ไหลน้ำพี้/ข้าวตอกพระร่วง/พระขรรค์น้ำพี้ไม้งิ้วดำ16 นิ้วอีก 1 เล่มยังไม่มีเจ้าของ/เขาควายเผือกตายฟ้าผ่าสำหรับทำมีดหมอ

ในห้อง 'กระทู้เก่า' ตั้งกระทู้โดย satan, 26 เมษายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ในหลวงตรัส "ฉันจะอยู่ถึง 120 ปี..."
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 เมษายน 2008
  2. eka.11@hotmail.com

    eka.11@hotmail.com Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +53
    ผมขอจองด้วย1ชุดครับขอแจกแถมเยอะๆน๊าแล้วจะอุดหนุนบ่อยๆ ถ้าได้มาเมื่อไหร่ก็บอกด้วยครับเมล์มาได้ยิ่งดี ที่อยู่เมล์ผมก็ตามชื่อสมาชิกผมนี่แหละครับ
     
  3. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ครับผม...สิ้นเดือนนี้ผมไปเอาที่อุตรดิตถ์ครับ...ยังไงถ้าไปเอามาแล้วผมจะแจ้งให้ทราบครับผม .. ของแถมอาจจะมากกว่าที่เคยบอกไว้ครับ ^^ (good) (good) (good)
     
  4. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,358
    ค่าพลัง:
    +1,088
    [​IMG]ที่เห็นในรูปราคาเท่าไร........วานบอกที
     
  5. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ที่เห้นในรูปนี้มีคนบุชาไปเรียบร้อยแล้วครับ 2500 บาทครับผม ^^ (good) (good) (good)
     
  6. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ปัญญา ๓
    โดย พระอาจารย์ทูล ขิปปปญโญ
    วัดป่าบ้านค้อ ต. เขือน้ำ อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี
    โทร (๐๘๒) ๒๔๕–๔๘๘

    ปัญญา ๓ ที่จะได้อธิบายต่อไปนี้ เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าได้ทรงอบรมสั่งสอนให้แก่พุทธบริษัท ให้ปฏิบัติได้บรรลุมรรคผลนิพพานมาแล้ว พระพุทธเจ้าทรงมีพระญาณหยั่งรู้โลกได้อย่างแจ่มแจ้ง คำว่า โลก หมายถึงหมู่สัตว์ทั้งหลายที่เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในภพทั้งสามนี้มายาวนาน พระองค์ทรงมีพระญาณหยั่งรู้ว่า ความเห็นผิดนี้เอง เป็นต้นเหตุ ตราบใดใจที่มีความเห็นผิดคิดว่าโลกนี้มีความน่าอยู่ ในตราบนั้นก็จะเวียนเกิดตายอยู่ในโลกนี้ไม่มีที่สิ้นสุด จะไม่รู้ตัวเองเลยว่าจะเกิดตายอยู่ในโลกนี้ต่อไปอีกนานเท่าไร กระแสโลกที่จะลอยตามอยู่ ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดที่ตรงไหน จึงไม่มีใครให้คำตอบแก่ตัวเราได้ จึงเรียกว่า โมหะ หมายถึง ใจที่หลงใหลไปตามกระแสโลกนั้นเอง ความหลงเป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิด ความเห็นผิดเป็นเหตุให้เกิดความหลง ความหลง ความเห็นผิดนี้เอง จึงเรียกว่าอวิชชา คือความมืดบอดของใจ คำว่า มืดบอด หมายถึง ใจไม่มีความฉลาดรอบรู้ในสัจธรรมตามความเป็นจริง ไม่รู้เห็นในแนวทางปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้แล้ว ใจที่มีโมหะอวิชชาครอบงำ จึงชอบทำอะไรไปตามความต้องการ อยากในสิ่งใดไม่มีความสำนึกได้ว่าผิดหรือถูก จะเอาตามความอยากความต้องการให้สมใจ ตามปกตินิสัยจะมีความอยากฝักใฝ่ไปในทางที่ต่ำ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลกที่มีความเป็นอยู่อย่างนี้ จึงมีปัญหาเกิดขึ้นแก่ตัวเองและสังคมส่วนรวมมากมาย

    ตามปกติคนเรามีปัญญาอยู่ในตัว แต่ใช้ปัญญาไปในทางโลกเสียส่วนใหญ่ จึงได้ถูกตัณหาคือความอยากชักลากเอาปัญญาไปครอบครอง ปัญญาจึงกลายเป็นความคิดเห็น เป็นลูกมือให้แก่กิเลสตัณหาไป เหมือนกับอาวุธของตำรวจที่ถูกพวกโจรลักไปได้แล้ว ก็จะเป็นเครื่องมือให้แก่พวกโจรไป อยากจะทำอะไรให้คนอื่นได้รับความทุกข์เดือดร้อนอย่างไรก็ทำตามใจ นี้ฉันใด ปัญญาของเรา เมื่อถูกกิเลสตัณหาลักพาไปได้แล้ว ก็จะกลายเป็นความคิดเพื่อเสริมการทำงานให้แก่กิเลสตัณหาได้เป็นอย่างดี ถ้าเป็นฝ่ายธรรมเรียกว่าปัญญา ถ้าเป็นฝ่ายกิเลสตัณหา เรียกว่าความคิดปรุงแต่งไปตามสังขาร เหมือนกับปากกาด้ามเดียว ถ้าเขียนไปทางคดีโลก ก็เป็นเรื่องของทางโลกไป ถ้าเขียนในทางธรรม ก็เป็นเรื่องของธรรม คิดเรื่องถูก ใจก็เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก คิดในเรื่องผิด ใจก็เกิดความเห็นผิด คิดเรื่องชั่ว ใจก็พลอยเห็นชั่วไปด้วย คิดเรื่องดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับเรานำเอาเรื่องมาคิด คิดในเรื่องอะไร ใจก็จะค่อยตามความคิดนั้น ๆ ความคิดเป็นศัพท์ของชาวบ้านพูดกันทั่วไป ปัญญาเป็นศัพท์พูดกันให้ถูกกับภาษาธรรม เหมือนคำพูดที่ว่า คนพาลก็หมายถึงคนที่ไม่ดี ในศัพท์คำพูดว่า นักปราชญ์บัณฑิตก็หมายถึงคนดี ทั้งที่มีภูมิฐานเชื้อชาติเป็นมนุษย์ด้วยกัน นี้ฉันใด ปัญญา กับ สังขารการปรุงแต่ง ก็เป็นในลักษณะความคิดเช่นเดียวกัน แต่ก็คิดไปคนละเรื่อง คิดไปคนละทาง สังขารการปรุงแต่งคิดในเรื่องเข้าฝ่ายของกิเลสตัณหา ปัญญาคิดในเรื่องเข้าฝ่ายในทางธรรม

