๑๐. มารตัชชนียสูตร ว่าด้วยการคุกคามมาร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 18 มีนาคม 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    [๕๕๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ มิคทายวัน ในเภสกลาวันเขตเมืองสุงสุมาร
    คีระ ในภัคคชนบท.
    สมัยนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ถูกมารผู้ลามกเข้าไปในท้องในไส้
    ได้มีความดำริว่า ท้องเราเป็นดังว่ามีก้อนหินหนักๆ และเป็นเช่นกะทออันเต็มด้วยถั่วหมัก เพราะ
    เหตุอะไรหนอ จึงลงจากจงกรมแล้วเข้าไปสู่วิหาร นั่งอยู่บนอาสนะที่ปูไว้ ครั้นนั่งแล้ว ได้ใส่ใจ
    ถึงมารที่ลามกด้วยอุบายอันแยบคายเฉพาะตน.
    [๕๕๘] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นมารผู้ลามก เข้าไปในท้องในไส้แล้ว ครั้นแล้ว
    จึงเรียกว่า ดูกรมารผู้ลามก ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตและ
    สาวกของพระตถาคตเลย วิเหสนกรรมนั้น อย่าได้มีเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์แก่ท่าน
    ตลอดกาลนาน.
    ลำดับนั้น มารมีความดำริว่า สมณะนี้ไม่รู้และไม่เห็นเรา จึงกล่าวว่า ดูกรมารผู้ลามก
    ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตและสาวกของพระตถาคตเลย
    วิเหสนกรรมนั้น อย่าได้มีเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์แก่ท่านตลอดกาลนาน ดังนี้ แล้ว
    จึงดำริว่า แม้สมณะที่เป็นศาสดายังไม่พึงรู้จักเราได้เร็วไว ก็สมณะที่เป็นสาวกไฉน จักรู้จักเรา
    ได้.
    ในขณะนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้บอกว่า ดูกรมารผู้ลามก เรารู้จักท่านแม้ด้วยเหตุนี้
    แล ท่านอย่าเข้าใจว่า สมณะนี้ไม่รู้จักเรา ท่านเป็นมาร ท่านมีความดำริว่า สมณะนี้ไม่รู้และไม่
    เห็นเรา จึงกล่าวว่า ดูกรมารผู้ลามก ท่านจงออกมา ฯลฯ ก็สมณะที่เป็นสาวกไฉน จักรู้จักเรา.
    ลำดับนั้น มารมีความดำริว่า สมณะนี้รู้จักและเห็นเรา จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรมารผู้ลามก
    ท่านจงออกมา ฯลฯ วิเหสนกรรมนั้น อย่าได้มีเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์แก่ท่านตลอด
    กาลนาน ดังนี้ แล้วจึงออกจากปากท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วยืนอยู่ที่ข้างบานประตู.
    [๕๕๙] ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้เห็นมารผู้ลามกยืนอยู่ที่ข้างบานประตู ครั้นแล้ว
    จึงกล่าวว่า ดูกรมารผู้ลามก เราเห็นท่านแม้ที่ข้างบานประตูนั้น ท่านอย่าเข้าใจว่า สมณะนี้ไม่
    เห็นเรา ท่านนั้นยืนอยู่แล้วที่ข้างบานประตู. ดูกรมารผู้ลามก เรื่องเคยมีแล้ว เราเป็นมารชื่อทูสี
    มีน้องหญิงชื่อกาลี ท่านเป็นบุตรน้องหญิงของเรานั้น ท่านนั้นได้เป็นหลานชายของเรา. ครั้งนั้น
    พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลก.
    พระองค์มีคู่พระมหาสาวกชื่อวิธุระและชื่อสัญชีวะเป็นคู่เจริญเลิศ. พระสาวกของพระผู้มีพระภาค
    พระนามว่ากกุสันธะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีประมาณเท่าใด ในพระสาวกมีประมาณเท่านั้น
    ไม่มีองค์ใดที่จะสม่ำเสมอด้วยท่านพระวิธุระในทางธรรมเทศนา. ด้วยเหตุนี้ ท่านพระวิธุระจึงมี
    นามเกิดขึ้นว่า วิธุระ วิธุระ. ส่วนท่านพระสัญชีวะ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่าง
    เปล่าก็ดี ย่อมเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธด้วยความลำบากเล็กน้อย. ดูกรมารผู้ลามก เรื่องเคยมีแล้ว
    ท่านพระสัญชีวะนั่งเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง. พวกคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยง
    ปศุสัตว์ พวกคนไถนา และพวกคนเดินทาง ได้เห็นท่านพระสัญชีวะนั่งเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
    อยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง ครั้นแล้วได้ปรึกษากันว่า ท่านผู้เจริญ นี่น่าอัศจรรย์แปลกปลาด
    หนอ พระสมณะนี้นั่งทำกาละเสียแล้ว มิฉะนั้น พวกเราจงเผาท่านเถิด. ครั้งนั้น คน
    เหล่านั้นจึงหาหญ้าไม้ และโคมัยมากองสุมกายท่านพระสัญชีวะ เอาไฟจุดเผาแล้วหลีกไป.
    เมื่อล่วงราตรีนั้นแล้ว ท่านพระสัญชีวะออกจากสมาบัตินั้นแล้ว ก็สลัดจีวร เวลาเช้า นุ่งห่ม
    แล้วถือบาตรและจีวร เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต. พวกคนเลี้ยงโค พวกคนเลี้ยงปศุสัตว์
    พวกคนไถนา และพวกคนเดินทาง ได้เห็นท่านพระสัญชีวะเที่ยวบิณฑบาตแล้ว ก็ปรึกษากันว่า
    ท่านผู้เจริญ นี่น่าอัศจรรย์ แปลกปลาดหนอ พระสมณะนี้นั่งทำกาละแล้ว พระสมณะนี้นั้น
    กลับมีสัญญาอยู่แล้ว. ด้วยเหตุนี้ ท่านพระสัญชีวะจึงได้มีชื่อเกิดขึ้นว่า สัญชีวะ สัญชีวะ.
    [๕๖๐] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแหละ ทูสีมารมีความดำริว่า เราไม่รู้จักความมาและ
    ความไปของภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้ ถ้ากระไร เราพึงดลใจพวกพราหมณ์และคฤหบดีว่า
    มาเถิด พวกท่านจงด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียน พวกภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ถ้าไฉน
    ภิกษุเหล่านั้นถูกพวกท่านด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียนอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยอาการที่
    ทูสีมารพึงได้ช่อง.
    ครั้งนั้น ทูสีมารก็ดลใจพวกพราหมณ์และคฤหบดีตามดำรินั้น พวกพราหมณ์และคฤหบดี
    ถูกทูสีมารดลใจแล้ว ก็ด่า บริภาษ เสียดสี เบียดเบียน พวกภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมว่า
    ภิกษุเหล่านี้ เป็นสมณะหัวโล้น เป็นคฤหบดี เป็นค่าง เป็นผู้เกิดแต่หลังเท้าของพรหม พูดว่า
    พวกเราเจริญฌาน พวกเราเจริญฌาน เป็นผู้คอตก ก้มหน้า เกียจคร้าน ย่อมรำพึง ซบเซา
    หงอยเหงา. เหมือนนกเค้าจ้องหาหนูที่กิ่งต้นไม้ และเหมือนสุนัขจิ้งจอกจ้องหาปลาใกล้ฝั่งน้ำ
    และเหมือนแมวจ้องหาหนูที่ที่ต่อเรือนอันรุงรัง และกองหยากเหยื่อ และเหมือนลาที่ปลดต่างแล้ว
    ต่างก็รำพึง ซบเซา เหงาหงอยอยู่ฉะนั้น. ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้น มนุษย์เหล่าใดทำกาละไป
    มนุษย์เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
    โดยมาก.
    [๕๖๑] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ทรงพระนามว่ากกุสันธะ เป็นพระ
    อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วรับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวก
    พราหมณ์และคฤหบดีถูกทูสีมารดลใจชักชวนว่า มาเถิด พวกท่านจงด่า บริภาษ เสียดสี
    เบียดเบียน พวกภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ถ้าไฉน ภิกษุเหล่านั้นถูกพวกท่านด่า บริภาษ เสียดสี
    เบียดเบียนอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยอาการที่ทูสีมารพึงได้ช่อง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มาเถิด
    พวกเธอจงมีจิตสหรคตด้วยเมตตาแผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่เถิด แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่
    ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น มีจิตสหรคตด้วยเมตตา อันกว้างขวาง
    เป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลก มีสัตว์ทั้งมวล โดยความมี
    ตนทั่วไป ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง อยู่ดังนี้เถิด. มีจิตสหรคตด้วยกรุณา ...
    มีจิตสหรคตด้วยมุทิตา ... มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่เถิด แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒
    ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา
    อันกว้าง เป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลก มีสัตว์ทั้งมวล
    โดยความมีตนทั่วไป ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง อยู่ดังนี้เถิด. ครั้งนั้น
    ภิกษุทั้งหลายอันพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
    สั่งสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี ก็มี
    จิตสหรคตด้วยเมตตาแผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่ แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น
    แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น มีจิตสหรคตด้วยเมตตา อันกว้างขวาง เป็นใหญ่ หาประมาณ
    มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกมีสัตว์ทั้งมวล โดยความมีตนทั่วไป ในที่ทั้งปวง
    ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางอยู่ ดังนี้. มีจิตสหรคตด้วยกรุณา ... มีจิตสหคตด้วยมุทิตา ...
    มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศที่ ๑ อยู่ แผ่ไปสู่ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น
    แผ่ไปสู่ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น มีจิตสหรคตด้วยอุเบกขา อันกว้างขวาง เป็นใหญ่ หาประมาณ
    มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกมีสัตว์ทั้งมวล โดยความมีตนทั่วไป ในที่ทั้งปวง
    ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวางอยู่ ดังนี้.
    [๕๖๒] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ทูสีมารมีความดำริดังนี้ว่า เราทำอยู่แม้ถึงอย่างนี้แล
    ก็มิได้รู้ความมาหรือความไปของภิกษุผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมเหล่านี้เลย ถ้ากระไร เราพึงชักชวน
    พวกพราหมณ์และคฤหบดีว่า เชิญท่านทั้งหลายมา สักการะ เคารพ นับถือ บูชา
    ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมกันเถิด แม้ไฉน เมื่อภิกษุเหล่านั้นอันท่านทั้งหลาย
    สักการะ เคารพ นับถือ บูชาอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยประการที่ทูสีมารพึงได้ช่อง. ดูกร
    มารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ทูสีมารชักชวนพราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้นว่า เชิญท่านทั้งหลายมา
    สักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมกันเถิด แม้ไฉน เมื่อภิกษุ
    เหล่านั้นอันท่านทั้งหลายสักการะ เคารพ นับถือ บูชาอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยประการ
    ที่ทูสีมารพึงได้ช่อง ดังนี้. ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น ถูกทูสีมาร
    ชักชวนแล้ว พากันสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม. ดูกรมารผู้
    ลามก สมัยนั้นแล มนุษย์เหล่าใดกระทำกาละไป มนุษย์เหล่านั้น เมื่อกายแตกตายไป ย่อม
    เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์โดยมาก.
    [๕๖๓] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคพระนามว่า กกุสันธะ ผู้เป็นพระ
    อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกพราหมณ์
    และคฤหบดีอันทูสีมารชักชวนว่า เชิญท่านทั้งหลายมาสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภิกษุทั้งหลาย
    ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมกันเถิด แม้ไฉน เมื่อภิกษุเหล่านั้นอันท่านทั้งหลายสักการะ เคารพ
    นับถือ บูชาอยู่ พึงมีจิตเป็นอย่างอื่น โดยประการที่ทูสีมารพึงได้ช่อง ดังนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เชิญท่านทั้งหลายจงพิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล มีความ
    สำคัญในโลกทั้งปวงว่าไม่น่ายินดี พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวงว่าเป็นของไม่เที่ยงอยู่เถิด. ดูกร
    มารผู้ลามก ภิกษุเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมา-
    *สัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี ไปสู่เรือน
    ว่างเปล่าก็ดี ก็พิจารณาเห็นในกายว่าไม่งาม มีความสำคัญในอาหารว่าเป็นของปฏิกูล มีความ
    สำคัญในโลกทั้งปวง ว่าไม่น่ายินดี พิจารณาเห็นในสังขารทั้งปวง ว่าเป็นของไม่เที่ยงอยู่.
    [๕๖๔] ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคพระนามว่า กกุสันธะ
    ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครองสงบ แล้วทรงบาตรและจีวร มีท่านพระวิธุระเป็น
    ปัจฉาสมณะ เสด็จเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต. ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล ทูสีมารเข้าสิงเด็ก
    คนหนึ่ง แล้วเอาก้อนหินขว้างที่ศีรษะท่านพระวิธุระศีรษะแตก. ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล
    ท่านพระวิธุระมีศีรษะแตกเลือดไหลอยู่ เดินตามเสด็จพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็น
    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไปข้างหลังๆ. ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค
    พระนามว่ากกุสันธะ ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงชำเลือง ดูเหมือนช้างชายตาดู
    ด้วยตรัสว่า ทูสีมารนี้มิได้รู้ประมาณเลย. ดูกรมารผู้ลามก ก็แหละทูสีมารเคลื่อนแล้วจากที่นั้น
    และเข้าถึงมหานรก พร้อมด้วยพระกิริยาที่ทรงชำเลืองดู.
    [๕๖๕] ดูกรมารผู้ลามก ก็มหานรกนั้นแลมีชื่อ ๓ อย่าง ชื่อฉผัสสายตนิกะก็มี
    ชื่อสังกุสมาหตะก็มี ชื่อปัจจัตตเวทนียะก็มี. ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พวกนายนิรยบาล
    เข้ามาหาเราแล้ว บอกว่าเมื่อใดแล หลาวเหล็กกับหลาวเหล็กมารวมกันที่กลางหทัยของท่าน
    เมื่อนั้น ท่านพึงรู้ว่า เราไหม้อยู่ในนรกพันปีแล้ว. ดูกรมารผู้ลามก เรานั้นแล หมกไหม้อยู่ใน
    มหานรกนั้นหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี และหมกไหม้อยู่ในอุสสทนรกแห่งมหานรก
    นั้นแล เสวยทุกขเวทนาหนักกว่าก่อนอีกหมื่นปี. เรานั้นมีกายเห็นปานนี้คือ มีศีรษะเหมือนศีรษะ
    มนุษย์ก็มี เหมือนศีรษะปลาก็มี.

