ไหว้พระเทวดาศักดิ์สิทธิ์ เกจิดัง เครื่องรางของขลังฉมังนักแลฯ ต้องที่วัดสว่างอารมณ์(แคแถว) จ.นครปฐม

ในห้อง 'กฐิน - ผ้าป่า - งานวัด' ตั้งกระทู้โดย kukkai.l, 23 กันยายน 2017.

  1. kukkai.l

    kukkai.l เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +173
    20638653_1606059836132079_8483081822121280865_n.jpg
     
  2. kukkai.l

    kukkai.l เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +173
    #‎ไหว้พระทำบุญ #‎อย่ากลัวขาดทุน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวดาท่านรับรู้ การเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคุณจะได้รับ คือคุณมีใจนับถือศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เบื้องบนท่านทวีคูณท่านกลับแน่นอน ไม่ใช่คุณหวังจะรับอย่างเดียว บุญทานคุณไม่ทำสะสมเป็นเสบียง เอาแต่ขอๆๆ เทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหนท่านก็ช่วยคุณไม่ได้หรอก
    บางคนบอกทำบุญ ไม่เห็นได้อะไร 365วันคุณสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บไข้ นั่นคือ ผลบุญที่คุณทำส่งผล

    บางคนคิดว่าทำบุญเยอะๆ จะได้บุญเยอะๆ จะได้รวยเห็นผลทันตา คนรวยทำบุญ 100 บาท กับคนจนทำบุญ 1 บาท บางครั้งคนจนได้บุญมากกว่านะ เพราะคนจนทำบุญด้วยความศรัทธาจากใจ ไม่หวังผล หวังชื่อเสียงคำเยินยอ
    #‎มาวัดสว่างก็เช่นกันไม่ต้องกลัวปู่แป๊ะ หลวงพ่อแป๊ะ จะเรียกร้อง บังคับทำบุญใดๆ ทุกอย่างอยู่ที่ใจ อยู่ที่ความนับถือศรัทธาของแต่ละคน
    บางคนมาวัดสว่างไหว้พระแล้วได้โชคลาภ กลับบอกเพื่อนว่าไม่กล้ามา บอกกลัวหลวงพ่อเรียกทำบุญ

    บางคนมาขอเรื่องหน้าที่การงานแล้วสำเร็จ กลับมาวัดสว่างเพื่อไหว้แก้บนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่ขอ มาเล่าความสำเร็จให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านก็ร่วมโมทนาสาธุ โดยไม่มีการเรียกร้องใดๆ

    หลวงพ่อให้หวยมั้ย คนถูกหวยจากไหน อยากบอกว่าหลวงพ่อแป๊ะไม่ให้หวย ท่านไม่ชอบคนเล่นหวย แต่ทำไมมีคนบอกว่าได้โชคจากหลวงพ่อ บางคนมีศรัทธาซื้อของมาถวายวัด ถวายหลวงพ่อ เค้าก็เอายอดเงินที่เค้าซื้อของ ไปเสี่ยงโชคแล้วได้โชค เป็นต้น

    แต่ละคนเกิดมา มีเทวดาประจำตัวปกปักรักษาทุกคน ความสำเร็จก็เช่นกันขึ้นอยู่กับใจคุณด้วย คุณศรัทธานับถือจากใจมั้ย บางคนต่อว่า ไหว้พระเงินพระทองวัดสว่าง เค้าถูกรางวัลที่1 กัน ฉันก็ไหว้ทำไมฉันไม่ถูกบ้าง ขึ้นอยู่กับบุญเก่าด้วย และคุณได้สะสมบุญเพิ่มขึ้นใหม่อีกมั้ย ไม่ใช่ทุกคนจะสมหวังในทุกเรื่อง

    #‎วัดสว่างอารมณ์ยินดีต้อนรับทุกคน ก้าวย่างมาถึงวัดสว่างแล้วขอให้ทุกคนไหว้พระ ดอกไม้ธูปเทียนทางวัดเตรียมไว้ให้พร้อม จะทำบุญหรือไม่ทำบุญไม่เป็นไร หลวงพ่อแป๊ะท่านกล่าวเสมอ
     
  3. kukkai.l

    kukkai.l เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +173
    ประวัติหลวงพ่อแป๊ะ วัดสว่างอารมณ์
    ......

    พระครูธรรมธรสมทรง(พระอาจารย์แป๊ะ) ธัมมทินโน
    ภิกษุผู้เชี่ยวชาญในทางไสยศาสตร์และโหราศาสตร์
    วัดสว่างอารมณ์(แคแถว) ต.ขุนแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
    *เวทย์ วรวิทย์*

