ไม่สนใจไม่ได้เรื่องภาวนา - หลวงตามหาบัว

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 21 มีนาคม 2009.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด<O:p</O:p


    เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒



    ไม่สนใจไม่ได้เรื่องภาวนา


    ยอดรับบริจาคผ้าป่า ๘๔,๐๐๐ กอง สร้างตึกสงฆ์อาพาธ ๑๐ ชั้น โรงพยาบาลอุดร ณ วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๒ รวมเงินฝากผ่านธนาคารทั้ง ๓ ธนาคารเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๐๗,๗๙๗,๐๑๔ บาท คิดเป็นจำนวนผ้าป่า ๕๓,๘๗๘ เรากำหนดไว้ ๒๐๐ ล้าน นี่ ๑๐๗ ล้าน มันจะค่อยมา

    <O:p</O:p
    เมื่อวานซืนท่านเจ้าคุณวัดโพธิก็มา เอาเงินมาอนุโมทนาด้วย ทราบว่าจะสร้างตึกทางสงฆ์อาพาธโรงพยาบาล เราก็บอกใช่แล้วเราก็ว่าอย่างนั้น ท่านเอาเงินดูว่า ๒ ล้านนะ ทางวัดโพธิท่านเอาเงินมา ๒ ล้านมาช่วยสนับสนุนตึกที่ว่านี่ละ ตึก ๑๐ ชั้น นานๆ ท่านมาที เหมือนกันกับเรานานๆ เราได้ไปที ท่านว่าท่านเดินจงกรมเดี๋ยวนี้ไม่เลยชั่วโมง ว่าอย่างนั้นนะ ท่านว่าท่านเดินจงกรมเดี๋ยวนี้ไม่เลยชั่วโมง อ่อนท่านว่าอย่างนั้น ทีนี้ท่านก็พูดมาฉากเราว่าเราอยู่ในป่านักภาวนา มันอย่างไร ว่าอย่างนั้นนะ นี่เฒ่าแก่ขนาดไหนเราฟาดตั้งเป็นชั่วโมง อยู่นู้นมันกี่ชั่วโมงไอ้นอนนั่นน่ะ เราว่าอย่างนั้น
    <O:p</O:p
    ท่านก็สนใจภาวนานะ ไม่สนใจไม่ได้เรื่องภาวนา เป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว ในวงพุทธศาสนาคือการภาวนาเป็นรากแก้วอยู่ในนั้นหมด คนไม่เคยภาวนาไม่รู้ของดี เป็นอย่างนั้นนะ คนไม่เคยภาวนามันไม่รู้ของดี ของดีเกิดจากภาวนา การภาวนาคือปัดกิเลสออกจากใจ ปัดไปทุกวี่ทุกวันทุกเวล่ำเวลา สุดท้ายผ่องใสขึ้นมา ผ่องใสขึ้นมา ก้าวเข้าถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มเหนี่ยว พระพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นกิเลสสอนอะไรจะผิดไปไม่มีผิด พวกที่ผิดตลอดเวลาอกาลิโกคือพวกเราผิดตลอด ท่านถูก สฺวากฺขาโตภควตาธมฺโมพระธรรมพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ไม่มีที่ต้องติด ท่านเดินตามนั้นนะ
    <O:p</O:p
    หลวงปู่ลีวัดถ้ำผาแดง กลัวผีเก่งๆ เงินสด ๒๓๕,๒๐๐ บาท เช็ค ๑๒๙,๘๐๐ รวมแล้วเป็น ๓๖๕,๐๐๐ บาท
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
    www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th<O:p</O:p


    และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz<O:p</O:p

    พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2009
  2. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    อวิชชารวมตัว ปกปิดจิตแท้-ธรรมแท้


    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด


    เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๙


    <O:pพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้ แสดงในเชิงตอบปัญหาธรรมแก่พระเถระสำคัญมากองค์หนึ่งในสมัยปัจจุบัน มีเนื้อหาและข้อความดังนี้

    นี่คือเวลาเริ่มพิจารณาเข้าสู่จุดรวมของกิเลสวัฏฏ์ ซึ่งได้แก่อวิชชา ขณะที่พิจารณาก็ยังไม่ทราบว่าตัวเองพิจารณาอวิชชา เป็นแต่เพียงคิดว่า นี้มันอะไรนา เป็นข้อข้องใจสงสัยอยู่ตรงนี้ แล้วก็หยั่งจิตลงไปที่นั่น ทำความสนใจในจุดนั้น พิจารณาว่ามันเป็นยังไงไปยังไงมายังไง แต่ก็ไปถูกจุด ทั้งนี้เพราะเราไม่รู้ชื่อมันว่าอะไรเป็นอวิชชา อวิชชาที่แท้จริงกับชื่อมันผิดกันมาก เห็นแต่กระแสของมันกระจายไปทั่วโลก นั้นมันเป็นเพียงกิ่งก้าน เหมือนเราไปหาจับโจรผู้ร้าย ไปจับก็จะได้แต่สมุนของมันเท่านั้น จับคนไหนก็เป็นสมุนของมันๆ ไม่ทราบว่านายมันอยู่ที่ไหน มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะไม่เคยเห็นหัวหน้ามัน
    <O:p
    จับมากต่อมาก จับเข้าไปๆ ตีตะล่อมเข้าไปๆ ที่เรียกว่า ล้อมโจร คือ เจ้าหน้าที่มีจำนวนมากและก็มีกำลังมาก ต่างคนต่างอาศัยกันรวมกันเข้าก็มีกำลังมาก ล้อมรอบจุดที่โจรอาศัยอยู่ จับคนนี้ มัดคนนั้นเข้าไปๆ เมื่อถูกถาม ตามธรรมดาโจรมันจะไม่บอกว่าใครเป็นนายของมัน ถ้าใครเป็นโจรก็มัดมันเข้าไปหมดจนไม่ให้มีเหลือสักคนในวงล้อมนั้น คนสุดท้ายนั้นน่ะเป็นนายโจร คนสุดท้ายมันจะอยู่ในที่สำคัญ คือสมุนของโจรจะต้องล้อมรอบขอบชิดรักษาไว้อย่างดีทีเดียว ไม่ให้พบหัวหน้าของมันอย่างง่ายดาย
    <O:p
    ถูกจับเข้าไปเป็นลำดับๆ จนถึงอุโมงค์ที่หัวหน้าโจรหลบซ่อนก็ฆ่าหมดไม่มีเหลือในที่นั้นแล้ว มันก็ทราบชัดกันละที่นี่ ว่าหัวหน้าโจรตัวฉลาดได้ถูกฆ่าให้สูญพันธุ์ไปเสียแล้ว อันนี้เป็นแต่เพียงรูปเปรียบ คือจิตที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งใด มันก็เป็นแขนงของความหลง ไม่ว่าจะหลงทางดีทางชั่ว มันเป็นเรื่องของอวิชชาและกิ่งก้านของอวิชชาทั้งนั้น แต่ตัวอวิชชาจริงๆ มันไม่มี เพราะฉะนั้นอุบายวิธีพิจารณาต่างๆ ถ้าจะเทียบอุปมาก็เหมือนอย่างเราวิดน้ำเพื่อจะเอาปลา ถ้าน้ำมีมาก ปลาจะมีอยู่จำนวนมากน้อยเพียงไรก็ไม่ทราบ วิดน้ำออกจนน้ำแห้งลงไปเป็นลำดับๆ ปลาก็รวมตัวเข้าไปๆ ตัวไหนอยู่ที่ไหนก็วิ่งลงในน้ำ ๆ น้ำก็ถูกวิดออกเรื่อย ๆ ปลาก็รวมตัวเข้าไป ตัวไหนวิ่งไปไหนก็มองเห็นเพราะน้ำแห้งลงไปเรื่อยๆ ผลสุดท้ายเมื่อน้ำแห้งแล้ว ปลาก็ไม่มีที่หลบซ่อนก็จับตัวปลาได้
    <O:p
    ขึ้นชื่อว่ารูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสกับอาการของจิตที่คละเคล้ากัน มันก็เหมือนกับน้ำซึ่งเป็นที่อาศัยของปลา การพิจารณาสิ่งเหล่านี้ก็ไม่หมายจะเอาสิ่งเหล่านี้ แต่จะฆ่ากิเลสต่างหาก เหมือนกับคนวิดน้ำไม่หมายจะเอาน้ำ แต่หมายจะเอาปลาต่างหาก การพิจารณาก็ไม่หมายจะเอาสิ่งเหล่านี้ แต่ให้รู้สิ่งเหล่านี้เป็นลำดับๆ พอรู้ไปถึงไหนจิตก็หายกังวล รู้ทั้งสิ่งที่ไปเกี่ยวข้อง รู้ทั้งตัวเองผู้ไปเกี่ยวข้องว่าเป็นผู้ผิดเป็นความเห็นผิดของตัว จึงไปหลงรักหลงชังในสิ่งเหล่านั้น ทีนี้วงแห่งการพิจารณาก็แคบเข้ามาๆ เหมือนกับน้ำแห้งลงไปๆ จะพิจารณาในธาตุในขันธ์อะไร มันก็เหมือนกับสิ่งทั่วไปภายนอก มันไม่มีอะไรแปลกกันถ้าเป็นด้านวัตถุ พูดถึงเรื่องธาตุก็เป็นธาตุอันเดียวกัน มันมีแปลกอยู่ที่อาการของจิตแสดงตัวออก แต่เราไม่รู้ก็ไปหมาย อันนี้มันก็ยังเป็นกิ่งก้านของอวิชชาอยู่ แต่มันจะซึมซาบเข้าไปหาส่วนใหญ่ พิจารณาเห็นสิ่งที่มาเกี่ยวข้องชัดเท่าไร ก็ยิ่งเห็นตัวออกไปเกี่ยวข้องชัดขึ้นทุกที เหมือนกับน้ำแห้งลงไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นตัวปลาชัดขึ้นทุกทีๆ
    <O:p
    การพิจารณาเห็นสภาพทั้งหลายทั้งภายนอกกายทั้งภายในกาย ทั้งในเจตสิกธรรมของตัวชัดขึ้นเท่าไร มันก็เห็นจุดที่อยู่ที่อาศัยของตัวการสำคัญชัดขึ้นๆ เมื่อพิจารณาตะล่อมเข้าไป ความรู้ของจิตมันก็แคบเข้าไป ความกังวลของใจก็น้อยเข้าไป กระแสของใจที่ส่งออกไปก็แคบ พอกระเพื่อมตัวออกไปเกี่ยวกับสิ่งใดก็พิจารณาเกี่ยวกับสิ่งนั้นด้วย พิจารณาความกระเพื่อมของจิตที่ออกไปแสดงตัวด้วย ก็เห็นทั้งสองเงื่อน รู้เหตุรู้ผลกันทั้งสองด้าน คือด้านที่ไปเกี่ยวข้องสิ่งที่ถูกเกี่ยวข้องหนึ่ง ผู้ไปเกี่ยวข้องหนึ่งปัญญาก็ขยับตัวเข้าไปเป็นลำดับๆ
    <O:p
    เมื่อเข้าไปถึงตัวอวิชชาจริงๆ โดยมากนักปฏิบัติถ้าไม่มีครูอาจารย์คอยแนะไว้ก่อนแล้ว จะต้องไปถือเอาตัวนั้นแลว่าเป็นตัวจริง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้พิจารณาเห็นชัดภายในใจแล้วว่า ได้รู้เท่าและปล่อยวางไปหมดไม่มีสิ่งใดเหลือ แต่ผู้ที่รู้สิ่งทั้งหลายนั้นคืออะไรนั่น ทีนี้ก็ไปสงวนอันนั้นไว้ นี่แลที่ว่าอวิชชารวมตัวแล้ว แต่กลับมาเป็นตัวขึ้นโดยไม่รู้สึก จิตก็มาหลงอยู่นั้น ที่ว่าอวิชชาก็คือหลงตัวเองนี่แหละ ส่วนที่หลงสิ่งภายนอกนั้นยังเป็นกิ่งก้าน ไม่ใช่เป็นเรื่องของอวิชชาอันแท้จริง
    <O:p
    การมาหลงอันนี้แล มาหลงผู้ที่รู้สิ่งทั้งหลายนี้แล ผู้นี้เป็นอะไรเลยลืมวิพากษ์พิจารณาเสีย เพราะจิตเมื่อมีวงแคบเข้ามาแล้วจะต้องรวมจุดตัวเอง จุดของจิตที่ปรากฏตัวอยู่เวลานั้นจะเป็นจิตที่ผ่องใส มีความยิ้มแย้มแจ่มใส มีความองอาจกล้าหาญ ความสุขก็รู้สึกว่าจะรวมตัวอยู่ที่นั่นหมด สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมันเป็นผลของอะไร ถ้าจะพูดว่าเป็นผลก็ยอมรับเป็นผล จะพูดว่าเป็นผลของปฏิปทาเครื่องดำเนินก็ถูกถ้าหากเราไม่หลงอันนี้นะ ถ้ายังหลงอยู่มันก็ยังเป็นสมุทัย นี่ละจุดใหญ่ของสมุทัย
    <O:p
    แต่ถ้านักปฏิบัติผู้มีความสนใจพิจารณาในสิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอแล้ว ไม่มองข้ามไป ยังไงก็ทนไม่ได้ ต้องสนใจเข้าพิจารณาจุดนั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเราก็เคยพิจารณาและเคยรู้เรื่องมาแล้วใจก็ไม่สัมผัส จะแยกจิตออกไปพิจารณาอะไรมันก็ไม่สัมผัส เพราะพอตัวในสิ่งนั้นๆ แล้ว อาการที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจากนั้น จิตที่ปรุงขึ้นมามันก็ปรุงขึ้นจากนั้น สุขที่ปรากฏขึ้นก็ปรากฏอยู่ที่นั่น ความสุขที่ปรากฏขึ้นมามันก็มีอาการเปลี่ยนแปลงให้เห็นซึ่งเป็นเหตุให้พิจารณาอีก เพราะในขั้นนี้เป็นขั้นที่ใช้ความสังเกตมาก เมื่อสังเกตความสุขมันก็ไม่แน่นอน เพราะความสุขที่ผลิตจากอวิชชามันเป็นสมมุติ บางทีก็มีอาการเฉาๆ บ้างเล็กๆ น้อยๆ พอให้ทราบว่ามันแสดงอาการไม่สม่ำเสมอ มันค่อยเปลี่ยนตัวเองอยู่อย่างนั้นตามขั้นแห่งธรรมที่ละเอียด นี่เป็นจุดที่จะนอนใจตายใจและยอมเชื่อสำหรับผู้ที่ปฏิบัติด้วยความเข้มแข็ง ด้วยความสนใจอย่างยิ่ง แต่จะมานอนใจในจุดนี้ ติดในจุดนี้ หากไม่มีผู้อธิบายให้ทราบไว้ล่วงหน้าก่อน
    <O:p
    ถึงจะนอนใจก็ทนที่จะทราบไม่ได้เหมือนกันถ้าใช้ความสนใจ เพราะมีเท่านั้นเป็นสิ่งที่ดูดดื่มของใจ เป็นเหตุให้ดูดดื่ม เป็นเหตุให้พอใจในสิ่งที่ปรากฏนั้น เท่าที่เคยพิจารณามาเป็นอย่างนั้น จนไม่ทราบว่าอะไรเป็นอวิชชา ก็เลยเข้าใจว่าอันนี้แหละที่จะเป็นนิพพาน อันสว่างกระจ่างแจ้งอยู่ตลอดเวลานี้แล คำว่าตลอดเวลาในที่นี่หมายถึงตลอดเวลาของผู้มีความเพียร มีการชำระซักฟอกกันอยู่เสมอ ไม่นอนใจติดอยู่กับสิ่งนั้นถ่ายเดียว ความสงวนก็มาก อะไรจะมาแตะต้องไม่ได้ ระมัดระวังอย่างเต็มที่ พออะไรมาสัมผัสก็รีบแก้กันทันที
    <O:p
    แต่สิ่งที่รักสงวนนั้นตนหาได้ทราบไม่ว่าคืออะไร ทั้งที่ความรักความสงวนนั้นมันก็เป็นภาระของจิตอยู่โดยดี แต่ในเวลานั้นมันไม่ทราบ จนกว่าสมควรแก่กาลที่ควรรู้แล้วจึงเกิดความสนใจที่จะพิจารณาในจุดนี้ นี่มันคืออะไรนา ทุกสิ่งทุกอย่างเราก็เคยพิจารณามา แต่สิ่งนี้มันคืออะไรนา ที่นี่จิตก็จ่อเข้าไปตรงนั้น ปัญญาก็สอดส่องเข้าไป นี้มันคืออะไรแน่นะ อันนี้มันเป็นความจริงแล้วหรือยังไม่จริง อันนี้เป็นวิชชาหรือเป็นอวิชชา มันยังเป็นข้อกังขาสงสัยอยู่นั้นแหละ
    <O:p
    แต่อาศัยการพิจารณาทบทวนด้วยปัญญาอยู่ไม่หยุด เพราะเป็นสิ่งไม่เคยรู้ไม่เคยประสบมาก่อน ว่าทำไมมันจึงรัก ทำไมมันจึงสงวน ถ้าหากว่าเป็นของจริงแล้วทำไมจะต้องรักสงวนกัน ทำไมจะต้องรักษากัน ความรักษานี่มันก็เป็นภาระ ถ้าอย่างนั้นอันนี้มันก็ต้องเป็นภัยอันหนึ่งสำหรับผู้สงวนรักษา หรือเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าไว้ใจ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ทราบนะว่านั่นคืออะไร จะเป็นอวิชชาจริงหรือไม่ เพราะเราไม่เคยเห็นนี่ว่าวิชชาที่แท้จริงกับอวิชชามันต่างกันอย่างไร วิมุตติกับสมมุติมันต่างกันอย่างไร ปัญญาก็เริ่มสนใจพิจารณาละที่นี่<O:p
     
  3. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    อันนี้รู้สึกว่าพิสดารมาก ถ้าจะพูดตามที่พิจารณามาหรือย่นย่อเข้ามาเฉพาะให้ได้ความตามโอกาสอันควร สรุปกันทีเดียวว่า อันใดที่ปรากฏตัวขึ้นมาให้พิจารณา อันนั้นสิ่งที่ปรากฏตัวขึ้นมานั้นเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น นี่หมายถึงธรรมละเอียดปรากฏอยู่ที่ใจ แม้ที่สุดจุดที่มีความสว่างไสวอยู่นั้นแลคือจุดอวิชชาแท้ กำหนดลงไปที่นั่นด้วยปัญญาสภาวธรรมทั่วๆ ไปนั่นเป็นสภาพธรรมอันหนึ่งๆ ฉันใด ธรรมชาตินี้ก็เป็นสภาพธรรมอันหนึ่งฉันนั้น เราจะถือว่าเราเป็นของเราไม่ได้ แต่ความสงวนอยู่นี้แสดงว่าเราถือว่าเป็นเราเป็นของเราซึ่งเป็นความผิด

    ปัญญาสอดเข้าไปว่านี่มันเป็นอะไรแน่ๆ นะ เหมือนกับว่าเราย้อนมาดูตัวของเราเรามองออกไปข้างนอก ดินฟ้าอากาศเราก็เห็น มีอะไรมาผ่านทางสายตาเราก็เห็น แต่เมื่อเราไม่มองมาดูตัวของเรา เราก็ไม่เห็นตัวของเรา ปัญญาขั้นนี้รวดเร็วมาก ย้อนกลับไปกลับมาดูจุดสุดท้ายหรือวาระสุดท้าย การพิจารณาก็เหมือนกับพิจารณาสิ่งอื่น ไม่พิจารณาเพื่อถือเอา พิจารณาเพื่อให้รู้สิ่งนั้นตามความจริงของมันโดยถ่ายเดียว
    <O:p
    เวลาอันนี้จะดับ มันไม่เหมือนสิ่งทั้งหลายดับ สิ่งทั้งหลายดับเป็นความรู้สึกของเราว่าเข้าใจแล้วในสิ่งนี้ แต่อันนี้ดับมันไม่เป็นอย่างนั้น มันดับแบบสลายลงไปทันทีเหมือนฟ้าแลบ คือมันเป็นขณะอันหนึ่งที่ทำงานของตัวเอง หรือว่ามันพลิกก็ได้ มันพลิกคว่ำแล้วหายไปเลย พออันนี้หายไปแล้วถึงจะทราบว่า นี้คืออวิชชาแท้ละที่นี่ เพราะเหตุว่าอันนี้หายไปแล้วมันไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมาให้เป็นข้อสงสัย
    <O:p
    สิ่งที่เหลืออยู่ก็ไม่เป็นอย่างนี้ แต่เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์และไม่เคยเห็นก็ตาม แต่เวลาปรากฏในขณะนั้นมันก็ไม่มีอะไรเป็นที่น่าสงสัย นั่นละภาระมันถึงหมดไป คำว่าเราก็หมายถึงอันนี้เอง หมายถึงอันนี้ยังตั้งอยู่ พิจารณาอะไรก็พิจารณาเพื่ออันนี้ คำว่ารู้ก็คือเราตัวนี้รู้ คำว่าสว่างก็เราสว่าง คำว่าเบาก็ว่าเราเบา คำว่าสุขก็ว่าเราสุข คำว่าเราๆ ก็หมายถึงตัวนี้เอง นี่ละคือตัวอวิชชาแท้ ทำอะไรต้องเพื่อมันทั้งนั้น พออันนี้สลายไปแล้วไม่มีเพื่ออะไรอีก
     
  4. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ตามความรู้สึกของกระผมที่พิจารณามานี้ ตอนที่อันนี้จะดับลงไปมันมีขณะบอกอย่างชัดแจ้งทีเดียว มันเป็นขณะ คือขณะนั้นเราไม่ได้คาดได้ฝัน มันเป็นขณะอันหนึ่งที่ทำให้สะดุดใจ ขณะที่อวิชชาดับมันเป็นขณะอันหนึ่งที่แสดงขึ้น คล้ายกับว่ามันพลิกตัวเองเป็นโลกใหม่ถ้าว่าโลกนะ มันเป็นโลกใหม่ มันพลิกพับเดียวอวิชชาก็ดับไปขณะนั้น แต่ไม่ได้อยู่ในการคาดคะเน ไม่ได้อยู่ในความตั้งใจว่าจะพลิก มันเป็นขึ้นมาเอง อันนี้เป็นส่วนละเอียดมากสุดวิสัยที่จะกราบเรียนให้ถูกต้องกับความจริงของขณะนั้นได้

    การปฏิบัติในศาสนานี้ถ้าปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์จริงๆ มันก็มีเคล็ดลับอยู่สองคือ ระหว่างอุปาทานของกายกับจิต กายกับจิตเป็นอุปาทานต่อกัน จะแยกจากกันนี้เป็นเคล็ดลับอันหนึ่ง กับมาเคล็ดลับที่สองอันเป็นจุดสุดท้ายแห่งความสามารถของกระผมที่เป็นขึ้นมา นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่น่าสงสัย
    <O:p
    กระผมเคยไปบำเพ็ญอยู่ที่วัดดอยฯ ปัญหาเรื่องอวิชชานี้มันทำให้งงอยู่นานเหมือนกัน คือขณะนั้นจิตมันสว่างจนตัวเองเกิดความอัศจรรย์ในความสว่างไสว ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเป็นเหตุให้อัศจรรย์นั้น รู้สึกมารวมตัวอยู่ในจิตนั้นหมด จนเกิดความอัศจรรย์ในตัวเองว่า แหม จิตของเราทำไมถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้นะ มองดูกายทั้งกายไม่เห็น มันเป็นอากาศธาตุเสียหมด ว่างไปหมด จิตมีความสว่างไสวอย่างเต็มที่
    <O:p
    แต่เดชะนะ พอเวลาเกิดความอัศจรรย์ตัวเองขึ้นมา ถึงกับอุทานในใจในเวลานั้นด้วยความหลงไม่รู้สึกตัว ถ้าพูดถึงธรรมะส่วนละเอียดมันเป็นความหลงอันหนึ่ง มันอัศจรรย์ตัวเอง ทำไมจิตของเราถึงได้เป็นขนาดนี้ พอว่าอย่างนั้นก็มีธรรมะบันดาลขึ้นมา อันนี้ก็ไม่คาดไม่ฝันเหมือนกัน ผุดขึ้นมาเหมือนกับมีคนพูดอยู่ภายในจิตนี้ แต่ไม่ใช่คนพูด ผุดขึ้นมาเป็นบทๆ ว่า
     
  5. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    การฝึกฝนอบรมจิตใจดีนะ

    วันที่ 15 มกราคม 2545
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด


    <DD>วันที่ ๑๘ นี้ตอนเย็น คณะกรรมาธิการศาสนาเขาจะมาปรึกษาเรื่องศาสนา ซึ่งเวลานี้กำลังรกรุงรัง ข้าศึกของศาสนาก็เริ่มมีเข้ามาด้วยกัน ก็ไม่พ้นกับเราอีกจะเข้าเกี่ยวข้อง เขาจึงรีบมาหาเราเพื่อปรึกษาปรารภ<DD>



    <DD>วันนี้เห็นคาถาอันหนึ่งเขาเอามาใหม่มั้ง เราไปอ่านดูเข้าท่าดีคาถาอันนี้ที่เราเทศน์ เขาถอดออกมาจากเทป อ่านดูดีอยู่กระตุกดี พระพุทธเจ้ารับสั่งเทศน์ว่าอย่างนั้น เป็นพุทธพจน์ เราไปอ่านดูน่าฟัง เป็นพุทธพจน์ที่กระตุกใจสัตวโลกหนักอยู่นะ กระเทือนมากอยู่ภาษิตอันนี้ เราก็เอามาเทศน์ให้ฟัง มันสำคัญอยู่ที่ภาชนะ คือใจเป็นภาชนะสำคัญ พระพุทธเจ้ารับสั่งอะไรออกมาจากพระทัย ๆ ที่บริสุทธิ์ ๆ ครั้นออกมาภาชนะที่รองรับก็มีแต่ส้วมแต่ถานไปเสียหมดก็เลอะเทอะไปตาม ๆ กันหมด ธรรมะก็เลยกลายเป็นส้วมเป็นถานไม่มีความหมายอะไร<DD>



    <DD>พระพุทธเจ้าสอนโลกมานี้ประมาณสักเท่าไรแล้ว ๒,๕๐๐ กว่าปี ออกจากพระทัยที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ ที่มีคุณค่าสูงสุด ๆ ออกมาก็ลงมาที่ภาชนะรับ ก็มีแต่ส้วมแต่ถาน ทีนี้ธรรมที่ลงไปหาส้วมหาถานจะเป็นยังไง มันก็เลอะ ๆ ไปตามกัน ฟังก็ฟังไปด้วยความเลอะ ๆ เทอะ ๆ ปฏิบัติแบบเลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปหมด อย่างนี้ซิศาสนาถึงไม่มีความหมายเมื่อลงเข้าส้วมเข้าถาน ถ้าเป็นภาชนะที่รับรองธรรมเต็มเหนี่ยวอยู่แล้วก็เข้ากันได้ปั๊บ ๆ ยิ่งธรรมสูงเท่าไร ธรรมที่ออกไปรับกันก็เด่นขึ้น ๆ เชิดชูหัวใจผู้ฟัง ยกหัวใจผู้ฟังขึ้นเรื่อย ๆ เด่น ๆ เด่นดวง เลิศโลก นั่น<DD>



    <DD>นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าถ้าลงในส้วมในถาน ก็กลายเป็นคลุกเคล้ากับส้วมกับถานไปเสีย ฟังเทศน์คนฟังกิเลสหนาปัญญาหยาบ ไม่สนใจในอรรถในธรรม ก็เป็นเท่ากับส้วมกับถานนั้นแหละ ไม่ได้ศัพท์ได้แสงได้เรื่องได้ราว ฟังไปอย่างนั้นแหละ ไม่มีคุณค่า..ธรรม เพราะเข้าไปคลุกเคล้ากับส้วมกับถานแล้ว ส้วมถานไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าอะไร นั่น อันนี้ลงไปเจอกันเข้าก็เลยกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน กลายเป็นส้วมเป็นถานสำหรับปุถุชนทั่วไปหมด ผู้หนาด้วยกิเลส กิเลสก็คือส้วมคือถานจะเป็นอะไรไป<DD>



    <DD>อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านแสดงไว้ว่า ธรรมของพระพุทธเจ้าถ้าสิงสถิตอยู่ในหัวใจของคนมีกิเลสก็กลายเป็นธรรมปลอมไป ถ้าอยู่ในใจของพระอริยเจ้าก็เป็นธรรมอันเลิศเลอ ออกมาจากหัวใจท่าน ท่านพูดอย่างนี้ คนก็ถกเถียงกันเห็นไหมล่ะ พวกส้วมพวกถานมันก็ขยี้ขยำธรรม ธรรมก็เป็นของบริสุทธิ์สุดส่วนแล้วจะเป็นธรรมปลอมไปได้ยังไง คือธรรมพระพุทธเจ้าบริสุทธิ์สุดส่วนก็จริง แต่เวลาไปคลุกเคล้ากันกับจิตใจของปุถุชนก็กลายเป็นธรรมปลอมไป ท่านว่าอย่างนี้ ท่านพูดสั้น ๆ เท่านั้นแหละ<DD>



    <DD>ก็มาเถียงกันว่า ธรรมเป็นของจริง เข้าไปคลุกเคล้ากันแล้วก็เป็นของจริงอยู่นั้น ทางนี้มันโมโหก็ใส่เสียบ้างล่ะซี เอ้า ถ้วยนี้เป็นส้วมเป็นถานเต็มอยู่นี้แล้ว เอาอาหารไปคลุกเคล้าจะกินได้ไหมเราว่างั้นซี เอา อันนี้ อาหารก็เป็นอาหาร ส้วมก็เป็นส้วม มันจะปลอมหรือไม่ปลอม ถ้าไม่ปลอมจะกินได้ไหม มันก็กินไม่ได้ ก็นั่นละมันปลอมอยู่ตรงนั้น แน่ะ เอาอย่างนั้นแล้ว เราตอบเองมันคันฟัน เอากันสด ๆ ร้อน ๆ ก็มันคละเคล้ากันแล้ว ของที่ควรจะรับประทานตกลงไปมันก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรรับประทานแล้วใช่ไหมล่ะ มันก็เป็นอย่างนั้น<DD>



    <DD>หลวงปู่มั่นท่านพูดเราก็มาขยายความออกอีก เพราะท่านพูดส่วนรวม ใส่ปุ๊บส่วนรวมทีเดียวเลย ว่าธรรมของพระพุทธเจ้าที่บริสุทธิ์สุดส่วนนั้น เมื่อเข้าสิงสถิตอยู่ในปุถุชนก็กลายเป็นธรรมะปลอมไป ท่านว่ากลาง ๆ อย่างนี้ ทีนี้เวลาเราแยกออกไป พระอริยเจ้าก็มีหลายขั้น ธรรมมีหลายขั้น ถ้าสิงสถิตอยู่กับปุถุชนล้วน ๆ แล้วก็เป็นธรรมปลอมล้วน ๆ ถ้าไปสิงสถิตอยู่ในพระอริยเจ้าตั้งแต่ขั้นโสดาขึ้นไปก็มีส่วนจริงส่วนปลอมสับกันไปละเอียดไปถึง สกิทาคา อนาคา ธรรมก็ละเอียดไป ๆ จริงไป ๆ ถึงพระอรหันต์แล้วจริงสุดส่วน แน่ะ<DD>



    <DD>คำว่าธรรมมีหลายขั้นของธรรม จิตใจของคนก็มีเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน นี่เป็นภาชนะสำหรับรับธรรม เพราะฉะนั้นจึงเป็นฝักเป็นฝ่าย ไม่ได้เป็นอันเดียวกันทีเดียว คำว่าปลอม ปลอมล้วน ๆ ก็มี ปุถุชนล้วน ๆ นี้เรียกว่าปลอม ถ้าเข้าขั้นอริยะตั้งแต่โสดาขึ้นไปก็ค่อยจริงแทรกกันเข้า พระสกิทาคาจริงแทรกกันเข้า ธรรมแทรกเข้าหนาเข้า ถึงอนาคาก็ยิ่งหนาเข้าธรรม ถึงอรหันต์สุดส่วน บริสุทธิ์เต็มที่ นั่นธรรมเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ อย่างนี้<DD>



    <DD>ลูกหลานไปเรียนหนังสือ ครูอาจารย์พามาก็ให้นำไปปฏิบัตินะ อันนี้เราก็ไม่ค้านแม้เราตัวเท่าหนูก็เป็นแบบของหนูนั่นแหละ พระพุทธเจ้าก็แบบของพระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอก เป็นแบบแผนของศาสดาองค์เอกที่เป็นคติตัวอย่างแก่โลกเรื่อยมา จนกระทั่งได้ทำรูปไว้กราบไหว้บูชานี้ก็คือรูปของพระพุทธเจ้า แน่ะ คติตัวอย่างทุกอย่างออกมาจากพระพุทธเจ้าที่เป็นแบบฉบับ ๆ เรื่องเหล่านี้ก็เป็นแบบฉบับมาตั้งแต่ครั้งองค์ศาสดา ทีนี้มาเป็นแบบฉบับในสมัยเรานี้ควรจะยึดได้ยังไงมันก็ไม่ขัดกัน<DD>



    <DD>อย่างที่ว่า หยดน้ำบนใบบัว อย่างนี้เราไม่ค้าน จะว่าเราเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงเราก็ไม่มี คือไม่ค้าน เห็นด้วย แล้วจะกลายเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างนี้เราก็ไม่มี ถ้าว่าการค้าน ธรรมที่สอนไปแล้วไม่มีที่คัดค้าน แน่ะ ก็จะคัดค้านที่ตรงไหน หนูตัวหนึ่งก็เป็นหนูตัวหนึ่งเต็มตัว ช้างตัวหนึ่งก็เป็นช้างเต็มตัว สัตว์ทุกประเภทเต็มตัวของเขาเอง อันนี้เรื่องนิสัยวาสนาบุญญาภิสมภารของคน มีหนักมีเบามากน้อยต่างกัน ก็เป็นตามสัดตามส่วนของตัวเอง เช่น ศาสดาองค์เอกก็เป็นคติตัวอย่างแก่โลกทั้งสามเลย จากนั้นก็รองลงมา ๆ การที่ลูกหลานทั้งหลายนำไปเป็นคติตัวอย่างนี้เราก็ก้าวเดินมาแล้ว ถ้าว่าผิดเราก็ต้องผิดไปแล้ว เราไม่ได้ผิด เป็นที่แน่ใจโดยลำดับมา<DD>



    <DD>ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานตะเกียกตะกายจะเป็นจะตาย ก็เป็นคติตัวอย่างจากผลที่ได้มาโดยวิธีนี้ทั้งนั้น แน่ะ คือเหตุบำเพ็ญมายังไง ผลได้มาเป็นลำดับลำดาก็ไม่มีที่ต้องติเหตุคือการกระทำของเรา ว่าสมควรหรือไม่ที่จะได้รับผลเช่นนั้น ๆ ขึ้นมา ก็สมควรต่อกันเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงผลเป็นที่พอใจ ก็เพราะเหตุเป็นที่พอใจมาแล้ว เมื่อเหตุไม่หนุนให้เต็มที่แล้วผลจะเต็มที่ได้ยังไง นี่เราก็ดำเนินมาแล้ว ถ้าหากว่าจะต้องติในหนังสือเล่มนี้ที่จะเอาไปเป็นคติตัวอย่าง ก็ต้องติเราซึ่งเป็นตัวเหตุนี้ การดำเนินของเราก็ไม่มีที่ต้องติ เท่าที่ปฏิบัติมา ผลไม่มีที่ต้องติจะไปต้องติเหตุที่ตรงไหน จึงว่าเราจะคัดค้านก็ไม่มีทางที่จะคัดค้าน เพราะธรรมเป็นธรรมแท้ ก็มีแต่เห็นด้วย คือเราเห็นด้วยไปก่อนแล้วด้วยการปฏิบัติของเรา ก็มีเท่านั้น ผู้ใดจะนำไปปฏิบัติก็ปฏิบัติ<DD>