    <CENTER>อวสานคาถา
    </CENTER> [๕๖๖] ทูสีมารประทุษร้ายพระสาวกชื่อวิธุระ และพระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐ
    พระนามว่ากกุสันธะ แล้วไหม้อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นไร ทูสีมาร
    ประทุษร้ายพระสาวกชื่อวิธุระ และพระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐพระนามว่า
    กกุสันธะ แล้วไหม้อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นนี้ คือ มีหลาวเหล็ก
    ร้อยหนึ่ง ล้วนให้ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ภิกษุใดเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้า
    ย่อมรู้จักนรกนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์
    อย่างหนัก วิมานทั้งหลายตั้งอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร มีความตั้งอยู่
    ตลอดกัป มีสีเหมือนแก้วไพฑูรย์ มีความรุ่งเรือง มีรัศมีโชติช่วง เป็น
    ประภัสสร พวกนางอัปสรมีวรรณะต่างๆ เป็นอันมาก ฟ้อนรำอยู่ที่วิมาน
    เหล่านั้น ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักวิมานนั้น มาร
    ประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก ภิกษุใดแล อัน
    พระพุทธเจ้าทรงเตือนแล้ว เมื่อภิกษุสงฆ์เห็นอยู่ ยังปราสาทของมิคาร-
    *มารดาให้ไหวด้วยปลายนิ้วเท้า ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อม
    รู้จักเหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก
    ภิกษุใดเข้มแข็งด้วยกำลังฤทธิ์ ยังเวชยันตปราสาท ให้ไหวด้วยปลาย
    นิ้วเท้า และยังพวกเทวดาให้สังเวช ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
    ย่อมรู้จักเหตุนั้น มารประทุษร้าย ภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์
    อย่างหนัก ภิกษุใดทูลสอบถามท้าวสักกะในเวชยันตปราสาทว่า ดูกรท่าน
    ผู้มีอายุ ท่านย่อมรู้ความน้อมจิตไปในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาบ้างหรือ ท้าว-
    สักกะถูกถามปัญหาแล้ว พยากรณ์แก่ภิกษุนั้นตามควรแก่กถา ภิกษุใด
    เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักเหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น
    ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก ภิกษุใด ย่อมสอบถามพรหม ณ ที่ใกล้
    สุธรรมาสภาว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ทิฏฐิของท่านในวันนี้ และทิฏฐิของท่าน
    มีในวันก่อน ท่านย่อมเห็นทิฏฐินั้นล่วงไปแล้ว และรัศมีเป็นประภัสสร
    ในพรหมโลกบ้างหรือ พรหมพยากรณ์แก่ภิกษุนั้นตามลำดับ โดยควรแก่
    กถาว่า ดูกรท่านผู้นฤทุกข์ ข้าพเจ้าไม่มีทิฏฐินั้น และทิฏฐิในวันก่อน
    ข้าพเจ้าเห็นทิฏฐินั้นล่วงไปแล้ว และเห็นรัศมีเป็นประภัสสรในพรหมโลก
    (ฉะนั้น) วันนี้ ข้าพเจ้าจะกล่าวว่า เราเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน ได้อย่างไร
    ภิกษุใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักเหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุ
    เช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก ภิกษุใดได้กระทบยอดภูเขามหาเนรุด้วย
    ชมพูทวีปด้วย ทวีปของชาวปุพพวิเทหะด้วย พวกนรชนผู้อยู่ในแผ่นดิน
    [ชาวอมรโคยานทวีป และชาวอุตตรกุรุทวีป] ด้วยวิโมกข์ ภิกษุใดเป็น
    สาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้เหตุนั้น มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อม
    ประสบทุกข์อย่างหนัก ก็คนพาลมาเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชน ย่อม
    เดือดร้อนอยู่ว่า ไฟย่อมไม่คิดจะเผาเรา แต่เราย่อมเผาตนผู้เป็นคนพาลเอง
    ดูกรมาร ท่านเบียดเบียนพระตถาคตแล้วจักเผาตัวเอง ดังคนพาลที่ถูก
    ไฟเผา ฉันนั้นเหมือนกัน ดูกรมาร ท่านเบียดเบียนพระตถาคตแล้ว ต้อง
    ประสบบาปมิใช่บุญ ท่านอย่าสำคัญว่า บาปไม่ให้ผลแก่เราหรือหนอ
    การกชนที่สั่งสมบาป ย่อมโอดครวญตลอดกาลนาน ดูกรมาร ท่าน
    เบื่อหน่ายพระพุทธเจ้า อย่าได้ทำความหวัง [ซึ่งความพินาศ] ในภิกษุ
    ทั้งหลายเลย ภิกษุได้คุกคามมารในเภสกลาวัน ด้วยประการฉะนี้ ลำดับ
    นั้น มารนั้นมีความเสียใจได้หายไปในที่นั้น ฉะนี้แล.

