี้เพราะว่าท่านไม่ได้เห็นจริงๆ ผีก็ดี เปรตก็ดี มีสภาพหยาบมาก หยาบกว่าเทวดา เมื่อพูดผีผิด พูดเรื่องเทวดาก็ผิดใหญ่ เพราะเทวดามีสภาพละเอียดกว่าผี เห็นยากกว่า เมื่อพูดเรื่องเทวดาผิด พูดเรื่องพรหมก็ผิด

    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพรหมมีสภาพละเอียดกว่าเทวดา ถ้าพูดเรื่องพรหมผิด ไปพูดเรื่องนิพพานก็ยิ่งผิดเป็นการใหญ่ ทำไมล่ะ เพราะว่านิพพานมีสภาพละเอียดกว่าพรหมมาก

    ตามแนวที่พระคณาจารย์ทั้งหลายพูดไว้ ท่านกล่าวว่าพระอรหันต์ที่เข้านิพพานแล้ว มีกายละเอียดมากท่านไม่ให้พรหมเห็น พรหมก็จะเห็นไม่ได้ พรหมมีกายละเอียดกว่าเทวดา ถ้าพรหมไม่ต้องการให้เทวดาเห็น เทวดาก็เห็นพรหมไม่ได้ เทวดามีกายละเอียดกว่าเปรต ถ้าท่านไม่ต้องการให้ผีหรือเปรตเห็น ผีหรือเปรตก็ไม่สามารถจะเห็นเทวดาได้ ตานี้ผีและเปรตมีกายหยาบมาก ไม่ต้องการให้คนเห็น คนก็ไม่สามารถเห็นผีหรือเปรตได้ฉันนั้น

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องผี เรื่องเทวดา เรื่องพรหม เรื่องพระนิพพาน หากว่าท่านไม่ได้ทิพยจักขุญาณท่านพูดไม่ถูก ก็แม้แต่ในกุฏิของอาตมาเองซึ่งเป็นคนธรรมดา มีเนื้อมีหนังมีวัตถุ ข้าวของทั้งหลายมีอะไรเป็นวัตถุที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ท่านทั้งหลายก็ยังไม่สามารถจะทายได้ว่ามีอะไรอยู่บ้างตั้งอยู่ที่ไหน แล้วท่านจะไปเดาเรื่องผีเรื่องเปรตกันได้ยังไง

    แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเรื่องพระนิพพานแล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้ทิพยจักขุญาณ ถ้าเป็นฌานโลกีย์ท่านก็ยังไม่สามารถจะรู้เรื่องราวของพระนิพพานได้อีก ถ้าเป็นฌานโลกีย์ถึงฌาน ๔ หรือฌาน ๘ ท่านจะรู้เรื่องของพรหมได้ ทั้งรูปพรหม และอรูปพรหม คือพรหมที่มีรูป และพรหมที่ไม่มีรูป

    แต่ว่าท่านก็จะรู้เรื่องราวของพระนิพพานไม่ได้ ต่อว่าเมื่อไรท่านปฏิบัติวิปัสสนาญาณ อารมณ์ของท่านสามารถตัดสังโยชน์ ๓ ประการ คือ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส สามข้อนี้ละเอียดลงไป เข้าถึงโคตรภูญาณเมื่อไร

    เมื่อนั้นแหละ ท่านจะใช้ทิพยจักขุญาณของท่านเห็นพระนิพพานได้อย่างชัดเจนแล้วก็ไม่มีการสงสัย จะพูดอย่างไรก็ไม่ผิด

    เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ว่ากันถึงเรื่องของมนุษย์มา ๒ วันพุธแล้ว วันนี้ก็ต้องขอเอวังกันเสียที นี่เวลามันก็หมดแล้วนี่

    ขอให้ท่านบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายนอนพักอยู่ในลานเมืองมนุษย์นี่ก่อนอีก ๗ วัน วันพุธหน้าอาตมาจะพาท่านพุทธบริษัททุกท่านไปชม ภุมเทวดา รุกขเทวดา และอากาศเทวดา ตามจังหวะเวลาที่จะอำนวยให้สำหรับวันนี้เวลาหมดแล้ว

    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ติดตามและรับฟังทุกท่าน สวัสดี. .
     
  18. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๗.อทิสมานกาย

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้อาตมาจะพาท่านพุทธบริษัท ออกท่องเที่ยวต่อไปเพราะว่าได้ให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายติดตามทัศนาจรมานอนสบายกันอยู่ที่เมื่องมนุษย์

    ความจริงมันก็เป็นเรื่องของเราเอง ที่เราอยู่กันมาตลอดกาลใกล้จะตายไปตามๆ กันอยู่แล้ว ความจริงวันนี้ตั้งใจพาบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทไปชมเทวดา แต่ก็บังเอิญมานึกได้ว่า ถ้าจะไปชมเทวดาเสียตั้งแต่วันนี้ เรื่องที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทสงสัยก็จะไม่หมดไป

    คือมีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของบุคคลที่เกิดมาแล้ว ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ เรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทพูดกันมาก

    ว่าถ้าเราเกิดมาแล้ว เราไม่ควรทำความชั่ว และเราไม่สร้างบุญสร้างกุศล จะมีผลเป็นประการใด สำหรับเรื่องราวต่อไปและเรื่องนี้ อาตมาจะขอนำท่านไปชมแต่เพียงย่อๆ

    ขอย้อนกลับไปถึงสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงมีชีวิตอยู่ สมัยนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูได้เทศน์สอนพุทธบริษัทถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ การทำความดีและความชั่วมีผลเป็นประการใด อันนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน

    แต่ทว่าในสมัยนั้นก็มีคนดีวิเศษอยู่คนหนึ่ง ความจริงอาจจะมีหลายคน แต่ทว่าพระอรหันต์สมัยนั้นไม่ได้บันทึกไว้ ท่านบันทึกไว้คนเดียวคืออานันทเศรษฐี ท่านอานันทเศรษฐีผู้นี้ มีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ หรือว่า ๑๖๐ โกฏิ จำไม่ได้นะ จำไม่แม่นนักเพราะเวลาพูดนี้ไม่ได้นำตำรามา

    เป็นอันว่าท่านเป็นมหาเศรษฐีใหญ่มีเงินมาก ท่านมีความรู้สึกของท่านว่าทรัพย์สินของท่านที่ได้มานี้ ชาวบ้านไม่ได้ให้ท่าน เป็นทรัพย์ของวงศ์ตระกูลท่านสร้างขึ้นมา แล้วก็ปกครองกันเป็นทอดๆ เรื่องอะไรที่เราจะไปเชื่อพระสมณโคดม ซึ่งเป็นศากยบุตรออกมาบวชแล้วก็มายุยงชาวบ้านให้มาบำเพ็ญทาน แจกทรัพย์แจกสินของตนให้แก่บุคคลอื่น คนทั้งหลายเหล่านั้นไม่เคยมาช่วยเราหา ไม่เคยมาช่วยเราทำ เราจะไป ให้ประโยชน์อะไรของคนอื่น เราก็ไม่ยอม ของเราเราก็ไม่ให้ใคร

    นี่เป็นอัธยาศัยของท่านอานันทเศรษฐี และยิ่งไปกว่านี้ ขึ้นชื่อว่าบาปบุญคุณโทษใดๆ ท่านก็ไม่ทำ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท สุราเมรัย ไม่เคยละเมิด ถ้าจะมองกันในฐานะของคนธรรมดาก็รู้สึกว่าท่านจะเป็นคนดีมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นคนขี้เหนียว ความจริงขี้จะเหนียวหรือไม่เหนียวก็ไม่ได้ไปลองจับดู ไม่ได้พิสูจน์ขี้ของแก

    เอาเป็นว่าแกเป็นคนใจเหนียวก็แล้วกัน ทรัพย์สินของท่านๆ ไม่ยอมให้แก่ใคร ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ นี่ถ้ารับราชการก็ได้ ๑ ขั้น แต่ท่านอานันทเศรษฐีท่านจะได้อะไรมาฟังกันต่อไป แล้วก็ในสมัยพระพุทธเจ้านั่นเอง พระพุทธเจ้า ยังไม่นิพพาน ท่านอานันทเศรษฐีก็ตายจากความเป็นคน ดูผลของเขาต่อไป

    เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์ ชีวิตออกจากร่าง ร่างอันนี้เป็นที่อาศัยชั่วคราวจำไว้ให้ดีนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ร่างกายที่ท่านทรงอยู่นี้ ท่านมีโอกาสอาศัยได้ชั่วคราว เมื่อถึงกาลถึงสมัยมันก็พังทลายลง อาศัยมันไม่ได้เราก็ไป

    คำว่าเราในที่นี้ หมายถึงอทิสมานกาย คือ กายอีกกายหนึ่งซึ่งสิงอยู่ในกายเนื้อ เป็นผู้บัญชาการให้กายเนื้อพูด กายเนื้อทำ กายเนื้อคิด กายเนื้อด่าชาวบ้าน ขโมยของชาวบ้าน อย่างนี้เป็นต้นเท่าที่กายเนื้อมันทำได้

    ความจริงกายเนื้อมันมีสภาพเป็นหุ่น ที่มันทำได้ก็เพราะอาศัยกายที่เรียกว่าอทิสมานกาย เป็นกายที่เราไม่สามารถจะเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ภายในมันสั่ง แล้วเจ้ากายนี้ก็มีมือมีเท้ามีปากมีตาอะไรเสร็จแต่ละอย่าง มือมันก็สิงอยู่ที่มือของกายเนื้อ ตามันก็สิงอยู่ที่ตาของกายเนื้อ เท้ามันก็สิงอยู่ที่เท้าของกายเนื้อ มันมีรูปร่างเสมอกันและจุดศูนย์กลางจอมบงการของมันก็คือจิต เป็นดวงหนึ่ง

    ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าจิตเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ นี่เรียกว่าเป็นจอมบงการ แล้วเวลาร่างกายนี้พัง เจ้าอทิสมานกายนี้มันก็ไปที่อื่น หาที่ไป คนทำความดีไปสู่ในสถานที่มีผลของความดี ดีบันดาล คนทำความชั่ว ไปสู่ที่ผลของความชั่วบันดาล

    แต่ทว่าท่านอานันทเศรษฐีไม่ทำทั้งความดีและความชั่ว ท่านเป็นมหาเศรษฐีเพราะความดีดั้งเดิมทำไว้ กลับมาเป็นคนที่ไม่สร้างความดีใหม่ มานั่งกินความดีเดิมสบาย ถ้าจะเปรียบกับชาวนาหรือข้าราชการ ชาวนาปีนี้ทำข้าวได้มาก ปีหน้าไม่ทำอะไร นั่งกินข้าวเก่าจนหมด พอข้าวหมดแล้วทำยังไง?