    ชาติภูมิ
    พระครูธรรมธรสมทรง ธัมมทินโน หรือ พระอาจารย์แป๊ะ พระภิกษุผู้มีความเชี่ยวชาญในทางไสยศาสตร์และโหราศาสตร์แห่งวัดสว่างอารมณ์รูปนี้ ท่านมีนามเดิมว่า “สมทรง” โยมบิดาของท่านชื่อ นายไล้ โยมมารดาชื่อ นางแจ๋ว นามสกุล เดชจินดา
    พระครูธรรมธรสมทรง ท่านเกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2501 ซึ่งตรงกับวันเสาร์ แรม 6 ค่ำเดือนยี่ ปีจอ ท่านเป็นชาวนครชัยศรีโดยกำเนิด คือเกิดที่บ้านปากกะท่า อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม โยมบิดามารดาของท่านมีลูกทั้งหมด 4 คน ซึ่งเป็นชายล้วน ท่านเป็นบุตรคนที่ 3 ของพ่อแม่ พี่น้องร่วมบิดามารดาของท่านทั้งหมด มีรายนามลำดับดังนี้
    1.นายสมนึก เดชจินดา
    2.นายสมศักดิ์ เดชจินดา
    3.นายสมทรง เดชจินดา (พระครูธรรมธรสมทรง ธัมมทินโน ในปัจจุบัน)
    4.นายสมโภชน์ เดชจินดา
    ในวัยเด็กพระครูธรรมธรสมทรง ท่านก็อาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านเกิด คือที่บ้านปากกะท่า ตำบลบางกะเบา อำเภอนครชัยศรี ครอบครัวของท่านนั้น นับว่าเป็นครอบครัวที่สนใจในทางธรรมะในทางศาสนา เนื่องจากหัวหน้าครอบครัวคือนายไล้ โยมบิดาของท่านนั้น ได้ผ่านการบวชเรียนมาก่อน
    นายไล้โยมบิดาของพระครูธรรมธรสมทรง ได้บวชเรียนอยู่ถึง 10 พรรษา ได้ศึกษามาทางปริยัติพอสมควร และเมื่อลาสิกขาแล้วก็ได้ใช้ความรู้นั้นมาประกอบสัมมาอาชีพ คือได้สอบเข้ารับราชการเป็นผู้คุมและภายหลังก็ได้แต่งงาน และตั้งครอบครัวอยู่ที่นครชัยศรี
    เมื่อมีลูกๆ นายไล้ก็ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้เข้าใกล้ชิดวัดใกล้ชิดพระสงฆ์ ทำให้ลูกๆเป็นคนใกล้วัดมาแต่เล็กแต่น้อย ฝ่ายตัวนายไล้เอง ภายหลังจากเกษียณอายุราชการแล้วก็กลับมาบวชอีกครั้ง และก็ครองเพศบรรพชิตอยู่จนกระทั่งมรณภาพในผ้าเหลือง
    ในวัยเด็กพระครูธรรมธรสมทรง ได้ศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนใกล้บ้านคือโรงเรียนสันทัดวิทยา ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลงิ้วรายอำเภอนครชัยศรี โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนเอกชน เด็กชายสมทรงไปอยู่ที่โรงเรียนสันทัดวิทยาได้เพียง 3 ปี ภายหลังจากเขาสอบได้ชั้นประถมปีที่ 3 โรงเรียนแห่งนี้ก็ปิดกิจการลง ทำให้เด็กนักเรียนทั้งหมดต้องแยกย้ายกันไปศึกษาต่อที่โรงเรียนอื่น เด็กชายสมทรงได้มาศึกษาที่โรงเรียนวัดกลางบางแก้ว หรือที่มีนามเป็นทางการว่า “โรงเรียนเพิ่มวิทยามูลนิธิ” แต่เดิมเป็นโรงเรียนที่ หลวงพ่อเพิ่ม ปุญญวสฺโณ หรือ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพุทธวิถีนายก อดีตเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว พระสงฆ์ผู้มีบทบาทในสังคมสูงรูปหนึ่งของจังหวัดนครปฐม ซึ่งหลวงพ่อเพิ่ม ท่านเป็นศิษย์ของ หลวงปู่บุญ ขันธโชติ แต่เดิมเรื่องการศึกษาในจังหวัดนครปฐมยังไม่ก้าวหน้ามากนัก ยังไม่มีโรงเรียนระดับมัธยมเลยสักโรง ท่านจึงตั้งโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นโดยเปิดสอนถึงชั้นมัธยม โดยมีฐานะเป็นโรงเรียนเอกชน โดยท่านเป็นผู้อุปถัมภ์เรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด ก่อนที่จะมรณภาพท่านได้จัดตั้งมูลนิธิขึ้นมาเพื่อจะให้ได้เก็บดอกผลช่วยเหลือกิจการโรงเรียนแห่งนี้ แต่ปัจจุบันโรงเรียนเพิ่มวิทยามูลนิธิได้โอนมาขึ้นกับกรมสามัญศึกษาแล้ว โดยมีกองทุนจากมูลนิธิหลวงปู่เพิ่ม มาคอยช่วยเหลือกิจการต่างๆของโรงเรียนอยู่ เด็กชายสมทรง เรียนอยู่ที่โรงเรียนเพิ่มวิทยามูลนิธิแห่งนี้จนจบชั้นประถมปีที่ 4 ก็ได้เข้าเรียนต่อในชั้นประถมปีที่ 5 ต่อไปจนจบชั้นประถมปลาย(ป.7) ก็ได้เข้าต่อมัธยมต้นที่โรงเรียนแห่งนั้น
    เริ่มสนใจวิชากรรมฐาน
    ในระหว่างที่เรียนชั้นมัธยมต้นอยู่นั่นเอง ขณะที่เรียนอยู่ได้ชั้นมัธยมปีที่ 1 เด็กชายสมทรงก็ได้เริ่มสนใจในวิชากรรมฐาน โดยเริ่มจากครั้งหนึ่งได้ไปเที่ยววิ่งเล่นกับเพื่อนๆที่บริเวณสุสานนครชัยศรี ได้เห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกลดบำเพ็ญธรรมอยู่ เพราะความที่เป็นคนคุ้นเคยกับวัดกับพระสงฆ์มาแต่เล็กแต่น้อย ในขณะที่เพื่อนๆแยกย้ายกันไปเล่นอย่างอื่น เด็กชายสมทรงก็แยกไปกราบพระธุดงค์รูปนั้น ซึ่งพระธุดงค์รูปนั้นได้เห็นกิริยาอาการของเด็กชายสมทรงแล้วก็รู้สึกถูกชะตา จึงได้ชวนพูดคุยด้วย
    ท่านได้เล่าถึงเรื่องการเดินทางของท่านให้ฟัง ทำให้เด็กชายสมทรงรู้สึกตื่นเต้นและเริ่มสนใจในเรื่องการธุดงค์ตั้งแต่บัดนั้น โดยเขาได้กราบเรียนกับพระธุดงค์รูปนั้นว่า อยากจะไปธุดงค์แบบนั้นด้วยจังเลย แต่พระธุดงค์บอกว่า ถ้าจะธุดงค์ เอาไว้ให้โตก่อน เรียนจบแล้วค่อยบวช บวชแล้วก็ต้องเรียนกรรมฐาน พอมีความรู้สมควรก็จะได้ออกธุดงค์
    คำตอบของพระธุดงค์รูปนั้น ทำให้เด็กชายสมทรงเกิดความคิดฝันขึ้นมาว่า เมื่อโตขึ้นตนจะต้องบวช และจะต้องออกธุดงค์แสวงหาประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นเหมือนที่พระธุดงค์รูปนั้นเล่าให้ฟังให้ได้
    ครั้นจิตใจเริ่มโน้มเอียงไปในทางนั้นแล้ว เด็กชายสมทรงก็ได้ไปเยี่ยมพระธุดงค์รูปนั้นบ่อยๆ เรียกว่าแทบทุกวันที่ท่านพำนักอยู่ที่นั่น และระหว่างที่ไปคลุกคลีอยู่กับพระธุดงค์รูปนั้น ท่านก็ได้ฉวยโอกาสสอนให้เด็กชายสมทรงนั่งสมาธิ สอนวิชากรรมฐานให้ พระครูธรรมธรสมทรง เล่าให้ฟังว่า
    “แรกๆก็ไปเที่ยวไปฟังเรื่องเล่าของท่านธรรมดาๆ ท่านเล่าเรื่องสนุกมาก ตื่นเต้น เราก็ติดใจ ท่านรูปนี้เดินธุดงค์มาจากภาคใต้ มาจากสงขลา ท่านบอกว่าอยู่วัดอะไร ฉันก็จำไม่ได้เสียแล้ว แต่ก็จำได้ว่าท่านบอกว่าอยู่ที่อำเภอสทิงพระ ท่านเพียงแต่ธุดงค์ผ่านมา ท่านจะธุดงค์ขึ้นไปทางภาคเหนือ ภาคอีสานต่อไป เราได้ฟังเรื่องนั้นแล้วก็อยากจะไปด้วย แต่ท่านบอกต้องเรียนหนังสือให้จบก่อน ตอนนั้นจึงได้แต่คิดฝันเอาว่า เมื่อเรียนจบแล้วต้องบวช บวชแล้วก็ต้องออกธุดงค์
    ทีนี้พอไปหาท่านบ่อยๆเข้า ท่านจับให้นั่งสมาธิเลย คือบางทีเราไปเที่ยว ไปถามโน่นถามนี่ท่านรำคาญ ท่านจะนั่งสมาธิก็ไม่ได้นั่ง ถูกเรารบกวน ท่านก็เลยจับให้นั่งสมาธิเสียเลย
