ไฟล์ที่หก ภาพพระแบบละเอียด และ แผ่เมตตา

ในห้อง 'กรรมฐาน ๔๐' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 29 กันยายน 2005.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    [MUSIC]http://www.palungjit.org/buddhism/audio/attachment.php?attachmentid=2018[/MUSIC]
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ทุกคนนั่งตัวตรงนะ นั่งตัวตรงแต่ไม่ต้องเกร็งร่างกาย หลับตาลงเบา ๆ สบาย ๆ เหมือนกับเราไปนั่งคุยกับใครสักคน เอาตามเรามองย้อนเข้าไปในศรีษะ มองย้อนลงไปในอก มองย้อนลงไปถึงในท้อง ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าว่าพุทธ หายใจออกว่าโธ หายใจเข้าผ่านจมูก กึ่งกลางอกลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้องผ่านกลางอกออกมาที่ปลายจมูก เวลาลมกระทบจมูก กระทบกึ่งกลางอก กระทบที่สุดของท้องให้รู้ไว้ เวลาลมออกจากท้อง กระทบกึ่งกลางอก กระทบปลายจมูกให้รู้ไว้ เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกนี้เท่านั้น ถ้ามันคิดเรื่องอื่นให้ดึงมันกลับมาอยู่กับลมหายใจทันทีรู้ตัวว่าคิดเรื่องอื่นเมื่อไหร่ให้ดึงกลับมาที่ลมหายใจทันที หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธ หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธ นึกถึงภาพพระไว้องค์หนึ่ง ให้ภาพนั้นเป็นภาพพระพุทธรูป หรือภาพพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบมากที่สุด จะเป็นภาพแบบพระสงฆ์ก็ดี แบบพระพุทธก็ดี แบบพระวิสทธิเทพก็ดี ให้อยู่ตรงหน้าของเรา ตรง ๆ ไปข้างหน้า อย่าใช้สายตามอง อย่าใช้สายตาเพ่ง กำหนดใจสบาย ๆ ว่ามีภาพพระพุทธรูปอยู่ตรงหน้าของเราจะเห็นหรือไม่เห็นช่างมัน ให้เรารู้สึกและมั่นใจว่ามีพระอยู่ตรงหน้าของเรา หายใจเข้าจดจ่ออยู่ที่ภาพพระนั้น หายใจออกกำลังใจจดจ่ออยู่ที่ภาพพระนั้น หายใจเข้าภาพพระสว่างขึ้น หายใจออกภาพพระก็สว่างขึ้น หายใจเข้าภาพพระสว่างขึ้น หายใจออกภาพพระสว่างขึ้น ทำใจเบา ๆ สบาย ๆ นึกว่ามีพระพุทธรูปสว่าง ๆ องค์หนึ่งอยู่ตรงหน้าของเรา สายตาไม่เห็นไม่เป็นไร เพราะเราหลับตาไม่เห็นอยู่แล้ว เอาความรู้สึกทั้งหมดจดจ่ออยู่ตรงหน้านั้น นึกถึงภาพพระนั้นไว้ หายใจเข้านึกว่าพุทธ หายใจออกนึกว่าโธ หายใจเข้าภาพพระสว่างขึ้น หายใจออกภาพพระสว่างขึ้น จดจ่อให้แน่วแน่อยู่สักครู่หนึ่ง

    คราวนี้กำหนดกำลังใจของเรา ดึงเอาภาพพระนั้นมาอยู่เหนือศรีษะของเรา เท่ากับว่าตอนนี้เรามีพระพุทธรูปอยู่บนศรีษะ เป็นพระพุทธรูปแก้วใส สว่าง สะอาด อยู่ข้างบน เปล่งรัศมีใสสว่างครอบคลุมตัวเรา ลงมา หายใจเข้าพระพุทธรูปก็สว่าง หายใจออกพระพุทธรูปก็สว่าง ความสว่างไสวอยู่เหนือศรีษะของเรานี่เอง ให้พระพุทธรูปหันหน้าไปด้านเดียวกับเรา เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขนาดที่เรากำหนดความรู้สึกควบคุมได้แบบสบาย ๆ ต้องการหน้าตักกว้างสักเท่าไหร่เรากำหนดเอาเอง หายใจเข้าพระก็สว่าง หายใจออกพระก็สว่าง ยิ่งเอาใจจดจ่ออยู่กับภาพพระ ยิ่งกำหนดลมหายใจเข้าออกมากเท่าไหร่ พระองค์ท่านก็สว่างมากขึ้นทุกที ๆ ความสว่างนั้นครอบคลุมตัวเราลงมา จนกระทั่งตัวเราก็พลอยสว่างไปทั้งหมดด้วย กำหนดใจว่าภาพพระสว่างตัวเราก็สว่าง ถ้ามันจะภาวนาให้มันภาวนา ถ้ามันไม่ต้อง การภาวนาก็ปล่อยมัน ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน กำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมกับภาพพระที่สว่างอยู่เฉย ๆ

