ไหลน้ำพี้/ข้าวตอกพระร่วง/พระขรรค์น้ำพี้ไม้งิ้วดำ16 นิ้วอีก 1 เล่มยังไม่มีเจ้าของ/เขาควายเผือกตายฟ้าผ่าสำหรับทำมีดหมอ

ในห้อง 'กระทู้เก่า' ตั้งกระทู้โดย satan, 26 เมษายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    รับทราบ...ขอรับกระผ้ม ^-^ :boo:
     
  2. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ปัญญา ๓ : สมาธิ ฌาน
    โดย พระอาจารย์ทูล ขิปปปญโญ
    วัดป่าบ้านค้อ ต. เขือน้ำ อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี
    โทร (๐๘๒) ๒๔๕–๔๘๘

    สมาธิ ที่โยงเข้าเป็นฌานนั้น ผู้ปฏิบัติก็ต้องศึกษาให้เข้าใจเอาไว้ ไม่เช่นนั้นจะหลงติดอยู่ในสมาธิความสงบและหลงติดอยู่ในฌานต่อไป การศึกษาต้องแยกสมาธิความสงบกับฌานออกจากกัน ไม่เช่นนั้น จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นฌาน อะไรเป็นสมาธิ การทำสมาธิก็เป็นหลักเดียวกันตามที่พวกเราทำอยู่ในขณะนี้ ทำสมาธิก็เพื่อให้จิตมีความสงบเท่านั้น การนึกคำบริกรรมก็เพื่อให้จิตมีสติได้เกาะอยู่ในปัจจุบัน ไม่ให้จิตคิดวอกแวกแส่ส่ายไปมา ไม่ให้คิดในเรื่องอดีตที่ผ่านไป ไม่ให้จิตได้คิดในเรื่องอนาคตที่ยังไม่มาถึง ให้จิตระลึกอยู่กับคำบริกรรมในปัจจุบัน ให้ฝึกทำอยู่อย่างนี้บ่อย ๆ จนเกิดความเคยชิน ต่อไปจิตก็จะค่อยเป็นสมาธิ มีความสงบไปเอง คำว่า ฌาน หมายถึง กำหนดจิตให้มีสติ เพ่งดูสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การฝึกเพ่งใหม่ ๆ ให้เพ่งสิ่งภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เพ่งจนติดตาติดใจในสิ่งนั้น ๆ ให้รู้เห็นเป็นจุดเดียว เพ่งจนให้เกิดความชำนาญ แล้วน้อมเข้ามาเพ่งในร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง เพ่งร่างกายในส่วนไหนก็กำหนดจิตให้มีสติเพ่งดูอยู่กับจุดนั้น ๆ ให้รู้เห็นว่าจุดที่เราเพ่งมีสีและลักษณะเป็นอย่างไร ในครั้งแรก ให้กำหนดเพ่งเป็นจุดเล็ก ๆ เอาไว้ เมื่อมีความชำนาญจึงขยายในการเพ่งออกไป ให้รู้เห็นชัดทั่วร่างกายยิ่งดี นี้เป็นวิธีฝึกเพ่งในรูป วิธีการเพ่งในนาม ให้ใช้สติกำหนดสติเพ่งดูให้รู้อยู่ในขณะนั้น วิธีการฝึกฌานนี้มีขั้นตอนมาก และเป็นวิธีที่จะปฏิบัติตามได้ยาก ถ้าอยากรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ให้ไปศึกษาในตำรา มีขั้นตอนปฏิบัติเป็น ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ที่เรียกว่ารูปฌาน ฌานในระดับสูงขึ้นไป ได้แก่ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ที่เรียกว่าอรูปฌาน การทำฌานในยุคนี้ ยากที่จะมีผู้ทำได้ หรือทำได้แล้วก็จะหลงติดอยู่ในฌานต่อไป ไม่มีใครจะมาช่วยแก้ไขให้ออกจากฌานได้เลย