    ก็กลายเป็นคนไม่มีข้าวจะกิน ข้าราชการก็เหมือนกัน รับเงินเดือน เมื่อรับเงินเดือนๆ นี้แล้วเดือนหน้าไม่ทำ ลาออกจากราชการ บำนาญก็ไม่มี กินหมดแล้วจะเป็นยังไง? ก็กลายเป็นคนไม่มีจะกิน ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ท่านอานันทเศรษฐีก็เหมือนกัน ที่เป็นมหาเศรษฐีได้ก็อาศัยบุญเก่า กล่าวคือการให้ทานไว้มาก เกิดมาเป็นเศรษฐี

    พอเป็นมหาเศรษฐีแล้วกลับอวดดี หรือว่าอวดเลว ความจริงไม่ใช่อวดดี อย่างนี้เขาเรียกว่าอวดเลว ไม่ทำอะไรเลย ถือว่าทรัพย์สินที่มีมานี้ ต้นตระกูลของฉันหามา ชาวบ้านไม่เกี่ยว ในเมื่อชาวบ้านไม่ได้ช่วยหา เรื่องอะไรที่ฉันจะให้แก่ชาวบ้าน ยิ่งกว่านั้นยังไปโทษพระพุทธเจ้าด้วยว่า พระสมณโคดมนี่ไม่เป็นเรื่อง บวชแล้วไม่มีอะไรจะกินก็เที่ยวไปนั่งสอนชาวบ้านให้ใส่บาตร ไม่ใช่เรื่องเลย ความจริงท่านก็เด่นอยู่เหมือนกัน

    เมื่อชีวิตของท่านออกจากร่าง เจ้าอทิสมานกายคือกายภายใน ที่นักอภิธรรมเรียกกันว่านามธรรม หรือว่านามที่มีรูป รูปในนาม หรือนามที่เป็นรูปตามเรื่องเถอะ จะเรียกว่ายังไงก็ตามใจ ไม่ได้ขัดคอใคร มันออกจากร่างนี้ มันก็ไปหาร่างใหม่ ที่อื่นที่ดีๆ เข้าไม่ได้

    ในตระกูลเศรษฐีเข้าไม่ได้เพราะไม่มีทานบารมี จะไปรับราชการหรือศีลบารมีก็ไม่ปรากฏ จะไปเข้าท้องเมียของข้าราชการก็ไม่ได้ มันสบายเกินไป เดินไปเดินมา เดินมาเดินไปก็หาที่ได้ที่เหมาะสมกับตัวที่สุดว่าท้องของคนขอทาน

    ย่องเข้าไปนอนอยู่ในท้องของคนขอทาน เป็นผู้หญิงนา ไม่ใช่ย่องเข้าไปในท้องของผู้ชาย เดี๋ยวจะเข้าใจผิด ผู้หญิงคนนั้นเขามีสามี แต่ว่าอีตานี้ย่องเข้าไปนอนในท้องของเขา เมื่อเข้าไปนอนในท้องของเขาอาศัยบารมีความเด่นของแกก็เริ่มแสดงอานุภาพ

    คือขณะเมื่อเข้าไปอยู่ในครรภ์ของหญิงคนนั้น เวลาเช้าบรรดาขอทานทั้งหลายก็พากันยกขบวนไปขอทาน ทุกวันเคยได้อาหารการบริโภคเยอะแยะเงินทองก็ได้ วันนั้นแต่ละคนไม่มีใครได้เลย

    นี่อานุภาพของความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏแสดงแล้ว ขอทานทั้งหมดไม่มีใครได้อะไร ตอนเย็นกลับมาถึงที่พักหัวหน้าใหญ่ของขอทานก็เรียกประชุม ประกาศว่านี่คนกาลกิณีคงจะปรากฏขึ้นอยู่ในหมู่ของเราแล้ว พวกเราขอทานไม่เคยอด แต่คราวนี้อดหมดทุกคนน่าสงสัย ฉะนั้นในวันพรุ่งนี้ พวกเราจงแบ่งกันเป็น ๒ พวก

    พอตอนเช้าก็แบ่งกันเป็น ๒ พวก พวกที่แม่ของอานันทเศรษฐีที่เข้าไปอยู่ในท้องน่ะไม่ได้ไปด้วย พวกนั้นได้ของเยอะแยะเหลือเกินเหลือใช้ แต่ทว่าพวกที่แม่ของอานันทเศรษฐีไปด้วย ไม่ได้อะไรเลย หัวหน้าขอทานเริ่มสงสัย

    ตานี้ก็แบ่งกันไปแบ่งกันมาแบ่งจนเป็นรายบุคคล เป็นอันว่าคนอื่นขอทานได้หมด แต่ว่าคนที่อานันทเศรษฐีไปนอนอยู่ในท้องแม่ของแกน่ะ หาอะไรไม่ได้ เขาก็เลยรู้กันเลยว่าไอ้เจ้าเด็กคนที่เกิดในท้องของหญิงคนนี้คงเป็นเด็กจัญไร ทำให้คนอื่นไม่ได้กิน แล้วพอแยกกันออกโดยเฉพาะ คนที่เป็นแม่ก็พลอยไม่ได้กินไปด้วย

    ฉะนั้นหัวหน้าขอทานจึงสั่งระงับ ว่าแม่ของเด็กคนนี้ไม่ต้องไปจนกว่าจะคลอดบุตร ให้อยู่กับที่ คนอื่นได้มาก็เลี้ยงกัน พลอยได้กินจากบุญของคนอื่น นี่เป็นยังงี้

    ต่อมาเมื่ออานันทเศรษฐีคลอดจากครรภ์มารดา วันไหนถ้าแม่พาลูกชายไปขอทานด้วย วันนั้นไม่ได้อะไรเลย แต่วันไหนถ้าไม่พาลูกชายไป วันนั้นได้ นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ฟังแล้วคิดดูนะ ว่านี่เป็นเรื่องราวสมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่

    เมื่ออานันทเศรษฐีเด็กคนนั้นโตขึ้นเดินแข็งแรงแล้ว เห็นจะประมาณอายุ ๓-๔ ขวบ แม่ก็ขับออกจากสำนัก ว่าเจ้าเป็นคนจัญไร พาให้แม่อด จะไปหากันของเอ็งตามลำพัง แล้วนำเอากระเบื้องแตกๆ สำหรับเป็นเครื่องมือขอทานใส่มือให้ แล้วก็ไล่ลูกไป

    ตานี้ สำหรับอานันทเศรษฐีคนนี้ แกตายจากคนแล้วก็เกิดเป็นคน เลยเป็นคนที่ระลึกชาติได้ชาติเดียว เพราะมีสภาพเหมือนคนนอนหลับแล้วก็ตื่นขึ้น ไอ้เรื่องราวก่อนหลับทำอะไรไว้บ้างที่ไหนเราจำได้ฉันใด คนที่ตายจากคนแล้วไปเกิดเป็นคนก็มีสภาพเหมือนคนนอนหลับแล้วก็ตื่นขึ้น ระลึกชาติได้ว่า

    เอ๊ะ ก่อนที่เราจะมาเห็นเด็กนี่ ตอนนั้นเราเป็นผู้ใหญ่เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ มีสมบัติมาก วันนี้ เมื่อแม่เราไล่ออกจากสำนักเราก็จะกลับไปบ้านของเรา นี่ การระลึกชาติได้ชาติเดียวนี่ไม่ต้องเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานนะ เพราะว่ายังไม่ลืมสภาพเดิม

    สำหรับคนต่างๆ ที่เกิดมาแล้วไม่รู้สภาพเดิมว่าชาติก่อนจากนี้มาจากไหนนั่น เพราะว่าไม่ใช่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคน ตายจากคนอาจย่องไปนรกเสียนาน ไฟเผาเสียประสาทเสื่อมไป แล้วก็มาเป็นเปรตอสุรกายสัตว์เดรัจฉาน นี่มันนานเหลือเกิน

    นานเกินไปประสาทต่างๆ มันก็ลืม สัญญาต่างๆ มันก็ลืมหมด ระลึกชาติไม่ได้ สำหรับคนที่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคน อย่างนี้ระลึกชาติเดิมได้ทุกคนไม่ใช่ของยาก ในเมื่อแกระลึกได้ว่าแกเคยเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ บ้านของแกอยู่ที่ไหนแกก็เดินไปตามทางสายนั้น

    ตอนเช้า เข้าไปถึงประตูบ้านเวลานั้นลูกชายคนโตเป็นมหาเศรษฐีแทน พระราชาทรงแต่งตั้งตำแหน่งมหาเศรษฐีให้ เพราะสมัยนั้น คนที่จะเป็นมหาเศรษฐีต้องพระราชาแต่งตั้ง แล้วก็มอบฉัตรให้ แล้วมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินเหมือนขุนนางทั้งหลาย เวลาไปถึงประตูบ้าน แกก็จะเข้าบ้าน คนยามหน้าประตูเขาก็ไม่ยอมให้เข้า เพราะรูปร่างของแกเหมือนปีศาจคลุกฝุ่นเพราะไม่เคยทำความดี รูปร่างคล้ายๆ กับผี แล้วแถมคลุกฝุ่นอีกด้วย กลัวจะสวยมาก

    เมื่อแกจะเข้า เขาไม่ไห้เข้าแกก็ดึงดันจะเข้า เวลานั้นเป็นเวลาพอดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปพอดี เดินไปกับพระอานนท์ ไปบิณฑบาต เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเห็นอานันทเศรษฐีผู้เป็นเด็กจะเข้าประตูให้ได้ คนประตูเขาก็ผลักไสเข้าไว้พระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์

    ทีนี้ ตามธรรมดา พระพุทธเจ้า ไม่ยิ้มไม่แย้มถ้าไม่มีเรื่อง หน้าเฉยๆ ไม่ใช่หน้าทะเล้นเหมือนคนพูด คนที่พูดนี่ชอบยิ้มชอบหัวเราะ หน้ามันทะเล้นไม่เหมือนพระพุทธเจ้าท่าน พระพุทธเจ้า ท่านมีหน้าปกติ ถ้ามีเหตุจะยิ้ม

    เมื่อพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์ก็สงสัย ทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า เวลานี้ ปรากฏว่าพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ มีเหตุอะไรหรือพระพุทธเจ้าข้า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสแกพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อน อานนท์ เธอเห็นอานันทเศรษฐีไหม? (เวลานั้นไม่เดินแล้ว สององค์ยืนอยู่)

    พระอานนท์ก็มองไปมองมา ความจริงเคยรู้จักอานันทเศรษฐี พระอานนท์ก็ทูลตอบองค์สมเด็จพระมหามุนี ว่าไม่เห็นพระพุทธเจ้าข้า เห็นแต่เด็ก พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสว่า เด็กคนนั้นแหละ อานนท์ คืออานันทเศรษฐี ตอนนี้ท่านพระอานนท์สงสัย จึงกราบทูลว่าข้าพระพุทธเจ้าทราบว่าอานันทเศรษฐีตายไป ๓-๔ ปีแล้วพระพุทธเจ้าข้า

    พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่าใช่ อานันทเศรษฐีตายแล้ว แต่ก็ไปเกิดเป็นคนเมื่อเกิดเป็นคนแล้วก็เป็นเด็ก เป็นลูกขอทาน คนที่ยืนอยู่ที่นั่นจะเข้าบ้านที่นายประตูผลักไสอยู่นั่นแหละคืออานันทเศรษฐี ถ้าอานนท์อยากจะทราบความเป็นจริง ก็จงเรียกเศรษฐีบุตรลงมา คือหมายความว่าลูกชายคนใหญ่ของท่านเศรษฐีที่เป็นเศรษฐีอยู่เวลานั้น พระพุทธเจ้า ให้เรียกลงมา พระอานนท์จึงสั่งนายประตูให้เรียกนายของท่านลงมาซิ เวลานี้พระพุทธเจ้าต้องการพบ