    <CENTER>จบมารตัชชนียสูตร ที่ ๑๐
    </CENTER><CENTER>จบจูฬยมกวรรคที่ ๕
    </CENTER><CENTER class=l>-----------------------------------------------------
    </CENTER><CENTER>รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
    </CENTER> ๑. สาเลยยกสูตร ๒. เวรัญชกสูตร ๓. มหาเวทัลลสูตร ๔. จูฬเวทัลลสูตร

    <CENTER></CENTER>๕. จูฬธรรมสมาทานสูตร ๖. มหาธรรมสมาทานสูตร ๗. วีมังสกสูตร ๘. โกสัมพิยสูตร
    ๙. พรหมนิมันตนิกสูตร ๑๐. มารตัชชนียสูตร ฯ

    <CENTER>จบมูลปัณณาสก์
    </CENTER><CENTER class=l>-----------------------------------------------------</CENTER><CENTER></CENTER>

    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ บรรทัดที่ ๑๐๒๘๗ - ๑๐๔๕๘. หน้าที่ ๔๒๔ - ๔๓๐.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=10287&Z=10458&pagebreak=0
    ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=557
    สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒
    http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๑๒</U>
    http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_12
     
  2. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    สิ่งใดหนอขึ้นชื่อว่ามาร ในที่นี้ เมื่อยังไม่รู้ว่า สิ่งใดหนอขึ้นชื่อว่ามารแล้ว ก็ยังไม่ถึงพร้อมแห่งอรรถะแห่งพระคาถานี้ การที่เป็นผู้มีจิตใจโลเลสงสัยในธรรมทั้งหลายนั้น ไม่สนใจพิจารณาในธรรมทั้งหลายนั้น เลือกเฉพาะในสิ่งที่ถูกใจตนเพียงฝ่ายเดียวนั้น ยังยินดีในอกุศลกรรม มีพรรคมีพวกอยู่นั้น ชื่อว่า ยังไม่รู้จักมารอย่างแท้จริง เมื่อยังไม่สามารถเห็นได้ว่ามารที่แท้จริงนั้นอยู่ไหนและคือใคร ก็ขึ้นชื่อว่ายังไม่ถึงที่สุดแห่งอรรถและพระคาถานี้ ขอทุกท่านโปรดพิจารณาด้วยสติปัญญาของท่านเถิด หาให้พบว่ามารนั้นอยู่ที่ไหนและอยู่ที่ใดกัน
    อนุโมทนาสาธุกับทุกๆท่านที่พิจารณาถ้อยอรรถและพระคาถานี้ครับ
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    ยังยินดีในอกุศลกรรม มีพรรคมีพวกอยู่นั้น ชื่อว่า ยังไม่รู้จักมารอย่างแท้จริง
    หาให้พบว่ามารนั้นอยู่ที่ไหนและอยู่ที่ใดกัน

    หาดูในตัวท่านเองเถิด หาเจอบ้างหรือยัง
    ท่านผู้เจริญ
     
  4. ลูกบัวผัน

    ลูกบัวผัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +295
    มารแท้จริง คือ สภาวะที่มืดมิดในใจเรา ขาดการรู้ดีรู้ชั่ว แยกแยะไม่ได้ ที่มันพาเรา
    วนอยู่นี้ล่ะ
     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    [​IMG]
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    มาร มักจะกลัวคำอธิษฐาน จาก สัจวาจา

    ใคร บำเพ็ญ สัจวาจาบ่อยๆ เอ่ยอะไรออกไป แล้ว มารจะกลัว

    แม้่ เอ่ยให้มาร รับกรรม รับเคราะห์ มารก็ต้องรับ

    ดูตัวอย่างพระสูตร ข้างต้นนั่นแหละ พระโมคคัลลา ไม่ต้องทำอะไร แค่พูดเท่านั้น

    คนไหน มีสัจวาจา ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วเอ่ย ออกไป เท่านั้น มารจะกลัว
     
  7. ลูกบัวผัน

    ลูกบัวผัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +295
    ไปเชื่ออะไร ต้องพิจารณาสักหน่อย