    เมื่ออธิบายในเรื่องของฌาน ก็ต้องอธิบายถึงเรื่องอภิญญา เพราะมีความเกี่ยวโยงถึงกัน บางคนมีความชำนาญในฌานแต่ไม่ชำนาญในอภิญญา บางคนมีความชำนาญในอภิญญาแต่ไม่ชำนาญในฌาน บางคนชำนาญในฌานและมีความชำนาญในอภิญญาด้วย ฌาน อภิญญา มีฐานที่เกิดขึ้นจากสมาธิความสงบด้วยกัน ผู้ทำสมาธิมิใช่ว่าจะมีฌาน มีอภิญญาเหมือนกันทุกคน เป็นเพราะบารมีที่ได้บำเพ็ญมาไม่เหมือนกัน อภิญญามีหลายอย่าง เช่น จักขุญาณ คือ ญาณทางตา หมายถึงตาทิพย์เกิดขึ้น อยากรู้อยากเห็นในสิ่งใดก็กำหนดจิตดูได้ อยากจะเห็นรูปเทวดา รูปสัตว์นรก หรือดูรูปอื่นใดก็ได้ โสตญาณ เป็นญาณทางหู เรียกว่าหูทิพย์ ก็ออกมาจากจิตเช่นกัน อยากฟังเสียงอะไรก็กำหนดจิตฟังเสียได้ เจโตปริยญาณ กำหนดจิตดูความคิดของคนอื่นได้ อิทธิวิธี มีฤทธิ์ที่จะดำดินเหาะเหิรเดินไปตามอากาศได้ มโนมยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ กำหนดจิตออกเป็นรูปหลาย ๆ คนได้ จุตูปปาตญาณ กำหนดจิตรู้วิญญาณที่จะไปเกิดในภพต่าง ๆ ได้ ปุพเพนิวาสาสนุสสติญาณ กำหนดจิตระลึกชาติที่ผ่านมาได้ อภิญญาที่อธิบายมานี้ เป็นเพียงญาณขั้นโลกีย์เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับมรรคผลนิพพานแต่อย่างใด เพียงเป็นของเล่นเท่านั้น ถ้าพระอริยเจ้าท่านมีอภิญญานี้ ก็เพื่อแสดงปราบทิฏฐิมานะของคนเท่านั้น ตามปกติท่านจะไม่เล่นและแสดงออกมาให้คนได้รู้ อภิญญาเป็นผลที่เกิดจากสมาธิ เกิดขึ้นได้เฉพาะผู้ที่เคยได้สร้างบารมีมาทางนี้เท่านั้น ผู้ที่ไม่มีนิสัยสร้างบารมีมาถึงจะทำสมาธิมีจิตสงบละเอียดขนาดไหน ก็จะไม่เกิดอภิญญานี้แต่อย่างใด ฌาน อภิญญา นี้ จะเกิดขึ้นได้ทั้งพระอริยเจ้าและเกิดขึ้นได้ทั้งปุถุชน ไม่ได้ผูกขาดในชาติ ศาสนา หรือผู้ไม่นับถือศาสนาอะไรก็ทำให้ ฌาน อภิญญา เกิดขึ้นได้ ถ้าหากท่านเหล่านั้นเคยสร้างนิสัยบารมีมาในทางนี้

    การทำสมาธิความสงบ การทำฌาน การที่มีอภิญญา ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาให้ละเอียดหรือศึกษามาแบบผิวเผิน ก็จะเข้าใจว่าเป็นของศาสนาพุทธโดยตรง ที่จริงแล้วพวกดาบสฤาษีเขาทำกันมาก่อนพระพุทธศาสนาจะเกิดขึ้นในโลก ชาวพุทธส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ จึงนำมาสอนกันอย่างเอาจริงเอาจังเลยทีเดียว ถ้าหากทำได้จริงก็จะหยุดอยู่เพียงเท่านี้ จะผ่านไปให้ถึงมรรคผลนิพพานไม่ได้เลย เพราะผู้เป็นอย่างนี้จะมีทิฏฐิมานะสูงมาก จะเกิดโอหังอลังการใหญ่โต จะไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ๆ เป็นผู้เย่อหยิ่งจองหองลำพองตัวมากทีเดียว จะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ใครจะพูดว่าผิดไม่ได้เลย จะแสดงออกมาด้วยความไม่พอใจทันที ถ้ามีผู้ปฏิบัติให้ ฌาน อภิญญา เกิดขึ้นได้ในยุคนี้ คณะลูกศิษย์ก็จะพยากรณ์ให้เป็นพระอรหันต์ไปในทันที ลาภสักการะก็จะไหลมาเทมามากมายจนเหลือล้น พวกชาวพุทธส่วนใหญ่มีการศึกษาในหลักพุทธศาสนาน้อยมาก ใครปฏิบัติได้โดยวิธีแปลก ๆ ก็จะตื่นเต้นเชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรมในทันที นี้คือขาดการศึกษาประวัติของพระอริยเจ้านั้นเอง จึงเป็นนิสัยที่เชื่อง่าย โดยไม่ได้คิดพิจารณาในเหตุผลอะไร จึงเป็นสัทธาวิปยุต เชื่ออะไรโดยไม่ได้ใช้ปัญญามาดำริตริตรอง