    นายประตูก็ไปตามนายมา เมื่อเขาเห็นพระพุทธเจ้าแล้วก็มีความเลื่อมใส ไม่เหมือนพ่อ จึงกราบถวายนมัสการท่านผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสว่า ดูก่อนมหาเศรษฐี เธอรู้จักพ่อเธอไหม เขาก็บอกว่ารู้จักพระพุทธเจ้าข้า ท่านก็บอกว่าเด็กคนนี้น่ะพ่อของเธอ ท่านเศรษฐีหนุ่มตกใจ จึงกราบทูลสมเด็จพระจอมไตรบอกว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้าข้า เพราะว่าบิดาของข้าพุทธเจ้าตายไป ๓-๔ ปีแล้ว

    เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมหาเศรษฐีแทน พระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสว่า เรื่องนั้นเป็นความจริงแต่ว่าพ่อของเธอน่ะออกจากร่างนี้แล้วไปเข้าสู่ครรภ์ของขอทาน เพราะโทษที่ความชั่วไม่มีความดีไม่ทำ ฉะนั้นเมื่อกินบุญเก่าก่อนที่จะมาเป็นมหาเศรษฐีได้เพราะให้ทานมามาก พอเป็นเศรษฐีเข้าจริงๆ กลับไม่ให้ทาน กินบุญเก่าเสียหมด ก็ปรากฏว่าเป็นคนจน

    ท่านมหาเศรษฐีใหม่ฟังแล้วก็สงสัย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงบอกว่า เด็กคนนี้ คืออานันทเศรษฐีบิดาของเธอ แล้วก็ใครเขาจะเชื่อเล่า บรรดาท่านพุทธบริษัท อยู่ๆ องค์สมเด็จพระบรมครูก็บอกว่าเด็กเป็นพ่อนี่ท่ามันจะเกินพอดีแล้ว นี่ว่ากันตามภาษาเราๆ นะมาถึงก็ยกเด็กให้เป็นพ่อนี่ไม่ไหว ถ้าเด็กรูปร่างหน้าตาสะสวยก็เห็นจะยังไงๆ อยู่ อาจจะสงสัยบ้าง แต่ว่าเจ้าเด็กคนนี้ หน้าตาเหมือนผีแล้วก็ผีคลุกฝุ่นเสียอีกด้วย (เพราะตามบาลีบอกว่ารูปร่างคล้ายปีศาจคลุกฝุ่น) เขาก็เลยไม่เชื่อ

    พระพุทธเจ้า จึงบอกว่าเราจะพิสูจน์ให้ดู ฉะนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูจึงทรงเรียกเด็กคนนั้นว่า อานันทเศรษฐีจงมาหาตถาคต เด็กคนนั้นพอได้ยินเท่านั้นก็เดินมาไหว้พระพุทธเจ้า พระองค์จึงถามว่า อานันทเศรษฐีทรัพย์สินของเธอสมัยก่อนที่จะตายจากความเป็นมนุษย์ที่ฝังไว้แล้วยังไม่ได้แจ้งให้ลูกชายทราบน่ะมีอีกไหม

    ท่านอานันทเศรษฐีเด็กก็กราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่ามีพระพุทธเจ้าข้า สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพุทธฎีกาตรัสถามว่ามีอะไรบ้าง เขาก็บอกว่าเงินก็มีทองก็มี แก้วแหวนเพชรนิลจินดาก็มี มีค่ามาก ของทั้งหมดมีราคาเป็นเรือนโกฏิๆ (หมายความว่าเลยล้านไป ร้อยล้านเท่ากับ ๑ โกฏิ) มีค่าอีกหลายโกฏิ

    พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มีพระพุทธบัญชาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นท่านอานันทเศรษฐีจงพาลูกชายไป แล้วก็ชี้สถานที่ที่ท่านฝังทรัพย์นั้นไว้ให้ลูกชายขุดเป็นเครื่องพิสูยต์ว่ามันเป็นความจริงเพียงใด ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตร ทรงตรัสแบบนั้น ท่านอานันทเศรษฐีก็เรียกลูกชายบอกว่าจงตามพ่อมา (อันนี้ ประกาศความเป็นพ่อ)

    แล้วเดินไปที่ข้างหน้า ชี้ลงไปที่แผ่นดินบอก จงให้คนรับใช้ขุดลงไปตรงนี้ พ่อฝังทองไว้ ๓ ตุ่ม เป็นทองแท่ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เขาก็ให้คนขุด ขุดไม่ลึกนักก็ปรากฏว่าได้ทอง ๓ ตุ่ม แล้วเดินไปอีกหน่อยหนึ่งก็ชี้บอก ตรงนี้พ่อฝังเงินไว้หลายตุ่ม เขาก็ขุดพบ แล้วก็ชี้ไปตรงโน้น ว่าอีตรงนี้มีแก้วแหวนเพชรนิลจินดาพ่อฝังไว้มากจงให้คนขุด เขาก็สั่งให้คนขุด ปรากฏว่าได้อีกเยอะเหมือนกัน

    เป็นอันว่าตอนนี้ลูกชายของท่านอานันทเศรษฐีเชื่อแล้วว่า องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เด็กคนนี้คืออานันทเศรษฐีพ่อของแก แกก็เลยเชื่อเพราะผลความจริงปรากฏ แกก็เลยรับภาระเลี้ยงพ่อของแกต่อไป

    นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เรามานั่งชมมนุษย์คนดีกันที่ท่านทั้งหลายสงสัย แล้วก็เรื่องที่อาตมาพูดวันนี้ นำมาจากพระสูตรที่พระอานนท์อ้างว่าเป็นเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอง แล้วพระอานนท์ก็ได้เห็นแล้วก็ได้ยินเองด้วย ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ

    เพราะว่าอาตมานี่เป็นลูกของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า เวลาเทศน์อะไร ไม่เคยบังคับให้ใครเชื่อ ทรงแสดงว่า อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงตนบอก บอกแล้วจะจำหรือไม่จำ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติตามก็ช่างประไร

    ใครมีหน้าที่ปฏิบัติตามก็ปฏิบัติตาม ไม่อยากปฏิบัติตามก็ตามใจ พระพุทธเจ้าเวลาเทศน์สอนใคร ใครก็ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง เรื่องนี้ก็เหมือนกัน อาตมานำมาเล่าให้ท่านพุทธบริษัทฟัง ก็ไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อ มีหน้าที่พูดให้ฟัง พูดแล้วก็แล้วกันไป ไม่ได้ติดใจ ไม่ได้สนใจว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ

    ถ้าหากว่าจะพิสูจน์กันจริงๆ ละก็ เอายังงี้ก็แล้วกัน ท่านสร้างความดีอะไรมาบ้าง ลบล้างมันเสียให้หมด นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏ เราไม่ให้ของใคร ของใครเราก็ไม่เอา เรียกว่าของไม่ให้เขาของเขาเราก็ไม่เอาด้วย ลองมันดูซิ แล้วก็ลองตายมันดูว่าจะเป็นแบบอานันทเศรษฐีไหมพูดแบบนี้ เข้าใจว่าไม่มีใครกล้าพิสูจน์

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องนี้ จะมีข้อเท็จจริงเพียงใดหรือไม่นั้น ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านเป็นผู้วินิจฉัย เพราะว่าเวลานี้มองดูนาฬิกา ปรากฏว่าเวลาหมดเสียแล้ว เป็นอันว่าการชมเรื่องราวของเมืองมนุษย์ ถ้าจะชมกันมันก็เยอะ ชีวิตนี้ทั้งชีวิตฟังไม่หมด

    ขอนำมาเป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ หนังสือจะได้ไม่โตเกินไป เรื่องราวของมนุษย์คราวนี้ ถือว่าเป็นวาระสุดท้าย เป็นเรื่องสุดท้าย ต่อไปจะได้นำเรื่องของเทวดามาเล่าให้ท่านพุทธบริษัทฟัง แล้วก็พาท่านทั้งหลายที่ติดตามทัศนาจรมาไปชมตามอัธยาศัย

    สำหรับวันนี้ เวลาหมดเสียแล้วนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เห็นจะต้องลากลับก่อน
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้ติดตามทุกท่าน สวัสดี. .
     
  19. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๘.ภุมเทวดา

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ก็ลองย่องๆ แถวเมืองมนุษย์นี่ก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปไหน แต่ทว่าย่องแหงนขึ้นไปให้สูงนิด คือว่าเรามาดูท่านเทวดาที่อยู่กับเมืองมนุษย์ที่เราสามารถจะมองเห็นในเมืองมนุษย์ได้

    เวลานี้เรามาทัศนาจรดูเทวดากันบ้าง แต่ก็ยังไม่ต้องเดินไปถึงเมืองเทวดา เพราะว่าเทวดาอยู่ใกล้ๆ บ้านเรามีเยอะ เขาเรียกว่าเทวดาอะไร บรรดาท่านผู้ฟังหรือท่านผู้ติดตาม?

    มองไปข้างหน้าตามพื้นแผ่นดินเห็นท่านเดินกันออกเกลื่อน หน้าตาสะสวย มีเครื่องแต่งตัวเรียบร้อย ผิวละเอียด แลดูสวยกว่าคนสวยตั้งมาก เท้าไม่ถึงดิน เดินอยู่ใกล้ๆ แผ่นดิน แต่ว่าเท้าไม่ถึงดิน จะว่าสูงขึ้นบนอากาศก็ไม่ใช่ เทวดาประเภทนี้ ท่านเรียกว่า ภุมเทวดา

    ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทพากันเรียกว่าพระภูมิเจ้าที่ ความจริงก็เป็นยังงั้นภุมเทวดาหรือภูมิเทวดา ภาษาบาลีอ่านว่า ภู-มิ แล้วก็เทวดา ภูมิแปลว่าแผ่นดิน เทวดาแปลว่าผู้ประเสริฐ ถ้าจะแปลกันทุกศัพท์ ก็เรียกว่าคนที่มีความประเสริฐอยู่ในแผ่นดินหรือว่าผู้ที่มีความประเสริฐอยู่ในแผ่นดิน

    สำหรับภุมเทวดานี้ ท่านพุทธบริษัท นั่งดูให้ดีเดินดูให้ดี จะเห็นว่ามีเกลื่อนกลาดไปหมด แต่ละท่านหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่งตัวสุภาพสวยงาม ลีลาการเดินก็สวย แต่น่าแปลกใจไหม มือขวาตั้งแต่ข้อมือลงไปถึงปลายนิ้วปรากฏว่ามีสีแดง แล้วก็แดงไม่เสมอกัน บางองค์ก็แดงเข็ม บางองค์ก็แดงจางๆ