    ศัพท์ในทางธรรมที่สูงขึ้นไปกว่านี้ เรียกว่า วิปัสสนา หรือศัพท์ในทางธรรมที่เรียกสูงขึ้นไปอีกเรียกว่า วิปัสสนาญาณ เป็นคำสมมติเรียกให้ถูกกับความหมาย ถ้าคิดพิจารณาให้ถูกต้องตามหลักสัจธรรมความจริงทั่วไป จึงเรียกว่าปัญญาขั้นต้น ปัญญาในขั้นต่อไปจะต้องใช้การพิจารณาในสัจธรรมอันเป็นหลักเดียวกัน จนเกิดความรู้เห็นตามความเป็นจริง ละเอียดมีความชัดเจนมากขึ้น จึงเรียกชื่อว่า วิปัสสนา ปัญญาในวิปัสสนาได้พิจารณาในหลักที่เป็นสัจธรรมเดียวกัน จนเกิดความรู้เห็นตามความเป็นจริง มีความละเอียดมากขึ้นตามลำดับ มีความแยบคายและหายสงสัยในสัจธรรมนั้น จึงเรียกชื่อว่า วิปัสสนาญาณ เป็นญาณที่รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง ทำให้ใจเกิดนิพพิทาเบื่อหน่ายคลายจากความกำหนัดยินดี มีการละถอนปล่อยวางไปได้ ก็จะเกิดผลเป็นปฏิเวธ นี้เพียงลำดับขั้นตอนให้รู้เท่านั้น เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้รู้จักขั้นตอนของปัญญา ว่ามีการโยงต่อกันเป็นอย่างไร ผู้ปฏิบัติจะไม่เกิดความสับสน ได้เข้าใจในการฝึกปัญญาให้ถูกต้อง มิใช่ว่าจะคอยให้ปัญญาเกิดขึ้นจากสมาธิความสงบตามความเข้าใจ ที่จริงปัญญาจะมีอยู่กับทุก ๆ คน แต่ก็ไม่รู้จักปัญญาของตัวเองที่มีอยู่ ถ้าพูดเรื่องความคิด ทุกคนจะรู้จักดี เพราะคิดเป็นทุกคนอยู่แล้ว ถ้าพูดเรื่องปัญญา กลับไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร ก็เพราะไม่ได้ศึกษา จึงเกิดความเข้าใจไปตามครูสอนว่า ปัญญาจะต้องเกิดจากสมาธิความสงบเท่านั้น

    มีหลายคนที่ใช้ศัพท์คำพูดเกินตัว เช่น พูดว่าไปนั่ง วิปัสสนา หรือปฏิบัติในวิปัสสนาบ้าง นี้ก็พูดตามครูผู้สอนตาม ๆ กันมาแบบนกแก้วนกขุนทอง ครูผู้สอนก็ยังไม่รู้ ผู้ปฏิบัติตามก็ยังไม่เข้าใจ จึงพูดไปโดยไม่รู้จักความหมายที่ถูกต้อง หากถามว่านั่งวิปัสสนาทำอย่างไร ก็ให้คำตอบว่านึกคำบริกรรม ทำให้จิตมีความสงบ บางคนก็ใช้วิธีกำหนดรู้การเกิดดับของลมหายใจเข้าออก บางคนก็พูดว่าอยู่ในความว่างไม่มีอะไร บางคนก็พูดว่าให้มีสติกำหนดรู้อยู่กับอารมณ์ของใจ ถ้าเป็นในลักษณะนี้จะเรียกว่าวิปัสสนาเบี้ยหัวแตกก็คงไม่ผิด เป็นเพราะว่าขาดการศึกษาในภาคปฏิบัติ จึงใช้วิธีที่จะปฏิบัติในทางลัดให้ได้ถึงมรรคผลโดยเร็ว เหตุอย่างนี้เอง จึงได้อธิบายปัญญา ๓ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้รู้จักขั้นตอนที่ถูกต้อง ให้เป็นไปตามแนวทางเดิมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ศึกษาให้เข้าใจในวิธีการปฏิบัติ หากรวบรัดเกินไปจะไม่ได้ผลอะไร การศึกษาในปริยัติสำหรับฆราวาสจึงยากที่จะหาเวลาไปศึกษาได้ เพราะมีภาระรับผิดชอบในหน้าที่การงาน และรับผิดชอบในครอบครัว ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องศึกษาในภาคปฏิบัติให้เข้าใจ หรือได้ศึกษาในภาคปริยัติมาแล้ว ก็เลือกเอาหมวดธรรมใดหมวดธรรมหนึ่ง เห็นว่าพอจะปฏิบัติตามได้ ให้เอามาปฏิบัติต่อไป เพื่อจะเป็นแสงสว่างส่องทางให้แก่ใจได้รู้เห็นในความเป็นจริง ถึงจะมีความรู้มาดี ถ้าไม่มีปัญญาเป็นองค์ประกอบ ความรู้ความเข้าใจในตำรานั้นก็แก้ไขปัญหาให้แก่ตัวเองไม่ได้ การปฏิบัติธรรมต้องให้ตรงกับนิสัยของตัวเองจึงจะได้ผล เพราะในยุคนี้ไม่เหมือนกับสมัยครั้งพุทธกาล ผู้ปฏิบัติต้องช่วยตัวเองให้มาก ศึกษาในภาคปฏิบัติให้เข้าใจ จึง