    จึงเป็นความเชื่อที่งมงายขาดเหตุและผล เชื่อแบบมงคลตื่นข่าวเป็นกระต่ายตื่นตูมไป ศาสนาพุทธเป็นคำสอนที่เชื่อในเหตุผล จะเชื่อในสิ่งใดจะต้องใช้ปัญญามาวิเคราะห์วิจัยให้รู้เห็นความจริง เป็นหลักธรรมวิจารณ์ใคร่ครวญ ไม่ได้สอนให้เชื่อเพียงอย่างเดียวเหมือนศาสนาอื่น อย่าเป็นชาวพุทธแบบนกแก้วนกขุนทอง ใครจะเป็นอย่างไรหรือสอนอย่างไรก็จะเชื่อตามไปเสียทั้งหมด ศรัทธาความเชื่อก็ให้เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อเท่านั้น ฉะนั้น ต้องมีการศึกษาด้วย สุตมยปัญญา จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ถ้าศึกษามาผิด ก็จะเกิดความเข้าใจผิด เกิดความเห็นผิดเกิดขึ้น เมื่อนำไปปฏิบัติก็จะเกิดเป็นมิจฉาปฏิบัติที่ผิดต่อไป ถ้าศึกษามาถูกก็จะเกิดความเข้าใจถูกและเกิดความเห็นถูกเกิดขึ้นเช่นกัน เมื่อนำมาปฏิบัติก็จะเป็นสัมมาปฏิบัติอย่างถูกต้องชอบธรรมต่อไป


    http://ecurriculum.mv.ac.th/dhamma/...eway.com/monk/preach/lp_tool/lp-tool_5-05.htm
     
  3. อวตารเทพมาร

    อวตารเทพมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2006
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +2,101
    kพ่อมดโลจิ พวกหยกเลือดยังมีอยู่ไหมครับ ถ้ามีบูชาเท่าไหรครับ
     
  4. เตโช

    เตโช สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +19
    ไม่ทราบว่ายังพอมีเหลืออีกไหมครับผมอยากได้สัก1ชุดนะครับ
     
  5. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ครับผม...หยกเลือดของแท้นั้นเขาว่ากันว่าแพงมากครับ...ส่วนมากจะได้มาจากสุสานในประเทศจีนครับผม...แต่ที่เห็นๆกันอยู่นี่น่าจะเป็นหยกแดงที่มีราคาถูกมากกว่าครับผม...จึงไม่มีขายทั่วไปครับ...( ของผมที่เอามาตอนนั้นตรวจสอบดูแล้วเป็นหยกแดงธรรมดาครับ...)
     
  6. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ยังมีอยู่อีกหลายชุดครับพี่ท่าน...ก็พร้อมจัดส่งได้เมือ่ไปรษณีย์เปิดทำการครับ^-^ :boo:
     
  7. eka.11@hotmail.com

    eka.11@hotmail.com Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +53
    แวะไปชม gmcities มาครับและก็สมัครสมาชิกด้วยครับแต่รู้สึกว่าเวปเงียบเหงาจัง เข้าไปเห็นรูปแร่ธาตุหลายๆอย่างแล้วก็เลยสงสัยครับว่าแร่พวกนี้มีคุณยังไงอยากให้ช่วยแจงให้ฟังทุกชนิดเลยได้มั๊ยครับ ขอบคุณมากครับ
     