    จงจำไว้ให้ดีว่ามือสีแดงเข็ม มีอานุภาพมากกว่าองค์ที่มีสีแดงจางๆ นี่ฤทธิ์ของท่านอยู่ที่มือ เทวดาพวกนี้ เรียกว่าภุมเทวดา มีวิมานเป็นที่อยู่เหมือนกัน แต่วิมานอยู่ใกล้ๆ แผ่นดิน เรียกว่าตั้งอยู่เฉียดๆ แผ่นดิน สูงกว่าแผ่นดินประมาณสักคืบหรือศอก ไม่ได้ตั้งอยู่ในดิน คือไม่ได้ปักเสา นี่เป็นวิมานของเทวดาประเภทนี้ เทวดาประเภทนี้ ทำบุญอะไรไว้ อันนี้อาตมาไม่เคยค้นพบเลย จะกล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่เทศน์ไว้ก็เห็นจะไม่จริง แต่ว่าค้นไม่พบ

    หรือว่าพบแล้วจำไม่ได้ก็ไม่ทราบ จะย่องๆ เข้าไปถามเทวดาสักองค์ก็เกรงใจท่าน หรือเอาสักนิดเป็นยังไง สงสัยนี่ สงสัยก็ลองถามดู เอาองค์นี้แล้วกัน องค์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่งกายด้วยเครื่องขาว ขาวทั้งชุด หน้าตาอิ่มเอิบ ท่านยิ้มหน้าระรื่น อยากจะถามท่านนะ เอ้า บรรดาท่านพุทธบริษัทที่ติดตาม มายืนล้อมกัน แล้วก็ฟังท่านพูด

    เอาละเริ่มถาม อยากจะทราบว่าท่านทำบุญอะไรไว้ จึงได้มาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ที่เรียกว่าภุมเทวดา? นี่ถามใครรู้ไหม ถามเทวดาที่มีนามว่าอะไร? ขุนสมาหารราชวัตร

    ที่ถามน่ะความจริงตัวตนไม่มีหรอก พูดมันส่งไปยังงั้นเอง เพราะว่าท่านขุนสมาหารราชวัตรนี่ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ ในตอนปลายที่ท่านออกจากราชการแล้ว เกษียณแล้วท่านปลูกบ้านอยู่ที่โน่น อำเภอธัญญบุรี ในเขตจังหวัดปทุมฯ อาตมาเคยชอบกับท่าน เคยไปพักพาอาศัยท่าน ภรรยาของท่านคนหลังชื่อว่าคุณสมถวิล

    ท่านผู้นี้เคยเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของท่านคนหนึ่งเวลาก่อนจะตายบอกว่าเคยพบพระภูมิหรือเทวดา เพราะเพื่อนอีกคนหนึ่งตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นภุมเทวดา ท่านไปรักษาอุโบสถอยู่ เพื่อนของท่านขุนสมาหารราชวัตร ปรากฏว่าเพื่อนที่ตายไปแล้วมาพบในเวลาฝัน นอนหลับเข้าฝัน

    บอกว่าเวลานี้เราไปเกิดเป็นภุมเทวดา มีความสุขมาก แล้วรู้ความลับของคนทุกคน บ้านไหนก็ตาม ถ้าเราจะเข้าไป เราเข้าได้ทุกเวลา จะปิดประตูลงกลอนขนาดไหนก็ตามเราก็เข้าไปได้ ดีไม่ดีเจ้าของบ้านไปทำปู้ยี่ปู้ยำอะไรกันอยู่ ดูเพลิน เจ้าของบ้านไม่รู้ คู่ที่เขากำลังรักกันอยู่เขาไม่รู้

    นี่รู้สึกว่าเทวดาองค์นี้ น่ากลัวจะซุกซนมากเหมือนกัน หรือว่าเป็นเทวดาชอบดู ท่านมาเล่าให้เพื่อนท่านฟัง ก็ปรากฏว่าเพื่อนท่านขุนสมาหารราชวัตรก็ติดใจในการเป็นภุมเทวดา แล้วท่านภุมเทวดาท่านนั้นก็บอกว่า เพื่อนเอ๋ย เพื่อนรักษาอุโบสถอย่างนี้ดีแล้ว

    ถ้ารักษาอุโบสถอย่างนี้ ตั้งใจทรงศีลให้บริสุทธิ์ เวลากลับไปบ้านรักษาศีล ๕ ไห้บริสุทธิ์ ถึงเวลาวันพระรักษาอุโบสถศีลให้บริสุทธิ์ด้วยความเต็มใจ แล้วก็ตั้งใจไว้ว่า เวลาเราตายเราจะมาเป็นภุมเทวดา ความจริงรักษาอุโบสถน่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท หรือว่ารักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เราจะเป็นอากาศเทวดากันได้แบบสบายๆ แต่ว่าคนที่จะเป็นเทวดาชั้นสูงได้ ต้องการเป็นเทวดาชั้นต่ำนี่เขาไม่ห้าม สุดแล้วแต่ใจ

    แต่คนที่มีบุญบารมีเป็นเทวดาชั้นต่ำ อยากเป็นชั้นสูง เป็นไม่ได้ เขาห้าม จะต้องบำเพ็ญบุญบารมีให้สมควรแก่ฐานะของเทวดานั้นๆ เรื่องนี้ชักยุ่งๆ เหมือนกัน เป็นอันว่าเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง ก็ไม่ใช่เรื่องทำบุญเป็นเทวดาโดยเฉพาะ เป็นการตั้งใจเป็นภุมเทวดา เพราะว่าจะพูดไปยิ่งกว่านี้ก็ไม่รู้จะพูดยังไง หาเรื่องพูดไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจว่าทำบุญอะไรจึงเป็นภุมเทวดา

    เป็นอันว่าเพื่อนของท่านขุนสมาหารราชวัตรก็เชื่อเพื่อนที่ตายไปแล้วที่บอกว่าเป็นภุมเทวดารักษาอุโบสถทุกวันพระ วันไหนไปวัดไม่ได้ก็ตั้งใจสมาทานที่บ้าน และโดยปกติวันปกติไม่ใช่วันพระก็รักษาศีล ๕ บริบูรณ์ จนกว่าจะตายไปแล้วจริงๆ ก็ปรากฏว่ามาเกิดเป็นภุมเทวดา มาเข้าฝันท่านขุนสมาหารราชวัตรกับอีกคนหนึ่ง

    บอกว่า เพื่อนเอ๋ย เวลานี้เราเป็นภุมเทวดาจริงๆ เป็นแล้วไม่ต้องห่วง เป็นสมความปรารถนา เป็นสุขจริงๆงานการไม่ต้องทำ มีเครื่องทิพย์เป็นเครื่องบริโภค เวลาใครเขาจะทำอะไรเขาก็ต้องมาเซ่นต้องสรวง ต้องไหว้ต้องบูชา ดีกว่าความเป็นคนเยอะ ไม่มีความหิว ไม่มีความกระหาย ความร้อน ความเหนื่อยกายไม่มี จะไปทางไหนนึกปั๊บเดียวถึงทันที

    นี่มาชวนท่านขุนสมาหารราชวัตรไปเป็นภุมเทวดาเข้าอีก ต่อมาเมื่ออาตมาไปพบท่านขุนสมาหารราชวัตร ท่านถามว่าการบำเพ็ญกุศลอย่างนี้เป็นภุมเทวดาได้ไหม อาตมาพิจารณาตามพระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่าการบำเพ็ญกุศลอย่างนั้นสูงกว่าเป็นภุมเทวดามาก จะไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้สบายๆ แต่ท่านก็เลยบอกว่าผมตั้งใจอยากจะไปอยู่กับเพื่อนเขา เพื่อนเขามาชวน

    ก็เลยบอกท่านว่า เมื่อคนมีความพอใจแบบนั้นละก็ เชิญตามสบาย คงเป็นไปได้ตามอัธยาศัยที่ต้องการ ท่านก็ตั้งใจสมาทานศีล ๘ ทุกวันพระ สำหรับวันปกติท่านก็รักษาศีล ๕ ให้ครบถ้วน ในที่สุดท่านก็ตายไป ท่านตายได้ประมาณเดือนหนึ่ง อาตมาก็ไปที่นั่น ความจริงไม่รู้ว่าท่านตาย คุณนายสมถวิลก็มาถามว่าเวลานี้ท่านขุนตายแล้วท่านไปเป็นภุมเวดาหรือเปล่า

    แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาอยู่ชอบเล่นหวย ๓ ตัว ที่เขาเรียกกันว่าหวยใต้ดินนี่ชอบมาก คุณนายเองก็ชอบ ก็เลยบอกกับท่านว่าเอายังงี้ก็แล้วกันคุณนาย อาตมาเองก็ไม่ใช่คนตาทิพย์ หรือก็ไม่ใช่คนใจทิพย์ จะไปรู้เรื่องราวของเทวดายังงี้มันยาก ลองกันคืนนี้ก่อน ลองนอนสักคืนหนึ่ง ตอนกลางคืนอาตมาจะเชิญท่านขุนมา หากว่าท่านเป็นภุมเทวดาจริงหรือเป็นเทวดาชั้นอื่นจริงๆ ก็จะปรากฏแล้วจะลองขอหวยให้

    เป็นอันว่าตอนกลางคืนก่อนนอน อาตมาก็บูชาพระสวดมนต์ทำหน้าที่ของพระ เมื่อสวดมนต์เสร็จก็นึกในใจว่าท่านขุนอยู่ที่ไหน ต่างว่าท่านขุนเป็นเทวดาหรือเป็นอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าสามารถมาได้ ขอได้โปรดมาพบ

    ปรากฏว่าเวลาใกล้หลับไม่ทันจะหลับ เคลิ้มๆ พอจะหลับท่านขุนมา มาในร่างเดิม ถ้าว่าเวลานี้เป็นอะไร ท่านบอกว่าทานเป็นภุมเทวดา ก็ถามว่าบุญวาสนาบารมีที่รักษาอุโบสถศีลก็ดี รักษาศีล ๕ ก็ดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นเทวดาประเภทอื่นได้ ที่เรียกกันว่าอากาศเทวดา คือจะอยู่ชั้นดาวดึงส์แบบสบายๆ ทำไมโยมจึงได้อยู่ที่นี่

    ท่านก็รับรองบอกว่า เป็นความจริงขอรับ แล้วเวลาตายแล้ว ก่อนที่จะตายจิตใจมันปักอยู่เฉพาะภุมเทวดา เมื่อเวลาชีวิตออกจากร่าง ก็ปรากฏว่าเป็นภุมเทวดา มีวิมานเป็นที่อยู่ แล้วอารมณ์จิตก็รู้ในขณะนั้นเองว่า นี่ถ้าเราไม่ได้ตั้งจิตเป็นภุมเทวดาแล้ว เราจะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ได้แบบสบาย ก็เลยถามต่อไปว่า แล้วก็โยมจะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ไหม? ท่านบอกว่าไป

    ถามว่าเมื่อไรจะไป บอกว่าต้องหมดอายุชั้นนี้เสียก่อน ถามว่าชั้นนี้มีอายุเท่าไร ท่านบอกว่าชั้นนี้เขาเรียกว่าอยู่ในชั้นจาตุมหาราช จะเป็นภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี เทวดาชั้นจาตุมหาราชก็ดี มีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเปรียบกับมนุษย์ก็ ๕๐ ปีเป็น ๑ วัน เดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน จนกว่าจะครบ ๕๐๐ ปีทิพย์