    จะไม่ให้เกิดความผิดพลาด การปฏิบัติก็จะก้าวหน้าไปด้วยดี ในสมัยครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงมีญาณหยั่งรู้นิสัยบารมีของผู้ปฏิบัติได้เป็นอย่างดี รู้ว่านั้นได้สร้างบารมีมาอย่างไร สมควรที่จะได้บรรลุธรรมในขั้นไหน ให้อุบายธรรมเชื่อมโยงกับบารมีเก่าที่ทำมาแล้วอย่างไร เมื่อได้รับอุบายธรรมให้ถูกกับจริตนิสัยแล้วนำไปปฏิบัติ จึงได้บรรลุมรรคผลได้ ผู้ที่มีญาณหยั่งรู้นิสัยบารมีของคนได้ มีเฉพาะพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย จะไม่มีญาณนี้เหมือนพระพุทธเจ้าเลย แม้ในยุคนี้ ถึงจะมีพระอรหันต์อยู่ ก็ไม่มีญาณหยั่งรู้นิสัยบารมีของผู้ปฏิบัติเช่นกัน ถึงท่านจะให้อุบายธรรมเป็นขั้นเป็นตอนอย่างชัดเจน ก็ยังไม่ถูกกับนิสัยบารมีแกผู้ปฏิบัติอยู่นั่นเอง ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติต้องใช้ความพยายามฝึกสติปัญญาหาอุบายธรรมด้วยตนเอง คิดพิจารณาในหลักความเป็นจริงอยู่บ่อย ๆ อีกสักวันหนึ่ง ก็จะตรงกับบารมีเก่าที่เราได้บำเพ็ญมาแล้ว การปฏิบัติก็จะได้รับผลเกิดขึ้น ในขณะนั้น ผู้ปฏิบัติต้องฝึกตัวเป็นหมอ สำรวจตรวจเช็คตัวเองอยู่เสมอ ใช้สติปัญญาตรวจตราดูความบกพร่องของตัวเอง การทำทางกาย การพูดทางวาจา การนึกคิด และความเห็นของใจ มีความผิดพลาดที่ตรงไหน ใช้สติปัญญาแก้ไขให้ทันต่อเหตุการณ์ ถ้าปล่อยไว้นานจะเกิดปัญหาให้แก่ใจได้ เช็คดูกายวาจาใจบ่อย ๆ มีปัญหาอะไร รีบชำระให้หมดไปทันที ถ้าปล่อยไว้นานจะเกิดเป็นปัญหาสะสมทับถมมากขึ้น จึงยากในการแก้ไขให้หมดไปจากใจได้

    สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามย-ปัญญา ปัญญาทั้ง ๓ นี้ มีเหตุปัจจัยเชื่อมโยงต่อกัน สุตมยปัญญา เป็นปัญญาในภาคการศึกษาเรียนรู้ จินตามยปัญญา เป็นปัญญาเลือกเฟ้นในหมวดธรรมมาปฏิบัติ ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่ตัดกิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจ ได้เกิดมรรคผลเป็นปฏิเวธ ในสมัยครั้งพุทธกาล ผู้ปฏิบัติธรรมเห็นธรรมด้วยสติปัญญา จะมีวิธีศึกษาจากการฟัง ถึงจำธรรมมาได้น้อย แต่ใช้สติปัญญาในภาคปฏิบัติมาก จึงเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม รู้ธรรมมาได้แค่ไหนก็ใช้ปัญญาพิจารณาให้เกิดความแยบคายได้เท่านั้น ในยุคนี้มีการศึกษามาก แต่ไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณา อยากรู้ธรรมหมวดไหน ก็ไปอ่านรู้เองจากตำรา ตำราเขียนว่าอย่างไรก็เรียนรู้ไปตามนั้น บางทีเรียนมาไม่เหมือนกัน หรือตีความหมายในธรรมออกมาไม่เหมือนกัน จึงเกิดเป็นทิฏฐิมานะถกเถียงกันไม่ใคร่ยอมใคร เหมือนตาบอดคลำช้าง ใครคลำถูกตรงไหนก็เข้าใจว่าช้างเป็นตัวเอย่างนั้น จะถกเถียงกันไปมาว่าตัวเองรู้จักช้างดีกว่าใคร ๆ จึงทำให้เกิดทิฏฐิมานะเกิดอัตตาว่าเราเป็นผู้รู้จักช้างตัวจริงแต่เพียงผู้เดียว ผู้มีตาดีรู้จักช้างทั้งตัวไปอธิบายให้บอดฟัง ไอ้บอดก็หมายถึงใจที่ไม่มีความฉลาดรอบรู้ในสติปัญญา ถึงจะมีการเรียนรู้จากตำรามา ก็ไม่มีปัญญาที่จะเลือกเฟ้นเอาหมวดธรรมนั้นมาปฏิบัติได้เลย ก็จะกลายเป็นตุสสโปฐิละผู้แบกคัมภีร์เปล่าต่อไป ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญในปัญญามาเป็นอันดับหนึ่ง จะเห็นได้จากมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง

    สุตมยปัญญา เป็นปัญญาในภาคการศึกษาในปริยัติ เช่น หมวดของศีลก็เป็นปริยัติ หมวดของสมาธิก็เป็นปริยัติ และหมวดธรรมต่าง ๆ ในตำราก็เป็นปริยัติ การศึกษาในหมวดศีล จะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ให้ศึกษาดูแต่ละข้อว่าจะรักษาให้ศีลมีความบริสุทธิ์ได้อย่างไร มิใช่จะรับศีลจากพระแล้วก็คิดว่าตัวเองมีศีล นั้นเป็นเพียงพิธีการรับศีลเท่านั้น ส่วนวิธีการรักษาศีลเป็นอีกอย่างหนึ่ง ต้องมีความพร้อมด้วยสติปัญญาในการรักษา ปัญญาในการศึกษาศีล ปัญญาเป็นองค์ประกอบในการรักษาศีล ฉะนั้น สุตมยปัญญา จึงมีความสำคัญ แม้แต่ทางโลกที่ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีความสุข ก็เนื่องด้วยสติปัญญาที่ดีในทางโลก ในทางธรรมก็ต้องใช้สติปัญญามีการศึกษาในทางธรรม แล้วนำธรรมหมวดนั้น ๆ มารักษาและปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักความเป็นจริง ฉะนั้น ปัญญาจะมีอยู่กับทุก ๆ คน ไม่ต้องไปนึกคำบริกรรมทำสมาธิให้จิตมีความสงบ ปัญญาก็มีอยู่แล้ว ผู้นับถือศาสนาพุทธ ผู้นับถือศาสนาอะไรก็ตาม ทุกคนมีปัญญา แม้แต่ผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอะไร เขาก็มีปัญญาเช่นกัน ถ้าปัญญานี้มีอยู่กับนักปราชญ์บัณฑิต ก็เป็นปัญญาความเห็นชอบ ถ้าปัญญามีอยู่กับคนพาลสันดานชั่ว ก็เป็นมิจฉาปัญญาความเห็นผิดไป ฉะนั้น ต้องฝึกปัญญาฝึกความคิดให้มีเหตุมีผล จะได้เกิดมีปัญญาในทางธรรม พิจารณาในสิ่งใดก็จะเกิดความแยบคาย ทำให้หายสงสัยไปได้ ผู้ไม่มีปัญญา ไม่มีความฉลาดรอบรู้ จะทำอะไรสำเร็จได้ยาก หรือไม่สำเร็จได้เลย ผู้มีปัญญาจะรักษาศีลให้มีความบริสุทธิ์ได้ ไม่มีปัญญาศึกษาในศีล ก็ไม่รู้วิธีการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ หลักการศึกษาในหมวดศีลอย่างละเอียดให้อ่านหนังสือสัมมาทิฏฐิ เล่ม ๑ ที่อธิบายไว้แล้ว


    http://ecurriculum.mv.ac.th/dhamma/...eway.com/monk/preach/lp_tool/lp-tool_5-01.htm
     
  7. JA_CK

    JA_CK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +263

    ต้องขออภัยท่านพ่อมดโลจิด้วยครับเนื่องจากมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินจึงขอยกเลิกการจองครับผม.....(cry) ...ขออภัยครับ
     
  8. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    รับทราบขอรับกระผม ^^(good) (good) (good)
     
  9. ซุปเปอร์แมน

    ซุปเปอร์แมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +195

    มีคนจองหรือยังครับถ้ายังผมจองนะครับ 1,000 ใช่หรือเปล่าครับ ได้คำตอบโอนเงินวันถัดไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 เมษายน 2008
  10. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ยังไม่มีผู้ใดจองครับผม...พร้อมจัดส่งทันทีครับ ^^ (good) (good) (good)
     
  11. ซุปเปอร์แมน

    ซุปเปอร์แมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +195

    1,000 นะครับเดี๋ยวโอนพรุ่งนี้จะโอนค่าส่ง EMS ให้ด้วยครับ โอนเสร็จจะแจ้งทาง PM ครับ
     
  12. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ครับผม...แถมนิลดิบให้อีก 10 ก้อนครับ...ค่าจัดส่งไม่ต้องโอนครับ..เพราะว่าผมได้รวมเรียบร้อยแล้วครับผม...(good) (good) (good)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 เมษายน 2008
  13. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ปัญญา ๓ : ปัญญาศึกษาในวิธีทำสมาธิ
    โดย พระอาจารย์ทูล ขิปปปญโญ
    วัดป่าบ้านค้อ ต. เขือน้ำ อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี
    โทร (๐๘๒) ๒๔๕–๔๘๘