    ครั้งแรกก็ไม่ค่อยชอบ มันรู้สึกอึดอัดอย่างไรไม่ทราบ เด็กๆยังชอบวิ่งชองเล่นอยู่ แต่หลายๆครั้งเข้าชักสนใจ ก็รู้สึกสงบแล้วก็มีความรู้สึกแปลกๆดี มันไม่เหนื่อยไม่เหมือนกับต้องวิ่ง ต้องเล่น นั่งนับลมหายใจตัวเอง นั่งฟังเสียงหัวใจตัวเองเต้น ก็สนุกดี ก็เลยทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งท่านถอนกลดธุดงค์ไปที่อื่นต่อ
    ก่อนไปท่านก็สั่งว่าอย่าทิ้งวิชาที่ท่านสอนให้นะ อ๋อ...วิชาที่ท่านสอนคือ วิชาอสุภกรรมฐาน คือพิจารณาซากศพ ที่พักของท่านเป็นสุสาน เป็นที่เก็บศพ ครั้งแรกฉันก็กลัวผี ก็เหมือนเด็กๆทั่วไปนั่นแหละ ทีนี้ท่านบอกว่า กลัวผีจะออกธุดงค์ได้อย่างไร วิชาแรกที่ต้องเรียนคือ วิชาไม่กลัวผี ก็คือวิชาอสุภกรรมฐาน พิจารณาซากศพนั่นเอง
    ตอนแรกๆก็ขนหัวลุกเหมือนกัน ทำเอาเกือบอาเจียน แต่หลายๆครั้งเข้าก็เริ่มรู้ว่าที่แท้คนตายแล้วก็ไม่มีอะไร เหมือนท่อนไม้ ลุกขึ้นไล่บีบคอใครไม่ได้ ไม่เหมือนในหนังสือที่เคยดูก็เริ่มหายกลัวผี และพอรู้สึกว่าเราเอาชนะผีได้ นี่มันเริ่มลำพองคิดไปไกลถึงว่าจะเรียนวิชาปราบผี ปราบคนนี้ไม่น่าสนใจเท่าปราบผีแล้ว ก็เลยเริ่มสนใจไสยศาสตร์ไปด้วยเลย”
    เรียนกรรมฐาน(ต่อ)
    ภายหลังจากพระธุดงค์รูปนั้นถอนกลดไปแล้ว นายสมทรงก็ไม่เลิกใฝ่ฝันที่จะเป็นพระธุดงค์และก็ยังสนใจวิชากรรมฐานอยู่ เอาความรู้ที่ท่านสอนไว้มาปฏิบัติเอง โดยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก เหมือนกับที่ท่านเคยสอนไว้ จนคนในบ้านเริ่มรู้ว่าเด็กคนนี้สนใจวิชากรรมฐาน ก็พากันพูดคุยให้เพื่อนบ้านฟัง ฝ่ายพ่อแม่ก็สนับสนุนและแนะนำให้เท่าที่พอรู้
    จนในเวลาต่อมา มีหมอกลางบ้านหรือแพทย์แผนโบราณคนหนึ่ง ชื่อ หมอเสงี่ยม ซึ่งได้ไปเรียนกรรมฐานมาจากสำนักวัดปากน้ำ เป็นศิษย์ของหลวงพ่อสด เรียนมาทางสัมมาอะระหัง เมื่อนายสมทรงทราบว่า หมอเสงี่ยมคนนี้เก่งทางกรรมฐาน ก็ได้ไปขอเรียน หมอเสงี่ยมก็ถ่ายทอดให้ด้วยความยินดี
    นอกจากไปเรียนกับหมอเสงี่ยมแล้ว หลังจากนั้นเพียงไม่นาน นายสมทรงก็ได้ไปเรียนต่อกับพระอาจารย์เจริญ ซึ่งตอนนั้นท่านมีชื่อเสียงในเรื่องกรรมฐานและธุดงค์ รวมทั้งเรื่องไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ เพราะท่านชอบธุดงค์ไปได้วิชาดีๆ มาเรื่อยๆ โดยพระอาจารย์เจริญอยู่ที่วัดใหม่เจริญยศ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านนายสมทรงเท่าไหร่นัก
    เรียนวิชาหมอดู
    ในช่วงอายุประมาณ 14-15ปี ถือเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงทางความคิดครั้งสำคัญของเด็กชายสมทรงเลยทีเดียว กล่าวคือในขณะนั้นแทนที่เขาจะมีความคิดความฝันแบบเด็กชายทั่วไป แต่กลับไปสนใจเรื่องลึกลับ เรื่องไสยศาสตร์ เรื่องการธุดงค์ และมีความใฝ่ฝันที่จะบวชอย่างเดียว วิชาอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องความลึกลับก็จะสนใจเรียน แม้กระทั่งเรื่องหมอดูไพ่ป๊อก ท่านเล่าว่า
    “พูดไปแล้วมันน่าขำ ที่วิชาหมอดูนี่ ครูคนแรกของฉันเป็นผู้หญิงไม่ดี ก็เป็นผู้หญิงอย่างว่านะ คือตอนนั้นที่ฝั่งตรงข้างบ้านฉัน เป็นแหล่งหากินของผู้หญิงพวกนั้น เขาเรียกกันว่าดงกล้วย ฉันก็ยังเป็นเด็ก ยังไม่สนใจในเรื่องพรรคนั้น ก็เพียงแต่เดินผ่านไปผ่านมา เห็นผู้หญิงพวกนั้นบ่อยๆเข้า ก็รู้จักกัน บางทีเขาก็ใช้สอยอะไรบ้าง เราเป็นเด็กก็ทำให้
    วันหนึ่งเห็นพวกเขานั่งล้อมวงทำอะไรกันอยู่ ก็เข้าไปดู ปรากฏว่าพวกเขากำลังดูหมอไพ่ป๊อกกัน เราก็รู้สึกว่า เอ...น่าสนใจ ก็ขอให้เขาดูให้ เขาก็ดูให้
    รู้สึกว่ามีบางอย่างถูก ก็เลยเริ่มสนใจ ขอให้เขาสอนให้ เขาก็สอนตามที่รู้ เราก็จดจำมา เอามาฝึกเองต่อ พอเป็นก็เที่ยวดูให้คนนั้นคนนี้ ซึ่งมันก็ไม่รู้ว่าเพราะความบังเอิญหรืออย่างไร ที่ดูให้ใครเขาก็บอกว่าแม่น เราก็ยิ่งสนใจใหญ่ เจอใครก็ดูหมอให้ คนอื่นก็ชอบให้ดู
    เมื่อเป็นอย่างนี้ทางบ้านทางผู้ใหญ่เขาเห็นว่า เราสนใจทางนี้และมีพรสวรรค์ก็สนับสนุน ใครมีความรู้ทางนี้ก็สอนให้ คนไม่มีความรู้ พอแนะนำอะไรได้ก็แนะนำ ตอนนั้นเองฉันได้เรียนวิชาหมอดูเพิ่มเติมขึ้นอีกหลายทางคือ ครั้งแรกเลยเรียนดูไพ่ป๊อก ดูเป็นแล้วก็เที่ยวดูให้ใครต่อใคร จนดังไปทั่วย่านบ้านแล้ว ต่อมาก็มีแขกคนหนึ่งพวกแขกที่โพกผ้าน่ะ แขกคนนี้แกเข้ามาขายของในหมู่บ้านย่านนั้นมานานแล้ว จนฉันรู้จักแกพอสมควร ก็เห็นหน้ากันอยู่บ่อยๆต่อมาแกรู้ว่าฉันสนใจเรื่องหมอดู และเห็นว่าพอมีพรสวรรค์ในทางนี้ แกก็เลยสอนวิชาหมอดูตามแบบอินเดียให้ ก็ดูแบบใช้กราฟ ฉันก็สนใจอยู่แล้วจึงตั้งใจเรียน เพียงไม่นานก็สามารถดูแบบกราฟได้เพิ่มขึ้นมาอีกวิธีหนึ่ง
    ทีนี้ล่ะยิ่งดังใหญ่ ใครอยากจะให้ดูหมอให้ก็สามารถดูให้ได้ทั้งสองอย่าง คือแบบไพ่ป๊อกก็ได้ แบบกราฟก็ได้ หลังจากนั้นไม่นานนัก ฉันก็ได้ไปเรียนวิชาหมอดูอีกวิธีหนึ่งกับหมอดูจริงๆที่แกดูหมอเป็นอาชีพคือ หมอยวก
    หมอยวก แกอยู่ข้างวัดไทร อยู่ไม่ห่างจากบ้านฉันมากนัก ตอนนั้นในย่านนั้นหมอยวกดังทางนี้อยู่ ฉันก็ไปขอเรียน แกก็สอนให้ตามที่มีความรู้ โดยสอนในทางตัวเลข ตัวเลขเจ็ดหลัก สิบสองหลัก ที่เขาดูๆกันนั้นล่ะ เรียนกับหมอยวกจนได้ความรู้เรื่องหมอดูมาอีกวิธีหนึ่ง คือแบบตัวเลข เป็นอันว่าตอนนั้นฉันมีความรู้ในทางหมอดูถึง 3 แบบแล้ว ทั้งที่ยังเป็นเด็กอยู่เลย แต่อาศัยว่าเราสนใจและเรียนจริง ที่เขาว่ามีศรัทธาน่ะ คนเราหากมีศรัทธาจริง จะทำอะไรก็มักจะประสบความสำเร็จและเร็วด้วย
    สู่เพศบรรพชิต
    แม้ว่านายสมทรงจะสนุกกับศาสตร์ลี้ลับใหม่ๆที่เพิ่งได้เรียนรู้มามากอย่างไร แต่เขาก็ไม่เคยลืมเรื่องประสบการณ์ธุดงค์อันน่าตื่นเต้น ตามคำบอกเล่าของพระธุดงค์รูปนั้น และไม่เคยเปลี่ยนความฝันไปเป็นอย่างอื่น ยังคงมุ่งมั่นที่จะเข้าสู่เพศบรรพชิตให้ได้ และตลอดเวลาที่เรียนหนังสืออยู่ระดับมัธยมต้นนั้น ก็ไม่เคยเปลี่ยนความใฝ่ฝันเลย จนกระทั่งเข้าเรียนชั้นมัธยมต้นในปี พ.ศ. 2519 ในขณะที่มีอายุได้ 18 ปีกว่าๆ เขาเรียนจบในปีนั้นยังไม่ทันได้ไปเรียนต่อที่ไหน ในปลายปีนั้น(ไม่กี่เดือนหลังจากเรียนจบ) ลุงคนหนึ่งของเขาก็เสียชีวิตลง ซึ่งตามประเพณีชาวไทยพุทธนั้นนิยมจะมีการบรรพชาหน้าไฟ หรือที่เรียกว่า บวชหน้าไฟ