    มาร ตอนที่เราหลงเผลอไหล มัว เมา โลก เคยเห็นมารกันบ้างไหม

    อ้าว พอมาปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีสติมากขึ้น ทำไมเห็นมาร มากขึ้นล่ะ

    เมื่อก่อน พวกมาร ลาพัก หรืองัย กันนะ ทำไม เพิ่งมาทำงานเอาตอนนี้ หว่า- -

    หากใคร กำลัง จะปฏิบัติปฏิบัติชอบ พาลาโลก โลกหมายถึงการเปลี่ยนแปลง หาสุข จริงมิได้ ถ้ายังกลัวมารข้างนอก อยู่ล่ะก็ แสดงว่า กำลังแพ้พระในใจตนที่วิเศษนักแล ..เอวัง
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    มารมีฤทธิ์มาก ก็เพราะบำเพ็ญตบะ ถือสัจจะ
    พอมีฤทธิ์มีเดช ก็เริ่มทำกรรมได้มากขึ้น
    ที่ได้ชื่อว่ามารก็เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเป็นที่ตั้ง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
    ใครทำให้ไม่พอใจก็สาปแช่งเขาเพราะถือว่าตนมีฤทธิ์ มีวาจาสิทธิ
    ถ้าเอาฤทธิ์ไปใช้กับคนชั่วปราบปรามคนชั่ว ก็ได้บารมี
    ทำให้คนชั่วกลับใจไม่กล้าทำความชั่ว เป็นการสร้างบารมี
    ถ้าเอาฤทธิ์ไปใช้กับคนดีคนมีธรรม ก็ได้ภัยมาถึงตัวเหมือนทูสีมาร
     
  9. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    958
    ค่าพลัง:
    +1,699
    อริยมรรค ปราบมารในตัว
    ถ้าจะปราบมารตัวอื่น ต้องดูกำลังตน
    พระโพธิสัตว์ฝ่ายปราบ ต้องใช้ความเสียสละมาก

    * เกรงว่าจะกลายเป็นมารไปเสียเองก่อน

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    คนไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ค่อยยอมรับอะไร ก็ค่อยๆ ศึกษาไป อย่าด่วนปฏิเสธ

    หรือ ด่วนปรักปรำ
     
  11. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    มีท่านไหนเป็นฝ่ายปราบบ้างครับ
     
  12. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ปราบครับแต่ปราบของตัวเองครับ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ริอ่านไปปราบของคนอื่น สุดท้ายก็คว้าความว่างเปล่า มันไม่มีสาระและไม่สร้างสรรค์ให้ได้ ให้มีสติปัญญาเลย ที่ทำได้มีเพียงเสนอแนวทางพิจารณา หากพิจารณาได้ก็เรียกว่าได้ทำกุศล หากเขาพิจารณาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเพราะนั่นหมายถึง คนเราล้วนมีกรรมแตกต่างกันไม่เป็นอกุศลเพราะไม่ได้พาเขาหลงทางพ้นทางไป เพียงแค่บอกให้เขาพิจารณาดูว่ามันเดินต่อไปได้ไหมหากปฏิบัติแบบนี้เป็นแบบนี้ ฝ่ายปราบจึงมีอยู่แต่ปราบแต่ปรามตนเองเท่านั้นแหละครับ
     
  13. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ถาม ขอให้อธิบายคำว่า มาร โดยละเอียด

    ตอบ มารนั้นหมายถึง สิ่งที่ฆ่าหรือขัดขวางบุคคลให้ตายไปจากคุณงามความดี หรือขัดขวางไม่ให้บรรลุคุณงามความดี ในเวลาที่ตายจากโลกมนุษย์แล้ว ท่านแบ่งไว้ ๕ อย่าง คือ

    ๑. อภิสังขารมาร มารคือเจตนากรรมในอดีตภพ อันได้แก่ปุญญาภิสังขาร เจตนา<wbr>อัน<wbr>เป็น<wbr>บุญได้แก่ เจตนาในมหากุศล ๘ รูปฌานกุศล ๕ อปุญญาภิสังขาร เจตนาคือบาป ได้แก่ เจตนาในอกุศล ๑๒ และอาเนญชาภิสังขาร เจตนาที่ไม่หวั่นไหวคือเจตนาในอรูปฌานกุศล ๔

    ก็อภิสังขารมารคือ เจตนาในอภิสังขารทั้ง ๓ นี้เป็นเหตุให้ปฏิสนธิในภพภูมิต่างๆ เมื่อยังต้องปฏิสนธิคือยังต้องเกิดในภพต่างๆ อยู่ย่อมไม่พ้นไปจากความทุกข์ได้ อภิสังขารคือเจตนากรรมเหล่านี้ที่ชื่อว่ามาร ก็เพราะเป็นผู้ทำลายหรือกีดกันปิดกั้นหนทางที่บุคคลจะเข้าถึงความพ้นทุกข์ พูดง่ายๆ ก็คือ อภิสังขารมารนั้นปิดกั้นทางที่จะให้ถึงมรรคผลนิพพาน นี่เป็นมารข้อแรก

    ๒. กิเลสมาร มารคือกิเลส กิเลสชื่อว่าเป็นมาร เพราะกำจัดขัดขวางมิให้บุคคลกระทำความดี ทำให้บุคคลทั้ง<wbr>หลายต้องได้รับความทุกข์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

    ๓. ขันธมาร มารคือขันธ์ ๕ ขันธ์ชื่อว่าเป็นมาร คือเป็นตัวขัดขวางการกระทำคุณงามความดี ทั้งนี้เพราะขันธ์ ๕ เป็นสภาพที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มั่นคงถาวรมีอันแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เสื่อมไป เพราะชราและพยาธิ ทำให้ไม่สามารถบำเพ็ญกุศลให้ถึงที่สุดได้ เพราะฉะนั้นขันธ์ ๕ จึงชื่อว่าเป็นมาร

    ๔. มัจจุมาร มารคือความตาย ความตายจัดเป็นมาร เพราะเป็นตัวการตัดโอกาสในการทำคุณงามความดี บางคนไม่เคยสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมเลย พอหันมาสนใจก็มีเหตุให้ต้องตายไปเสียก่อนที่จะได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามที่ ตั้งใจ ความตายจึงเป็นมารอย่างนี้

    ๕. เทวบุตรมาร มารคือเทพบุตร ท่านกล่าวว่าเทพบุตรองค์นี้เป็นหัวหน้าเทพ<wbr>บุตร<wbr>ใน<wbr>ชั้น<wbr>ปร<wbr>นิ ม<wbr>มิตวสวตี เรียกกันสั้นๆว่า ท้าววสวัตตีมาร ท้าววสวัตตีมารองค์นี้แหละ ที่ตามผจญพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ยังไม่ตรัสรู้ จนกระทั่งตรัสรู้แล้ว นอกจากนั้นยังเที่ยวชักชวนให้คนที่กำลังทำความดี เลิกละการทำความดีเสีย เที่ยวชักชวนพระภิกษุภิกษุณีให้เลิกปฏิบัติ แล้วสึกมาเสวยกามสุข เทพบุตรองค์นี้จึงจัดเป็นมาร เพราะคอยขัดขวางคนทั้ง<wbr>หลาย ไม่ให้ทำความดี โดยเฉพาะความดีขั้นสูงสุด คือ มรรคผลนิพพาน

    ทั้งหมดนี้คือเรื่องของมาร ๕ อย่างที่คุณอยากทราบ

    ขอสรุปให้ทราบว่า มาร ๕ อย่างมี อภิสังขารมาร กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร และเทวบุตรมาร




    พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
    www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=4
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2010
  14. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    [​IMG][​IMG][​IMG]