  8. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ครับผม...จีเอ็มซิตี้เป็นเมืองแห่งอนาคตครับ...ที่ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ...เพราะเรากำลังวางโครงสร้างบางอย่างอยู่ครับ...ดังนั้นส่วนมากแล้วเราจึงให้ท่านๆทั้งหลายไปเยี่ยมชม อาณานิคมทั้ง 3 แห่งของเราก่อนน่ะครับ...กว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการจริงๆก้คงอีกนานครับ...สำหรับเมืองจีเอ็ม...ส่วนแร่ธาตุต่างๆนั้นผมขอเวลาเรียบเรียงใหม่อีกทีครับ อิอิอิ ... ^-^ :boo:

    www.gmcities.com เมืองหลวง

    อาณานิคม ทั้งสาม
    http://gmcities.spaces.live.com/photos/
    http://gmcities.multiply.com
    http://gmcities.hi5.com
     
  9. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ปัญญา ๓ : เจโตวิมุติ
    โดย พระอาจารย์ทูล ขิปปปญโญ
    วัดป่าบ้านค้อ ต. เขือน้ำ อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี
    โทร (๐๘๒) ๒๔๕–๔๘๘

    ผู้มีนิสัยเป็นเจโตวิมุติ ในอดีตชาติที่ผ่านมาเคยเป็นดาบสฤๅษีมาก่อน ได้บำเพ็ญสมาธิ มีฌาน อภิญญา มาจนเป็นนิสัย ไม่เคยฝึกสติปัญญาในการพิจารณาในสัจธรรมแต่อย่างใด มีแต่ตั้งใจทำสมาธิ ทำฌาน อภิญญา มาตลอด เมื่อท่านเหล่านั้นได้มาเกิดในยุคปัจจุบันนี้ การปฏิบัติก็จะมีนิสัยพอใจในการทำสมาธิความสงบ มีฌาน มีอภิญญาเกิดขึ้นตามนิสัยเดิม เมื่อฌานอภิญญาเกิดขึ้นแล้วก็จะเป็นทางตัน ปฏิบัติวกวนไปมาอยู่ในสมาธิ วกวนไปมาอยู่กับฌานอภิญญาเท่านั้น จะไม่รู้จักทางออกเพื่อความหลุดพ้นเข้าสู่กระแสธรรมได้เลย จะมีการหลงติดอยู่อย่างนี้ไปจนตลอดวันตาย ผู้มีนิสัยในทางเจโตวิมุติ การปฏิบัติให้ถึงซึ่งมรรคผลนิพพานได้ ท่านเหล่านี้ต้องไปเกิดในยุคสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์ชีพอยู่ จึงจะได้บรรลุธรรมในมรรคผลนิพพานได้ เพราะท่านเหล่านี้ยังติดอยู่กับความสงบติดอยู่ในฌาน จะมาฝึกสอนให้ใช้สติปัญญาพิจารณาในสัจธรรมตามความเป็นจริงในทีเดียวไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงมีความรอบรู้ในวิธีการสอนท่านเหล่านี้เป็นอย่างดี พระองค์จะต้องสอนให้ทำสมาธิความสงบ ให้ทำฌานจนถึงที่สุด เมื่อถึงที่สุดของฌานแล้วจะทำต่อไปอีกไม่ได้ จึงเรียกว่าเป็นทางตัน เมื่อถึงทางตัน ก็จะมีการปฏิบัติแบบวกวนไปมา ก็จะเริ่มตั้งต้นในการทำฌานใหม่ เหมือนกับตาบอดพายเรืออยู่ในสระ หาทางออกไม่ได้เลย ในจุดนี้เอง พระพุทธเจ้าจึงจะทรมานให้กลับใจได้ จะตรัสในเชิงตำหนิให้ข้อคิดเพื่อให้ท่านเหล่านั้นมีความสำนึกว่า การทำสมาธิความสงบ การหลงติดอยู่ในฌาน จะเกิดความสุขทางใจได้ไม่นานก็จะเสื่อมไป วิธีการทำอย่างนี้ เราตถาคตได้ทำมาก่อนแล้ว ไม่ใช่แนวทางที่จะละอาสวกิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจได้ มิใช่แนวทางที่จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า ที่จะหลุดพ้นเข้าสู่มรรคผลนิพพานแต่อย่างใด ในเมื่อชีวิตตายไป ก็จะได้เป็นพรหมมีอายุยืนยาว เมื่อเสื่อมจากพรหมก็จะได้มาเกิดในโลกนี้ต่อไป หลงใหลอยู่ในโลกนี้โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง จะลอยไปตามกระแสโลกไปไม่มีที่สิ้นสุดลงได้