    <DD>การเทศนาว่าการไม่ได้แบ่งสันปันส่วนเอาผลรายได้รายเสียจากผู้หนึ่งผู้ใด มีตั้งแต่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังแล้วจะนำไปประพฤติปฏิบัติตามนั้น ผลมากน้อยก็เป็นประโยชน์ของตนเองเท่านั้น สำหรับเรา-เราไม่มีอะไร เราก็บอกแล้วเราไม่มีอะไรกับใคร มายกมายอก็เท่านั้น มาติฉินนินทาก็ปากของของเขาเอง มายกยอก็ปากของผู้พูดออกมาเอง ตำหนิติเตียนก็ปากคนนั้นเอง มันก็เสียที่ปากตรงนั้น ได้ที่ปากตรงนั้นเอง ไม่ได้จากที่อื่นที่ใดนะ ได้จากปากของตัวเอง เป็นข้าศึกต่อตัวเองก็คือปากพูดไม่สำรวมระวัง อยากพูดอะไรก็พูดออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า ภัยก็เกิดขึ้นจากปากเผาหัวใจตัวเอง นอกจากนั้นยังไปแผดเผาหูคนอื่นให้จิตของเขาเศร้าหมองมืดตื้อไปด้วยก็มีเยอะ ผู้ที่ดีก็เป็นประโยชน์แก่ตนเองแล้วยังทำประโยชน์ให้คนอื่นได้รับจากการได้ยินได้ฟังอีก มันก็เป็นขั้น ๆ ตอน ๆ<DD>



    <DD>สำหรับสิ่งที่ชมที่ตินั้นเป็นธรรมชาติกลาง ๆ ไม่เข้าใครออกใคร พระพุทธเจ้าที่บริสุทธิ์แล้ว ท่านไม่เข้าใครออกใคร ใครตำหนิติชมพระองค์ก็เคยมาแล้ว ถึงขนาดเขาจ้างวานคนไปด่าพระพุทธเจ้า ก็เห็นอยู่แล้วในคัมภีร์ เสด็จไปบิณฑบาตที่ไหนก็ถูกเขาด่าเขาว่า ไอ้อูฐไอ้ลาไอ้หัวโล้นโกนคิ้ว ทุกอย่างว่าไป ไอ้ขอทาน ท่านก็เฉยเสียไม่สนใจ

    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2009
  6. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    <DD>พระอานนท์ที่มีกิเลสอยู่นั้นซีเดือดร้อนวุ่นวาย ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดบ้านอื่นเมืองอื่นที่เขาไม่ตำหนิติฉินนินทาอย่างนี้ พระองค์ถ้าเป็นอย่างเราก็เรียกว่ารำคาญหู แล้วจะไปบ้านไหนล่ะอานนท์ ไปบ้านโน้น ๆ บ้านโน้นเขาก็มีปากเหมือนกัน ถ้าเขาว่ามา เราก็มีหูเหมือน เขาตำหนิมาจะว่ายังไง ไปบ้านนั้นเขาว่ามาแล้วว่าไง มันก็เหมือนกันนี่ ไปบ้านนั้นตำหนิก็ไปบ้านนั้น สุดท้ายก็โลกแคบไม่มีที่อยู่ เพราะมีที่ตำหนิติเตียนและเชยชมทั่วโลกดินแดน เนื่องจากดีกับชั่วมีอยู่ด้วยกัน ไปที่ไหนก็มี ไล่ไปจนกระทั่งถ้าบ้านนั้นเขาตำหนิล่ะ เขาด่าแล้วจะว่าไง ไปบ้านนั้น แล้วบ้านนั้นเขาด่าจะว่าไง สุดท้ายไม่มีบ้านอยู่<DD> </DD>

    <DD>อานนท์อย่าไปคิดอย่างนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องของโลกสงสาร โลกธรรม ๘ มีอยู่อย่างนี้ประจำโลก ได้มาเสียไป นินทาสรรเสริญ สุขทุกข์ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เป็นอยู่อย่างนี้ทั่ว ๆ ไปแหละ ไปที่ไหนก็มีอย่างเดียวกันนี้ ถึงไม่ควรไป ให้ดูเจ้าของชำระจิตใจเจ้าของ มันบกพร่องตรงไหนให้แก้ไขดัดแปลงจุดที่บกพร่อง เราก็สมบูรณ์ไปในตัวของเราเอง ท่านก็ยกองค์ท่านขึ้นมา สำหรับเราตถาคตเหมือนกับช้างที่ก้าวเข้าสู่สงคราม ไม่พรั่นพรึงต่อลูกศรที่จะมาจากทิศทั้งสี่ เราตั้งหน้ารบเท่านั้น นั่นว่างั้น<DD>

    <DD>ตั้งหน้ารบก็คือตั้งหน้าดำเนินด้วยความเป็นธรรม ประจำองค์ศาสดาเท่านั้นเอง นั่น พระพุทธเจ้าไม่เห็นว่าอะไร เรื่องความตำหนิติชมมีอยู่ทั่วไปนั่นแหละ เกิดที่ไหนก็ไปเป็นผลอยู่ที่นั่น เกิดจากปากใครก็เป็นผลที่นั่น ไม่ว่าเกิดทางดีทางชั่ว เกิดจากปากที่พูดดีพูดชั่ว ก็เป็นผลย้อนเข้ามาหาผู้ทำ ผู้ทำก็คือผู้เป็นต้นเหตุ เหตุเกิดที่ไหนผลก็เกิดที่นั่น ก็มีเท่านั้นเอง เราจะไปมองดูตั้งแต่นอก ๆ ใครว่าที่ไหนก็มีแต่จะแว้ ๆ ใส่เขา ไม่ดูหัวใจเจ้าของ หัวใจเจ้าของบกพร่องถึงไปโกรธให้เขา ถ้าใจไม่บกพร่องไม่โกรธ เขาจะดุจะด่าจะว่าอะไรก็เฉย เหมือนหมาปล่อยหำ เข้าใจไหมหมาปล่อยหำ ถ้าไม่เข้าใจไปดูหำไอ้หยองซี มันนุ่งผ้าเมื่อไรสักที มันเฉยของมันอย่างนั้นแหละ ใครก็รู้ว่ามันหมาจะไปสนใจกับมันอะไร แน่ะ<DD>

    <DD>อันนี้ก็อย่างนั้นซี ใครว่าที่ไหนก็ไปดูตั้งแต่นอก ไม่ดูเจ้าของที่บกพร่อง เราไม่พอใจ ความไม่พอใจคือเราเอง นี่ยังบกพร่องจุดนี้ แก้ตรงนี้ พอแก้ตรงนี้แก้เข้าไป ๆ ใครว่าอะไรก็เฉย มันพอแล้ว แก้ดีแล้วไปที่ไหนก็สบายไปหมด ถ้าแก้ตัวไม่ได้ไปไหนทุกข์ทั้งนั้นแหละคนเรา ขอให้แก้ที่ตัว บกพร่องที่ตัวนะ อย่าไปเข้าใจว่าเขาตำหนิเรา ว่าเขาไม่ดี เขาชมว่าเขาดี อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องดูตัวของเราเอง เขาตำหนิเราว่าไม่ดี เราไม่ดีตรงไหนอย่างที่เขาว่า ถ้าเป็นอย่างเขาว่าจริง ๆ เราก็แก้ตรงนั้นเสีย เขาชมว่าดีหรือไม่ดีก็พิจารณาตัวเองตลอดเวลา นี่เรียกว่าผู้มีธรรมในใจ เรื่องดีเรื่องชั่วจะเข้ามาสู่ใจ ใจจะเป็นผู้รับทราบได้ทั้งหมด ควรแก้ไขถอดถอนให้แก้ ควรส่งเสริมส่งเสริม-ส่งเสริมไปเรื่อย นั้นเรียกว่าผู้ปฏิบัติตน ไม่อย่างนั้นไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรม<DD>

    <DD>ไปคอยเอาตั้งแต่ความดีความชอบความชมเชยสรรเสริญ จากปากคนหูคนใช้ไม่ได้นะ ต้องดูตัวเอง เอาจากตัวเองซิ เขาตำหนิมายังไง ๆ เหมือนกับครูเหมือนกับอาจารย์เตือนเราสอนเราบกพร่องตรงไหน ๆ เราแก้ตรงนั้นไปเรื่อย ๆ คนเรามันก็ดีไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ เมื่อถึงดีเต็มที่แล้วจะตำหนิหรือชมก็เท่ากัน เป็นส่วนเกินทั้งหมด เขาชมมามันก็เกินเสีย น้ำเต็มแก้วแล้ว เขาชมเชย เขาสรรเสริญก็มีน้ำหนักเท่ากัน เป็นส่วนเกินอย่างเดียวกัน ไหลล้นออกอย่างเดียวกันหมด ถ้าจิตพอในสภาวธรรมทั้งหลายแล้วก็เป็นอย่างนั้น ก็เป็นธรรมทั้งแท่ง หากเป็นหลักธรรมชาติเอง จะบังคับให้ติดก็ไม่ติด ถ้าจิตพอตัวแล้ว บังคับให้ดีกว่านั้นก็ไม่มี ให้ชั่วกว่านี้ก็ไม่มี จึงเรียกว่าจิตพอตัวแล้ว<DD>

    <DD>หนังสือเล่มนี้ก็พอจะเป็นประโยชน์แก่ชาวพุทธเราบ้างแหละ ถ้าว่าจะสมก็สมกับความเสียสละของเราถึงขนาดที่ว่าเป็นก็เป็นตายก็ตาย ติดแนบอยู่กับความเพียรเลย นี่เราติดแนบมาตลอด จึงได้พูดถึงเรื่องการพิจารณาย้อนหลังของเรา ตั้งแต่ประกอบความเพียรมาจนถึงที่ยุติกันนี้ การประกอบความเพียรเราได้มีความอ่อนแอท้อแท้เหลวไหล หรือถอดถอนตนเองด้วยความอ่อนเปียกไปอย่างนั้น มีที่ตรงไหน มันไม่มีก็บอกไม่มี แน่ะ ก็ได้ชมเจ้าของ โอ๋ มันไม่ถอย ถึงจะล้มลุกคลุกคลานขนาดไหนจะเป็นจะตาย ไม่ถอยอยู่ตลอดเวลา มันถึงได้มาถึงอย่างนี้ นั่น ถ้าถอยเสียที่ไหนแล้วก็จมไปเลย นี่ก็คือไม่ถอย<DD>

    <DD>ก็ได้ชมความหมายมั่นปั้นมือ พูดให้เต็มยศก็คือว่า ความหมายมั่นปั้นมือต่อมรรคผลนิพพาน ต่อแดนอรหันต์นี้เต็มหัวใจ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรอ่อนนะ ร่างกายมันจะไปไม่ได้อย่างที่เคยพูดให้ฟัง เอ้า.ไปไม่ได้อยู่เสียก่อนซิ ใจไปได้อยู่ใจต้องไป นั่น มันก็หมุนติ้ว ๆ ของมัน นี่ละเรียกว่าอำนาจแห่งความอุตส่าห์พยายาม มันฝ่าฝืนอุปสรรคไปได้โดยไม่ต้องสงสัย ถ้าเราไม่ฝ่าฝืนไม่โต้ตอบหรือไม่รบรากันแล้ว มีแต่แพ้โดยถ่ายเดียว ใช้ไม่ได้เลยนะ ต้องสู้ ๆ ตลอด ผลแห่งการต่อสู้ สู้กับข้าศึกศัตรู ได้มาก็คือความสุขความเบาใจของเรา เช่น มันจะไปทำความชั่วไม่ให้ทำ นั่น. เอ้า มันอยากไปก็ให้มันไป ไปแต่ใจ ใจยังห้ามไม่ได้ ห้ามร่างกายไม่ให้ไป เอ้า.ใจมันอยากไปให้มันไป เวลายังห้ามใจไม่ได้นะ<DD>

    <DD>พอหนักเข้า ๆ ห้ามได้ทั้งใจ ใจก็ไม่ไป พอแย็บออกมานี้จะเป็นทางดีทางชั่วประการใด มันจะทดสอบกันทันที ๆ นี่เรียกว่าทันกัน สติปัญญาจะรอบตัว ๆ พอแย็บออกมาทางชั่วหรือทางดีมันจะรู้ ทางดีเป็นสิ่งที่เราเสริมอยู่แล้วมันก็หนุนกันทันที ถ้าเป็นทางชั่วปัดออกทันที ๆ ๆ นี่เข้าถึงใจแล้วเป็นอย่างนั้น แต่ส่วนร่างกายก็ต้องอาศัยใจบังคับ คือทีแรกใจมันดื้อ เอ้า.ถ้าใจดื้อ มันอยากคิดก็ให้มันคิดไป แต่เราจะไม่ไปตามที่มันคิดว่าอยากไป แล้วไม่ไปตามนั้น แน่ะ เอาใจอันหนึ่งห้ามร่างกายไว้ไม่ให้ไป ไม่ให้ทำสิ่งชั่วทั้งหลาย เอ้า.มันอยากทำในจิตมันคิด ห้ามมันไม่ได้ เอ้า.ให้มันคิด สิ่งที่ห้ามได้คือการทำตามความคิด ไม่ให้ทำ ไม่ให้พูด เอาตอนนี้ก่อน<DD>

    <DD>ต่อมาคิดก็ไม่ให้คิด พูดก็ไม่ให้พูด บังคับเอากันได้ จนกระทั่งแย็บปั๊บออกมารู้ทันที ขาดสะบั้นไปเลย นั่นเห็นไหมล่ะการฝึกฝนอบรมจิตใจ ดีอย่างนั้นนะ ดีเป็นขั้นเป็นตอน ๆ ละเอียดขึ้นไปเท่าไร ธรรมยิ่งจ้าขึ้น ๆ กำลังวังชาความเฉลียวฉลาดแหลมคมทุกอย่างอยู่กับธรรมหมด กิเลสนี้หมอบ ๆ เรื่อย ถึงขนาดที่ได้คุ้ยเขี่ยขุดค้น บางทีเราก็เคยพูด มันเป็นในจิตนี่ เอาเสียจนกระทั่ง ปรากฏว่ากิเลสนี้ไม่มีเลยในหัวใจ คือมันหมอบ ส่วนละเอียดมันยังหมอบอีกด้วยนะ ไม่เพียงส่วนละเอียดเฉย ๆ มันยังหมอบยังหลบยังซ่อนอยู่ มันก็แสดงตัวขึ้นมาซิอันหนึ่ง เหอ.ไม่ใช่สำเร็จแล้วเหรอ มันเป็นพระอรหันต์น้อย ๆ ขึ้นมาแล้วนี่ ไม่เห็นมีกิเลสสักตัว<DD>

    <DD>ทั้ง ๆ ที่ไม่เชื่อมันนะ.มันหากมีอันหนึ่งแทรกขึ้นมา เหอ.มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อย ๆ แล้วเหรอ นี่เวลากิเลสมันหมอบ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เชื่อมันนะ มันหากมีอันหนึ่งที่คอยฟัดคอยเหวี่ยงคอยจับกันอยู่ หาจับที่ไหนมันก็เงียบ ๆ เหอ.ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อย ๆ แล้วเหรอ มันคิดของมันเฉย ๆ นะ แต่ความสำคัญเราไม่ได้เป็นไปตามนั้น ก็รู้อยู่ว่ายังไม่หมด เป็นแต่เพียงว่ามันละเอียด ถึงขั้นที่ว่า เหอ.ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อย ๆ องค์หนึ่งขึ้นมาแล้วเหรอ.สักเดี๋ยวเสือใหญ่ก็โผล่ขึ้นมา นี่อรหันต์น้อยลายพาดกลอน ซัดกันเลย จะใหญ่ขนาดไหนก็เถอะ ถ้าลงสติปัญญาขั้นนั้นแล้ว อย่าว่าแต่เสือโคร่งเลย ปู่เสือโคร่งมาก็พังกันหมดนั่นแหละ นี่ถึงขั้นสติปัญญาที่เกรียงไกร พับเท่านั้นขาด ๆ ฟังซิพี่น้องทั้งหลาย<DD>

    <DD>เวลามันหนามันแน่นอยู่ เราขาดสู้มันไม่ได้นะ หงายตลอดเลย เวลาธรรมะเกรียงไกรแล้วกิเลสมีแต่หงายทั้งนั้น ไม่หงายขาดสะบั้นไปเลย นิพพานนี่อยู่ชั่วเอื้อม ๆ เพลินไม่มีวันมีคืนมีปีมีเดือน หมุนติ้ว ๆ อยู่ภายใน ที่จะให้หลุดให้พ้น ๆ นั่น ถึงกาลเวลาของธรรมมีกำลังแล้วเป็นด้วยกันในหัวใจทุกคน ใจไม่มีหญิงมีชาย ขอแต่ใช้ความอุตส่าห์พยายามซึ่งไม่มีเพศเหมือนกัน ใครใช้คนนั้นได้เป็นสิริมงคลแก่ตัว ถ้ามีแต่อืดอาด ๆ อยู่เรื่อย ท้าทายพระพุทธเจ้าด้วยกองมูตรกองคูถเต็มหัวใจเจ้าของ ท้าทายเท่าไรก็ยิ่งจมในกองมูตรกองคูถนี้นะ อย่าเอากองมูตรกองคูถไปท้าทายกับทองคำทั้งแท่ง คือธรรมอันเอกของศาสดา ไม่สมควรอย่างยิ่งเราที่เป็นมนุษย์และเป็นชาวพุทธ<DD>

    <DD>ให้พยายามพากันตื่นเนื้อตื่นตัว แก้ไขดัดแปลงตนเอง เราจะดีได้ทุกคน ธรรมไม่ครึไม่ล้าสมัย สด ๆ ร้อน ๆ ที่จะทำคนให้ดีจากการปฏิบัติของตัวเอง และกิเลสก็เหมือนกัน ทำคนให้ชั่วจากการหลงตามมันด้วยกัน สด ๆ ร้อน ๆ เหมือนกันไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน ระหว่างกิเลสกับธรรมว่าอันไหนครึอันไหนล้าสมัย ไม่มี เวลานี้กิเลสกำลังทันสมัยล้ำยุคล้ำสมัยอยู่ในหัวใจสัตว์ ธรรมนี้ก้าวไม่ออกเพราะเราไม่นำมาก้าว ธรรมก็เลยกลายเป็นของครึไปเสีย เพราะเจ้าของทำตัวเป็นคนครึจากธรรมทั้งหลาย ก็ไม่มีธรรม เมื่อหมุนธรรมเข้ามาสู่ใจธรรมทันสมัยทันที คว้าอันไหนได้อันนั้นแหละ คว้าดีได้ดี คว้าชั่วได้ชั่ว อยู่กับหัวใจของเราทุกคน อย่าปล่อยอย่าวางตัวเองนะ<DD>

    <DD>เราอย่าไปเชื่อใครไม่ใช่ สรณํ คจฺฉามิ ของเราละ กิเลส ความโลภ สรณํ คจฺฉามิ มีที่ไหน ความโกรธ ราคะ ตัณหา สรณํ คจฺฉามิ ได้ผัวได้เมียคนละยี่สิบสามสิบ คนละร้อยละพัน สรณํ คจฺฉามิ อย่างเอกมีไหมล่ะ ไม่เห็นมี เห็นแต่หมากัดกันในครัวเรือนนั่น เข้าใจไหม ตั้งแต่ผัวเดียวเมียเดียวยังทะเลาะกัน ไม่ทะเลาะยังไง ลิ้นกับฟันอยู่ด้วยกัน เคี้ยวไปเคี้ยวมาก็กัดกันละลิ้นกับฟัน ก็ผัวกับเมียนั่นแหละลิ้นกับฟัน เจ้าของก็คือสติ เป็นผู้คอยกำกับดูแล ให้เคี้ยวไปเรื่องเคี้ยวนั่นน่ะ มีอะไรเคี้ยวลงไป อย่าเคี้ยวแต่ขี้หมูขี้หมาก็แล้วกัน เข้าใจไหม อาหารการกินเคี้ยวไปเถอะ ระวังแต่อย่าให้ลิ้นกับฟันกัดกันก็แล้วกัน เจ้าของรักษาดีแล้ว ฟันก็ทำหน้าที่เคี้ยวกลืน ลิ้นก็ทำหน้าที่ป้ายอาหารใส่ฟันให้เคี้ยวไปก็สำเร็จประโยชน์<DD>

    <DD>ถ้าปล่อยให้ทางใดทางหนึ่งรุกล้ำกันแล้วเลือดสาดนะ แล้วจะตำหนิใคร เจ้าของนั่นแหละผู้เจ็บ เจ้าของต้องเป็นผู้บังคับเจ้าของ อย่าให้ลิ้นกับฟันกัดกัน ก็คือเจ้าของเป็นคนระมัดระวัง อันนี้ครอบครัวเหย้าเรือน ผัวเมียก็ต่างคนต่างระวังความผิดถูก ผิดได้ด้วยกันถูกได้ด้วยกัน ใครผิดให้ยอมรับว่าผิด อยู่ด้วยกันได้มนุษย์เรา ใครถูกก็ทราบแล้วว่าถูก ยอมรับกันอยู่ด้วยกันได้ ถ้าผิดไม่ยอมรับว่าผิดนี้แตกนะ คือไม่ยอมรับว่าผิดนี้คือความชั่ว ความชั่วนี้แหละมันเข้าทำลาย ถ้าผิดยอมรับว่าผิดนี้คือความดีประสานทันที ให้พากันจำเอาไว้ อย่าไปถือทิฐิมานะ อวดรู้อวดฉลาดอวดดิบอวดดีทั้ง ๆ ที่เราชั่ว ทั้ง ๆ ที่เราโง่ จะให้มันฉลาดมันฉลาดไม่ได้ ให้มันดีมันดีไม่ได้จากความทะนงตัวนะ ถ้าเป็นธรรมแล้วผึง ๆ เลย ยอมรับกันได้หมด นั่น<DD>

    <DD>อะไรจะฝึกยากยิ่งกว่าฝึกคน เพราะคนนี้มีศักดิ์ศรีอะไร ความเฉลียวฉลาดสูงกว่าสัตว์ รู้ได้มากกว่าสัตว์ ธรรมจึงมาอยู่กับคนผู้ที่จะรื้อฟื้นขึ้นมาเป็นประโยชน์ได้ สำหรับสัตว์ก็ไม่ใช่ฐานะของเขา ก็ปล่อยไปตามเรื่องของเขาไปก่อน เป็นพัก ๆ สำหรับมนุษย์เรานี้พอที่จะเป็นไปได้แล้ว อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้เป็นซุงทั้งท่อน ลอยตามกระแสของน้ำคือกิเลสไปตลอดเวลาใช้ไม่ได้นะ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านั้นละ ลูกหลานพากันจำเอา ให้ไปศึกษาปฏิบัตินะ เท่านั้นละ<DD>

    <DD>
    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=107&CatID=2
    </DD>
     
  7. nui_sirada

    nui_sirada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2008
    โพสต์:
    399
    ค่าพลัง:
    +371
    sa tu ka
     
  8. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    น้ำตาร่วงจากธรรมอัศจรรย์
    วันที่ 2 พฤษภาคม 2545
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด


    <DD>(หลวงตาเจ้าขา เมตตาสอนการพิจารณาให้ถึงฐานความตายด้วยเจ้าค่ะ) ฐานความตายก็อยู่ในนั้น ดูเอาตรงนั้นซิ ตายกับเกิดอยู่ในจิตดวงนั้น ตัวจิตไม่เกิดไม่ตาย สิ่งแทรกพาให้เกิดให้ตาย เข้าใจหรือเปล่า ดูตัวจิตไม่เห็นพิษของจิตจะไม่เห็นพิษของสิ่งเหล่านี้ จิตเป็นภัยเวลานี้ เข้าใจหรือเปล่า อย่าว่าจิตเป็นคุณอย่างเดียวนะ ภัยอยู่กับจิตนั่น ฟาดตัวจิตเป็นตัวภัยแล้ว ตัวนั้นอยู่ด้วยกันมันก็พังลงไป เข้าใจหรือเปล่าล่ะ ถ้ายังมายอจิตอยู่เมื่อไรจมนะอย่าว่าไม่บอก เท่านั้นแหละ ถึงกาลเวลาแล้วปัดหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ สงวนอะไรไว้นั้นละคือกองมหาพิษมหาภัย<DD>


    <DD>เราพูดอย่างนี้แล้วมันก็กระเทือนถึงที่ว่าหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ตอนเช้าก่อนจังหันอย่างนี้ จิตมันอัศจรรย์อย่างว่านั่นแหละ อัศจรรย์บ้าอะไรก็ไม่รู้ เจ้าของอัศจรรย์เจ้าของน่ะซี โอ้โห ทำไมจิตของเราถึงได้สว่างไสวอัศจรรย์เอาขนาดนี้เชียวนา รำพึง เดินจงกรมยืนอยู่ มันจ้าไปหมดเลย ทำไมถึงได้อัศจรรย์ขนาดนี้จิตดวงนี้ ๆ นั่นละตัวมหาภัย คือตัวที่ว่าอัศจรรย์นั่น เห็นไหมล่ะ นั่นละธรรมท่านกลัวไปหลงน่ะซี ก็เราติดอยู่แล้วหลงอยู่แล้วว่าไง ไม่มีอะไร ๆ ก็มาเอาจุดสุดท้าย นั่นละวัฏจักร เรียกว่าอวิชชาตรงนั้นเอง นั่นละยอดอวิชชา ยอดวัฏจักรวัฏจิต คืออวิชชา มันไม่มีอะไรแล้วก็ไปชมเชยตรงนั้น สักเดี๋ยวขึ้นละซี ธรรมท่านเตือนขึ้นมา เพราะว่าที่ว่าสว่างไสวมันมีจุดของมันอยู่นั้น เหมือนตะเกียงเจ้าพายุ ไส้ตะเกียงเจ้าพายุมันจ้าอยู่นั้น ออกไปข้างนอกมันก็ออกจากไส้ตะเกียงที่สว่างจ้า นั่นละตัวสำคัญ <DD>

    <DD>เราก็อัศจรรย์ตัวนั้นเอง ขึ้นอุทานในใจเทียวนะ โอ้โห จิตของเราทำไมถึงสว่างไสวอัศจรรย์เอาเสีย เหมือนหนึ่งว่าเหนือโลกเหนือสงสาร นั่นเห็นไหมอวิชชาแผลงฤทธิ์เวลาสุดท้ายเห็นไหม เรารู้มันเมื่อไร ไม่รู้จะไปหลงอัศจรรย์มันหาอะไร สักเดี๋ยวธรรมะท่านกลัวหลง ท่านก็ผุดขึ้นมาเป็นคำ ๆ เราลืมเมื่อไร ถ้ามีจุด จุดไส้ตะเกียงนั่นเองสว่าง นี่จุดกับต่อมเป็นไวพจน์ของกันและกัน ใช้แทนกันได้ ถ้ามีจุดหรือต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นั่นเห็นไหมบอกตรงนี้ ตัวนี้ตัวภพ ถึงขนาดนั้นยังจับไม่ได้นะ งงไปเลย มีจุดมีต่อม คือตัวนี้เอง ถึงได้คิดถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านมรณภาพจากไปแล้วนั้น เราไปติดปัญหานี้อยู่บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ พอกราบเรียนอย่างนี้เท่านั้น ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ ก็จุดนั้นเอง ท่านก็ใส่เปรี้ยงเข้าไปนั้นมันก็พังทันที พอรู้ปั๊บเห็นโทษของมัน คอยจะไปอยู่แล้วนี่นะ แต่เราประคองมันไว้นั่นซี<DD>

    <DD>นั่นละมหาภัยแท้ ตรงนั้นทีเดียว จุดที่รวมแห่งมหาภัยอยู่จุดที่สว่างกระจ่างแจ้งอัศจรรย์เต็มที่ของวัฏจักรของแดนสมมุติ อยู่จุดนั้นหมด เราไม่ลืม ตอนเดือนกุมภาฯ เผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นเสร็จแล้วก็ขึ้นบนเขา ติดปัญหาอันนี้ งงไปเลยนะ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยธรรมที่ท่านเตือนขึ้นมา แทนที่จะให้เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลในเวลานั้น กลับเป็นความหลงมหาศาลเหมือนกัน เอ๊ จุดต่อมที่ไหนนา ๆ ก็จุดนั้นน่ะ นั่นละเดือนกุมภา เดือน ๓ เผาศพท่านเสร็จแล้วขึ้นบนเขา ไปติดปัญหาอันนี้ ไม่คิดไม่คาดว่าอันนี้เป็นตัวมหาภัย ยังว่าเป็นมหาคุณอยู่ เห็นไหมกิเลสหลอก ขนาดว่าตัวมหาภัยมันเสกว่าเป็นมหาคุณ เห็นไหม ก็แบกปัญหานี้ไปลืมเมื่อไร ลงจากวัดดอยธรรมเจดีย์ปั๊บขึ้นไปทางอำเภอบ้านผือ ศรีเชียงใหม่<DD>

    <DD>แต่ก่อนศรีเชียงใหม่ยังไม่มีอำเภอ มีแต่อำเภอท่าบ่อ อ.บ้านผือ เข้าไปอยู่โน้นลึก ๆ เขาเรียกถ้ำผาดัก จนกระทั่งย้อนกลับมาถึงเวลานี้เข้าอีกก็เป็น ๓ เดือนพอดี นี่ที่ติดปัญหาตั้งแต่ขณะนั้นเดือน ๓ เดือน ๖ กลับมา เป็นเวลา ๓ เดือน กลับมาก็ขึ้นที่เก่าอีก แบกปัญหานี้ไป ๓ เดือนกลับลงมา หลังเขานั่นแหละ แต่ที่ติดปัญหาอยู่ทางจงกรมข้างกันนั้นกับด้านตะวันตก ปัญหานี้จบลงก็อยู่บนหลังเขาในภูเขาลูกเดียวกัน วัดดอยธรรมเจดีย์ บทเวลามันจะม้วนเสื่อกันนั้น มันไม่มีละเรื่องกาลสถานที่เวล่ำเวลา จะมายุ่งไม่ได้นะ มีเฉพาะธรรมชาตินี้ เวลามันจะประมวลลงมา คือมันไม่มีที่พิจารณาแล้ว อะไรมันก็หมดทุกอย่าง ปล่อยหมดแล้ว ยังเหลืออยู่อันเดียวนี้เท่านั้น โลกธาตุนี้ว่างไปหมดปล่อยไปหมดวางไปหมดเลย ยังเหลืออันจุดอันต่อมนี้ เห็นไหมล่ะ จึงเรียกว่ามหาภัยอยู่จุดนี้<DD>


    <DD>ทีนี้มันก็ประมวลมาซิที่นี่ อะไร ๆ มันก็ไม่มีแล้วจิตใจ ก็มาพิจารณาอยู่จุดนี้ ลงถึงที่ว่า จิตดวงเดียวนี้ทำไมเป็นได้หลายอย่างนักน้า แผ่ทั่วโลกธาตุก็จิตดวงนี้ คือมันถอนเข้ามาหมดแล้วมาอยู่จุดเดียวนี้ มันก็พูดได้สนิทล่ะซี อะไร ๆ มันก็รู้ไปหมด ๆ แล้วรู้ไปตรงไหนเปลี่ยนแปลงไปตรงนั้น เดี๋ยวว่าอันนั้นดีอันนี้ชั่ว มันพรรณนามา ม้วนเข้ามา ๆ จิตดวงเดียวนี้ทำไมจึงเป็นได้หลายอย่างนักหนาน้า ไม่อยู่เป็นสุข มันจับจุดได้นะ มันหากรู้พลิกอย่างนั้นพลิกอย่างนี้ตามความละเอียดของมัน จับจนได้ ๆ ถึงขั้นมันละเอียดพอ ๆ กัน ขั้นนั้นก็คือมหาสติมหาปัญญานั่นเองจะเป็นอะไรไป มันก็ประมวลเข้ามา ๆ จับจุดของจิต กำลังเอาจิตนี้เป็นผู้ต้องหาที่นี่นะ<DD>

    <DD>จิตดวงนี้ทำไมเป็นได้หลายอย่างนักน้า เดี๋ยวว่าดี แล้วเดี๋ยวว่าชั่ว พลิกออกจากนี้ละ แน่ะมันจับนะที่นี่นะ เดี๋ยวว่าสุข เดี๋ยวว่าทุกข์ คือธรรมดาสมมุติถ้ามีอยู่มากน้อย จะมีสิ่งเหล่านี้ประกอบอยู่กับจิตเป็นประจำ ทีนี้มันไม่มีที่พิจารณามันก็เข้ามาตรงนี้ละซี เดี๋ยวว่าสุข แล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง คือคำว่าสุขว่าทุกข์ว่าผ่องใสเศร้าหมอง มันเป็นพอจับได้เท่านั้นนะไม่ได้มาก พอรู้สึกจับได้ เพราะสติก็เป็นมหาสตินี่ มันก็ทันกันตลอดเวลา มันทำไมถึงเป็นได้หลายอย่างนักจิตนี้ ทีนี้เข้ามาหาผู้ต้องละที่นี่ ปล่อยหมดแล้วเข้ามาหาผู้ต้องหา มาวินิจฉัย คือมันวินิจฉัยจริง ๆ ว่าอะไรมันถึงกัน ๆ เพราะมหาสติมหาปัญญาอย่างละเอียดซึมซาบทีเดียว มหาสติมหาปัญญาขั้นสุดยอดกลายเป็นซึมซาบไปเลย ซ่านไปหมดเลย ไม่เป็นวรรคเป็นตอนเหมือนเรายำลาบเหมือนสติปัญญาอัตโนมัตินะ สติปัญญาอัตโนมัติมันเป็นวรรคเป็นตอน มันหมุนของมันไปเอง อันนี้ก็หมุนไปเอง แต่พอถึงขั้นซึมซาบ ๆ ไปเอง<DD>

    <DD>มันก็มาจับจุดนี้ มาวินิจฉัยตัวจิตนี้ มันหมดที่พิจารณาแล้ว อะไรก็ปล่อยหมดแล้วเหลือแต่อันนี้นิดเดียวที่ปรากฏอยู่กับความรู้นั้น มันก็มาวินิจฉัยเหล่านี้ เดี๋ยวว่าสุข แล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ ออกจากอันนี้ เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง มันก็ออกจากนี้ ทำไมมันเป็นหลายอย่างนักจิตดวงนี้น่ะ สักเดี๋ยวธรรมท่านก็ผุดขึ้นมา แน่ะอย่างนั้นนะ นี่เรียกว่าธรรมเกิด กิเลสเกิดเป็นเครื่องผูกมัด ธรรมเกิดเปิดออก นั่นเรียกว่าธรรมเกิด กิเลสเกิดมันแทรกอยู่ด้วยกัน สักเดี๋ยวขึ้นมาเป็นคำ ๆ เหมือนเราพูด ขึ้นมาเป็นคำ ๆ คำว่าเศร้าหมองก็ดี นั่นเวลาจะขึ้นนะ คำว่าผ่องใสก็ดี คำว่าสุขก็ดี คำว่าทุกข์ก็ดี ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ นั่นเวลาตัดกันจริง ๆ ลงในขั้นอนัตตา ในไตรลักษณ์นี้จะเป็นอะไรขึ้นได้ทั้งนั้น ขึ้นบทสุดท้ายขึ้นได้ไตรลักษณ์นี่ แต่นี้สำหรับนิสัยเราขึ้นบทอนัตตา ปล่อยให้หมด ความหมายว่างั้น<DD>