    คราวนี้กำหนดภาพพระเพิ่มขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง องค์แรกสว่างไสวอยู่บนศระษะของเรา องค์ที่สองนี้เอาท่านเข้ามาอยู่ในกระโหลกศรีษะของเรา เหมือนกับว่าตอนนี้หัวของเราว่างๆ เปล่า ๆ ไม่มีอะไร เลย มีพระพุทธรูปแก้วใส ๆ สว่างๆ อยู่ในหัวองค์หนึ่ง อยู่บนหัวองค์หนึ่ง พระพุทธรูปองค์แรกอยู่เหนือหัวของเรา องค์ที่สองอยู่ในหัวของเรา หายใจเข้าภาพพระทั้งสองก็สว่างขึ้น หายใจออกภาพพระทั้งสององค์ก็สว่างขึ้น หายใจเข้าภาพพระสว่างขึ้น หายใจออกภาพพระสว่างขึ้น

    จากนั้นกำหนดภาพพระองค์หนึ่งให้อยู่กึ่งกลางอกของเรา ตรงที่ลมหายใจต้องผ่าน ภาพพระองค์แรกอยู่เหนือศรีษะของเรา องค์ที่สองอยู่ในหัวของเรานี่เอง องค์ที่สามอยู่กึ่งกลางอกของเรา หายใจเข้าภาพพระทั้งสามองค์ก็สว่างขึ้น หายใจออกภาพพระทั้งสามองค์ก็สว่างขึ้น ใครจะกำหนดให้องค์ไหนใหญ่ แล้วแต่เราชอบแล้วสฃก็ถนัด องค์ที่ หนึ่งใหญ่ องค์ที่สองเล็ก องค์ที่สามใหญ่ ก็แล้วแต่เราชอบ หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธ หายใจเข้าภาพพระสว่างทั้งสามองค์ขึ้น หายใจออภาพพระทั้งสามองค์สว่างขึ้น

    จากนั้นให้กำหนดภาพพระองค์ที่สี่ให้อยู่ในท้องของเรา อยู่ตรงที่ลมหายใจเข้าออกไปสุดอยู่ตรงนั้น หายใจเข้าลมจะไปสุดอยู่ตรงนั้น หายใจออกลมจะออกจากตรงนั้น ให้มีภาพพระพุทธรูปองค์ที่สี่อยู่ในท้องของเรา ใสสว่างเหมือนกัน องค์ที่หนึ่งอยู่เหนือศรีษะของเรา องค์ที่สองอยู่ในศรีษะของเรา ระดับเดียวกับสายตาของเรา องค์ที่สามอยู่ในอก องค์ที่สี่อยู่ในท้อง ตอนนี้เรามีพระพุทธรูปอยู่ด้วยกับเราสี่องค์ หายใจเข้าพระพุทธรูปก็สว่างขึ้น หายใจออกพระพุทธรูปก็สว่างขึ้น เหมือนกับว่าเราหายใจผ่านทางศรีษะของเราลมหายใจเข้าผ่านพระองค์ที่หนึ่ง มาถึงองค์ที่สอง ถึงองค์ที่สาม ไปสิ้นสุดที่องค์ที่สี่ ภาพพระสว่างสดใสขึ้นตามลมหายใจ หายใจออกลมหายใจกลับพระองค์ที่สี่ มาพระองค์ที่สาม มาที่พระองค์ที่สอง ไปหมดที่พระองค์ที่หนึ่ง ภาพพระยังคงใสสว่างอย่างนั้น หายใจเข้าภาพพระพุทธรูปองค์ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ สว่าง หายใจออก พระพุทธรูปองค์ที่สี่ ที่สาม ที่สอง ที่หนึ่งก็สว่าง หายใจเข้าหนึ่ง สอง สาม สี่ หายใจออก หนึ่ง สอง สาม สี่ เข้าพระสว่างทุกองค์ ออกพระสว่างทุกองค์ หายใจเข้าพระพุทธรูปองค์ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ สว่างขึ้น หายใจออก พระพุทธรูปองค์ที่สี่ ที่สาม ที่สอง ที่หนึ่ง สว่างขึ้น เข้า หนึ่ง สอง สาม สี่ ออก สี่ สาม สอง หนึ่ง เข้า หนึ่ง สอง สาม สี่ ออก สี่ สาม สอง หนึ่ง พระพุทธรูปสว่างไสวไม่มีประมาณ

    จากนั้นกำหนดภาพพระองค์ที่หนึ่ง องค์สอง และองค์สี่ มารวมกันอยู่ในอกของเราเพียงองค์เดียว กลายเป็นพระพุทธรูปแก้วใสอยู่ในอกของเราองค์เดียว ภาพพระทั้งสี่องค์ตอนนี้เหลืออยู่ในอกของเราองค์เดียว กำหนดให้ท่านเลื่อนลงไปอยู่ในท้องเล็กลงไปหน่อยหนึ่ง ตามลมหายใจเข้าไป อยู่ที่ท้องท่านก็เล็กลง เลื่อนออกมาพอลมหายใจเข้าออก ท่านก็ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น มาที่อก มาที่ศรีษะ ไปอยู่เหนือหัวโน่น ใหญ่เบ้อเร่อเลย หายใจเข้าท่านก็ไหลเข้ามาจากใหญ่ก็เป็นเล็กมาอยู่ในศรีษะ มาอยู่ในอก ลงไปที่ท้อง เป็นองค์เล็กจิ๋วอยู่ในท้องโน่น หายใจออกกำหนดภาพท่านใหญ่ขึ้น มาที่หน้าอก มาที่ศรีษะ ไปใหญ่โตมโหราฬ อยู่เหนือศรีษะเราโน่น หายใจเข้าพระพุทธรูปแก้วองค์ใหญ่เล็กลง ๆ ๆอยู่ในท้องของเรา หายใจออกพระพุทธรูป แก้วองค์เล็กใหญ่ขึ้น ๆ จนไปอยู่บนศรีษะของเรา หายใจเข้าภาพพระเล็กลง ๆๆอยู่ในท้อง หายใจออกภาพพระใหญ่ขึ้น ๆ เลื่อนไปอยู่บนศรีษะ