    มาดูกันหน่อย ก่อนจะเข้าใจคำว่า "มาร" ไปในทางที่จะนำทุคติมาสู่ตนมากเกินไป

    ก็ต้องอ้างอิงกันหน่อย มีครั้งหนึ่ง ท้าวสักกะเทวราช ผู้มีพระคุณอันประเสริฐโดย
    มิควรสงสัย(เพราะจะนำตนผู้สงสัยไปสู่ทุคติได้เพราะถือไฟแบบผิดๆ) ได้เห็นว่า
    รัศมีของตนได้หมองลง จึงร้อนใจรีบลงมาเข้าเฝ้าองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เพื่อถามถึงเหตแห่งความเศร้าหมองนั้น

    พระพุทธองค์ก็ตรัสไปง่ายๆว่า เทวดา แล พรหมชั้นใดก็ตาม ยังเศร้าหมองได้เพราะ
    ว่ายังมี "ริษยา" และ "มานะ"

    จริงๆ ตรงวรรคนี้ก็แทบจะไม่ต้องอธิบายกันแล้วว่า ต่อให้เป็นคนดีขนาดไหน มีปุญญา
    บารมีขนาดไหน แต่ลึกๆแล้วก็ยังเป็นไป หรือ มีบุญบารมีไปด้วยอำนาจ ริษยา และ
    มานะ สองตัวนี้นั่นแหละเป็น อธิปัจจัยตาผลักดัน

    จะก้มหัวให้ใคร จะทำบุญกับใคร จะเชิดชูใคร จะช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากนามใด
    ก็ล้วนแต่มี ริษยา และ มานะ สองตัวนี้เป็นตัวผลักดันอยู่ลึกๆ กาลไหนที่ทำแล้วรู้สึก
    ว่าไม่มีผู้ที่ทำได้สูงกว่าตน ด้วยอำนาจขององค์ธรรมสองตัวนั้น ก็จะทำให้ นอนใจอยู่
    กับความเสวยบุญตามลำดับชั้น(ตามสายตาที่พอใจแลไปเห็นได้)

    แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มไปเล็งเห็นสมบัติคนอื่นว่าเลิศกว่าตน ในขณะที่มีจิตไม่เป็นไป
    ในทางกุศล ไม่เอื้อไปทางบุญกุศล เมื่อนั้นความเศร้าหมองก็จะบังเกิด เกิดกายกรรม
    วจีกรรม มโนกรรมไปทางตัดรอน ขัดขวาง บังเกิดขึ้นในจิตใจ และถ้ายิ่งมีขันธ์5ทำงาน
    ครบก็จะเผลอเพลินไปกับการแสวงหาให้ได้มาซึ่งสมบัติเขา บางครั้งแค่แสดงวจีกรรม
    ข่มสร้างภาพลวงว่าได้ยึดสมบัติเขามาเป็นของตนได้ ก็มักจะเพลินกระทำ

    ยกตัวอย่างเช่น สมัยหนึ่งพระโพธิสัตว์เกิดเป็นแม่กระรอก น้ำท่วม ลูกจมหาย แม่กระรอก
    ก็ดำริจะใช้หางจุ่มน้ำแล้วไปสลัดอีกฝากเพื่อวิดน้ำให้หมดไป จะได้หาลุกเจอ ท้าวสักกะ
    ส่องมาเห็นเข้า เห็นความมานะอุตสาหะของกระรอกมีเยอะ ก็จะลงมาช่วย ออกปากช่วย
    แต่การช่วยนี้เหมือนมาทำบุญ มาเห็นคนดีก็เอ่ยปากช่วย แต่จริงๆแล้ว เพราะเกรงว่าความ
    อุตสาหะของกระรอกที่ดูมีมากกว่าตนนั่นแหละ เห็นแล้วก็อิจฉา มีมานะ จึงลงมาขวางด้วย
    การออกปากช่วยเหลือ ถ้ากระรอกยอมให้ช่วย พระโพธิสัตว์ก็จะชะงักความดีทันที เป็นต้น

    ดังนั้น ความเป็นมาร หรือการมาขวางกั้นความดีนั้น ต้องพิจารณาให้ลึกซึ้ง ไม่ใช่จับใจ
    ความสำคัญแล้วเทไปทางด้านทุคติด้านเดียว เพราะถึงแม้การมาขวาง มันจะเป็นเรื่องที่
    ไม่ควร แต่จะไปปรักปรำตั้งข้อรังเกลียดกล่าวโทษมันก็ต้องระมัดระวัง

    ไฟนั้นมีคุณ ซึ่งต้องถือให้เป็น ไม่เช่นนั้นจะได้เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติไปก่อนกาลอย่างย่าเสียดาย


    .....................................................................[​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2010
  15. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200

    อย่าคิดไปเองเลยครับ

    คำว่า ริษยา เกิดจาก คนที่ขาดความดี ไม่มีอะไรดี จึงริษยา

    แต่ คนที่มีดีพร้อมแล้ว แม้แต่คนที่มีบารมี มากกว่าเรา หรือ มีทรัพย์สินเหนือกว่าเรา ก็อนุโมทนากับเขา แม้ไม่ได้ศรัทธา ก็อนุโมทนาในบุญของเขา
    นั่นแหละ คือ นิสัยเทวดาที่ดี
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    มลทินข้อที่ ๓ ได้แก่ ความริษยา
    ความริษยาก็คือความที่มีจิตดิ้นรนทะเยอทะยานนั่นเอง เมื่อจิตดิ้นรนทะเยอทะยานแล้วก็เกิดความกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขขึ้นมา เมื่อเห็นผู้อื่นดีกว่าตน หรือเมื่อเห็นผู้อื่นนั้นมีความทัดเทียมกับตน ตนย่อมทนอยู่ไม่ได้ ดังสุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า “เมื่อเห็นเขาดีกว่าตัว หัวขนลุก” ความเป็นเช่นนี้จัดว่าเป็นความริษยา เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วย่อมก่อให้เกิดการประพฤติผิดได้ ประพฤติไปทำไม ผิดๆ? เพื่อตัดรอนความเจริญของเขา ไม่ให้ดีเท่าเรา และไม่ให้ทัดเทียมเรา บางครั้งถึงกับมีการล้างผลาญชีวิตกันก็มีเพราะความริษยา


    พระพุทธองค์จึงตรัสว่าเพราะเหตุความริษยานี้จึงจัดว่าเป็นมลทินชนิดที่สาม

    อ่านเพิ่มเติมเรื่อง มลทินที่ควร ลดละเลิก ต่อได้ที่นี่...

    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=invest&date=06-11-2009&group=3&gblog=5]BlogGang.com : : naiART_Sikhiu -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2010
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,903
    ค่าพลัง:
    +7,316
    กรรมที่ทำให้เป็นมาร

    กรรมอะไรทำให้เทวดาเป็นมาร สงสัยว่าทำไมขวางทางคนอื่นเป็นอาชีพแล้วยังได้เป็นเทวดาอยู่อีก

    ข้อที่อยากให้ทุกท่านได้สังเกตก่อนอื่นใด ก็คือบุญนั้นไม่ได้พามาแต่ความรู้สึกด้านดีประการเดียว แต่มักพ่วงพาเอาความถือตัว เห็นตนเองวิเศษสูงส่งเหนือใคร ๆ มาด้วยแล้วที่สุดก็ลงเอยด้วยความประมาท ฉันเป็นพระเอก นางเอกแล้วมีบุญกองภูเขาแล้ว ยิ่งใหญ่เหนือความผิดทั้งปวงแล้วดูเบาบาปผิด เล็ก ๆ น้อย ๆ สำคัญว่าไม่เป็นไร ทำไปไม่มีทางร่วงหล่นสู่นรกขุมไหน ๆ อีกแล้ว ลองถามตัวเองเถิด ถ้าหากทำบุญมาก ๆ แบบครบวงจรแล้วความคิดข้างต้นแวบ ๆ วาบ ๆ ขึ้นมาบ้างหรือเปล่า ถ้าเคยก็ขอให้สังวรระวังเถิด เพราะนี่แหละเชื้อที่ทำให้คุณมีสิทธิ์สอบติดเป็นมารตนหนึ่ง