    ในเมื่อท่านเหล่านั้นได้ฟังคำตำหนิอย่างนี้ จึงเกิดความสำนึกตัวขึ้นมา จึงยอมปฏิบัติตามในอุบายวิธีของพระพุทธเจ้าได้อบรมสั่งสอน พระพุทธองค์ทรงให้อุบายในการปฏิบัติต่อไปดังนี้ การทำสมาธิจิตมีความสงบแล้ว ให้จิตอยู่ในความสงบนั้น อีกไม่นานก็จะมีการถอนตัวออกมา ในขณะที่จิตถอนตัว ให้มีสติกำหนดเอาไว้อย่าให้ถอนออกมาหมด ให้กำหนดจิตอยู่ในสมาธิความตั้งใจมั่นที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นโทษในการทำฌาน ว่ามิใช่เป็นแนวทางที่จะละอาสวกิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจได้ การทำสมาธิความสงบ การหลงติดอยู่ในฌาน เหมือนกับก้อนหินทับหญ้าเอาไว้ เมื่อยกหินออกที่นั้นไป หญ้าก็จะเกิดขึ้นมาในที่นั้น นี้ฉันใด จิตที่หลงติดอยู่ในความสงบของสมาธิ หลงอยู่ในฌาน ก็เป็นเพียงทับกิเลสตัณหาเอาไว้ฉันนั้น เมื่อสมาธิความสงบและฌานเสื่อมไป กิเลสตัณหาน้อยใหญ่ก็เกิดขึ้นมาที่ใจตามเดิม ท่านเหล่านั้นก็จะใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นในความเป็นจริงในสัจธรรม ในธาตุสี่ขันธ์ห้า ให้เป็นไปใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาให้รู้เห็นว่าร่างกายนี้มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก อีกไม่นาน ก็จะลงทับถมในแผ่นดิน เน่าเปื่อยผุพังกลายเป็นธาตุเดิมของโลกต่อไป เมื่อท่านเหล่านั้นใช้ปัญญาพิจารณาอยู่อย่างนี้บ่อย ๆ ก็จะเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายคลายออกจากความกำหนัดยินดี จิตก็จะหลุดพ้นเข้าสู่แห่งวิมุตินิพพาน จึงให้นามพระอรหันต์จำพวกนี้ว่า เจโตวิมุติ คือผู้ที่ได้ทำสมาธิความสงบและทำฌานมาก่อน แล้วมาใช้ปัญญาพิจารณาในสัจธรรมในภายหลัง เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว จะเล่นอยู่ในฌานเล่นอยู่กับอภิญญาก็ไม่มีปัญหาอะไร


    http://ecurriculum.mv.ac.th/dhamma/...eway.com/monk/preach/lp_tool/lp-tool_5-06.htm
     
  10. tepamorn

    tepamorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    786
    ค่าพลัง:
    +1,081

    ขอบคุณครับที่ใส่ใจในรายระเอียดเล็กๆน้อยๆ
    รอได้ครับไม่มีปัญหา....^^
     
  11. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ขอบคุณครับท่านพี่...ผมใส่ใจทุกรายละเอียดครับ...เพื่อให้งานออกมาตามที่ได้วางสปกไว้ครับ...ไปทีไรก็เจอแต่คำว่าแก้ จนช่างกับคนขายของขยาดผมไปกันเกือบหมดแระ 555

    (deejai) (smile) :boo: :boo:
     
  12. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    จิตตานุปัสสนา จากหนังสือพระพุทธเจ้าสอนกรรมฐาน / โดยคุณ ไชย ณ พล

    เห็นจิตในจิตภายใน (ตน)
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุพิจารณาเห็นจิตภายในเนืองๆอยู่เป็นอย่างไร

    - ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้เมื่อจิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่าจิตของเรามีราคะ หรือเมื่อจิตปราศจากราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตของเราปราศจากราคะ

    - เมื่อจิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่าจิตของเรามีโทสะ หรือเมื่อจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตของเราปราศจากโทสะ

    - เมื่อจิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่าจิตของเรามีโมหะ หรือเมื่อจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตของเราปราศจากโมหะ

    - เมื่อจิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่าจิตของเราหดหู่ หรือเมื่อจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่า จิตของเราฟุ้งซ่าน

    - เมื่อจิตยิ่งใหญ่ ก็รู้ชัดว่าจิตของเรายิ่งใหญ่ หรือเมื่อจิตไม่ยิ่งใหญ่ ก็รู้ชัดว่า จิตของเราไม่ยิ่งใหญ่

    - เมื่อจิตมีขอบเขต ก็รู้ชัดว่าจิตของเรามีขอบเขต หรือเมื่อจิตไร้ขอบเขต ก็รู้ชัดว่า จิตของเราไร้ขอบเขต

    - เมื่อจิตตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่าจิตของเราตั้งมั่น หรือเมื่อจิตไม่ตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตของเราไม่ตั้งมั่น

    - เมื่อจิตหลุดพ้น ก็รู้ชัดว่าจิตของเราหลุดพ้น หรือเมื่อจิตยังไม่หลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า จิตของเรายังไม่หลุดพ้น

    - ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้น ย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก กำหนดด้วยดี ซึ่งนิมิตนั้น ภิกษุนั้น ครั้นเสพ เจริญ ทำให้มาก กำหนดด้วยดี ซึ่งนิมิตนั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าไปในจิตภายนอก


    -------------------------------------------
    เห็นจิตในจิตภายนอก (ตน)
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตภายนอกเนืองๆอยู่เป็นอย่างไร

    - ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ พิจารณาบุคคลอื่นอยู่ เมื่อจิตของเขาผู้นั้นมีราคะ ก็รู้ชัดว่าจิตของเขาผู้นั้นมีราคะ หรือเมื่อจิตของเขาผู้นั้นปราศจากราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตของเขาผู้นั้นปราศจากราคะ

    - เมื่อจิตของเขาผู้นั้นมีโทสะ ก็รู้ชัดว่าจิตของเขาผู้นั้นมีโทสะ หรือเมื่อจิตของเขาผู้นั้นปราศจากโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตของเขาผู้นั้นปราศจากโทสะ

    - เมื่อจิตของเขาผู้นั้นมีโมหะ ก็รู้ชัดว่าจิตของเขาผู้นั้นมีโมหะ หรือเมื่อจิตของเขาผู้นั้นปราศจากโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตของเขาผู้นั้นปราศจากโมหะ

    - เมื่อจิตของเขาผู้นั้นหดหู่ ก็รู้ชัดว่าจิตของเขาผู้นั้นหดหู่ หรือเมื่อจิตของเขาผู้นั้นฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่า จิตของเขาผู้นั้นฟุ้งซ่าน

    - เมื่อจิตของเขาผู้นั้นยิ่งใหญ่ ก็รู้ชัดว่าจิตของเขาผู้นั้นยิ่งใหญ่ หรือเมื่อจิตของเขาผู้นั้นไม่ยิ่งใหญ่ ก็รู้ชัดว่า จิตของเขาผู้นั้นไม่ยิ่งใหญ่

    - เมื่อจิตของเขาผู้นั้นมีขอบเขต ก็รู้ชัดว่าจิตของเขาผู้นั้นมีขอบเขต หรือเมื่อจิตของเขาผู้นั้นไร้ขอบเขต ก็รู้ชัดว่า จิตของเขาผู้นั้นไร้ขอบเขต

    - เมื่อจิตของเขาผู้นั้นตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่าจิตของของเขาผู้นั้นตั้งมั่น หรือเมื่อจิตของเขาผู้นั้นไม่ตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตของเขาผู้นั้นไม่ตั้งมั่น