    เมื่อญาติๆพูดคุยกันเรื่องที่จะหาลูกหลานมาบวชหน้าศพคุณลุง นายสมทรงก็รีบเสนอตัวทันที เพราะว่าตนมีความคิดที่จะบวชมานานแล้ว พ่อแม่ก็ไม่ขัดข้อง เพราะคิดว่าเขาบวชเพียงไม่กี่วันก็จะลาสิกขา คงจะนึกสนุกไปตามประสาเด็กๆจึงอนุญาตให้บวชได้
    พระครูธรรมธรสมทรง ได้เริ่มเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ในฐานะสามเณร เมื่อปลายปี พ.ศ.2519 บรรพชาที่วัดไทร ซึ่งเป็นวัดที่จัดงานศพของลุง โดยมี หลวงพ่อเพี้ยน หรือ พระครูวิบูลย์สิริธรรม เจ้าอาวาสวัดตุ๊กตา เป็นผู้ให้บรรพชา
    ภายหลังบรรพชาแล้ว สามเณรสมทรงก็ได้ตามผู้ให้บรรพชาไปอยู่ที่วัดตุ๊กตา ครั้นได้ทำในสิ่งที่ตัวเองใฝ่ฝันมานาน สามเณรสมทรงก็สนุกใหญ่ บรรพชาแล้วก็ไม่คิดถึงเรื่องลาสิกขาเลย คิดแต่จะหาโอกาสออกไปธุดงค์เท่านั้น แต่ก็ได้ทราบภายหลังจากบรรพชาแล้วว่า การออกธุดงค์ไม่ใช่จะออกไปได้ง่ายๆ ต้องเรียนรู้อะไรกันมากพอสมควร และต้องบวชอยู่นานพอสมควร กว่าเจ้าอาวาสหรืออุปัชฌาย์จะอนุญาตให้ออกธุดงค์ได้ ยิ่งออกธุดงค์รูปเดียวด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องยากใหญ่
    ในพรรษานั้นสามเณรสมทรงจึงอดใจรอคอย โดยการเข้าเรียนทางปริยัติ เรียนนักธรรมชั้นตรี แต่เนื่องจากจิตใจฝันใฝ่อยู่กับศาสตร์ลึกลับพวกไสยศาสตร์ พวกหมอดู และวิชาธุดงค์มากกว่า ปีนั้นจึงเรียนปริยัติไม่ได้เต็มที่ เพราะแทนที่จะเอาใจใส่ในตำราเรียน กลับไปค้นหาหนังสือเก่าๆเกี่ยวกับศาสตร์ลึกลับที่ทางวัดตุ๊กตาเก็บไว้มาศึกษาแทน ท่านเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ตอนนั้นว่า
    “ที่วัดตุ๊กตานี่เป็นวัดเก่าแก่มีพระศักดิ์สิทธิ์ และเก่งในทางไสยศาสตร์ ในทางโหราศาสตร์มาหลายรุ่น เริ่มมาตั้งแต่ หลวงพ่อเนตร อาจารย์ หลวงปู่บุญ น่ะ แต่หลวงพ่อเนตรนี่ ท่านชอบเก็บตัว แบบเสือซ่อนเล็บ มีความรู้ความสามารถในทางนี้สูงทีเดียวแต่ไม่ค่อยแสดงออก
    ที่วัดตุ๊กตานี่ หลวงพ่อเนตรท่านเก็บหนังสือดีๆไว้เยอะ ก็พวกหนังสือเกี่ยวกับโหราศาสตร์บ้าง พิธีกรรมต่างๆบ้าง พวกเกี่ยวกับไสยศาสตร์อะไรเหล่านี้ หนังสือเก่าๆ พวกสมุดข่อย เป็นภาษาขอมก็มาก ภาษาไทยก็พอมี ฉันก็อ่านได้เฉพาะที่เป็นภาษาไทยก็ค้นมาอ่าน รู้สึกว่ามันสนุกมันทำให้ได้มีความรู้ที่เราสนใจเพิ่มมากขึ้น ก็เลยศึกษาค้นคว้า แต่ในเรื่องนั้นไม่ค่อยตั้งใจทางปริยัติ
    พรรษานั้นก็เลยสอบตก สอบนักธรรมชั้นตรีไม่ได้ แต่ว่าได้ความรู้ในทางไสยศาสตร์ เรื่องหมอดูเพิ่มขึ้นมากเลย ตอนนั้นได้ความรู้ทางหมอดูเพิ่มอีกอย่างคือ การดูลายมือ การดูนรลักษณ์ หรือโหงวเฮ้ง
    ไอ้ฉันมันคนชอบแสดงออก พอมีความรู้ก็เริ่มแสดงออก ก็รับแขกดูหมอให้เขา ใครมาคุยเรื่องไสยศาสตร์ก็คุยเต็มที่ เพราะตัวเองเรียนมามากแล้วจนชาวบ้านเขาเชื่อ ก็เริ่มมีคนมานิมนต์ไปทำพิธีกรรมอะไรบ้าง ฉันก็เชื่อมั่นตัวเองเหลือเกิน เขามานิมนต์ก็ไปเลย
    เริ่มพิธีกรรมต่างๆในทางไสยศาสตร์มาตั้งแต่เป็นสามเณร แต่ค่อยๆทำ แอบทำน่ะคือพระผู้ใหญ่ท่านไม่เห็นด้วยเราก็เข้าใจท่าน ฉันเป็นเพียงสามเณรบวชใหม่ เที่ยวอวดเก่งกับใครต่อใครได้อย่างไร แต่ว่าเรามันชอบในทางนี้ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร...”
    สามเณรสมทรงไม่เคยบอกเรื่องหมายกำหนดการลาสิกขาให้ทางครอบครัวทราบ แต่ทุกคนในบ้านก็ไม่คะยั้นคะยอออยากจะได้คำตอบ เพราะเห็นว่าท่านสนใจในทางนี้มีความสุขอยู่กับเรื่องเหล่านั้นก็ปล่อยท่านไป คิดกันว่าเบื่อเมื่อไหร่ก็คงจะลาสิกขาเอง
    แต่ทุกคนคิดผิด กาลเวลาผ่านไปๆไม่มีวี่แววว่าสามเณรสมทรงจะเบื่อในเรื่องนั้น ในพรรษาที่สองก็ยังอยู่จำพรรษาที่วัดตุ๊กตา ตั้งใจค้นตำรับตำราเก่าๆอ่าน เรียกว่าหาได้เท่าไหร่อ่านหมด ตรงไหนไม่เข้าใจก็ไปถามผู้รู้ อ่านเองไม่ออกก็เที่ยวนำไปให้คนที่เขาอ่านออกอ่านให้ฟัง
    ในพรรษาที่สองนั้น ท่านศึกษาค้นคว้าในทางนี้ได้อย่างเต็มที่เพราะไม่ต้องเรียนนักธรรม เนื่องจากเรียนมาแล้วในพรรษาแรกแต่สอบตก จึงสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าเรียนหรือไม่ก็ได้ แต่หากไม่เข้าเรียนก็สามารถลงสอบได้
    สานฝันแต่เยาว์วัย
    พอออกพรรษาที่สอง สอบนักธรรมเสร็จ สามเณรสมทรงก็เริ่มสานฝันของตัวเองทันที คือคิดจะเริ่มออกธุดงค์ แต่รู้ดีว่าหากไปขออนุญาตเจ้าอาวาสท่านก็คงจะไม่อนุญาตแน่ เพราะท่านเป็นห่วงกลัวจะเป็นอันตราย เนื่องจากตอนนั้นสามเณรสมทรงยังเป็นสามเณรและที่สำคัญความรู้ในเรื่องธุดงค์ยังไม่มีมากพอ สามเณรสมทรงก็เลยแอบชวนภิกษุรูปหนึ่งซึ่งก็จะชอบในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน พระภิกษุรูปนั้นคือ พระปรีชา ปภัสสโร ซึ่งบวชอยู่ที่วัดตุ๊กตาก่อนท่านหลายปี
    สามเณรสมทรงนัดแนะกับพระปรีชาว่า จะหนีเจ้าอาวาสออกไปธุดงค์ โดยวางเป้าหมายไว้ที่ภาคใต้ทั้งนี้เนื่องจากเรื่องราวตื่นเต้นทั้งหลายที่ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของท่านนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเขตภาคใต้เพราะพระธุดงค์ผู้เล่าเป็นคนภาคใต้ คือท่านอยู่ที่อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ด้วยเหตุนี้เมื่อคิดจะสานฝัน สามเณรสมทรงก็เลือกภาคใต้เป็นอันดับแรก ท่านให้เหตุผลว่า
    “อันดับแรกเลย ก็อยากจะไปตามคำแนะนำของพระธุดงค์ อันดับที่สอง ฉันไม่เคยไปภาคใต้เลย ไม่เคยเห็นทะเลอยากจะเห็นทะเลสักครั้ง อันดับที่สามสำคัญมากคือ ตอนนั้นภาคใต้มีพระเกจิอาจารย์ดังๆ อยู่หลายรูป ฉันรู้จักชื่อท่านครั้งแรกก็จากคำบอกเล่าของพระธุดงค์ ก็เลยชวนหลวงพี่ปรีชาไป
    หลวงพี่ปรีชาก็ตกลง ก็เลยหนีเจ้าอาวาสไป เดินเท้าไปทางราชบุรี ไปได้แค่ราชบุรีหลวงพี่ปรีชาก็ถูกงูกัด ท่านเกิดท้อแท้เพราะว่าใจจริงท่านไม่ได้ชอบทางนี้มากมายเหมือนฉัน ท่านสนใจจะท่องปาฏิโมกข์มากกว่า ท่านก็เลยกลับ แต่ฉันยังอยากจะไปต่อก็เลยต้องแยกกัน ฉันธุดงค์ลงใต้คนเดียว ท่านก็กลับวัด”