    ความประมาทนั้น เป็นอาวุธชิ้นสุดท้ายที่ธรรมชาติจะดึงคนดีให้ตกต่ำ ยิ่งบุญมากขึ้นเท่าไหร่ เครื่องล่อให้ประมาทก็จะยิ่งใหญ่เป็นเงาตามตัวมากขึ้นเท่านั้น จึงไม่แปลกถ้าใครรู้สึกว่าตนเองและพรรคพวกสูงส่งเหนือมนุษย์ ก็มีแนวโน้มจะดูถูกดูแคลนผู้คน อยากให้ใคร ๆ ตกอยู่ใต้อำนาจตนและไม่อยากให้ใครได้ดีเกินตน

    อันที่จริงอัตตามนะอย่างเดียวไม่ได้ทำให้ใครเป็นมารขึ้นมาหรอก สิ่งที่ทำให้คน ๆ หนึ่งหรือเทวดาตนหนึ่งกลายเป็นมารอย่างสมบูรณ์แบบคือการตั้งความเชื่อไว้ผิด ชนิดที่นำไปสู่การก่อกรรมขัดขวางความเจริญ หรือห้ามความสำเร็จอันเป็นประโยชน์สุขของผู้อื่น คือทำทุกวิถีทางไม่จำกัดรูปแบบ ไม่ว่าบั่นทอนกำลังใจข่มขู่คุกคามขวัญ ดลใจให้อยากประพฤติผิด บังใจให้ลืมสิ่งที่ควรทำ ตลอดจนกระทั่งทำลายล้างกันตรง ๆ ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ขอเพียงขัดขวางไม่ให้ใครบรรลุเป้าหมายสูงสุดของศาสนาได้เป็นพอ ถ้าคุณยังไม่คลุกวงในหรือคว่ำหวอดกับการศาสนาจริงจัง คุณจะยังไม่รู้จักหรือนึกไม่ถึงว่ามีรูปแบบการขัดขวางที่พิสดารได้ปานนั้น

    ถ้ายังแปลกใจว่าทำไมเทวดายังคิดพิเรนทร์ได้ ก็ขอให้พิจารณาจากความจริงบนโลกนี้ที่เห็น ๆ กัน เช่นแต่ละศาสนาจะมีคนดี ๆ ที่ไม่เห็นด้วย อาจต่อต้าน หรือกระทั่งทำลายล้างกันอยู่จริง เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากเขาจะติดนิสัยเช่นนั้นไปยังภพอื่น ในมนุษย์โลกมีพฤติกรรมแบบใดได้ บนเทวโลกและพรหมโลกก็มีพฤติกรรมแบบนั้นได้เช่นกัน เพราะมนุษย์ย่อมจากโลกนี้ไปสู่ภาวะที่สอดคล้องกับนิสัยเดิม ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือนรก ใครดื้อ ใครไร้เหตุผล ใครใช้อารมณ์ จนขาดสามัญสำนึกไปตลอดชีวิต ก็ย่อมละโลกนี้เพื่อไปสู่ความเป็นเช่นนั้นอย่างยืดยาวหาที่จบยาก เนื่องจากภูมิมนุษย์นั้นธรรมชาติให้ไว้เป็นโอกาสเลือกเส้นทางของตัวเอง จะกระทำตัวตนแบบหนึ่ง ๆ เข้มข้นถึงที่สุดก็ได้ หรือปรับเปลี่ยนรื้อถอนตัวตนแบบหนึ่ง ๆ ด้วยการแลกชีวิตทั้งชีวิตก็ได้ ส่วนภพภูมิอื่น ๆ โดยเฉพาะที่โตเลยโดยไม่ต้องเรียนรู้ ไม่ผ่านการขัดเกลา ไม่มีตัวเลือก ให้ตัดสินใจเป็นอื่นนั้น ย่อมปักใจกับสิ่งที่วิบากกรรมหยิบยื่นมาวางไว้ตรงหน้าอย่างเดียว เช่นถ้าเคยชินกับความเป็นผู้ขัดขวาง เขาย่อมไปสู่ความเป็นสหายในภพของผู้ขัดขวางตั้งแต่อุบัติจนถึงอายุขัย

    ทีนี้มาดูกันว่าเหตุใดมนุษย์ที่มีสามัญสำนึกติดตัวกันดี ๆ ทุกคนจึงหลงผิดไปเป็นมาร เราจะพูดถึงมารศาสนาพุทธอย่างเดียวมารของศาสนาอื่นไม่พูดถึง แต่โดยหลักการก็คล้ายคลึงกันคือใครต่อต้านความเชื่อแบบใดก็เป็นมารประจำความเชื่อแบบนั้น ๆ

    1.เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ผิด แต่ประพฤติถูกบางส่วน

    หมายถึง เชื่อในการใช้ชีวิตแบบไม่เบียดเบียนใคร เลื่อมใสการเกื้อกูลสังคม หรือกระทั่งศรัทธาในสันติสุขและการมีเมตตา แต่ไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบาก ไม่เชื่อว่านิพพานมีจริง อาจจะเพราะได้รับการปลูกฝังให้เชื่อแบบนั้นมาแต่เล็ก หรืออาจจะโตแล้วคิดเอง คะเนแล้วปักใจเข้าข้างตัวเองอย่างเหนียวแน่น แถมยังขยายความเห็นผิดของตนให้กว้างไกลออกไป ผ่านรูปแบบการถกเถียง ถากถาง กล่าวโจทก์โพนทะนาด้วยเจตนา ให้คนทั้งโลกหมดความเชื่อถือ หรือกระทำพุทธศาสนาให้หมดความชอบธรรมที่จะตั้งอยู่ กรรมที่เผยแพร่ศาสนาตนด้วยวิธีย่ำยีศาสนาอื่นในวงกว้างนี้แหละตัวการสำคัญอันจะทำให้เป็นมาร

    บุคคลประเภทนี้มีโอกาสไปสวรรค์ ก็เพราะความดีที่เขาทำได้น้ำหนักเกินความชั่วที่เขาก่อ แต่หากครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญได้น้ำหนักแค่พอดีกับบาป ตายแล้วจะไปเป็นอสูร ซึ่งจัดเป็นพวกครึ่งเปรตครึ่งเทพ คอยรบกวนทั้งมนุษย์และเทวดาที่ใฝ่ดีตามแนวทางของพระพุทธศาสนา อาจจะในรูปของการทำร้ายตรงไปตรงมา ดังเช่นเมื่อครั้งพุทธกาลมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง เดินจงกรมอยู่กลางแจ้ง มารก็เข้าไปรบกวนท้องไส้ท่านให้รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนัก ๆ ถ่วงอยู่ แต่ท่านรู้ทันด้วยญาณ จึงเกลี้ยกล่อมโดยเล่าให้ฟังว่าอดีตชาติท่านก็เคยประพฤติตนเป็นมารอย่างนี้แหละ แต่พอพ้นจากภพของมารก็ต้องลงไปเสวยมหันตทุกข์ หมกไหม้อยู่ในมหานรกนานแสนนาน ไม่คุ้มกัน (ตัวท่านเองในครั้งอดีตเป็นญาติเก่ากับมารที่มารบกวนท่านในชาติสุดท้ายเสียด้วยครับ ถึงมีสายสัมพันธ์ที่เปิดช่องให้มารบกวนกันได้)

    2.เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ถูกส่วนหนึ่ง แต่เห็นผิดอีกส่วนหนึ่ง