    เมื่อครบ ๕๐๐ ปีทิพย์ แล้วไปเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้เพราะหมดระยะที่จะอยู่ในที่นี้ ก็ถามท่านว่า คุณนายต้องการหวย โยมขุนจะสงเคราะห์คุณนายไหม เคยมาบอกไหม ท่านก็เลยบอกว่า แม่หวินนี่ผมห่วงแกมาก ผมมาหาแกหลายครั้ง เคยมาบอกแก แต่แกไม่ได้ยิน มาแกก็ไม่เห็น พูดด้วยแกก็ไม่ฟัง อาจจะฟังแต่ไม่ได้ยิน

    เวลานี้ท่านมาก็ดีแล้ว ผมขอฝากหวยไว้ด้วย บอกแม่หวินด้วยนะ ว่าหวยคราวนี้มันออก ๘๘๐ ท้ายรางวัลที่ ๑ อาตมาก็จดเข้าไว้ พอตอนเช้าคุณนายสมถวิลถามก็บอกตามนี้ ปรากฏว่าหวยออกตรงจริงๆ

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ภุมเทวดาแท้ๆ บุญบารมีที่ทำให้เกิดเป็นภุมเทวดานี่อาตมาไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าถ้าตั้งใจเป็นภุมเทวดา ก็จะเป็นได้ ถ้าจะเดากันก็จะเดาว่าการให้ทานรักษาศีลแบบธรรมดาๆ แต่ว่ามีจิตใจไม่มั่นคงใครเขาจะไปวัดก็ไปกับเขา เขาสมาทานศีลก็สมาทานกับเขา แต่ไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล กลับออกมาก็ปล่อยให้ศีลตกอยู่หน้าศาลา เวลาเขาใส่บาตรก็ใส่กับเขา บางทีก็ใส่บาตรประเภทสนุก มันเป็นบุญเล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม เรียกว่าสักแต่ว่าเป็นบุญ อันนี้เดาเอานะจะไปยืนยันว่าเป็นความจริงไม่ได้นะ

    สำหรับภุมเทวดานี่เรายกศาลบูชาท่านเพื่ออะไร? จะไม่ยกศาลได้ไหม? อันนี้เป็นเรื่องเถียงกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท มีนักปราชญ์สมัยนี้โจมตีภุมเทวดากันอย่างหนัก ดีไม่ดีก็หาว่าคนที่ยกศาลพระภูมิเจ้าที่กลายเป็นอะไรต่ออะไรไป ก็รู้สึกว่าจะมากไปสักหน่อย สำหรับความรู้สึกของอาตมา จะเป็นเทวดาชั้นไหนก็ตาม เราควรบูชา ทั้งนี้เพราะอะไร?

    เพราะว่าท่านที่เป็นเทวดาได้ต้องมีคุณธรรมวิเศษ ๒ ประการ คือ ๑ หิริ ได้แก่ความละอายต่อความชั่ว ๒ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลของความชั่วจะมาถูกต้องตน จะให้ผลเป็นความทุกข์ เป็นอันว่าคนที่จะเป็นเทวดาชั้นสูง หรือชั้นต่ำก็ตาม จะต้องเป็นคนอายบาปแล้วก็กลัวบาป อายชั่ว กลัวชั่ว เป็นอันว่าคนที่ไม่ทำความชั่วชื่อว่าเป็นคนประเสริฐเป็นคนดี

    แต่ว่าคนธรรมดาเราทั้งๆ ที่ยังมีความชั่วอยู่ โกหกมดเท็จก็ได้ เจ้าชู้เป็นชู้ลูกเขาเมียใครก็ได้ ทำปาณาติบาตก็ได้ กินเหล้าเมายาก็ได้ เราทำไมถึงได้ไหว้ได้ เราไหว้คนเลวได้ ทำไมเราจะไหว้คนดีจริงๆ ไม่ได้รึ อันนี้ ก็ไม่ได้ ไปเถียงกับท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เพราะอาตมาอาจจะมีความรู้น้อยกว่าท่าน

    แต่ว่าสำหรับความเห็นของอาตมา การยกศาลบูชาภุมเทวดาเป็นของสมควร มาพิจารณาเองว่าสมควรตรงไหน ที่เขากล่าวกันว่าการไหว้บวงสรวงบูชาเทวดานี่ขัดพระรัตนตรัย คือว่าขาดไตรสรณาคมน์ เขาว่าอย่างนั้น เขาบอกว่าไม่เป็นการเคารพพระพุทธเจ้า เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ควรไปเคารพเทวดา อันนี้ไม่จริง

    บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาขอค้าน เพราะว่าภุมเทวดาหรือว่ารุกขเทวดา อากาศเทวดาชื่อว่าเทวดาเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สาวกของท่านมีเทวตานุสสติกรรมฐาน คือการนึกถึงความดีของเทวดา ตรงนี้ซิท่านพุทธบริษัท อาตมาจะไปขัดคอท่านนักปราชญ์ผู้ใหญ่เข้า

    หากว่าบังเอิญท่านได้ฟังพูดหรือได้เป็นที่เขาเขียนไว้ละก็ให้อภัยด้วยถ้ากระผมจะพูดไป แต่ถ้าจะผิดก็ผิดเฉพาะกำลังใจของท่านเท่านั้น แต่คงไม่ผิดจากพระพุทธพจน์ ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงให้เจริญเทวตานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดีของเทวดา ถ้าการบวงสรวงไหว้บูชาเทวดาเป็นของไม่ดีพระพุทธเจ้าคงไม่ยืนยันไว้

    ตานี้ มาว่ากันถึงการยกศาลพระภูมิ ดีตรงไหน นี่อาตมาขอสนับสนุนว่าดีจริงๆ แต่ท่านยกแล้วท่านต้องทำให้ถูกดีนะมันถึงจะได้ดี ถ้าหากว่าท่านทำไปแล้วไม่ชนดี มันก็ไม่พบดีเหมือนกัน ต้องตั้งใจทำให้ถึงดีให้ชนดี แล้วก็พบดีด้วย การจะชนดี จะพบดี จะถึงดี เอากันยังไง?

    ว่ากันตอนนี้ เมื่อยกศาลพระภูมิขึ้นมาแล้ว ควรบูชาทุกวัน ถ้าจะมีกล้วย อ้อย น้ำท่าบ้างก็ตามอัธยาศัย ขนมนมเนยอะไรก็ตาม ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของท่าน เวลาบูชาเทวดาจุดธูปกี่ดอก พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนไว้ ที่เขามาโมเมกันในตอนหลัง ว่าจุดบูชาผีเท่านั้นดอก บูชาพระเท่านั้นดอก บูชาครูบาอาจารย์เท่านี้ดอก นี่มันเรื่องของคนที่คิดขึ้นทีหลัง

    จะจุดธูปจุดเทียนกี่ดอกตามใจท่าน ท่านจะจุดเท่าไรก็ตามไม่เป็นไร ทีนี้ ตอนบูชา บูชาแบบไหน ถ้าเราไปนั่งบูชาบอกขอภุมเทวดาเจ้าคะเจ้าขากรุณาฉันเถิด เวลานี้ที่บ้านฉันเกิดไม่ดีขึ้นแล้ว ผัวออกนอกบ้าน เมียนอกใจ คนใช้ว่าไม่นอนสอนไม่ได้ ขอให้เทวดาช่วยกำจัดให้ด้วย ไปตามผัวให้ที ไปตามเมียให้ที หรือว่าเวลานี้ฉันอยากจะถูกหวยรวยโป อยากจะค้าขายให้มันรวย ถ้าบูชาแบบนี้ไม่เป็นเรื่องแล้ว ไม่ใช่บูชากลายเป็นเอาเทวดาเป็นคนรับใช้ไป ไม่ถูก แบบนี้ไม่ถูก การบูชาเขาต้องบูชาแบบนี้ คำว่าบูชาแปลว่ายอมรับนับถือ

    ก็หมายความว่าเรายอมรับนับถือความดีของท่านภุมเทวดา คิดว่านี่ท่านจะเป็นเทวดาขึ้นมาได้มีเรื่องทิพย์บริโภคมีร่างกายทิพย์ มีวิมานเป็นที่อยู่ เป็นทิพย์ เวลานี้เรายกศาลขึ้น ความจริงท่านไม่ได้มาอยู่ที่ศาลของเรา ศาลนี่ เดิมทีสมัยโบราณเขาไม่ได้มีศาล เขามีไม้กระบอกปักไว้กลางแจ้ง เวลาจะบูชาก็เอาธูปเทียนไปปักที่กระบอก

    ต่อมาเห็นว่า ถ้าจะมีอะไรให้บ้างก็ไม่มีที่จะวาง ก็ทำศาลเพียงตา ทำเป็นศาล ๒ ชั้น คิดว่าเทวดาท่านนั่งชั้นบน แล้วเอาของวางชั้นล่าง ท่านก็เอื้อมมาหยิบกิน ต่อมา เมื่อฝนตกแดดออก นึกสงสารเทวดาขึ้นมาก็เลยเอาร่มไปกางให้ ทีหลังเห็นว่าท่านั้นไม่เหมาะ ก็เลยเอาใหม่ ทำบ้านให้มีหลังคา มีฝารอบคอบ

    นี่เป็นเรื่องของเราเอง มาสมัยนี้เลยมีตึกมีปราสาท รู้สึกว่าเทวดามีวาสนาบารมีมากขึ้นหน่อย อย่างนี้ จะทำแบบไหนก็ตาม เทวดาท่านไม่ได้ขึ้นอยู่ วิมานของท่านมี แต่การทำแบบนี้เป็นการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน เป็นการบูชาความดี อย่ามานึกว่าท่านมาอยู่บนศาลนะ ไม่ใช่ยังงั้น

    ศาลเล็กจุ๋นจู๋แค่นั้นท่านต้องขดตัวเข้าไปนอนเห็นจะไม่ไหว ภุมเทวดามีร่างกายโตกว่าคนมาก เป็นอันว่าการบูชา ถ้าจะบูชาให้ถูกเขาบูชากันแบบนี้ จำได้แล้วใช่ไหม คำว่าบูชาแปลว่ายอมรับนับถือ

    ตานี้ เรามานับถือท่านตรงไหนล่ะ ยอมรับนับถือตอนที่ท่านมีความดี คือว่าก่อนที่ท่านจะเห็นเทวดาท่านมีหิริและโอตตัปปะ หมายความว่ามีความอายความชั่ว กลัวผลของความชั่วจะให็โทษเป็นทุกข์ก็เลยไม่ทำความชั่วเสียเลยทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง เมื่อท่านไม่ทำความชั่วก็เลยไปเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ เป็นเหตุให้พวกเราบูชากัน

    แม้แต่หน่วยราชการเขาก็ยกศาล วัดที่มีความรู้เขาก็ยกศาลเหมือนกัน วัดนะ ที่พระได้ฌานสมาบัติ บางท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านก็ยกศาลเหมือนกัน แต่ยกเป็นศาลใหญ่ ไม่ใช่ศาลเล็กๆ ท่านยกทำไม? ท่านยกเป็นการประกาศความดีของเทวดา