    <DD>ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ คือความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี รวมลงมาแล้วเรียกว่าธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตา พอว่าเป็นอนัตตาจิตมันก็ตั้งจ่อนิ่งเลย เพราะมันลงในอนัตตาแล้วไม่มีที่ไปแล้ว อันนี้เปิดให้หมดหัวอกเลยวันนี้นะ พอเท่านั้นแหละ จิตจะว่าทำงานอะไรอยู่ก็ไม่ใช่ เป็นวางเฉยในธรรมขั้นนี้ ไม่ทำการทำงานอะไรเลย จะไปสนใจกับว่าอัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี หรือสนใจว่าสุขว่าทุกข์ เศร้าหมอง ผ่องใส ก็ดี ไม่ไป อยู่จุดศูนย์กลางเฉย เฉยด้วยมหาสติมหาปัญญานะ ไม่ได้เฉย ๆ แบบเซ่อ ๆ ทั้งอ้าปากอย่างพวกเรานะ<DD>

    <DD>นั่นละถ้าเราจะพูดเป็นแบบโลกก็เรียกว่า ปล่อยบทเผลอ แต่นี้มันไม่ได้เผลอ เป็นแต่เพียงวางเฉย ๆ ไว้ มันไม่เผลอไม่ทำอะไร มันก็ผางขึ้นมาเลย อันนี้ก็ว่า อัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี เรียกว่ามันพรึบคว่ำลงไปเลย ปัดอันนี้ทั้งหมดที่ว่าจุดว่าต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นี่คือตัวนี้ก็มารวมกันแล้ว เศร้าหมองผ่องใสอะไร ลงในอนัตตาอันเดียวผางนี้ขาดสะบั้นไปหมดเลย นี่เวลามันลบนะ มันลบหมดเลย ผางขึ้นมานี้เหมือนฟ้าดินถล่มนู่นน่ะ ฟังซิน่ะ กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ อวิชชาตัวเดียวนี่คว่ำลงจากจิตกระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ เพราะอวิชชาตัวนี้พาเที่ยวแดนโลกธาตุเข้าใจไหม พอคว่ำอันนี้ลงแล้วก็เหมือนกับว่าแดนโลกธาตุนี้คว่ำลงพร้อมกันหมด ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มเลยนะ<DD>

    <DD>ทีนี้พอมันพรึบทีเดียวเท่านั้น อันนี้ไม่ได้มีอันใดที่จะเข้าไปตัดสิน หลักธรรมชาติตัดสินเองเป็นเองขึ้นมา ฟ้าดินถล่มก็เป็นเองทั้งนั้นเลย ไม่ได้มีอะไรตั้งสติสตังตอบรับกันเลย เป็นลักษณะกลาง ๆ ขึ้นมาผางทีเดียวนี้ เหมือนกันกับว่าโลกธาตุนี้คว่ำหมดเลย พรึบทีเดียวหมดเลย ทีนี้จ้าเลยที่นี่ อู๋ย อัศจรรย์จริง ๆ นี่เห็นไหมขันธ์ทำงานพี่น้องทั้งหลายดูเอา ความอัศจรรย์ที่มาสอนโลกเวลานี้พิลึกพิลั่น แหมดูซิน้ำตานี่พังเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังพังเห็นไหม นี่ละขันธ์ทำงาน ธรรมชาตินั้นไม่มีเข้าใจไหม นี่ละผางเท่านี้ โถ อัศจรรย์จริง ๆ ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นยังไง อยากถามผู้มันนอนตายอยู่นี้ว่างั้นนะ โอ๊ย อัศจรรย์จริง ๆ แหม น้ำตานี้พังพราก ๆ ๆ โถ ๆ ขึ้นมาเลยเทียวนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละหรือ ๆ ๆ ย้ำอยู่นั่นน่ะ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละหรือ ๆ ไม่เคยคาดเคยคิดนะมันผางขึ้นมา อู๊ย อัศจรรย์พูดไม่ถูก คิดดูซิเดี๋ยวนี้ยังเป็น มันสด ๆ ร้อน ๆ ทำไมเป็นไม่ได้วะ</DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2009
  9. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    <DD>จากนั้นแล้วมีตั้งแต่ความอัศจรรย์ เรียกว่ากายนี้ไหวเลยเทียวนะ มันเป็นอะไรก็ไม่รู้แหละ เป็นพร้อมกันหมดเลยเวลานั้น ฟ้าดินถล่ม แดนโลกธาตุดับพรึบลงหมดเลย จากนั้นก็ย้ำทีเดียวว่า เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๆ อย่างนี้ละเหรอ ถามท่านหาอะไร มันเจออยู่นั้นแล้วจะว่าไง พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ รวมเป็นอันเดียวกันหมดแล้ว เรียกว่าธรรมอัศจรรย์เลิศเลอ หรือว่าธรรมธาตุแล้วเท่านั้น เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง แต่ก่อนเราเคยคิดเมื่อไรว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันน่ะ
    <DD>
    <DD>พุทโธก็พุทโธ ธัมโมก็ธัมโม สังโฆก็สังโฆ ติดหัวใจมาตั้งแต่รู้เดียงสา แล้วมาจ้าขึ้นเวลานั้นแล้ว ธรรมชาติอันนี้มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็นอันเดียวกันแล้วนะนั่น โอ้โห เป็นอย่างนี้เหรอธรรมอัศจรรย์ นั่น ทีนี้เวลามันจ้าหมดแล้วสิ่งไม่เคยรู้มันรู้ไปหมดนี่ทำไงล่ะ นี่เหรอเอามาสอนโลกหลอกโลกน่ะ หลอกอย่างนี้เหรอ โห เราพูดเราอัศจรรย์ พิลึกพิลั่นจริง ๆ ธรรมอันนี้น่ะ ทีนี้ดูธรรมชาตินี้แล้วมันครอบโลกธาตุหมดแล้วนี่นะ มันจ้าไปหมดเลย ไม่ได้มีอะไรปิดบังลี้ลับ บาปบุญนรกสวรรค์มันตีหน้าผากอยู่นี่ มีหรือไม่มีอยากว่าอย่างนั้นนะ มันอยากฟาดหน้าผากนั่นน่ะ ให้กิเลสมันหลอกมาเท่าไรว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี มันจ้าครอบอยู่หมดตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใด มันไม่เห็นเฉย ๆ เข้าใจไหมล่ะ มันมีอยู่กี่กัปกี่กัลป์สิ่งเหล่านี้ที่เผาสัตว์ทั้งหลายด้วยความงมงาย ด้วยความมืดความบอดที่กิเลสหลอกไม่ให้เห็นไม่ให้รู้
    <DD>
    <DD>อะไรจะร้อนยิ่งกว่าไฟนรก ในแดนสมมุตินี้ไฟนรกที่ประเภทกรรม ๕ อย่าง คืออนันตริยกรรม ๕ ฆ่าบิดาหนึ่ง ฆ่ามารดาหนึ่ง ฆ่าพระอรหันต์หนึ่ง ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตายหนึ่ง แล้วก็สังฆเภท ยุยงให้สงฆ์แตกจากกันหนึ่ง กรรมทั้งห้าประการลงในนี้หมดเข้าใจไหม มันจ้าอยู่ด้วยกันนี่จะว่าไง แล้วไปถามหาที่ไหนนรกสวรรค์น่ะ พระพุทธเจ้าองค์ไหนมาโกหกไม่มี จ้าอย่างเดียวกันนี้ บอกอย่างเดียวกันนี้หมด
    <DD>
    <DD>พวกเรามันโง่ชะมัดนี่นะ โอ๋ย.มันพิลึกพิลั่นนะ ไม่ว่าอะไรมันครอบอยู่ในหัวใจนี้หมด มันจ้าไปหมดแล้วจะไปถามหาที่ไหนอีกล่ะ ก็มันพร้อมอยู่บนหัวใจนี้หมด มันจ้าไปหมดแล้วนี่ จะไปถามหาอะไรก็มันจ้าอยู่นี้แล้ว ทีนี้เวลาขนาดนั้นแล้วก็พิจารณาซิที่นี่ พอหลังจากนั้นมาพิจารณาดูโลก โถ.โลกนี้ทำไมเราสยดสยองความเป็นมาของเรา ความเกิดความตายความตกนรกหมกไหม้ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมลงนรกนี้ เหมือนไปขึ้นบันไดนะ แต่ละดวง ๆ จิตดวงนี้มันไม่ตาย เข้าใจไหม จิตดวงนี้มันไม่ตาย กรรมฝังอยู่ในมันนั้นน่ะ กรรมดีก็พาขึ้น พอหมดกรรมดี อ้าว กรรมชั่วมันก็มีมันก็ดึงลง ขึ้นสวรรค์พรหมโลก ลงแดนนรกนี้ เหมือนขึ้นบันไดลงบันไดเข้าใจไหม นี่ละขนาดนั้น ให้พากันตื่นเสีย ถ้าจะตื่นนะ
    <DD>
    <DD>วันนี้เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเต็มที่ จนกระทั่งน้ำตาร่วงให้เห็นต่อหน้าต่อตา บ้าหรือดีดูเอานะ ฟังเสียวันนี้ ขนาดนั้นนะ ธรรมมาสอนโลก เพราะฉะนั้นจึงตัดคอขาดไว้เลยว่าอะไรไม่มี คำว่ากล้าว่ากลัวจะมีอะไร ก็มันเหนือทุกอย่างแล้วนี่ ทีนี้ก็พออย่างนั้นมันดูโลก มาดูตัวเองกำหนดพิจารณาภพชาตินี้ แหม ศพของเราคนเดียวทิ้งประเทศไทยนี้ไม่มีที่วาง คนเดียวนี้นะ นานหรือไม่นาน มันเกิดตายอยู่นี้ เวลามันจับตรงนี้ได้แล้ว มันกระจายออกไปหมด โอ๊ย.ถ้าจะนับนับไม่ได้ อย่าไปนับ เท่านั้นแหละ มันเลยเถิด นี่ละศพแต่ละศพคนแต่ละคน จิตแต่ละดวง ของบุคคลแต่ละคน ของสัตว์แต่ละตัวเป็นแบบเดียวกันหมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร ความหนาแน่นความมากมายนี้เหมือนกันหมดเลย แล้วดูโลกมันดูไม่ได้ที่นี่ ดูภพชาติเจ้าของที่เคยเป็นมานี้ขยะแขยงย้อนละที่นี่นะ
    <DD>
    <DD>โอ้โห.มันเกิดมาขนาดนี้มันก็ยังบึกบึนเกิดมาได้ ถ้าไม่มีอันนี้ตัดสินมันจะไปอีกอย่างเดียวกันนี้ มันพิจารณา ออกจากนี้แยกดูโลกละซิ ดูโลกยิ่งดูไม่ได้อีกละ มันก็แบบเดียวกันหมด ทั่วแดนโลกธาตุเป็นแบบเดียวกับเรานี้หมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน อู๊ย.จะสอนไปยังไงสอนโลก อ่อนใจนะ มันเป็นเองของมัน สอนไปหาอะไร ธรรมประเภทนี้ใครจะรู้ได้เห็นได้ สอนไปให้เสียเวล่ำเวลาไปทำไม อยู่ไปกินไปพอถึงวันตายแล้วก็ไปเสียเท่านั้น นั่น เห็นไหมลงแล้วนะ พระพุทธเจ้าเรียกว่า ท้อพระทัย เราก็ท้อใจ มีความขวนขวายน้อยแล้ว เหมือนว่าตัดช่องแล้วไปแต่ผู้เดียว อยู่ทำไมสอนทำไมไม่เกิดประโยชน์อะไรไปแล้วนะ เราเอาเรื่องนี้มาเทียบ โถ ๆ แต่มันไม่แล้วนะ อันนี้มันไม่แล้วมันว่าของมันเป็นพัก ๆ ของมัน
    <DD>
    <DD>เวลาดูโลกดูด้วยความอ่อนใจ ผู้ที่มืดนี้ก็เรียกว่าหมดคุณค่าเอาเลย มนุษย์ทั้งคนนี้ละ อยู่ด้วยกันอย่างนี้ ผู้มันมืดขนาดหมดคุณค่าเลย นั่นท่านเรียกว่า ปทปรมะ เข้าใจไหม แย็บขึ้นมาก็มีลักษณะอะไร ๆ แย็บขึ้นมาสูงขึ้น ๆ แย็บขึ้นมาถึงพวกปทปรมะ แล้วก็พวกเนยยะ พวกวิปจิตัญญู พวกเนยยะ ดูขึ้นเป็นขั้น ๆ ไปถึงขั้นพวกเนยยะนี้ พอลากพอเข็นไปได้ ทั้งจะขึ้นทั้งจะลง เนยยะคือพอแนะนำสั่งสอนไปได้ถ้าเผลอก็ลงได้ ถ้าเจ้าของเอาจริงเอาจัง ดีดได้ ๆ อันนี้ทั้งขึ้นทั้งลงได้ด้วยกันหมด เนยยะ อันที่สามนี้มีแต่จะขึ้น ๆ ถ่ายเดียวคำว่าลงไม่มี มีแต่จะขึ้น แต่ช้ากว่าอุคฆฏิตัญญู อุคฆฏิตัญญูนี้พร้อมแล้วที่จะผางออก ถ้าเป็นวัวก็รออยู่ปากคอก คอยแต่จะเปิดประตูคอกนี้พุ่งเลย นี่ประเภทอุคฆฏิตัญญู ผู้ที่จะรู้เร็วผ่านได้เร็ว มีเป็นขั้น ๆ มาอย่างนั้น เรามาก็พิจารณา
    <DD>
    <DD>แล้วที่กล่าวเหล่านี้มีในสัตว์โลกนี้ทั้งนั้น นั่นมันแยกนะ ประเภทเยี่ยมมี ในกองที่ว่าอิดหนาระอาใจนี่แหละ มันมีอยู่ในนั้น มันแยกของมันเองนะ อุคฆฏิตัญญู ประเภทที่รอที่จะข้ามผึง ๆ มี แล้ววิปจิตัญญู ลดกันกว่านั้นก็มี จะขึ้นจะออก ๆ เนยยะนี่กำลังแย่งตำแหน่งกันระหว่าง เสื่อกับหมอนกับทางจงกรม เข้าใจไหม นี่กำลังแย่งกันไป แย่งกันมา พวกปทปรมะนั้น เป็นร่างมนุษย์เฉย ๆ ไม่ได้มีอะไรติดตัวเลย นี่แหละพวกที่ตายแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร ลงผึงเลย ลงไปอีกตามเดิม ไม่มีทางขึ้น ไม่มีประโยชน์ติดตัวเลยแม้นิดหนึ่ง ลงถ่ายเดียว จำให้ดีคำนี้น่ะ ถอดออกมาจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลาย โกหกเหรอ
    <DD>
    <DD>นี่แหละท่านว่า ประเภทถังขยะ คำว่าถังขยะนั้นมี ๔ ประเภท อยู่ในถังขยะอันเดียวกันเข้าใจไหม ประเภทที่เยี่ยม คือ อุคฆฏิตัญญู นี่ในถังขยะอันนี้แหละ ประเภทวิปจิตัญญู ลดกันลงมาก็อยู่ในถังขยะอันนี้ ประเภทเนยยะ ก็มีอยู่ในถังขยะอันนี้ ประเภทปทปรมะก็มีเต็มอยู่ในถังขยะนี้ โลกอันนี้เป็นโลกสมมุติเป็นโลกถังขยะ เจือปนไปด้วยสิ่งดีสิ่งชั่ว สับสนปนเปกันอยู่ในกองถังขยะนี้ เข้าใจไหมล่ะ แยกออกเป็นสี่ประเภทในถังขยะนี้ ทีนี้มันก็แยกแยะ ๆ พิจารณา แล้วทีนี้ก็ขึ้นมาอีกอันหนึ่งนะ ตอนที่เหมือนว่าทอดอาลัยตายอยากกับโลกที่จะไม่สั่งสอนใคร เรียกว่าทำความขวนขวายน้อย
    <DD>
    <DD>สักเดี๋ยวก็ผุดขึ้นมาอีกนะ นี่แหละที่จะให้มีแก่ใจ ผุดขึ้นมาอีก ถ้าว่าธรรมเป็นของวิเศษเลิศเลอไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แล้วเราเป็นเทวดามาจากไหน เอาตรงนี้นะขึ้นตรงนี้ขึ้นในจิต เราเป็นเทวดามาจากไหน ทำไมจึงรู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด นี่คำว่าเพราะเหตุใด มันก็จับสายทางนั่นซี เรารู้ได้เพราะอะไร มันก็มีสายทางมา ตามทางที่พระพุทธเจ้าสอนว่า การให้ทานรักษาศีลภาวนา นี้คือทางเดินเข้ามา เข้าใจไหมล่ะ เข้ามาจุดนี้ ทางอื่นไม่มี นี่รู้ได้เพราะเหตุใดมันก็วิ่งย้อนหลังมา เป็นทางที่เราเดินมาแล้วทั้งนั้น ๆ มาถึงจุดนี้ อ๋อ ขึ้นยอมรับที่นี่ อ๋อได้ ถึงไม่มากก็ได้ นั่น มีแล้วนะที่นี่ ปฏิเสธไม่ได้เลย บอกว่าได้ไม่มากก็ได้ ถึงไม่มากก็ได้อยู่ มีแก่ใจเริ่มที่จะแนะนำสั่งสอนผู้ที่สมควรจะสอน อยู่ในป่าในเขาพระเณรก็รุม ๆ อยู่นั้นแหละ
    <DD>
    <DD>จากนั้นก็ค่อยแย็บออกมาสอนออกมา ๆ กว้างออกมา จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ดูเอาซิ ทั่วแดนโลกธาตุ ประเทศไทยเมืองนอกอะไร ได้ฟังธรรมจากหลวงตาบัวทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ หนึ่งออกทางปากสด ๆ ร้อน ๆ เทศน์สอนพระ พูดธรรมะขั้นเด็ด จากนั้นก็ออกจากเทป จากเทปก็เขาออกทางวิทยุ ออกทางอินเตอร์เน็ต เวลานี้กระจายทั่วประเทศไทย ธรรมะที่หลวงตาแสดงนี้รับรองร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ไม่มีเคลื่อนคลาดจากหลักความจริงที่รู้ที่เห็นมาเลย เข้าใจไหม พระพุทธเจ้าสอนโลกก็สอนแบบเดียวนี้ จึงพูดแล้วสาธุ ตัวเท่าหนูก็ตาม เครื่องยืนยันมีอยู่ในหัวใจ รู้สิ่งใดค้านพระพุทธเจ้าไม่ได้ เห็นสิ่งใดค้านพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยอมรับหมด เมื่อยอมรับหมดแล้วก็เต็มหัวใจ ที่จะนำออกแสดงตามหลักความจริงที่ยอมรับเรียบร้อยแล้ว เข้าใจไหมล่ะ นี่แหละมันถึงผาง ๆ สอนโลก จากนั้นก็กระจายออกมา เดี๋ยวนี้ก็ทั่วประเทศไทยแล้วเราสอน
    <DD>
    <DD>เราจึงกล้าหาญชาญชัย ถ้าพูดแบบโลกสงสาร แต่หลักธรรมแล้วไม่มีคำว่ากล้าก็ไม่มี กลัวไม่มี คำว่าได้ว่าเสียไม่มี คำว่าแพ้ว่าชนะไม่มีในธรรม สอนด้วยความเมตตาล้วน ๆ เช่นกรณีที่หมากัดกันอย่างนี้ ไปจับหมาแยกออกจากกันอย่างนี้ เราไม่มีส่วนแพ้ส่วนชนะใช่ไหม หมาต่างหากมี นั่น ผู้เจ็บปวดก็คือหมาต่างหากเจ็บ มันกัดกัน เราไปจับแยกหมาออกจากกันไม่ให้มันกัดกัน นั่นเป็นเรื่องของธรรม แยกคนที่เห็นผิดเห็นถูกต่อสู้กันอยู่ พวกทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ นั้นละ
    <DD>
    <DD>อย่างที่เราพูดในประเทศไทยของเราเวลานี้ มันก็ไม่พ้นที่จะย้อนจากนี้แหละ นี่เอาธรรมออกมายันนะ เรายุ่งกับโลกอยู่เวลานี้ไม่มีใครยุ่งเกินหลวงตาบัวไป คือจับหมามันแยกออก หมามันกำลังกัดกันเวลานี้ ทั้งหมาพระหมาโยม หมาฆราวาส หมาพระมันกำลังกัดกัน มันแย่งดีชิงดีชิงเด่นกัน กำลังกัดกันอึกทึก เราก็นำธรรมมาสอน นี่เรียกว่าจับหมาแยกไม่ให้กัดกัน ให้สงบระงับ ธรรมมีอยู่ให้อยู่กับความจริง อันใดถูกต้องให้จับอันนั้น ปล่อยวางอันที่ผิดไปเสียให้หมด บ้านเมืองและศาสนาเราก็จะสงบร่มเย็น พระเณรประชาชนทั่วแดนไทยก็จะสงบร่มเย็น เวลานี้ที่ไม่สงบร่มเย็นก็คือหมามันกัดกัน ทั้งหมาดีหมาชั่วมันกัดกันต่อสู้กันอยู่เวลานี้ เวทีของพุทธศาสนาโดยถือหัวใจประชาชนเป็นสนามใหญ่ เป็นเวทีอันใหญ่กำลังแตกกระจัดกระจายกันเวลานี้ เพราะหมามันกัดกันอยู่บนเวทีคือพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหัวใจของชาติชาวไทยชาวพุทธเรา
    <DD>
    <DD>เราจึงขอบิณฑบาต ขอให้แตกให้แยกกันออกไป การกัดกันไม่เป็นประโยชน์ทั้งผู้แพ้ผู้ชนะมันเจ็บช้ำไปด้วยกันนั่นแหละ ไม่มีตัวไหนดี ให้แยกจากกันเสีย ยอมรับเหตุรับผลดีชั่วแล้วมาประคองตัว ชาติศาสนาของเมืองไทยของเราก็จะขึ้นเป็นความสงบร่มเย็นแก่ชาติไทยของเรา จะไม่มีอะไรเสื่อมเสียและฉิบหายไป ดังที่อวดเก่งกันว่ากัดกันเพื่อความชนะ ๆ มันล้วนแล้วแต่พวกแพ้อย่างหลุดลุ่ยด้วยกันนั่นละ ไม่มีใครดี การกัดกัน การรบกันไม่ดี มันเจ็บทั้งผู้แพ้ผู้ชนะ เหมือนนักมวยเขาต่อยกัน ใครจะอวดดีอวดเด่นไปไหน ไม่ใช่ของดี การกัดกันเป็นเรื่องเจ็บปวดแสบร้อนทั้งสองฝ่าย นี่การรบรากัน ด้วยความรู้ความเห็นความอยากเด่นอยากดัง ความถูลู่ถูกังไม่ยอมฟังเสียเหตุเสียงผลเลย นี้คือหมากัดกันจะเอาให้พินาศจริงๆ โดยถือเมืองไทยของเราทั้งประเทศนี่แหละเป็นสนามหมากัดกัน
    <DD>
    <DD>ให้พี่น้องทั้งหลายทุก ๆ ฝ่ายพินิจพิจารณา เรานำธรรมที่ออกมาจากน้ำตาร่วงในเวลาสด ๆ ร้อน ๆ นี้มาพูดให้พี่น้องชาวไทยเราฟัง ด้วยความจริงใจ ถ้าแยกอย่างนี้แล้วจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้แพ้ก็แพ้เพื่อดี ผู้ชนะถ้าพูดแบบโลกว่าชนะ ผู้ชนะก็ชนะเพื่อดี ผู้แพ้ก็แพ้เพื่อดี เข้ากันได้สนิท ไอ้แบบที่กัดกันไม่ถอยไม่มีใครแพ้ใครชนะ แต่เลือดสาดทั้งสองฝ่ายนี้ดูได้ไหม พิจารณาซิ เราไม่อยากเห็น เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ ระหว่างพุทธบริษัทประชาชนพระเณรเต็มวัดเต็มวา มากัดกันเหมือนหมาเลือดสาดเต็มประเทศไทย เราไม่อยากได้ยิน ขอให้พากันเลิกล้มกันไป ใครผิดใครถูกนรกอเวจีนั้นรับรองด้วยกัน สวรรค์พรหมโลกนิพพานรับรองคนชั่วคนดีได้ด้วยกัน เราอย่าพูดให้เหนือนรกอเวจีด้วยความผิดของเรา แล้วอย่าพูดให้นอกเหนือความดิบความดีที่นอกเหนือไปจากธรรมพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นแดนสวรรค์นิพพานที่จะบรรจุคนดีไว้ ให้พินาศฉิบหายลงมาสู่เวทีหมากัดกัน มีแต่เลือดสาดอย่างเดียว เข้าใจเหรอ พากันจำเอานะ
    <DD>
    <DD>วันเทศน์อย่างสุดขีดสุดแดน เราปฏิบัติมา ๕๓ ปี นี้มาแสดงให้ท่านทั้งหลายได้เห็นวันนี้เข้าใจไหม นี่ละธรรมไม่อัดไม่อั้นไม่ตีบไม่ตันไม่ผลักไม่ดัน เหตุการณ์อะไรที่ควรจะออกหนักเบามากน้อยออกเต็มเหนี่ยว ๆ อย่างวันนี้ออกเต็มเหนี่ยวเลย ถึงขนาดน้ำตาหลวงตาบัวร่วงให้พี่น้องทั้งหลายเห็น จากความอัศจรรย์ของธรรมเป็นอย่างนั้นละ นี้ละธรรมที่มาสอนพี่น้องทั้งหลายไม่ได้เอาธรรมเล่น ๆ มาสอนนะ สอนจริง ๆ เราปฏิบัติเอาตายเข้าว่าเลย ดังที่เคยกล่าวให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ความเพียรของเราไม่มีใครเชื่อได้นะ ความเพียรของเราเพื่อธรรมอันเลิศเลอ ไม่มีใครเชื่อได้เพราะเขาไม่ทำเหมือนเรา
    <DD>
    <DD>เราทำอย่างว่านั่นละ เวลาได้ก็ได้อย่างนี้ละ นี่ละอำนาจแห่งความอุตส่าห์พยายามบึกบึน เพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อความดี เด็ดเท่าไรยิ่งดี ตายก็ตายดี เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ได้ตายเลวนะ จำให้ดีนะ เอาละวันนี้เหนื่อยพอ
    </DD>
    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=156&CatID=2
     
  10. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ให้สงบอยู่กับพุทโธ

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    วันที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒

    โป่งกระทิงแถวนั้นสงัดดีนะ จังหวัดราชบุรี วันนั้นท่องเที่ยวดูในป่าที่มีวัดป่าๆ ไปรอบหมดเลยนะ ต้องสละวันเวลาจริงๆ ได้ยินเขาว่ามีวัดป่าอยู่หลายแห่งในภูเขาไปทางโป่งกระทิง วันนั้นต้องสละเวล่ำเวลาไปจริงๆ ทางโป่งกระทิงราชบุรีนะ (หลวงตาไปดูแล้วไม่เห็นมีทางจงกรม) นั่นแล้วมันเป็นอย่างนั้นละ
    <O:p
    พระพุทธเจ้าท่านก่อนจะนำมาสอนโลก ท่านทรงบำเพ็ญพระองค์สลบสามหน ฟังซิน่ะ ก่อนจะได้มาสอนโลก เป็นศาสดาสอนโลก เป็นพุทธศาสนาตั้งขึ้นมาไม่มีศาสนาใดเสมอ เอาสลบไสล ครั้งพุทธกาลท่านเอาจริงเอาจังมากนะ นั่นละคนไม่ทำอะไรๆ ไม่สนใจ แม้แต่พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ไม่จบ แล้วตำหนิศาสนาไม่มีมรรคมีผล ไอ้ตัวเป็นโมฆะตั้งแต่วันเกิดมันไม่รู้ ไม่ดูตัวเองนะ
    <O:p
    พระพุทธเจ้าสลบสามหน พระสาวกบางองค์จักษุแตก พระจักขุบาล นั่นละคือกล้าหาญชาญชัย บางองค์ฝ่าเท้าแตก พระโสณะประกอบความเพียร อันนี้ต้องได้เดินเสียก่อนมันถึงจะยอมรับกันนะ ได้ฟังแต่เสียงอย่างนี้ไม่เชื่อนะคนเรา เมื่อเข้าไปถึงตัวจริงเหมือนกันแล้วยอมรับกันทันทีๆ เลย เช่นอย่างพระโสณะท่านประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตก ท่านว่าอย่างนั้นนะ เราก็เห็นในตำราก็สักแต่ว่าฟัง จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แบบขอนซุงนั่นแหละ เรามันแบบขอนซุง บทเวลามันก้าวเข้าไปหาจุดเดียวกันไม่ต้องบอก เชื่อทันทีเลย
    <O:p
    อย่างที่เดินจงกรมฝ่าเท่าแตก เราไม่แตกแต่จับได้เงื่อนสำคัญๆ ยอมรับว่าฝ่าเท้าแตกจริงๆ นี่ความเพียรประเภทไม่มีวันมีคืน คือเวลาประกอบความเพียรเบื้องต้น ฝึกหัดก.ไก่ ก.กาทั้งอยากเที่ยวอยากเล่นอะไรๆก.ไก่ ก.กา ก็ไมจบ เวลาค่อยรู้เรื่องรู้ราวทีนี้ก็หมุนเข้า อรรถธรรมก็เหมือนกัน เวลาไปทำความพากความเพียรทีแรกยังไม่รู้เรื่องรู้ราวมันก็ทั้งขี้เกียจขี้คร้าน

    ทุกอย่างอยู่นั้นหมดนั่นแหละ แต่เวลาทำลงไป ทำลงไป ค่อยปรากฏขึ้นมา สิ่งที่เราทำค่อยปรากฏขึ้นมา ปรากฏขึ้นมาแล้วมีแก่ใจ จิตใจดื่มด่ำๆ เรื่อยนะ
    <O:p
    บทเวลามันจะเอาจริงเอาจังมันเริ่มตั้งแต่สมาธิ จึงว่าเราติดสมาธิอยู่ถึง ๕ ปี มันติดจริงๆนะ ความคิดนี้เป็นความรำคาญ ความคิดปรุงยิบแย็บรำคาญ ถึงสมาธิขั้นเต็มที่แล้วความคิดความปรุงเป็นเรื่องรำคาญทั้งนั้น อยู่แน่ว นั่งอยู่เท่าไรก็ได้ มันติดอันนั้นละ ติดความสุข เอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อันเดียว อันนี้ติด เพราะยังไม่มีธรรมะที่สูงกว่านี้ เหล่านี้ได้ผ่านมาหมดแล้วนะ สิ่งที่เล่าเหล่านี้ได้ผ่านมา ทีแรกก็ผ่านตำราก่อน จากตำราก็ศึกษากับครูบาอาจารย์ที่เป็นครูเป็นอาจารย์ตายใจได้ เช่น หลวงปู่มั่นเป็นต้น เรียกว่าสัมผัสสัมพันธ์เข้าไปมันก็แน่นหนาเข้าไปเรื่อยๆ จิตใจสงบร่มเย็น
    <O:p
    สงบเสียจนติดสมาธิ ความคิดปรุงรำคาญ แต่ก่อนไม่ได้คิดไม่ได้ บ้าคิด ทีนี้เวลามันติดสมาธิแล้วแน่วอย่างนี้ บ้าติดสมาธิ มันไม่พอดีนะ มันผ่านไปแล้วถึงรู้ย้อนหลังๆ ทีนี้พ่อแม่ครูอาจารย์นั่นละท่านถาม ท่านถามท่านมีความหมาย เราก็ตอบแบบหมูขึ้นเขียง เข้าสมาธิ อยู่สมาธิแล้วเหมือนหมูขึ้นเขียงไม่อยากลง อยู่อย่างนั้น ปัญญามีไม่ออก ไม่ใช้ ท่านก็ขนาบเอาเลย สมาธินี่ก็ว่าได้มาหลายปีแล้ว นั่นบทเวลาท่านจะเอา พอท่านถามเป็นอย่างไรใจท่านมหาสงบดีเหรอ สงบดี บอกอย่างนั้น เรื่องสงบ สงบดีจริงๆ จนถึงขนาดติดสมาธิอยู่ถึง ๕ ปี มันสงบขนาดนั้น
    <O:p
    บทเวลาท่านจะเอา ท่านจะนอนตายอยู่ในสมาธินั่นเหรอ สุขในสมาธิเหมือนกับเนื้อติดฟัง เป็นอย่างไรเนื้อติดฟันมันอร่อยอะไรไหม นั่นบทเวลาท่านจะเอา ปัญญามีทำไมไม่เอามาใช้ ขนของออกมาพะเนินเทินทึกอยู่นี้ละ อันนั้นเป็นนั้น อันนี้เป็นนี้ เป็นอาหารวางเอาไว้อย่างนั้นไม่กินมันก็เน่าเฟะ ท่านว่าอย่างนั้น อันนี้สมาธิอิ่มแล้วการที่จะก้าวเดินเพื่อเสริมทางปัญญาเอามาใช้ซิ เขากินอาหารเขายังหยิบนั้นหยิบนี้ เราทำอะไรหยอกๆ
    <O:p
    ท่านถามเมื่อไรก็บอกว่าสงบดีๆ มันสงบจริงๆ นี่ ท่านถามท่านมีความหมายนะ เพราะท่านเป็นอาจารย์ เป็นครูเอก เราเป็นหมู ท่านว่าสงบก็สงบดีอยู่ สงบดีอยู่ หลายครั้งหลายหนเข้าไปๆ ท่านคงรำคาญ มันจะนอนตายอยู่ในสมาธิเหรอ เหมือนหมูขึ้นเขียง ถ้าว่าความสุขในสมาธิเหมือนเนื้อติดฟัน เนื้อติดฟันมันสุขไหม เอาละนะทีนี้ มันตื่นตัวน่ะล่ะ เพราะสมาธิมันพอตัว แน่นปึ๋งตลอดเวลาเลย ความคิดยิบแย็บๆ มันกวนใจนะถ้าลงเข้าถึงขั้นสมาธิจริงๆ แล้วนี้ความคิดยิบๆแย็บๆ ไม่อยากคิด อยู่แน่ว ถือว่าสบาย นั่นละติดสมาธิ
    <O:p
    ท่านมาขนาบออก นั่นแหละสมาธิเหมือนหมูขึ้นเขียง ปัญญามีทำไมไม่ใช้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มีปัญญานะ ไม่มีแต่สมาธินะ มีปัญญา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านดำเนินมาท่านยังแสดงว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ท่านไล่มาหมด นี่ไม่เห็นมีอะไร ถ้าว่าสมาธิก็สมาธิอยู่อย่างนั้นละ กินแล้วกินเล่ากินของเก่า อาหารแปลกๆต่างๆ ที่ดีกว่านี้มีไม่กิน กินแต่ของเก่าๆ อันบูดๆ เสียๆ ท่านก็ว่า ไล่เข้าไปๆ ดุใหญ่ละดุเรานะ นั่นละบทเวลาท่านจะเอานะ
    <O:p
    ท่านถามแล้วถามเล่า ถามท่านมีความหมายเต็มหัวใจ ในฐานะที่ท่านเป็นครูเป็นอาจารย์เรา เรามันแบบหมูๆ ว่าจิตสงบดีอยู่เหรอ สงบดีๆ บทเวลาท่านเอา ท่านจะนอนตายนั่นหรือ ขึ้นเลย เอาขนาดนี้นะ นั่นละธรรมะที่เด็ดใครจะว่าหยาบไม่ได้นะ ธรรมะที่เด็ดใส่กิเลสตัวมันหยาบๆ ตัวเด็ดๆ ใส่เปรี้ยง ท่านจะนอนตายอยู่ในสมาธินั่นเหรอ สมาธิเท่ากับหมูขึ้นเขียง ขึ้นแล้วไม่ยอมลง จนหอมกระเทียมเขาหั่นอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกวาดลงใส่กัน นั่นละสมาธิหมูขึ้นเขียง เป็นอาหารเขาพอดี ท่านว่าอย่างนั้นละ
    <O:p
    แต่เราไปด้วยความตั้งใจ ท่านว่าอะไรมันสะดุดกึ๊ก จับปุ๊บนะ ไม่ได้เหลาะๆแหละๆ นะ ท่านว่าอะไรจับปุ๊บๆ เลย เอามาพิจารณา จากนั้นออกทางปัญญา เพราะสมาธิมันแน่นหนามั่นคงพอ เป็นแต่เพียงว่ามันติดอยู่ในสมาธิ ไม่สนใจทางปัญญา เมื่อท่านนำปัญญาออกมาแจงมันก็ดีดตามปัญญา ถ้ามันเลยเถิดท่านก็เอาอีกแหละ เช่นอย่างสมาธิเหมือนหมูขึ้นเขียง ไม่อยากคิดอยากอ่าน สงบแน่ว เอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อันเดียว นี่เรียกว่าสมาธิมันติดแล้ว
    <O:p
    จากนั้นท่านก็เอาแล้วทีนี้ ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ สมาธิมันเหมือนหมูขึ้นเขียง ท่านว่า ปัญญาที่จะก้าวเดินมีอยู่กับทุกคนถ้านำมาใช้ ถ้าไม่นำมาใช้มันก็ตายอยู่กับสมาธิ ท่านว่า เพราะธรรมเหล่านี้มีอยู่ด้วยกัน นอกจากไม่ค้นไม่คว้าหาก็ไม่เจอ หาสมาธิยังได้สมาธิ หาปัญญาทำไมจะไม่ได้ ออกจากหัวใจอันเดียวกัน ธรรมกับใจอยู่ด้วยกัน นั่นท่านว่า ต่อจากนั้นก็ออกทางด้านปัญญา บทเวลามันออกมันก็ออกจริงๆ น่ะล่ะ เพราะทำอะไรทำด้วยความจงใจจริงๆ
    <O:p
    มันออกทางด้านปัญญา กลางคืนจะไม่หลับนอน กลางวันก็ไม่หลับ มันหมุนของมันเป็นอัตโนมัติ หมุนติ้วๆๆ มันจะตายจริงๆ ก็ไปหาท่าน ท่านก็ใส่เปรี้ยงเอาอีกแหละ ตอนท่านใส่นี้มันก็ยุบลงนิดหนึ่ง แต่ที่มันจะหมุนมันมีกำลังมากกว่า หมุนเรื่องสติปัญญาแก้กิเลส แต่แก้แต่อย่างเดียว ทำงานอย่างเดียว ไม่กินไม่หลับไม่นอนมันก็ไปไม่ได้คนเรา มันต้องมีการอยู่กินหลับนอนทำการทำงานผสมกันไป ทีนี้เวลาทำงานหนักๆ ก็พักเสียก่อน นอนหลับ รับประทานอาหาร พัก ได้กำลังแล้วออกทำงานอีก ท่านอธิบายให้ฟังหมด ทางนี้ค่อยจับเข้าไป จับเข้าไปเรื่อยๆ
    <O:p
    เวลามันออกทางด้านปัญญามันไม่เข้าสมาธินะ ใครอย่าไปเข้าใจว่าปัญญาตีกว้างไปหมดเลยไม่ได้ สมาธิครอบไปหมดเรื่องความสงบ อย่างนี้มันก็ไม่ถูก ระยะนี้ควรใช้ทางปัญญา ระยะนี้ทำงาน ระยะนี้รับประทานอาหาร ระยะนั้นพักผ่อนนอนหลับ นั่นมันถึงถูก งานการจะมีมากขนาดไหนกำลังเราต้องดู ถ้ากำลังจะไม่พอพักเสียก่อน พอพักได้กำลังวังชาแล้วออกทำงานอีก
    <O:p
    ทางด้านสมาธิ-ด้านปัญญา..เวลาออกทางปัญญานี้มันออกจริงๆ มันหมุนกลางคืน กลางวันยังจะไม่หลับเลย กิเลสกับสติปัญญามันตามต้อนกัน ให้มันเห็นในใจมันถึงชัดเจน การทำพระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกอย่างแล้วจึงมาสอนโลก เราจะนอนหลับหูหลับตาอยู่กับการที่ท่านสอนโลกมันเข้ากันได้ไหมละ เข้ากันไมได้ ท่านสอนสอนด้วยความฉลาดแหลมคม เราฟังด้วยความโง่มันก็ไม่ได้เรื่องนี่ก็ซัดกันไปซัดกันมามันก็ได้ ท่านเป็นผู้เปิดทาง ทางนี้คอยจับๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2009
  11. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    มันออกทางด้านปัญญามันออกจริงๆนะ ไม่ได้หลับได้นอน ความคิดอ่านไตร่ตรองตามต้อนกิเลสนอนก็ไม่หลับ นั่งสมาธิก็ยิ่งเสริมหนักเข้าอีก กลางคืนนอนไม่หลับตลอดรุ่ง คือจิตทำงาน มันพุ่งๆๆ บทเวลาสติปัญญาเป็นอัตโนมัติแล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้องมาระงับด้วยพุทโธ มันก็เป็นอุบายของเจ้าของนั่นละ ถ้าจะให้มันระงับเฉยๆ ให้มันหยุดเฉยๆ มันไม่หยุด มันจะต้องหมุนติ้วๆ ๆ เอาพุทโธมาให้เป็นที่ยับยั้งทอดสมอไว้ มันยุ่งไปไหนไม่เอา ยุ่งก็ยุ่งอรรถยุ่งธรรมคือแก้กิเลส ทำแต่งานมันไม่พักไม่ได้ มันตายนะ