    คราวนี้กำหนดใจให้นิ่งอยู่กับภาพพระบนศรีษะ ตอนนี้เรามีพระพุทธรูปองค์เดียว พระพุทธรูปทุกองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมดอยู่บนศรีษะของเรา สว่างไสวไปทั่ว ให้กำหนดใจแผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้รัศมีขาวสะอาดสว่างไสวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แผ่กว้างจากร่างกายของเราออกไป เหมือนอย่างกับเราโยนก้อนหินลงน้ำ แล้วน้ำกระเพื่อมเป็นวงกว้างออกไป ๆ ทุกที กว้างออกไปทั้งร่างกายของเรา ทั้งห้อง ๆ นี้ ทั้งวัดนี้ ทั้งตลาด ทั้งอำเภอ ทั้งจังหวัด กำหนดใจกว้างออกไปเรื่อย ๆ ตั้งใจว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตทั้งหลายของท่านเหล่านั้นตกล่วงไปแล้วในวันหนึ่งคืนหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงไปเสวยสุขในสุขติภพโดยทั่วหน้ากันเถิด กำหนดกำลังใจให้แผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ จากทั้งจังหวัดก็ไปทั้งประเทศ ไปทั้งทวีป ไปทั้งโลก เหมือนกับภาพพระพุทธรูปและตัวเราโตเต็มแผ่นดินแผ่นฟ้า โลกเราทั้งโลกเหมือนยังกับลูกอะไรเล็ก ๆลูกเดียวที่อยู่ภายใต้ร่างกายของเรา กำหนดใจเอาไว้แผ่เมตตามออกไปให้ตั้งใจเอาไว้ว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด ทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ตกอยูในความทุกข์ยากเศร้าหมองเดือดร้อนรำเค็ญ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เจ็บไข้ ได้ป่วย พิกล พิการ ใดใดก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงได้ล่วงพ้นความทุกข์ทั้งหลายนั้นเถิด

    กำหนดกำลังใจให้แผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ จากโลกก็นี้ไปสู่โลกอื่น ๆ ดวงดาวดวงอื่น ๆ ไปทั้งจักรวาลนี้ ไปทั้งจักรวาลอื่น ๆที่มีดวงดาวนับประมาณไม่ได้ ไม่ว่าที่ไหนก็ตามที่มีมนุษย์ มีส้ตว์ ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้น ได้รับผลแห่งความเมตตา ที่แผ่ออกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ่านกายของเราออกไป ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้น พ้นทุกข์ มีความสุขโดยทั่วหน้ากัน กำหนดใจสบาย ๆ คิดว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุข ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด

    นึกถึงภาพพระที่ใสสว่าง นึกถึงตัวเราที่ใสสว่าง นึกถึงกระแสเมตตาที่ใสสว่าง ให้แผ่ปรกไปทั่วทั้งทุกภพ ทุกหมู่ทุกเหล่า เบื้องต่ำสุด ถึงอเวจีมหานรก นรกทุกขุม เปรตทุกจำพวก อสุรกายทุกประเภท สัตว์เดรัจฉานทุกชนิด มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ในทุกจักรวาล เทวดา ทั้งหมด พรหมทั้งหมด พระในนิพพานทั้งหมด ล้วนแต่อยู่ในกระแสเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น ให้กำหนดใจว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พึงเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ แก่กันและกัน เสียสละให้ปัน ช่วยเหลือเกื้อกูล แก่ผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากยิ่งกว่าเราให้พ้นทุกข์ เพื่อยังสรรพสัตว์ทั้งหลายไปสู่สันติสุขโดยถ้วนหน้าคือพระนิพพานด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ

    จากนั้นน้อมจิตน้อมใจ กราบลงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สว่างไสว ที่ใหญ่โตหาประมาณไม่ได้ ให้คิดว่าท่านคือพระพุทธเจ้าที่ท่านเสด็จมาโปรดเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ใดเลยนอกจากพระนิพพาน ให้กำหนดว่าเราเห็นท่านคือตอนนี้เราอยู่กับท่าน ถ้าเราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน ให้กำหนดใจเบา ๆ สบาย ๆ มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสนดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวอยู่กับเรา ความใส สะอาด สว่าง สงบ เยือกเย็นของพระนิพพานเป็นอันหนึ่งอันเดียวของเรา จากนั้นกำหนดใจดูสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์ คือความเป็นจริง 3 อย่าง ได้แก่ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนให้ยึดถึอได้ ดูว่าไม่ว่าคน ว่าสัตว์ ว่าพืชก็ตาม เมื่อแรกเกิดก็เล็กนิดเดียว แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปเรื่อย ๆ เติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ จนอยู่ในวัยเด็ก จากเด็กเล็กก็เป็นเด็กโต เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่ เป็นสัตว์แก่ เป็นต้นไม้ชรา ในที่สุดก็เสื่อมสลายตายพังไป มันไม่เที่ยงอย่างนี้ ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องหนาว ต้องร้อน ต้องหิว ต้องกระหาย ต้องหาให้มันกิน หาให้มันดื่ม เข้าห้องน้ำ เข้าห้องส้วม รักษาพยาบาล ดูแลทำความสะอาดมัน ไม่ให้สกปรก ต้นไม้ทั้งหลายก็ต้องหากิน ต้องแผ่ขยายรากลงไปในหินในดิน ซึ่งบางที่ก็แข็งกว่าจะเจาะผ่านไปได้ก็แสนลำบากยากเย็น กว่าจะธาตุอาหารได้สักส่วนหนึ่ง กว่าจะหาน้ำได้สักส่วนหนึ่ง มีแต่ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะคน จะสัตว์ จะว้ตถุธาตุ สิ่งของใดใดก็ตาม ตกอยู่ในความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์อย่างนี้ทั้งนั้น จากนั้นก็กำหนดใจดูไปว่า ตัวคนก็ดี ต้วสัตว์ก็ดี ต้นไม้ก็ดี สิ่งของก็ดี มันไม่มีอะไรเป็นส่วนประกอบแท้จริงส่วนเดียว ล้วนเกิดจากสิ่งของหลายอย่างรวมกันขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนทั้งนั้น เอาตัวเราเป็นหลักก็แล้วกัน ร่างกายของเรานี้เกิดจากธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมธาตุไฟ รวมกันขึ้นมาชั่วคราว แล้วเราก็มาอาศัยอยู่ เหมือนคนที่อยู่ในบ้าน เหมือนเต่าที่อยู่ในกระดอง เหมือนหอยที่อยู่ในเปลือก เหมือนคนที่ขับรถยนต์

    ธาตุอื่นนี้คือ ดิน คือน้ำ คือลม คือไฟ คืออย่างไรบ้าง ให้กำหนดใจนึกตามไป ธาตุดินคือส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้นเป็นอันได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ใส้ ปอด อวัยวะภายในใหญ่น้อย อวัยวะภายนอกใหญ่น้อย ทั้งปวงที่จับได้ต้องได้ มีความแข็งเรียกว่าธาตุดิน ส่วนที่เป็นธาตุน้ำคือส่วนเหลว เอิบอาบไหลอยู่ในร่างกายของเรา คือเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ ส่วนที่เป็นธาตุลม คือส่วนที่พัดไปมาอยู่ในร่างกายของเรา มีลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างในท้องลมที่ค้างในใส้เรียกว่าแก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำพัดไปทั่วร่างกายเรียกความดันโลหิต ธาตุไฟ คือส่วนที่กระตุ้นให้เกิดความอบอุ่น ได้แก่ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยในการรักษาสภาพความสมดุลของร่างกายเราเอาไว้ ลองแยกทั้งหมดออกเป็น
    4 ส่วนด้วยกัน คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ใส้ปอด ภายในภายนอก รวมไว้กองหนึ่ง ส่วนที่เป็นน้ำ คือ เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อไขมันเหลว ปัสสาวะ แยกไว้อีกกองหนึ่ง ส่วนที่เป็นลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในท้อง ลมในใส้ ลมพัดขึ้นเบื้องสูง ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมพัดไปทั่วร่างกาย แยกไว้อีกกองหนึ่ง ส่วนที่เป็นความอบอุ่นในร่างกายที่ก่อให้เกิดความสมดุล ส่วนที่ช่วยเผาผลาญย่อยอาหาร ส่วนที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ทำลายร่างกายให้ทรุดโทรมลง แยกไว้อีกกองหนึ่ง จะเห็นว่ากองนี้คือดิน กองนี้คือน้ำ กองนี้คือลม กองนี้คือไฟ ไม่มีอะไรเหลือเป็นเราเลยแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มี เอาดิน เอาน้ำ เอาลม เอาไฟเหล่านี้มาขยำรวม ๆ กันเข้า ปั้นเป็นต้วเป็นตนขึ้นมา เรามาอาศัยมันอยู่ ก็ไปคิดว่าเป็นตัวกู ของกู ตัวเรา ของเรา จริง ๆ แล้วมันไม่มี มันเป็นรถยนต์ที่เราอาศัยขับมันอยู่ มันเป็นกระดองที่เต่าต้องแบกไป มันเป็นเปลือกที่หอยต้องแบกไป มันเป็นบ้านที่เราอาศัยมันอยู่ ถึงเวลาบ้านพังก็ไม่เกี่ยวกับเรา ขณะที่อยู่กับมันก็มีแต่ความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายต้วไปในที่สุด อยู่กับมันก็มีแต่ความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพลากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของความปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งของอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เกิดมาเมื่อไหร่ก็ทุกข์อย่างนี้อีก เกิดมาเมื่อไหร่ก็มีร่างกายที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอีก อยู่บนโลกที่ทุกข์ยากแบบนี้อีก มีสถานที่เดียวที่ไม่เกิดไม่ตาย ก็คือ

    **...จบไฟล์เสียงที่หก ..ช่วงท้าย ๆ เสียงหายไปคะ ..**
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2005
  3. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,487
    test..อ่ะจ๊ะ..(ยังจัดไม่เสร็จ)