    สำหรับท่านที่ได้ฌานสมาบัติได้ทิพย์จักขุญาณทำมากเพราะอะไร? เพราะท่านพวกนี้ท่านเห็นจริงๆ เห็นผลความดีของท่านพวกนี้ เมื่อยกศาลขึ้นแล้ว พอมองเห็นศาลก็นึกว่าท่านพวกนี้ท่านทำความดีไว้ก่อน ตายแล้วจึงได้เป็นเทวดา ท่านก็เลยตั้งมโนปณิธานปรารถนาทำใจให้สบาย คิดว่าเราเองเราก็จะเป็นเทวดาอย่างท่านบ้าง อย่างน้อยที่สุดเราก็เป็นผู้มีหิริและโอตตัปปะ เอาเทวดาท่านพวกนี้เป็นครูสอน

    ที่ยกศาลขึ้นมาบางทีไม่เห็นตัวท่านจะได้นึกได้ว่า นี่เป็นสถานที่ที่เราบูชาเทวดา เวลานึกขึ้นได้แล้วก็นึกขึ้นมาว่าท่านเป็นเทวดาเพราะอะไร เพราะ ๑ อายความชั่ว ๒ เกรงกลัวผลของความชั่ว ท่านก็เลยเตือนตัวท่านว่าเราจงเป็นผู้อายความชั่ว เกรงกลัวผลของความชั่วเหมือนท่านเทวดาอย่างนี้แล้วก็ปฏิบัติตามนั้น นี่อย่างนี้เรียกกันว่าบูชา คือเป็นปฏิบัติบูชา

    หากว่าเราจะบูชาเพียงอามิสบูชาเฉยๆ เอาข้าวเอาน้ำไปให้ท่าน จุดธูปจุดเทียนไปให้ท่านแล้วเราก็สร้างความชั่ว อย่างนี้ไม่มีผลนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องบูชาตามแบบฉบับที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติ คือปฏิบัติบูชา ถ้าหากว่าท่านบูชาภุมเทวดาแบบนี้จำไว้ว่าภุมเทวดาทุกท่านมีเครื่องทิพย์เป็นเครื่องบริโภค มีร่างกายเป็นทิพย์ มีความสุข ไม่หนาวไม่ร้อน ไม่หิวไม่กระหาย ไม่ป่วยไข้ไม่สบาย ไม่แก่เฒ่า หนุ่มเท่าไรก็เท่านั้น เกิดปุ๊บก็หนุ่มเลย แล้วไม่มีการแก่

    เทวดามีความดีอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะมีความดี คือไม่ทำความชั่วในที่ลับและที่แจ้ง เราก็เลยตั้งใจว่าขอให้เทวดาคนนี้เป็นครู จะเอาปฏิปทาของท่านนี้มาเป็นครูของเรา เราจะขอเอาเทวดาองค์นี้เป็นสักขีพยานในการปฏิบัติความดีของเรา อย่างน้อยที่สุด เราตายไปขอให้ได้เป็นเทวดาอย่างท่าน นี่เป็นอย่างน้อยนะ

    แล้วก็ตั้งใจบูชาด้วยความเคารพ กราบก็ได้ไหว้ก็ได้ ไม่เสียหายแล้วก็นึกถึงความดีของท่าน ตั้งใจอายบาป ตั้งใจเกรงกลัวบาป เรียกว่าอายชั่ว กลัวชั่ว อย่างนี้ ชื่อว่าท่านทำตัวเหมาะสมกับการบูชาภุมเทวดาแล้ว

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องราวภุมเทวดานี่ จะพูดกันจริงๆ พูดกันทุกวัน เดือนหนึ่งไม่จบ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอาตมาเองก็เคยประสบเรื่องราวของภุมเทวดามามาก แต่ว่าอาศัยการพูดนี้ เป็นการพูดเพียงเพื่อให้เป็นตัวอย่างเท่านั้น เพื่อไห้ผู้ว่าเขาเป็นเทวดาได้เพราะอะไร แล้วก็ภุมเทวดา เป็นเทวดาที่เขาบูชากันมาก ตั้งศาลกันมาก แล้วก็มีนักปราชญ์หลายท่านคัดค้านกันมาก

    ก็เลยเอาสิ่งที่ควรบูชา และบูชาแบบไหนมันถึงจะถูกมาพูดไห้ฟัง พูดแล้วมองดูนาฬิกา บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านรู้รับฟังแล้วก็ท่านที่ติดตามทัศนาจร เวลามันหมดเสียแล้วสำหรับวันนี้ ก็ขอพักเพียงเท่านี้ บรรดาท่านที่ติดตามมาจงนั่งอยู่ในกลางมวลหมู่ของเทวดาประเภทภุมเทวดาไปสัก ๗ วัน วันพุธหน้ามาพบกันใหม่

    เอาละ วันนี้ขอลาไปกลับก่อน ขอความสุขสวัสดี จงมีแด่ท่านผู้รับฟังและท่านผู้ติดตามทุกท่าน สวัสดี. .
     
  20. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๑๙.ชั้นต่างๆ ของเทวดา

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อน ได้พาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพไปนอนพักอยู่แถวภุมเทวดา สำหรับเรื่องราวของเทวดานี้ เห็นจะต้องรีบรวบรัดกันเสียแล้วบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เพระว่าตั้งใจไว้ว่าเรื่องนี้จะให้จบภายใน ๒๔ ตอน

    นี่ทำท่าดูลีลาว่าสัก ๑๐๐ ตอน ก็ไม่จบ ฉะนั้น ต่อจากนี้ก็จะขอรวบรัดเรื่องราวต่างๆ ให้จบลงตามกำหนดที่ตั้งใจไว้

    สำหรับวันนี้ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทดูเทวดาบนยอดไม้กันบ้างดีกว่า ชมกันดูแหงนขึ้นไปดูบนยอดไม้ ต้นไม้ที่มีพุ่มสาขา จะเห็นวิมานต่างๆ แพรวพราวอยู่หมด ต้นไม้ต้นไหนมีสาขามาก ต้นนั้นมีเทวดามาก มีวิมานหลายวิมาน เทวดาพวกนี้ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์เรียกว่า รุกขเทวดา

    สำหรับรุกขเทวดานี้ มีบุญมากกว่าภุมเทวดาหน่อยหนึ่ง คือมีวิมานปะยอดไม้เข้าไว้ แต่ความจริงไม่ใช่อาศัยต้นไม้ที่มีแก่นต่อไป อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่า ต้นไม้ที่มีแก่นสูงเพียงคืบเดียว รุกขเทวดาก็ใช้วิมานอาศัยได้ อันนี้เป็นพุทธพจน์ จะขอนำเนื้อความย่อๆ ว่าทำบุญอะไรจึงได้เป็นรุกขเทวดามาเล่าให้ฟัง

    ตัวอย่างก็มีว่า คนใช้ของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี มารับอาสาเป็นลูกจ้าง ครั้งแรกไม่ทราบว่าวันนั้นเป็นวันพระ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันพระบ้านของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี แม้แต่เด็กก็ต้องรักษาอุโบสถ เขาไปทำงานอยู่ตลอดวัน กลับมาตอนเย็น เห็นคนอื่นไม่กินข้าว ทราบเนื้อความนั้นจากแม่ครัว ก็เลยขอสมาทานอุโบสถครึ่งวัน รักษาเฉพาะไม่กินข้าวเย็นแล้วก็ตลอดคืน อาศัยที่เขาทำงานหนัก ก็มีความหิวโหย

    เมื่อไม่ได้กินข้าวเย็น ตอนดึกลมก็กำเริบ ท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐีขอร้องให้กินข้าว เอาอาหารดีๆ ไปให้ แล้วก็บอกว่าวันอื่นมีถมไปที่เราจะรักษาความดี แต่ว่าชายคนนี้บอกว่า ความดีเพียงครึ่งวันข้าพเจ้ายังทำไม่ไหว จะยอมให้ศีลขาดทำไม่ได้เพราะความดีไม่เต็มวัน แต่ครึ่งวันแค่นี้ ถ้าปล่อยให้ศีลขาดก็จะเลวเกินไป เห็นอันว่าแกไม่ยอมกินข้าว ยอมอดข้าวตายดีว่ายอมศีลขาด พอตอนดึก ปรากฏว่าแกตาย เมื่อตายแล้ว ดวงจิตคือวิญญาณหรืออทิสมานกาย กายที่สิงอยู่ในกายเนื้อก็ล่องลอยไปเป็นเทวดา เป็นรุกขเทวดา

    ตัวอย่างมีเท่านี้ เป็นอันว่า ภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี เป็นประเภททำบุญไม่เต็มที่ ภุมเทวดาประเภททำบุญสักแต่ว่าทำ เช่นชาวบ้านเขาไปวัดก็ไป ใส่บาตรก็ใส่ไปรักษาศีลก็ไป แต่ไปตามประเพณีแบบปู่ย่าตายายทำมาก่อนๆ เป็นสำคัญ แต่ว่าบุญนั้นก็ยังช่วยให้เป็นเทวดา สำหรับรุกขเทวดานี้ ตั้งใจทำความดีจริง แต่ว่าทำไม่ครบไม่ถ้วน นี่ว่ากันเท่านี้นะ เพราะว่าจะต้องลัดกันแล้ว

    ต่อจากนี้ไปก็ขอชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพไปเที่ยวเมืองเทวดา ด้าน อากาศเทวดา กันดีกว่า ออกเดินตามอาตมามา เวลานี้เราอยู่แดนของมนุษย์หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก เดินไปในสายที่เราไปเมืองนรก เดินตามมา นี่สมมติว่าตอนนี้มาถึงทางแยกแล้ว เห็นเทวดาอินไหม?

