ไม่ต้องนั่งสมาธิ จะตัดอุปาทานในขันธ์ ๕ (ตัดกิเลส)ได้หรือ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 27 พฤศจิกายน 2009.

  1. วิศว

    วิศว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,349
    ค่าพลัง:
    +5,104
    อนุโมทนา กับพี่หมอ ครับ

    ติดตามอ่านบทความวิเคราะห์ธรรมของพี่หมอ

    เป็นกำลังใจให้พี่หมอ ครับ สาธุ
     
  2. ตรงประเด็น

    ตรงประเด็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +677


    ขออนุญาต สนทนา บทธรรมส่วนนี้

    โดยแยก ออกเป็น ประเด็นๆ ไป


    เพราะ บางส่วน ก็ น่าจะตรงกับพระพุทธพจน์และคำสอนของหลวงปู่ดุลย์อยู่แล้ว

    แต่ บางส่วน ก็ มีบางจุด ที่ขอโอกาสเสวนาลงในรายละเอียด




    เป็น การเปรียบเทียบ อุปมา ในมุมมองของท่าน ... แล้วแต่ จะเห็นควร




    จะ คล้ายๆกับที่ ครูบาอาจรย์พระสุปฏิปันโน องค์อื่น สอนเอาไว้อยู่แล้ว...ขอผ่าน








    คำว่า สมาธิอย่างเดียวไม่สามารถหลุดพ้นได้ .....นั้น ถูกต้อง


    แต่....ปัญหาก็คือ ไม่มีครูบาอาจารย์พระสุปฏิปันโน ที่ไหน สอนลูกศิษย์ให้เจริญเพียงสมาธิอย่างเดียวหรอก... ท่าน สอน อริยมรรคที่มีองค์แปดตามพระพุทธเจ้ากันท่านนั้น คือ มีทั้ง ศีล สมาธิ และ ปัญญา โดยมีสติเป็นแกนหลัก ด้วยกันอยู่แล้ว





    บางท่าน (ไม่ใช่ทุกท่าน) อาจจะเป็นเช่นนั้นได้จริง


    คือ เป็นผู้ที่มีอินทรีย์บารมีแก่กล้าแล้ว สามารถหยั่งจิตลงสู่วิปัสสนาได้อย่างรวดเร็ว ท่านเหล่านี้ อาจจะดูเผินๆ เหมือนไม่ใช้สมาธิมากอะไร....
    แต่ ความจริงแล้ว เป็นเพราะ ท่านเหล่านั้น มีพื้นฐานของจิตที่สงบระงับ ห่างจากกาม จากอกุศล อยู่แล้ว
    คือ มีพื้นฐานทางสมาธิดีอยู่แล้ว(อาจเป็น เพราะ บุญญาบารมีที่ท่านเคยสร้างมาในอดีตด้วย)



    แต่ อีกหลายๆท่าน อาจจะไม่เป็นตามนั้น


    ขอเสนอ คำสอนดั้งเดิม ในระดับพระสูตร มาพิจารณาประกอบ



    อ้างอิง : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๐ สุตตันตปิฎกที่ ๒๒ ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบว่า

    บุคคลนี้เป็นราคจริต
    บุคคลนี้เป็นโทสจริต
    บุคคลนี้เป็นโมหจริต
    บุคคลนี้เป็นวิตักกจริต
    บุคคลนี้เป็นศรัทธาจริต
    บุคคลนี้เป็นญาณจริต.

    พระผู้มีพระภาคตรัสบอกอสุภกถาแก่บุคคลผู้เป็นราคจริต.

    ตรัสบอกเมตตาภาวนาแก่บุคคลผู้เป็นโทสจริต.

    ทรงแนะนำบุคคลผู้เป็นโมหจริตให้ตั้งอยู่ในเพราะอุเทศและปริปุจฉา ในการฟังธรรมโดยกาล ในการสนทนาธรรมโดยกาล ในการอยู่ร่วมกับครู.

    ตรัสบอกอนาปานัสสติแก่บุคคลผู้เป็นวิตักกจริต

    ตรัสบอก ความตรัสรู้ดีแห่งพระพุทธเจ้า ความที่ธรรมเป็นธรรมดี ความที่สงฆ์ปฏิบัติดี และศีลทั้งหลายของตน ซึ่งเป็นนิมิต เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แก่บุคคลผู้เป็นศรัทธาจริต.

    ตรัสบอกอาการไม่เที่ยง อาการเป็นทุกข์ อาการเป็นอนัตตา อันเป็นวิปัสสนานิมิตแก่บุคคลผู้เป็นญาณจริต.




    ถ้าดูจากพระสูตร

    จริต ประกอบด้วย

    1.ราคจริต
    2.โทสจริต
    3.โมหจริต
    4.วิตกจริต
    5.ศรัทธาจริต
    6.ญาณจริต


    ราคจริต ถ่วงดุลย์ด้วย อสุภกรรมฐาน

    โทสจริต ถ่วงดุลย์ด้วย เมตตาภาวนา

    โมหจริต ถ่วงปรับดุลย์ด้วย การฟังธรรมตามกาล หรือ อยู่กับครูบาอาจารย์

    วิตกจริต ถ่วงดุลย์ด้วย อานาปานสติ

    ศรัทธาจริต ส่งเสริมด้วย พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ ศีลานุสติ

    ญาณจริต ส่งเสริมด้วย การพิจารณาไตรลักษณ์โดยตรง






    ### ความเห็น...

    จริงอยู่ ที่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจริตไหนๆ ต่างล้วนต้องมาพิจารณาเห็นแจ้งในไตรลักษณ์เหมือนกันกับ ญาณจริต ทุกท่าน


    แล้ว ....ทำไม ถึงไม่มีแต่เพียงคำสอนให้พิจารณาไตรลักษณ์โดยตรงเลย เพียงอย่างเดียว???

    ขอเสนอ ให้สังเกตุว่า ....แม้น ในสมัยพุทธกาลเอง พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ และ พระมหาสาวกต่างๆยังดำรงขันธ์อยู่ ก็ยังมีการสอนให้เจริญสมาธิภาวนาในรูปแบบต่างๆ(ตามจริตนิสัย) .....




    ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่า หาใช่ว่าทุกคนจะเป็นญาณจริตทุกคน (น่าจะเป็น คนส่วนน้อยเท่านั้น ที่จะเป็นญาณจริต)

    คนส่วนใหญ่ มีจริตต่างๆกันไป ....ซึ่งเขาเหล่านั้น จะได้ประโยชน์จาก สมาธิภาวนาในรูปแบบต่างๆ เช่น อสุภกรรมฐาน(ราคะจริต) เมตตาภาวนา(โทสะจริต) อานาปานสติ(วิตกจริต) พุทธานุสติ(ศรัทธาจริต)... มาช่วย สนับสนุนการเจริญวิปัสสนา


    (ต่างกับ ปัจจุบัน ที่มักจะกล่าวกันว่า สมาธิภาวนาในรูปแบบต่างๆ เหล่านี้ เป็นการแทรกแซงจิต ปิดกั้นปัญญา)


    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></B>
     

แชร์หน้านี้

Loading...