ไหว้พระเข้าพรรษา ตระเวนวัด-แปดริ้ว

<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="100%"><TBODY><TR><TD>
</TD><TD vAlign=top align=right>
</TD></TR></TBODY></TABLE>

ฉะเชิงเทรามีประวัติความเป็นมายาวนาน ผู้คนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า "แปดริ้ว" มีหลวงพ่อพระพุทธโสธรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธรวรารามวรวิหาร

วัดโสธรฯ เดิมเป็นวัดราษฎร์ สร้างขึ้นตอนปลายกรุงศรีอยุธยา ประมาณปีพ.ศ.2300 แรกมีชื่อว่า "วัดหงส์" เพราะมีเสาหงส์อยู่ในวัด ต่อมาหงส์บนยอดเสาหัก มีผู้เอาธงขึ้นไปแขวนแทน จึงได้ชื่อใหม่ว่า "วัดเสาธง" ต่อมาเสาธงหักเป็นสองท่อน จึงเรียกชื่อใหม่ว่า "วัดเสาทอน" และกลายมาเป็น "วัดโสธร" ในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งมีความหมายว่าบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ เป็นการเรียกตามพระนามพระพุทธโสธร ซึ่งมาประดิษฐานในวัดนี้ในภายหลัง ได้รับพระราชทานยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี มีนามว่า "วัดโสธรวรารามวรวิหาร" เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2501

เนื่องจากพระอุโบสถหลังเก่าของวัดมีสภาพทรุดโทรมและคับแคบ ทางคณะกรรมการวัดจึงมีมติให้รื้อและสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ใช้เวลาสร้างยาวนานตั้งแต่ปี 2530 ถึงวันนี้สำเร็จเสร็จสมบูรณ์แล้ว งบประมาณการก่อสร้างสูงถึง 3,000 ล้านบาท มียอดฉัตรเป็นทองคำแท้ น้ำหนัก 77 กิโลกรัม ผสมกับโลหะ เพื่อให้มีความแข็งแรงคงทน เป็นอุโบสถอลังการ ริมแม่น้ำบางปะกง เปิดให้เข้านมัสการวันธรรมดา เวลา 07.00-16.15 น. วันหยุด 07.00-17.00 น. ฝั่งตรงข้ามวัดโสธรฯ มีร้านค้าจำหน่ายอาหารและสินค้าของที่ระลึกให้ได้เลือกซื้อกันละลานตา

ทุกวันนี้ฉะเชิงเทรามี "ถนนสายวัฒนธรรม" ที่บอกเล่าเรื่องราวความสำคัญต่างๆ มรดกของเมืองแปดริ้วที่น่าสนใจ

ถนนสายวัฒนธรรมผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่นพิพิธภัณฑ์ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เยื้องๆ กับวัดโสธรฯ อนุสาวรีย์พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ที่สามแยกถนนศรีโสธรตัดใหม่ ต.หน้าเมือง อาคารไม้สัก 100 ปี ค่ายศรีโสธร สร้างเมื่อปี 2451 พระตำหนักกรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เคยเป็นที่ประทับพักแรมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ป้อมกำแพงเมืองฉะเชิงเทรา และอาคารพาณิชย์หน้ากำแพงเมือง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างเมื่อปี 2377

นอกจากนี้ ยังมีศาลหลักเมืองฉะเชิงเทรา สร้างขึ้นเมื่อปี 2377 พร้อมกับป้อมกำแพงเมือง วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ (วัดเมือง) สร้างขึ้นเมื่อปี 2377 ในสมัยรัชกาลที่ 3 วัดนี้ในปี 2391 ถูกกบฏอั้งยี่เผากลายเป็นวัดร้าง หลังการปฏิสังขรณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเมืองฉะเชิงเทรา พระราชทานนามวัดเมืองว่า "วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์" หมายถึงวัดที่ปิตุลา (ลุง) ของพระมหากษัตริย์ทรงสร้าง พระอุโบสถวัดนี้ทรงพระราชทานพระปรมาภิไธยย่อ จปร. ที่หน้าบัน

และยังมีวัดอุภัยภาติการาม (ซำปอกง) เป็นพระอารามนิกายมหายาน สร้างขึ้นเมื่อปี 2449 เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปจำลองหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นพระประธานองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดฉะเชิงเทรา

ต่อด้วยตลาดบ้านใหม่ เป็นตลาดเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ริมแม่น้ำบางปะกง และวัดจีนประชาสโมสร เดิมชื่อ "เล่งฮกยี่" อายุกว่า 100 ปี ในวัดมีพระประธาน และองค์ 18 อรหันต์ เทพเจ้าไฉ้เซ่งเอี้ย (เทพเจ้าแห่งโชคลาภ) ระฆังศักดิ์สิทธิ์ใบใหญ่ กราบสักการะพระอธิษฐานจิตเพื่อความสำเร็จในทุกๆ ด้าน

ริมฝั่งบางปะกง ยังมีวัดสัมปทวนนอก สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2479 ตำนานของวัดได้เล่าขานความเป็นมาของหลวงพ่อพุทธโสธรว่า เมื่อพระพุทธรูปทั้งสามพี่น้องลอยน้ำลงมาจากทางเหนือมาถึงแปดริ้ว ก็ได้ผุดขึ้นและแสดงอภินิหารลอยทวนน้ำให้ชาวบ้านได้เห็น บริเวณนี้จึงได้ชื่อว่าตำบล สามพระทวน ซึ่งภายหลังเพี้ยนเป็นสัมปทวน

ไหว้พระชมวัดวาอารามในอำเภอเมืองแปดริ้วเรียบร้อยแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือไปไหว้พระที่วัดโพธิ์ อ.บางคล้า ห่างจาก อ.เมือง ฉะเชิงเทรา ประมาณ 15 ก.ม. เป็นวัดที่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงพักทัพจากการฝ่าวงล้อมข้าศึกมุ่งหน้าไปจันทบุรี หลังกอบกู้บ้านเมืองสำเร็จทรงให้สร้างวัดขึ้นบริเวณแห่งนี้ ให้ชื่อว่าวัดโพธิ์

ที่น่าสนใจคือ วัดนี้มีฝูงค้างคาวแม่ไก่สีดำขนาดใหญ่นับแสนตัว อาศัยอยู่ตามต้นไม้ในวัดแลเห็นหนาทึบไปหมด ในช่วงพลบค่ำมันจะตื่นส่งเสียงเซ็งแซ่ บินเรียงแถวออกหากินเป็นภาพอันตื่นตา

ช่วงเทศกาลเข้าพรรษานี้ อย่าลืมชวนมาไหว้พระชำระจิตใจกันที่ฉะเชิงเทรา ชีวิตจะได้สงบฉ่ำเย็นดังเช่นลำน้ำบางปะกง สายเลือดแห่งเมืองแปดริ้ว

http://www.matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03fea30140750&day=2007/07/14&sectionid=0327