    หมายถึง คนที่ศรัทธาในกรรมวิบากระดับให้ทานและรักษาศีล เชื่อว่ากรรมมีผลเชื่อว่าทำดีย่อมมีสุคติเป็นที่หวังแต่น่าเสียดายยังเห็นผิดเกี่ยวกับนิพพานและวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงนิพพาน ลำพังความเห็นผิดเงียบ ๆ อยู่คนเดียวก็ไม่กระไรนัก แต่หากเกิดเป็นขบวนการจัดตั้ง พยายาม ล้มล้างแนวความเห็นที่ถูกต้องเกี่ยวกับมรรคผลนิพพานดั้งเดิม อันนี้ก็ต้องกลายไปเป็นพลพรรคมารกันโดยไม่รู้ตัว พวกนี้จะเป็นมารแบบผู้ดีหน่อยคือเวลารบกวนจะไม่มาลักษณะการทำร้ายกันดื้อ ๆ แต่จะมาในรูปของการดลใจในสมาธิ เช่นทำให้พระซึ่งมีบุญมาก ๆ หลงเห็นนิมิตบางอย่าง ได้ยินเสียงบางอย่าง แล้วบังเกิดความเชื่อมั่นว่านั่นคือการบรรลุถึงมรรคถึงผล โดยมากเป็นดอกบัวบานหรือนิมิตพระพุทธรูปที่มีเสียงระฆังกังวานสดใสหรือคำรับรองว่าเช่นนี้เป็นมรรคผลที่ถูกต้องแล้ว

    และยังสำคัญตนไปต่าง ๆ นานาว่ารู้เห็นเยี่ยงผู้วิเศษ ใครเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง จะฟังแต่ครูบาอาจารย์ที่ให้รางวัลเขา แต่งตั้งให้เขาเป็นพระอรหันต์เท่านั้น พวกนี้ไปเกิดเป็นเทวดาได้เพราะบุญซึ่งทำจริง ๆ ตลอดชีวิต แต่พอเป็นเทวดาก็มักมีความพอใจประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ มาสนทนากับมนุษย์ผู้มีญาณ หรือผ่านมนุษย์ผู้เป็นร่าง ก็จะต้องการให้ผู้อื่นเชื่อว่าหมดกิเลสแล้วบางครั้งก็มีวิธีบังคับ หรือวิธีสำแดงตนแปลก ๆ ได้พิสดารสุดที่มนุษย์ธรรมดา ๆ จะแข็งขืนไม่ยอมศิโรราบให้ เทวดาพวกนี้จะบรรยายสภาพของนิพพานไปต่าง ๆ นานา สารพัด โดยรวบรัดคือเป็นดินแดนอันสงบสุข หาความทุกข์มิได้ ซึ่งที่แท้ก็คอภพหนึ่งของเทวโลกหรือพรหมโลกเท่านั้นและจะปฏิเสธนิพพานแบบไร้นิมิต ไร้ที่ตั้ง เห็นเป็นของน่าเบื่อ ไม่มีตัวตนให้สนุกอีก โดยไม่เฉลียวคิดถึงแก่นสารที่แท้จริงว่าการไร้สภาพปรุงแต่งให้เกิดดับนั่นเอง คือบรมสุขคือความสงบอันเป็นที่สุดทุกข์

    3.เป็นมารเพราะตั้งความเชื่อไว้ถูก แต่ปรามาสผู้ทรงคุณ

    หมายถึง คนที่เข้าใจ ทฤษฎี ทางพุทธศาสนา ถูกต้อง ทั้งในหลักกรรมวิบาก และในหลักวิธีพ้นทุกข์พ้นอุปาทานอย่างเด็ดขาด แต่พวกเขาเพียงทรงจำไว้ ไม่ปฏิบัติตนตามหลักการที่พระพุทธเจ้าสอนให้ตลอดสาย ผู้ใกล้ชิดจะรู้ดีและเห็นคาตาหลายครั้ง ว่ายังเป็นผู้ตระหนี่ มีอาการเล็งโลภ โกหก โดยปราศจากความละอาย ตลอดจนหลงตัวหลงตนเกินธรรมดา ยิ่งศึกษามาก ทรงจำมาก ก็ยิ่งเกิดความทะนงมากกลายเป็นอยากเพิ่มอัตตาเยี่ยงผู้มีปัญญาคิดอ่านแตกฉานยิ่ง ๆ ขึ้นไป และอยากให้ใคร ๆ มองว่าตนรอบรู้ทรงภูมิเป็นที่หนึ่ง ซึ่งพออัตตาใหญ่ ทางหลุดพ้นจากอุปาทานก็เล็กลง คิดถึงมรรคผลนิพพานแล้วท้อใจ คือไม่ใช่แค่เห็นว่ามรรคผลนิพพานเข้าถึงได้ยาก แต่เห็นว่าเป็นของเข้าถึงไม่ได้เลยในชีวิตตน และเมื่อตนเข้าถึงมิได้ ก็แปลว่าคนอื่นทั้งโลกจะต้องไม่มีความสามารถเข้าถึงได้เช่นกัน พวกที่เข้าข่ายจะต้องกลายเป็นมารเต็มขั้น ได้แก่ ภิกษุซึ่งมีหน้าที่สอนธรรมะในชั้นเรียน เพราะภิกษุเป็นผู้ตกลงกับพระพุทธเจ้าตั้งแต่ตอนบวชว่าจะเข้ามาทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง ถ้ามาประกาศเสียเองว่ามรรคผลนิพพานทำไม่ได้แล้ว ก็เท่ากับทรยศต่อพระพุทธเจ้า เท่าที่ทราบมาบางคนเป็นถึงเปรียญชั้นสูง ๆ แต่เอ่ยปากว่ายุคนี่อย่าหวังฌาน อย่าหวังมรรคผล ขอให้บำเพ็ญบารมีเพื่อไปเอาดีในยุคพระศรีอารย์กัน นี่เป็นคำพูดที่สืบ ๆ กันมา ตอนแรกเป็นคำพูดคนอื่น แต่พอพูดบ่อย ๆ ก็กลายเป็นคำพูดและความฝังใจเชื่อของตนเองไป วิธีหว่านล้อมแบบมารซึ่งแยบยลที่สุด คือแฝงมาในรูปของคนที่ถูกต้องที่สุด คนที่รู้ดีที่สุด สิ่งที่ทำให้รู้ว่าเขาหลงทางมีอย่างเดียวคือภาพรวมของเขาไม่สนับสนุน ไม่ให้กำลังใจใครได้ไปถึงนิพพาน ตรงข้ามกลับคะยั้นคะยอให้ใคร ๆ เห็นมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องยากเกินเอื้อม ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก บั่นทอนกำลังใจทุกรูปแบบซึ่งเป็นตรงข้ามกับลีลาของพระพุทธเจ้า

    สำหรับกรรมที่ทำให้เป็นราชาแห่งมาร หรือที่เรียก พญามาร โดยมากจะมีบารมียิ่งใหญ่เกิดธรรมดา เช่น สามารถเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาหรือลัทธิความเชื่อดี ๆ พาคนไปสวรรค์ได้ด้วยตนเอง แต่หลงผิด บิดเบือนพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า ทำให้คนเข้าใจว่าหลักการนิพพานในพระไตรปิฎกเป็นของปลอม วิธีที่ตนเพิ่มค้นพบด้วยตนเองเท่านั้นถูกต้อง พวกนี้หลงผิดอยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดและเมื่อตั้งความเห็นไว้แล้วว่าตนถูกที่สุด คนที่เชื่อต่างจากตนจึงเป็นคนผิด ฉะนั้นแม้เมื่อพบผู้ปฏิบัติถูก สามารถละกิเลสได้จริง แทนที่จะชื่นชมยินดีมีมุทิตาจิตไปกับความผ่องใสของพวกท่าน ก็กลับจะขัดเคือง หมั่นไส้ ไม่อยากเห็นฝ่ายตรงข้ามก้าวหน้าเกินตน ซึ่งก็จะนำไปสู่การจ้องจับผิด เห็นตนมีอภิสิทธิ์ในการไล่เบี้ยความรู้ผู้อื่นผิดเล็กผิดน้อยเอามาด่าได้ราวกับเป็นอาชญากร หรือแม้เขาไม่มีความผิดเลย ก็พูดสันนิษฐานต่าง ๆ นานา ชักแม่น้ำทั้งห้า เพื่อชี้นำคนอื่นให้เห็นว่าเขาผิดจนได้