    สุตมยปัญญา การศึกษาในวิธีทำสมาธิ การทำสมาธิมีหลายวิธีด้วยกัน ในสมัยครั้งพุทธกาล มีถึง ๔๐ วิธี ที่รู้กันตามตำราว่ากรรมฐาน ๔๐ อย่าง ในยุคนี้ ก็มีหลายวิธีหลายรูปแบบเช่นกัน ถ้าได้ศึกษาในความหมายของสมาธิให้ดีแล้ว แต่ละวิธีก็มีความหมายไปในทิศทางเดียวกัน นั้นคือ จะทำให้จิตมีความตั้งมั่น หรือต้องการให้จิตมีความสงบนั้นเอง การทำสมาธิจะมีอุบายนึกคำบริกรรมที่แตกต่างกันซึ่งไม่เป็นสิ่งสำคัญ ย่อมทำได้ตามจริตนิสัยของแต่ละคน ใครมีความชำนาญในการนึกคำบริกรรมอะไรก็ย่อมนึกได้ แต่คำบริกรรมนั้นต้องประกอบด้วย สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว ให้รู้ว่าขณะนี้เรากำลังนึกอยู่ในคำบริกรรมอะไร ก็ให้ตั้งใจนึกคำบริกรรมอย่างนั้นไป อย่าเอาคำบริกรรมนั้นมาอวดอ้างกัน ว่าคำบริกรรมเราถูก คำบริกรรมอื่นผิด ถ้าเป็นอย่างนี้ จะกลายเป็นผู้สร้างอัตตามานะทิฏฐิเกิดขึ้นแก่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับรับประทานอาหาร ใครมีธาตุขันธ์ต้องการอาหารประเภทใดก็ให้รับประทานไป ในที่สุดก็เอาความอิ่มมาเป็นผลระงับเวทนา คือ ความหิว ได้เช่นกัน นี้ฉันใด การนึกคำบริกรรมในอุบายต่าง ๆ ก็ฉันนั้น เมื่อจิตมีความสงบตั้งมั่นดีแล้ว จะทำให้จิตมีความสุขสบายและเกิดมีกำลัง เมื่อจิตได้ถอน

    ออกจากความสงบแล้ว กำลังใจที่เกิดจากสมาธิก็น้อมไปประกอบกับปัญญาที่เราเตรียมไว้แล้ว ใช้การพิจารณาในหลักความเป็นจริงต่อไป

    โมหสมาธิ

    โมหสมาธิ หรือที่เรียกกันว่าโมหสมาธิ สมาธิหัวตอ สมาธิในลักษณะนี้มีผู้สอนและมีผู้ปฏิบัติกันอยู่มาก ไม่ว่าอยู่ในประเทศไทยหรืออยู่ต่างประเทศ จะสอนและปฏิบัติเอาแต่ความสงบเป็นหลัก ผู้ทำให้จิตมีความสงบลงได้ก็นั่งอยู่นาน ผู้ที่ทำให้จิตสงบลงไม่ได้ ก็คิดวอกแวกไปมา คิดในเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง คิดถึงเรื่องอดีตบ้าง คิดในเรื่องอนาคตบ้าง สารพัดที่จะหาเรื่องมาคิดวุ่นวายกันไปหมด พยายามจะดึงเข้ามาอยู่ในคำบริกรรมก็นึกไปได้แป๊บหนึ่ง เดี๋ยวก็หลงไปคิดในสิ่งต่าง ๆ อีก เป็นอยู่อย่างนี้ ไม่มีความสงบตั้งใจมั่นได้เลย ผู้ทำให้จิตมีความสงบได้ก็จะมีความสุข มีความยินดีพอใจในความสุขของความสงบนั้น ถึงจิตจะเริ่มถอนออกจากความสงบมา ก็ไม่อยากให้จิตถอน แต่จำเป็นก็ต้องถอนเพราะเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เหมือนกับการนอนหลับ เมื่อถึงจุดอิ่มตัวในการนอน จำเป็นก็ต้องตื่น ถ้าผู้มีงานที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว ก็จะเริ่มทำงานต่อไปได้เลย นี้ฉันใด จิตที่ถอนออกจากความสงบออกมาแล้ว ผู้ที่เคยได้ฝึกปัญญามาดีเตรียมไว้แล้ว ก็น้อมจิตพิจารณาในปัญญาต่อไปได้เลย บางคนเมื่อจิตได้ถอนออกจากความสงบแล้ว ก็มีความเสียดายในความสุขที่มีอยู่ในความสงบนั้น ๆ อยากจะทำสมาธิให้จิตมีความสงบต่อไป พยายามทุกอย่าง จะต้องทำสมาธิให้จิตมีความสงบให้ได้ จะได้มีความสุขในความสงบของสมาธิต่อไป นี้เองจึงเรียกว่า โมหสมาธิ มีความหลงในความสุข และหลงอยู่ในความสงบจนลืมตัว ผู้ทำสมาธิต้องมีปัญญา ศึกษาให้เข้าใจ ไม่เช่นนั้น จะหลงอยู่ในความสงบสุขต่อไป จะนั่งได้เหมือนหัวตอ ไม่มีปัญญาจะนำมาพิจารณาในหลักสัจธรรมความเป็นจริงนี้เลย


    http://ecurriculum.mv.ac.th/dhamma/...eway.com/monk/preach/lp_tool/lp-tool_5-02.htm
     
  14. GUYTHUM

    GUYTHUM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    1,358
    ค่าพลัง:
    +1,088
    [​IMG] แล้วแบบนี้แบ่งบูชาราคาเท่าไรครับ
     
  15. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ครับผม...แบบนั้เป็นคนละชนิดกับแบบแคปซูลครับ...เพระไม่ดูดติดแม่เหล็ก...ก็ราคา 1050 บาทครับผม...แบบว่าเพื่อนผมทำพานที่มีเหล็กไหลอยู่ไปที่หน้าต่างบ้าน ซึ่งบ้านเป็นป่าละเมาะ...แล้วเหล็กไหลก็ตกไปเกือบหมดครับ...แล้วก็หาไม่เจอ...และเขาก็ยังไม่ได้มีโอกาสไปเอามาเพิ่มอีกจึงมีแค่ แบบแคปซุลยา 3 และแบบกลมแบนแบบนี้ 2 เท่านั้นครับ ซึ่ง ผมก็จองไว้อย่างละ 1 เช่นกันครับ...(||) (||) (||)
     