    ทีนี้เข้ามาทางพุทโธ เพราะนิสัยเราชอบพุทโธ ทีนี้ไม่เอา มันจะหมุนติ้วๆ เพราะมันคล่องตัว เรื่องสติปัญญามันคล่องตัว มันไม่อยากหยุด มันเพลินในการแก้กิเลส ทีนี้มันจะตาย เอาย้อนเข้ามา ทีนี้ให้พักจิต พักไม่ได้ มันหมุนของมันอยู่ตลอด ทำอย่างไรพักไม่ได้ เอาทีนี้หักเข้ามา ย่นเข้ามา เอาพุทโธ มันไปไหนไม่ให้ไป งานใดแขนงใดไม่ให้ไป ให้อยู่กับพุทโธกึ๊กตรงนั้นเลย เอาพุทโธถี่ยิบไม่ให้มันคิดออก เรื่องราวอะไรไม่ให้คิดด้านปัญญาไม่ให้ใช้ จะใช้เพื่อความสงบกับพักจิต เอาพุทโธๆเข้าไป ไม่ให้มันออกไปไหน มีพุทโธ จิตสงบแน่ว พอสงบลงไปเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม มันมีกำลังวังชากระปรี้กระเปร่า ทีนี้พอมีกำลังแล้วออกแล้วดีดผึงเลยนะ
    <O:p</O:p
    เมื่อมันจะตายจริงๆ ย้อนเข้ามาหาพุทโธ ให้อยู่กับอันเดียว พออยู่กับอันเดียวแล้วมันก็สงบแน่ว รู้สึกว่ามีกำลังวังชานะ จากนั้นจะหลับก็หลับได้ เวลามันหมุนจริงๆ จะไม่หลับนะ พอเรารู้จักวิธีปฏิบัติแล้วมันจะตายจริงๆ ก็หักเข้ามาหาพุทโธ เอาพุทโธผูกเอาไว้ไม่ให้มันออก หักมาไว้กับพุทโธแล้วจิตสงบเย็นสบาย พอมีกำลังแล้วทีนี้เปิดออกมันก็พุ่งๆเลยปัญญาพุ่งๆๆเลย นี่ละเรื่องการภาวนาให้มันเป็นไม่ต้องถามใคร มันรู้เองนะ พระพุทธเจ้าทรงทำมาแล้ว สวากขาตธรรมตรัสไว้เรียบร้อยไม่ผิดไม่พลาด เรามันนักผิดพลาด ทีนี้เราค่อยเดินตามไปมันก็ค่อยได้อุบายสติปัญญาไปเรื่อยๆละ
    <O:p</O:p
    เวลามันจะตายจริงๆหักเข้ามาหาพุทโธเสีย แต่ก่อนไม่รู้พุทโธเป็นอย่างไร เพราะมันเพลินกับการพิจารณาแก้ไขถอดถอนกิเลส เลยกลายป็นเรื่องหลงสังขารไป มันใช้ไม่รู้จักประมาณ พอได้หลักได้เกณฑ์แล้วทีนี้ถ้ามันหมุนติ้วมากๆ หักเข้ามาหาพุทโธ ไม่ให้คิดกับเรื่องอะไร ให้อยู่กับพุทโธๆ คำเดียว จิตก็ค่ยอสงบลงๆ แน่วนะ จิตพออยู่กับพุทโธแล้วกลายเป็นจิตสงบ เป็นสมาธิประเภทหนึ่ง สมาธินี้หนุนปัญญา พอได้กำลังแล้วออกทางด้านปัญญามันก็พุ่งๆ เลย

    <O:p</O:pนั่นละการภาวนาเป็นอย่างนั้น ถ้ามันเป็นแล้วไม่ต้องถามใครมันรู้เอง เอากันเสียจนกระทั่งกิเลสม้วนเสื่อ ฟาดขนาดนั้นละ กิเลสม้วนเสื่อไม่มีอะไรกวนเลย มีกิเลสเท่านั้นเป็นตัวกวนใจที่สุด ยุแหย่นั้นก่อกวนเรื่องนั้นเรื่องนี้มีแต่กิเลส พอฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรกวน แสนสบาย นั่นละพระอรหันต์ท่านถึงไม่มีทุกข์ทางใจ หมด เพราะกิเลสตัวยุแหย่ก่อนกวนมันกวนตลอดเวลา พอตัวนี้ม้วนเสื่อลงไปแล้วไม่มีอะไรกวนท่านอยากนั่งสมาธิภาวนาระงับธาตุระงับขันธ์ ท่านก็ทำของท่านด้วยความสะดวกราบรื่นดีงาม
    <O:p</O:p
    นี่ละการฝึกหัดสมาธิฝึกถึงขั้นปัญญาเป็นขั้นๆ ๆ ไป เวลาเข้าถึงด้านปัญญาแล้วมันเป็นน้ำไหลรินนะ เป็นอัตโนมัติหมุน ไหล เป็นอัตโนมัติ เราฉันจังหันอยู่นี้มันไม่ได้อยู่กับอาหารนะ มันอยู่กับธรรมที่เจ้าของพิจารณา มันจะซัดกันอยู่นั่น เหมือนว่านักมวยต่อยกันอยู่นั่นละ ไม่หยุดไม่ถอยละ ต้องได้ใช้ปัญญาแนบกันไปเรื่อย หักวิธีไหน แก้วิธีไหน ที่ว่าหักเข้ามาหาพุทโธ..เวลามันเพลินทางด้านปัญญามากๆ ไม่มีอะไรจะหักห้ามมันได้ ต้องเอาพุทโธให้อยู่จุดเดียว ไม่ให้มันออกมา พออยู่จุดเดียวแล้วโล่งขึ้น สงบแน่ว ทีนี้เราจะพักนอนก็ได้ เรียกว่าพักใจให้นอนก็ได้ พอรู้จักวิธีแล้วเวลามันหมุนเข้ามากๆ หักเข้ามาหาพุทโธ คือมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หัวอกนี้มันเมื่อยล้าจริงๆ อ่อนไปหมด เพราะสติปัญญาทำงานไม่ขาด
    <O:p</O:p
    ทีนี้เวลามันเป็นอย่างนั้นแล้วให้หักเข้ามา ตั้งก.ไก่ ก.กา ใหม่ นั่นละบำรุงจิตที่ไม่มีกำลัง ที่มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพราะการพิจารณามันเหนื่อยมาก หักอันนั้นเข้ามาอยู่กับพุทโธเรียกว่าพักจิต อยู่นั้นก็สบาย นั่นละการภาวนา เหล่านี้เราไม่เคยได้พูดให้ใครฟัง ทั้งที่เป็นมาในหัวใจจนอกจะแตกบางทีนะ เป็นอย่างนั้นละ บอกกันทุกแง่ทุกมุมไม่ได้ มันต้องเป็นอุบายวิธีการของแต่ละคนๆ ที่จะนำมาใช้ สติปัญญาให้ไปด้วยกัน
    <O:p</O:p
    บทเวลามันจะไปแล้วจะไม่อยู่ทั้งนั้นนะ จิตนี้ถึงขั้นมันจะไปล่ะ จะเป็นจะตายก็จะไปท่าเดียว ไม่รู้จักเป็นจักตาย จะไปท่าเดียว เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ความขยันหมั่นเพียร ความเด็ดเดี่ยวอาจหาญเป็นเข็มทิศทางเดินเพื่อพระนิพพานอย่างเดียวพุ่งๆ ๆ นั่นเวลามันเป็น ใครเป็นเขาก็รู้ นี่ก็ไม่เคยเป็นแต่ก่อน แต่เวลามันเป็นก็พูดได้ อย่างนี้ละจะว่าอย่างไร ฟาดไม่หยุดไม่ถอยเอากิเลสม้วนเสื่อไม่มีอะไรกวนใจ
    <O:p</O:p
    ฟังเสียท่านทั้งหลายอยากฟัง จวนจะตายแล้วนะนี่น่ะ คำพูดเช่นนี้เราไม่เคยมาพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า พูดไปหาอะไร เขาว่านกก็นกกับเขา ว่ากา กากับเขา ว่าอย่างอื่นมันไม่รู้ก็ต้องว่านกว่ากาไปตามเขา แต่เวลารู้แล้วของตัวเองก็เป็นของตัวเอง เอาจริงๆนะเรื่องภาวนา แล้วมาดีอันหนึ่งคือนิสัยมันจริงจังมาก ถ้าลงได้ปักลงตรงไหนแล้วขาดสะบั้นไปเลย ให้ถอยไม่มีถอยจนกว่าจะเห็นผล จะปล่อยวางกันเมื่อไร ปล่อยวางพราะเหตุผลกลไกอะไร ถ้ามันได้เหตุผลเสียก่อนมันถึงจะปล่อย ถ้าไม่ได้เหตุผลไม่ปล่อย ซัดกันอยู่นั่นละ
    <O:p</O:p
    ปี ๙๒ หรือ ๙๓ น้า ที่ว่าฟ้าดินถล่ม (๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓) นั่นละเวลาตัดสินวัฏจักรวัฏจิตออกจากกัน วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เปิดเสียให้รู้เรื่องรู้ราวนะ ตายแล้วจะไม่มีใครมาพูดนะ หลวงตาองค์เดียวละพูดว้อๆ พูดด้วยความอาจหาญเสียด้วยนะ แล้วยิ่งมีคนมาพูดเรื่องจิตตภาวนาละเอียดลออเท่าไรแล้วทางนี้ขยับใส่กันปั๊บๆ ๆนะ มันดูดดื่มกัน มันดูดดื่ม
    <O:p</O:p
    วัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่ม นั่นละตัดสินขาดสะบั้น เหมือนว่าโลกธาตุนี่หวั่นไปหมดเลย มันรุนแรง คือกิเลสมันมัดใจมาตั้งกัปไหนกัลป์ใด เป็นวัฏจักรวัฏจิตหมุนกันไปเกิดภพนั้นภพนี้ไม่ซ้ำกัน เกิดสูงเกิดต่ำเกิดอะไรๆ แล้วแต่กรรมของเจ้าของทำ กรรมนั้นละมันจะถอยมาหาเจ้าของ กรรมดีหนุนขึ้น กรรมชั่วกดลง ใครอย่าประมาททำกรรมชั่วนะว่าโลกอยากทำแต่ความชั่วนะ ความดีไม่อยากทำ นั่นละมันพาให้จมๆ พอมันถึงขั้นที่มันจะหมุนในทางดีแล้วทีนี้ชั่วไม่เอา หมุนตลอด สลัดปัดทิ้งๆ ปุ๊บๆๆ เลย
    <O:p</O:p
    นี่ก็เหมือนกันเอาจนขาดสะบั้น ฟ้าดินถล่มแล้วหมด ไม่มีอะไรมากวนใจ กิเลสเท่านั้นกวน มีกิเลสเท่านั้นละกวน พอกิเลสม้วนเสื่อออกไปแล้วไม่มีอะไรกวน พระอรหันต์ไม่มีทุกข์ หมด ว่างไปหมดเลย ที่มันไม่ว่างตรงไหนๆ มีแต่กิเลสเสียบแทงหัวใจ ท่านทั้งหลายจะฟังก็ฟังเสีย ธรรมพระพุทธเจ้า สฺวากฺขาโตภควตาธมฺโม หรือสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว มันไม่ชอบแต่พวกเรา จึงระเกะระกะไม่เป็นท่าเป็นทาง ให้ฟังเทศน์ฟังธรรมก็ไปง่วงหลับง่วงนอนนะ ลากไปแล้วมันก็ไม่อยากไป ลากไปครั้นไปแล้ว โอ้ย นอนยังไม่อิ่มนอนอีกหน่อย มันเป็นอย่างนั้น
    <O:p</O:p
    เวลามันได้ท่ามาแล้วทีนี้มันไม่นอนนะ ต้องบังคับเอา อย่างที่ว่านั่นละเอาพุทโธบังคับ ให้สงบอยู่กับพุทโธ ไม่ให้คิดออกทางด้านปัญญา มันหมุนติ้วๆ ครอบโลกธาตุสติปัญญา หักเข้ามาให้อยู่กับพุทโธๆ คำเดียว พักจิต สงบแน่ว เอาล่ะแค่นี้เป็นพักๆๆ เราจะหมุนทีเดียวว่าให้มันได้ไม่ได้นะตายก่อน ต้องมีการพักการทำงาน นี่ได้ทำมาแล้วนี่ ๙ ปี พรรษา ๗ ออก ออกปฏิบัติ เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี พอหยุดเรียนแล้ว..เพราะเรามีคำสัตย์คำจริง พอถึงนั้นแล้วหยุดกึ๊กเลยนะ ไม่มีเงื่อนต่อ เราเรียนจบได้มหาเท่านั้นละเราจะออก นักธรรมตรี โท เอก ไม่ต้องว่า นักธรรมโทมันก็ได้มาของมันเรื่อยๆ จนถึงขั้นนักธรรมเอกได้ปีเดียวกัน เวลาเดียวกัน
    <O:p</O:p
    วันนี้เปิดให้ท่านทั้งหลายฟังนะผลของการปฏิบัติมาเป็นอย่างไร เวลาอยู่ในป่าในเขาใครไปรู้เมื่อไร หายใจฟอดๆ ลงมาจากภูเขาบิณฑบาตในหมู่บ้าน คือไม่ได้ฉันทุกวันนะ แล้วแต่จะอดสักกี่วัน สี่วันห้าวันหกวันเจ็ดวัน ถ้ามันนานเข้าแล้วอดนานไม่ได้ ก้าวขาไม่ออก ต้องลดลงมาสี่วันห้าวันไป ไปบิณฑบาตมาฉัน นอกนั้นอดๆ เพราะเรารู้สึกจะถูกทางด้านอดอาหารนะ ถ้าว่าผ่อนไม่อยากผ่อน ถ้ากินแล้วมันฟาดหมดหม้อเลยนะถ้าได้กิน ข้าวก็หมดหม้อ แกงก็หมดหม้อ มันหยุดไม่ได้ จะให้ผ่อนได้อย่างไร อันนี้รออยู่นี้แล้ว ซัดเลย ขี้แตกเยี่ยวราดมันก็ไม่ถอย
    <O:p</O:p
    เวลาไม่ฉันไม่ฉันเลย มันผ่อนไม่เป็นน่ะเรา ไม่สนใจจะผ่อนหัวมัน เวลานี้เป็นเวลาจะกินจะผ่อนหาอะไร ฟาดเต็มเหนี่ยวเลย ทีนี้เวลาไม่กินไม่กิน กี่วันหกวันเจ็ดวัน แต่สติดีมากนะ เราจึงหนักไปทางอดอาหาร อดอาหารนี้สตินี้ดีมาก ไม่เผลอตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอเลย พอเอาอาหารออกสติขึ้นได้ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ไม่มีเผลอเลย ฟังซิ อดไปหลายๆ วัน ทำทุกอย่างที่จะเป็นประโยชน์
    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าท่านอดพระกระยาหารท่านไม่ได้มีภาวนาแฝงนะ ท่านอดเฉยๆ เพื่อจะตรัสรู้ด้วยการอดอาหารอย่างเดียวมันก็ไม่ถูก อันนี้เราอดมันอดเพื่อหนุนการภาวนาต่างหาก เราไม่ได้อดเฉยๆเพื่อตรัสรู้ด้วยการอดอาหาร ถ้าเวลาเราฉันมากมันเหมือนรถบรรทุกของหนัก มันไม่สะดวก เลยผ่อนขึ้นผ่อนลงอยู่อย่างนั้น คือต้องใช้ปัญญาพิจารณา จนท้องเสียนะเรา คือมันไม่ค่อยฉัน ท้องเสีย เราก็ยังระลึกถึงคุณหมอเติ้งนะ
    <O:p</O:p
    มันจะไปจริงๆละ หยุดมานานแล้วนะแต่มันไม่หยุดท้อง มันเป็นโรคเรื้อรังแล้ว หมอเขาตรวจคนไหนเขาก็บอกเป็นเสียงเดียวกั เป็นอะไรเป็นถึงขั้นมะรงมะเร็ง มะเร็งลำไส้ ไปไม่รอด เขาบอก หมอทั้งหลายบอกไปไม่รอด หมอเติ้งเอาได้ หมอเติ้งคนจีน เป็นชาวจีน แกกำหนดให้เอง ฉันวันหนึ่งเท่าไร แกบอกไม่ให้เคลื่อนคลาดนะ ให้ฉันวันหนึ่งเท่าไร ฉันกี่ครั้ง แกก็บอกไว้ให้ เราก็ฉันตามนั้น หายเลยนะ นี่แปลกอยู่ โรคที่มันจะไปถ่ายเดียว หมอบอกว่าจะตายทั้งนั้น มันเป็นมะเร็งในลำไส้ อย่าไปประมาทนะ หมอจีนเอาได้ พอฉันยาหมอจีนเข้าไป ประมาทสักกี่แก้วนะ คือแกกำหนดให้เลย ฉันให้หมด เอาขนาดไหนแกบอกให้ฉันให้หมด หายเลย ยังเป็นหลวงตาบัวว้อๆ หายจากยาหมอเติ้ง ยาจีน เลยหายจริงๆ นะท้องหายหมดเลย ที่มันจะตายๆ หายขาดเลยจนกระทั่งทุกวันนี้
    <O:p</O:p
    นี่ก็เพราะอดอาหาร อดอาหารเท่าไรมันยิ่งภาวนาดีๆ มันก็ไม่อยากสนใจกับอาหาร ธรรมดาอดติดกันไปกับการภาวนาอยู่อย่างนั้น มาฉันสองวันเว้นสองวันจากนั้นอดไปเลย เพราะการอดมันดีกว่าการฉัน เวลาหนักเข้าๆ มันจะตาย จึงได้ยาหมอเติ้งมากิน หมอเขาบอกลับๆ นะ เขาไม่ได้บอกเปิดเผย โรคนี้เป็นโรคมะเร็งในลำไส้เขาว่า จะตายแน่นอน เขาไม่บอกเราด้วยนะ เขารู้เฉพาะหมอ หมออะไรมาตรวจเขาก็ว่าอย่างนั้นนะ หมอเติ้งซัดอันเดียวเรียบวุธ
    <O:p</O:p
    นี่ละมีแต่การฝึกการทรมานทั้งนั้นที่ว่านี่ มาเห็นอาหงอาหารเต็มศาลามันจะท่วมหัวคน อย่าว่าหัวพระเลย กลับไปอยู่ในป่าในเขาได้ฉันอะไรบ้าง คนอยู่ในป่าในเขา มีสามหลังคาเรือน สี่หลังคาเรือน มีอยู่ทั่วๆไปนะ เรามองไปเห็นภูเขาอย่าเข้าใจไม่มีคน มี บางที่ก็มีสี่ห้าหลังคาเรือน อย่างมากแปดเก้าหลังคาเรือน เราบิณฑบาตกับเขา ได้อะไรมาก็กิน เราหาอย่างนั้นนี่ ไปตำหนิคนใดคนหนึ่งไม่ได้ เราเป็นคนหาเอง อยู่อย่างนั้นละอดอาหาร
    <O:p</O:p
    อาหารไม่ได้มี มีแต่ข้าวเปล่า ข้าวเปล่ากินมากอะไรนักหนาใช่ไหม ตัวเบาเดินจงกรม นั่งไม่ง่วง ถ้ามีกับละเอาล่ะ ถ้ามีแต่ข้าวเปล่าๆ ไม่ง่วง ตัวเบา ฉันไม่ได้มาก ทำทุกอย่าง เวลาทำความเพียรเหมือนจะไม่ได้เหลือยังชีวิตเป็นคน เพราะนิสัยอันนี้มันผาดโผน ถ้าทำอะไรเอาจริงเอาจังให้เห็นเหตุเห็นผลถึงจะปล่อย เอาอย่างนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งว่าอันนี้ผ่านหมดแล้ว กิเลสตกเวทีไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลย ทีนี้ไอ้ท้องมันเสียไม่ตกเวทีนะ ท้องเสียเสียไปเรื่อยๆๆ จึงได้ยาหมอเติ้งมาฉัน หมอเขาบอกว่าจะตายเป็นมะเร็งในลำไส้ เขาบอกลับๆ ไม่ให้เรารู้ แต่หมอเติ้งเอายาให้หายเลย ไม่อย่างนั้นตายไปนานแล้วละ
    <O:p</O:p
    เราทำอะไรนิสัยมันผาดโผนมองแล้ว เข้ากันได้กับที่ว่าตัวนี้ละ(ลูกศิษย์) อาจารย์มหาบัวเป็นอย่างไร เอาทุ่มเลย ท่านบอกทุ่มเลยนะ มีเท่าไรทุ่มหมดเลย เพราะท่านรู้นิสัยของเรา ปฏิปทาของเรามาพอแล้วท่านอาจารย์หลุยน่ะ เรื่องความเพียรท่านรู้มาพอ ไม่มีคำว่าถอย นั่นละท่านจึงบอกว่าให้ทุ่มเลย คือว่าไม่มีที่ต้องติเลยคงหมายความว่าอย่างนั้น เอาทุ่มเลย องค์นี้เป็นอย่างไรองค์นั้นเป็นอย่างไรท่านก็เล่าให้ฟังธรรมดาใช่ไหมละ พอมาถึงเราบอกว่าทุ่มเลย มีเท่าไรทุ่มเลย เอาล่ะนะสายแล้ว <O:p</O:p

    <O:p</O:p

    รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่<O:p</O:p
    www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th<O:p</O:p
    และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz<O:p</O:p
    พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=5339&CatID=2<O:p</O:p
     
  12. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    <DD>กวาดกิเลสออกจากใจ</DD>​

    <DD>
    วันที่ 29 ตุลาคม 2545

    <DD>
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
    <DD>


    <DD>

    <DD>เร่งละ เมื่อวานนี้ก็ไปส่งทองคำแล้ว เขากลับมาเมื่อไรไม่ทราบ ไปส่งแล้วเมื่อวานนี้ นี่เราก็ได้เพิ่มมาอีกแล้ว ไม่นานก็จะต้องไปส่งอีกแหละ เพราะจะเร่งรวบรวมให้รู้เรื่องรู้ราว เมื่อวานหลังจากการส่งแล้วก็ได้ทองแท่งมาตั้ง ๕ กิโลกับ ๒๗ บาทอีก จะเพิ่มเข้าเรื่อย ๆ แล้วก็เร่งเรื่อย ๆ นะ ๕๐๐ กิโลนี้ต้องยันเลยขาดไม่ได้ ต้องเร่ง ๆ นี่เงินกองกฐินก็นึกว่าเขาเอาไปกรุงเทพพร้อมกันกับเมื่อวานนี้ เขาเอาเข้าทางนี้แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร<DD>

    <DD>กฐินของพี่น้องศรัทธาทั้งหลายที่มาถวาย ส่วนมากถวายกรรมฐานนะ กฐินวัดไหน ๆ จะรวมเป็นทองคำเข้ามาที่นี่ ก็คิดดูซิอย่างหนองกองเมื่อวานนี้ก็มาแล้วตั้ง ๕ กิโล ๑๔ บาท นาคูณก็มา ๑๓ บาทกับเงินประมาณหมื่นกว่าบาท เริ่มมาแล้ว กฐินที่พี่น้องทั้งหลายไปทอดในที่ต่าง ๆ ไม่ไปไหนแหละเราก็บอกตรง ๆ เลย เข้ามานี้หมดนั่นแหละ จากนี้ก็เข้าคลังหลวง นี่ก็เริ่มมาแล้วนี่ จะมาเรื่อย ๆ อย่างนี้ กรรมฐานท่านไม่ค่อยอะไรกับเรื่องการเงินการทอง ท่านมุ่งอรรถมุ่งธรรม ทำอะไรถ้าเป็นอรรถเป็นธรรมทั้งส่วนตนและส่วนรวมแล้วท่านพร้อม ๆ เสมอ นี่ก็เริ่มเข้ามาแล้วกฐินสองวัด หนองกองกับนาคูณ จากนั้นก็มารอบ ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ รวมเรื่อย ๆ คือจุดรวมของกรรมฐานอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด รวมจากนี้ก็เข้าคลังหลวงเรา เย็นใจสบายทั่วประเทศ<DD>

    <DD>ทองคำที่เราได้แล้วเวลานี้ ๓๒๔ กิโลยังขาดอยู่ตั้ง ๒๐๐ ไม่ใช่เล่นนะ นี่จะรวมกฐินที่ว่านี่ต่อไปอีก กฐินที่ได้ก็ผ่านไปแล้ว ส่งไปแล้วเมื่อวานนี้ ต่อไปจะมาจากกรรมฐานที่ต่าง ๆ อีก เฉพาะภูสังโฆกับผาแดงมากกว่าเพื่อนทุกทีแหละ วันงานนี่ธรรมลี ผาแดง ได้มาตั้ง ๑๒ กิโล ของเล่นเมื่อไร ก็มีผาแดงกับภูสังโฆที่เป็นพี่เบิ้มแถวนี้ จากนั้นก็มาเรื่อย ๆ มาทุกแห่งบรรดากรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นจะเข้าที่นี่หมด จากนี้รวมแล้วก็เข้า รอฟังระยะนี้ เพราะเวลาก็ยังอีกนานตั้งเดือนเต็ม ๆ จะรีบรวมให้เรียบร้อย เมื่อรวมเรียบร้อยแล้วก็จัดการให้ทันปุ๊บได้เลย หลอมไว้ได้เท่านั้นแล้วตายใจ พอถึงวันที่ ๑๐ ก็เข้าคลังหลวงของเราแหละ ส่วนดอลลาร์นั้นดูว่าสองแสนแน่แล้ว เศษกำลังเลยขึ้นไปจากสองแสน เศษไปเท่าไรเราก็จะเข้าไปเลย ถ้าสมควรจะเข้า ๑๐ ดอลล์ ๒๐ ดอลล์ ไม่เข้านะ ถ้าเป็นพันขึ้นไปแล้วเริ่มเข้าแหละ<DD>

    <DD>สรุปทองคำและดอลลาร์ กฐิน วันที่ ๒๘ เมื่อวานนี้กฐินทองคำได้ ๑๔ กอง เงินสดได้ ๓๕ กอง รวมเป็น ๔๙ กอง เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยนับกองละ พอกฐินทองคำผ่านมาแล้วได้กี่กอง ยังเหลือกี่กอง ไม่นับ มีแต่จะรวบรวมมาให้ได้ ๕๐๐ กิโล จะรวบเอาตรงนั้นเดี๋ยวนี้ เรื่องกี่กอง ๆ มักจะไม่พูดถึงแหละ มีแต่จะรวม ๆ เพราะกฐินผ่านไปแล้ว รวมกฐินทั้งหมดได้ ๗๘,๒๒๑ กอง ขาดอยู่อีก ๕,๗๗๙ กอง เราอ่านไปอย่างนั้นแหละ พอกฐินผ่านไปแล้วได้อะไรมารวบเลย ๆ <DD>

    <DD>ให้ได้ ๑๐ ตันนะพี่น้องทั้งหลาย เอาให้จริงจังนะ เวลานี้โลกเขามองรอบด้าน เป็นยังไงชาติไทยของเรา กำลังช่วยชาติเขารู้กันทั้งโลก แล้วมีใครเป็นหัวหน้าบ้าง ก็ไม่พ้นจากหลวงตามหาบัวที่เป็นหัวหน้า เป็นยังไงมหาบัวเหลวไหลขนาดไหน ตอนนี้อันหนึ่งนะ เราฟัดเรามาไม่มีเหลวไหลเลย ฟังซิน่ะ แล้วจะมาเหลวไหลกับตอนเรือพ่วงเหล่านี้อย่าให้เหลวไหล ซึ่งอยู่ในวิสัยที่ไม่ควรเหลวไหลนะ เอาให้จริงจังพี่น้องทั้งหลาย เอาหน้าหลวงตาบัวไว้เถอะ ว่าฟาดกับกิเลสนี้ขาดสะบั้นไปเลยไม่มีคำว่าเหลวไหล เอา สลบก็สลบไม่สนใจ ตายก็ตายเลยนู่นน่ะ ขอให้กิเลสตายอย่างเดียวเท่านั้นเป็นที่พอใจ<DD>

    <DD>นี้เราก็พอใจแล้วกับเรื่องที่ว่านี่ หายสงสัย บอกแล้วกี่ครั้งกี่หนบอกเพื่ออวดหรือ ท่านทั้งหลายว่าเพื่ออวดเหรอ เวลานี้จะอุ้มเมืองไทยทั้งชาติขึ้นด้วยความอุตส่าห์พยายาม ความเด็ดเดี่ยวของเมืองไทยเรา โดยนำเรื่องของเรามาเป็นคติ ว่าเราไม่ได้ย่อหย่อนนะการปฏิบัติต่อตัวของเราเอง จนเป็นที่พอใจแล้วมานำพี่น้องทั้งหลาย มันจะเหลวไหลไปเหรอ ต้องเอาอย่างนี้นะ เตือนให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากัน อย่าให้เห็นเป็นอันขาดนะคราวนี้ หลวงตาตายนี้จมลงใต้ก้นทะเลถ้าเหลวไหลคราวนี้นะ เพียงทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน คนทั้งประเทศ ๖๒ ล้านคน เวลานี้ยังเหลืออยู่เพียง ๔ ตันกว่าเท่านั้น ๕ ตันกว่าเรายังหามาได้แล้ว ทำไม ๔ ตันกว่าจะไม่ได้ ไม่ให้มีในเมืองไทยเรา<DD>

    <DD>เอาให้เด็ดนะพี่น้องทั้งหลาย มีเท่าไร ๆ เราก็เก็บหอมรอมริบ ครั้งนี้ครั้งนั้น วันนี้วันนั้น ต่อไปมันก็ท่วมขึ้นไปเอง ถึง นอกจากจะเฉื่อยชาหน้าด้านไปเลย แล้วเหยียบย่ำทำลายการช่วยชาติ นี้อันหนึ่งนะ ดูถูกเหยียดหยามการช่วยชาติ ยกตัวที่มีแต่ร่างกระดูกออกมาอวดโชว์ ใครจะอยากดูร่างกระดูกของคนเลวร้ายหาสาระไม่ได้ แล้วมาอวดคนทั้งชาติที่เขากำลังอุ้มชาติไทยของเราขึ้น มันดูได้ไหม ฟังได้ไหม พิจารณาซิ นี่ละพวกเลวร้ายที่สุด คนเลวร้ายที่สุด คือคนประเภทนี้ อย่าให้มีในหัวใจของชาติไทยเรา คนเลวร้าย ความเลวร้ายอย่างนี้อย่าให้มี เอาให้เด็ดทีเดียว จริงจังอยู่ตรงนี้นะ<DD>