    แล้วท่านก็ได้เล่าถึงประสบการณ์ในการธุดงค์ครั้งนั้นให้ฟังว่า
    “ครั้งแรกจะเรียกว่าธุดงค์ก็ยังไม่ถูกต้องเสียทีเดียวนัก เรียกว่าไปเที่ยวดีกว่า แต่เดินไปพักตามชายป่าชายเขา ก็อาศัยความรู้จากตำราที่เรียนเอาเอง ไปถึงไหนมีพระอาจารย์เก่งๆก็ไปกราบ ไปถึงชุมพรแวะกราบ หลวงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ขอเรียนวิชากับท่านอยู่ระยะหนึ่งก็ไปต่ออีก
    ทีนี้ไปพบพระธุดงค์จริงๆเข้าก็ได้ตามท่านไป แต่ว่าพอไปถึงจังหวัดไหนที่เราได้ข่าวว่ามีพระเก่งๆก็แยกจากพระธุดงค์ไปพักวัดนั้น เพื่อขอเรียนวิชาด้วย ไปถึงนครศรีธรรมราชก็แยกกับท่าน ท่านธุดงค์ไปตามป่าตามเขาต่อ ฉันแวะไปกราบ หลวงพ่อคลิ้ง ที่วัดถลุงทอง อยู่ศึกษากับท่านระยะหนึ่งก็พบพระที่ถูกอัธยาศัยกันก็ตามไปธุดงค์ ธุดงค์ไปเรื่อยๆไปถึงไหน ได้ข่าวว่ามีพระเก่งหรือมีการประกอบพิธีกรรมที่น่าสนใจ เช่น ปลุกเสกพระ สวดภาณยักษ์ หรือ พิธีกรรมอะไรแปลกๆ ก็จะแวะดู ถ้าเห็นว่าน่าสนใจก็จะอยู่ศึกษา ขอเรียนกับท่าน
    บางแห่งก็สอนให้ บางแห่งไม่ยอมสอนให้ แต่ว่าแห่งที่สอนบางทีเราก็เข้าใจ บางทีเราก็ไม่เข้าใจ เพราะสื่อภาษากันไม่ค่อยรู้เรื่อง คือพระที่เก่งๆในทางภาคใต้ที่เป็นท้องถิ่นจริงๆ ท่านพูดภาษากลางไม่ได้ ไอ้ฉันก็ฟังภาษาใต้ไม่รู้เรื่อง ก็เลยได้มาไม่มากนัก
    แต่ที่ได้มากก็คือความตื่นเต้นในเรื่องการธุดงค์ ซึ่งมีมากเหลือเกิน อย่าได้นำมาเล่าเลยเดี๋ยวจะเป็นการอวดอุตริ และอีกอย่างเรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว ใครไม่เจอด้วยตัวเองคงจะไม่เชื่อ...”
    เรื่องที่พระครูธรรมธรสมทรง ว่านั้นก็คือ ประสบการณ์เกี่ยวกับการผจญภัยในป่าของท่าน ซึ่งมีทั้งเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ร้ายและภูตผีวิญญาณ ท่านบอกเพียงว่าหากเจอปัญหานี้ สัตว์ป่าก็จะแผ่เมตตาให้ ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีปัญหาตาม แต่ถ้าเป็นวิญญาณบางรายแผ่เมตตาก็แล้ว ก็ยังอยากลองดีก็เลยต้องใช้วิชาไสยศาสตร์ เอาคาถาอาคมมาใช้บ้าง แต่การใช้คาถาอาคมนั้นท่านบอกว่าจะเลือกเป็นประการสุดท้าย เพราะไม่อยากจะรังแกเขา
    สามเณรสมทรงออกไปธุดงค์เที่ยวอยู่นานหลายเดือน แต่ท่านก็กลับมาทันก่อนจะเข้าพรรษาที่สาม ความจริงแล้วในปีนั้นท่านมีอายุครบอุปสมบทแล้ว แต่เนื่องจากกลับวัดในช่วงจวนจะเข้าพรรษาอยู่แล้ว ประกอบกับยังค้างเรื่องการเกณฑ์ทหารก็เลยไม่ได้อุปสมบท จนกระทั่งออกพรรษาที่สาม สามเณรสมทรงก็ได้ออกจากวัดตุ๊กตา ไปเที่ยวแสวงหาประสบการณ์และความรู้จากครูบาอาจารย์ต่างๆเพิ่มเติม โดยคอยสดับข่าวว่าที่ไหนมีพระอาจารย์เก่งๆก็จะไปกราบนมัสการ ขอศึกษาวิชาด้วย หรือบางทีได้ข่าวว่าเขาประกอบพิธีกรรมอะไรแปลกๆก็จะไปดูไปศึกษา บางวัดก็ไปอยู่จนสนิทสนมแล้วค่อยๆเลียบๆเคียงๆขอศึกษา พระอาจารย์ต่างๆ ส่วนใหญ่ก็จะไม่หวงวิชา เห็นสามเณรมีความตั้งใจก็ถ่ายทอดให้ตามสมควร
    ในระยะนั้นเองสามเณรสมทรงจึงได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากพระอาจารย์เก่งๆหลายรูปเป็นต้นว่า หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี จังหวัดกรุงเทพฯ , หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี , หลวงพ่อถิ่น วัดป่าเลไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรี และอีกหลายๆรูป
    ธัมมทินโน ภิกขุ
    ในปีนั้น พ.ศ.2522 ในขณะที่มีอายุได้ 21 ปีบริบูรณ์ ภายหลังจากผ่านการคัดเลือกทหารแล้ว ปรากฏว่าไม่ติด สามเณรสมทรงก็ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยได้เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2522(ภายหลังการคัดเลือกทหารเพียงไม่กี่เดือน) ณ พัทธสีมาวัดตุ๊กตา โดยมี พระครูวิบูลย์สิริธรรม เจ้าอาวาสวัดตุ๊กตา เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระอาจารย์ทองคำ สุวัณโณ วัดตุ๊กตา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมี พระครูสมุห์เจือ วัดกลางบางแก้ว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอุปัชฌาย์ตั้งมคธนาม หรือฉายาทางพระภิกษุให้ว่า “ธัมมทินโน”
    ภายหลังจากอุปสมบทแล้วพระภิกษุสมทรง ธัมมทินโน ก็อยู่ที่วัดตุ๊กตาอีกระยะหนึ่ง โดยช่วงนั้นหากได้ข่าวเกี่ยวกับพระอาจาย์เก่งๆก็จะไปกราบ ได้ข่าวมีการประกอบพิธีกรรมโบราณก็จะไปดู แต่ไปเพียงไม่นานก็จะกลับมาวัดตุ๊กตา จนกระทั้งถึงช่วงก่อนเข้าพรรษา ทางเจ้าอาวาสวัดตุ๊กตาก็ได้ส่งไปจำพรรษาที่วัดร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากวัดตุ๊กตาไม่มากนัก วัดที่ว่านี้คือ วัดแคแถว หรือ วัดสว่างอารมณ์ นั่นเอง
    พระภิกษุสมทรงมาจำพรรษาที่วัดแคแถว ซึ่งตอนนั้นตกอยู่ในสภาพวัดร้าง สภาพวัดทรุดโทรมอีกทั้งเสนาสนะต่างๆก็ไม่ค่อยมี การเดินทางก็ค่อนข้างจะทุรกันดาร แต่ก็ยังมีญาติโยมไปหาท่านบ้าง ซึ่งญาติโยมเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็จะตามมาจากวัดตุ๊กตา
    ชาวบ้านใกล้ๆวัดแคแถวที่มาวัดส่วนใหญ่ก็เคยได้ยินกิตติศัพท์หรือ รู้จักพระภิกษุสมทรงมาก่อนเมื่อคราวอยู่วัดตุ๊กตาเรียกว่า อาศัยบารมีส่วนตัว
    คณะกรรมการวัดแคแถวหรือ วัดสว่างอารมณ์ เห็นว่าพระภิกษุสมทรงแม้จะเพิ่งอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้เพียงพรรษาเดียว แต่ก็มีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใสและมีความรู้ในทางพิธีกรรมต่างๆพอสมควร จึงได้นิมนต์ให้ท่านอยู่ประจำที่วัดแคแถวตลอดไป โดยจะให้ทำหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสเลย
    แต่พระภิกษุสมทรง ตระหนักดีว่าตัวท่านยังเยาว์วัย อีกทั้งเพิ่งจะอุปสมบทได้ยังไม่ถึงพรรษาไม่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้า แม้จะเป็นวัดเล็กๆเพราะหากมีพระภิกษุสามเณรจากวัดอื่นๆจะมาอยู่ด้วยก็ลำบากใจ เนื่องจากความเยาว์วัยผู้เยาว์วัยจะปกครองผู้อาวุโสนั่นค่อนข้างลำบาก และหากท่านอยู่ที่นั่นต่อไปพระอื่นๆจะมาเป็นเจ้าอาวาสก็จะเกิดการเกรงใจ เพราะชาวบ้านสนับสนุนท่านอยู่มาก จึงตัดสินใจเปิดทางให้กับพระภิกษุอื่นที่เหมาะสมกว่า โดยการปฏิเสธกับชาวบ้านผู้หวังดี แล้วเดินทางกลับไปวัดตุ๊กตาตามเดิม ภายหลังจากไปจำพรรษาอยู่ได้เพียงพรรษาเดียว
    รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์
    หลังจากออกพรรษานั้นแล้ว(พรรษาแรกที่อุปสมบท)พระภิกษุสมทรงก็ได้ย้ายกลับไปอยู่วัดตุ๊กตาอีกครั้ง โดยใช้ชีวิตเหมือนเดิมคือศึกษาค้นคว้าทางด้านไสยศาสตร์และโหราศาสตร์เพิ่มเติม ทั้งจากตำรับตำราและครูบาอาจารย์ที่พอจะเดินทางไปขอศึกษาวิชาด้วยได้
    ช่วงออกพรรษาก็หาโอกาสไปธุดงค์บ้าง ระหว่างธุดงค์ก็จะแวะกราบนมัสการพระอาจารย์เก่งๆตามสำนักต่างๆ เข้าพรรษาก็กลับมาจำพรรษาที่วัดตุ๊กตา พอถึงเวลาสอบก็เข้าสอบนักธรรม ซึ่งท่านสอบนักธรรมตรีไม่ผ่านมา 4 ครั้งแล้ว แต่ก็หาย่อท้อแต่อย่างใดไม่ ทั้งนี้เพราะว่าการศึกษาทางด้านปริยัติไม่ใช่เป้าหมายในการบวชของท่าน เป้าหมายของการบวชของท่านคือ ได้ศึกษาค้นคว้าศาสตร์ลึกลับต่างๆและได้แสวงหาประสบการณ์ในทางธุดงค์
    แต่อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากท่านอุปสมบทได้ 3 พรรษา คือจำพรรษาที่หนึ่งอยู่ที่วัดสว่างอารมณ์ กลับมาจำพรรษาที่วัดตุ๊กตาได้อีก 2 พรรษา ท่านก็สามารถสอบนักธรรมชั้นตรีได้
    ในปีเดียวกันนั้นเองทางคณะญาติโยมจากวัดสว่างอารมณ์จำนวนหนึ่งก็ได้มานิมนต์ท่านให้กลับไปเป็นเจ้าอาวาสสว่างอารมณ์อีกครั้ง โดยได้ขอตัวท่านกับท่านเจ้าอาวาสวัดตุ๊กตาเพราะเห็นว่าตอนนั้นพระภิกษุสมทรงมีพรรษาอาวุโสพอสมควรแล้วความรู้ก็พอมีบ้างแล้ว
    ท่านเจ้าอาวาสวัดตุ๊กตาก็เห็นสมควร ที่จะให้พระภิกษุสมทรงเดินทางไปทำหน้าที่สมภารวัดสว่างอารมณ์ แต่ตัวท่านพระภิกษุสมทรงเองกลับไม่มั่นใจ ท่านเล่าถึงสาเหตุนั้นให้ฟังว่า
    “ตอนนั้นฉันยังหนุ่มมากอายุแค่ 22-23 ปี ความรู้ก็มีไม่มากไปเพียงลำพังในที่ห่างไกลครูบาอาจารย์ ก็กลัวจะไปทำอะไรผิดพลาดเข้า อีกทั้งกลัวจะไปขัดแย้งกับญาติโยม จึงได้ปรึกษาหารือกับญาติโยมที่ไปนิมนต์ว่า เราต้องทำความเข้าใจอะไรกันก่อน คือทะเลาะกันเสียก่อนที่ฉันจะไป เพราะถ้าฉันไปอยู่ ตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว ทำไม่ได้ก็ไม่รู้จะไปทำไม ก็พูดคุยกันหลายเรื่อง ญาติโยมเขายอมรับ ฉันก็เลยมาและก็อยู่วัดนี้ตั้งแต่บัดนั้นมา..”
    พระอาจารย์สมทรง มาอยู่วัดสว่างอารมณ์อีกครั้งในปี พ.ศ. 2524 ขณะที่ท่านมีอายุได้ประมาณ 23 ปี และอุปสมบทได้ 3 พรรษา และเนื่องจากท่านมีพรรษาอาวุโสไม่ถึงตามที่กฎหมายมหาเถระสมาคมกำหนดคุณสมบัติเจ้าอาวาสไว้ คือตั้งแต่ 5 พรรษาขึ้นไป ทางคณะสงฆ์ผู้ปกครองเขตนั้นจึงได้แต่งตั้งท่านให้ทำหน้าที่รักษาการณ์แทนเจ้าอาวาสสว่างอารมณ์ไปก่อน จนกว่าจะมีพรรษาครบ
    พระครูธรรมธรสมทรง ได้เล่าถึงสภาพวัดสว่างอารมณ์เมื่อตอนไปอยู่ใหม่ๆให้ฟังว่า
    “ตอนนั้นหากโยมมาเห็นสภาพวัดแล้วก็จะรู้สึกใจหายเพราะมันไม่มีอะไรเลย มีแต่ที่ดินรกๆติดทุ่งนาโล่งๆ กุฏิก็มีหลังสองหลัง และก็จะพังมิพังแหล่อยู่ทั้งนั้น ศาลา ห้องน้ำ ห้องส้อม ไม่มีเลย ข้าวของเครื่องใช้ในวัดก็ไม่มีอะไรเลย ธูปเทียนจะเอามาบูชาพระยังไม่มี เพราะวัดเกือบตกอยู่ในสภาพวัดร้างมาหลายปี ไม่มีเจ้าอาวาสอยู่แน่นอน พระที่มาอยู่เพียงแวะผ่านมา สักระยะหนึ่งพอเบื่อก็ไป เจ้าอาวาสที่ผ่านๆมาก็เหมือนกัน มาอยู่ได้ 2-3 พรรษาก็เผ่นไม่เคยมีเจ้าอาวาสอยู่จนมรณภาพคาวัดสักรูปเดียว
    มาใหม่ๆมีพระหลวงตาอยู่ 2-3 รูป แต่พอฉันมาอยู่ท่านก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมด ทิ้งฉันไว้รูปเดียว แต่ฉันก็เข้าใจความรู้สึกของพวกท่าน ท่านอายุมากๆกันแล้ว วันดีคืนดีมีเด็กรุ่นลูกหลานมาทำหน้าที่ปกครอง เป็นฉันๆก็ต้องย้าย อันนี้ฉันเข้าใจ ก่อนจะเข้าพรรษาปีนั้นฉันอยู่รูปเดียว เงียบเหงามากญาติโยมก็ไม่มีมา วันพระก็มีคนมาทำบุญเพียง 4-5 คนเท่านั้น ชาวบ้านย่านนี้ไม่ใช่ไม่ศรัทธาพระพุทธศาสนา มีศรัทธาดีแต่ว่าไปทำบุญวัดอื่นหมด
    ที่เป็นอย่างนั้นฉันก็เข้าใจดี เพราะว่าที่ผ่านมาพระมาอยู่เพียงประเดี๋ยวประด๋าว เดี๋ยวไปเดี๋ยวมาเอาแน่นอนไม่ได้ พอฉันมาอยู่ พวกเขาก็คิดว่าจะมาอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วคราว ไม่มีความอดทน ไม่มีความจริงใจจะพัฒนาวัดหรอก พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจ เลยไปทำบุญวัดอื่นกันหมด ฉันเข้าใจปัญหานี้ดี จึงคิดหาทางออกได้โดยการจัดให้มีการบวชหมู่ก่อนเข้าพรรษา ปีนั้นคือจัดบวชให้ฟรีๆใครจะบวชไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทางฉันจัดการให้เสร็จทุกอย่าง เพียงแค่มาบวช ก็มีคนมาบวชเยอะ จำได้ว่า 20 กว่าคนแน่ะ ก็นับว่าได้ผลดีทีเดียว ปีนั้นจึงมีพระอยู่จำพรรษาจำนวนมาก เรียกว่ามากที่สุดเท่าที่เคยตั้งวัดมาเลยก็ว่าได้ ฉันเองก็ไม่เหงามีคนมาอยู่เป็นเพื่อนมาก ที่สำคัญมีคนช่วยงาน ทำให้การพัฒนาวัดดำเนินไปได้ด้วยดีเพราะมีแรงงานมาก
    เรื่องการบวชหมู่นั้นฉันเห็นว่าได้ผลหลายประการ เพราะนอกจากจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีศรัทธาแต่ขาดทุนทรัพย์ ขาดผู้จัดการในเรื่องพิธีกรรม ได้บวชแล้ว ทำให้ศาสนามีบุคลากรมากขึ้น ที่สำคัญทำให้วัดมีคนมาช่วยพัฒนา ออกพรรษาแล้วฉันไม่บังคับใจใครๆจะสึกก็สึก ใครไม่อยากสึกก็อยู่ต่อ ซึ่งก็มีมาเรื่อย ฉันเห็นว่าการบวชหมู่นี้ดีก็เลยจัดมาทุกปี ตั้งแต่ปีนั้นตราบจนทุกวันนี้ก็ยังจัดอยู่..”
    กระแสศรัทธาเริ่มหลั่งไหล
    เมื่อพระอาจารย์สมทรงมาอยู่วัดสว่างอารมณ์ใหม่ๆนั้น ก็พอมีคนไปหาบ้างแต่ก็ไม่มากนัก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนที่รู้จักหรือได้ยินกิตติศัพท์ท่านมาตั้งแต่เมื่อคราวอยู่วัดตุ๊กตา แต่เพียงไม่นานชื่อเสียงของท่านก็เริ่มเป็นที่รู้จักกันกว้างขวางขึ้น เพราะญาติโยมที่ไปหาท่านไปขอพึ่งบารมีท่านในเรื่องให้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ รับพระ-ส่งพระ เสริมชะตะราศี และตรวจดวงชะตา รักษาโรคต่างๆด้วยยาสมุนไพรและพวกที่ถูกคุณไสยซึ่งท่านมีความรู้ในทางไสยศาสตร์สามารถจะรักษาให้ได้