    สรุปคือ มารไม่จำเป็นต้องคิดว่าตัวเองเป็นมาร ตรงข้าม พวกเขาอาจนึกว่าตนเป็นฝ่ายพระเอก นางเอก ด้วยซ้ำ มีแต่ กรรม ของเขาที่จะแสดงในตัวเองว่าเขาเป็นใคร

    กรรมที่ทำให้เป็นมาร

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2010
  18. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    อีกนัยยะหนึ่ง

    นักปฏิบัติหลายคน ชอบซะใจ เอ่ยอ้างเรื่อง "ข้อสอบ" หรือ "บททดสอบ"

    ซึ่งจะเอามานิยาม อุปสรรคที่เนื่องกับ มัจจุมาร ขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร
    แต่โดยมาก มักจะต้องซะใจกับการเห็น มัจจุมาร แต่ถ้ายังเตาะๆแตะๆ ก็จะซะใจ
    แค่ ขันธมาร กล่าวคือ

    ปฏิบัติไปนิดหน่อยๆ ก็พบว่า ตน ต้องเจออุปสรรคเฉียดตายบ้าง เจออุปสรรคเฉียด
    เสียแขนเสียขาอวัยวะสรรพรางค์กายโรครุมเร้าบ้าง พอผ่านได้ หรือ วางใจได้ ซึ่ง
    มักจะหายป่วยหายไข้ หายวิกฤติกันไป ก็ซะใจ คล้ายๆว่า มั่นใจว่า ตนมีบารมีสูงขึ้น
    มาชั้นหนึ่ง ขั้นหนึ่ง

    แต่จริงๆแล้ว หากดูกันดีๆ มักจะพบว่า นักปฏิบัติกำลังยึดมั่นในรู้ที่ตนเห็นเป็นปัจจัตตัง
    แล้วเอิดตัวขึ้น ตัวตนสูงขึ้น มานะ+ริษยา กำลังมากขึ้นโดยไม่รู้ แถมยังเอาความรู้ที่ยึด
    ไว้นั้นจับไว้นั้นไปก่อกรรมที่ผิดไปจากการปล่อยวาง เมื่อนั้นแหละที่มัจจุมารก็ดี ขันธมาร
    ก็ดีสบช่องยอกย้อนเพราะทะลึงปฏิบัติแล้วยึดตัวตนมานะเป็นที่ตั้ง ก็จะต้องประสบเคราะห์
    กรรมตัดรอน

    พูดซื่อๆว่า ภาวนาผิดทาง ศีลพร่องแต่ไม่รู้(เพราะคิดว่ามีอยู่--มาจากภาพลวงการยึดในรู้)
    เขาก็จะมาลากออกไปจากรัตนบังลังก์ นั่นแหละ ไม่ใช่บุญบารมีมากขึ้นหลอก แต่กำลังจะ
    หมดวาสนาต่างหาก หากโดนข้อสอบบ่อยๆ มันจะหนักขึ้นๆ หากศีลยังพร่องอยู่แล้วไม่รู้
    เนื้อรู้ตัว ก็จะหมดวาสนาบำเพ็ญกันไป

    จึงควรยอมตาย(ละวางตัวตน) เพื่อรักษาศีล
    ถ้าไม่รักษาศีล เหตุการเป็นมนุษย์ก็จะหมดลง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2010
  19. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    กรรมที่ทำให้เป็นมารเพราะมิจฉาทิฐิ เพราะไม่รู้ในมิจฉาทิฐินั้นว่าเป็นยังไง เพราะสำคัญตนผิดว่าเป็นนั่นว่าเป็นนี่ก่อกรรมทำอกุศลเพราะหลงผิด ด้วยมิจฉาทิฐิจึงเป็นมาร มารในที่นี้เป็นมาร หมายถึง ผู้เป็นมิจฉาทิฐิ อย่างแท้จริง คิดเห็นสิ่งใดก็จะกำหนดให้เข้ากับความคิดตนไม่ยอมความให้ผู้หนึ่งผู้ใดเหล่านี้เรียกว่า ความเป็นมารได้สิงสู่ใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เอาเพียงหากยังเห็นว่าตนนั้นดีกว่าผู้หนึ่งผู้ใด เหนือกว่าผู้หนึ่งผู้ใด อยู่นั้น หากยังสำคัญผิดคิดว่าทำแบบนั้นแล้ว เป็นกุศลกรรม เป็นกุศลจิตแล้ว ผู้นั้นหละจักเป็นมารเสียเองโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ทั้งหมดเกิดจากความสำคัญตนผิดๆมาโดยตลอด เห็นกลับด้านกับสัมมาทิฐิมาโดยตลอด หรือเรียกว่า เป็นมิจฉาทิฐิ โดยความไม่รู้อย่างไม่ลดละ เป็นแล้วเป็นอีกและพอใจในสิ่งที่เป็นนั้นว่าเป็นสิ่งดี คนเมื่อมีมิจฉาทิฐิแล้ว การจะไม่มีอิจฉา ริษยา ถือตัว ถือตนและอื่นๆอีกมากมายนั้น ไม่ใช่ฐานะจะเป็นไปได้เลย นี่แหละคือเหตุแห่งการมีการเป็น มาร
     
  20. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    แต่คนเราเนี่ยแปลก หากไม่ถูกใจใครก็จะไปกล่าวว่าเขาเป็นมารเพราะเขาไปขัดขวางการทำกุศลของตน คนชนิดนี้แหละที่น่ากลัวเพราะเหตุว่า กุศลกับอกุศลที่มีในตนเองยังแยกไม่ออก แล้วยังคิดว่าทำกุศลด้วยการนำธรรมต่างๆนานามาสาธยาย และเมื่อมีผู้ขัดแย้งกับตนทั้งๆที่ยังไม่ได้พิจารณาหาเหตุและผลของข้อโต้แย้ง ยังไม่พิจารณาถึงเหตุและผลของการโต้แย้ง เหตุที่ไม่พิจารณาเพราะถือตัวถือตนว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นต้องถูกต้องที่สุดผู้อื่นนั้นผิดหมด อาการอย่างนี้ความรู้สึกอย่างนี้หากเรียกว่ากุศลได้อีก ก็แสดงว่า เป็นผู้ไม่รู้จักกุศลและอกุศล อย่างถ่องแท้เลย ดังนั้นการจะพิจารณาสิ่งใดควรจะพิจารณารับฟังให้ถึงที่สุด เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถตอบได้อธิบายได้ให้ความกระจ่างได้นั้น มีเพียงความไม่รู้เท่านั้น ความไม่รู้ไม่ใช่ความผิด แต่ความไม่รู้จะนำพาให้รู้ได้เมื่อพิจารณา เหตุที่ทุกคนนั้นกลัวในสิ่งที่ยังไม่รู้ และถือในสิ่งที่รู้แล้วว่าเป็นสิ่งที่เลิศกว่าใคร ดังนี้แล้ว การจะเห็นว่า ตนเหนือกว่าผู้อื่น เห็นผู้อื่นแย่กว่า เห็นว่าการขัดแย้ง การตำหนิติเตียน เป็นของฝ่ายอื่นที่ต่ำกว่าตน เป็น มาร บ้าง เป็นเดรัจฉาน บ้าง เป็นเปรต บ้าง ควรแล้วหรือที่จะพึงคิดกับผู้อื่นผู้ใดเช่นนั้น
    หากยังมีการสำคัญตนผิดอยู่เช่นนี้ ก็ไม่แปลกอะไร เพราะมารก็จะยังคงมีอย่างไม่มีวันหมด จะมีอยู่อย่างนี้ทุกยุคทุกสมัย เพราะการที่ไม่ยอมรับความคิดเห็นใคร อาศัยเพียงความคิดเห็นตน เห็นตนเหนือผู้อื่นอย่างนี้ เรียกว่า มิจฉาทิฐิ เช่นเดียวกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...