    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #f58105 3px dashed; BORDER-TOP: #f58105 3px dashed; BORDER-LEFT: #f58105 3px dashed; BORDER-BOTTOM: #f58105 3px dashed" cellSpacing=5 cellPadding=5 bgColor=#fbbe7d>
    <TBODY>
    <TR>
    <TD style="BORDER-RIGHT: #8a643c 3px dashed; BORDER-TOP: #8a643c 3px dashed; BORDER-LEFT: #8a643c 3px dashed; BORDER-BOTTOM: #8a643c 3px dashed" bgColor=#f6dabc>
    ทุกคนนั่งตัวตรงนะ นั่งตัวตรง แต่ไม่ต้องเกร็งร่างกาย หลับตาลงเบา ๆ สบาย ๆ เหมือนกับเราไปนั่งคุยกับใครสักคน เอาตามเรา มองย้อนเข้าไปในศรีษะ มองย้อนลงไปในอก มองย้อนลงไปถึงในท้อง ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าว่า"พุทธ" หายใจออกว่า"โธ" หายใจเข้าผ่านจมูก กึ่งกลางอกลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้องผ่านกลางอกออกมาที่ปลายจมูก
    เวลาลมกระทบจมูก กระทบกึ่งกลางอก กระทบที่สุดของท้องให้รู้ไว้ เวลาลมออกจากท้อง กระทบกึ่งกลางอก กระทบปลายจมูกให้รู้ไว้ เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกนี้เท่านั้น ถ้ามันคิดเรื่องอื่นให้ดึงมันกลับมาอยู่กับลมหายใจทันทีรู้ตัวว่าคิดเรื่องอื่นเมื่อไหร่ให้ดึงกลับมาที่ลมหายใจทันที หายใจเข้า"พุทธ" หายใจออก"โธ" หายใจเข้า"พุทธ" หายใจออก"โธ"
    นึกถึงภาพพระไว้องค์หนึ่ง ให้ภาพนั้นเป็นภาพพระพุทธรูป หรือ ภาพพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ที่เรารักเราชอบมากที่สุด จะเป็นภาพแบบพระสงฆ์ก็ดี แบบพระพุทธก็ดี แบบพระวิสุทธิเทพก็ดี ให้อยู่ตรงหน้าของเรา ตรง ๆ ไปข้างหน้า อย่าใช้สายตามอง อย่าใช้สายตาเพ่ง กำหนดใจสบาย ๆ ว่ามีภาพพระพุทธรูปอยู่ตรงหน้าของเราจะเห็นหรือไม่เห็นช่างมัน ให้เรารู้สึกและมั่นใจว่ามีพระอยู่ตรงหน้าของเรา หายใจเข้าจดจ่ออยู่ที่ภาพพระนั้น หายใจออกกำลังใจจดจ่ออยู่ที่ภาพพระนั้น หายใจเข้าภาพพระสว่างขึ้น หายใจออกภาพพระก็สว่างขึ้น หายใจเข้าภาพพระสว่างขึ้น หายใจออกภาพพระสว่างขึ้น ทำใจเบา ๆ สบาย ๆ นึกว่ามีพระพุทธรูปสว่าง ๆ องค์หนึ่งอยู่ตรงหน้าของเรา สายตาไม่เห็นไม่เป็นไร เพราะเราหลับตาไม่เห็นอยู่แล้ว เอาความรู้สึกทั้งหมดจดจ่ออยู่ตรงหน้านั้น นึกถึงภาพพระนั้นไว้ หายใจเข้านึกว่าพุทธ หายใจออกนึกว่าโธ หายใจเข้าภาพพระสว่างขึ้น หายใจออกภาพพระสว่างขึ้น จดจ่อให้แน่วแน่อยู่สักครู่หนึ่ง
    คราวนี้กำหนดกำลังใจของเรา ดึงเอาภาพพระนั้นมาอยู่เหนือศรีษะของเรา เท่ากับว่าตอนนี้เรามีพระพุทธรูปอยู่บนศรีษะ เป็นพระพุทธรูปแก้วใส สว่าง สะอาด อยู่ข้างบน เปล่งรัศมีใสสว่างครอบคลุมตัวเรา ลงมา
    หายใจเข้าพระพุทธรูปก็สว่าง หายใจออกพระพุทธรูปก็สว่าง ความสว่างไสวอยู่เหนือศรีษะของเรานี่เอง ให้พระพุทธรูปหันหน้าไปด้านเดียวกับเรา เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขนาดที่เรากำหนดความรู้สึกควบคุมได้แบบสบาย ๆ ต้องการหน้าตักกว้างสักเท่าไหร่เรากำหนดเอาเอง หายใจเข้าพระก็สว่าง หายใจออกพระก็สว่าง ยิ่งเอาใจจดจ่ออยู่กับภาพพระ ยิ่งกำหนดลมหายใจเข้าออกมากเท่าไหร่ พระองค์ท่านก็สว่างมากขึ้นทุกที ๆ ความสว่างนั้นครอบคลุมตัวเราลงมา จนกระทั่งตัวเราก็พลอยสว่างไปทั้งหมดด้วย กำหนดใจว่าภาพพระสว่างตัวเราก็สว่าง ถ้ามันจะภาวนาให้มันภาวนา ถ้ามันไม่ต้อง การภาวนาก็ปล่อยมัน ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน กำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมกับภาพพระที่สว่างอยู่เฉย ๆ
    คราวนี้กำหนดภาพพระเพิ่มขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง องค์แรกสว่างไสว อยู่บนศรีษะของเรา องค์ที่สองนี้เอาท่านเข้ามาอยู่ในกระโหลกศรีษะของเรา เหมือนกับว่าตอนนี้หัวของเราว่างๆ เปล่า ๆ ไม่มีอะไร เลย มีพระพุทธรูปแก้วใส ๆ สว่างๆ อยู่ในหัวองค์หนึ่ง อยู่บนหัวองค์หนึ่ง พระพุทธรูปองค์แรกอยู่เหนือหัวของเรา องค์ที่สองอยู่ในหัวของเรา หายใจเข้าภาพพระทั้งสองก็สว่างขึ้น หายใจออกภาพพระทั้งสององค์ก็สว่างขึ้น หายใจเข้าภาพพระสว่างขึ้น หายใจออกภาพพระสว่างขึ้น
    จากนั้นกำหนด ภาพพระองค์หนึ่งให้อยู่กึ่งกลางอกของเรา ตรงที่ลมหายใจต้องผ่าน ภาพพระองค์แรกอยู่เหนือศรีษะของเรา องค์ที่สอง อยู่ในหัวของเรานี่เอง องค์ที่สามอยู่กึ่งกลางอกของเรา หายใจเข้าภาพพระทั้งสามองค์ก็สว่างขึ้น หายใจออกภาพพระทั้งสามองค์ก็สว่างขึ้น ใครจะกำหนดให้องค์ไหนใหญ่ แล้วแต่เราชอบแล้วก็ถนัด องค์ที่หนึ่งใหญ่ องค์ที่สองเล็ก องค์ที่สามใหญ่ ก็แล้วแต่เราชอบ หายใจเข้าพุทธ หายใจออกโธ หายใจเข้าภาพพระสว่างทั้งสามองค์ขึ้น หายใจออกภาพพระทั้งสามองค์สว่างขึ้น