    ญาติโยมที่ไปหาท่านได้นำเรื่องความรู้ความสามารถในด้านต่างๆของท่านไปบอกเล่าต่อๆกันไป จนมีคนไปหามากขึ้นๆและท่านก็โด่งดังขึ้นในที่สุดก็มีคนไปหาไม่ได้ขาดในแต่ละวัน และวันละหลายๆราย ประกอบกับการคมนาคมเข้าวัดก็เจริญขึ้น ทำให้การเดินทางไปวัดง่ายขึ้น กระแสศรัทธาจึงหลั่งไหลมาอย่างเนืองแน่น ยังผลให้ท่านสามารถพัฒนาวัดให้เจริญขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
    พระครูสมุห์สมทรง
    พระอาจารย์สมทรงไปอยู่ที่วัดสว่างอารมณ์ได้ 4 พรรษา ทางคณะสงฆ์ก็เห็นว่ามีพรรษาอาวุโสครบที่กฎมหาเถระสมาคมกำหนดไว้แล้ว จึงได้ประกาศแต่งตั้งท่านเป็นเจ้าอาวาสโดยถูกต้อง แต่การแต่งตั้งครั้งแรกไม่มีผลเพราะท่านไม่ยอมรับ เนื่องจากยังเห็นว่าตัวเองยังเยาว์วัยอยู่และการเป็นเจ้าอาวาส เป็นการผูกพันตัวเองสูงไป ท่านเล่าว่า
    “ฉันรู้ว่าตัวเองยังเด็กมากก็ไม่อยากจะเป็นเจ้าอาวาส เมื่อเขาประชุมสงฆ์ประกาศคุณงามความดีตามธรรมเนียม เพื่อจะแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ฉันก็ค้านตัวเองทุกข้อ เพราะไม่อยากเป็น..”
    แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นานท่านก็จำยอมรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ ด้วยเหตุผลคือ
    “ความโลภแท้ๆแต่ไม่ใช่โลภเพื่อตัวเองหรอกนะ โลภเพื่อวัด คือตอนนั้นฉันอยากจะสร้างหอระฆังที่วัดแต่ไม่มีทุนทรัพย์ ก็มีญาติโยมกลุ่มหนึ่งบอกว่าพวกเขาจะสร้างให้ แต่เมื่อท่านอาจารย์ไม่เป็นเจ้าอาวาส จะสร้างไปทำไม เอาอย่างนี้ดีกว่า...”
    พวกเขาเสนอเป็นเงื่อนไขขึ้นถ้าเป็นเจ้าอาวาส พวกเขาจะสร้างหอระฆังให้ ฉันเองก็อยากได้ก็เลยจำต้องยอมรับตำแหน่งเจ้าอาวาส เป็นแล้วมันก็ติดพันเรื่อยจนทุกวันนี้”
    ภายหลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสได้เพียงปีเดียว ทางพระเถระผู้ใหญ่ในจังหวัดนครปฐมรูปหนึ่งซึ่งได้จับตามองพระอาจารย์สมทรงมาตลอด ได้เห็นว่าพระภิกษุสมทรงแม้มีอาวุโสไม่มากนัก แต่ก็มีความรู้ความสามารถสูง มีวัตรปฏิบัติเป็นที่ไว้วางใจ ท่านจึงได้เรียกไปเพื่อตั้งสมณศักดิ์ให้
    พระเถระผู้ใหญ่รูปที่ว่านี้คือ พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระธรรมมหาวีรานุวัตร เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ซึ่งตอนนั้นท่านยังเป็นพระราชาคณะ
    ครั้งแรก(ในปี พ.ศ. 2529)ท่านแต่งตั้งให้เป็น “พระครูสมุห์สมทรง” อันเป็นฐานานุกรมของท่าน และหลังจากนั้นอีกไม่กี่ปีเมื่อพระเดชพระคุณ ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นธรรม “พระธรรมมหาวีรานุวัตร” และฐานานุกรมชั้น “พระครูธรรมธร” ซึ่งสูงกว่า “พระครูสมุห์” ว่างลง ท่านก็ได้เลื่อน “พระครูสมุห์สมทรง” ขึ้นเป็น “พระครูธรรมธรสมทรง” ซึ่งก็เป็นเรื่อยตราบมาจนถึงปัจจุบันนี้
    น้ำมันว่านอันลือลั่น
    ในกระบวนศาสตร์ลึกลับและพิธีกรรมโบราณทั้งหลายที่ท่านพระครูธรรมธรสมทรงได้ศึกษามานั้น ต่อมาท่านได้นำมาใช้หลายอย่างจนเป็นที่ยอมรับกันว่า ท่านมีความรู้ความสามารถในทางนั้นจริงๆ
    พิธีกรรมหนึ่งที่น่าสนใจและเห็นสมควรจะนำมาเปิดเผยในที่นี้ เพราะเห็นว่าเป็นพิธีกรรมที่ค่อนข้างจะนิยมในปัจจุบันก็คือ ”พิธีอาบน้ำมันว่าน”
    พิธีอาบน้ำมันว่านนี้ ท่านพระครูธรรมธรสมทรงได้ศึกษามาจากครูบาอาจารย์หลายท่าน โดยเฉพาะพระอาจารย์เจริญ แห่งวัดใหม่เจริญยศ ความจริงแล้วพิธีกรรมนี้เป็นพิธีกรรมโบราณ ที่พระเกจิอาจารย์ในสมัยโบราณนิยมทำกัน โดยเฉพาะในย่านแถบภาคกลาง แต่ในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีใครทำกันแล้ว นอกจากที่วัดสว่างอารมณ์ซึ่งก็นานๆจะทำพิธีสักครั้ง
    พิธีอาบน้ำมันว่าน ก็คือการเอาน้ำมันมะพร้าวมาเคี่ยวให้เดือดแล้วเอาสมุนไพรต่างๆ(ตามตำราระบุไว้) โขลกผสมลงไป เคี่ยวรวมกันให้เดือดแล้วให้พระภิกษุที่มีศีลบริสุทธิ์ลงไปนั่งอาบในกระทะ หลังจากนั้นก็เอาน้ำมันนั้นซึ่งมีคุณประโยชน์ทั้งในทางเป็นยาสมุนไพร และเป็นของศักดิ์สิทธิ์แจกจ่ายให้ญาติโยมเอาไปไว้บูชาและป้องกันตัว พระภิกษุที่จะทำหน้าที่เป็นผู้อาบน้ำมันว่านดังกล่าวนี้ จะต้องผ่านการศึกษาทางด้านไสยศาสตร์มาพอสมควร ที่สำคัญเรียกว่าต้องมีความรู้ในทางนี้พอตัวเพราะไม่เช่นนั้นก็อาจจะถูกน้ำมันร้อนๆลวกเอา เป็นอันตรายได้ และก่อนจะทำพิธีอาบน้ำมันว่านนั้น ทางวัดจะต้องมีการจัดงานประกอบพิธีกรรมใหญ่โตมีการนิมนต์พระเกจิอาจารย์ต่างๆมานั่งปรก มาปลุกเสกเหมือนกับปลุกเสกพระ เป็นเวลา 3 คืน 7 คืนแล้วแต่ความเหมาะสม และพระภิกษุผู้ที่จะทำหน้าที่อาบน้ำมันว่านนั้นจะต้องถือศีลอย่างบริสุทธิ์ ชำระความเศร้าหมองในทางศีลให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วเสียก่อนจะประกอบพิธีประมาณ 7 วัน หลังจากนั้นก็ต้องนั่งสมาธิฝึกกำหนดจิตอยู่เป็นเวลา 3 วัน 7 วัน(ตามกำหนดปลุกเสก)
    เมื่อถึงเวลาอาบน้ำมันว่านก็จะต้องเอาของศักดิ์สิทธิ์ที่มีติดตัวลงไปด้วย เพื่อจะให้น้ำมันได้ผ่านร่างอันถือศีลบริสุทธิ์และผ่านของศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เช่น มีดหมอ ลูกประคำ ไม้หวายเสก เป็นต้นนั้นไปด้วย เชื่อกันว่าจะทำให้ยิ่งเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น
    ตั้งแต่มาอยู่วัดสว่างอารมณ์ พระครูธรรมธรสมทรงได้ประกอบพิธีอาบน้ำมันว่านมาถึง 3 ครั้งแล้ว โดยท่านจะมีกำหนดไว้เลยว่าจะจัดภายในเวลา 3-5 ปีต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าน้ำมันว่านที่มีอยู่หมดเมื่อไหร่ ถ้าหมดเร็วภายใน 3 ปีก็ต้องจัดทำใหม่ ถ้า 3 ปียังพอมีเหลือก็ค่อยจัด 5 ปี สาเหตุที่ท่านต้องยึดเวลาให้ยาวออกไปเช่นนี้ก็เพราะ...
    “พิธีนี้มันจัดยาก ยากตั้งแต่หาพระภิกษุที่มีศีลบริสุทธิ์และมีความรู้พอที่จะอาบน้ำมันได้ มันยากแต่เริ่มเลย คือสมุนไพรที่จะหามาผสมก็ยากแล้ว ได้สมุนไพรตามตำรามาแล้ว ก็ต้องนิมนต์พระเกจิอาจารย์ที่เก่งๆให้ได้ครบตามจำนวนที่ตำรากำหนดอีก แล้วจัดงานก็ต้องใช้เวลาหลายวันจัดพิธีครั้งหนึ่งก็ต้องเตรียมงานกันนาน