    <DD>เวลานี้ยังเหลืออยู่ ๔ ตันกว่า อย่างไรพี่น้องทั้งหลายเอาให้ได้ทุกคน เราไม่ได้เป็นเศรษฐีละ ถ้าเป็นเศรษฐีจำเป็นอะไรจะต้องไปยกบ้านยกเมือง ก็เป็นเศรษฐีทั้งประเทศยกไปหาอะไรใช่ไหมล่ะ แต่นี้มันต่างคนต่างจนทั่วประเทศมันจนด้วยกัน แล้วต่างคนต่างอุ้มชาติตัวเองด้วยความเป็นคนจนแต่กำลังใจมี ฟัดกันเลยนะ นี่ละที่เรายกอยู่เวลานี้น่ะ เอาให้จริงจังทุกอย่างอย่าถอยนะ เราเข้มข้นตลอดเพื่อชาติไทยของเรา เราบอกแล้วว่าเราไม่มีอะไรสำหรับตัวของเราเอง ดีดเมื่อไรผึงเลยเท่านั้นเอง หายสงสัยทุกอย่างแล้ว เรียกว่าศาสดาองค์เอกประจำอยู่ที่จิตดวงที่บริสุทธิ์เต็มเหนี่ยวทุก ๆ พระองค์อยู่นั้นหมด<DD>

    <DD>สาวกทั้งหลายมีจำนวนมากน้อยเป็นอันเดียวกันหมด เป็นมหาสมุทรมหาทะเลอันเดียวกันหมด น้ำหยดไหนตกลงมาปั๊บเป็นมหาสมุทรด้วยกัน ๆ บรรดาผู้ที่ได้บรรลุธรรมถึงขั้นอรหันต์รายใด ๆ จะเข้าถึงมหาวิมุตติ ๆ ซึ่งเทียบกับมหาสมุทรด้วยกันนั่นแล แล้วทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ถ้ายังทูลถามอยู่ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศไว้แล้ว ก็องค์ศาสดาประกาศเองก็หมดความหมายไปละซี นั้นละที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต คือเห็นอย่างนี้เอง แล้วไม่ต้องทูลถาม ตถาคตคืออะไร คืออันนี้เท่านั้นพอ จ้าเลย นี่ละศาสดาองค์เอกมาสอนพวกเรา เด็ดพอแล้ว เลิศพอแล้วมาสอนพวกเรา แล้วทำไมมันจะเลวเสียจนดูไม่ได้ คนไทย ๖๒ ล้านคนเพียงทองคำ ๔ ตันกว่าเท่านั้นจะเอาไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ว่างั้นเลย เอาให้จริงให้จังทุกอย่าง ให้ได้<DD>

    <DD>ถ้าได้ ๑๐ ตันนี่แล้วจ้าเลยเมืองไทยเรา ไม่มีใครมาดูถูกได้เลย เอ้ามาก็มา หลวงตาบัวเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน เมื่อได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันแล้วปัดพี่น้องทั้งหลายไว้ข้างหลัง เราจะออกสนามคนเดียว ใครเก่งให้มาต่อสู้กับเรา เราจะฟาดให้หมดทั้งโคตรตกทะเลหมดเลย ให้มันหงายเลย ๆ สูมีกี่โคตรสูมาหากูน่ะ แล้วสูได้ทองคำมากี่หยิบมือ นี้กูฟาดขึ้นถึง ๑๐ ตันก็พี่น้องชาวไทยกูทั้งชาติ สูไม่ได้มาช่วยกูนี่ มีแต่พี่น้องชาวไทยจน ๆ นี้ฟาดทองคำขึ้นได้ถึง ๑๐ ตัน แล้วสูไม่ได้เอาทองคำมาอวดกูสักกิโลหนึ่ง มึงมาอวดกูเหรอ มึงมีกี่โคตร ถามมัน คือมีกี่โคตรนั่นจะกวาดมันลงทะเลให้หมด เข้าใจไหม ไม่ให้มันเหลือเลยโคตรหน้าด้าน โคตรสันดานหยาบ ไม่ช่วยเขามีแต่มาทำลายเขาอย่างเดียว เลวสุดยอด นี่ละตอนที่เอา<DD>

    <DD>คือเราออกสนามคนเดียว เราจะโต้ตอบ ปากเดียวก็ช่าง ถ้าหากว่าปากเราไม่พอ จะไปยืมปากไอ้หยอง ไอ้ปุ๊กกี้มา นี่ละต้องให้จริงจังทุกคน ยังไงเราเชื่อแน่ต้องได้ ๑๐ ตันไม่เป็นอื่น ว่างั้นเลย เราเชื่อพี่น้องชาวไทยเราซึ่งบึกบึนมาตั้ง ๕ ตันได้แล้ว ใครไปบีบบี้สีไฟกันที่ไหน มาด้วยน้ำใสใจศรัทธา ด้วยความรักชาติเสียสละด้วยกันทุกคน ถึง ๕ ตันกว่า แล้วทำไม ๔ ตันกว่าจะไม่ได้ ก็รู้กันอยู่ทุกคนว่ายังขาดเท่านั้น ๆ จะให้ถึงจุดคือเท่านั้น มันก็ต้องได้นั่นแหละ จึงว่าเร่งเข้าไป ๆ <DD>

    <DD>นี่ก็จะรีบรวบรวมแหละ คอยฟังทางโน้น รอตั้งแต่ปรึกษากันแล้วที่จะถอนเงินไปซื้อทองคำ คือเงินกฐินนี้จะถอนทั้งหมดเลยแล้วซื้อทองคำทั้งหมด ได้มาแล้วขาดเท่าไร ตรงนั้นตรงจะหมุนจี๋เลยละ ขาดเท่าไรก็เอากันใหญ่เลยตรงนั้นให้ได้ สำหรับเงินในโครงการช่วยชาติเวลานี้เราแน่ใจอยู่ว่า ๕๐ ล้านนะ อันนี้เราไม่แตะ รอเสียก่อนรอจังหวะ นอกจากทางนี้ไม่พอแล้วอาจจะถอนออกมาได้ เพราะเงินเพื่อช่วยชาติอันเดียวกัน ดอลลาร์เราก็ได้สองแสนแล้ว หากพอจะได้สามแสน อันนี้แล้วแต่มันจะเป็นเราไม่ว่าแหละ ส่วนทองคำคราวนี้ต้องให้ได้ ๕๐๐ กิโล ไม่ให้ต่ำกว่านั้น เพราะประกาศแล้ว ออกแล้ว<DD>

    <DD>หลวงตาถ้าลงได้ลั่นคำไหนแล้วมันขาดสะบั้นไปเลยนะ ไม่มีคำว่าหลุด ๆ ลุ่ย ๆ อะไร จริงอย่างนั้น ลงว่าอะไรแล้วขาดเลย แม้เจ้าของเองได้ตั้งกฎใส่เจ้าของปั๊บนี้เจ้าของฝืนไม่ได้นะ ต้องให้เดินตามนั้น เจ้าของเองต้องเดินตามกฎ กฎอันนั้นเป็นธรรมแล้ว เหนือเราแล้วเราต้องเดินตามธรรม เจ้าของก็ไปแก้ไม่ได้ถ้าลงได้กำหนดตกลงอย่างไรแล้ว นอกจากเหตุผลนี้จะเหนืออันนี้อีก เจ้าของเอาเหตุผลมาทับอันนี้ อันนี้ยอมรับ เอาเหตุผลใหม่ที่มีน้ำหนักมากกว่ากันออกใช้ เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าลงเสมอกันไม่แก้ ยิ่งต่ำกว่ากันแล้วอย่าเข้ามายุ่งว่างั้นเลย นี่ปฏิบัติมาอย่างนี้<DD>

    <DD>ทีนี้ทำความพากความเพียรให้ชนะไปเป็นระยะ ๆ วันไหนทำความเพียรแพ้กิเลสที่ในจุดที่จะเอาให้ได้ตรงนั้น ๆ วันนั้นนอนไม่หลับนะ พยายาม เหมือนอย่างว่าผูกโกรธผูกแค้นที่จะฟัดกันเอาให้ได้ชนะ มันเป็นอย่างนั้นจิตอันนี้น่ะมันไม่เหมือนใคร แล้วเอาจนได้จริง ๆ ที่จะมานอนแน่วแบบแพ้อย่างหลุดลุ่ยไปเลยนี้ไม่มีเรา เป็นอย่างนั้นตลอด คือการชนะ ๆ เป็นระยะ ๆ กำหนดใส่ปุ๊บเอาให้ได้ตรงนี้นะ ถ้าวันนั้นแพ้อย่างนี้มันจะนอนไม่หลับ ต้องตามมาแก้อีก จนกระทั่งแก้ได้แล้วภูมิใจนอนหลับเป็นพัก ๆ นี่เป็นอย่างนั้นนะ ที่จะให้แพ้แล้วถอยไปเลยนี้ไม่ปรากฏในจิตดวงนี้นะ<DD>

    <DD>นี่เราก็ตั้งไว้แล้ว ๑๐ ตัน แต่อาศัยเป็นเรือพ่วง พี่น้องทั้งหลายเป็นลมหายใจช่วยหายใจ ช่วยเป็นกำลัง เอาให้ได้นะ<DD>

    <DD>คิดดูซิเงินสำหรับเราใช้เป็นประจำวัดนี้ใช้จ่ายน้อยเมื่อไหร่ โอ๊ย.ไม่น้อยนะ เงินที่จ่ายทั่วรอบบริเวณวัดนี้ จ่ายไม่น้อยนะ เรายังไม่สนใจกับเงินเหล่านี้ มุ่งต่อเรื่องกฐินล้วน ๆ เพราะฉะนั้นถึงได้จี้กันตลอดเวลา เงินอันนี้มันจะขาดเหลือยังไงช่างมัน เราจะเป็นคนทุคตะเข็ญใจไม่มีก็ตาม ขอให้สมบัติเราเข้าสู่ทองคำเต็มเอี๊ยด พอใจ นั่นเอาตรงนั้นนะ เราจนเท่าไรก็ตามเถอะ จึงไม่ได้สนใจกับการเงินการทอง ขาด ๆ เหลือ ๆ จ่ายไม่พอนะทุกวันนี้ เราไม่อยากพูดถึงมัน เพราะมันไม่หนักยิ่งกว่าทองคำ อย่างที่เคยพูดแล้วไปกรุงเทพฯ คราวที่แล้ว เราไปกรุงเทพฯทุกครั้งเราไม่เคยมี มันก็มีเงินเศษเงินเหลือมาจ่ายมาช่วยทางด้านนี้ ๆ เราก็ช่วยออกทั่วประเทศไทย ก็เงินที่เศษเหลือมาจากกรุงเทพฯ เอามานี้จ่ายทั่วประเทศไทย ทุก ๆ ครั้งไม่เคยปรากฏ<DD>

    <DD>แต่ไปกรุงเทพฯ คราวที่แล้วนี้เงินไม่พอจ่ายนะ ฟาดเอาไก่ในคอกในเล้าเราออกไปจ่ายอีกแหละ แทบเป็นแทบตายคราวที่แล้วนี้นะ เพราะเหตุไร เราไม่ได้ตำหนิบรรดาพี่น้องทั้งหลายนะ ตำหนิเราถ้าตำหนิ คือใครมาก็จี้เข้าเลย ทองคำ ดอลลาร์ ๆ ตีเข้านั้นมันก็เข้านั้น ๆ บทเวลาจะมาจ่ายไม่มีเงินจ่าย เอ้า ไม่มีช่างมัน เราได้ที่พอใจของเราพอแล้วคือทองคำ อันนี้ก็เหมือนกัน เรื่องกฐินเราไม่ยุ่งกับเรื่องการจับการจ่ายภายนอกอะไรแหละ มีแต่มุ่งเข้าอันเดียว ๆ มันจะมีไม่มีช่างมันเถอะ ขอให้จุดใหญ่ของเราได้เป็นที่พอใจ ตามความมุ่งหมายของเราแล้วเราพอใจ เราเอาตรงนั้นนะ</DD>
     
  13. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    <DD>นี่ก็คอยเวลาอันหนึ่งก็คือกฐินตามวัดต่าง ๆ จะมาเรื่อย ๆ นะ ทองคำได้เท่าไรมา พอกฐินเรียบร้อยแล้ว ทองคำนี้จะส่งไปเพิ่มเลย ส่วนเงินสดนั้นแล้วแต่จะตกลงกับทางกรุงเทพฯ ว่าจะถอนเมื่อไร ซื้อทองคำเมื่อไร มันไม่ยาก ก็มันมีอยู่ในบัญชีแล้วยากอะไร ถอนปึ๊งซื้อปุ๊บเอาเลย เรายังแน่ใจอยู่ตลอดนะว่าต้องพอ ทองคำ ๕๐๐ กิโล ว่างั้นเลย แน่ไว้เลยเชียว จะเป็นอื่นไปไม่ได้ เอาให้ได้เป็นพัก ๆ ไป </DD>

    <DD>

    <DD>ขอให้ท่านทั้งหลายเชื่อธรรมของศาสดาเถิด จะไม่มีล่มจม จะขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเชื่อธรรม ถ้าเชื่อกิเลสแล้วจะจมไปเรื่อย ๆ เลย กิเลสมีแต่กดลงกดธรรม ธรรมเป็นมหาคุณกิเลสเป็นมหาภัยมันตามลบล้างกันตลอดเวลา ย่นเข้ามาดูหัวใจเรา ถ้าจะไปทางธรรม กิเลสว่ายังไง ถ้าไปทางกิเลสนี้ธรรมไม่มีความหมาย ไม่มีว่าอะไรละนะ กิเลสลากไปเลย ถ้าจะไปทางธรรมนี้กิเลสต้องค้าน จึงต้องถามว่ากิเลสว่ายังไง เขาอยากว่าอยู่ก่อนแล้วกิเลสนะ จึงต้องหมุนให้เต็มเหนี่ยว ขอให้เชื่อธรรม ถ้าเชื่อธรรมแล้วไปได้ ทุกอย่างไปได้เลย ถ้าเชื่อกิเลสแล้วจมได้ไม่สงสัย วันนี้ก็คงจะพูดเพียงเท่านั้นละ มันเหนื่อยมากนะ วันไหนพูดทุกวัน ตะกี้นี้ก็เอาไม่ใช่เหรอแล้ว ปุ๊บปั๊บ ๆ ๒-๓ ประโยคเหนื่อยแล้วหยุดแหละ

    <DD>

    <DD>โยม หลวงตาเจ้าขาสบทบทุนทอดกฐินเจ้าค่ะ แล้วมีปัญหาจะเรียนถามเรื่องการปฏิบัติธรรมด้วยเจ้าค่ะ

    <DD>

    <DD>หลวงตา เอ้า ว่ามาซิ ปฏิบัติยังไงว่ามา

    <DD>

    <DD>โยม ตามที่เคยเขียนจดหมายมาเรียนถามนะเจ้าค่ะ

    <DD>

    <DD>หลวงตา ถามว่ายังไง

    <DD>

    <DD>โยม ตอนที่มีภาวะจิตเสื่อม แล้วก็มีกิเลสกดถ่วงจิต

    <DD>

    <DD>หลวงตา เหอ เออ เข้าใจ

    <DD>

    <DD>โยม แล้วหลวงตาก็ชี้แนะให้บริกรรมพุทโธติดแนบอยู่กับจิต แต่เมื่อสัก ๒-๓ วันนี้ คือตลอดเวลา ๑ ปีที่ผ่านมาก็สู้กันมาตลอด แต่สัก ๒-๓ วันนี้ ปกติที่เกิดกิเลสกดถ่วงจิตนั้น ในจิตก็ได้เกิดคำบริกรรมขึ้นเองแต่ในจิตนั้นบริกรรมคำว่า ธัมโม แทนที่จะบริกรรมคำว่า พุทโธ ตามที่เคยต่อสู้กันด้วย พุทโธ แต่ในจิตบริกรรมขึ้นมาเองด้วยคำว่าธัมโม เราก็เลยงงว่าควรจะทำยังไง

    <DD>

    <DD>หลวงตา อย่าไปงง นั่นแหละธรรมละ รากแก้วของพุทโธ พุทโธออกมาจากธรรมเข้าใจไหม นั่นละ อย่าไปงง สำคัญที่สติจับให้ถูกนะ

    <DD>

    <DD>โยม ก็เป็นอยู่สักพักใหญ่ที่บริกรรมเอง แล้วก็สู้กันอีกกับกิเลส แล้วก็อยู่ในสภาพที่ว่าง คือธรรมก็หายไป กิเลสก็หายไป เป็นอยู่พักหนึ่งนะค่ะ คือมันโล่งไปหมด

    <DD>

    <DD>หลวงตา เหลือแต่ว่างใช่ไหม

    <DD>

    <DD>โยม เหลือแต่ว่าง ทีนี้ควรจะทำอย่างไรเจ้าค่ะ

    <DD>

    <DD>หลวงตา นั่นละตรงนี้เราก็เป็นมาก่อนแล้ว ให้มีสติอยู่กับความว่าง มันว่างก็ให้รู้อยู่ว่าว่าง อย่าปล่อย ทีนี้พอได้จังหวะแล้วมันจะคลี่คลายกลับมาระลึกพุทโธ หรือธัมโมได้ตามเดิม สติจับตรงนี้อีก ที่มันลงไปว่างก็ปล่อย มันว่างคืออันนี้หมดปัญหาไปในระยะนี้ จิตจะเข้าอยู่ในความว่าง ความว่างก็ให้มีสติอยู่กับความว่าง ทีนี้พอได้จังหวะแล้วมันจะถอยของมันเอง รู้เองละน่ะ พอมานึกบริกรรมได้แล้ว แล้วนึกคำบริกรรมตามเดิมมีสติจับไว้อีกเข้าใจเหรอ แล้วมันจะว่างไปเรื่อย ๆ ละเอียดเข้าเรื่อย จิตจะมีความแน่นหนามั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนี้คำว่าว่างเลยกลายมาเป็นจุดที่เด่นแห่งความรู้ แล้วทีนี้สติจะจับอยู่กับความรู้เลยเข้าใจเหรอ ไม่ต้องพูดละว่าว่าง ความรู้นี่มันจะเด่นมากทีเดียว สติอยู่กับตรงนั้น แล้วต่อไปก็สร้างฐานขึ้นมาเป็นความแน่นหนามั่นคง ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ ต่อจากนั้นก็สร้างเป็นความแน่ใจขึ้นมา เข้าใจแล้วเหรอที่พูดนี่

    <DD>

    <DD>เอ้า มันว่างมันบริกรรมไม่ได้ไม่ต้องบริกรรม ให้สติอยู่กับความว่าง รู้อยู่กับความว่างเท่านั้น เหมือนเวลานอนหลับก็เป็นเวลาหนึ่ง พอตื่นนอนขึ้นมา นั่นละเอางานให้มันเวลาตื่นนอน พอมันออกจากว่างแล้วมันจะคลี่คลายออกมา นั้นเหมือนกับคนตื่นนอนแหละ อันนี้เอา ธัมโม ติดเข้าไปเลยด้วยสตินะ ให้ทำอยู่อย่างนี้ไม่ต้องคิดไปทางอื่น ว่าทำไมเป็นอย่างนั้นทำไมเป็นอย่างนี้ ไปคิดข้างนอกไม่ได้นะ ให้อยู่กับจุดนี้เลย อันนี้จะเปลี่ยนแปลงอะไรสติตามรู้อยู่ตลอดเวลา แล้วมันจะสร้างความแน่นหนามั่นคงเป็นฝ่ายธรรมเป็นลำดับ ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ นะ เอาละถูกต้อง จับให้ดี เรื่องสติเราจึงได้บอกตลอดนะ เราตั้งมาแล้วด้วยสตินี่ เราเคยพูดมาแล้ว

    <DD>

    <DD>จิตเสื่อมตั้ง ๑ ปีกับ ๕ เดือนใช่ไหม โอ๋ย.เป็นฟืนเป็นไฟ ดูอะไรนี้ไม่มีอะไรมีความหมายเลย จิตเสื่อมเสียอย่างเดียว คำว่าเสียใจก็คือว่าเราเคยได้ความภาคภูมิใจจากจิตที่มีความเจริญแน่นหนามั่นคง ประหนึ่งว่าหินทั้งแท่งเลยนะ จนลืมตัวไปว่ามันจะไม่เสื่อม แต่เพราะเราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นจึงไม่รู้จักวิธีรักษา มันเสื่อมก็เพราะเราทำงานของเรา ก็เคยพูดแล้วว่าทำกลดหลังหนึ่งเท่านั้นยังไม่เสร็จเลย จิตเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง เอ๊ะ ชอบกล ๆ ทิ้งกลดทันทีเลย ซัดกัน ทีนี้มันก็ลงเรื่อยเลย จมไปเลยที่นี่ นั่นละมีแต่อีตาบัว ปีหนึ่งกับ ๕ เดือน มีแต่อีตาบัวแบกกองฟืนกองไฟเผาหัวอก ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ฟืนแต่ไฟ มันทบทวนไปมาเจริญแล้วเสื่อม ๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเป็นเวลาปีกับ ๕ เดือน จึงได้หวนคิดถึงเรื่องที่มันเสื่อมเพราะอะไร มันอาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้ใช้คำบริกรรม มีแต่กำหนดความรู้เฉย ๆ มันอาจจะเผลอไปได้มันถึงเสื่อมอย่างนี้

    <DD>

    <DD>เอ้า ทีนี้ตั้งสติให้อยู่กับคำบริกรรม ให้มีคำบริกรรมกำกับจิต แล้วสติติดแนบไม่ให้เผลอเลย เอ้า เป็นยังไงเป็นกัน แล้วปักลงก็เหมือนหินหักนะเรา ถ้าว่าเอาแล้วนะ ตัดสินแล้วนะปั๊บ ปุ๊บเลย เผลอไปไม่ได้ อยู่ที่ไหนจะไม่ให้เผลอเลย ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ เดินบิณฑบาตก็เดินไปอย่างนั้น เดินจงกรมสติกับจิตติดกันตลอดเวลา ใครจะใส่บาตรอะไรไม่สนใจทั้งนั้น มาขบมาฉันเคลื่อนไหวไปมาสติจะติดแนบตลอดเวลา นี่เรียกว่าการรักษาจิตการบำรุงจิต มันก็ค่อยเจริญขึ้น ๆ จนถึงที่ว่าคำว่าบริกรรม ธัมโม เลยหายไปเลย เหลือแต่ความว่างอยู่ในจิต ละเอียดสุด นี่จะทำให้เจ้าของงง เจ้าของนั่นแหละสอนเจ้าของ

    <DD>

    <DD>เอ้า มันไม่มีอะไรบริกรรม คือบริกรรมไม่ได้นึกไม่ออก หายหมดเลย เอ้า อยู่กับความว่างกับความละเอียดอันนี้ พอมันถอนขึ้นมาก็เอาคำบริกรรมติดเข้าไปอีก ทีนี้มันก็รู้วิธีปฏิบัติก็แบบเดียวกันนี่ นี่ละตั้งรากฐานของจิตใหม่ ถ้าตั้งอย่างนี้แล้วไปได้ไม่สงสัยคนเรานะ พระพุทธเจ้าสอนธรรมไว้เป็นธรรมชั้นเอก ๆ ทั้งนั้น เป็นแต่เพียงว่าไม่มีผู้สนใจปฏิบัติแล้วก็มาเหยียบศาสนาเท่านั้น เอากิเลสตาบอดหูหนวกที่หยาบโลนที่สุดเข้ามาเหยียบศาสนา ๆ ใครปฏิบัติคุณงามความดีด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยการภาวนา พวกกองกิเลส กองถังขยะนี้มันจะมาทับมาเหยียบแหลกหมด ศาสนาจนจะไม่มีเหลือเวลานี้ มีแต่กองทัพกิเลสมาเหยียบ ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลก นิพพานไม่มี มีแต่พวกตาบอดหูหนวกของกิเลสนั้นละมันมาตี มันไม่ได้ปฏิบัติเข้าใจไหม

    <DD>

    <DD>ท่านผู้ปฏิบัติมีอยู่ เช่น พระพุทธเจ้าปฏิบัติได้ตรัสรู้เห็นไหม มันไม่ได้ปฏิบัติ โคตรพ่อโคตรแม่มันมากี่กัปกี่กัลป์ ใครรายใดที่จะมาตรัสรู้แข่งพระพุทธเจ้า ไม่เคยมีใช่ไหม มันก็ยังมาอวดได้อย่างหน้าด้าน นี่ละกิเลสกำลังเหยียบธรรมนะเวลานี้ ผู้ปฏิบัติท่านปฏิบัติอยู่ท่านได้อยู่ท่านรู้อยู่ท่านเห็นอยู่ เราไม่ปฏิบัติมาหาเหยียบย่ำทำลาย มันเกิดผลเกิดประโยชน์อะไร

    <DD>

    <DD>นี่เราปฏิบัติเอาให้เห็นนะ ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศก้องตลอดเวลา อกาลิโก ๆ เอ้าทำเถอะ เรื่องความดีเอ้า ทำลงไป ไม่มีใครมาเป็นใหญ่ยิ่งกว่าการกระทำของตัวเองทั้งดีทั้งชั่ว ความชั่วเราทำลงไปแล้วไม่มีใครเป็นใหญ่มาลบล้างความชั่วได้นะ ต้องเจ้าของเองเป็นผู้รับเคราะห์ นี้ทำความดีไม่มีใครลบล้างความดีของเราได้ เราต้องเป็นผู้รับผลดีตลอดไป เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกจึงมีเป็นศาสดาของโลก ให้ความร่มเย็นแก่เราด้วยการแนะนำสั่งสอนธรรมตลอดมาอย่างนี้แหละ กิเลสตัวใดมันให้โลกได้รับความสงบร่มเย็น มีความรื่นเริงบันเทิง มีความสง่าผ่าเผย มีความอัศจรรย์ ไม่เคยมี บรรดาหัวใจของสัตว์โลกที่มีกิเลสครอง มีแต่ไฟเผากันทั่วโลกดินแดน นี้คือโทษแห่งกิเลสที่มันสร้างขึ้นเผาหัวใจสัตว์ ธรรมสร้างขึ้นแล้วสว่างจ้า ๆ เอาให้ดีนะ ถูกต้องแล้ว เอ้า ถามอีก ข้อไหนมีอีกไหม หมดแล้วเหรอ

    <DD>

    <DD>โยม ยังไม่หมดเจ้าค่ะ

    <DD>

    <DD>หลวงตา เอ้า ว่าไป

    <DD>

    <DD>โยม ยังไม่หมดเจ้าค่ะ มีบางครั้งในนิมิต ในสมาธินะค่ะ จะเห็นนิมิตโครงกระดูกเจ้าค่ะ แล้วก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรกับนิมิตนี้ เพราะว่าสมาธิยังไม่แข็งพอ ยังไม่สามารถจะออกทางด้านปัญญาได้เจ้าค่ะ เลยไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับนิมิตนี้

    <DD>

    <DD>หลวงตา มันเป็นโครงกระดูกนะ นั่นละพระธรรมท่านแสดงวิธีการนี้ออกมาแล้ว นี่อุบายคือพระธรรมท่านแสดงแล้ว ให้พิจารณาเรื่องกองกระดูก จะพิจารณากองกระดูกเจ้าของ ออกจากกระดูกนี้แล้วเป็นยังไง นี่ปัญญาออกนะ พอพิจารณาเรื่องกองกระดูก เจ้าของอยู่ข้างในนี้ก็เป็นกองกระดูก แต่มันไม่เห็นมันไปเห็นอยู่อย่างนี้ นี้ก็คือกองกระดูกอันเดียวกันกับเรา ทีนี้กระจายไปทั่วโลกธาตุกองกระดูกเหมือนกันหมด หลงกันหาอะไร เข้าใจไหม นี่ละพิจารณาให้ช่ำชอง ทีนี้กระดูกออกจากนี้แล้วเอาเผาไฟลองดู เผาไฟมันก็เป็นเถ้าเป็นถ่าน มันก็เหมือนกันหมดทั่วโลก ตื่นหาอะไรเถ้าถ่าน นั่น มันสอนเพื่อฉุดเจ้าของออกจากอุปาทาน มันยึดมั่นถือมั่น มันกอดมันพันกองกระดูกนี้ละ เข้าใจเหรอ พอพิจารณาเห็นตามความจริงแล้วมันจะถอยตัวเข้ามา ๆ มีเท่านั้นเหรอ เอ้า ถามอีกว่ามา

    <DD>

    <DD>โยม ช่วยชี้แนะเรื่องสติปัฏฐานสี่ด้วยเจ้าค่ะ

    <DD>

    <DD>หลวงตา เหอ สติปัฏฐานสี่ พูดเหล่านี้ก็สติปัฏฐานสี่ละ

    <DD>

    <DD>โยม ข้อที่เป็นตัวจิตกับธรรมนะคะ กาย เวทนา พอจะเข้าใจค่ะ แต่ตัวจิตแล้วก็ตัวธรรมยังไม่ทราบ

    <DD>

    <DD>หลวงตา ธรรมก็อารมณ์ของจิตที่รอบอยู่ภายในจิตนั้นเรียกว่าธรรม มีความเศร้าหมองบ้าง ความผ่องใสบ้างเหล่านี้เรียกว่าธรรมทั้งนั้นเข้าใจเหรอ มันอยู่กับจิตนั้นละ กระแสของจิตเหล่านี้เรียกว่าธรรม ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับอะไร ๆ เป็นอารมณ์ของจิตที่เกิดขึ้นมาเศร้าหมอง ผ่องใสบ้าง หรือดีชั่วยิบ ๆ แย็บ ๆ นั้นคือธรรม ให้มีสติจับอยู่ตรงนี้เข้าใจเหรอ เอ้า หายสงสัยแล้วยัง

    <DD>

    <DD>โยม หายสงสัยแล้วเจ้าค่ะ

    <DD>

    <DD>หลวงตา เออ เอ้า ว่าไป

    <DD>

    <DD>โยม เหลืออันสุดท้ายเจ้าค่ะ ช่วยชี้แนะในเรื่องการใช้ปัญญาอบรมสมาธิเจ้าค่ะ เพราะว่าไม่ค่อยได้รับความสบายจากสมาธิ มักจะได้จากปัญญาเช่น นำปัญญาไปใช้ในการพิจารณาเช่นการกวาดลานวัด แล้วก็พิจารณาไปเรื่อย ๆ น่ะค่ะ ว่ากวาดลานวัดให้สะอาดก็เหมือนกับชำระล้างจิตใจให้สะอาดนะเจ้าค่ะ แต่ว่ายังไม่สามารถพิจารณาในเรื่องอื่นได้เจ้าค่ะ

    <DD>

    <DD>หลวงตา เอ้า ได้แค่นี้ก็เอาแค่นี้เสียก่อน ถูกต้องแล้วพิจารณาเรื่องนี้ไปเสียก่อน กวาดลานวัดนั้นก็กวาดลานวัดอันนี้ วัตรปฏิบัติกวาดกิเลสออกจากใจ เข้าใจไหม นั่นก็กวาดลาดวัดมันสกปรก ถูกต้องแล้ว มีสตินั่นแหละ อยู่ที่ไหนให้มีสติเราจะได้ธรรมอันล้นค่าเข้ามาครองหัวใจ แล้วมันจะค่อยปล่อย มันจะเห็นโทษเห็นภัยของโลกทั่วดินแดนนี้เข้ามาอยู่ที่จิตดวงเดียว เห็นโทษแล้วทีนี้สั่งสมความสุขขึ้นมาในขณะเดียวกัน ทีนี้ความสุขที่ไหนสามแดนโลกธาตุไม่มีที่ไหน มีที่จิตแห่งเดียวนั่น ทุกข์ก็มีที่จิตแห่งเดียว เป็นผู้แบกผู้หามเป็นผู้ปล่อยผู้วางเข้าใจแล้วเหรอ แล้วมีอะไรอีกละ

    <DD>

    <DD>โยม หมดแล้วเจ้าค่ะ

    <DD>

    <DD>หลวงตา เออ เอาให้ดีนะ เข้าท่าแล้ว แต่อย่าไปขี้เกียจไม่ได้นะ ขี้เกียจไม่ใช่เรื่องเข้าท่านะ เรื่องเสียท่าเข้าใจไหม

    <DD>

    <DD>การปฏิบัติมันต้องเห็นอย่างนี้ซิ ไม่ปฏิบัติมาอวดโอ้ มาเหยียบย่ำทำลายนี้แหม เลวมากที่สุดนะพวกไม่ปฏิบัติธรรม แต่มาเที่ยวดูถูกเหยียดหยามเหยียบย่ำทำลายผู้ปฏิบัติธรรมพวกนี้เลวที่สุดเลยนะ พวกนี้เลวร้ายมหาภัย ต่อตัวเองและส่วนรวม ทั้งต่อพระศาสนา ที่โลกทั้งหลายกำลังสนใจเรื่องศาสนา เอาศาสนามาครองใจ ๆ มาเทิดมาทูน มันก็มาเหยียบย่ำตกไปจากหัวใจ หาว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ให้มีจิตใจจืดจางว่างเปล่าจากธรรมไปเสีย แล้วก็พันกับกิเลส พันไปกับกิเลสเป็นไฟเหมือนมัน เอาละนะ ทีนี้จะให้พร

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=58&CatID=2
    </DD>
     
  14. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ของขลังเต็มหัวใจไม่ดู

    วันที่ 31 ตุลาคม 2545
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด


    <DD>คนหาขลังแต่ข้างนอก ๆ ตัวภายในตัวสำคัญมันไม่ได้หาไม่ได้ส่งเสริม มันจึงไม่มีอะไรขลัง ไม่ได้รับความอบอุ่นเย็นใจสบายใจเพราะความขลังของตน ขลังตรงนี้ พระพุทธเจ้าพระสาวกท่านเลิศตรงนี้ ขลังตรงนี้ ท่านไม่ได้ขลังว่าอันนั้นมีอย่างนั้น อันนี้มีอย่างนี้ อันนี้พวกที่มันแฝง ชาวพุทธกาฝากมันแฝงศาสนาอย่างนี้ ไปหาดีเอาสิ่งโน้นสิ่งนี้ ที่ท่านสอนไม่สนใจ แล้วผู้ท่านสอนอย่างนี้ก็มีน้อยอีกเหมือนกัน สอนตามหลักของพระพุทธเจ้า สอนให้เขาขลัง ๆ ละซีมันสำคัญ เพราะฉะนั้นเขาไปตรงไหนเขาจึงไปหาของขลังอย่างนี้มา นี่ศึกษาอบรมมาจากอาจารย์ขลังองค์ไหนไม่รู้จึงมาหาหลวงตาน่ะซี หลวงตาไม่ได้ขลังอย่างนั้นนี่วะ ควรดุ ๆ เอาบ้างให้รู้ตัว<DD>