    จากนั้นให้กำหนดภาพพระองค์ที่สี่ให้อยู่ในท้องของเรา อยู่ตรงที่ลมหายใจเข้าออกไปสุดอยู่ตรงนั้น หายใจเข้าลมจะไปสุดอยู่ตรงนั้น หายใจออกลมจะออกจากตรงนั้น ให้มีภาพพระพุทธรูปองค์ที่สี่อยู่ในท้องของเรา ใสสว่างเหมือนกัน
    องค์ที่หนึ่งอยู่เหนือศรีษะของเรา องค์ที่สอง อยู่ในศรีษะของเรา ระดับเดียวกับสายตาของเรา องค์ที่สามอยู่ในอก องค์ที่สี่อยู่ในท้อง

    ตอนนี้เรามีพระพุทธรูปอยู่ด้วยกับเราสี่องค์ หายใจเข้าพระพุทธรูปก็สว่างขึ้น หายใจออกพระพุทธรูปก็สว่างขึ้น เหมือนกับว่าเราหายใจผ่านทางศรีษะของเราลมหายใจเข้าผ่านพระองค์ที่หนึ่ง มาถึงองค์ที่สอง ถึงองค์ที่สาม ไปสิ้นสุดที่องค์ที่สี่ ภาพพระสว่างสดใสขึ้นตามลมหายใจ หายใจออกลมหายใจกลับพระองค์ที่สี่ มาพระองค์ที่สาม มาที่พระองค์ที่สอง ไปหมดที่พระองค์ที่หนึ่ง ภาพพระยังคงใสสว่างอย่างนั้น หายใจเข้าภาพพระพุทธรูปองค์ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ สว่าง หายใจออก พระพุทธรูปองค์ที่สี่ ที่สาม ที่สอง ที่หนึ่งก็สว่าง หายใจเข้าหนึ่ง สอง สาม สี่ หายใจออก หนึ่ง สอง สาม สี่ เข้าพระสว่างทุกองค์ ออกพระสว่างทุกองค์ หายใจเข้าพระพุทธรูปองค์ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ สว่างขึ้น หายใจออก พระพุทธรูปองค์ที่สี่ ที่สาม ที่สอง ที่หนึ่ง สว่างขึ้น เข้า หนึ่ง สอง สาม สี่ ออก สี่ สาม สอง หนึ่ง เข้า หนึ่ง สอง สาม สี่ ออก สี่ สาม สอง หนึ่ง พระพุทธรูปสว่างไสวไม่มีประมาณ