    ที่สำคัญเลยก็คือ สุขภาพของพระที่จะมาอาบน้ำมัน ซึ่งตั้งแต่จัดมาฉันอาบคนเดียวตลอด มาระยะหลังๆสุขภาพไม่ค่อยดีคือมันต้อนรับแขกมากไป วันๆนั่งมากเกิน คิดมากไปเพราะมีคนมาหาทั้งวัน เป็นอย่างนี้มาหลายปีมาระยะหลังสังขารก็เลยชักแย่ มันทรุดโทรมตั้งแต่ยังหนุ่มสังขารไม่สมบูรณ์จะทำพิธีอาบน้ำมันว่านไม่ได้ดีก็เลยต้องนานๆจัดที เอาตามที่พอจะสู้ไหว”
    การอาบน้ำมันว่านนี้นอกจากจะจัดเองที่วัดสว่างอารมณ์แล้ว พระครูธรรมธรสมทรงก็ยังเผยแพร่และสนับสนุนวิชานี้ให้กว้างขวางออกไป โดยหากทางวัดไหนจะจัดท่านก็ยินดีเป็นที่ปรึกษาให้ และหากหาพระที่มีความรู้พอไปอาบไม่ได้ท่านก็รับนิมนต์ไปทำหน้าที่อาบให้ ซึ่งเมื่อก่อนตอนที่สังขารท่านยังแข็งแรงสมบูรณ์อยู่ มีกิจนิมนต์อาบน้ำมันว่านตามวัดต่างๆบ่อยๆ แต่หลังจากที่ท่านบอกว่าสังขารค่อนข้างทรุดโทรมก็จำต้องปฏิเสธวัดอื่นๆไป คงจะจัดเองเฉพาะที่วัดเท่านั้น
    สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้สังขารของท่านทรุดโทรมแต่ยังหนุ่มนั้นก็คือ การทำงานหนักมากเกินไปและงานที่ว่าก็คือ การสงเคราะห์ญาติโยม วันๆก็นั่งต้อนรับ ประกอบพิธีกรรมต่างๆให้ ทำอยู่เช่นนี้วันละหลายๆชั่วโมง และก็ทำมาหลายปีแล้ว จึงทำให้สังขารเริ่มทรุดโทรมโดยเริ่มจากความดันต่ำ จนหมอต้องสั่งให้หยุดพักผ่อนเสียบ้าง แต่ท่านก็ปฏิเสธเพียงลดกิจนิมนต์ให้น้อยลง ไม่ถึงกับยอมหยุดพักผ่อน ท่านบอกว่า
    “ก็เห็นใจญาติโยมที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาหา หวังจะมาขอพึ่ง ถ้าเราเลิกเสียก็จะทำให้เขาเสียใจก็เลยต้องทำเรื่อยมา และก็ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็จะทำต่อไป แต่จะทำเท่าที่ทำไหวเป็นพระก็ต้องอย่างนี้แหละ แต่ฉันดีหน่อยเหนื่อยเสียแต่หนุ่มๆ พระบางรูปแย่กว่าฉันเยอะ และส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างนั้นเสียด้วย คือตอนหนุ่มๆไม่ค่อยมีใครไปหา มีเรี่ยวแรงก็ไม่ได้ใช้ แต่พอเริ่มชราเรี่ยวแรงเริ่มหมดก็มีคนไปหา ไปขอให้ช่วยโน้นช่วยนี้ มีกิจนิมนต์มากมายไม่หยุด เดี๋ยวให้ทำพิธีกรรมนั้นพิธีกรรมนี้ลองดูพระที่มีกิจนิมนต์มากๆนะ ส่วนใหญ่จะชราภาพแล้วทั้งนั้นความจริงวัยขนาดนั้น ถ้าเป็นชาวบ้านเขาจะปลดเกษียณ หยุดพักผ่อนไม่ทำอะไรแต่พระกลับตรงกันข้าม ยิ่งแก่ยิ่งมีงานมาก บางรูปประกอบกิจนิมนต์จนมรณภาพคางานก็มี บางรูปไม่ถึงกับคางานแต่ก็ต้องส่งโรงพยาบาลไปนอน 2-3 วันก็มรณภาพ นี้แหละเรื่องที่น่าคิด ฉันคิดได้อย่างนี้ก็เลยสู้ต่อไป ตอนหนุ่มๆยังไงก็พอมีเรี่ยวแรง ตอนแก่ก็ค่อยว่ากันอีกที...”
    แม้ว่าปัจจุบันพระครูธรรมธรสมทรง ท่านจะมีสุขภาพไม่สู้ดีนัก ก็คือมีโรครุกรานบ้างแต่ท่านก็ยังต้อนรับญาติโยมได้วันละหลายๆรายอยู่เหมือนเดิม แต่หากเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุด ซึ่งจะมีคนไปหามากนับจำนวนร้อย ท่านต้อนรับทั้งหมดไม่ไหว ก็เลยต้องใช้วิธีจับฉลากที่ท่านทำอย่างนี้ก็เพราะท่านบอกว่า
    “เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม จับฉลากทำพิธีให้ได้ประมาณ 10 คน ส่วนที่เหลือก็ไม่ใช่จะปล่อยให้ผิดหวังกลับไป ก็จะประกอบพิธีกรรมรวมๆให้”
    ผู้ทรงสรรพศาสตร์โบราณ
    สาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระครูธรรมธรสมทรง ท่านมีงานมากจนร่างกายทรุดโทรมก่อนวัยอันสมควร ก็เพราะท่านมีความรู้ในหลายๆด้าน ช่วยสงเคราะห์ชาวบ้านในหลายๆทางโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับศาสตร์โบราณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางไสยศาสตร์ซึ่งก็มีทั้งการสะเดาะเคราะห์ รับพระ ส่งพระ เสริมชะตาบารมี ทางโหราศาสตร์ก็มีทั้งการดูดวงชะตาด้วยหลายวิธีดังกล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วก็ยังมีความรู้ในทางสมุนไพรอีกด้วย เมื่อก่อนเปิดรับรักษาทั้งด้านยาสมุนไพรและพวกถูกคุณไสย ปัจจุบันมีกิจมากมายก็เลยต้องตัดสองอย่างนี้ออกไป เพราะเห็นว่าวัดอื่นๆก็ทำได้
    นอกจากนั้นแล้วท่านก็ยังเป็นร่างทรงอีกด้วย โดยรับเป็นร่างทรงฤาษีตนหนึ่งคือ “บรมครูกลันยโกฏ” ซึ่งถือเป็นครูในทางวิญญาณของท่าน เป็นผู้ที่ช่วยเหลือท่านอยู่เบื้องหลัง ท่านได้เล่าถึงสาเหตุที่ต้องศึกษาค้นคว้าในความรู้ต่างๆเหล่านี้ให้ฟังว่า
    “เพราะเห็นว่าศาสตร์พวกนี้เกี่ยวข้องกัน ถ้าแยกกันก็จะทำให้เกิดความยุ่งยาก ทำให้เรารู้ไม่จริง เกิดความสงสัยไม่สิ้นสุด เช่น มีคนป่วยมาหา ถ้าเรารู้แต่ในทางยาสมุนไพร เราก็วินิจฉัยไปตามอย่างสมุนไพร ไม่หายก็แล้วกันไป ถ้าเรารู้เรื่องหมอดู เมื่อตรวจดูชะตาเขาพบว่า ชะตาตกดวงไม่ดีต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ก็แค่บอกให้เขาสะเดาะเคราะห์ ถ้าเรารู้แต่สะเดาะเคราะห์ก็ทำพิธีสะเดาะเคราะห์อย่างเดียว โดยไม่รู้ว่าควรทำหรือไม่ ก็เลยต้องเรียนมันทุกอย่างเพื่อจะเลือกสิ่งที่ดีที่เหมาะสมที่สุดจัดการให้กับเขา และที่สำคัญเลย ฉันเห็นว่าศาสตร์ลึกลับที่บรรพบุรุษเราเคยเรียนเคยสอนกันไว้ นับวันจะสูญหายไปเรื่อยๆเพราะไม่มีคนสนใจอยากสืบทอดต่อ ก็เลยต้องเรียนไว้ทั้งหมด”
    เพราะเรียนทั้งหมดนั่นเองจึงทำให้ท่านมีกิจนิมนต์มากมายจนไม่มีเวลาได้พักผ่อน ส่งผลให้ร่างกายทรุดโทรมเร็ว แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ ยังต้อนรับญาติโยมอยู่เหมือนเดิม
    หากท่านผู้อ่านๆเรื่องนี้แล้ว สนใจจะไปเที่ยววัดสว่างอารมณ์ จะไปดูการประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ต่างๆดังกล่าวมาแล้ว หรือจะไปกราบนมัสการพระครูธรรมธรสมทรงสักครั้ง ก็ขอเชิญได้ที่วัดสว่างอารมณ์ หรือที่ชาวบ้านย่านนั้นเรียกว่า “วัดแคแถว” ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม
    เพื่อความแน่ใจกันการไปแล้วไม่เจอท่าน ก็ลองโทรไปสอบถามก่อนก็ได้ เบอร์ (034)324-544 ผู้ใดสนใจก็ขอเชิญเถิดครับ...

    คัดลอกจาก..หนังสือญาณวิเศษ(หนังสืออภินิหารแห่งจิต)
    เวทย์ วรวิทย์
    1908218_820146254723445_3201115418373837220_n.jpg 11080997_820148691389868_1760787757609032443_n.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...