  16. hon9999

    hon9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +2,430
    ผมขอจอ2ชุดไม่ทราบยังพอมีไหมครับ
     
  17. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ครับผม...ตอนนี้ที่บ้านผมมี 1 ชุด...แต่วันพรุ่งนี้ผมจะไปที่อุตรดิตถ์ครับ..ก็จะไปบูชามาหลายๆชุดให้ได้บุชากันอย่างทั่วถึงครับผม ... ^^(||) (||) (||)

    -----------------------------------------------------------
    โสรัจจะ

    โสรัจจะ แปลว่า ความเสงี่ยม คือการควบคุมจิตใจให้เยือกเย็นเหมือนปกติ เมื่อได้รับความทุกข์ หรือถูกกระทบกระทั่งแดกดันเป็นต้น

    โสรัจจะ เป็นธรรมคู่แฝดของขันติ ต้องมีคู่กัน กล่าวคือ ขันติ เป็นตัวข่มกายวาจาไม่ให้แสดงอาการดิ้นรนหรือพูดจาตอบโต้

    โสรัจจะ เป็นตัวข่มใจให้สงบนิ่ง ทำให้ดูเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นเมื่อถูกด่าว่า สามารถทนได้ไม่โต้ตอบ ข่มความโกรธไว้ได้ แต่ใจยังเดือดอยู่ มือยังสั่นอยู่ อย่างนี้เรียกว่ามีขันติแต่ขาดโสรัจจะ เมื่อข่มใจให้เย็นได้ มือไม่สั่นปากไม่สั่น หน้าไม่แดงด้วยความโกรธ เรียกว่ามีทั้งขันติและโสรัจจะ
    --------------------------------------------
    ขันติ แปลว่า ความอดทน หมายถึง ความสามารถที่จะทนต่อความลำบาก มีจิตใจเข้มแข็งที่จะทำความดี และสามารถควบคุมตนเองได้โดย
    ๑. อดทนต่อความยากลำบาก คือ มีจิตใจเข้มแข็งที่จะทำงานให้ประสบความสำเร็จ
    ๒. อดทนต่อความเจ็บป่วย คือ อดทนต่อความเจ็บป่วยของร่างกายไม่ท้อแท้
    ๓. อดทนต่อความเจ็บใจ คือ อดทนต่อการกระทำที่ผู้อื่นล่วงเกินเราโต้ตอบด้วยวิธีสันติ
    ๔. อดทนต่อกิเลส คือ อดทนต่อสิ่งต่างๆที่มายั่วยุให้หลงใหล อดทนต่อความโลภ อดทนต่อความโกรธและอดทนต่อความหลง
    โสรัจจะ หมายถึง ความสงบเสงี่ยม ความมีอัธยาศัยงดงาม ความประณีตความเรียบร้อยรวมถึงความไม่หรูหรา
    ขันติ โสรัจจะ เป็นธรรมสองข้อที่ไปด้วยกันเมื่อแปลจะได้ความหมาย ธรรมอันทำให้งาม
    คนงาม ต้องงามดังนี้
    ๑. มีจิตใจเข้มแข็งน่ายกย่อง
    ๒. มีวาจาไม่ก้าวร้าว ไม่หยาบคาย
    ๓. มีการกระทำที่อยู่ในกรอบที่เหมาะสม
    คนจะงามตามที่พระธรรมโกศาจารย์อธิบายคือ
    ๑. ขยันขันแข็ง กล้า ยอมตายถ้าถูกธรรม
    ๒. สุภาพ อ่อนโยน เชื่อฟังผู้เฒ่าผู้แก่
    ๓. กตัญญู รับรู้คุณ แม้สิ่งไม่มีชีวิตแม้อุปสรรค ศัตรู
    ๔. มีศีล มีสัตย์ เปิดเผย บริสุทธิ์ใจ
    ๕. ประหยัด สันโดษ รู้จักทำสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี
    ๖. มีเมตตา กรุณา มีน้ำใจ ไม่มีเขาไม่มีเรา
    ๗. อดกลั้น อดทน ด้วยใจแจ่มใส คอยได้รอได้
    ๘. เป็นฝ่ายยอมได้ให้อภัยได้ เพื่อให้อะไรๆ มันลงกันได้
    ๙. ไม่ตามใจกิเลส แต่เลือกข้างถูกธรรม
    ๑๐.เป็นแบบฉบับในเรื่อง กิน อยู่ หลับ นอน เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นของชาวพุทธเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 เมษายน 2008
  18. eka.11@hotmail.com

    eka.11@hotmail.com Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +53
    สวัสดีเช่นกันครับคุณ พ่อมด ของมาแล้วเหรอครับ รออยู่น๊า
     
  19. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ครับผม...ของที่มีอยุ่ 1 ชุดเป้นของที่มีอยุ่ที่บ้านเมื่อครั้งก่อนครับ...แต่วันพรุ่งนี้ผมจึงจะไปเอามาใหม่อีกทีครับผม (||) (||) (||)
     
  20. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,055
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ปัญญา ๓ : สมาธิความสงบเป็นหลักสากล
    โดย พระอาจารย์ทูล ขิปปปญโญ
    วัดป่าบ้านค้อ ต. เขือน้ำ อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี
    โทร (๐๘๒) ๒๔๕–๔๘๘