    ท่านเทวดาอินยืนยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าเบิกบาน รูปร่างหน้าตาสวย ทรงเครื่องประดับเต็มที่ ยกมือขึ้นไหว้ถามว่า พระคุณเจ้าจะไปทางไหน ก็เลยบอกว่าวันนี้จะไปเที่ยวอากาศเทวดาเมืองสวรรค์ ท่านก็ชี้ บอกว่าถ้าจะไปเที่ยวเมืองสวรรค์ นี่เราหันหน้าไปทางทิศตะวันออกไปด้านซ้ายมือ ทางขึ้นเนินแต่ความจริงคนที่ได้มโนมยิทธิเขาไม่ต้องอาศัยเนินนี้ก็ได้ ไปทางลัดปั๊บเดียวก็ถึง

    แต่ว่าสายนี้เดินกันตามลำดับ ถ้าจะไปพรหมต้องเลี้ยวขวามือ ถ้าไปนรก ตรงไป เป็นอันว่าขอบใจท่านเทวดาอิน วันนี้ขอไปเที่ยวเมืองสวรรค์ ไม่ไปนรกแล้ว เพราะว่าเมื่อนรกไปเที่ยวกันมาแล้ว บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทกับพระคุณเจ้าที่เคารพ ตามกระผมมา เราเลี้ยวซ้ายขึ้นเนินทีละน้อย ทางขาวโพลนเป็นทางใหญ่

    นี่เราเดินมาได้ประมาณสักครึ่งทาง สมมติกันนะ เที่ยวด้วยปากนี้มันไม่ยาก เที่ยวทางแบบนี้ ถามว่ามาจากไหน จะเอาใครเป็นพยาน ก็บอกเอาพระร่วงเป็นพยาน เพราะไตรภูมิพระร่วงความจริงท่านเขียนไว้ดี พระร่วงไม่ได้เขียน พระเขียนให้ แต่ว่าที่พูดนี่ ก็ไม่ได้อาศัยไตรภูมิพระร่วงจรกระทั่งเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ใช้หลักวิชาต่างๆ ตามที่ค้นคว้าพบมาประกอบ

    เวลานี้เราขึ้นเนินมาถึงกึ่งทาง เนินที่ขึ้นมานี้ เราเรียกกันว่าภูเขาพระสุเมรุ ในระหว่างกึ่งทางนี้ เราจะมองไปดูรอบๆ มองไปทางด้านทิศตะวันออกเห็นวิมานแพรวพราวนับเป็นจำนวนแสน ดินแดนนี้เป็นดินแดนของเทวดามีนามว่า ท้าวธตรฐ เป็นจอมเทวดาและมีอินทกะ คืออุปราชอยู่ ๑,๐๐๐ ท่าน และมีบริวารเป็น คนธรรพ์

    คำว่า คนธรรพ์ นี่เป็นชื่อของเทวดาเหล่าหนึ่ง เรียกว่าเป็นชื่อของทัพๆ หนึ่งอยู่หลายแสนท่านด้วยกันเรียกว่านับเป็นแสนๆ อาจจะเกิน ๑๐ แสนหรือ ๑๐๐ แสนก็ได้

    มองไปทางด้านทิศใต้เป็นกลุ่มวิมานอีกกลุ่มหนึ่งนับจำนวนแสนๆ เหมือนกัน วิมานแถวนี้มีท่านเจ้าของหรือท่านผู้เป็นใหญ่มีนามว่า ท่านวิรุฬหก และอินทกะคืออุปราช ๑,๐๐๐ ท่านเหมือนกัน มี กุมภัณฑ์ เป็นบริวารมีจำนวนนับได้แสน

    ถ้าเรามองไปด้านทิศใต้จะมองเห็นวิมานเป็นจำนวนนับแสนเหมือนกัน ดินแดนแห่งนี้ท่านผู้เป็นใหญ่มีนามว่า ท่านท้าววิรูปักษ์ มีอินทกะ คืออุปราชประมาณ ๑,๐๐๐ ท่านเหมือนกัน แล้วก็มี นาค เป็นบริวารนับจำนวนแสนๆ ทว่านาคในที่นี้ไม่ใช่นาคที่เลื้อยคลาน เป็นเทวดามีนามว่านาค เขาเรียกว่ากลุ่มนาค เป็นนามของกองทัพ

    ทีนี้เรามองไปทางด้านทิศเหนือ มีวิมานนับจำนวนแสนเหมือนกัน แถวนี้หรือในสถานที่นี้ท่านผู้เป็นผู้ใหญ่มีนามว่า ท้าวเวสสุวัณณ์ มีอินทกะคือ อุปราช ๑,๐๐๐ ท่านเหมือนกัน แล้วก็มี ยักษ์ เป็นบริวารนับเป็นจำนวนแสนๆ คำว่ายักษ์ในที่นี้แปลว่า ผู้อันบุคคลควรบูชาหรือแปลว่าเทวดา ไม่ใช่ยักยอกหรือว่ายักษ์ทศกัณฐ์ ยักษ์ประเภทนี้ไม่มีเขี้ยว มีรูปร่างหน้าตาสวยกว่าคนมาก เป็นเทวดาที่มีบุญญาธิการมาก

    รวมความว่าเทวดา ๔ เหล่าหรือ ๔ ด้าน เป็นกองทัพ ๔ กองทัพ ป้องกันเวชยันต์วิมานคือป้องกันชั้นดาวดึงส์ เพราะว่าเทวดากับพวกอสุรกายไม่ถูกกัน

    อสุรกายในสมัยก่อนอยู่ดาวดึงส์ แล้วก็ถูกพวกเทวดาขับไล่เพราะว่าอสุรกายเป็นอันธพาล ต้องมาอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ ทีนี้บรรดากองทัพ ๔ เหล่านี้ก็มาอยู่ถึงกลางเขาพระสุเมรุ เพื่อเป็นการป้องกัน ถ้าอสุรขึ้นมาเมื่อไรก็รบกันเมื่อนั้น

    นี่เป็นเรื่องของเทวดาเขาจะรบกันจริงหรือไม่จริงก็ไปดูเรื่องเทวดาอสุรกายสงคราม หาที่ไหนไม่ได้ก็ไปดูในพระธรรมบทได้มีอยู่ เรื่องนี้ขอยกไปเป็นอันว่าเรามาพูดกันถึงเรื่องราวของเทวดา ๔ เหล่านี้ ความเป็นมาเป็นยังไง

    เทวดาทั้ง ๔ เหล่าหรือว่ากองทัพทั้ง ๔ กองทัพ มีท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวเวสสุวัณณ์ เป็นจอมทัพหรือแม่ทัพใหญ่อยู่ แต่ว่าเทวดาทั้งหมดปรากฏมาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ได้ ท่านบอกว่านอกจากทาน ศีล ภาวนา แล้ว ต้องมีบทภาวนาได้ฌานทุกท่านจะเป็นฌานที่เท่าไรก็ตามแต่คงจะไม่ใช่ฌาน ๔ คงจะไม่ถึงฌาน ๔ นะ เรียกว่าท่านที่จะมาเกิดในชั้นนี้เป็นเทวดาทุกท่าน

    เป็นเทวดาอยู่มีฌานทุกท่าน แล้วก็เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย จึงมาเป็นเทวดากองทัพของพระอินทร์ เรียกว่าเป็นเทวดาทหาร สำหรับเทวดาที่อยู่ ชั้นจาตุมหาราช นี้ก็ดี

    ชั้นนี้เรียกว่าชั้นจาตุมหาราช คือ มีพระราชา ๔ องค์แล้วก็เทวดาเป็นรุกขเทวดาหรือภุมเทวดาก็ดี ท่านพุทธบริษัท อย่าไปเหยียดหยามท่านนะทุกท่าน และมีจำนวนมากที่เป็นพระอริยเจ้า มีพระโสดา สกิทาคา อนาคา ก็มี

    นี่บรรดามนุษย์ทั้งหลายอย่าเบ่ง อย่าอวดตัวว่าดีกว่าเทวดา ว่าเทวดาไหว้ไม่ได้ เคารพไม่ได้ บูชาเทวดาไม่ได้ เราถึงพระพุทธเจ้าแล้ว แต่รู้หรือเปล่าว่าเทวดา แม้แต่ภุมเทวดา ที่เป็นพระอริยเจ้าก็เยอะ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่เป็นพระอริยเจ้า ท่านก็มีความดี รับผลของความสุขคือมีรับผลของหิริและโอตตัปปะ

    พระหลายท่านหรือว่าส่วนมากเคยพูดว่าเวลาเราบวชพระนี่ดีเทวดาไหว้เรา พระประเภทนี้เข้าใจผิด ลูกศิษย์อาตมาเองเคยโดนมา คุยแล้วแบบนี้

    แต่พอเจริญพระกรรมฐานจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ ก็โดนเทวดายกบาทาให้ บอกว่าส้นตีนนี่แน่ะ เทวดาไหว้ แล้วพอตอนเช้าเขาเข้ามาหาขอกว่าเทวดาไม่มีมรรยาท ถามว่าทำไม บอกว่าเวลานั่งพระกรรมฐานยกบาทาให้ได้ แล้วบาทาก็โตกว่าตัวตั้งเยอะ

    ก็เลยบอกกับเธอเข้าใจผิด คนที่เขาจะไหว้นั่นน่ะ คนที่เทวดาเขาจะไหว้จะต้องมีความดีเสมอเขาหรือว่ามีความดีเกินกว่าเขา พวกเราบวชเข้ามาเป็นพระไม่ใช่ว่าจะมีความดี เอาหัวก็ตาม โกนหัวอย่างพระห่มผ้าเหลืองอย่างพระ แต่ว่าจิตใจเป็นสัตว์ดิรัจฉานหรือว่าสัตว์นรกก็ถมไป เพราะไม่ตั้งอยู่ในธรรมวินัย ไม่ประพฤติปฏิบัติ มีความดีพอสมควรอย่างเทวดา

    พระที่ไม่มีหิริและโอตตัปปะ คือไม่มีความอายต่อบาป ไม่มีความเกรงกลัวต่อบาป พระบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนให้ละ แต่กลับมาสะสมทรัพย์สมบัติ อยากได้ลาภ อยากได้ยศ อยากได้สรรเสริญ อยากได้สุขอย่างฆราวาส บางท่านก็ทำตัวเลวกว่าฆราวาส อย่างนี้เทวดาเขาไม่ไหว้

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องบุญที่ทำให้เกิดมาเป็นเทวดาชั้นนี้ รู้กันเพียงย่อๆ ว่านอกจากทานศีล ต้องมีภาวนาฌานและเวลาตายๆ นอกฌาน คือไม่ได้เข้าฌานตาย มาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้

    เมื่อเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้แล้วก็บำเพ็ญฌานบารมีต่อไป ฌานเข้าเต็มที่ รอเวลา ๕๐๐ ปีทิพย์ คือเทวดานั้นมีอายุ ๕๐ ปี คือ ขอโทษ ๕๐ ปีของเราเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา เดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน และอายุของเขาจริงๆ ๕๐๐ ปีทิพย์ เมื่อครบ ๕๐๐ ปีทิพย์แล้วเทวดาชั้นนี้ทั้งหมด ถ้าไม่ต้องการไปเกิดเป็นคนก็ไปเกิดเป็นพรหมด้วยอำนาจของฌานที่บำเพ็ญจนครบถ้วนบริบูรณ์

    สำหรับหน้าที่ของเทวดาชั้นนี้คือควบคุมความประพฤติของมนุษย์ มีภุมเทวดาเป็นเจ้าหน้าที่คอยจดความดีความชั่วของตน ใครไปทำความดีความชั่วที่ไหนก็ตามพระภูมิจด เคยพบในสมัยที่ป่วยอยู่กรมแพทย์ทหารเรือ

    วันนั้นตี ๒ ปรากฏว่าเห็นคนเดินมาคนหนึ่ง ถามว่าใคร บอกว่าเป็นภุมเทวดา ถามว่ามาทำไม บอกว่ามาดูความดีและความชั่วของคน ว่าใครจะเป็นยังไงบ้าง ถามแกเข้าแกบอกว่า มันเป็นหน้าที่จะต้องมาจด จดความดีและความชั่ว อันนี้ตามบาลีก็มี

    ท่านบอกว่าภุมเทวดา เป็นคนจดตามเขตที่ตนอารักขามีหน้าที่แล้วก็ไปส่งให้อากาศเทวดา คือ อากาศเทวดาของจาตุมหาราชชั้นพลทหารต่อไปเทวดาชั้นพลก็ไปส่งให้นายหมวดนายหมู่ แล้วก็มอบให้กับท่านท้าวมหาราช