    - เมื่อจิตของเขาผู้นั้นหลุดพ้น ก็รู้ชัดว่าจิตของเขาผู้นั้นหลุดพ้น หรือเมื่อจิตของเขาผู้นั้นยังไม่หลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า จิตของเขาผู้นั้นยังไม่หลุดพ้น

    - ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้น ย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก กำหนดด้วยดี ซึ่งนิมิตนั้น ภิกษุนั้น ครั้นเสพ เจริญ ทำให้มาก กำหนดด้วยดี ซึ่งนิมิตนั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าไปในจิตทั้งภายนอกและภายนอก

    ------------------------------


    เห็นจิตในจิตภายใน (ตน)และภายนอก (ตน)

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในและภายนอกเนืองๆอยู่เป็นอย่างไร

    - ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้พิจารณาอยู่ เมื่อจิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีราคะ เมื่อจิตปราศจากราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากราคะ

    - เมื่อจิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีโทสะ เมื่อจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากโทสะ

    - เมื่อจิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีโมหะ เมื่อจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากโมหะ

    - เมื่อจิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่าจิตหดหู่ เมื่อจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่า จิตฟุ้งซ่าน

    - เมื่อจิตยิ่งใหญ่ ก็รู้ชัดว่าจิตยิ่งใหญ่ เมื่อจิตไม่ยิ่งใหญ่ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่ยิ่งใหญ่

    - เมื่อจิตมีขอบเขต ก็รู้ชัดว่าจิตมีขอบเขต เมื่อจิตไม่มีขอบเขต ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีขอบเขต

    - เมื่อจิตตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่าจิตตั้งมั่น เมื่อจิตไม่ตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตไม่ตั้งมั่น

    - เมื่อจิตหลุดพ้น ก็รู้ชัดว่าจิตหลุดพ้น เมื่อจิตยังไม่หลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า จิตไม่หลุดพ้น

    - ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าพิจารณา เห็นจิตในจิตทังภายในและภายนอกเนืองๆอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้ในโลก
     
  13. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ข้อที่ควรปฏิบัติเป็นขั้นที่หนึ่ง

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    วัดบวรนิเวศวิหาร

    คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความขาดนิดหน่อย

    อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ

    บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

    จิตตภาวนาการอบรมจิต หรือกรรมฐาน ทั้งที่เป็นฝ่ายสมาธิหรือสมถะ ทั้งที่เป็นฝ่ายปัญญาหรือวิปัสสนา เป็นข้อที่ทุกๆ คนควรฝึกปฏิบัติโดยมีศีลเป็นภาคพื้น และหลักปฏิบัติที่นิยมปฏิบัติกันอยู่ทั่วไป ก็คือหลักปฏิบัติในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่ได้เริ่มสวดและเริ่มแสดงสำหรับในพรรษากาลนี้ตั้งแต่เมื่อวานนี้

    สรณะ

    แต่ในเบื้องต้นก็มีวิธีปฏิบัติซึ่งได้นิยมใช้กันอยู่ แต่เมื่อรวมเข้ามาแล้วก็คือความตั้งใจถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะคือที่พึ่งอันเอกอุดม แม้ว่าทุกคนผู้เป็นพุทธศาสนิกนับถือพุทธศาสนา

    ต่างก็ได้ถึงพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะกันอยู่ แม้เช่นนั้นในเวลาที่จะปฏิบัติทุกคราวก็ให้ตั้งใจถึงอีก ด้วยวิธีน้อมใจถึงพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะคือที่พึ่งอันเอกอุดม จะใช้ภาวนาในใจว่า พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ ทุติยัมปิ... ตติยัมปิ... ก็เช่นเดียวกัน ดั่งนี้ก็ได้

    หรือจะใช้บทว่า นัตถิ เม สรณัง อัญญัง ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พุทโธ เม สรณัง วรัง พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า ธัมโม เม สรณัง วรัง พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า สังโฆ เม สรณัง วรัง พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า เอเตนะ สัจจะวัจเชนะ ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ โสตถิ เม โหตุ สัพพทา ขอความสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ ดั่งนี้ก็ได้