    การทำสมาธิความสงบนี้เป็นหลักสากลทั่วไป มีมาก่อนพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในโลก ในสมัยเจ้าชายสิทธัตถะประสูติมาไม่กี่วัน ก็มีกบิลดาบสผู้มีความชำนาญในการทำสมาธิเข้ามากราบไหว้ ดูลักษณะของเจ้าชายแล้วก็รู้ว่า เจ้าชายนี้เป็นผู้มีบุญวาสนาบารมี จะได้ออกผนวชตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในชาตินี้ จะทรงมีปัญญาญาณรู้แจ้งเห็นจริงในพระสัทธรรมทั้งหลาย จะได้แสดงธรรมโปรดในหมู่มนุษย์ให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในพระสัทธรรม นำหมู่มนุษย์เข้าสู่กระแสแห่งมรรคผลนิพพานเป็นจำนวนมาก กบิลดาบสแสดงความเสียใจว่า จะมีอายุอยู่ได้ภายใน ๗ วันก็จะต้องตาย มีความเสียดายว่าเราจะไม่มีอายุอยู่ฟังธรรมของเจ้าชายนี้เลย เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ทรงมีโอกาสไปเยี่ยมชมกรุงกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรก เป็นครั้งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของฆราวาสที่สำคัญ นั้นคือ ได้เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บป่วย เห็นคนตาย และเห็นสมณพราหมณ์ผู้ถือบวช ตามตำราที่ได้กล่าวเอาไว้ เมื่อเห็นอย่างนี้จึงเกิดความนึกคิดขึ้นที่ใจ นั้นหมายถึงปัญญาในทางธรรมได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยไม่ต้องนึกคำบริกรรมทำสมาธิให้จิตมีความสงบแต่อย่างใด จึงทรงพิจารณาทบทวนดู คนแก่ คนเจ็บป่วย คนตาย และนักบวชนั้น โอปนยิโก น้อมเข้ามาหาดูพระองค์เอง จึงทรงเกิดความสลดสังเวชขึ้นมาที่ใจว่า เราก็จะต้องแก่ เจ็บ ตาย เหมือนคนกลุ่มนั้น ในครั้งนั้น ทรงคิดทบทวนอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องเป็นอย่างนี้เหมือนกัน จึงตัดสินพระทัยออกผนวช เพื่อจะหาวิธีแก้ไม่ให้มีการแก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป

    จึงทรงออกผนวชที่ฝั่งแม่น้ำอโนมา เมื่อผนวชแล้วก็แสวงหาครูผู้สอน จึงทราบข่าวของดาบสทั้งสอง ก็ได้ทรงศึกษาวิธีปฏิบัติกับดาบสนั้น ดาบสก็สอนในวิธีทำสมาธิให้ในขั้นตอนต่าง ๆ พระองค์ก็ทรงปฏิบัติตาม ทำสมาธิความสงบจนมีความชำนาญในวิธีการทำสมาธิและมีความชำนาญในการทำฌาน เป็นรูปฌาน อรูปฌาน มีความชำนาญมากทีเดียว พระองค์ทรงทำอยู่อย่างนี้นานถึงห้าปีกว่า ขณะทำสมาธิความสงบอยู่นั้น กิเลสตัณหาน้อยใหญ่เหมือนได้หมดไป มีแต่ความสุขความสบายตลอดเวลา เมื่อจิตถอนออกจากความสงบในฌานแล้ว อำนาจของสมาธิ อำนาจของฌานก็เสื่อมไป กิเลสตัณหาน้อยใหญ่ก็ฟูขึ้นมาที่ใจตามเดิม เป็นอยู่ในลักษณะนี้เรื่อยมายาวนาน พระองค์จึงทรงคิดได้ว่า วิธีนี้ไม่ใช่เป็นแนวทางที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด ไม่เป็นวิธีที่จะละกิเลสตัณหาให้หมดไปจากพระทัยได้ พระองค์จึงทรงลาดาบสทั้งสองไปเสีย เพื่อหาอุบายวิธีใหม่ เพื่อจะได้ตรัสรู้ต่อไป ให้พวกเราได้ศึกษาดูว่า พระองค์ทรงสร้างบารมีในปัญญาธิกะ มีนิสัยทางปัญญาเต็มเปี่ยมแล้วอย่างสมบูรณ์ เมื่อพระองค์ทรงทำสมาธิ มีความสงบลึกละเอียดถึงขนาดนั้น ปัญญาของพระองค์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด ทำไมพวกเราจึงมาเข้าใจแหวกแนวว่าปัญญาเกิดจากสมาธิเล่า หรือเราจะยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าอย่างนั้นหรือ ทำไมไม่ศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้าดูบ้าง เพื่อจะได้แก้ความเข้าใจผิด แก้ความเห็นผิดของตัวเราได้ มิใช่จะไปนั่งหลับตามโดยไม่ต้องศึกษา ใครว่าอะไรสอนอย่างไรก็เชื่อตามโดยไม่มีเหตุผล