    ท่านท้าวมหาราชก็คัดบัญชี ใครทำบาปกันไว้ประเภทของบาป ใครทำบุญกันไว้ประเภทของบุญประเภทของบาปก็ให้เทวดา ๔ องค์ที่เรียกว่าเทวทูตนำไปส่งสำนักของพระยายม ตัวท่านท้าวมหาราชเองพอเวลาวันพระก็นำไปสู่ที่ประชุมของเทวดาบนสวรรค์ดาวดึงส์

    เมื่อเทวดามาประชุมกันที่เทวสถานหรือศาลาสุธรรมา ซึ่งบรรดาท่านพุทธบริษัทจะทราบเรื่องราวนี้ในวันพุธหน้า บรรดาเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อทราบว่าคนทำบุญมากก็ดีใจ แต่หน้าที่ที่ท่านเทวดาไปส่งคืนจาตุมหาราช ท่านนำเรื่องราวความเป็นมาของมนุษย์หรือความประพฤติของมนุษย์ที่ทำบุญไปส่งนั้นไปส่งกับปัญจสิกขเทพบุตร

    สำหรับปัญจสิขเทพบุตรนี้เป็นชื่อโดยตำแหน่ง คือเดิมทีเดียวท่านเทวดาองค์หนึ่งในสมัยที่เป็นมนุษย์มีแกละอยู่ ๕ แกละ มีจุกบนหัวน่ะ ๕ จุก ทีนี้ทำความดีตายไปแล้วไปเกิดเป็นเทวดา เขาให้นามว่าปัญจสิกขเทพบุตร มีหน้าที่เป็นเลขาของพระอินทร์

    ต่อมาท่านองค์นั้นตายไปแล้ว เวลานี้ไปนิพพานแล้ว คนอื่นมารับหน้าที่นั้นก็เลยให้นามว่าปัญจสิกขเทพบุตรเหมือนกัน ท่านปัญจสิกขเทพบุตรก็นำเอาบัญชีนั้นไปกราบทูลให้พระอินทร์ทรงทราบ

    เมื่อพระอินทร์ทรงทราบแล้วก็ประกาศนามคนที่ทำบุญเหล่านั้นให้มวลหมู่เทวดาที่มาประชุมกันทราบ ถ้าระหว่างวันพระไหนมีคนทำบุญมากบัญชีบุญบัญชีกุศลมากบรรดาเทวดาทั้งหลายก็ดีใจ กล่าวกันว่าต่อแต่นี้ไปพวกบรรดาเทพนิกายมากแล้ว เพราะอาศัยความดีใจปลื้มใจทีมีพวกมาก ท่านก็พากันฟ้อนรำทั้งเทวดาและนางฟ้า ความจริงสวยจริงๆ นะ น่าดู น่าอยู่ น่าเป็นเทวดา

    แต่วันพระไหนถ้าบังเอิญ เป็นการบังเอิญนะ คนทำบุญน้อย บรรดาเทวดาทั้งหลายได้ทราบจากบัญชีของท้าวมหาราชก็สลดใจ วันนั้นไม่มีการฟ้อนรำ นั่งสลดใจเศร้าสร้อยไปตามๆ กัน นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท หน้าที่ของบรรดาท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ที่มีหน้าที่จะต้องทำอย่างนี้ นี่เราว่ากันอย่างลัดๆ นะ เรียกว่าคุยกันนานไม่ได้ อย่าดูกันนานเลย เพราะเวลามันกระชั้นเหลือเกิน เหลืออีก ๒-๓ ตอนจะหมดกำหนดที่พูดไว้ว่าจะทำเป็นเพียง ๒๔ ตอน

    ถ้าขืนพูดละเอียดละก็ ๑๐๐ ตอนมันก็ไม่จบ เพราะว่าเรื่องราวของไตรภูมินี้จะเป็นหนังสือ เวลานี้ ท่าน พล อ.ต. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ กำลังลอกเป็นตัวหนังสือเป็นตอนๆ ท่านเจ้ากรมคนนี้เก่งจริงๆ เก่งมาก หนังสือที่ออกไปแล้วทุกฉบับท่านลอกจากเทปบันทึกเสียงลงเป็นตัวหนังสือ ทำงานได้เร็วมาก เขียนหนังสือก็สวย คนประเภทนี้ได้กำไร เพราะจัดว่าเป็นเหตุของธรรมทานอย่างยิ่ง

    พระพุทธเจ้า ท่านกล่าวว่า สัพพทานัง ธรรมทานังชินาติ การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง

    ก็แลท่านเจ้ากรมนี่เป็นผู้ประกอบด้วยวิริยะและอุตสาหะ และทำงานได้รวดเร็วมาก หายากที่จะทำได้แบบนี้ คนประเภทนี้ถ้าตายลงนรกก็ซวยเต็มที และก็เป็นเรื่องราวต่อไป

    ข้างหน้ามันมีอยู่ว่านักเจริญพระกรรมฐานทั้งหลายส่งจดหมายกันมาไม่รู้ว่ากี่ฉบับ เวลานี้ก็คั่งเต็มที่ไม่ได้ตอบให้ใครทราบต่างคนต่างก็ถามว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานตามแนวที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยัน จะเอาแนวจริงๆ กันมีเป็นประการใดบ้าง ถ้าจะตอบก็ตอบไม่ไหว เวลาไม่มี

    และอีกประการหนึ่งมีหลายท่านด้วยกันส่งเทปมา บอกขอให้ช่วยบันทึกด้วยเถอะ จะเอาไปให้คนฟังกันในสำนักงานของตน นี่ก็เหมือนกัน งานการก็มีทุกอย่าง วัดวาอารามก็สร้างไม่เสร็จ ที่สร้างมาแล้วคิดว่ามันจะพอ เวลานี้พอไม่ได้เสียแล้ว คนมามากเต็มไม่มีที่พักอาศัย ในที่สุดเป็นยังไงก็ต้องสร้างใหม่ เริ่มเหนื่อยใหม่ต่อไปใหม่

    เป็นอันว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ท่านทั้งหลายที่ถามถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระกรรมฐาน ว่าทำยังไงจึงจะถูกต้องตามพระพุทธพจน์ อันนี้อาตมาจะนำเรื่องราวของอุทุพลิกาสูตรมาบันทึกให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังและก็เพื่อไม่ให้เสียเวลาสำหรับท่านทั้งหลายที่ไม่ได้ส่งเครื่องบันทึกเข้าไว้

    หลังจากเรื่องราวของไตรภูมิจบก็จะออกอุทุมพลิกาสูตรเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติพระกรรมฐาน ที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันกับนิโครธปริพาชก จะพูดให้ฟังเต็มเรื่องโดยละเอียดเวลานี้ คุณหมดประจวบกับคุณยุพยงแห่งร้านวรรณเวช อำเภอสรรค์บุรี ส่งเทปมาตั้งปึกเบ้อเร่อก็ยังไม่มีโอกาสจะทำให้ ก็จะทำพร้อมๆ กันไป คือ บันทึกให้ท่านแล้วก็บันทึกออกสถานีด้วย มิฉะนั้นเวลามันไม่มี

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัทเวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง นี่เรามาชมเรื่องจาตุมหาราชกันพอสมควรแล้ว เดินให้มันลัดให้มันเร็วเข้า วันนี้อย่าย่องเลยวิ่งดีกว่า แต่อย่าวิ่งให้เร็วนักนะ คนที่เดินมาด้วยกันน่ะคนแก่มีเยอะ เดี๋ยวจะหกล้มจมคว่ำ จะล้มไปปากคอจะแตก

    เดินต่อขึ้นไปอีกครึ่งทางจะถึงจุฬามณีเจดีย์สถาน อันเป็นที่ถวายนมัสการของบรรดาเทวดาและพรหมหรือว่าท่านที่ได้ฌาน หรือว่าพระทั้งหลายที่ตายแล้วไปเกิดในที่ไม่ตายอีก นั่นก็ต่างพากันมาไหว้ ในระหว่างกึ่งกลางนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทางซ้ายมือจะเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งแลดูเป็นแก้วแพรวพราวไปทั้งต้น มีสาขาใหญ่ มีแท่นน้อยๆ วางอยู่โคนต้นไม้ แท่นนี้มองดูแล้วไม่ใหญ่ แต่ความจริงแล้วนั่งกี่คนก็ไม่เต็ม

    เมืองเทวดานี่มีแปลกอยู่อย่างหาอะไรพอเหมาะพอดีไม่ได้ หมายความว่าหาอะไรเล็กไม่ได้ของไม่โตแต่คนไปมากนั่งไม่เต็ม อันนี้เป็นของแปลก ต้นไม้ต้นนี้กล่าวกันว่าเกิดขึ้นมาได้ด้วยอำนาจของท่านมาลาพาลีเทพบุตร ในสมัยที่ท่านเป็นมนุษย์ ท่านชอบปลูกต้นไม้เป็นสาธารณประโยชน์

    เมื่อปลูกต้นไม้แล้วก็ทำเก้าอี้บ้าง ทำเตียงบ้าง ทำแท่นบ้าง เอาหินมาว่าเป็นที่นั่งสำหรับคนจะได้นั่งพัก ท่านทำแล้วท่านไม่ประสงค์ค่าจ้างรางวัล เรื่องการตอบแทนใดๆ หวังให้คนเดินทางมาจากที่ไกลได้อาศัยนั่งร่มให้สบายมีความร่มรื่นจะได้พักอาศัย

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายถ้าดูเวลาแล้วมันก็เหลืออยู่อีกนิดเดียว ถ้าเราจะเดินทางกันต่อไปก็คงจะไม่ไกลนัก ไหนๆ ก่อนจะหยุดก็ขยับเดินทางไปอีกนิด เดินไปอีกครึ่งทางก็ขึ้นไปถึงบันใดที่จะขึ้นจุฬามณีเจดีย์สถาน อันเป็นสถานที่นมัสการของบรรดาเทวดาและมนุษย์ที่ได้ฌาน ขึ้นหรือไม่ขึ้น ลองขึ้นสักนิดไหม ดูบันไดซิท่านพุทธบริษัท จะเห็นบันใดทองแล้วประดับประดาไปด้วยแก้วพราวพราย แหงนขึ้นไปข้างหน้าไปดูนั่นซิ รอบๆ ทาง รอบๆ ของจุฬามณีเป็นกำแพงทองคำ และก็แพรวพราวไปด้วยแก้ว

    พระจุฬามณีเจดีย์สถาน เป็นเจดีย์มีสัณฐานกลมสูงตระการตา มีธงหลากสีหลายประการ มีธงมากมายหลายประเภทขึ้นอยู่ แล้วพระจุฬามณีเจดีย์สถานก็มีแก้ว ๗ ประการประดับทั้งองค์ คือเป็นแก้ว ๗ ประการทั้งหมด เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้หมดเวลาแล้ว พักกันตามบันใดพระจุฬามณีเจดีย์สถานกันก่อน อีก ๗ วัน คือวันพุธหน้าค่อยเดินทางต่อไป

    สำหรับวันนี้หมดเวลาอาตมาก็ขอกลับวัดสักนิดหนึ่งก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. .
     

แชร์หน้านี้

Loading...