    จากนั้นกำหนดภาพพระองค์ที่หนึ่ง องค์สอง และองค์สี่ มารวมกันอยู่ในอกของเราเพียงองค์เดียว กลายเป็นพระพุทธรูปแก้วใสอยู่ในอกของเราองค์เดียว ภาพพระทั้งสี่องค์ตอนนี้เหลืออยู่ในอกของเราองค์เดียว
    กำหนดให้ท่านเลื่อนลงไปอยู่ในท้องเล็กลงไปหน่อยหนึ่ง ตามลมหายใจเข้าไป อยู่ที่ท้องท่านก็เล็กลง เลื่อนออกมาพอลมหายใจเข้าออก ท่านก็ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น มาที่อก มาที่ศรีษะ ไปอยู่เหนือหัวโน่น ใหญ่เบ้อเร่อเลย
    หายใจเข้าท่านก็ไหลเข้ามาจากใหญ่ก็เป็นเล็กมาอยู่ในศรีษะ มาอยู่ในอก ลงไปที่ท้อง เป็นองค์เล็กจิ๋วอยู่ในท้องโน่น หายใจออกกำหนดภาพท่านใหญ่ขึ้น มาที่หน้าอก มาที่ศรีษะ ไปใหญ่โตมโหฬาร อยู่เหนือศรีษะเราโน่น หายใจเข้าพระพุทธรูปแก้วองค์ใหญ่เล็กลง ๆ ๆ อยู่ในท้องของเรา หายใจออกพระพุทธรูป แก้วองค์เล็กใหญ่ขึ้น ๆ จนไปอยู่บนศรีษะของเรา หายใจเข้าภาพพระเล็กลง ๆ ๆ อยู่ในท้อง หายใจออกภาพพระใหญ่ขึ้น ๆ เลื่อนไปอยู่บนศรีษะ
    คราวนี้กำหนดใจให้นิ่งอยู่กับภาพพระบนศรีษะ ตอนนี้เรามีพระพุทธรูปองค์เดียว พระพุทธรูปทุกองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมดอยู่บนศรีษะของเรา สว่างไสวไปทั่ว ให้กำหนดใจแผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้รัศมีขาวสะอาดสว่างไสวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แผ่กว้างจากร่างกายของเราออกไป เหมือนอย่างกับเราโยนก้อนหินลงน้ำ แล้วน้ำกระเพื่อมเป็นวงกว้างออกไป ๆ ทุกที กว้างออกไปทั้งร่างกายของเรา ทั้งห้อง ๆ นี้ ทั้งวัดนี้ ทั้งตลาด ทั้งอำเภอ ทั้งจังหวัด กำหนดใจกว้างออกไปเรื่อย ๆ ตั้งใจว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตทั้งหลายของท่านเหล่านั้นตกล่วงไปแล้วในวันหนึ่งคืนหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงไปเสวยสุขในสุขติภพโดยทั่วหน้ากันเถิด
    กำหนดกำลังใจให้แผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ จากทั้งจังหวัดก็ไปทั้งประเทศ ไปทั้งทวีป ไปทั้งโลก เหมือนกับภาพพระพุทธรูปและตัวเราโตเต็มแผ่นดินแผ่นฟ้า โลกเราทั้งโลกเหมือนยังกับลูกอะไรเล็ก ๆลูกเดียวที่อยู่ภายใต้ร่างกายของเรา
    กำหนดใจเอาไว้ แผ่เมตตามออกไปให้ตั้งใจเอาไว้ว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด ทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ตกอยูในความทุกข์ยากเศร้าหมองเดือดร้อนรำเค็ญ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เจ็บไข้ ได้ป่วย พิกล พิการ ใดใดก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงได้ล่วงพ้นความทุกข์ทั้งหลายนั้นเถิด

    กำหนดกำลังใจให้แผ่กว้างออกไปเรื่อย ๆ จากโลกก็นี้ไปสู่โลกอื่น ๆ ดวงดาวดวงอื่น ๆ ไปทั้งจักรวาลนี้ ไปทั้งจักรวาลอื่น ๆที่มีดวงดาวนับประมาณไม่ได้ ไม่ว่าที่ไหนก็ตามที่มีมนุษย์ มีส้ตว์ ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้น ได้รับผลแห่งความเมตตา ที่แผ่ออกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ่านกายของเราออกไป ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้น พ้นทุกข์ มีความสุขโดยทั่วหน้ากัน กำหนดใจสบาย ๆ คิดว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุข ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด

    นึกถึงภาพพระที่ใสสว่าง นึกถึงตัวเราที่ใสสว่าง นึกถึงกระแสเมตตาที่ใสสว่าง ให้แผ่ปรกไปทั่วทั้งทุกภพ ทุกหมู่ทุกเหล่า เบื้องต่ำสุด ถึงอเวจีมหานรก นรกทุกขุม เปรตทุกจำพวก อสุรกายทุกประเภท สัตว์เดรัจฉานทุกชนิด มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ในทุกจักรวาล เทวดา ทั้งหมด พรหมทั้งหมด พระในนิพพานทั้งหมด ล้วนแต่อยู่ในกระแสเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น
    ให้กำหนดใจว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พึงเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ แก่กันและกัน เสียสละให้ปัน ช่วยเหลือเกื้อกูล แก่ผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากยิ่งกว่าเราให้พ้นทุกข์ เพื่อยังสรรพสัตว์ทั้งหลายไปสู่สันติสุขโดยถ้วนหน้าคือพระนิพพานด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ

    จากนั้นน้อมจิตน้อมใจ กราบลงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สว่างไสว ที่ใหญ่โตหาประมาณไม่ได้ ให้คิดว่าท่านคือพระพุทธเจ้าที่ท่านเสด็จมาโปรดเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ใดเลยนอกจาก พระนิพพาน ให้กำหนดว่าเราเห็นท่านคือตอนนี้เราอยู่กับท่าน ถ้าเราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน ให้กำหนดใจเบา ๆ สบาย ๆ มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสนดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวอยู่กับเรา ความใส สะอาด สว่าง สงบ เยือกเย็นของพระนิพพาน เป็นอันหนึ่งอันเดียวของเรา