    <DD>การเสาะแสวงอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ถูกตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ดูความเคลื่อนไหวของจิตนี่อันดับแรก รากศาสนาอยู่ตรงนี้ มันจะเคลื่อนไหวของมันตลอดเวลาจิตดวงนี้ เพราะมีสิ่งผลักดันออกไป ๆ อยู่เฉย ๆ ไม่ได้จิตนี่ เพราะมันมีอันหนึ่งที่ผลักดันออกภายใน ให้ดีดให้ดิ้นให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่มีใครเรียนรู้วิชาอันนี้ พูดให้เต็มยศก็คือ มีพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์สาวกพระอรหันต์ท่านเท่านั้นที่รู้วิชานี้ แก้มันตกเรียบร้อยแล้วหาความยุ่งไม่มีเลย ตัวนี้ตัวสำคัญก่อกวนยุ่งเหยิง แหมมากที่สุด นี่ท่านเรียกว่ากิเลส ให้พากันจำเอานะ แล้วกิเลสมีหรือไม่มีในหัวใจเรา สิ่งดังกล่าวนี้มีไหม เอ้า จ้อเข้าไปหัวใจเจ้าของ ที่จะลบล้างศาสนา ให้ลบล้างความจริงที่ศาสนาระบุถึงนี่เสียก่อนนะ จึงไปลบล้าง ว่าสิ่งเหล่านี้มีไหม<DD>


    <DD>ความโลภมีไหมในหัวใจเรา ความโกรธ ความเคียดแค้นทำลายกันให้พินาศฉิบหาย นี่ท่านเรียกว่ากิเลส มีไหมในหัวใจของโลก เอ้า จ้อลงไปอย่างนั้นซี ราคะตัณหาเป็นบ้าดีดดิ้นทั้งหญิงทั้งชายทั้งสัตว์ทั้งบุคคล ให้หาความอยู่เย็นเป็นสุขไม่ได้ เหล่านี้มีไหม นี่พระพุทธเจ้าสอนลงจุดนี้ จุดมหาภัยอยู่จุดนี้ ท่านสอนเป็นขั้นเป็นภูมิ ผู้ที่จะถอนรากถอนโคนทีเดียวเลย พระองค์ก็สอนให้ถอนรากถอนโคนไปเลยไม่ให้มีเหลือ แล้วจะไม่เหลือเชื้อแห่งทุกข์อยู่ในหัวใจตนเอง ๆ ถ้าผู้รับทั้งหลายไม่สามารถ ท่านก็ลดลงให้ตามขั้นตามตอน<DD>


    <DD>อย่างพวกเราเป็นฆราวาสท่านสอนให้มีความพอดี อย่าให้มันผาดโผน ความโลภอย่าให้โผนเกินไป ความโกรธให้ยับยั้งไว้บ้างและยับยั้งไว้อย่างดี ราคะตัณหาให้พอดีกับผัวเดียวเมียเดียว นี่บอกแล้ว ผู้นี้ละไม่ได้ให้อยู่ในกรอบอันนี้ จะเป็นสุขตามฐานะของตน ๆ ที่เป็นฆราวาส นี่ที่ท่านว่ากิเลสมีอยู่ คืออย่างนี้ คำว่าธรรมมีอยู่ก็คือว่า เอาสติธรรม ปัญญาธรรม เข้ามาบังคับให้อยู่ในความพอดี นี่คือธรรมมาบังคับ สติปัญญาพิจารณาให้อยู่ในความเหมาะสม อย่าให้มันผาดโผนโจนทะยานไป มันจะเอาไฟเผาตนและเผาส่วนรวม เหล่านี้มีอยู่ในใจทั้งนั้น ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ตรงกันข้ามความโลภไม่มี มีแต่ความเลิศ นั่นธรรมแล้วนะ ความโลภไม่มีมีแต่ความเลิศความเลอ ความโกรธไม่มีมีแต่ความเมตตาครอบโลกธาตุ พิจารณาอย่างนั้นซี ราคะตัณหาไม่มีมีแต่ความสงสารสัตว์โลก ให้อยู่ในกรอบแห่งความพอดี อย่าให้มันกำเริบเลยขอบเลยเขตไป นั่นละธรรมเข้ามาเป็นน้ำดับไฟ ๆ อย่างนี้<DD>


    <DD>ผู้ที่ไม่สามารถจะทำได้อย่างนั้น พระองค์ก็ให้ธรรมหรือให้ยาเป็นเครื่องรักษาเป็นลำดับ ๆ ประจำตัวเอง ๆ สำหรับชาวพุทธเรา นี่มันเตลิดเปิดเปิง ๆ ถ้าไปหาวัดก็ท่านดีทางไหน ๆ ดังก็ดังแบบขลัง ๆ แล้วดีทางไหน ๆ มันเป็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นมาที่นี่จึงเหมือนกับว่าดีทางนี้ ทางขอเป็นบ้าอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนั้นนะ เราสอนโลกเราก็ปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้า มาสอน ไม่หาขลังภายนอกนะ อะไร ๆ ก็ตามไม่สนใจเพราะไม่ใช่ของขลัง มีแต่ฟืนแต่ไฟ หลงมันเท่าไรยิ่งเป็นไฟเข้าไปสิ่งภายนอก รู้สิ่งภายในสำคัญมาก ต้นเหตุอยู่ภายใน นี่ท่านว่ากิเลสมี มีไหม พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้ เป็นฟืนเป็นไฟต่อโลก แล้วธรรมมีไหม ธรรมระงับดับสิ่งเหล่านี้ออกแล้วเลิศขึ้นเลย นั่นธรรมเป็นอย่างนั้น ให้พากันพินิจพิจารณาบ้างซิ<DD>


    <DD>มันเลอะเทอะไปหมดแล้วนะเวลานี้ จนจะหาศาสนาจริง ๆ หาพระหาเณรจริง ๆ หาวัดหาวาจริง ๆ จะไม่เจอนะ แต่ไปที่ไหนมันเกลื่อนอยู่ด้วยวัดด้วยวาด้วยพระด้วยเณร แต่ทำไมจึงหาพระไม่เจอ หาวัดวาอาวาสไม่เจอ หาศีลหาธรรมไม่เจอ เพราะไม่มีอยู่กับพระกับเณร ไม่มีอยู่กับวัดกับวา เพราะฉะนั้นจึงไม่มี มีแต่กิเลสเป็นส้วมเต็มถาน เต็มพระเต็มเณร เต็มวัดเต็มวาทั่วไปหมด นี้เอาความจริงเรียกว่าภาษาธรรม เป็นอย่างนี้ เป็นยังไงต้องพูดตามความจริง อย่างที่เราพูดนี้ เราก็เป็นพระ เราเอาธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนเราตลอดไปหมดเลยต่างหาก เมื่อไม่มีสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มีแล้ว ผลคือความดีงามสงบร่มเย็นจะมีมาจากไหน ความงามหูงามตามีมาจากไหน เพราะเหล่านั้นมีแต่เรื่องข้าศึกของธรรม มองไปดูใครมันก็เหมือนกัน มองดูเขาเหมือนกันดูเราเหมือนกัน แสดงเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในหัวใจทุกคน ๆ แล้วเอาความดีมาจากไหนความสุขมาจากไหน ท่านจึงสอนให้อบรมธรรม<DD>


    <DD>ให้ดูหัวใจเจ้าของบ้างซิ มันเคลื่อนอะไร ๆ ไป ตื่นนอนขึ้นมามันเคลื่อนเรื่องอะไรบ้าง พิจารณาให้ดี ร้อยทั้งร้อยมันจะออกทางผิดทางพลาด เพราะกิเลสไม่เคยถูก มีแต่ผิด ออกนิดก็ผิดนิด ออกมากผิดมาก ออกน้อยผิดน้อย ผิดไปโดยลำดับคือกิเลส เรื่องธรรมมีแต่ถูกล้วน ๆ ออกนิดออกหน่อยออกเท่าไรถูกโดยลำดับ เพราะฉะนั้นจึงต้องให้ระวัง สังเกตดูตัวเองเพื่อจะแก้ จะปัดมันออกด้วยการรักษาตัวเอง ต้องมีการระมัดระวังรักษาปัดเป่ากันออกซิอะไรไม่ดี แล้วก็จะเห็นความสุข ไม่ต้องไปหาที่ไหน<DD>


    <DD>ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นที่เราในหัวใจของเรานั่นเอง เมื่อชำระกิเลสตัวชั่วช้าลามกซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ออกมากน้อย ความสุขคือธรรมพระพุทธเจ้า ชำระนั้นคือธรรมฝ่ายเหตุ ความสุขคือธรรมฝ่ายผล จะเกิดขึ้นภายในจิตใจของคนทุกคน ไม่ว่าพระว่าเณร เอ้า ที่นี่เมื่อต่างคนต่างสำรวมระวังเป็นศีลเป็นธรรมนี้ มองดูฆราวาส ฆราวาสก็มีธรรม มองดูพระดูเณรก็เป็นศีลเป็นธรรม มองดูวัดดูวาก็สง่างามไปหมดด้วยศีลด้วยธรรม นั่นงามอยู่ที่ผู้ทรงศีลทรงธรรมนะ ไม่ได้งามอยู่ที่อิฐ ปูน หิน ทราย ก่อขึ้นกี่ชั้นกี่ห้องกี่หับ อันนั้นเป็นอิฐเป็นปูนเป็นทราย ก่อถึงพรหมโลกก็คืออิฐ ทรายอยู่นั้นแหละ มันไม่เป็นของวิเศษวิโสอะไร มันเลวที่คน มันดีที่คนเลิศที่คน จึงปรับปรุงแก้ไขที่คนเข้าใจไหม<DD>


    <DD>นี่ศาสนาท่านสอนคน เราเป็นอะไรถามเราซิ คนอื่นถามมันสะเทือนใจ ดีไม่ดีเคียดแค้น แทนที่จะเกิดประโยชน์เกิดโทษขึ้นมา ให้เจ้าของถามเจ้าของเป็นธรรม ฝึกซ้อมเจ้าของตลอดเวลาจะเป็นศีลเป็นธรรมขึ้นมาเรื่อย ๆ นี่ละที่ว่ามองดูที่ไหนมันไม่เห็นศีลเห็นธรรม ก็เพราะไม่มีใครเสาะแสวงหาศีลหาธรรม หาตั้งแต่ฟืนแต่ไฟด้วยอำนาจของกิเลสเท่านั้น มันก็เป็นฟืนเป็นไฟทั่วโลกดินแดน แล้วเวลานี้ท่านทั้งหลายหาดูที่ว่าที่ไหนเจริญในโลกอันนี้ สามแดนโลกธาตุ คนที่มีตึกรามบ้านช่องสูง ๆ นั้นเหรอเจริญ นั่นมันอิฐมันปูนมันหินมันทรายมันเหล็กมันหลาต่างหาก ความเจริญความเสื่อมไม่มี นรกอเวจี สวรรค์ พรหมโลกไม่มีในอิฐในปูนในหินในทราย มันมีในบุคคลเข้าใจไหม<DD>

    <DD>เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนที่บุคคล เมื่อสอนที่บุคคลแล้วไปสร้างตึกกี่ชั้นก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ถ้ามีธรรมพาสร้างพาอยู่ พาจับจ่ายใช้สอยดีหมด ถ้าธรรมพาไป ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำขนาดไหน ธรรมเป็นเครื่องเสริมจะสง่างามไปหมด นั่น ถ้าตรงกันข้ามไม่มีธรรมแหลก เข้าใจเหรอ ให้พิจารณาอย่างนั้นกันบ้างซิ นี่เราทนไม่ได้นะ เป็นยังไงเวลาพูดอย่างนี้ ท่านทั้งหลายว่าหลวงตาบัวโกรธให้ท่านทั้งหลายเหรอ โกรธให้กิเลสมันอยู่กับท่านทั้งหลาย ฟาดหัวกิเลสมันก็ฟาดหัวคนละซิ เพราะกิเลสอยู่กับคน ตีหัวกิเลส แต่มันตีถูกหัวคนเข้าไป โอ๊ย.หลวงตาบัวดุ นี่เห็นไหมกิเลสมันต่อสู้ มันไม่ยอมรับนะ มันต่อสู้ มันไม่ยอมถอยออกจากเก้าอี้คือหัวใจสัตว์โลก ตีลงไป มันปีนขึ้นมาแล้วมันไล่ตีเราอีกนู่น เข้าใจเหรอ<DD>


    <DD>เพราะฉะนั้น ถ้าพูดตามความจริงที่เป็นอยู่เวลานี้ ถ้าหากว่าจะฟังหากว่าจะสนใจนะ จะไม่มีโลกอยู่นะหลวงตาบัว เขาว่าเทศน์ดุเทศน์ด่าเทศน์เผ็ดเทศน์ร้อนเทศน์สกปรกโสมม และทั้ง ๆ ที่ชำระสิ่งเหล่านี้ด้วยธรรม ๆ ตลอดเวลา เผ็ดร้อนก็เพื่อกำจัดอันนี้ที่มันรุนแรง ก็ต้องเอากันหนัก อันนี้สกปรกมากสุดใส่ลงไปชะล้างอันนี้มันก็หาว่าน้ำที่สะอาดนี้สกปรก มันหาว่ามูตรว่าคูถสะอาดไปเสีย เข้าใจไหม นี่กิเลสมันยอมผิดเมื่อไร ดูเอาซิท่านทั้งหลาย<DD>


    <DD>นี่ฟัดมาพอแล้วถึงได้เอามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่ได้มาหลอกลวงนี่นะ มองไปไหนมันจะไม่เห็นแหละศาสนา ต่อไปนี้จะไม่มีแล้วนะ ค่อยหมดไป ๆ แม้ที่สุดในพระในเณรในวัดในวาก็เป็นส้วมเป็นถานเป็นที่บรรจุของกิเลสเกือบทั้งหมดแล้วเวลานี้นะ จะยังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติตามศีลตามศีลตามธรรม ไปที่ไหนท่านมีวัด อยู่ในป่าท่านก็มีวัด อยู่ในถ้ำเงื้อมผาท่านมีวัด ท่านผู้มีวัดภายในใจ ถ้าไม่มีวัดภายในใจ มีแต่เทวทัตคือฟืนคือไฟได้แก่กิเลสตัณหาภายในใจ อยู่หอปราสาทราชมณเฑียรก็คือเทวทัตเผาตัวเองอยู่บนนั้นแหละ พากันจำเอานะ มันจะฉิบหาย</DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2009
  15. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    <DD>เกิดมานี้กี่ปีแล้วได้ทดสอบเจ้าของดูบ้างหรือเปล่า ความดีความชั่วมีเท่าไร ความดีความชั่วมันติดอยู่ที่ใจนะ ตายแล้วสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปเลย แต่ดีกับชั่วไม่ไปนะ ติดอยู่ในใจ ใครสร้างชั่วไว้แล้วพันกันลงไปเลย อย่าอวดเก่งกับพระพุทธเจ้านะ ศาสดาองค์เอกทุก ๆ พระองค์สอนบาปบุญ นรก สวรรค์ เป็นอันเดียวกันหมด ใครจะไปลบล้างได้ ขนาดพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นจอมปราชญ์ลบล้างไม่ได้แล้ว เราเก่งกล้าสามารถมาจากไหนจะไปลบล้าง แล้วสร้างแต่ฟืนแต่ไฟเผาหัวตัวเอง โดยที่พระพุทธเจ้าซึ่งถูกลบล้างนั้นไม่ได้มีความกระทบกระเทือนเลย เวลากระทบกระเทือนเป็นฟืนเป็นไฟเป็นเถ้าเป็นถ่านคือพวกเราตัวเก่ง ๆ นี้นะ ให้พิจารณาให้ดี<DD> </DD>

    <DD>อู๊ย.มันน่าทุเรศจริง ๆ ไปที่ไหนต้องดูแบบหูหนวกตาบอดไป พูดจริง ๆ นี่นะ หูหนวกตาบอดไปอย่างนั้นแหละ ถ้าควรจะแนะนำสั่งสอนหนักเบามากน้อยก็สอนไปเสีย ผู้ควรจะเป็นประโยชน์บ้างแย็บออก ๆ ๆ ถ้าไม่เป็นประโยชน์สอนไปทำไม เกิดประโยชน์อะไร นั่น ธรรมของมีคุณค่ามาก ไปเรี่ยราดกับสิ่งสกปรกโสมม ตามมูตรตามคูถเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์แล้วทำไปทำไม ชะล้างไปทำไม สอนไปทำไม นั่น<DD>

    <DD>มันจะไม่มีจริง ๆ นะ ไม่ได้พูดเล่น ๆ เวลานี้ศาสนา เราถืออะไรเป็นศาสนาเวลานี้นะ เหอ ถือพระถือเณรเป็นศาสนา เอาวัดวาอาวาสเป็นศาสนาอย่างนั้นเหรอ ถ้าพระเณรเป็นธรรมเราก็เป็นพระได้ พระแปลว่าอะไร แปลว่า ประเสริฐ นั่น ยกออกมาถึงธาตุวิภัตติปัจจัยก็ได้ นี่มหารู้ไหมนี่ เวลาจะยกก็ยกออกมาบ้างซิ มันแปลได้ทั้งศัพท์ ทั้งแปลทั้งธาตุวิภัตติปัจจัยนั่นถ้าจะแปลนะ แต่อันนั้นมันไม่เกิดประโยชน์ มันไม่ใช่กิเลส ธาตุวิภัตติปัจจัยไม่ใช่กิเลส กิเลสมันอยู่กับคน แปลเข้าหาคนละซิ เข้าใจไหม จึงไม่สนใจกับศัพท์กับแสงอะไร สนใจแต่กิเลสตัวเป็นภัย ฟาดหัวกิเลสลงไปแล้วไม่ต้องตั้งวิเคราะห์ ธาตุวิภัตติปัจจัย สบายไปเลย นั่นเป็นอย่างนั้นนะ<DD>

    <DD>ให้ดูตัวของเรา อยากมีวัดมีวา อยากเป็นพระคือความประเสริฐ ธรรมประเสริฐภายในใจให้พากันสำรวมระวัง อย่าตื่นเกินไปนะตื่นโลก ตื่นไปเท่าไรยิ่งเป็นไฟ ใครอย่าว่าจะดิบจะดีจะเลิศจะเลอเพราะอำนาจของกิเลสหลอกลวงนะ จะหลอกลวงเพื่อจมโดยถ่ายเดียว มีดีดมีดิ้นมีเครื่องล่อลวงคือความหวัง ๆ ความอยากความทะเยอทะยาน อันนี้แหละมันดึงไป ๆ แล้วก็วิ่งตามความอยาก วิ่งตามความหวัง วิ่งไปเลย ให้สมหวังบ้างเพียงนิดเดียว ผิดหวังนั้นมากต่อมาก มันไม่ให้เห็นโทษนะ แล้วดึงไปเรื่อย ๆ จมไปเรื่อย ตายแล้วยังหวัง ไม่ทราบว่าหวังอะไรก็ไม่รู้นะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สร้างความดีงามเพื่อให้สมหวังไว้เลย แล้วจะเอาอะไรมาดี ภพไหนก็ใจดวงนี้นะ ไปไหนมันตายเมื่อไหร่ใจดวงนี้ ไม่เคยตาย มีแต่ธาตุขันธ์ตาย เข้าไปอาศัยร่างใดก็เรียกว่าสัตว์ ว่าบุคคลขึ้นมา ใจดวงเดียวนี้ละเข้าไป เข้าไปร่างไหนก็เป็นสัตว์เป็นบุคคล เรียกว่าเกิด สัตว์เกิดสัตว์ตาย อันนี้หมดสภาพตายไป แต่ใจดวงนี้ไม่เคยตาย เรียนเข้าไปกระทั่งถึงใจดวงนี้<DD>

    <DD>เมื่อวานนี้ก็ได้พูดให้ลูกศิษย์ฟัง เรื่องที่จะรู้วิถีทางรู้จิตจริง ๆ นี้ไม่มีทางว่างั้นเลย<DD>

    <DD>๑.พุทธศาสนา<DD>

    <DD>๒.ผู้นำพุทธศาสนามาวิพากษ์วิจารณ์ มาวินิจฉัยใคร่ครวญด้วยจิตตภาวนาจะรู้แน่นอน<DD>

    <DD>นอกนั้นใครจะมีความรู้สูงต่ำขนาดไหนไม่มีทาง เป็นวิชาของกิเลสที่จะกลบความจริง ๆ คือใจดวงนี้ ให้ว่าตายแล้วสูญ ๆ ไปเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่เจ้าของเป็นนักเกิดนักตายมันก็ปฏิเสธในเจ้าของว่าตายแล้วสูญ ๆ เพราะกิเลสพาปฏิเสธเนื่องจากเราหลงตามมันเราก็ไม่รู้ เกิดกี่กัปกี่กัลป์ก็ปฏิเสธมาอย่างนั้น ว่าตายแล้วสูญ ๆ มันสูญยังไงพิจารณาซิ ถ้ามันสูญแล้วอะไรมีในโลกนี้ได้ ก็มันสูญไปหมดแล้ว แล้วเวลาเต็มโลกไหม ตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดมันก็มีอยู่นี้ คนตาบอดนี้ชนปั๋ง ๆ เลย เพราะชนของมีอยู่นั้นเอง มันสูญไปไหน หัวใจดวงนี้ยิ่งเลิศเลอไม่มีคำว่าสูญ แม้ตกนรกอเวจีกี่กัปกี่กัลป์ ก็ทนทุกข์ทรมานยอมรับกรรมที่ตนได้ทำไว้แล้ว แต่จะให้ฉิบหายไม่มี ยอมรับกรรม<DD>

    <DD>พอพ้นจากนั้นกรรมเบาเข้า ๆ ออกมา ก็จิตดวงนี้ออกมา ได้สร้างบุญสร้างกุศลหนุนกำลัง ๆ ขึ้นไป ใจดวงนี้ก็ค่อยดีดออก ๆ ความสุขหนุนไป ๆ หนุนไปจนกระทั่งพ้นจากทุกข์ เพราะอำนาจแห่งธรรม ไม่ใช่อำนาจกิเลสนะ พาสัตว์โลกให้พ้นจากความทุกข์เป็นเรื่องของธรรมทั้งนั้น พ้นจากทุกข์ไปแล้วจิตดวงนี้ท่านเรียกว่าอมตะ อมตจิต คือจิตที่ไม่ตาย ที่นี่ไม่ตายล้วน ๆ แต่ก่อนว่าไม่ตาย แต่กิเลสมันเข้าแฝงก็ต้องเข้าร่างนั้นร่างนี้<DD>

    <DD>พอกิเลสตัวพาแฝงพาให้เกิดภพนั้นภพนี้หมดไปเท่านั้น จิตดวงนี้เป็นจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่ ท่านเรียกว่าอมตจิต อมตธรรม หรืออมตมหานิพพานคือใจดวงนี้ ที่ไม่ตายนี้แล ถึงขั้นนี้แล้วไม่ตาย เรียกว่าเที่ยงโดยถ่ายเดียว อย่างท่านว่านิพพานเที่ยงคือจิตดวงนี้ไม่มีสมมุติตัวเป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปแทรก ปัดออกหมดแล้วเป็น อมตจิต อมตธรรมขึ้นมา ไตรลักษณ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปยุ่งไม่ได้ เพราะเหล่านี้เป็นสมมุติ นั่นละท่านว่าจิตเที่ยง จิตถึงนิพพานเป็นอมตจิต นี่เรียนวิชาจิตตภาวนาเข้าไปถึงนี้จะไม่ต้องทูลถาม นอกจากกราบพระพุทธเจ้าอย่างราบ เหอ พระพุทธเจ้ารู้อย่างนี้ละหนอ นั่นเห็นไหมล่ะ<DD>

    <DD>ถามอะไรของอย่างเดียวกัน สอนเข้าไปหาจุดเดียวกัน ๆ พอไปเจอแล้วถามท่านหาอะไร สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติผู้ก้าวเดินนั้นแหละ จะไปเจอสิ่งที่ต้องการด้วยตัวเอง พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วอย่างนี้ทั้งนั้น ขอให้พี่น้องทั้งหลายรู้เนื้อรู้ตัวนะ อย่าเพลินกับกิเลสจนเกินเนื้อเกินตัวมันจะจมไปเรื่อย ๆ นะ เห่อกับนั้นเห่อกับนี้ เห่อกับเขาเห่อกับเรา เห่อกับเมืองนั้นเห่อกับเมืองนี้ หัวใจเป็นไฟไม่ดู ดูตัวนี้เมืองไหนก็เป็นไฟด้วยกันนั่นแหละ เมืองกิเลสครอบหัวใจอยู่แล้วจะหาความสุขความเจริญไม่ได้ มีแต่กิเลสมันยกยอสรรเสริญ ปั้นขึ้นมา ๆ หลอกกันว่าเมืองนั้นเจริญ เมืองนี้เจริญ มันเจริญที่ไหน เอาธรรมจับปุ๊บมันเห็นหมดนี่ว่าไง ไม่งั้นจะเป็น โลกวิทู ของศาสดาเหรอ ท่านเห็นอย่างนั้นท่านจะไปสงสัยกับอะไร ตาธรรมจับปุ๊บเห็นหมด พากันตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตินะ<DD>

    <DD>มันจะตายกองกันอยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์ทั้ง ๆ ที่กิเลสมันหลอกว่าตายแล้วสูญอยู่นั้นแหละ จะตายอยู่นั้นตลอดไปนะถ้าไม่เชื่อธรรมพระพุทธเจ้า ศาสดาองค์เอกพูดคำไหนออกมาเป็นที่ตายใจได้เชื่อใจได้ เรียกว่าภาษาธรรม ธรรมหนึ่ง ความรู้ที่ออกมาจากธรรมหนึ่ง ภาษาของธรรมหนึ่ง ออกมาแง่ไหนตายใจได้เลย ๆ แต่เป็นเรื่องของกิเลสแล้วจมไปได้ทั้งนั้น มันจะต้องหลอกลวงต้มตุ๋น นิ่มนวลอ่อนหวาน ไพเราะเพราะพริ้ง กล้วย ๓ สวนสู้ความหวานของกิเลสไม่ได้นะ มันหลอกสัตว์โลก หลอกจนกระทั่งจมไปทั้งบ้านทั้งเรือนทั้งประเทศเขตแดน มีแต่กิเลสหลอกทั้งนั้น ธรรมท่านไม่หลอกนะ<DD>

    <DD>หลอกเอาจนจมทั้งบ้านทั้งเมืองก็ได้ อุบายวิธีการหลอกให้เมืองนั้นจมให้เมืองนี้จม มีแต่เรื่องของกิเลสมันหลอกเอานะ กลืนเมืองนั้นบ้างกลืนเมืองนี้บ้าง มีแต่กิเลสหลอกลวงกลืน ถ้าไม่มีธรรมสะดุดใจ แก้ไขตนเองแล้วจมไปด้วยกิเลสทั้งนั้นแหละ ให้จำเอานะ ไอ้เรานี้ก็เหมือนกันให้กิเลสหลอกจมไปไม่มีวันฟื้น ไม่สมควรนะ ต้องให้ฟื้นบ้างซิ โอ้.ทุกฺขํ นะ มันพิจารณา มีแต่ของขลัง ๆ นะมาทำให้หลวงตาทุกข์วันนี้ ทีแรกก็อยู่ธรรมดา ๆ ของขลังสอดเข้ามา ฟาดของขลังละซิ มันโมโห ของขลังเต็มหัวใจมันไม่ดู<DD>

    <DD>นี่พูดไปนี้นะ เป็นจบพักหนึ่งแล้วเทศน์ ให้ท่านทั้งหลายเอาไปคิดนะ นี่หลวงตาบอกแล้วหลวงตาจวนจะตายแล้วนะ บอกชัด ๆ นี่ก็พูดเป็นภาษาธรรม แล้วผิดพลาดไปตรงไหน ดุด่าว่ากล่าวยังไง เด็ดเผ็ดร้อนตรงไหน สกปรกที่ตรงไหนที่พูดตามความจริงนี้น่ะ ถ้าความจริงเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ เป็นสิ่งที่เสนียดจัญไรแก่หู แก่ใจของผู้ฟังแล้ว โลกนี้ต้องจม มีแต่ความจอมปลอมหลอกด้วยความนิ่มนวลอ่อนหวานให้จมไปด้วยกันหมด ธรรมะคำไหนออกมาจริงทุกคำ กิเลสออกอันไหนต้มทุกอย่าง ไม่ว่าจะส่วนย่อยส่วนใหญ่หลอกทั้งนั้นแหละกิเลส เชื่อกันไม่ได้นะ ภาษากิเลสเชื่อกันไม่ได้ ภาษาธรรมตายใจได้เลย ต่างกันอย่างนี้นะให้พี่น้องทั้งหลายฟัง<DD>

    <DD>ถือศาสนามานานเท่าไหร่ แล้วเป็นยังไงภาษาธรรม ภาษากิเลสใครเอามาพูดบ้างมีไหม ก็มีแต่หลวงตาบัวผีบ้าเอามาพูดอย่างอาจหาญชาญชัยด้วย ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดนี่นะ ไม่ได้สะทกสะท้าน เราปฏิบัติตามธรรมมา ภาษาของธรรมปฏิบัติตามธรรม ธรรมเป็นของจริงถอนขึ้น ๆ ให้เห็นประจักษ์นี่จะว่ายังไง ภาษากิเลสลากลงก็เห็นประจักษ์ นั่น นึกว่าจบไปแล้วเทศน์อีก ยังไม่จบนะ เอาละพอเสียก่อน<DD> </DD>http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=86&CatID=2
     
  16. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    อย่าตื่น เงาไม่ใช่ตัวจริง

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕



    <O:p
    (มีพระวัดศรีจันทร์วนาราม บ้านนาผู้ ต.นาผู้ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานีมากราบเรียนเหตุการณ์ประหลาดเกี่ยวกับพระพุทธรูป หน้าตัก ๙ คืบว่า เมื่อวันที่ ๓ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นตอนเช้า ประมาณ ๑ โมงเช้า หลวงพ่อได้ไปที่โบสถ์ เปิดกุญแจเข้าไปในโบสถ์เพื่อจะไปจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูป ในขณะที่เข้าไปในโบสถ์ได้เห็นสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น คือแสงวงกลมสีขาวเกิดขึ้นที่พระพุทธรูป แสงสีขาวนั้นได้คลุมที่ศีรษะเป็นวงกลม ไปติดที่ฝาผนังปูน ห่างประมาณ ๓ ศอก หลวงพ่อดูอยู่เป็นเวลานาน ในขณะนั้นจิตใจของหลวงพ่อคิดขึ้นได้ นี่หรือคือฉัพพรรณรังสีเกิดขึ้น หลวงพ่อก็เลยนั่งกราบและได้ลุกขึ้นยืนดู ขณะนั้นแสงสีขาวเป็นวงกลมค่อย ๆ หายไป ก็เลยตกใจ รีบจุดธูปเทียนบูชา ขอความสวัสดีมงคล สถานที่นั้นเป็นโบสถ์เก่า อายุราว ๕๐๐ ปี)

    เท่านั้นละ ไม่มีอะไรเป็นเงื่อนต่อละ มันธรรมดา อันนี้มันเป็นอยู่นอก ท่านผู้เป็นด้วยจิตตภาวนายิ่งกว่านี้ไปเท่าไร ๆ นี่มาเป็นนอก ๆ นี้ยังไปตื่นบ้ากัน ให้มันเห็นภายในสักหน่อยซี พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาตรัสรู้ยังไง นี่ออกมาจากหลักใหญ่ของธรรมนั่นละ ที่มาแสดงออกต่าง ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องของธรรมเรื่องของกรรมใครจะคาดไม่ได้ ที่แสดงนั้นเหมือนว่าเป็นปริยาย เป็นรัศมีออกจากธรรมแท้ ให้เป็นอยู่ภายในใจซิ ถ้าลงได้จ้าขึ้นนี้เป็นยังไง ไม่งั้นพระพุทธเจ้าจะสอนโลกได้เหรอ ประกาศพระองค์เป็นศาสดาของโลกได้หรือ ไม่อัศจรรย์เหนือโลกที่จะมาสั่งสอนโลกได้ ท่านจะมาสั่งสอนหาอะไร เราอยากให้เห็นภายในยังบอกแล้ว นี่วิบ ๆ แว็บ ๆ ข้างนอกก็ตื่นบ้ากัน แล้วข้างในไม่ดู

    ตัวเลวทรามก็อยู่ที่นี่ กองมูตรกองคูถทับหัวธรรมอยู่นี้ ธรรมก็ไม่เห็น ถ้าตั้งใจปฏิบัติก็จะเป็นอย่างนี้ เป็นขึ้น ๆ จนกระทั่งสว่างจ้าอัศจรรย์ทั่วแดนโลกธาตุจากหัวใจดวงนี้ที่เป็นธรรมทั้งดวงนั้น มีที่ปรากฏที่ตรงไหนเวลานี้น่ะ มีแต่มูตรแต่คูถเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มพระเต็มเณร ไม่มีใครสนใจปฏิบัติที่จะให้เห็นธรรมชาติที่เลิศเลอ ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายได้รู้ได้เห็น ธรรมะจึงถูกเหยียบตลอดเวลาด้วยมูตรด้วยคูถคือกิเลสตัณหาต่าง ๆ นั้นแหละ มีเท่านั้นละหลวงพ่อ เอ้า ไปได้ เรื่องรัศมีอะไรมีอยู่ทั่วไปนั่นแหละ พอพูดอย่างนี้ก็ยังพูด ที่โยมทองแดง สถานีทดลอง เคยพูดแล้วไม่ใช่เหรอ

    เราบิณฑบาตมา แกนั่งอยู่ศาลาหลังเล็ก ๆ เดินเข้ามานี่โวยวายขึ้นเลย อู๊ย มองดูหลวงตามองดูรัศมีนี่จ้าหมดเลยรอบตัว ห่างไปวากว่า ๆ นี้สว่างจ้าไปหมดเลย รัศมีรัดสะหมาอะไรเป็นบ้าเหรอ เราว่าอย่างนั้น ก็มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เป็นก็จะเป็นบ้าอะไรนักหนา เพิ่มบ้าหรือนี่ เราว่า ทำให้เราระลึกได้นี่ละ โห ตื่นเต้นจริง ๆ นะไม่ใช่ธรรมดา โวยวายขึ้นเลยเพราะนิสัยแกปากเปราะ ที่เราพูด อยู่จันท์ลูกศิษย์มีหลายคนอยู่ อยู่ตราดแห่งหนึ่ง ที่เคยพูดให้ฟัง นั่นเป็นผู้หญิงชื่อ โยมหริ่ง คนนั้นไม่ค่อยชอบพูด นั่งทั้งวันแกก็ไม่พูด ส่วนคนนี้ปากเปราะหน่อย แกถึงโวยวายขึ้นเลย เราบิณฑบาตกลับมา จะเป็นอะไรของแกก็อยู่ในใจของแกนั่นแหละ แต่แสดงออกมาจนเสียมารยาท ว้ายวี้ขึ้นมา ยังชี้มือด้วยนะ เราก็เลยปราบบ้าแก ว่าเป็นบ้าหรือ เราก็ว่าอย่างนี้ โอ๋ย มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไปอีกนะยังไม่ถอย

    เรื่องธรรมใครจะคาดไม่ได้เลย เรื่องธรรมเรื่องกรรมคาดไม่ได้ เป็นขึ้นในหัวใจเจ้าของขึ้นแล้วรู้เอง ๆ ทุกอย่างนั่นแหละ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้ปฏิบัติ แล้วจะเป็น สนฺทิฏฺฐิโก จะรู้ขึ้นมาจากการปฏิบัติของตัวเอง หายสงสัย ๆ ไม่ต้องถามใคร ๆ นั่นจึงเรียกว่าธรรมแท้ ผู้รู้ผู้เห็นธรรมใดธรรมนั้นก็เป็นสมบัติของผู้นั้น ๆ นั่นละสมบัติของตัวเอง เรียกว่าอัตสมบัติ เป็นสมบัติของผู้ปฏิบัติเอง นี่หางมไปตั้งแต่ข้างนอกซิ หางมเงา ให้มันเห็นธรรมซิ ธรรมเป็นของเลิศเลอมาแต่เมื่อไร ก็เหมือนทองคำที่ถูกพวกขี้ฝุ่นขี้ฝอยทั้งหลายปกคลุมอยู่เต็มไปหมด มิหนำซ้ำมูตรคูถยังปกคลุม มองไม่เห็นทองคำ เปิดออกไปให้เห็นจ้าแล้วเป็นยังไง ปัดออกทันที นั่นเห็นไหมล่ะ พอมองเห็นจ้านี้จะปัดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกทันที ๆ