    เมื่อพระองค์เสด็จจากดาบสไปแล้ว ก็ไปศึกษาจากลัทธิอื่น ๆ อีกหลายวิธีทีเดียว มีวิธีหนึ่งที่พระองค์ทรงคิดว่าจะเป็นแนวทางตรัสรู้ได้ นั้นคือ การอดนอน อดอาหาร อยู่ที่ดงคสิริ จนพระวรกายซูบผอม แทบจะสิ้นพระชนม์ ที่เรียกว่าบำเพ็ญทุกกรกิริยา ถึงขนาดนั้นก็ยังไม่สำเร็จตรัสรู้ได้ จึงปรากฏนิมิตเห็นพระอินทร์เอาพิณสามสายมาดีดให้ดู สายหนึ่งหย่อนยานไปเสียงพิณก็ดังไม่ไพเราะ อีกสายหนึ่งหมุนตึงเกินไป เสียงพิณก็ไม่ไพเราะอีกเช่นกัน อีกสายหนึ่งไม่ยานและไม่ถึง เสียงมีความไพเราะเสนาะดี พระองค์ทรงตีความหมายในนิมิตนั้นได้ถูกต้อง ว่าหย่อนยานในการปฏิบัติ หรือปฏิบัติเคร่งมากเกินไป ทั้งสองวิธีนี้ จะไม่เป็นไปในการตรัสรู้ได้เลย พระองค์ต้องทรงปฏิบัติในมัชฌิมาคือความพอดี พระองค์ก็หยุดทำในวิธีนั้น กลับมาเสวยอาหารตามปกติต่อไป เมื่อปัญจวัคคีย์หลบหนีไปแล้ว พระองค์ทรงคิด

    หาวิธีปฏิบัติด้วยพระองค์เอง จึงได้รู้วิธีที่ถูกต้องอย่างมั่นใจว่าเป็นแนวทางที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน คิดได้ในช่วงพระองค์ทรงเสี่ยงถาดทองคำที่ทวนกระแสน้ำนั้นเอง การปล่อยใจให้เกิดความยินดีผูกพันในสิ่งใด จะทำให้ใจลอยไปตามกระแสโลก หาที่สิ้นสุดไม่ได้ พระองค์ทรงหวนคิดพิจารณาย้อนหลัง เมื่อครั้งพระองค์หนีออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ จากพระนางพิมพาและพระราหุลเพื่อออกผนวช พระองค์ทรงใช้ปัญญาพิจารณารู้เห็นความจริง ในจุดนี้เองที่พระองค์ได้ค้นพบในแนวทางของวิปัสสนา อันเป็นหลักปฏิบัติที่ทรงค้นพบและทราบได้ด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีใครเป็นครูสอนแต่อย่างใด ที่เรียกว่าหลักของปัญญา วิธีการทำสมาธิที่เคยทรงฝึกกับดาบสมา พระองค์ก็ทำเพื่อเสริมปัญญาเท่านั้น

    หลักการทำสมาธิมิใช่เป็นวิธีที่ทรงค้นพบด้วยพระองค์เองแต่อย่างใด จะว่าเป็นวิธีเดิมที่พระองค์เคยฝึกอยู่กับดาบสทั้งสองมาก่อน จะว่าเป็นวิธีของพวกดาบสฤๅษีก็ไม่ผิด พระองค์ทรงเห็นความสำคัญในการทำสมาธินี้ จึงได้นำมาเพื่อเป็นอุบายเสริมปัญญาเท่านั้น เพราะการทำสมาธิทำให้ใจเกิดมีพลัง ใจที่มีพลังจากสมาธินี้เอง จึงนำมาประกอบในการหนุนปัญญา จึงทำให้ปัญญามีพลังในการพิจารณาในสัจธรรมได้อย่างชัดเจนมากขึ้น มิใช่ว่าทำสมาธิให้จิตมีความสงบได้แล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นตามที่เข้าใจกัน หลักของวิปัสสนานี้ จะมีเฉพาะของพุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาอื่น ลัทธิอื่น จะมาเลียนแบบเอาอย่างตามไม่ได้เลย เป็นหลักเฉพาะผู้ปฏิบัติที่จะเข้าถึงมรรคผลนิพพานเท่านั้น ศาสนาอื่นลัทธิอื่นไม่มีสิทธิ์ทำได้อย่างนี้ ส่วนหลักการทำสมาธิเป็นวิธีทำกันได้ทั่วไป คนมีศีลก็ทำสมาธิให้จิตมีความสงบได้ คนไม่รู้เรื่องศีลก็ทำสมาธิให้จิตมีความสงบได้เช่นกัน เช่น พวกดาบสฤๅษี เป็นต้น สมาธิเป็นหลักสาธารณะทั่วไป ไม่ผูกขาดไม่จำกัดบุคคล ไม่จำกัดชาติและศาสนาอะไร การทำฌาน อภิญญาก็เช่นกัน ผู้มีนิสัยในทางนี้ ก็ย่อมทำให้เกิดได้เหมือนกัน เป็นหลักวิธีทำเพื่อหลบอารมณ์ที่เป็นทุกข์ไปชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น พวกดาบสฤๅษีเขาทำกันอยู่ก็เพราะเขาไม่รู้วิธีดีกว่านี้ เขารู้เท่านี้ก็ทำอยู่อย่างนี้ เพื่อให้มีความสุขใจไปวัน ๆ เท่านั้น พวกชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาวิธีปฏิบัติให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์ไปได้ ศึกษารู้เพียงสมาธิเท่านี้ ก็สอนกันอย่างนี้ และพากันปฏิบัติได้เพียงเท่านี้ ถึงอย่างไร ก็ยังดีกว่าที่ไม่ปฏิบัติเลย ให้ฝึกทำเพื่อเสริมสร้างบารมีให้แก่ตัวเองเอาไว้ ในชาติหน้า เมื่อได้เกิดร่วมศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ก็มีสิทธิ์บรรลุธรรมได้


    http://ecurriculum.mv.ac.th/dhamma/...eway.com/monk/preach/lp_tool/lp-tool_5-04.htm
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...