    และบท นัตถิ เม ฯ นี้เป็นอันได้ตั้งใจถึงพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะ คือที่พึ่งอันเอกอุดม อันเอกก็คือเพียงอย่างเดียว อันหมายความว่าสรณะคือที่พึ่งอันประเสริฐ หรืออันอุดมคือสูงสุดนี้มีแต่พระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เพียงอย่างเดียว ไม่มีที่พึ่งอึ่นที่ประเสริฐสูงสุด เป็นอันทำจิตให้เข้าถึงพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ รวมจิตเข้าหาพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ นี้เป็นข้อที่ควรปฏิบัติเป็นขั้นที่หนึ่ง


    http://www.watkoh.com/forum/printer_friendly_posts.asp?TID=3141
     
  14. อวตารเทพมาร

    อวตารเทพมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2006
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +2,101
    รายการที่จองไว้โอนเงินแล้วนะครับ รายละเอียดทาง PM ครับ
     
  15. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ครับผม...พรุ่งนี้จัดส่งให้ตามที่อยุ่ครับพี่ (good) (good) (good)
     
  16. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ปัญญาเหมือนกับตะเกียง

    บ่อยครั้งที่ความรู้ความสามารถที่ทุกท่านมีอยู่

    ความเก่ง ความรู้ความสามารถที่ท่านมีอยู่กลับกลายเป็นทำให้ท่านเป็นคนหยิ่งทะนงและไม่รู้ว่าตัวเองมีดังนี้อยู่และเป็นสิ่งที่ผิด เมื่อไรที่เรามีความรู้ความสามารถ เรายึดมั่นถือมั่น เมื่อนั้นเป็นแนวทางแห่งความบาป เป็นหนทางแห่งการเดินไปสู่อวิชชาความลุ่มหลงในตัวตนเมื่อไรที่เรารู้ว่าเราเก่งเรามีความสามารถ เราจะยิ่งต้องอ่อนน้อม

    อย่าหยิ่งทะนง อย่ายึดมั่นในตน

    ปัญญาหนึ่งปัญญาอาจจะส่องสว่างทำลายความมืดให้หมดสิ้นได้และปัญญาหนึ่งปัญญาอาจทำให้ท่านยึดมั่นในความสว่างอันดวงเดียวดวงนี้แล้วจมอยู่ในห้วงทุกข์ได้เหมือนกัน

    ฉะนั้นจงใช้ปัญญาให้ถูกทางปัญญาเหมือนกับตะเกียง

    ตะเกียงที่จุดขึ้นเมื่อไร ความมืดที่เป็นพันๆปีก็สามารถคลายจางไปได้ เฉกเช่นเดียวกับปัญญาของท่าน เมื่อถูกปลุกเร้าขึ้นมาเมื่อไรให้รู้ซึ้งถึงความเป็นจริงของโลกและฉุดช่วยเวไนยสัตว์ความมืดมน ความหม่นหมองในจิตใจ ย่อมสามารถพลันสูญสลายลงได้เฉกเช่นเดียวกัน ฉะนั้น จงพยายามเร่งพลิกฟึ้นสติปัญญาของตัวเองหมั่นตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ


    http://variety.teenee.com/foodforbrain/7836.html
     
  17. elleelle

    elleelle เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2008
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +199
    โอนเงินเรียบร้อยแล้วครับ..

    โอนเงินให้แล้วครับ 500 บาท เวลาประมาณ 9 โมงเศษ
    ขอบคุณมากครับ

    วิสุทธิ์ หิญชีระนันทน์
    179 ถ.มาตยาวงศ์ ต.ท่าราบ
    อ.เมือง จ.เพชรบุรี 76000
     
  18. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    รับทราบขอรับกระผม...ช่วงเช้านี้นั่งแพ้คของ...ช่วงบ่ายจึงออกไปส่งของครับท่าน (good) (good) (good)
     
  19. eka.11@hotmail.com

    eka.11@hotmail.com Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +53
    สวัสดีค้าบ ผมพึ่งจาตื่นดูบอลดึกไปหน่อย เดี๋ยวจาออกไปโอนเงินให้ค้าบ แล้วจากลับมาบอก
     
  20. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    รับทราบขอรับกระผ้ม (good) (good) (good)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...