    จากนั้นกำหนดใจดูสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์ คือ ความเป็นจริง ๓ อย่าง ได้แก่ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนให้ยึดถือได้ ดูว่าไม่ว่าคน ว่าสัตว์ ว่าพืชก็ตาม เมื่อแรกเกิดก็เล็กนิดเดียว แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปเรื่อย ๆ เติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ จนอยู่ในวัยเด็ก จากเด็กเล็กก็เป็นเด็กโต เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่ เป็นสัตว์แก่ เป็นต้นไม้ชรา ในที่สุดก็เสื่อมสลายตายพังไป มันไม่เที่ยงอย่างนี้ ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องหนาว ต้องร้อน ต้องหิว ต้องกระหาย ต้องหาให้มันกิน หาให้มันดื่ม เข้าห้องน้ำ เข้าห้องส้วม รักษาพยาบาล ดูแลทำความสะอาดมัน ไม่ให้สกปรก ต้นไม้ทั้งหลายก็ต้องหากิน ต้องแผ่ขยายรากลงไปในหินในดิน ซึ่งบางที่ก็แข็งกว่าจะเจาะผ่านไปได้ก็แสนลำบากยากเย็น กว่าจะธาตุอาหารได้สักส่วนหนึ่ง กว่าจะหาน้ำได้สักส่วนหนึ่ง มีแต่ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะคน จะสัตว์ จะว้ตถุธาตุ สิ่งของใดใดก็ตาม ตกอยู่ในความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์อย่างนี้ทั้งนั้น จากนั้นก็กำหนดใจดูไปว่า ตัวคนก็ดี ต้วสัตว์ก็ดี ต้นไม้ก็ดี สิ่งของก็ดี มันไม่มีอะไรเป็นส่วนประกอบแท้จริงส่วนเดียว ล้วนเกิดจากสิ่งของหลายอย่างรวมกันขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนทั้งนั้น เอาตัวเราเป็นหลักก็แล้วกัน ร่างกายของเรานี้เกิดจากธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมธาตุไฟ รวมกันขึ้นมาชั่วคราว แล้วเราก็มาอาศัยอยู่ เหมือนคนที่อยู่ในบ้าน เหมือนเต่าที่อยู่ในกระดอง เหมือนหอยที่อยู่ในเปลือก เหมือนคนที่ขับรถยนต์

    ธาตุอื่นนี้ คือดิน คือน้ำ คือลม คือไฟ คืออย่างไรบ้าง ให้กำหนดใจนึกตามไป ธาตุดินคือส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้นเป็นอันได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ใส้ ปอด อวัยวะภายในใหญ่น้อย อวัยวะภายนอกใหญ่น้อย ทั้งปวงที่จับได้ต้องได้ มีความแข็งเรียกว่าธาตุดิน ส่วนที่เป็นธาตุน้ำคือส่วนเหลว เอิบอาบไหลอยู่ในร่างกายของเรา คือเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ ส่วนที่เป็นธาตุลม คือส่วนที่พัดไปมาอยู่ในร่างกายของเรา มีลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างในท้องลมที่ค้างในใส้เรียกว่าแก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำพัดไปทั่วร่างกายเรียกความดันโลหิต ธาตุไฟ คือส่วนที่กระตุ้นให้เกิดความอบอุ่น ได้แก่ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยในการรักษาสภาพความสมดุลของร่างกายเราเอาไว้ ลองแยกทั้งหมดออกเป็น ๔ ส่วนด้วยกัน คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ใส้ปอด ภายในกายนอก รวมไว้กองหนึ่ง ส่วนที่เป็นน้ำ คือ เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อไขมันเหลว ปัสสาวะ แยกไว้อีกกองหนึ่ง ส่วนที่เป็นลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในท้อง ลมในใส้ ลมพัดขึ้นเบื้องสูง ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมพัดไปทั่วร่างกาย แยกไว้อีกกองหนึ่ง ส่วนที่เป็นความอบอุ่นในร่างกายที่ก่อให้เกิดความสมดุล ส่วนที่ช่วยเผาผลาญย่อยอาหาร ส่วนที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ทำลายร่างกายให้ทรุดโทรมลง แยกไว้อีกกองหนึ่ง จะเห็นว่ากองนี้คือดิน กองนี้คือน้ำ กองนี้คือลม กองนี้คือไฟ ไม่มีอะไรเหลือเป็นเราเลยแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มี เอาดิน เอาน้ำ เอาลม เอาไฟเหล่านี้มาขยำรวม ๆ กันเข้า ปั้นเป็นต้วเป็นตนขึ้นมา เรามาอาศัยมันอยู่ ก็ไปคิดว่าเป็นตัวกู ของกู ตัวเรา ของเรา จริง ๆ แล้วมันไม่มี มันเป็นรถยนต์ที่เราอาศัยขับมันอยู่ มันเป็นกระดองที่เต่าต้องแบกไป มันเป็นเปลือกที่หอยต้องแบกไป มันเป็นบ้านที่เราอาศัยมันอยู่ ถึงเวลาบ้านพังก็ไม่เกี่ยวกับเรา ขณะที่อยู่กับมันก็มีแต่ความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายต้วไปในที่สุด อยู่กับมันก็มีแต่ความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของความปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งของอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เกิดมาเมื่อไหร่ก็ทุกข์อย่างนี้อีก เกิดมาเมื่อไหร่ก็มีร่างกายที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอีก อยู่บนโลกที่ทุกข์ยากแบบนี้อีก มีสถานที่เดียวที่ไม่เกิดไม่ตาย ก็คือ

    **...จบไฟล์เสียงที่หก ..ช่วงท้าย ๆ เสียงหายไปคะ ..**






    </TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2005

แชร์หน้านี้

Loading...