    จิตพอมองขึ้นไปเห็นแล้วจะรีบชำระตัวเองด้วยความพออกพอใจ ความพากความเพียรจะขยันหมั่นเพียร สติปัญญาทุกอย่างจะหมุนเข้าสู่ธรรม ๆ เป็นกำลังขึ้นโดยลำดับ เมื่อเห็นสิ่งแปลกประหลาดภายในใจขึ้นมาแล้ว เหมือนมองเห็นทองคำที่ถูกกลบไว้นั้น เปิดออกมาเห็น จิตใจจะเปลี่ยนทันทีเลย แต่ธรรมท่านไม่ได้เหมือนโลกไม่เหมือนกิเลส ไม่ตื่นเต้นนะ ธรรมไม่ตื่น ในขั้นไม่ตื่นแล้วไม่ตื่น ขั้นที่ตื่นมีอยู่บ้างเป็นธรรมดา คือไม่เคยรู้เคยเห็นก็ตื่น เรียกว่าตื่นเต้นดีใจ เป็นไปแปลก ๆ ต่าง ๆ ให้เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่ภายในตัวเอง ตื่นเต้นตัวเอง ส่วนธรรมแท้แล้วไม่มีตื่น รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น สว่างอย่างที่ว่าสว่างขึ้นพระพุทธรูปอะไรเหล่านี้ มันสว่างขึ้นที่ใจของท่านเสียเอง เลิศเลอกว่านี้ขนาดไหน นั่นท่านไม่ตื่น

    เรื่องธรรมของพระพุทธเจ้านี้ ก็ไม่มีอะไรที่เป็นข้าศึกของธรรมอยู่เวลานี้ ก็คือกิเลส ก็บอกแล้ว กิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกันตลอดมา ๆ และจะตลอดไป จึงต้องมีศาสดามาตรัสรู้ ถ้าไม่มีศาสดาตรัสรู้แล้ว ธรรมก็ถูกเหยียบย่ำอยู่ตลอดเวลาจากกิเลส ถ้ามีธรรมขึ้นมาก็เปิดออก ๆ เป็นทางเดินพ้นทุกข์ไปเรื่อย ๆ เรื่องธรรมนี่มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์เช่นเดียวกับกิเลส มีมาด้วยกัน ไม่มีใครยิ่งใครหย่อนกว่าใคร แล้วกิเลสก็เป็นข้าศึกต่อธรรมมาตลอด แล้วธรรมก็เป็นเครื่องปราบกิเลสมาตลอด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงมาตรัสรู้เป็นครั้งเป็นคราว เพื่อให้ได้ธรรมขึ้นมาชะล้างกิเลสหรือปราบกิเลสให้สัตว์ทั้งหลาย ถ้าไม่มีผู้คิดค้นขึ้นมาได้ ธรรมก็มีแต่ไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีผู้นำมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์แหละ จึงต้องมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้ก็คือตรัสรู้ธรรม นำธรรมขึ้นมาชำระล้างสัตว์ทั้งหลาย เปิดหูเปิดตาสัตว์ให้รู้บาปบุญคุณโทษทั้งหลายซึ่งมีอยู่ดั้งเดิม แต่ก่อนนั้นไม่รู้ แล้วเปิดทางให้รู้ให้เห็นสิ่งที่มีอยู่นี้ นี่เห็นไหม ๆ พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้วจึงนำมาประกาศสอน ว่านี้เห็นไหม ๆ
    <O:p</O:p
    มีผู้ปฏิบัติอยู่เมื่อไรก็เหมือนกับมีผู้ขวนขวายหาทรัพย์สมบัตินั่นแหละ ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่เต็มโลกนี้ ใครมีความขยันหมั่นเพียรในแง่ใดทางใด ก็ได้ทรัพย์สมบัติในแง่นั้นทางนั้นขึ้นมา ๆ เพราะเป็นของมีอยู่ หาเงินได้เงิน หาทองได้ทอง หาวัตถุสิ่งของก็ได้ เพราะมันมีอยู่ ไม่ใช่หาของไม่มีซึ่งหาจนวันตายก็ไม่เจอ ถ้าหาของไม่มี แต่นี้ธรรมมีอยู่ กิเลสมีอยู่มาตั้งกัปตั้งกัลป์ สิ่งที่เป็นข้าศึกก็เป็นข้าศึกตลอดมา สิ่งที่เป็นคุณก็เป็นคุณตลอดมา และปราบกิเลสได้ตลอดมา ใครจะหยิบยกหรือจะนำมาใช้ในทางใด หรือหมุนไปทางไหนมันก็เป็นไปทางนั้น หมุนทางกิเลส คนทั้งคนก็กลายเป็นเปรตเป็นผีไปได้ ถ้าหมุนทางกิเลสนะ เป็นสัตว์ไปได้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีหางนะคนเรานี้
    <O:p</O:p
    จิตใจนั้นละเป็นสัตว์ เป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม จนกระทั่งถึงธรรมธาตุ เป็นได้จากจิตดวงนี้ ลงนรกอเวจีเป็นได้ เพราะเจ้าของเสาะแสวงหาเอง แสวงทางชั่วเป็นชั่ว ก็ปกคลุมเจ้าของเป็นภัยต่อเจ้าของ แสวงหาความดีก็เป็นคุณแก่เจ้าของ อันใดชั่วเป็นภัยต่อเจ้าของอย่างนี้ตลอดมาและจะตลอดไป ใครจะว่ามรรคผลนิพพานไม่มี ๆ ก็มีแต่กิเลสมันปิดเอาไว้ เพื่อเปิดทางเดินของมันให้สัตว์ ลากสัตว์ทั้งหลายลงไปเท่านั้นเอง จะเป็นอื่นเป็นไรไป กิเลสเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2009
  17. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    อย่างที่ว่าสว่างขึ้นนั้น เราเห็นอันนั้นเราก็ตื่นเต้นกับสิ่งนั้น มันนอกจากตัวสิ่งนั้นน่ะ เช่นเกิดในพระพุทธรูป เราก็ไปเห็นที่พระพุทธรูป แล้วยินดีก็ยินดีนั้น ตื่นเต้นก็ตื่นเต้นอยู่นอก ๆ นั้นซึ่งเป็นเงาไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงให้จ้าขึ้นที่นี่ดูซิน่ะ เจ้าของเป็นเองจะเป็นยังไง นั่น รู้เองเห็นเองเป็นเอง แล้วเราเป็นเจ้าของอีกด้วย ทีนี้ต่างกันยังไงกับการไปชมเงาตื่นเงาอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงให้ปฏิบัติกันซี ธรรมพระพุทธเจ้ามีอยู่นี่หายไปไหน ไม่เคยหาย มีแต่กิเลสนั่นแหละมันหลอกตลอดเวลา ๆ เชื่อไม่มีวันจืดจาง ไม่มีวันอิ่มพอ ไม่มีวันเข็ดหลาบ ก็คือสัตว์ทั้งหลายเชื่อกิเลสนั่นแหละ

    เราพูดจริง ๆ นะถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่วาดออกมาให้เห็นได้ จะเอามาให้เห็น ได้ตีหน้าผากพร้อมด้วย ตาบอดหรือ นี่เห็นไหม ตีหน้าผากพร้อมนะ หน้าผากมันมีตาอยู่ในนี้หรือเปล่า ตีเข้าไปหาตา ฟาดมันหน้าผากแตกก่อน ถ้าไม่เจอตาเอาจนหน้าผากแตกเสียก่อน เห็นไหมนี่น่า ๆ ว่างั้น ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศสอนเหมือนกับว่านี่น่า ๆ อยู่นะ สด ๆ ร้อน ๆ อย่างนั้น แต่กิเลสมันทำให้จืดให้จางตลอด มันเอาของมันสด ๆ ร้อน ๆ ขึ้นแทน ๆ สัตว์ทั้งหลายจึงหลงเป็นบ้าไปตลอดเวลานี้ จะว่ายังไงพูดให้ฟังชัด ๆ พี่น้องหลายนะ มาโกหกเหรอ โกหกหาอะไรก็จะไปชำระกิเลสซึ่งเป็นตัวโกหกในหัวใจเจ้าของต่างหากนี่นะ มาหาโกหกโลกอะไร ให้ได้ปรากฏขึ้นดูซิที่จิตนี่น่ะ จิตดวงนี้น่ะ ถ้าความเลวก็เลวตลอดหมดคุณค่าหมดราคา ก็คือจิตดวงนี้แหละ
    <O:p
    เห็นไหมนักโทษในเรือนจำใครไปเคารพนับถือเยินยอสรรเสริญเขา ไปกราบไหว้บูชานักโทษมีไหม ก็คนเหมือนกันกับเรา ท่านผู้ดีทำไมก็คนเหมือนกันเราไปกราบไหว้บูชาเคารพนับถือ อย่างนักโทษในเรือนจำมันก็เป็นคนเหมือนกัน มองเห็นแล้วตาไม่อยากดูเลย เหมือนลูกตาจะแตก นั่นเพราะหมดคุณค่าหมดราคาเขาถือกันอย่างนั้น มองก็ไม่อยากมองฟังก็ไม่อยากฟัง เรื่องนักโทษแสดงออกมาแง่ใดนี้ไม่อยากฟังทั้งนั้น นั่นเห็นไหมล่ะ ความหมดราคาแสดงอะไรหมดราคาไปหมด ถ้าสิ่งที่มีราคาแย็บออกมาตรงไหนมีราคาไปหมด ฟังซิ คนนั้นแหละคนเหมือนกันนั่นแหละมันเป็นอยู่ที่ใจนะพาให้เป็น ไม่ได้เป็นอยู่ที่ไหน ทำให้หมดคุณค่าหมดราคา ทั้ง ๆ ที่เป็นคนเหมือนโลกเขา มันก็หมดได้อย่างนั้นละ เห็นกันอยู่อย่างในเรือนจำ คนนอกเรือนจำแม้แต่เด็กเขาก็รัก คนในเรือนจำเป็นปู่ออกมาเขาก็ไม่รักเข้าใจไหม อย่าว่าแต่เด็กเลย ขนาดถึงขั้นปู่เขาก็ โอ้.ปู่อะไร นี่ปู่นักโทษ เขาก็ไปนั้นอีกแหละ มันต่างกันที่คนที่ใจ เปลี่ยนได้หมดใจดวงนี้ยังบอกแล้ว
    <O:p</O:p
    ฟังซิ ก็พูดให้ท่านทั้งหลายฟัง เคยได้ฟังแล้ว ในหนังสือก็มีที่ว่ากิเลสตัวมันเยี่ยม ๆ เห็นไหมล่ะ ตัวมันเยี่ยม ๆ สุดยอดของกิเลสคือกษัตริย์วัฏจักรได้แก่อวิชชาแสดงลวดลายวาระสุดท้าย เราก็เคยพูดแล้วนี่ เดินจงกรมไปยืนรำพึงอยู่ ก็วัดดอยธรรมเจดีย์นั้นแหละไม่ใช่ที่ไหน เดินอยู่ทางด้านตะวันตกแต่เช้านะ โอ้.มันน่าอัศจรรย์ก็อัศจรรย์ละซิ จะว่าเราบ้าก็เราพูดตามความจริงนี่จะบ้ายังไง ไม่มีที่ใดอัศจรรย์ก็มาอัศจรรย์ตัวนี้แหละ โถ อุทานขึ้นเลยนะ ไม่ลืม โลกทั้งโลกปกติมันก็ว่างอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงยังไม่ว่างตัวเองเท่านั้นเอง สิ่งทั้งหลายมันว่างไปหมดด้วยการชำระของเรา ทีนี้จิตที่เป็นกิเลสส่วนละเอียดมันก็แทรกเข้าตรงนั้น เสริมกันในตรงนั้น เลยความสว่างไสวของตนที่จิตชำระได้ อวิชชาก็แทรกเข้าไปนั้น มันก็เลยกลายเป็นเรื่องของอวิชชาไปหมด แต่ไม่รู้อวิชชาซิ ว่าเป็นธรรมไปเสียหมด หลงมันเสียจน
    <O:p</O:p
    ถึงขนาดที่ออกอุทาน โห จิตของเราทำไมถึงอัศจรรย์เอาถึงขนาดนี้เชียวหนา ว่าอย่างนั้นนะ มองดูที่ไหนมันก็จ้าไปหมดเลย เวลามันเด่น ๆ อวิชชาแทรกเข้าไปในนั้นไม่รู้นะ เงาของอวิชชามันแทรกเข้าไปในนั้นเราก็ไม่รู้ ทีนี้พระธรรมท่านก็กลัวหลงกลอุบายละซิ นั่นเห็นไหมล่ะ พออุทานขึ้นอย่างนั้นอัศจรรย์ตัวเองว่าเป็นความสว่างไสว เป็นความอัศจรรย์ เรียกว่าเหนือโลกเหนือสงสารไปก็ว่าได้ เวลามันหลงหลงขนาดนั้น
    <O:p</O:p
    ทีนี้พระธรรมท่านก็กลัวจะหลงละซิ ท่านเตือนขึ้นมา เรายังไม่รู้ว่าพระธรรมเตือนนะ เห็นไหมล่ะอำนาจของกิเลสมันกล่อม เคยพูดแล้วว่าถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ นั่นฟังซิ ความสว่างออกจากจุดนี้ มันไม่ดูจุดนี้ซิ ท่านเตือนเข้าไปตรงนี้ นี่ตัวภัยอยู่ตรงนี้นะความหมาย เลยหลงไปอีก ไม่รู้นะ หลังจากเผาศพหลวงปู่มั่นแล้ว ตอนเดือน ๓ ขึ้นไปบนหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ไปภาวนา เพราะเราเคยขึ้นลงเสมอเนื่องจากสถานที่นั่นเหมาะสมมาก ไปอยู่เรื่อย หลงกลอันนี้แก้ยังไม่ตก ฟาดไปอำเภอบ้านผือ อำเภอท่าบ่อ แต่ก่อนไม่มีหลายอำเภอ มีแต่อำเภอบ้านผือ อำเภอท่าบ่อ ๒ แห่งเท่านั้น เดี๋ยวนี้ดูเหมือนอำเภอศรีเชียงใหม่เพิ่มเข้าไปอีก แล้วยังจะมีอำเภออะไร ไปอยู่นั้นจนกระทั่งเดือน ๖ จวนสิ้นเดือนเมษายนเดือน ๕ กลับมา แล้วเดือน ๖ ก็ขึ้นไปอยู่นั้น กลับมาอีกมาตรงนั้นอีก มาแก้ปัญหาความสว่าง นี่หมายถึงว่าสว่างจุดหนึ่งที่ทำให้หลงอย่างลืมเนื้อลืมตัวเลย ถึงขนาดพระธรรมท่านมาเตือนให้ได้สติ ยังไม่ยอมได้สตินะ ยังแบกไปโน้นแล้วกลับมาอีก ก็มาที่เก่านั้นแหละ
    <O:p</O:p
    ทีนี้มาสรุปความเลยว่า ความสว่างไสวนั้น บทเวลาธรรมชาติที่แท้จริงเต็มสัดเต็มส่วนได้พุ่งขึ้นเท่านั้น ความสว่างไสวเหล่านั้นมันกลายเป็นกองขี้ควายไปได้หมด เป็นยังไงแต่ก่อนว่าอัศจรรย์ ทีนี้ทำไมจึงกลายเป็นกองขี้ควายไปได้ นี่เพราะธรรมชาติที่เลิศเลอเหนือโลกเหนือสงสาร เหนือสมมุติโดยประการทั้งปวงนี้ครอบไปหมดเลย มันเหนือกันขนาดไหน มันถึงว่า โอ้โห มันหลงขนาดนี้เชียวนะ เห็นเป็นกองขี้ควายแล้วนะที่นี่นะ ตอนที่อัศจรรย์แต่ก่อนกลับมาเป็นกองขี้ควาย เพราะอำนาจแห่งธรรมที่เลิศเลอเหนือกว่านั้นครอบไปหมดเลย อันนี้เลยกลายเป็นกองขี้ควายได้ เราลืมเมื่อไหร่ มันเป็นอยู่ที่หัวใจนี่นะ
    <O:p
    ปฏิบัติให้ดีซิใจดวงนี้ เวลามันเลิศมันเลอมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เวลามันเลวก็เป็นอย่างนั้นอย่างที่เห็นทั่ว ๆ ไป จิตดวงเดียวนี้นะพาให้เป็น เพราะฉะนั้นจึงให้พยายามดัดแปลงแก้ไขจิตดวงนี้ที่เป็นภัยเต็มตัว ๆ ออกโดยลำดับด้วยการสร้างความดี ฝืนกิเลสบำเพ็ญความดีเข้าไป เราจะเอาแต่เรื่องกิเลสมาเป็นหัวหน้าแล้วสร้างอุปสรรคตลอดเวลาในการสร้างความดี สร้างไม่ได้นะ ต้องฝืนตลอดเวลา นั่นละความอัศจรรย์แท้ ไม่ตื่นเงาไม่ไปตื่นที่ขึ้นที่ตรงนั้น สว่างที่ตรงนี้ ไม่เป็นบ้า ลงนี่จ้าขึ้นมาแล้วลบหมดเลย สามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเหมือน เหนือหมดทุกอย่างเลย
    <O:p</O:p
    เพราะฉะนั้นพูดตามหลักความจริงจึงพูดว่าสามแดนโลกธาตุนี้คือถังขยะ ว่าอย่างนั้นเลย พูดอย่างอื่นไปไม่ได้เมื่อเทียบกับธรรมชาติที่เหนือโลกเหนือสงสารไปแล้ว เหนือนั้นมันเลยสมมุติไปแล้วเอามาเทียบกัน สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นถังขยะ จะว่ายังไง แต่ก่อนรู้เมื่อไหร่เห็นเมื่อไหร่ อย่างนี้ แล้วมันเป็นขึ้นในจิตเต็มที่แล้วไม่บอกมันก็รู้ มันก็เห็น นี่แหละธรรมที่ว่าใครจะคาดไม่ได้นะ คาดธรรม คาดกรรมคาดไม่ได้ แล้วแต่จะแสดงขึ้นมาด้วยเหตุผลกลไกอะไรจะขึ้นมาเองเป็นเอง ส่วนที่จะไปคาดอย่าไปฝันว่าอย่างนั้นเลย ฝันดิบฝันสด
    <O:p</O:p
    นี่สอนแล้วสอนเล่า ไม่ได้มากก็ขอให้ได้มีร่องรอยติดเนื้อติดตัวบ้าง ร่องรอยแห่งความดีทั้งหลาย อย่าปล่อยไปเฉย ๆ นะ วันหนึ่งคืนหนึ่งมีแต่กิเลสถลุงตลอดเวลา กิเลสไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ถลุงได้ตลอดในหัวใจสัตว์ ถลุงตลอด ทีนี้ธรรมเวลาบำเพ็ญแล้วก็เป็นอกาลิโก ถลุงกิเลสได้เช่นเดียวกัน มีธรรมเท่านั้นเหนือกิเลส นอกนั้นปราบกิเลสไม่ลง มีธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องปราบกิเลสได้ เรียกว่าอย่างเยี่ยมที่สุดเลยละ ท่านจึงสอนให้ปฏิบัติธรรม
    <O:p</O:p
    ในสามแดนโลกธาตุนี้เป็นแดนแห่งข้าศึกคือกิเลสเต็มไปหมด แล้วธรรมมาปราบมาแก้มาไข ตัวเองนั้นแหละที่อยู่ในถังขยะนั่น แก้ออกไปยังไงมันก็พ้นถังขยะไปได้ อย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เวลาท่านยังครองขันธ์อยู่ พระสรีระและร่างกายของท่านก็เป็นถังขยะเพราะเป็นสมมุติด้วยกัน แต่จิตของท่านพ้นแล้ว ท่านจะพูดว่าเหล่านี้ถังขยะก็ไม่ผิด พูดถึงตัวท่านเองด้วยว่าท่านก็เป็นถังขยะ ในส่วนที่ยังเป็นสมมุติอยู่เป็นถังขยะทั้งหมด นั่น เพราะเมื่อพ้นไปแล้วธรรมชาตินั้นไม่ใช่ถังขยะ จึงดูถังขยะได้อย่างจะแจ้งทีเดียวหายสงสัย เอ้ เมื่อวานนี้ไปไหนนะ ลืม อย่างนี้ละไปไหนมาลืม โอ๋.ไปวัดธรรมอินทร์เมื่อวานนี้นะ ไปนายูง ไปอยู่ประมาณชั่วโมง พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้สั่งเสียอะไร ๆ แล้วก็กลับมา ไปไหนมาไหนแล้วจำไม่ได้นะทุกวัน ไปแล้วหายเงียบเลย
    <O:p</O:p
    อย่างเมื่อวานนี้ เอ้.เมื่อวานนี้ไปไหนนะ จำไม่ได้ ความจำตัดเข้ามา ๆ นี่เรียกว่าขันธ์ เรียกว่าสมมุติ ขันธ์ทั้งห้าแสดงอยู่ในจิต คือจิตอยู่เหนือนั้นนะ แต่กิริยาของอันนี้มันเป็นสมมุติของมัน มันก็หมุนของมันอยู่อย่างนั้นตลอด เป็นเรื่องของมันเอง มันก็ไม่รู้ว่ามันแสดงนะ จิตนั่นแหละรับทราบ มันก็ไม่รู้ว่ามันกวนอะไร มันก็แสดงของมัน แต่คำว่ากวนก็คือว่ามันทำให้รับทราบอยู่เสมอ ธรรมชาติที่รู้คือจิตรู้อยู่ อันนั้นมันแสดงยังไงก็แสดงของมันอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะหมดสภาพของขันธ์ ๕ แล้ว เรียกว่าสมมุติหมดโดยสิ้นเชิง ปล่อยโดยสิ้นเชิงเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน เวลาท่านครองธาตุครองขันธ์อยู่ก็เป็น สอุปาทิเสสนิพพาน จิตที่บริสุทธิ์แล้วแต่ยังรับผิดชอบในขันธ์นี้อยู่ พาไป พามา พาอยู่ พากิน พาหลับ พานอน หมุนอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาในวงสมมุติ เพราะอันนี้หมดแล้วก็เรียกว่าสมมุติในโลกนี้มายุติสุดท้ายคือขันธ์ดับ หมายถึงพระอรหันต์ท่าน สมมุติสุดท้ายคือขันธ์ที่เกี่ยวข้องกับท่าน แม้ท่านจะไม่ติดไม่พัน ไม่ซึมซาบก็ตาม มันแสดงก็บอกว่าแสดง มีความรับผิดชอบของท่าน
    <O:p
    พออันนี้ดับพรึบลงเท่านั้น เรียกว่าตาย สมมุติทั้งมวลก็ขาดสะบั้นลงโดยลำดับ อนุปาทิเสสนิพพานล้วน ๆ ก็เป็นไปอยู่แล้ว มีแต่ขันธ์เท่านั้นที่ทำให้เป็น สอุปาทิเสสนิพพาน พออันนี้ขาดลงไปก็หมด ท่านแสดงไว้อย่างจะแจ้งนี่นะ แต่เราถ้ามันมืดไม่รู้ในใจ แสดงเท่าไรมันก็สงสัยอยู่นั้นละ พอมันเป็นขึ้นแล้วก็รับกันปึ๋งทันทีเลย หายสงสัย ๆ เวลานี้กิเลสกำลังหนาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ นะ ธรรมนี้ค่อยอ่อนลง ๆ ถูกทับถูกถมแทบจะไม่มีนะ ต่อไปจะไม่มี คืออำนาจของกิเลสมันมาทุกแง่ทุกมุม มองไม่ทันนะ สิ่งที่ผลิตขึ้นมาให้โลกได้หลงได้เพลิดเพลินนี้มันรอบตัว ๆ มาทุกแบบทุกฉบับล้วนแล้วตั้งแต่กลมายาของกิเลสที่หลอกสัตว์โลกให้หลงทั้งนั้น มันผลิตขึ้นมาเจ้าของผู้ผลิตก็หลง ผู้ไปเป็นบ้านั้นอีกก็หลง ต่างคนต่างหลงด้วยกันนั่นแหละ
    <O:p</O:p
    เอ้า ผลิตอันนั้นขึ้นมาผลิตอันนี้ขึ้นมา อู๊ย.พิสดารมากนะ เรื่องของกิเลสสมมุตินี่นะ ธรรมจับรู้หมดจะว่าไง มันจะแย็บออกมาตรงไหนปิดไม่อยู่ เพราะธรรมเหนือกว่ามันจะออกมาแบบไหนปิดไม่อยู่ จะทราบทันที ๆ ผู้ไม่ทราบมันก็คว้าทันที ๆ เข้าใจไหม อันหนึ่งแย็บขึ้นมาทราบทันที อันหนึ่งพอแย็บขึ้นมาคว้าทันทีเลย เข้าใจไหม พวกเรานี้พวกคว้าทันที เป็นอาจารย์ใหญ่ของลิง ลิงนี้จะไม่มีเหลือแหละ ถ้ามนุษย์ไปที่ไหนลิงนี้แตกฮือเลย ไม่มีป่าอยู่โดดลงทะเล สู้มนุษย์ไม่ได้มนุษย์นี้เก่งกว่าลิง แย็บออกมามันคว้ามับ ๆ หลงทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าจะไม่ให้หลงไม่มี ถ้าลงกิเลสยังมีแทรกอยู่ในใจมันหลงได้ทั้งนั้น พอกิเลสหมดสิ้นเชิงรู้ได้หมด อะไรแย็บขึ้นมานี้รู้ทันที ๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ ท่านจึงเรียกว่าธรรมในหลักธรรมชาติ วันนี้พูดเท่านี้ละธรรมะ ไม่พูดมากอะไรละ
    <O:p</O:p
    ทองคำเมื่อวานนี้ได้ถึง ๑ บาท ๒๕ สตางค์ ดอลลาร์ได้ตั้ง ๕๐๔ ดอลล์นะเมื่อวาน อย่างนี้ละดอลลาร์เราขึ้นเรื่อย ๆ กว่าทองคำได้ถึง ๑๐ ตัน มันจะต้องถึง ๑๐ ล้านแหละเราคิดไว้นะ เพราะมันขยับขึ้นไปเรื่อย เมื่อวานนี้ก็ได้ตั้ง ๕๐๔ ดอลล์ ส่วนกฐินเงินสดได้ ๑ กอง รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ๕,๒๘๗ กิโลครึ่ง กฐินทองคำ ๘๔,๐๐๐ กองนั้นได้แล้ว ๘๔,๐๖๖ กอง เกิน ๘๔,๐๐๐ ไป ๖๖ กอง เป็นอันว่าหมดปัญหา เรื่องที่ว่ากฐินก็หมดปัญหากันไป ทีนี้เราก็หมุนเพื่อทองคำไม่บอกว่ากฐิน เพราะกฐินนี้กฐินเพื่อทองคำ เมื่อกฐินนี้ครบตามจำนวนแล้วเราก็บอกไว้เพื่อทองคำ ๆ เพื่อผ้าป่าทองคำ ๆ ไปเรื่อยตามเดิมนั่นแหละ กรุณาทราบตามนี้ ไม่มีปัญหาอะไรแล้วละเรื่องกฐิน ๘๔,๐๐๐ กองนี้เราเทียบทองคำได้ ๓๐๐ เหรอ
    <O:p
    โยม ๓๒๐ กิโลครับ
    <O:p</O:p
    หลวงตา ๓๒๐ กิโล แต่เงินของเราที่ได้ตามกำหนด ๘๔,๐๐๐ กองนี้ จะไม่พอกับทองคำซึ่งขึ้นราคาขึ้นทุกวันนะ ทองคำนี้มันขึ้นราคาขึ้นเรื่อย ๆ ใช่ไหม แพงขึ้นเรื่อยใช่ไหม เดี๋ยวนี้เท่าไหร่ทองคำหนักบาทหนึ่ง เป็นเงินสดเท่าไหร่
    <O:p</O:p
    โยม ทองคำบริสุทธิ์ ๙๙.๙๙ มัน ๖,๘๐๐ เจ้าค่ะ ก่อนวันกฐินมันขึ้น ๆ ลง ๆ เรื่อย ๆ แต่ตอนวันกฐินหลวงตาขึ้น ๖,๗๐๐ เจ้าค่ะ

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=91&CatID=2<O:p</O:p
     
  18. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ทุกข์โดยการฆ่ากิเลส


    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด


    เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๒<O:p



    <O:p

    สร้างตึกสงฆ์ ๑๐ ชั้น เงิน ๒๐๐ ล้าน ไม่ใช่เล่นๆนะนี่ ๒๐๐ ล้าน ตึกสงฆ์อาพาธที่โรงพยาบาลจังหวัดอุดรธานี โครงการสร้างตึกสงฆ์อาพาธสูง ๑๐ ชั้น เป็นเงิน ๒๐๐ ล้านบาท ไม่ใช่เล่นๆ นะ นี่ก็หลวงตาละจะพาพี่น้องหาเงินเหล่านี้เข้าไปช่วยประเทศชาติของเราที่เต็มไปด้วยคนป่วยคนไข้ ต้องไปอาศัยโรงพยาบาลนั้นละ ขอให้พี่น้องทราบเอาไว้ เวลาไม่มีอะไรก็ไม่จำเป็น แต่เวลามันจำเป็นขึ้นมานี้มันเห็นเองรู้เองโรงพยาบาล เราไม่รู้ คนดีเขาก็รู้ช่วยเหลืออนุเคราะห์กัน แบกหามกันเข้าไปในตึกโรงพยาบาลอุดร จังหวัดไหนก็ตามก็เป็นอย่างนั้น แต่นี้มันเกี่ยวกับทางวัดเราเราก็พูดออกมา
    <O:p
    ทองคำ ๑๑,๙๒๐ กิโล ดอลลาร์ ๑๐,๒๑๔,๖๐๐ ดอลลาร์ นี่ก็เป็นเครื่องประกันในชาติของเรา เรามีแต่หามา แต่อันใดที่เข้าส่วนรวมแล้วไม่ต้องบอก มันเข้าเองๆ ยอดเงิน ๑๑๖,๕๕๙,๔๕๘ บาท โครงการสร้างตึกสงฆ์อาพาธสูง ๑๐ ชั้น เป็นเงิน ๒๐๐ ล้าน นี่พาบืนกันไปอย่างนั้น ไม่บืนก็ไม่ได้

    พูดถึงเรื่องนี้เราคิดย้อนหลังนะ ไปหาสมัยที่อยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเรา คือเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยเราจะไปอาศัยแต่ยาไม่ได้นะ สำหรับเราเองแล้วในย่ามยาเม็ดเดียวก็ไม่มี พอเป็นมาก็ซัดกันเลย โรคมันเป็นเอามาจากไหนโรค เวลาหายมันจะไปหายามาจากแดนใด มันเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น ไม่ดับก็ตายที่นั่น ฟัดกันเลย เป็นอย่างนั้นนะ เอาจริงๆ นะนี่ ไม่ได้เล่น สู้จริง เจ็บไข้นี้มันฉันไม่ได้ บิณฑบาตไม่ได้แต่ฉันได้อยู่นี้ไม่เอา ฉันไม่ได้ขาก็ไม่ต้องก้าว ท้องมันยังจะก้าวอยู่ไม่ให้ ไม่ให้ใส่

    ที่ได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์สอนหมู่เพื่อนเราแทบล้มแทบตายนะ ไม่ใช่ธรรมดา อย่างที่ท่านทั้งหลายเห็นนิสัยอันนี้ว่าจริงจังมากทุอย่าง ลงได้จับอะไรแล้วขาดกับมือเลย อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาฝึกตนก็แบบเดียวกัน หยูกยาไม่เอามา สัตว์สาราสิงอยู่ในป่าในเขาเขามีโรงพยาบาลที่ไหน ทำไมมนุษย์เราถึงอ่อนแอมาก ความเป็นความตายมันมีเท่ากัน ทำไมเราถึงอ่อนแอวิ่งหาแต่หยูกแต่ยาแต่มดแต่หมอ ดัดเจ้าของ โอ้ จิตนี้ไม่ดัดไม่ได้นะ ต้องได้ดัดมันอยู่เสมอ
    <O:p
    อย่างทุกวันนี้ธาตุขันธ์อ่อนแอ เรียกว่าไม่เอาไหนแล้ว ปล่อยไป อันนั้นมันก็เห็นอยู่สิ่งที่ขวางหูขวางตาที่เราเคยเข้มงวดกวดขัน ก็เห็นอยู่ทางตาอยู่ก็ใช้หูหนวกตาบอดเอาอย่างนั้นแหละ จิตใจมันไม่ได้เป็นอย่างร่างกาย มันเป็นอยู่ภายใน มองเห็นอะไรปั๊บๆๆๆๆ รวดเร็ว ทางกายไม่พูดเฉย เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ โธ่ ไม่เอาขนาดนั้นไม่ได้กับกิเลส อ่านหนังสือไป อ่านหนังสือไปท่านพูดถึงเรื่องมนุษย์ สวรรค์ พรหมโลก อายุเท่านั้นๆๆ สูงขึ้นไปโดยลำดับ ถึงพรหมโลกอายุยืนเท่านั้นๆ ก็มาตายเหมือนกัน คิดทบทวนไปมาก่อนที่มันจะเอากันใหญ่นะ ไปที่ไหนก็กลับมาตาย กลับมาตาย จะข้ามป่าช้าไม่ได้เหรอ
    <O:p</O:p
    นี่ล่ะตอนเอาใหญ่ในความพากเพียร อย่างไรก็มุ่งต่อแดนพ้นทุกข์ คืออรหันต์หรือนิพพานเท่านั้น นั่นละตอนเอาใหญ่ละหนักมากนะ อยู่ในป่าในเขาไม่มีใครเห็น เหมือนว่ามนุษย์หรือสัตว์ตัวหนึ่งอยู่กับโลกเขา ทุกข์ยากขนาดไหนทนเอา บางทีเดินมาจากภูเขาไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ทางถึง ๔-๕ กิโล ไม่ใช่เล่นนะ ทั้งไปทั้งกลับมันไปเสีย ๑๐ กิโลละมัง มาก็มาฉันที่ลานหินดาน บิณฑบาตได้มามีอะไรฉันเล็กน้อยแล้วเอาข้าว เศษเหลือไปวางไว้ให้สัตว์พวกกระจ้อนกระแตมากิน พอเสร็จแล้วล้างบาตร สะพายบาตร ไม่ได้มาฉันทุกวัน มันจะตายจริงๆ ก็ลงมาฉันให้สักที มีแต่อย่างนั้น
    <O:p</O:p
    ทุกข์มากนะทุกข์ฆ่ากิเลส ทุกข์แสนสาหัสทุกข์โดยการฆ่ากิเลส จนกระทั่งว่ากิเลสเกิด กิเลสเกิดธรรมมันจะรับกันอย่างไร พอมันไปไม่ไหว เดินบิณฑบาตในหมู่บ้านเขาตอนเช้าไปไม่ไหว ถึงครึ่งทางเหนื่อยมาก นั่งพักสักครู่หนึ่ง นี่ท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสยังไม่ตาย เวลานี้ท่านกำลังจะตายรู้ไหม กิเลสขึ้นนะ กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม พอกิเลสขึ้นดับลงไปทางนี้ก็ขึ้นรับกัน มันหากเป็นของมันเองนะ การกินก็กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร แล้วอดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอาตายก็ตาย แน่ะมันไปอย่างนั้นนะ มันดีดกันเลย มันแก้กัน เป็นอย่างนั้นละ ถ้าอ่อนกับมันต่อไปทำไม่ได้ ต้องแข็งแก้กัน แก้กับกิเลสแก้อย่างนั้นละ จะทำอ่อนแอไม่ได้นะ ต้องเข้มแข็งทุกอย่าง<O:p</O:p



    รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่<O:p
    www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th<O:p</O:p
    และทางสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz<O:p</O:p
    พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ

     
  19. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    อย่าตื่น เงาไม่ใช่ตัวจริง
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด


    เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕



    (มีพระวัดศรีจันทร์วนาราม บ้านนาผู้ ต.นาผู้ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานีมากราบเรียนเหตุการณ์ประหลาดเกี่ยวกับพระพุทธรูป หน้าตัก ๙ คืบว่า เมื่อวันที่ ๓ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นตอนเช้า ประมาณ ๑ โมงเช้า หลวงพ่อได้ไปที่โบสถ์ เปิดกุญแจเข้าไปในโบสถ์เพื่อจะไปจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูป ในขณะที่เข้าไปในโบสถ์ได้เห็นสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น คือแสงวงกลมสีขาวเกิดขึ้นที่พระพุทธรูป แสงสีขาวนั้นได้คลุมที่ศีรษะเป็นวงกลม ไปติดที่ฝาผนังปูน ห่างประมาณ ๓ ศอก หลวงพ่อดูอยู่เป็นเวลานาน ในขณะนั้นจิตใจของหลวงพ่อคิดขึ้นได้ นี่หรือคือฉัพพรรณรังสีเกิดขึ้น หลวงพ่อก็เลยนั่งกราบและได้ลุกขึ้นยืนดู ขณะนั้นแสงสีขาวเป็นวงกลมค่อย ๆ หายไป ก็เลยตกใจ รีบจุดธูปเทียนบูชา ขอความสวัสดีมงคล สถานที่นั้นเป็นโบสถ์เก่า อายุราว ๕๐๐ ปี)

    เท่านั้นละ ไม่มีอะไรเป็นเงื่อนต่อละ มันธรรมดา อันนี้มันเป็นอยู่นอก ท่านผู้เป็นด้วยจิตตภาวนายิ่งกว่านี้ไปเท่าไร ๆ นี่มาเป็นนอก ๆ นี้ยังไปตื่นบ้ากัน ให้มันเห็นภายในสักหน่อยซี พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาตรัสรู้ยังไง นี่ออกมาจากหลักใหญ่ของธรรมนั่นละ ที่มาแสดงออกต่าง ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องของธรรมเรื่องของกรรมใครจะคาดไม่ได้ ที่แสดงนั้นเหมือนว่าเป็นปริยาย เป็นรัศมีออกจากธรรมแท้ ให้เป็นอยู่ภายในใจซิ ถ้าลงได้จ้าขึ้นนี้เป็นยังไง ไม่งั้นพระพุทธเจ้าจะสอนโลกได้เหรอ ประกาศพระองค์เป็นศาสดาของโลกได้หรือ ไม่อัศจรรย์เหนือโลกที่จะมาสั่งสอนโลกได้ ท่านจะมาสั่งสอนหาอะไร เราอยากให้เห็นภายในยังบอกแล้ว นี่วิบ ๆ แว็บ ๆ ข้างนอกก็ตื่นบ้ากัน แล้วข้างในไม่ดู

    ตัวเลวทรามก็อยู่ที่นี่ กองมูตรกองคูถทับหัวธรรมอยู่นี้ ธรรมก็ไม่เห็น ถ้าตั้งใจปฏิบัติก็จะเป็นอย่างนี้ เป็นขึ้น ๆ จนกระทั่งสว่างจ้าอัศจรรย์ทั่วแดนโลกธาตุจากหัวใจดวงนี้ที่เป็นธรรมทั้งดวงนั้น มีที่ปรากฏที่ตรงไหนเวลานี้น่ะ มีแต่มูตรแต่คูถเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มพระเต็มเณร ไม่มีใครสนใจปฏิบัติที่จะให้เห็นธรรมชาติที่เลิศเลอ ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายได้รู้ได้เห็น ธรรมะจึงถูกเหยียบตลอดเวลาด้วยมูตรด้วยคูถคือกิเลสตัณหาต่าง ๆ นั้นแหละ มีเท่านั้นละหลวงพ่อ เอ้า ไปได้ เรื่องรัศมีอะไรมีอยู่ทั่วไปนั่นแหละ พอพูดอย่างนี้ก็ยังพูด ที่โยมทองแดง สถานีทดลอง เคยพูดแล้วไม่ใช่เหรอ

    เราบิณฑบาตมา แกนั่งอยู่ศาลาหลังเล็ก ๆ เดินเข้ามานี่โวยวายขึ้นเลย อู๊ย มองดูหลวงตามองดูรัศมีนี่จ้าหมดเลยรอบตัว ห่างไปวากว่า ๆ นี้สว่างจ้าไปหมดเลย รัศมีรัดสะหมาอะไรเป็นบ้าเหรอ เราว่าอย่างนั้น ก็มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เป็นก็จะเป็นบ้าอะไรนักหนา เพิ่มบ้าหรือนี่ เราว่า ทำให้เราระลึกได้นี่ละ โห ตื่นเต้นจริง ๆ นะไม่ใช่ธรรมดา โวยวายขึ้นเลยเพราะนิสัยแกปากเปราะ ที่เราพูด อยู่จันท์ลูกศิษย์มีหลายคนอยู่ อยู่ตราดแห่งหนึ่ง ที่เคยพูดให้ฟัง นั่นเป็นผู้หญิงชื่อ โยมหริ่ง คนนั้นไม่ค่อยชอบพูด นั่งทั้งวันแกก็ไม่พูด ส่วนคนนี้ปากเปราะหน่อย แกถึงโวยวายขึ้นเลย เราบิณฑบาตกลับมา จะเป็นอะไรของแกก็อยู่ในใจของแกนั่นแหละ แต่แสดงออกมาจนเสียมารยาท ว้ายวี้ขึ้นมา ยังชี้มือด้วยนะ เราก็เลยปราบบ้าแก ว่าเป็นบ้าหรือ เราก็ว่าอย่างนี้ โอ๋ย มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไปอีกนะยังไม่ถอย

    เรื่องธรรมใครจะคาดไม่ได้เลย เรื่องธรรมเรื่องกรรมคาดไม่ได้ เป็นขึ้นในหัวใจเจ้าของขึ้นแล้วรู้เอง ๆ ทุกอย่างนั่นแหละ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้ปฏิบัติ แล้วจะเป็น สนฺทิฏฺฐิโก จะรู้ขึ้นมาจากการปฏิบัติของตัวเอง หายสงสัย ๆ ไม่ต้องถามใคร ๆ นั่นจึงเรียกว่าธรรมแท้ ผู้รู้ผู้เห็นธรรมใดธรรมนั้นก็เป็นสมบัติของผู้นั้น ๆ นั่นละสมบัติของตัวเอง เรียกว่าอัตสมบัติ เป็นสมบัติของผู้ปฏิบัติเอง นี่หางมไปตั้งแต่ข้างนอกซิ หางมเงา ให้มันเห็นธรรมซิ ธรรมเป็นของเลิศเลอมาแต่เมื่อไร ก็เหมือนทองคำที่ถูกพวกขี้ฝุ่นขี้ฝอยทั้งหลายปกคลุมอยู่เต็มไปหมด มิหนำซ้ำมูตรคูถยังปกคลุม มองไม่เห็นทองคำ เปิดออกไปให้เห็นจ้าแล้วเป็นยังไง ปัดออกทันที นั่นเห็นไหมล่ะ พอมองเห็นจ้านี้จะปัดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกทันที ๆ

    จิตพอมองขึ้นไปเห็นแล้วจะรีบชำระตัวเองด้วยความพออกพอใจ ความพากความเพียรจะขยันหมั่นเพียร สติปัญญาทุกอย่างจะหมุนเข้าสู่ธรรม ๆ เป็นกำลังขึ้นโดยลำดับ เมื่อเห็นสิ่งแปลกประหลาดภายในใจขึ้นมาแล้ว เหมือนมองเห็นทองคำที่ถูกกลบไว้นั้น เปิดออกมาเห็น จิตใจจะเปลี่ยนทันทีเลย แต่ธรรมท่านไม่ได้เหมือนโลกไม่เหมือนกิเลส ไม่ตื่นเต้นนะ ธรรมไม่ตื่น ในขั้นไม่ตื่นแล้วไม่ตื่น ขั้นที่ตื่นมีอยู่บ้างเป็นธรรมดา คือไม่เคยรู้เคยเห็นก็ตื่น เรียกว่าตื่นเต้นดีใจ เป็นไปแปลก ๆ ต่าง ๆ ให้เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่ภายในตัวเอง ตื่นเต้นตัวเอง ส่วนธรรมแท้แล้วไม่มีตื่น รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น สว่างอย่างที่ว่าสว่างขึ้นพระพุทธรูปอะไรเหล่านี้ มันสว่างขึ้นที่ใจของท่านเสียเอง เลิศเลอกว่านี้ขนาดไหน นั่นท่านไม่ตื่น

    เรื่องธรรมของพระพุทธเจ้านี้ ก็ไม่มีอะไรที่เป็นข้าศึกของธรรมอยู่เวลานี้ ก็คือกิเลส ก็บอกแล้ว กิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกันตลอดมา ๆ และจะตลอดไป จึงต้องมีศาสดามาตรัสรู้ ถ้าไม่มีศาสดาตรัสรู้แล้ว ธรรมก็ถูกเหยียบย่ำอยู่ตลอดเวลาจากกิเลส ถ้ามีธรรมขึ้นมาก็เปิดออก ๆ เป็นทางเดินพ้นทุกข์ไปเรื่อย ๆ เรื่องธรรมนี่มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์เช่นเดียวกับกิเลส มีมาด้วยกัน ไม่มีใครยิ่งใครหย่อนกว่าใคร แล้วกิเลสก็เป็นข้าศึกต่อธรรมมาตลอด แล้วธรรมก็เป็นเครื่องปราบกิเลสมาตลอด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงมาตรัสรู้เป็นครั้งเป็นคราว เพื่อให้ได้ธรรมขึ้นมาชะล้างกิเลสหรือปราบกิเลสให้สัตว์ทั้งหลาย ถ้าไม่มีผู้คิดค้นขึ้นมาได้ ธรรมก็มีแต่ไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีผู้นำมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์แหละ จึงต้องมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้ก็คือตรัสรู้ธรรม นำธรรมขึ้นมาชำระล้างสัตว์ทั้งหลาย เปิดหูเปิดตาสัตว์ให้รู้บาปบุญคุณโทษทั้งหลายซึ่งมีอยู่ดั้งเดิม แต่ก่อนนั้นไม่รู้ แล้วเปิดทางให้รู้ให้เห็นสิ่งที่มีอยู่นี้ นี่เห็นไหม ๆ พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้วจึงนำมาประกาศสอน ว่านี้เห็นไหม

    มีผู้ปฏิบัติอยู่เมื่อไรก็เหมือนกับมีผู้ขวนขวายหาทรัพย์สมบัตินั่นแหละ ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่เต็มโลกนี้ ใครมีความขยันหมั่นเพียรในแง่ใดทางใด ก็ได้ทรัพย์สมบัติในแง่นั้นทางนั้นขึ้นมา ๆ เพราะเป็นของมีอยู่ หาเงินได้เงิน หาทองได้ทอง หาวัตถุสิ่งของก็ได้ เพราะมันมีอยู่ ไม่ใช่หาของไม่มีซึ่งหาจนวันตายก็ไม่เจอ ถ้าหาของไม่มี แต่นี้ธรรมมีอยู่ กิเลสมีอยู่มาตั้งกัปตั้งกัลป์ สิ่งที่เป็นข้าศึกก็เป็นข้าศึกตลอดมา สิ่งที่เป็นคุณก็เป็นคุณตลอดมา และปราบกิเลสได้ตลอดมา ใครจะหยิบยกหรือจะนำมาใช้ในทางใด หรือหมุนไปทางไหนมันก็เป็นไปทางนั้น หมุนทางกิเลส คนทั้งคนก็กลายเป็นเปรตเป็นผีไปได้ ถ้าหมุนทางกิเลสนะ เป็นสัตว์ไปได้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีหางนะคนเรานี้
    <O:p</O:p
    จิตใจนั้นละเป็นสัตว์ เป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม จนกระทั่งถึงธรรมธาตุ เป็นได้จากจิตดวงนี้ ลงนรกอเวจีเป็นได้ เพราะเจ้าของเสาะแสวงหาเอง แสวงทางชั่วเป็นชั่ว ก็ปกคลุมเจ้าของเป็นภัยต่อเจ้าของ แสวงหาความดีก็เป็นคุณแก่เจ้าของ อันใดชั่วเป็นภัยต่อเจ้าของอย่างนี้ตลอดมาและจะตลอดไป ใครจะว่ามรรคผลนิพพานไม่มี ๆ ก็มีแต่กิเลสมันปิดเอาไว้ เพื่อเปิดทางเดินของมันให้สัตว์ ลากสัตว์ทั้งหลายลงไปเท่านั้นเอง จะเป็นอื่นเป็นไรไป กิเลสเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น
    <O:p</O:p
    อย่างที่ว่าสว่างขึ้นนั้น เราเห็นอันนั้นเราก็ตื่นเต้นกับสิ่งนั้น มันนอกจากตัวสิ่งนั้นน่ะ เช่นเกิดในพระพุทธรูป เราก็ไปเห็นที่พระพุทธรูป แล้วยินดีก็ยินดีนั้น ตื่นเต้นก็ตื่นเต้นอยู่นอก ๆ นั้นซึ่งเป็นเงาไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงให้จ้าขึ้นที่นี่ดูซิน่ะ เจ้าของเป็นเองจะเป็นยังไง นั่น รู้เองเห็นเองเป็นเอง แล้วเราเป็นเจ้าของอีกด้วย ทีนี้ต่างกันยังไงกับการไปชมเงาตื่นเงาอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงให้ปฏิบัติกันซี ธรรมพระพุทธเจ้ามีอยู่นี่หายไปไหน ไม่เคยหาย มีแต่กิเลสนั่นแหละมันหลอกตลอดเวลา ๆ เชื่อไม่มีวันจืดจาง ไม่มีวันอิ่มพอ ไม่มีวันเข็ดหลาบ ก็คือสัตว์ทั้งหลายเชื่อกิเลสนั่นแหละ
    <O:p</O:p
    เราพูดจริง ๆ นะถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่วาดออกมาให้เห็นได้ จะเอามาให้เห็น ได้ตีหน้าผากพร้อมด้วย ตาบอดหรือ นี่เห็นไหม ตีหน้าผากพร้อมนะ หน้าผากมันมีตาอยู่ในนี้หรือเปล่า ตีเข้าไปหาตา ฟาดมันหน้าผากแตกก่อน ถ้าไม่เจอตาเอาจนหน้าผากแตกเสียก่อน เห็นไหมนี่น่า ๆ ว่างั้น ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศสอนเหมือนกับว่านี่น่า ๆ อยู่นะ สด ๆ ร้อน ๆ อย่างนั้น แต่กิเลสมันทำให้จืดให้จางตลอด มันเอาของมันสด ๆ ร้อน ๆ ขึ้นแทน ๆ สัตว์ทั้งหลายจึงหลงเป็นบ้าไปตลอดเวลานี้ จะว่ายังไงพูดให้ฟังชัด ๆ พี่น้องหลายนะ มาโกหกเหรอ โกหกหาอะไรก็จะไปชำระกิเลสซึ่งเป็นตัวโกหกในหัวใจเจ้าของต่างหากนี่นะ มาหาโกหกโลกอะไร ให้ได้ปรากฏขึ้นดูซิที่จิตนี่น่ะ จิตดวงนี้น่ะ ถ้าความเลวก็เลวตลอดหมดคุณค่าหมดราคา ก็คือจิตดวงนี้แหละ
    <O:p</O:p
    เห็นไหมนักโทษในเรือนจำใครไปเคารพนับถือเยินยอสรรเสริญเขา ไปกราบไหว้บูชานักโทษมีไหม ก็คนเหมือนกันกับเรา ท่านผู้ดีทำไมก็คนเหมือนกันเราไปกราบไหว้บูชาเคารพนับถือ อย่างนักโทษในเรือนจำมันก็เป็นคนเหมือนกัน มองเห็นแล้วตาไม่อยากดูเลย เหมือนลูกตาจะแตก นั่นเพราะหมดคุณค่าหมดราคาเขาถือกันอย่างนั้น มองก็ไม่อยากมองฟังก็ไม่อยากฟัง เรื่องนักโทษแสดงออกมาแง่ใดนี้ไม่อยากฟังทั้งนั้น นั่นเห็นไหมล่ะ ความหมดราคาแสดงอะไรหมดราคาไปหมด ถ้าสิ่งที่มีราคาแย็บออกมาตรงไหนมีราคาไปหมด ฟังซิ คนนั้นแหละคนเหมือนกันนั่นแหละมันเป็นอยู่ที่ใจนะพาให้เป็น ไม่ได้เป็นอยู่ที่ไหน ทำให้หมดคุณค่าหมดราคา ทั้ง ๆ ที่เป็นคนเหมือนโลกเขา มันก็หมดได้อย่างนั้นละ เห็นกันอยู่อย่างในเรือนจำ คนนอกเรือนจำแม้แต่เด็กเขาก็รัก คนในเรือนจำเป็นปู่ออกมาเขาก็ไม่รักเข้าใจไหม อย่าว่าแต่เด็กเลย ขนาดถึงขั้นปู่เขาก็ โอ้.ปู่อะไร นี่ปู่นักโทษ เขาก็ไปนั้นอีกแหละ มันต่างกันที่คนที่ใจ เปลี่ยนได้หมดใจดวงนี้ยังบอกแล้ว
    <O:p</O:p
    ฟังซิ ก็พูดให้ท่านทั้งหลายฟัง เคยได้ฟังแล้ว ในหนังสือก็มีที่ว่ากิเลสตัวมันเยี่ยม ๆ เห็นไหมล่ะ ตัวมันเยี่ยม ๆ สุดยอดของกิเลสคือกษัตริย์วัฏจักรได้แก่อวิชชาแสดงลวดลายวาระสุดท้าย เราก็เคยพูดแล้วนี่ เดินจงกรมไปยืนรำพึงอยู่ ก็วัดดอยธรรมเจดีย์นั้นแหละไม่ใช่ที่ไหน เดินอยู่ทางด้านตะวันตกแต่เช้านะ โอ้.มันน่าอัศจรรย์ก็อัศจรรย์ละซิ จะว่าเราบ้าก็เราพูดตามความจริงนี่จะบ้ายังไง ไม่มีที่ใดอัศจรรย์ก็มาอัศจรรย์ตัวนี้แหละ โถ อุทานขึ้นเลยนะ ไม่ลืม โลกทั้งโลกปกติมันก็ว่างอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงยังไม่ว่างตัวเองเท่านั้นเอง สิ่งทั้งหลายมันว่างไปหมดด้วยการชำระของเรา ทีนี้จิตที่เป็นกิเลสส่วนละเอียดมันก็แทรกเข้าตรงนั้น เสริมกันในตรงนั้น เลยความสว่างไสวของตนที่จิตชำระได้ อวิชชาก็แทรกเข้าไปนั้น มันก็เลยกลายเป็นเรื่องของอวิชชาไปหมด แต่ไม่รู้อวิชชาซิ ว่าเป็นธรรมไปเสียหมด หลงมันเสียจน
     
  20. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ถึงขนาดที่ออกอุทาน โห จิตของเราทำไมถึงอัศจรรย์เอาถึงขนาดนี้เชียวหนา ว่าอย่างนั้นนะ มองดูที่ไหนมันก็จ้าไปหมดเลย เวลามันเด่น ๆ อวิชชาแทรกเข้าไปในนั้นไม่รู้นะ เงาของอวิชชามันแทรกเข้าไปในนั้นเราก็ไม่รู้ ทีนี้พระธรรมท่านก็กลัวหลงกลอุบายละซิ นั่นเห็นไหมล่ะ พออุทานขึ้นอย่างนั้นอัศจรรย์ตัวเองว่าเป็นความสว่างไสว เป็นความอัศจรรย์ เรียกว่าเหนือโลกเหนือสงสารไปก็ว่าได้ เวลามันหลงหลงขนาดนั้น
    <O:p</O:p
    ทีนี้พระธรรมท่านก็กลัวจะหลงละซิ ท่านเตือนขึ้นมา เรายังไม่รู้ว่าพระธรรมเตือนนะ เห็นไหมล่ะอำนาจของกิเลสมันกล่อม เคยพูดแล้วว่าถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ นั่นฟังซิ ความสว่างออกจากจุดนี้ มันไม่ดูจุดนี้ซิ ท่านเตือนเข้าไปตรงนี้ นี่ตัวภัยอยู่ตรงนี้นะความหมาย เลยหลงไปอีก ไม่รู้นะ หลังจากเผาศพหลวงปู่มั่นแล้ว ตอนเดือน ๓ ขึ้นไปบนหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ไปภาวนา เพราะเราเคยขึ้นลงเสมอเนื่องจากสถานที่นั่นเหมาะสมมาก ไปอยู่เรื่อย หลงกลอันนี้แก้ยังไม่ตก ฟาดไปอำเภอบ้านผือ อำเภอท่าบ่อ แต่ก่อนไม่มีหลายอำเภอ มีแต่อำเภอบ้านผือ อำเภอท่าบ่อ ๒ แห่งเท่านั้น เดี๋ยวนี้ดูเหมือนอำเภอศรีเชียงใหม่เพิ่มเข้าไปอีก แล้วยังจะมีอำเภออะไร ไปอยู่นั้นจนกระทั่งเดือน ๖ จวนสิ้นเดือนเมษายนเดือน ๕ กลับมา แล้วเดือน ๖ ก็ขึ้นไปอยู่นั้น กลับมาอีกมาตรงนั้นอีก มาแก้ปัญหาความสว่าง นี่หมายถึงว่าสว่างจุดหนึ่งที่ทำให้หลงอย่างลืมเนื้อลืมตัวเลย ถึงขนาดพระธรรมท่านมาเตือนให้ได้สติ ยังไม่ยอมได้สตินะ ยังแบกไปโน้นแล้วกลับมาอีก ก็มาที่เก่านั้นแหละ
    <O:p</O:p
    ทีนี้มาสรุปความเลยว่า ความสว่างไสวนั้น บทเวลาธรรมชาติที่แท้จริงเต็มสัดเต็มส่วนได้พุ่งขึ้นเท่านั้น ความสว่างไสวเหล่านั้นมันกลายเป็นกองขี้ควายไปได้หมด เป็นยังไงแต่ก่อนว่าอัศจรรย์ ทีนี้ทำไมจึงกลายเป็นกองขี้ควายไปได้ นี่เพราะธรรมชาติที่เลิศเลอเหนือโลกเหนือสงสาร เหนือสมมุติโดยประการทั้งปวงนี้ครอบไปหมดเลย มันเหนือกันขนาดไหน มันถึงว่า โอ้โห มันหลงขนาดนี้เชียวนะ เห็นเป็นกองขี้ควายแล้วนะที่นี่นะ ตอนที่อัศจรรย์แต่ก่อนกลับมาเป็นกองขี้ควาย เพราะอำนาจแห่งธรรมที่เลิศเลอเหนือกว่านั้นครอบไปหมดเลย อันนี้เลยกลายเป็นกองขี้ควายได้ เราลืมเมื่อไหร่ มันเป็นอยู่ที่หัวใจนี่นะ
    <O:p</O:p
    ปฏิบัติให้ดีซิใจดวงนี้ เวลามันเลิศมันเลอมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เวลามันเลวก็เป็นอย่างนั้นอย่างที่เห็นทั่ว ๆ ไป จิตดวงเดียวนี้นะพาให้เป็น เพราะฉะนั้นจึงให้พยายามดัดแปลงแก้ไขจิตดวงนี้ที่เป็นภัยเต็มตัว ๆ ออกโดยลำดับด้วยการสร้างความดี ฝืนกิเลสบำเพ็ญความดีเข้าไป เราจะเอาแต่เรื่องกิเลสมาเป็นหัวหน้าแล้วสร้างอุปสรรคตลอดเวลาในการสร้างความดี สร้างไม่ได้นะ ต้องฝืนตลอดเวลา นั่นละความอัศจรรย์แท้ ไม่ตื่นเงาไม่ไปตื่นที่ขึ้นที่ตรงนั้น สว่างที่ตรงนี้ ไม่เป็นบ้า ลงนี่จ้าขึ้นมาแล้วลบหมดเลย สามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเหมือน เหนือหมดทุกอย่างเลย
    <O:p</O:p
    เพราะฉะนั้นพูดตามหลักความจริงจึงพูดว่าสามแดนโลกธาตุนี้คือถังขยะ ว่าอย่างนั้นเลย พูดอย่างอื่นไปไม่ได้เมื่อเทียบกับธรรมชาติที่เหนือโลกเหนือสงสารไปแล้ว เหนือนั้นมันเลยสมมุติไปแล้วเอามาเทียบกัน สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นถังขยะ จะว่ายังไง แต่ก่อนรู้เมื่อไหร่เห็นเมื่อไหร่ อย่างนี้ แล้วมันเป็นขึ้นในจิตเต็มที่แล้วไม่บอกมันก็รู้ มันก็เห็น นี่แหละธรรมที่ว่าใครจะคาดไม่ได้นะ คาดธรรม คาดกรรมคาดไม่ได้ แล้วแต่จะแสดงขึ้นมาด้วยเหตุผลกลไกอะไรจะขึ้นมาเองเป็นเอง ส่วนที่จะไปคาดอย่าไปฝันว่าอย่างนั้นเลย ฝันดิบฝันสด
    <O:p</O:p
    นี่สอนแล้วสอนเล่า ไม่ได้มากก็ขอให้ได้มีร่องรอยติดเนื้อติดตัวบ้าง ร่องรอยแห่งความดีทั้งหลาย อย่าปล่อยไปเฉย ๆ นะ วันหนึ่งคืนหนึ่งมีแต่กิเลสถลุงตลอดเวลา กิเลสไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ถลุงได้ตลอดในหัวใจสัตว์ ถลุงตลอด ทีนี้ธรรมเวลาบำเพ็ญแล้วก็เป็นอกาลิโก ถลุงกิเลสได้เช่นเดียวกัน มีธรรมเท่านั้นเหนือกิเลส นอกนั้นปราบกิเลสไม่ลง มีธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องปราบกิเลสได้ เรียกว่าอย่างเยี่ยมที่สุดเลยละ ท่านจึงสอนให้ปฏิบัติธรรม
    <O:p</O:p
    ในสามแดนโลกธาตุนี้เป็นแดนแห่งข้าศึกคือกิเลสเต็มไปหมด แล้วธรรมมาปราบมาแก้มาไข ตัวเองนั้นแหละที่อยู่ในถังขยะนั่น แก้ออกไปยังไงมันก็พ้นถังขยะไปได้ อย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เวลาท่านยังครองขันธ์อยู่ พระสรีระและร่างกายของท่านก็เป็นถังขยะเพราะเป็นสมมุติด้วยกัน แต่จิตของท่านพ้นแล้ว ท่านจะพูดว่าเหล่านี้ถังขยะก็ไม่ผิด พูดถึงตัวท่านเองด้วยว่าท่านก็เป็นถังขยะ ในส่วนที่ยังเป็นสมมุติอยู่เป็นถังขยะทั้งหมด นั่น เพราะเมื่อพ้นไปแล้วธรรมชาตินั้นไม่ใช่ถังขยะ จึงดูถังขยะได้อย่างจะแจ้งทีเดียวหายสงสัย เอ้ เมื่อวานนี้ไปไหนนะ ลืม อย่างนี้ละไปไหนมาลืม โอ๋.ไปวัดธรรมอินทร์เมื่อวานนี้นะ ไปนายูง ไปอยู่ประมาณชั่วโมง พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้สั่งเสียอะไร ๆ แล้วก็กลับมา ไปไหนมาไหนแล้วจำไม่ได้นะทุกวัน ไปแล้วหายเงียบเลย
    <O:p</O:p
    อย่างเมื่อวานนี้ เอ้.เมื่อวานนี้ไปไหนนะ จำไม่ได้ ความจำตัดเข้ามา ๆ นี่เรียกว่าขันธ์ เรียกว่าสมมุติ ขันธ์ทั้งห้าแสดงอยู่ในจิต คือจิตอยู่เหนือนั้นนะ แต่กิริยาของอันนี้มันเป็นสมมุติของมัน มันก็หมุนของมันอยู่อย่างนั้นตลอด เป็นเรื่องของมันเอง มันก็ไม่รู้ว่ามันแสดงนะ จิตนั่นแหละรับทราบ มันก็ไม่รู้ว่ามันกวนอะไร มันก็แสดงของมัน แต่คำว่ากวนก็คือว่ามันทำให้รับทราบอยู่เสมอ ธรรมชาติที่รู้คือจิตรู้อยู่ อันนั้นมันแสดงยังไงก็แสดงของมันอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะหมดสภาพของขันธ์ ๕ แล้ว เรียกว่าสมมุติหมดโดยสิ้นเชิง ปล่อยโดยสิ้นเชิงเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน เวลาท่านครองธาตุครองขันธ์อยู่ก็เป็น สอุปาทิเสสนิพพาน จิตที่บริสุทธิ์แล้วแต่ยังรับผิดชอบในขันธ์นี้อยู่ พาไป พามา พาอยู่ พากิน พาหลับ พานอน หมุนอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาในวงสมมุติ เพราะอันนี้หมดแล้วก็เรียกว่าสมมุติในโลกนี้มายุติสุดท้ายคือขันธ์ดับ หมายถึงพระอรหันต์ท่าน สมมุติสุดท้ายคือขันธ์ที่เกี่ยวข้องกับท่าน แม้ท่านจะไม่ติดไม่พัน ไม่ซึมซาบก็ตาม มันแสดงก็บอกว่าแสดง มีความรับผิดชอบของท่าน
    <O:p</O:p
    พออันนี้ดับพรึบลงเท่านั้น เรียกว่าตาย สมมุติทั้งมวลก็ขาดสะบั้นลงโดยลำดับ อนุปาทิเสสนิพพานล้วน ๆ ก็เป็นไปอยู่แล้ว มีแต่ขันธ์เท่านั้นที่ทำให้เป็น สอุปาทิเสสนิพพาน พออันนี้ขาดลงไปก็หมด ท่านแสดงไว้อย่างจะแจ้งนี่นะ แต่เราถ้ามันมืดไม่รู้ในใจ แสดงเท่าไรมันก็สงสัยอยู่นั้นละ พอมันเป็นขึ้นแล้วก็รับกันปึ๋งทันทีเลย หายสงสัย ๆ เวลานี้กิเลสกำลังหนาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ นะ ธรรมนี้ค่อยอ่อนลง ๆ ถูกทับถูกถมแทบจะไม่มีนะ ต่อไปจะไม่มี คืออำนาจของกิเลสมันมาทุกแง่ทุกมุม มองไม่ทันนะ สิ่งที่ผลิตขึ้นมาให้โลกได้หลงได้เพลิดเพลินนี้มันรอบตัว ๆ มาทุกแบบทุกฉบับล้วนแล้วตั้งแต่กลมายาของกิเลสที่หลอกสัตว์โลกให้หลงทั้งนั้น มันผลิตขึ้นมาเจ้าของผู้ผลิตก็หลง ผู้ไปเป็นบ้านั้นอีกก็หลง ต่างคนต่างหลงด้วยกันนั่นแหละ
    <O:p</O:p
    เอ้า ผลิตอันนั้นขึ้นมาผลิตอันนี้ขึ้นมา อู๊ย.พิสดารมากนะ เรื่องของกิเลสสมมุตินี่นะ ธรรมจับรู้หมดจะว่าไง มันจะแย็บออกมาตรงไหนปิดไม่อยู่ เพราะธรรมเหนือกว่ามันจะออกมาแบบไหนปิดไม่อยู่ จะทราบทันที ๆ ผู้ไม่ทราบมันก็คว้าทันที ๆ เข้าใจไหม อันหนึ่งแย็บขึ้นมาทราบทันที อันหนึ่งพอแย็บขึ้นมาคว้าทันทีเลย เข้าใจไหม พวกเรานี้พวกคว้าทันที เป็นอาจารย์ใหญ่ของลิง ลิงนี้จะไม่มีเหลือแหละ ถ้ามนุษย์ไปที่ไหนลิงนี้แตกฮือเลย ไม่มีป่าอยู่โดดลงทะเล สู้มนุษย์ไม่ได้มนุษย์นี้เก่งกว่าลิง แย็บออกมามันคว้ามับ ๆ หลงทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าจะไม่ให้หลงไม่มี ถ้าลงกิเลสยังมีแทรกอยู่ในใจมันหลงได้ทั้งนั้น พอกิเลสหมดสิ้นเชิงรู้ได้หมด อะไรแย็บขึ้นมานี้รู้ทันที ๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ ท่านจึงเรียกว่าธรรมในหลักธรรมชาติ วันนี้พูดเท่านี้ละธรรมะ ไม่พูดมากอะไรละ
    <O:p</O:p
    ทองคำเมื่อวานนี้ได้ถึง ๑ บาท ๒๕ สตางค์ ดอลลาร์ได้ตั้ง ๕๐๔ ดอลล์นะเมื่อวาน อย่างนี้ละดอลลาร์เราขึ้นเรื่อย ๆ กว่าทองคำได้ถึง ๑๐ ตัน มันจะต้องถึง ๑๐ ล้านแหละเราคิดไว้นะ เพราะมันขยับขึ้นไปเรื่อย เมื่อวานนี้ก็ได้ตั้ง ๕๐๔ ดอลล์ ส่วนกฐินเงินสดได้ ๑ กอง รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ๕,๒๘๗ กิโลครึ่ง กฐินทองคำ ๘๔,๐๐๐ กองนั้นได้แล้ว ๘๔,๐๖๖ กอง เกิน ๘๔,๐๐๐ ไป ๖๖ กอง เป็นอันว่าหมดปัญหา เรื่องที่ว่ากฐินก็หมดปัญหากันไป ทีนี้เราก็หมุนเพื่อทองคำไม่บอกว่ากฐิน เพราะกฐินนี้กฐินเพื่อทองคำ เมื่อกฐินนี้ครบตามจำนวนแล้วเราก็บอกไว้เพื่อทองคำ ๆ เพื่อผ้าป่าทองคำ ๆ ไปเรื่อยตามเดิมนั่นแหละ กรุณาทราบตามนี้ ไม่มีปัญหาอะไรแล้วละเรื่องกฐิน ๘๔,๐๐๐ กองนี้เราเทียบทองคำได้ ๓๐๐ เหรอ
    <O:p</O:p
    โยม ๓๒๐ กิโลครับ
    <O:p</O:p
    หลวงตา ๓๒๐ กิโล แต่เงินของเราที่ได้ตามกำหนด ๘๔,๐๐๐ กองนี้ จะไม่พอกับทองคำซึ่งขึ้นราคาขึ้นทุกวันนะ ทองคำนี้มันขึ้นราคาขึ้นเรื่อย ๆ ใช่ไหม แพงขึ้นเรื่อยใช่ไหม เดี๋ยวนี้เท่าไหร่ทองคำหนักบาทหนึ่ง เป็นเงินสดเท่าไหร่
    <O:p</O:p
    โยม ทองคำบริสุทธิ์ ๙๙.๙๙ มัน ๖,๘๐๐ เจ้าค่ะ ก่อนวันกฐินมันขึ้น ๆ ลง ๆ เรื่อย ๆ แต่ตอนวันกฐินหลวงตาขึ้น ๖,๗๐๐ เจ้าค่ะ

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=91&CatID=2<O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...